• Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน

    Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง

    MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง

    แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5

    นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร

    แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง

    Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง
    หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล
    รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits

    ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB
    แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น
    มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB

    แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน
    รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป)
    ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน

    ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15
    ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่
    ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน

    ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด
    คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ
    ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน

    https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    📰 Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5 นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง ✅ Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง ➡️ หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล ➡️ รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ✅ ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB ➡️ แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น ➡️ มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB ✅ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน ➡️ รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป) ➡️ ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน ✅ ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15 ➡️ ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่ ➡️ ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน ✅ ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด ➡️ คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ ➡️ ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor's New Android Tablet Checks The Right Boxes, But Using It Left Me Frustrated - SlashGear
    Honor's MagicPad 3 is the latest midrange tablet available with features that look great from the outset but leave us with some questions about what's missed.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ

    Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที

    จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด

    นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน

    ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ

    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่
    มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา
    เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์

    ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG
    ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด
    คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban
    ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป
    เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต
    อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย
    ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    📰 Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ ✅ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่ ➡️ มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา ➡️ เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์ ✅ ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG ➡️ ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด ➡️ คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า ✅ ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban ➡️ ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป ➡️ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ✅ Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต ➡️ อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย ➡️ ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Meta's New AI Glasses Look Great, But There's A Smart Reason Not To Buy Them - SlashGear
    These Ray-Ban Display glasses look high tech enough, but with the injection of AI comes serious privacy concerns, for both the wearer and those around them.
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO ของ Blender — ปิดตำนาน 32 ปี พร้อมส่งไม้ต่อสู่ทีมรุ่นใหม่

    ในงาน Blender Conference ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายน Ton Roosendaal ผู้ก่อตั้งและผู้ผลักดันซอฟต์แวร์ 3D แบบโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะลงจากตำแหน่งประธานและ CEO ของ Blender Foundation ในวันที่ 1 มกราคม 2026 หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานกว่า 24 ปี และมีบทบาทกับ Blender มานานถึง 32 ปี

    Ton จะย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของ Blender Foundation และส่งไม้ต่อให้กับ Francesco Siddi ซึ่งปัจจุบันเป็น COO ของ Blender โดย Francesco เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ VFX artist, web developer ไปจนถึงผู้จัดการด้านความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยน CEO แต่ยังมีการจัดโครงสร้างใหม่ของทีมบริหาร โดยแบ่งบทบาทสำคัญของ Ton ออกเป็น 4 ด้าน และมอบหมายให้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา, Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ Blender จากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo ไปสู่เครื่องมือระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Epic Games, AMD, Intel และ NVIDIA โดยในปีที่ผ่านมา Blender มีรายได้กว่า €3.1 ล้าน และสามารถจ้างทีมพัฒนาเต็มเวลาได้มากกว่า 15 คน

    Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO และประธาน Blender Foundation
    จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2026
    ย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแล

    Francesco Siddi จะรับตำแหน่ง CEO คนใหม่
    เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012
    มีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร

    โครงสร้างบริหารใหม่แบ่งบทบาทออกเป็น 4 ด้าน
    Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา
    Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์
    Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ
    Francesco Siddi รับบทบาทผู้ประกอบการและผู้นำองค์กร

    Blender เติบโตจากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ สู่เครื่องมือระดับโลก
    เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo และกลายเป็นโอเพ่นซอร์สในปี 2002
    ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ
    มีรายได้จากผู้สนับสนุนองค์กรเกือบ 40% ของรายรับรวม

    การเปลี่ยนผ่านสะท้อนความพร้อมของทีมรุ่นใหม่
    Ton กล่าวว่า “Blender ต้องทำงานได้โดยไม่มีผม”
    ทีมใหม่มีความสามารถหลากหลายและพร้อมนำ Blender สู่ทศวรรษหน้า

    https://www.cgchannel.com/2025/09/ton-roosendaal-to-step-down-as-blender-chairman-and-ceo/
    📰 Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO ของ Blender — ปิดตำนาน 32 ปี พร้อมส่งไม้ต่อสู่ทีมรุ่นใหม่ ในงาน Blender Conference ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายน Ton Roosendaal ผู้ก่อตั้งและผู้ผลักดันซอฟต์แวร์ 3D แบบโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง Blender ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาจะลงจากตำแหน่งประธานและ CEO ของ Blender Foundation ในวันที่ 1 มกราคม 2026 หลังจากดำรงตำแหน่งมายาวนานกว่า 24 ปี และมีบทบาทกับ Blender มานานถึง 32 ปี Ton จะย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแลของ Blender Foundation และส่งไม้ต่อให้กับ Francesco Siddi ซึ่งปัจจุบันเป็น COO ของ Blender โดย Francesco เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ VFX artist, web developer ไปจนถึงผู้จัดการด้านความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยน CEO แต่ยังมีการจัดโครงสร้างใหม่ของทีมบริหาร โดยแบ่งบทบาทสำคัญของ Ton ออกเป็น 4 ด้าน และมอบหมายให้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา, Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของ Blender จากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo ไปสู่เครื่องมือระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Epic Games, AMD, Intel และ NVIDIA โดยในปีที่ผ่านมา Blender มีรายได้กว่า €3.1 ล้าน และสามารถจ้างทีมพัฒนาเต็มเวลาได้มากกว่า 15 คน ✅ Ton Roosendaal ประกาศลงจากตำแหน่ง CEO และประธาน Blender Foundation ➡️ จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2026 ➡️ ย้ายไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกำกับดูแล ✅ Francesco Siddi จะรับตำแหน่ง CEO คนใหม่ ➡️ เคยร่วมงานกับ Blender ตั้งแต่ปี 2012 ➡️ มีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร ✅ โครงสร้างบริหารใหม่แบ่งบทบาทออกเป็น 4 ด้าน ➡️ Sergey Sharybin เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา ➡️ Dalai Felinto เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ➡️ Fiona Cohen เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ➡️ Francesco Siddi รับบทบาทผู้ประกอบการและผู้นำองค์กร ✅ Blender เติบโตจากซอฟต์แวร์เล็ก ๆ สู่เครื่องมือระดับโลก ➡️ เริ่มต้นในสตูดิโอ NeoGeo และกลายเป็นโอเพ่นซอร์สในปี 2002 ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ➡️ มีรายได้จากผู้สนับสนุนองค์กรเกือบ 40% ของรายรับรวม ✅ การเปลี่ยนผ่านสะท้อนความพร้อมของทีมรุ่นใหม่ ➡️ Ton กล่าวว่า “Blender ต้องทำงานได้โดยไม่มีผม” ➡️ ทีมใหม่มีความสามารถหลากหลายและพร้อมนำ Blender สู่ทศวรรษหน้า https://www.cgchannel.com/2025/09/ton-roosendaal-to-step-down-as-blender-chairman-and-ceo/
    WWW.CGCHANNEL.COM
    Ton Roosendaal to step down as Blender chairman and CEO
    Original Blender creator to hand over role as CEO of the Blender Foundation to COO Francesco Siddi at the start of next year.
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง

    หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่

    ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94%

    Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง
    ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่
    ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores

    ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4
    Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก
    Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่
    รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
    อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94%

    Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต
    คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD
    แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น

    https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    📰 Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่ ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026 อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94% ✅ Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง ➡️ ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่ ➡️ ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores ✅ ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4 ➡️ Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก ➡️ Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ ✅ มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่ ➡️ รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ➡️ อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94% ✅ Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต ➡️ คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD ➡️ แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    WCCFTECH.COM
    Intel Assures They Will Continue To Have GPU Product Offerings In The Future, NVIDIA Deal Complimentary To Product Roadmap
    Intel has reassured that it will continue to have GPU products in the future despite the new NVIDIA deal, which was announced today.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์

    Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia
    เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร
    ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน

    สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton
    เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027
    รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW

    เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads
    OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว
    ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร
    สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell
    เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก

    ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
    สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง
    สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ

    https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    📰 Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์ ✅ Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia ➡️ เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ➡️ ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน ✅ สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton ➡️ เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 ➡️ รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW ✅ เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads ➡️ OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ ✅ Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร ➡️ สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell ➡️ เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก ✅ ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ➡️ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง ➡️ สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • Snapdragon 8 Elite Gen 5 โชว์พลังทะลุ 3,831 คะแนนใน Geekbench — แซง Ryzen 9 และไล่ทัน Apple A19 Pro ในการทดสอบแบบแกนเดียว

    Qualcomm กำลังเขย่าวงการชิปมือถืออีกครั้งด้วย Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่เพิ่งปรากฏผลทดสอบใน Geekbench โดยทำคะแนนแบบ single-core ได้ถึง 3,831 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 คะแนน และสูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่อยู่ราว 3,500 คะแนน

    ชิปใหม่นี้ถูกพบในอุปกรณ์ Xiaomi รุ่นที่ยังไม่เปิดตัว และใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2 แกนประสิทธิภาพ + 6 แกนประหยัดพลังงาน โดยแกนประสิทธิภาพสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz (หรือ 4.74 GHz ในรุ่นเฉพาะของ Samsung) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนาจาก N3E

    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังรองรับชุดคำสั่งใหม่ SVE2 และ SME ซึ่งเป็น SIMD instruction ที่ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเร็วขึ้น โดยเฉพาะงานด้าน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูลในหน่วยความจำ ซึ่ง Geekbench เองก็ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนที่ออกมาสะท้อนถึงประสิทธิภาพจริงในระดับหนึ่ง

    แม้คะแนนจะน่าประทับใจ แต่ก็ยังเป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ยังไม่วางจำหน่าย และอาจมีการปรับแต่งเพื่อโชว์ศักยภาพสูงสุด ดังนั้นจึงต้องรอดูผลทดสอบจากเครื่องจริงอีกครั้งเมื่อวางขาย

    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำคะแนน Geekbench สูงถึง 3,831
    ใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895
    สูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่ทำได้ราว 3,500 คะแนน

    ใช้สถาปัตยกรรม 2+6 cores และเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz
    รุ่น Samsung เฉพาะสามารถเร่งได้ถึง 4.74 GHz
    ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC

    รองรับชุดคำสั่ง SVE2 และ SME
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูล
    Geekbench ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนสะท้อนการใช้งานจริง

    แซงชิปเดสก์ท็อปในด้าน single-core performance
    Ryzen 7 9800X3D ทำได้ ~3,400 / Ryzen 9 9950X3D ~3,500
    แสดงให้เห็นถึงพลังของชิป ARM ในงานที่จำกัดพลังงาน

    อาจใช้ใน Xiaomi 17 Pro และ Samsung Galaxy รุ่นใหม่
    พบในอุปกรณ์ Xiaomi รหัส 25113PN0EC
    คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    https://www.tomshardware.com/phones/snapdragon-8-elite-gen-5-shows-up-in-geekbench-with-a-score-of-3-831-upcoming-chip-catches-to-apples-just-launched-a19-pro-beats-desktop-chips-on-single-core-perf
    📰 Snapdragon 8 Elite Gen 5 โชว์พลังทะลุ 3,831 คะแนนใน Geekbench — แซง Ryzen 9 และไล่ทัน Apple A19 Pro ในการทดสอบแบบแกนเดียว Qualcomm กำลังเขย่าวงการชิปมือถืออีกครั้งด้วย Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่เพิ่งปรากฏผลทดสอบใน Geekbench โดยทำคะแนนแบบ single-core ได้ถึง 3,831 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 คะแนน และสูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่อยู่ราว 3,500 คะแนน ชิปใหม่นี้ถูกพบในอุปกรณ์ Xiaomi รุ่นที่ยังไม่เปิดตัว และใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2 แกนประสิทธิภาพ + 6 แกนประหยัดพลังงาน โดยแกนประสิทธิภาพสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz (หรือ 4.74 GHz ในรุ่นเฉพาะของ Samsung) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนาจาก N3E Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังรองรับชุดคำสั่งใหม่ SVE2 และ SME ซึ่งเป็น SIMD instruction ที่ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเร็วขึ้น โดยเฉพาะงานด้าน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูลในหน่วยความจำ ซึ่ง Geekbench เองก็ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนที่ออกมาสะท้อนถึงประสิทธิภาพจริงในระดับหนึ่ง แม้คะแนนจะน่าประทับใจ แต่ก็ยังเป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ยังไม่วางจำหน่าย และอาจมีการปรับแต่งเพื่อโชว์ศักยภาพสูงสุด ดังนั้นจึงต้องรอดูผลทดสอบจากเครื่องจริงอีกครั้งเมื่อวางขาย ✅ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำคะแนน Geekbench สูงถึง 3,831 ➡️ ใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 ➡️ สูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่ทำได้ราว 3,500 คะแนน ✅ ใช้สถาปัตยกรรม 2+6 cores และเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz ➡️ รุ่น Samsung เฉพาะสามารถเร่งได้ถึง 4.74 GHz ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ✅ รองรับชุดคำสั่ง SVE2 และ SME ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูล ➡️ Geekbench ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนสะท้อนการใช้งานจริง ✅ แซงชิปเดสก์ท็อปในด้าน single-core performance ➡️ Ryzen 7 9800X3D ทำได้ ~3,400 / Ryzen 9 9950X3D ~3,500 ➡️ แสดงให้เห็นถึงพลังของชิป ARM ในงานที่จำกัดพลังงาน ✅ อาจใช้ใน Xiaomi 17 Pro และ Samsung Galaxy รุ่นใหม่ ➡️ พบในอุปกรณ์ Xiaomi รหัส 25113PN0EC ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 https://www.tomshardware.com/phones/snapdragon-8-elite-gen-5-shows-up-in-geekbench-with-a-score-of-3-831-upcoming-chip-catches-to-apples-just-launched-a19-pro-beats-desktop-chips-on-single-core-perf
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • จีนเร่งเครื่องสู่ยุค Brain-Computer Interface — ตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ หวังสร้างผู้นำระดับโลกภายในปี 2030

    จีนกำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) ด้วยการประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ BCI โดยมาตรฐานนี้มีชื่อว่า “YY/T 1987–2025” และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานให้กับอุตสาหกรรม BCI ทั้งในด้านการวิจัย การผลิต และการใช้งานเชิงพาณิชย์

    BCI คือเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับเครื่องจักรโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาต การควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด หรือแม้แต่การเล่นเกมด้วยสมอง โดยจีนได้แสดงความก้าวหน้าในด้านนี้ผ่านการทดลองที่ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมแข่งรถหรือเกมแนวแอ็กชันได้อย่างคล่องแคล่ว

    รัฐบาลจีนได้วางแผน 17 ขั้นตอนตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการพาณิชย์ และคาดว่าจะสามารถแก้ไขอุปสรรคทางเทคนิคส่วนใหญ่ได้ภายในปี 2027 พร้อมตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่งภายในปี 2030

    การตั้งมาตรฐานในระดับประเทศเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ BCI แต่ยังเป็นการวางตำแหน่งให้จีนเป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ในระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันกับบริษัทตะวันตก เช่น Neuralink ของ Elon Musk

    จีนประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับอุปกรณ์ BCI
    มาตรฐานชื่อ YY/T 1987–2025 มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2026
    ครอบคลุมอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร

    เป้าหมายคือการเป็นผู้นำด้าน BCI ภายในปี 2030
    คาดว่าจะเคลียร์อุปสรรคทางเทคนิคภายในปี 2027
    ตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่ง

    รัฐบาลจีนวางแผน 17 ขั้นตอนจาก R&D สู่การพาณิชย์
    ประสานงานระหว่างกระทรวง หน่วยงานกำกับ และภาคเอกชน
    มุ่งเน้นการใช้งานในด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และการบริโภค

    ตัวอย่างความก้าวหน้าในจีน
    ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมซับซ้อนได้ด้วย BCI
    มีการทดลองใช้ในเกม Black Myth: Wukong และ Honor of Kings

    การตั้งมาตรฐานช่วยสร้างความได้เปรียบในตลาดโลก
    ผู้กำหนดมาตรฐานสามารถควบคุมทิศทางเทคโนโลยี
    เพิ่มโอกาสในการยอมรับและใช้งานในระดับสากล

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-targets-brain-computer-interface-race-with-new-standard-new-bci-standard-could-lead-to-breakthroughs-as-soon-as-2027
    📰 จีนเร่งเครื่องสู่ยุค Brain-Computer Interface — ตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ หวังสร้างผู้นำระดับโลกภายในปี 2030 จีนกำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) ด้วยการประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ BCI โดยมาตรฐานนี้มีชื่อว่า “YY/T 1987–2025” และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานให้กับอุตสาหกรรม BCI ทั้งในด้านการวิจัย การผลิต และการใช้งานเชิงพาณิชย์ BCI คือเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับเครื่องจักรโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาต การควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด หรือแม้แต่การเล่นเกมด้วยสมอง โดยจีนได้แสดงความก้าวหน้าในด้านนี้ผ่านการทดลองที่ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมแข่งรถหรือเกมแนวแอ็กชันได้อย่างคล่องแคล่ว รัฐบาลจีนได้วางแผน 17 ขั้นตอนตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการพาณิชย์ และคาดว่าจะสามารถแก้ไขอุปสรรคทางเทคนิคส่วนใหญ่ได้ภายในปี 2027 พร้อมตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่งภายในปี 2030 การตั้งมาตรฐานในระดับประเทศเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของอุปกรณ์ BCI แต่ยังเป็นการวางตำแหน่งให้จีนเป็นผู้กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ในระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันกับบริษัทตะวันตก เช่น Neuralink ของ Elon Musk ✅ จีนประกาศมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับอุปกรณ์ BCI ➡️ มาตรฐานชื่อ YY/T 1987–2025 มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2026 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร ✅ เป้าหมายคือการเป็นผู้นำด้าน BCI ภายในปี 2030 ➡️ คาดว่าจะเคลียร์อุปสรรคทางเทคนิคภายในปี 2027 ➡️ ตั้งเป้าสร้างบริษัท BCI ระดับโลก 2–3 แห่ง ✅ รัฐบาลจีนวางแผน 17 ขั้นตอนจาก R&D สู่การพาณิชย์ ➡️ ประสานงานระหว่างกระทรวง หน่วยงานกำกับ และภาคเอกชน ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานในด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และการบริโภค ✅ ตัวอย่างความก้าวหน้าในจีน ➡️ ผู้ป่วยอัมพาตสามารถเล่นเกมซับซ้อนได้ด้วย BCI ➡️ มีการทดลองใช้ในเกม Black Myth: Wukong และ Honor of Kings ✅ การตั้งมาตรฐานช่วยสร้างความได้เปรียบในตลาดโลก ➡️ ผู้กำหนดมาตรฐานสามารถควบคุมทิศทางเทคโนโลยี ➡️ เพิ่มโอกาสในการยอมรับและใช้งานในระดับสากล https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-targets-brain-computer-interface-race-with-new-standard-new-bci-standard-could-lead-to-breakthroughs-as-soon-as-2027
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลเผย “ไอรอน บีม” (Iron beam) ระบบเลเซอร์ต่อต้านขีปนาวุธตัวใหม่ พร้อมใช้ปฏิบัติการปลายปีนี้
    .
    กระทรวงกลาโหมอิสราเอลประกาศว่า "Iron Beam 450" ซึ่งเป็นอาวุธระบบเลเซอร์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดราคาประหยัดที่มีหน้าที่ในการมุ่งทำลายขีปนาวุธในช่วงสุดท้ายก่อนพุ่งตรงเข้าทำลายเป้าหมายของพวกมัน ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาขั้นสุดท้ายและพร้อมส่งมอบภายในปีนี้แล้ว
    .
    ส่งผลให้ Iron Beam 450 จะเป็นระบบป้องกันภัยด้วยเลเซอร์พลังงานสูงที่ใช้งานได้จริงที่เข้าประจำการในกองทัพอย่างเป็นทางการระบบแรกของโลกทันที
    .
    วิดีโอการทดสอบของ Iron Beam 450 แสดงให้เห็นการสกัดกั้นจรวด ลูกปืนครก และโดรนด้วยความเร็วและความแม่นยำ หนำซ้ำยังมีต้นทุนต่อการปล่อยพลังงานหนึ่งเกือบเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สร้างมาตรฐานใหม่ระดับโลกด้านการป้องกันภัยทางอากาศ
    .
    "Iron Beam 450" ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัท Elbit Systems และ Rafael Advance Defense Systems จะเข้ามาเป็นตัวเสริมระบบต่อต้านขีปนาวุธ Iron Dome, David's Sling และ Arrow ของอิสราเอล ซึ่งเคยถูกใช้สกัดกั้นจรวดหลายพันลูกที่ยิงมาจากอิหร่าน กลุ่มฮามาสในกาซา ฮิซบอลเลาะห์จากเลบานอน และกบฏฮูตีในเยเมน
    อิสราเอลเผย “ไอรอน บีม” (Iron beam) ระบบเลเซอร์ต่อต้านขีปนาวุธตัวใหม่ พร้อมใช้ปฏิบัติการปลายปีนี้ . กระทรวงกลาโหมอิสราเอลประกาศว่า "Iron Beam 450" ซึ่งเป็นอาวุธระบบเลเซอร์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดราคาประหยัดที่มีหน้าที่ในการมุ่งทำลายขีปนาวุธในช่วงสุดท้ายก่อนพุ่งตรงเข้าทำลายเป้าหมายของพวกมัน ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาขั้นสุดท้ายและพร้อมส่งมอบภายในปีนี้แล้ว . ส่งผลให้ Iron Beam 450 จะเป็นระบบป้องกันภัยด้วยเลเซอร์พลังงานสูงที่ใช้งานได้จริงที่เข้าประจำการในกองทัพอย่างเป็นทางการระบบแรกของโลกทันที . วิดีโอการทดสอบของ Iron Beam 450 แสดงให้เห็นการสกัดกั้นจรวด ลูกปืนครก และโดรนด้วยความเร็วและความแม่นยำ หนำซ้ำยังมีต้นทุนต่อการปล่อยพลังงานหนึ่งเกือบเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่สร้างมาตรฐานใหม่ระดับโลกด้านการป้องกันภัยทางอากาศ . "Iron Beam 450" ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัท Elbit Systems และ Rafael Advance Defense Systems จะเข้ามาเป็นตัวเสริมระบบต่อต้านขีปนาวุธ Iron Dome, David's Sling และ Arrow ของอิสราเอล ซึ่งเคยถูกใช้สกัดกั้นจรวดหลายพันลูกที่ยิงมาจากอิหร่าน กลุ่มฮามาสในกาซา ฮิซบอลเลาะห์จากเลบานอน และกบฏฮูตีในเยเมน
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 0 Reviews
  • ลุงไม่เซอร์ไพร์สกับข่าวนี้หร๊อกกกก !!!!

    Nvidia จับมือ Intel เปิดตัวชิป x86 RTX SOC — ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างยุคใหม่ของการประมวลผล AI และเกมมิ่ง

    ในความร่วมมือที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน Nvidia และ Intel ได้ประกาศพัฒนาโปรเซสเซอร์ร่วมกันภายใต้ชื่อ “Intel x86 RTX SOCs” ซึ่งเป็นชิปที่รวม CPU x86 ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ Nvidia ผ่านอินเทอร์เฟซ NVLink ที่ให้แบนด์วิดธ์สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบ PCIe ถึง 14 เท่า โดยชิปนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อเครื่องพีซีเกมมิ่งและโน้ตบุ๊กขนาดเล็กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ประหยัดพื้นที่

    นอกจากนี้ Intel ยังจะผลิตชิป x86 แบบปรับแต่งพิเศษสำหรับ Nvidia เพื่อนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลและแพลตฟอร์ม AI ขนาดใหญ่ โดย Nvidia จะเป็นผู้จำหน่ายชิปเหล่านี้ภายใต้แบรนด์ของตนเอง ซึ่งถือเป็นการขยาย ecosystem ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นคู่แข่งในตลาดฮาร์ดแวร์มายาวนาน

    เพื่อยืนยันความร่วมมือครั้งนี้ Nvidia ได้ลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ Intel มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในราคาหุ้นละ $23.28 ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 6% โดยการลงทุนนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ก็ได้ซื้อหุ้นของ Intel ไปก่อนหน้านี้เช่นกัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการผลิตในประเทศ

    แม้จะยังไม่มีรายละเอียดด้านสเปกหรือวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ระบุว่า “นี่คือการหลอมรวมสองแพลตฟอร์มระดับโลก เพื่อวางรากฐานสำหรับยุคใหม่ของการประมวลผล” ขณะที่ Intel ก็ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU Xe สำหรับตลาดทั่วไปควบคู่ไปกับความร่วมมือครั้งนี้

    Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป Intel x86 RTX SOCs
    รวม CPU x86 ของ Intel กับ GPU RTX ของ Nvidia ในแพ็กเกจเดียว
    ใช้ NVLink แทน PCIe เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency

    ชิปใหม่เน้นตลาดเกมมิ่งและพีซีขนาดเล็ก
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องพีซีที่ไม่มี GPU แยก
    คล้ายกับ APU ของ AMD แต่ใช้เทคโนโลยี NVLink และ UMA

    Intel จะผลิตชิป x86 แบบปรับแต่งสำหรับศูนย์ข้อมูลของ Nvidia
    ใช้ในแพลตฟอร์ม AI ขนาดใหญ่และ hyperscale
    อาจใช้เทคโนโลยี NVLink Fusion เพื่อเชื่อมต่อกับ GPU ได้เร็วขึ้น

    Nvidia ลงทุนซื้อหุ้น Intel มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
    ซื้อในราคาหุ้นละ $23.28 ต่ำกว่าราคาตลาด
    ตามหลังการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank

    ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการหลอมรวม ecosystem ระหว่างสองบริษัท
    Nvidia ยังคงพัฒนา Grace CPU และ Vera CPU ควบคู่ไปด้วย
    Intel ยังคงพัฒนา GPU Xe สำหรับตลาดทั่วไป

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/nvidia-and-intel-announce-jointly-developed-intel-x86-rtx-socs-for-pcs-with-nvidia-graphics-also-custom-nvidia-data-center-x86-processors-nvidia-buys-usd5-billion-in-intel-stock-in-seismic-deal
    ลุงไม่เซอร์ไพร์สกับข่าวนี้หร๊อกกกก !!!! 😍😍 📰 Nvidia จับมือ Intel เปิดตัวชิป x86 RTX SOC — ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างยุคใหม่ของการประมวลผล AI และเกมมิ่ง ในความร่วมมือที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน Nvidia และ Intel ได้ประกาศพัฒนาโปรเซสเซอร์ร่วมกันภายใต้ชื่อ “Intel x86 RTX SOCs” ซึ่งเป็นชิปที่รวม CPU x86 ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ Nvidia ผ่านอินเทอร์เฟซ NVLink ที่ให้แบนด์วิดธ์สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบ PCIe ถึง 14 เท่า โดยชิปนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อเครื่องพีซีเกมมิ่งและโน้ตบุ๊กขนาดเล็กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ประหยัดพื้นที่ นอกจากนี้ Intel ยังจะผลิตชิป x86 แบบปรับแต่งพิเศษสำหรับ Nvidia เพื่อนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลและแพลตฟอร์ม AI ขนาดใหญ่ โดย Nvidia จะเป็นผู้จำหน่ายชิปเหล่านี้ภายใต้แบรนด์ของตนเอง ซึ่งถือเป็นการขยาย ecosystem ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นคู่แข่งในตลาดฮาร์ดแวร์มายาวนาน เพื่อยืนยันความร่วมมือครั้งนี้ Nvidia ได้ลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ Intel มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในราคาหุ้นละ $23.28 ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 6% โดยการลงทุนนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ก็ได้ซื้อหุ้นของ Intel ไปก่อนหน้านี้เช่นกัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการผลิตในประเทศ แม้จะยังไม่มีรายละเอียดด้านสเปกหรือวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ระบุว่า “นี่คือการหลอมรวมสองแพลตฟอร์มระดับโลก เพื่อวางรากฐานสำหรับยุคใหม่ของการประมวลผล” ขณะที่ Intel ก็ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU Xe สำหรับตลาดทั่วไปควบคู่ไปกับความร่วมมือครั้งนี้ ✅ Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป Intel x86 RTX SOCs ➡️ รวม CPU x86 ของ Intel กับ GPU RTX ของ Nvidia ในแพ็กเกจเดียว ➡️ ใช้ NVLink แทน PCIe เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency ✅ ชิปใหม่เน้นตลาดเกมมิ่งและพีซีขนาดเล็ก ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องพีซีที่ไม่มี GPU แยก ➡️ คล้ายกับ APU ของ AMD แต่ใช้เทคโนโลยี NVLink และ UMA ✅ Intel จะผลิตชิป x86 แบบปรับแต่งสำหรับศูนย์ข้อมูลของ Nvidia ➡️ ใช้ในแพลตฟอร์ม AI ขนาดใหญ่และ hyperscale ➡️ อาจใช้เทคโนโลยี NVLink Fusion เพื่อเชื่อมต่อกับ GPU ได้เร็วขึ้น ✅ Nvidia ลงทุนซื้อหุ้น Intel มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ซื้อในราคาหุ้นละ $23.28 ต่ำกว่าราคาตลาด ➡️ ตามหลังการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ และ SoftBank ✅ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการหลอมรวม ecosystem ระหว่างสองบริษัท ➡️ Nvidia ยังคงพัฒนา Grace CPU และ Vera CPU ควบคู่ไปด้วย ➡️ Intel ยังคงพัฒนา GPU Xe สำหรับตลาดทั่วไป https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/nvidia-and-intel-announce-jointly-developed-intel-x86-rtx-socs-for-pcs-with-nvidia-graphics-also-custom-nvidia-data-center-x86-processors-nvidia-buys-usd5-billion-in-intel-stock-in-seismic-deal
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ”

    ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ

    Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ”

    Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน
    Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ
    ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน

    Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน
    ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ”
    ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร

    ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden
    Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด
    รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย

    จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล
    มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch
    Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก
    Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์
    เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน
    การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น
    การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก
    การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    📰 Nvidia เจอแรงกระแทกจากจีนอีกครั้ง — CEO ยอมรับ “ผิดหวัง” หลังถูกแบนชิป AI H20 แม้พัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศซื้อชิป AI รุ่น H20 ของ Nvidia ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดย Huang กล่าวในงานแถลงข่าวที่ลอนดอนว่า “ธุรกิจของเรากับจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะ” ชิป H20 ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของจีน หลังสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาล Biden เคยสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนในปี 2023 แต่เมื่อ Trump กลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ก็มีการเจรจาใหม่ โดย Nvidia ยอมจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่อง “backdoor” และการติดตามชิปจากระยะไกล ทำให้ Cyberspace Administration of China (CAC) สั่งให้บริษัทใหญ่ เช่น ByteDance และ Alibaba หยุดการสั่งซื้อและทดสอบชิป H20 โดยอ้างว่าเทคโนโลยีของ Nvidia อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของข้อมูลภายในประเทศ Huang ยืนยันว่า H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และจีนมีเทคโนโลยีของตัวเองเพียงพอสำหรับการใช้งานทางทหารอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า “ต้องอดทน” และ “เข้าใจว่ามีวาระใหญ่กว่าที่ต้องจัดการระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ✅ Nvidia ถูกแบนชิป AI H20 ในจีน ➡️ Cyberspace Administration of China สั่งบริษัทเทคโนโลยีหยุดซื้อและทดสอบ ➡️ ชิป H20 ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ✅ Jensen Huang แสดงความผิดหวังต่อการแบน ➡️ ระบุว่า “ธุรกิจในจีนเหมือนรถไฟเหาะ” ➡️ ยืนยันว่า H20 ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงทางทหาร ✅ ชิป H20 เคยถูกห้ามส่งออกโดยรัฐบาล Biden ➡️ Nvidia พัฒนา H20 เพื่อลดสเปกให้ผ่านข้อจำกัด ➡️ รัฐบาล Trump เจรจาใหม่ให้ Nvidia จ่าย 15% ของรายได้เพื่อแลกกับการขาย ✅ จีนกังวลเรื่อง backdoor และการติดตามชิปจากระยะไกล ➡️ มีข้อสงสัยว่า H20 อาจมีระบบติดตามหรือ kill switch ➡️ Nvidia ปฏิเสธว่าชิปไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ ตลาด AI ในจีนยังมีขนาดใหญ่มาก ➡️ Huang ระบุว่ามีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นตลาด AI ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจากการแบน ⛔ การแบนอาจกระทบรายได้ของ Nvidia หลายพันล้านดอลลาร์ ⛔ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้การคาดการณ์ธุรกิจยากขึ้น ⛔ การกล่าวหาว่ามี backdoor อาจกระทบความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Nvidia ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/our-business-in-china-has-been-a-bit-of-a-rollercoaster-nvidia-ceo-disappointed-in-further-chinese-ban-on-buying-its-ai-chips
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • SMBs กับการก้าวสู่ยุค AI — โอกาสใหม่ที่มาพร้อมความลังเลและช่องว่างทักษะ

    ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) กำลังหันมาใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาการขาดเวลาและทรัพยากรในการเติบโต โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่ SMBs คิดเป็น 99% ของธุรกิจทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสนใจสูง แต่หลายองค์กรยังลังเลที่จะลงทุนเต็มตัว เนื่องจากขาดทักษะด้านดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

    จากรายงานของ Amex และ Barclays พบว่า 28% ของผู้นำ SME ไม่สามารถหลุดจากงานประจำเพื่อวางแผนธุรกิจได้ และ 24% รู้สึกว่าไม่มีเวลาพอที่จะขยายกิจการ ทำให้ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนจะใช้ AI ภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาทักษะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย 89% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรต้องการใช้ AI ภายใน 2 ปี แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และยังมีความกังวลเรื่องต้นทุน ความปลอดภัยของข้อมูล และความคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว

    หลายองค์กรจึงหันไปลงทุนในด้านการฝึกอบรม (42%) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล (37%) และการวิจัยและพัฒนา (37%) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ AI อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นก็ตาม

    SMBs หันมาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเติบโต
    43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนใช้ AI ภายใน 12 เดือน
    60% คาดหวังผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ปัญหาทักษะและต้นทุนยังเป็นอุปสรรคหลัก
    89% ต้องการใช้ AI แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
    30% กังวลเรื่องต้นทุน / 25% ไม่มั่นใจใน ROI / 27% ขาดความเชี่ยวชาญ

    ธุรกิจเริ่มลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อม
    42% ลงทุนในการฝึกอบรม / 37% พัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล / 37% ลงทุนใน R&D
    เน้นการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล, คาดการณ์, ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

    AI ช่วยลดภาระงานประจำและเพิ่มเวลาสำหรับการวางแผน
    ช่วยให้ผู้บริหารหลุดจากงานประจำเพื่อโฟกัสการเติบโต
    เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและปรับตัวต่อเศรษฐกิจ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ใน SMBs
    ขาดแผนการฝึกอบรมที่ชัดเจน อาจทำให้การใช้ AI ไม่เกิดผลลัพธ์
    ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและงบประมาณภาครัฐ อาจชะลอการลงทุน
    หากไม่มีการจัดการข้อมูลที่ดี AI อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดหรือไม่ปลอดภัย
    การใช้ AI โดยไม่มี oversight อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพนักงาน

    https://www.techradar.com/pro/smbs-are-turning-to-ai-to-solve-their-problems-but-many-are-still-cautious-to-go-all-in
    📰 SMBs กับการก้าวสู่ยุค AI — โอกาสใหม่ที่มาพร้อมความลังเลและช่องว่างทักษะ ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) กำลังหันมาใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาการขาดเวลาและทรัพยากรในการเติบโต โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่ SMBs คิดเป็น 99% ของธุรกิจทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสนใจสูง แต่หลายองค์กรยังลังเลที่จะลงทุนเต็มตัว เนื่องจากขาดทักษะด้านดิจิทัลและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากรายงานของ Amex และ Barclays พบว่า 28% ของผู้นำ SME ไม่สามารถหลุดจากงานประจำเพื่อวางแผนธุรกิจได้ และ 24% รู้สึกว่าไม่มีเวลาพอที่จะขยายกิจการ ทำให้ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนจะใช้ AI ภายใน 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 อย่างไรก็ตาม ปัญหาทักษะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย 89% ของธุรกิจในสหราชอาณาจักรต้องการใช้ AI ภายใน 2 ปี แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และยังมีความกังวลเรื่องต้นทุน ความปลอดภัยของข้อมูล และความคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว หลายองค์กรจึงหันไปลงทุนในด้านการฝึกอบรม (42%) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล (37%) และการวิจัยและพัฒนา (37%) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ AI อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นก็ตาม ✅ SMBs หันมาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเติบโต ➡️ 43% ของธุรกิจขนาดเล็ก และ 53% ของธุรกิจขนาดกลาง วางแผนใช้ AI ภายใน 12 เดือน ➡️ 60% คาดหวังผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ปัญหาทักษะและต้นทุนยังเป็นอุปสรรคหลัก ➡️ 89% ต้องการใช้ AI แต่ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี ➡️ 30% กังวลเรื่องต้นทุน / 25% ไม่มั่นใจใน ROI / 27% ขาดความเชี่ยวชาญ ✅ ธุรกิจเริ่มลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อม ➡️ 42% ลงทุนในการฝึกอบรม / 37% พัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล / 37% ลงทุนใน R&D ➡️ เน้นการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล, คาดการณ์, ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า ✅ AI ช่วยลดภาระงานประจำและเพิ่มเวลาสำหรับการวางแผน ➡️ ช่วยให้ผู้บริหารหลุดจากงานประจำเพื่อโฟกัสการเติบโต ➡️ เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและปรับตัวต่อเศรษฐกิจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ใน SMBs ⛔ ขาดแผนการฝึกอบรมที่ชัดเจน อาจทำให้การใช้ AI ไม่เกิดผลลัพธ์ ⛔ ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและงบประมาณภาครัฐ อาจชะลอการลงทุน ⛔ หากไม่มีการจัดการข้อมูลที่ดี AI อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดหรือไม่ปลอดภัย ⛔ การใช้ AI โดยไม่มี oversight อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพนักงาน https://www.techradar.com/pro/smbs-are-turning-to-ai-to-solve-their-problems-but-many-are-still-cautious-to-go-all-in
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • Logitech G Pro X2 Superstrike เปิดตัวเมาส์เกมมิ่งระบบ Haptic ตัวแรกของโลก — ปรับจุดคลิกได้ตามใจ พร้อมเทคโนโลยี Rapid Trigger สำหรับนักแข่งระดับโปร

    Logitech กำลังเขย่าวงการเกมมิ่งอีกครั้งด้วยการเปิดตัวเมาส์รุ่นใหม่ “G Pro X2 Superstrike” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดชื่อว่า HITS หรือ Haptic Inductive Trigger System ซึ่งเป็นการรวมระบบคลิกแบบแอนะล็อกเข้ากับการตอบสนองแบบ haptic ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับจุด actuation ได้อย่างละเอียด พร้อมรับความรู้สึก “คลิก” แบบเรียลไทม์ แม้จะไม่มีสวิตช์กลไกแบบเดิม

    เมาส์รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ระดับมืออาชีพ โดยสามารถปรับจุด actuation ได้ถึง 10 ระดับ และตั้งค่า rapid trigger ได้ 5 ระดับภายในระยะคลิกเพียง 0.6 มม. ซึ่งช่วยลด latency ได้ถึง 9–30 มิลลิวินาที นอกจากนี้ยังใช้เซ็นเซอร์ HERO 2 ที่มีความละเอียดสูงถึง 44,000 DPI ความเร็ว 888 IPS และรองรับแรงเร่งสูงสุด 88 G พร้อม polling rate สูงสุด 8,000 Hz

    G Pro X2 Superstrike ยังมีดีไซน์น้ำหนักเบาเพียง 65 กรัม ใช้งานแบบไร้สายผ่านเทคโนโลยี LIGHTSPEED และมีอายุแบตเตอรี่สูงสุด 90 ชั่วโมง โดยจะวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2026 ด้วยราคา $179.99 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน CES 2026

    Logitech เปิดตัว G Pro X2 Superstrike เมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่
    ใช้เทคโนโลยี HITS (Haptic Inductive Trigger System)
    เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวแรกที่ใช้ระบบคลิกแบบแอนะล็อกพร้อม haptic feedback

    ปรับแต่งการคลิกได้ละเอียดระดับมืออาชีพ
    ปรับจุด actuation ได้ 10 ระดับ
    ตั้งค่า rapid trigger ได้ 5 ระดับภายในระยะคลิก 0.6 มม.
    ลด latency ได้ 9–30 มิลลิวินาที

    ใช้เซ็นเซอร์ HERO 2 รุ่นล่าสุด
    ความละเอียดสูงสุด 44,000 DPI
    ความเร็ว 888 IPS และแรงเร่ง 88 G
    รองรับ polling rate สูงสุด 8,000 Hz

    ดีไซน์เบาและใช้งานได้นาน
    น้ำหนัก 65 กรัม ขนาดเท่ากับ G Pro X Superlight 2
    ใช้งานไร้สายผ่าน LIGHTSPEED
    อายุแบตเตอรี่สูงสุด 90 ชั่วโมง

    วางจำหน่ายต้นปี 2026
    ราคาเปิดตัว $179.99
    คาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานและความคาดหวัง
    ระบบคลิกแบบแอนะล็อกอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    Haptic feedback อาจไม่เหมาะกับทุกประเภทเกม โดยเฉพาะเกมที่ไม่เน้นคลิกเร็ว
    ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องใช้ Logitech G HUB ในการปรับแต่ง ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางผู้ใช้
    ราคา $179.99 ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไปในตลาด

    https://www.tomshardware.com/peripherals/gaming-mice/logitechs-next-gaming-mouse-will-have-haptic-based-clicks-adjustable-actuation-and-rapid-trigger-new-g-pro-x2-superstrike-will-land-at-usd180
    📰 Logitech G Pro X2 Superstrike เปิดตัวเมาส์เกมมิ่งระบบ Haptic ตัวแรกของโลก — ปรับจุดคลิกได้ตามใจ พร้อมเทคโนโลยี Rapid Trigger สำหรับนักแข่งระดับโปร Logitech กำลังเขย่าวงการเกมมิ่งอีกครั้งด้วยการเปิดตัวเมาส์รุ่นใหม่ “G Pro X2 Superstrike” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดชื่อว่า HITS หรือ Haptic Inductive Trigger System ซึ่งเป็นการรวมระบบคลิกแบบแอนะล็อกเข้ากับการตอบสนองแบบ haptic ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับจุด actuation ได้อย่างละเอียด พร้อมรับความรู้สึก “คลิก” แบบเรียลไทม์ แม้จะไม่มีสวิตช์กลไกแบบเดิม เมาส์รุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ระดับมืออาชีพ โดยสามารถปรับจุด actuation ได้ถึง 10 ระดับ และตั้งค่า rapid trigger ได้ 5 ระดับภายในระยะคลิกเพียง 0.6 มม. ซึ่งช่วยลด latency ได้ถึง 9–30 มิลลิวินาที นอกจากนี้ยังใช้เซ็นเซอร์ HERO 2 ที่มีความละเอียดสูงถึง 44,000 DPI ความเร็ว 888 IPS และรองรับแรงเร่งสูงสุด 88 G พร้อม polling rate สูงสุด 8,000 Hz G Pro X2 Superstrike ยังมีดีไซน์น้ำหนักเบาเพียง 65 กรัม ใช้งานแบบไร้สายผ่านเทคโนโลยี LIGHTSPEED และมีอายุแบตเตอรี่สูงสุด 90 ชั่วโมง โดยจะวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2026 ด้วยราคา $179.99 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 ✅ Logitech เปิดตัว G Pro X2 Superstrike เมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ ➡️ ใช้เทคโนโลยี HITS (Haptic Inductive Trigger System) ➡️ เป็นเมาส์เกมมิ่งตัวแรกที่ใช้ระบบคลิกแบบแอนะล็อกพร้อม haptic feedback ✅ ปรับแต่งการคลิกได้ละเอียดระดับมืออาชีพ ➡️ ปรับจุด actuation ได้ 10 ระดับ ➡️ ตั้งค่า rapid trigger ได้ 5 ระดับภายในระยะคลิก 0.6 มม. ➡️ ลด latency ได้ 9–30 มิลลิวินาที ✅ ใช้เซ็นเซอร์ HERO 2 รุ่นล่าสุด ➡️ ความละเอียดสูงสุด 44,000 DPI ➡️ ความเร็ว 888 IPS และแรงเร่ง 88 G ➡️ รองรับ polling rate สูงสุด 8,000 Hz ✅ ดีไซน์เบาและใช้งานได้นาน ➡️ น้ำหนัก 65 กรัม ขนาดเท่ากับ G Pro X Superlight 2 ➡️ ใช้งานไร้สายผ่าน LIGHTSPEED ➡️ อายุแบตเตอรี่สูงสุด 90 ชั่วโมง ✅ วางจำหน่ายต้นปี 2026 ➡️ ราคาเปิดตัว $179.99 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานและความคาดหวัง ⛔ ระบบคลิกแบบแอนะล็อกอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ Haptic feedback อาจไม่เหมาะกับทุกประเภทเกม โดยเฉพาะเกมที่ไม่เน้นคลิกเร็ว ⛔ ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องใช้ Logitech G HUB ในการปรับแต่ง ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางผู้ใช้ ⛔ ราคา $179.99 ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไปในตลาด https://www.tomshardware.com/peripherals/gaming-mice/logitechs-next-gaming-mouse-will-have-haptic-based-clicks-adjustable-actuation-and-rapid-trigger-new-g-pro-x2-superstrike-will-land-at-usd180
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • ห้องน้ำสาธารณะในจีนบังคับดูโฆษณาก่อนรับกระดาษชำระ — เมื่อความสะอาดกลายเป็นสินค้าภายใต้ระบบเฝ้าระวัง

    ในภาพที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย Orwell อย่าง “1984” ประเทศจีนได้เริ่มทดลองระบบใหม่ในห้องน้ำสาธารณะบางแห่ง ที่ผู้ใช้ต้อง “สแกน QR code และดูโฆษณา” บนสมาร์ตโฟนก่อนจะได้รับกระดาษชำระเพียงเล็กน้อย หากไม่ต้องการดูโฆษณา ก็สามารถจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน (ราว 70 สตางค์) เพื่อข้ามขั้นตอนนี้ได้ทันที

    เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่านี่เป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินความจำเป็น และป้องกันการขโมยกระดาษชำระ ซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยในสถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวน Temple of Heaven ในปักกิ่ง ที่เคยติดตั้งเครื่องจ่ายกระดาษแบบ “จดจำใบหน้า” ตั้งแต่ปี 2017 โดยจำกัดความยาวกระดาษไว้ที่ 60 ซม. และต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับเพิ่มได้

    แม้จะมีเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและการควบคุมทรัพยากร แต่ระบบใหม่นี้ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่า หากไม่มีโทรศัพท์ หรือแบตหมด จะทำอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และความเป็นส่วนตัวที่อาจถูกละเมิดจากการสแกนและติดตามพฤติกรรมผู้ใช้

    ห้องน้ำสาธารณะในจีนเริ่มใช้ระบบ “ดูโฆษณาแลกกระดาษชำระ”
    ต้องสแกน QR code และดูโฆษณาบนมือถือก่อนรับกระดาษ
    หากไม่ต้องการดูโฆษณา ต้องจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน

    เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่าเป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินจำเป็น
    ป้องกันการขโมยกระดาษชำระในสถานที่ท่องเที่ยว
    เคยมีกรณีผู้ใช้ห้องน้ำเอากระดาษกลับบ้านเป็นจำนวนมาก

    ระบบนี้เคยถูกทดลองในปี 2017 ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า
    เครื่องจ่ายกระดาษที่ Temple of Heaven จำกัดความยาวไว้ที่ 60 ซม.
    ต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับกระดาษเพิ่มได้

    โซเชียลมีเดียวิจารณ์ระบบนี้ว่า “ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน”
    ผู้ใช้ตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย
    บางคนเสนอให้พกกระดาษเองแทนการพึ่งระบบที่ไม่แน่นอน

    https://wccftech.com/orwellian-nightmare-some-public-washrooms-in-china-wont-dispense-toilet-paper-unless-you-watch-an-ad/
    📰 ห้องน้ำสาธารณะในจีนบังคับดูโฆษณาก่อนรับกระดาษชำระ — เมื่อความสะอาดกลายเป็นสินค้าภายใต้ระบบเฝ้าระวัง ในภาพที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย Orwell อย่าง “1984” ประเทศจีนได้เริ่มทดลองระบบใหม่ในห้องน้ำสาธารณะบางแห่ง ที่ผู้ใช้ต้อง “สแกน QR code และดูโฆษณา” บนสมาร์ตโฟนก่อนจะได้รับกระดาษชำระเพียงเล็กน้อย หากไม่ต้องการดูโฆษณา ก็สามารถจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน (ราว 70 สตางค์) เพื่อข้ามขั้นตอนนี้ได้ทันที เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่านี่เป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินความจำเป็น และป้องกันการขโมยกระดาษชำระ ซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยในสถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวน Temple of Heaven ในปักกิ่ง ที่เคยติดตั้งเครื่องจ่ายกระดาษแบบ “จดจำใบหน้า” ตั้งแต่ปี 2017 โดยจำกัดความยาวกระดาษไว้ที่ 60 ซม. และต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับเพิ่มได้ แม้จะมีเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและการควบคุมทรัพยากร แต่ระบบใหม่นี้ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่า หากไม่มีโทรศัพท์ หรือแบตหมด จะทำอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และความเป็นส่วนตัวที่อาจถูกละเมิดจากการสแกนและติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ✅ ห้องน้ำสาธารณะในจีนเริ่มใช้ระบบ “ดูโฆษณาแลกกระดาษชำระ” ➡️ ต้องสแกน QR code และดูโฆษณาบนมือถือก่อนรับกระดาษ ➡️ หากไม่ต้องการดูโฆษณา ต้องจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน ✅ เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่าเป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินจำเป็น ➡️ ป้องกันการขโมยกระดาษชำระในสถานที่ท่องเที่ยว ➡️ เคยมีกรณีผู้ใช้ห้องน้ำเอากระดาษกลับบ้านเป็นจำนวนมาก ✅ ระบบนี้เคยถูกทดลองในปี 2017 ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ➡️ เครื่องจ่ายกระดาษที่ Temple of Heaven จำกัดความยาวไว้ที่ 60 ซม. ➡️ ต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับกระดาษเพิ่มได้ ✅ โซเชียลมีเดียวิจารณ์ระบบนี้ว่า “ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน” ➡️ ผู้ใช้ตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย ➡️ บางคนเสนอให้พกกระดาษเองแทนการพึ่งระบบที่ไม่แน่นอน https://wccftech.com/orwellian-nightmare-some-public-washrooms-in-china-wont-dispense-toilet-paper-unless-you-watch-an-ad/
    WCCFTECH.COM
    Orwellian Nightmare: Some Public Washrooms In China Won't Dispense Toilet Paper Unless You Watch An Ad
    People in some public washrooms in China now have to scan a QR code printed on toilet paper dispensers, and then watch an ad on their phones.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • GNOME 49 “Brescia” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับประสบการณ์เดสก์ท็อป Linux ด้วยฟีเจอร์ใหม่และความลื่นไหลที่เหนือกว่า

    GNOME 49 ซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า “Brescia” ตามเมืองที่จัดงาน GUADEC ล่าสุดในอิตาลี ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตใหญ่ของสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ทั้งด้านการใช้งาน ความปลอดภัย และการเข้าถึง

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการเพิ่ม “Do Not Disturb” toggle ใน Quick Settings ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ปิดการแจ้งเตือนได้สะดวกขึ้น รวมถึงการควบคุมความสว่างแยกตามจอในระบบหลายจอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างการจัดการ backlight ครั้งใหญ่

    หน้าจอล็อก (Lock Screen) ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มตัวควบคุมสื่อ (Media Controller) ที่สามารถควบคุมเพลงหรือวิดีโอได้โดยตรง รวมถึงตัวเลือกรีสตาร์ทและปิดเครื่องที่สามารถเปิดใช้งานได้ตามต้องการ

    GNOME 49 ยังเปลี่ยนแอปหลักหลายตัว เช่น เปลี่ยน Evince เป็น Papers สำหรับดูเอกสาร และเปลี่ยน Totem เป็น Showtime สำหรับเล่นวิดีโอ ซึ่งรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับความเร็วเล่น, ซับไตเติลหลายภาษา, และการจับภาพหน้าจอ

    ด้านประสิทธิภาพ Mutter ซึ่งเป็น window manager ของ GNOME ได้รับการปรับปรุงให้รองรับการเคลื่อนเมาส์ที่ refresh rate สูงสุดเมื่อใช้ VRR (Variable Refresh Rate) และ GNOME Software ก็ได้รับการปรับปรุงให้ใช้หน่วยความจำน้อยลงและโหลดข้อมูลจาก Flathub ได้เร็วขึ้น

    GNOME 49 จะถูกใช้เป็นเดสก์ท็อปเริ่มต้นใน Fedora 43 และ Ubuntu 25.10 และจะเป็นพื้นฐานของ GNOME 50 “Tokyo” ที่จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2026 ซึ่งคาดว่าจะยกเลิกการรองรับ X11 อย่างถาวร

    GNOME 49 “Brescia” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ใช้ชื่อจากเมืองที่จัดงาน GUADEC ปี 2025
    เป็นอัปเดตใหญ่ที่เน้นฟีเจอร์ใหม่และความลื่นไหล

    เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Quick Settings และ Lock Screen
    มี “Do Not Disturb” toggle และควบคุมความสว่างแยกตามจอ
    เพิ่ม Media Controller และตัวเลือกรีสตาร์ท/ปิดเครื่องในหน้าล็อก

    เปลี่ยนแอปหลักเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่
    Evince ถูกแทนที่ด้วย Papers สำหรับดูเอกสาร
    Totem ถูกแทนที่ด้วย Showtime สำหรับเล่นวิดีโอ

    ปรับปรุงประสิทธิภาพและการเข้าถึง
    Mutter รองรับ VRR และ GNOME Software ใช้ RAM น้อยลง
    เพิ่ม Accessibility menu ในหน้าล็อกอิน
    ปรับปรุง GNOME Web, Calculator, Snapshot และ Orca screen reader

    GNOME 49 จะเป็นเดสก์ท็อปเริ่มต้นใน Fedora 43 และ Ubuntu 25.10
    รองรับการใช้งานบน rolling-release distros หลายตัว
    GNOME 50 “Tokyo” จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2026

    คำเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใน GNOME 49
    การเปลี่ยนแอปหลักอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัว
    Showtime ยังไม่รองรับฟีเจอร์บางอย่างที่ Totem เคยมี
    การควบคุมความสว่างแยกจออาจยังไม่รองรับจอทุกประเภท
    GNOME 50 อาจยกเลิก X11 อย่างถาวร ซึ่งส่งผลต่อแอปเก่า

    https://9to5linux.com/gnome-49-brescia-desktop-environment-officially-released-heres-whats-new
    📰 GNOME 49 “Brescia” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับประสบการณ์เดสก์ท็อป Linux ด้วยฟีเจอร์ใหม่และความลื่นไหลที่เหนือกว่า GNOME 49 ซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า “Brescia” ตามเมืองที่จัดงาน GUADEC ล่าสุดในอิตาลี ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตใหญ่ของสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ทั้งด้านการใช้งาน ความปลอดภัย และการเข้าถึง หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการเพิ่ม “Do Not Disturb” toggle ใน Quick Settings ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ปิดการแจ้งเตือนได้สะดวกขึ้น รวมถึงการควบคุมความสว่างแยกตามจอในระบบหลายจอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างการจัดการ backlight ครั้งใหญ่ หน้าจอล็อก (Lock Screen) ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มตัวควบคุมสื่อ (Media Controller) ที่สามารถควบคุมเพลงหรือวิดีโอได้โดยตรง รวมถึงตัวเลือกรีสตาร์ทและปิดเครื่องที่สามารถเปิดใช้งานได้ตามต้องการ GNOME 49 ยังเปลี่ยนแอปหลักหลายตัว เช่น เปลี่ยน Evince เป็น Papers สำหรับดูเอกสาร และเปลี่ยน Totem เป็น Showtime สำหรับเล่นวิดีโอ ซึ่งรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับความเร็วเล่น, ซับไตเติลหลายภาษา, และการจับภาพหน้าจอ ด้านประสิทธิภาพ Mutter ซึ่งเป็น window manager ของ GNOME ได้รับการปรับปรุงให้รองรับการเคลื่อนเมาส์ที่ refresh rate สูงสุดเมื่อใช้ VRR (Variable Refresh Rate) และ GNOME Software ก็ได้รับการปรับปรุงให้ใช้หน่วยความจำน้อยลงและโหลดข้อมูลจาก Flathub ได้เร็วขึ้น GNOME 49 จะถูกใช้เป็นเดสก์ท็อปเริ่มต้นใน Fedora 43 และ Ubuntu 25.10 และจะเป็นพื้นฐานของ GNOME 50 “Tokyo” ที่จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2026 ซึ่งคาดว่าจะยกเลิกการรองรับ X11 อย่างถาวร ✅ GNOME 49 “Brescia” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้ชื่อจากเมืองที่จัดงาน GUADEC ปี 2025 ➡️ เป็นอัปเดตใหญ่ที่เน้นฟีเจอร์ใหม่และความลื่นไหล ✅ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Quick Settings และ Lock Screen ➡️ มี “Do Not Disturb” toggle และควบคุมความสว่างแยกตามจอ ➡️ เพิ่ม Media Controller และตัวเลือกรีสตาร์ท/ปิดเครื่องในหน้าล็อก ✅ เปลี่ยนแอปหลักเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ➡️ Evince ถูกแทนที่ด้วย Papers สำหรับดูเอกสาร ➡️ Totem ถูกแทนที่ด้วย Showtime สำหรับเล่นวิดีโอ ✅ ปรับปรุงประสิทธิภาพและการเข้าถึง ➡️ Mutter รองรับ VRR และ GNOME Software ใช้ RAM น้อยลง ➡️ เพิ่ม Accessibility menu ในหน้าล็อกอิน ➡️ ปรับปรุง GNOME Web, Calculator, Snapshot และ Orca screen reader ✅ GNOME 49 จะเป็นเดสก์ท็อปเริ่มต้นใน Fedora 43 และ Ubuntu 25.10 ➡️ รองรับการใช้งานบน rolling-release distros หลายตัว ➡️ GNOME 50 “Tokyo” จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใน GNOME 49 ⛔ การเปลี่ยนแอปหลักอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัว ⛔ Showtime ยังไม่รองรับฟีเจอร์บางอย่างที่ Totem เคยมี ⛔ การควบคุมความสว่างแยกจออาจยังไม่รองรับจอทุกประเภท ⛔ GNOME 50 อาจยกเลิก X11 อย่างถาวร ซึ่งส่งผลต่อแอปเก่า https://9to5linux.com/gnome-49-brescia-desktop-environment-officially-released-heres-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    GNOME 49 "Brescia" Desktop Environment Officially Released, Here's What's New - 9to5Linux
    GNOME 49 desktop environment is now available as a major release that introduces numerous new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • Jensen Huang เผย AI ที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน — จาก “คู่คิด” สู่เครื่องมือวิจารณ์งานตัวเอง

    ในงานสื่อที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในงานวิจัยหรือการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังใช้เพื่อช่วยคิด วิเคราะห์ และแม้กระทั่ง “วิจารณ์” ผลงานของตัวเอง

    Huang เรียก AI ว่าเป็น “thinking partner” หรือคู่คิดที่รู้จักเขาอย่างลึกซึ้ง เพราะ AI สามารถจดจำสิ่งที่เขาเคยพูด เคยทำ และนำมาใช้เป็นบริบทในการช่วยเขาสร้างงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาเปรียบเทียบว่า การใช้ AI เหมือนทำงานกับเพื่อนที่รู้จักเรามานาน ต่างจากการใช้โปรแกรมทั่วไปที่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ทุกครั้ง

    เขายังเผยว่าใช้ AI หลายตัวในแต่ละวัน โดยเลือกใช้ตามลักษณะงาน เช่น:
    - Gemini สำหรับงานเทคนิค
    - Grok สำหรับงานสร้างสรรค์
    - Perplexity สำหรับค้นหาข้อมูลเร็ว ๆ
    - ChatGPT สำหรับใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน

    ที่น่าสนใจคือ Huang มักจะส่งคำสั่งเดียวกันไปยัง AI หลายตัว แล้วให้พวกมัน “วิจารณ์กันเอง” ก่อนที่เขาจะเลือกคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ AI แบบมีวิจารณญาณและไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง

    Jensen Huang ใช้ AI เป็น “คู่คิด” ในชีวิตประจำวัน
    AI ช่วยจดจำบริบทจากงานเก่าและนำมาใช้ในงานใหม่
    เปรียบเทียบว่า AI เหมือนเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเรามานาน

    ใช้ AI หลายตัวตามลักษณะงาน
    Gemini สำหรับงานเทคนิค
    Grok สำหรับงานสร้างสรรค์
    Perplexity สำหรับค้นหาข้อมูลเร็ว
    ChatGPT สำหรับใช้งานทั่วไป

    เทคนิคการใช้งานแบบ “วิจารณ์กันเอง”
    ส่งคำสั่งเดียวกันไปยังหลาย AI
    ให้ AI วิจารณ์คำตอบของกันและกัน
    เลือกคำตอบที่ดีที่สุดจากการเปรียบเทียบ

    AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    ช่วยคิด วิเคราะห์ และเขียนงานได้ดีขึ้น
    ลดเวลาในการทำงานและเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์
    ส่งผลต่อการเรียนรู้และการคิดเชิงวิพากษ์ของผู้ใช้

    https://www.techradar.com/pro/ever-wondered-which-ai-tools-the-ceo-of-nvidia-uses-we-have-the-answer-straight-from-jensen-huang-himself
    📰 Jensen Huang เผย AI ที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน — จาก “คู่คิด” สู่เครื่องมือวิจารณ์งานตัวเอง ในงานสื่อที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในงานวิจัยหรือการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังใช้เพื่อช่วยคิด วิเคราะห์ และแม้กระทั่ง “วิจารณ์” ผลงานของตัวเอง Huang เรียก AI ว่าเป็น “thinking partner” หรือคู่คิดที่รู้จักเขาอย่างลึกซึ้ง เพราะ AI สามารถจดจำสิ่งที่เขาเคยพูด เคยทำ และนำมาใช้เป็นบริบทในการช่วยเขาสร้างงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาเปรียบเทียบว่า การใช้ AI เหมือนทำงานกับเพื่อนที่รู้จักเรามานาน ต่างจากการใช้โปรแกรมทั่วไปที่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ทุกครั้ง เขายังเผยว่าใช้ AI หลายตัวในแต่ละวัน โดยเลือกใช้ตามลักษณะงาน เช่น: - Gemini สำหรับงานเทคนิค - Grok สำหรับงานสร้างสรรค์ - Perplexity สำหรับค้นหาข้อมูลเร็ว ๆ - ChatGPT สำหรับใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ที่น่าสนใจคือ Huang มักจะส่งคำสั่งเดียวกันไปยัง AI หลายตัว แล้วให้พวกมัน “วิจารณ์กันเอง” ก่อนที่เขาจะเลือกคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ AI แบบมีวิจารณญาณและไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง ✅ Jensen Huang ใช้ AI เป็น “คู่คิด” ในชีวิตประจำวัน ➡️ AI ช่วยจดจำบริบทจากงานเก่าและนำมาใช้ในงานใหม่ ➡️ เปรียบเทียบว่า AI เหมือนเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเรามานาน ✅ ใช้ AI หลายตัวตามลักษณะงาน ➡️ Gemini สำหรับงานเทคนิค ➡️ Grok สำหรับงานสร้างสรรค์ ➡️ Perplexity สำหรับค้นหาข้อมูลเร็ว ➡️ ChatGPT สำหรับใช้งานทั่วไป ✅ เทคนิคการใช้งานแบบ “วิจารณ์กันเอง” ➡️ ส่งคำสั่งเดียวกันไปยังหลาย AI ➡️ ให้ AI วิจารณ์คำตอบของกันและกัน ➡️ เลือกคำตอบที่ดีที่สุดจากการเปรียบเทียบ ✅ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ➡️ ช่วยคิด วิเคราะห์ และเขียนงานได้ดีขึ้น ➡️ ลดเวลาในการทำงานและเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ ➡️ ส่งผลต่อการเรียนรู้และการคิดเชิงวิพากษ์ของผู้ใช้ https://www.techradar.com/pro/ever-wondered-which-ai-tools-the-ceo-of-nvidia-uses-we-have-the-answer-straight-from-jensen-huang-himself
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ

    นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี

    แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้

    Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei
    อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025
    มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย

    แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี
    Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง
    Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024

    สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี
    ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei
    ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia

    เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย
    พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit
    Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น

    Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน
    ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น”
    ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    📰 Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้ ✅ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei ➡️ อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ✅ แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี ➡️ Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ➡️ Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024 ✅ สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี ➡️ ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei ➡️ ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia ✅ เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย ➡️ พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit ➡️ Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น ✅ Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน ➡️ ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” ➡️ ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • ผู้ควบคุมกฎระเบียบอินเตอร์เน็ตของจีนออกคำสั่งให้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ ระงับจัดซื้อชิปปัญญาประดิษฐ์ของเอ็นวิเดียและยกเลิกคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งในการผลักดันอย่างครอบคลุมลดการพึ่งพาเทคโนโลยีอเมริกา ตามรายงานของไฟแนนเชียลไทม์ส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000089251

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ผู้ควบคุมกฎระเบียบอินเตอร์เน็ตของจีนออกคำสั่งให้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ ระงับจัดซื้อชิปปัญญาประดิษฐ์ของเอ็นวิเดียและยกเลิกคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งในการผลักดันอย่างครอบคลุมลดการพึ่งพาเทคโนโลยีอเมริกา ตามรายงานของไฟแนนเชียลไทม์ส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000089251 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 440 Views 0 Reviews
  • ‘ยุค AI’! ‘DITP จับมือ 6 พันธมิตร’ เปิดตัว 3 ระบบใหม่! เดินหน้าใช้ ‘AI’ ช่วยผู้ส่งออกเสริมแกร่งธุรกิจไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/21524/
    .
    #ไทยไท #กระทรวงพาณิชย์ #DITP #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวเทคโนโลยี #ข่าววันนี้ #AI
    ‘ยุค AI’! ‘DITP จับมือ 6 พันธมิตร’ เปิดตัว 3 ระบบใหม่! เดินหน้าใช้ ‘AI’ ช่วยผู้ส่งออกเสริมแกร่งธุรกิจไทย https://www.thai-tai.tv/news/21524/ . #ไทยไท #กระทรวงพาณิชย์ #DITP #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวเทคโนโลยี #ข่าววันนี้ #AI
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA

    ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร

    เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์

    ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์

    แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต

    นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV
    ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร
    สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี

    ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray
    ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล
    สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย

    พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD)
    เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ
    ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV
    ลดความซับซ้อนของระบบออปติก
    อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV
    แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม
    กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้
    วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray
    ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    📰 Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์ แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต ✅ นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV ➡️ ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร ➡️ สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี ✅ ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray ➡️ ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล ➡️ สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย ✅ พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD) ➡️ เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ ➡️ ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบออปติก ➡️ อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV ⛔ แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ⛔ กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้ ⛔ วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray ⛔ ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม

    คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว

    แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว

    จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia
    รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน
    บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent

    ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ
    เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads
    ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro

    สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน
    โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง
    หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว

    บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้
    แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน
    การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า
    อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง
    บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    📰 จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia — ผลักดันใช้โปรเซสเซอร์ในประเทศแทน ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ทำการจัดซื้อชิป AI จาก Nvidia แม้จะเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีนอย่าง H800 และ A800 ก็ตาม คำสั่งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทจีนหันมาใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตภายในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ซึ่งทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ของ Nvidia การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่อ่อนไหว แม้บริษัทจีนจะยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูงในระยะยาว ✅ จีนสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซื้อชิป AI จาก Nvidia ➡️ รวมถึงชิปรุ่น H800 และ A800 ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน ➡️ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Alibaba, ByteDance, Baidu และ Tencent ✅ ผลักดันให้ใช้โปรเซสเซอร์ที่ผลิตในประเทศ ➡️ เช่น Huawei Ascend 910B และ Moore Threads ➡️ ทางการจีนอ้างว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่าชิปรุ่น H20 และ RTX 6000 Pro ✅ สหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ➡️ โดยเฉพาะชิปรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง ➡️ หวั่นว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านการทหารหรือเทคโนโลยีอ่อนไหว ✅ บริษัทจีนยังสามารถเข้าถึงชิปรุ่นเก่าของ Nvidia ได้ ➡️ แต่การห้ามซื้อชิปรุ่นใหม่อาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ในจีน ⛔ การจำกัดการเข้าถึงชิปอาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ⛔ อาจกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง ⛔ บริษัทจีนอาจต้องลงทุนเพิ่มในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-bans-its-biggest-tech-companies-from-acquiring-nvidia-chips-says-report-beijing-claims-its-homegrown-ai-processors-now-match-h20-and-rtx-pro-6000d
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • "โดรนเกษตร มีแต่ได้กับได้" แต่ไม่ใช่ประชาชน (17/9/68)

    #โดรนเกษตร
    #ประชาชนได้อะไร
    #เทคโนโลยีเกษตร
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    "โดรนเกษตร มีแต่ได้กับได้" แต่ไม่ใช่ประชาชน (17/9/68) #โดรนเกษตร #ประชาชนได้อะไร #เทคโนโลยีเกษตร #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 0 Reviews
  • เรือฟริเกต Admiral Golovko แห่งกองเรือทะเลเหนือ (Northern Fleet) ขณะกำลังปล่อยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon จากทะเลแบเรนตส์ เพื่อโจมตี "เป้าหมายลวง" ที่สนามฝึก Chizha ในภูมิภาค Arkhangelsk ระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมยุทธศาสตร์ร่วม Zapad 2025
    .
    เรือฟริเกต Admiral Golovko ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเรือดำน้ำ เรือรบ และต่อต้านภัยทางอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการหลบหลีกเรดาร์ (stealth) และติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี Kalibr และมีศักยภาพในการติดตั้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon
    เรือฟริเกต Admiral Golovko แห่งกองเรือทะเลเหนือ (Northern Fleet) ขณะกำลังปล่อยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon จากทะเลแบเรนตส์ เพื่อโจมตี "เป้าหมายลวง" ที่สนามฝึก Chizha ในภูมิภาค Arkhangelsk ระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมยุทธศาสตร์ร่วม Zapad 2025 . 👉เรือฟริเกต Admiral Golovko ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเรือดำน้ำ เรือรบ และต่อต้านภัยทางอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการหลบหลีกเรดาร์ (stealth) และติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี Kalibr และมีศักยภาพในการติดตั้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 0 Reviews
  • “NASA ผนึกกำลัง Google เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลก — ใช้ภาพดาวเทียมและ AI คาดการณ์ภัยพิบัติก่อนเกิด”

    หลังจากสงครามรัสเซีย–ยูเครนเริ่มต้นขึ้นในปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ด้านพืชผล Inbal Becker-Reshef จาก NASA ได้รับจดหมายจากรัฐบาลยูเครน ขอให้ช่วยประเมินความเสียหายของผลผลิตข้าวสาลีและธัญพืชที่สูญหายไปจากการรุกรานของกองทัพรัสเซีย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและการประมวลผลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อการเกษตรในพื้นที่สงคราม

    ในปี 2025 Becker-Reshef และทีมงานกว่า 20 คนได้เปิดตัว “สายด่วนวิกฤตอาหารโลก” ซึ่งเป็นศูนย์ประเมินผลผลิตพืชผลแบบเร่งด่วนระดับโลก โดยได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google.org, Microsoft AI for Good Lab, Planet Labs, NASA และองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) จุดประสงค์คือให้รัฐบาล หน่วยงานช่วยเหลือ และสมาคมเกษตรสามารถส่งคำขอวิเคราะห์พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือความขัดแย้ง เพื่อรับข้อมูลล่วงหน้าในการเตรียมรับมือ

    ระบบนี้ใช้ภาพจากดาวเทียมที่ถูกวิเคราะห์ด้วยโมเดล AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารในอนาคต เช่น การสูญเสียผลผลิตจากน้ำท่วม, ภัยแล้ง, ไฟป่า หรือสงคราม ซึ่งในปีเดียวกันนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น น้ำท่วมในปากีสถานที่ทำให้ประชาชนกว่า 4 ล้านคนต้องอพยพ และผลผลิตข้าวกับอ้อยถูกทำลาย

    แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NASA Harvest ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้ข้อมูลจากอวกาศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลภาคพื้นดินได้ เช่น เขตสงครามหรือพื้นที่ที่มีภัยพิบัติรุนแรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NASA เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลกโดยใช้ภาพดาวเทียมและ AI วิเคราะห์
    ได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google, Microsoft, Planet Labs และ FAO
    ใช้ภาพจากอวกาศเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารล่วงหน้า
    ศูนย์นี้สามารถรับคำขอจากรัฐบาลและหน่วยงานช่วยเหลือทั่วโลก

    จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจ
    เริ่มต้นจากคำขอของรัฐบาลยูเครนให้ช่วยประเมินผลผลิตที่สูญหายจากสงคราม
    Becker-Reshef เป็นหัวหน้าทีม NASA Harvest และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส
    ทีมงานมีนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คนที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ภาพดาวเทียม
    ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแทนการเก็บข้อมูลภาคพื้นดินในพื้นที่อันตราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NASA Harvest เป็นโครงการที่ใช้ข้อมูลอวกาศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร
    ภาพดาวเทียมสามารถช่วยวิเคราะห์ผลผลิต, การหมุนเวียนพืช, และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
    บริษัทเอกชนอย่าง John Deere และ CNH Industrial เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการเกษตร
    การใช้ AI ร่วมกับภาพดาวเทียมช่วยให้การตอบสนองต่อวิกฤตเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/nasa-scientist-starts-food-crisis-hotline-with-tech-giant-funding
    🌍 “NASA ผนึกกำลัง Google เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลก — ใช้ภาพดาวเทียมและ AI คาดการณ์ภัยพิบัติก่อนเกิด” หลังจากสงครามรัสเซีย–ยูเครนเริ่มต้นขึ้นในปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ด้านพืชผล Inbal Becker-Reshef จาก NASA ได้รับจดหมายจากรัฐบาลยูเครน ขอให้ช่วยประเมินความเสียหายของผลผลิตข้าวสาลีและธัญพืชที่สูญหายไปจากการรุกรานของกองทัพรัสเซีย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและการประมวลผลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อการเกษตรในพื้นที่สงคราม ในปี 2025 Becker-Reshef และทีมงานกว่า 20 คนได้เปิดตัว “สายด่วนวิกฤตอาหารโลก” ซึ่งเป็นศูนย์ประเมินผลผลิตพืชผลแบบเร่งด่วนระดับโลก โดยได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google.org, Microsoft AI for Good Lab, Planet Labs, NASA และองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) จุดประสงค์คือให้รัฐบาล หน่วยงานช่วยเหลือ และสมาคมเกษตรสามารถส่งคำขอวิเคราะห์พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือความขัดแย้ง เพื่อรับข้อมูลล่วงหน้าในการเตรียมรับมือ ระบบนี้ใช้ภาพจากดาวเทียมที่ถูกวิเคราะห์ด้วยโมเดล AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารในอนาคต เช่น การสูญเสียผลผลิตจากน้ำท่วม, ภัยแล้ง, ไฟป่า หรือสงคราม ซึ่งในปีเดียวกันนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น น้ำท่วมในปากีสถานที่ทำให้ประชาชนกว่า 4 ล้านคนต้องอพยพ และผลผลิตข้าวกับอ้อยถูกทำลาย แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NASA Harvest ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้ข้อมูลจากอวกาศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลภาคพื้นดินได้ เช่น เขตสงครามหรือพื้นที่ที่มีภัยพิบัติรุนแรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NASA เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลกโดยใช้ภาพดาวเทียมและ AI วิเคราะห์ ➡️ ได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google, Microsoft, Planet Labs และ FAO ➡️ ใช้ภาพจากอวกาศเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารล่วงหน้า ➡️ ศูนย์นี้สามารถรับคำขอจากรัฐบาลและหน่วยงานช่วยเหลือทั่วโลก ✅ จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจ ➡️ เริ่มต้นจากคำขอของรัฐบาลยูเครนให้ช่วยประเมินผลผลิตที่สูญหายจากสงคราม ➡️ Becker-Reshef เป็นหัวหน้าทีม NASA Harvest และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส ➡️ ทีมงานมีนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คนที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ภาพดาวเทียม ➡️ ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแทนการเก็บข้อมูลภาคพื้นดินในพื้นที่อันตราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NASA Harvest เป็นโครงการที่ใช้ข้อมูลอวกาศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร ➡️ ภาพดาวเทียมสามารถช่วยวิเคราะห์ผลผลิต, การหมุนเวียนพืช, และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ➡️ บริษัทเอกชนอย่าง John Deere และ CNH Industrial เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการเกษตร ➡️ การใช้ AI ร่วมกับภาพดาวเทียมช่วยให้การตอบสนองต่อวิกฤตเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/nasa-scientist-starts-food-crisis-hotline-with-tech-giant-funding
    WWW.THESTAR.COM.MY
    NASA scientist starts food crisis hotline with tech giant funding
    Right after Russia's full-scale invasion of Ukraine, crop scientist Inbal Becker-Reshef got a letter from officials in Kyiv. They wanted to figure out how much wheat and other grains were lost to Vladimir Putin's occupying forces.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “TARS: ใบเรือสุริยะหมุนได้จากพลังแสง — แนวคิดใหม่จาก David Kipping ที่อาจส่งยานขนาดมือถือออกนอกระบบสุริยะ”

    นักดาราศาสตร์ David Kipping และ Kathryn Lampo จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้เสนอแนวคิดใหม่ในการขับเคลื่อนยานอวกาศขนาดเล็กสู่การเดินทางระหว่างดาว ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า TARS (Torqued Accelerator using Radiation from the Sun) ซึ่งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการสร้างแรงหมุนสะสม แล้วปลดปล่อยเป็นแรงผลักดันให้ยานพุ่งออกจากระบบสุริยะโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง

    TARS ประกอบด้วยแผ่นบางสองด้านที่มีค่าการสะท้อนแสง (albedo) ต่างกัน เมื่ออยู่ในวงโคจรแบบ “quasite” รอบดวงอาทิตย์ แรงดันรังสีจากแสงอาทิตย์จะค่อย ๆ ทำให้ระบบหมุนเร็วขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จากนั้นพลังงานหมุนนี้จะถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อเร่งความเร็วให้ payload ขนาดเท่ามือถือทะยานออกไปด้วยความเร็วระดับระหว่างดาว

    แม้จะไม่สามารถทำความเร็วแบบ relativistic ได้ (ใกล้ความเร็วแสง) แต่ TARS ก็สามารถส่งยานขนาดเล็กออกนอกระบบสุริยะภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี โดยใช้วัสดุที่มีจำหน่ายทั่วไป เช่น แผ่นคาร์บอนนาโนทิวบ์ (CNT) หรือกราฟีน และมีน้ำหนักรวมเพียงไม่กี่กิโลกรัม

    แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันดาวอังคารจากลมสุริยะ หรือใช้เป็นเครือข่ายสื่อสารระยะไกลในอวกาศผ่านการปล่อยยานเป็นฝูง (swarm) ที่มีต้นทุนต่ำและควบคุมง่าย

    ข้อมูลสำคัญ
    TARS คือระบบใบเรือสุริยะที่ใช้แรงหมุนจากแสงอาทิตย์เพื่อเร่งความเร็ว
    ใช้แผ่นบางสองด้านที่มี albedo ต่างกันเพื่อสร้างแรงหมุน
    อยู่ในวงโคจร quasite รอบดวงอาทิตย์เพื่อสะสมพลังงาน
    สามารถส่ง payload ขนาดมือถือออกนอกระบบสุริยะภายใน 1 ปี

    เทคโนโลยีและการใช้งาน
    ใช้วัสดุทั่วไป เช่น CNT หรือกราฟีน น้ำหนักรวมเพียงไม่กี่กิโลกรัม
    ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง onboard — หลุดจากข้อจำกัดของสมการจรวด
    อาจใช้สร้างสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันดาวอังคาร
    สามารถปล่อยเป็นฝูงเพื่อสร้างเครือข่ายสื่อสารระยะไกล

    ข้อมูลเสริม
    ใบเรือสุริยะแบบเดิมใช้แรงดันรังสีโดยตรง แต่มีข้อจำกัดด้านทิศทาง
    TARS ใช้หลักการคล้าย radiometer และ dipole หมุนเพื่อสร้างแรง
    การใช้ Jupiter เป็นเลนส์บูสต์สัญญาณเป็นแนวคิดเสริมที่กำลังศึกษา
    อาจใช้ TARS เพื่อศึกษาสื่อระหว่างดาว หรือเป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ความเร็วที่ได้ยังไม่ถึงระดับ relativistic — ไม่เหมาะกับภารกิจที่ต้องการความเร็วสูงมาก
    การออกแบบต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของวัสดุเมื่อหมุนด้วยความเร็วสูง
    การควบคุมทิศทางและการปลดปล่อยพลังงานต้องแม่นยำสูง
    การ scale ระบบให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วจะเพิ่มความซับซ้อนแบบ exponential
    ยังไม่มีการทดสอบจริงในอวกาศ — อยู่ในขั้นแนวคิดและการจำลอง

    https://youtu.be/MDM1COWJ2Hc
    🚀 “TARS: ใบเรือสุริยะหมุนได้จากพลังแสง — แนวคิดใหม่จาก David Kipping ที่อาจส่งยานขนาดมือถือออกนอกระบบสุริยะ” นักดาราศาสตร์ David Kipping และ Kathryn Lampo จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้เสนอแนวคิดใหม่ในการขับเคลื่อนยานอวกาศขนาดเล็กสู่การเดินทางระหว่างดาว ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า TARS (Torqued Accelerator using Radiation from the Sun) ซึ่งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการสร้างแรงหมุนสะสม แล้วปลดปล่อยเป็นแรงผลักดันให้ยานพุ่งออกจากระบบสุริยะโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง TARS ประกอบด้วยแผ่นบางสองด้านที่มีค่าการสะท้อนแสง (albedo) ต่างกัน เมื่ออยู่ในวงโคจรแบบ “quasite” รอบดวงอาทิตย์ แรงดันรังสีจากแสงอาทิตย์จะค่อย ๆ ทำให้ระบบหมุนเร็วขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จากนั้นพลังงานหมุนนี้จะถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อเร่งความเร็วให้ payload ขนาดเท่ามือถือทะยานออกไปด้วยความเร็วระดับระหว่างดาว แม้จะไม่สามารถทำความเร็วแบบ relativistic ได้ (ใกล้ความเร็วแสง) แต่ TARS ก็สามารถส่งยานขนาดเล็กออกนอกระบบสุริยะภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี โดยใช้วัสดุที่มีจำหน่ายทั่วไป เช่น แผ่นคาร์บอนนาโนทิวบ์ (CNT) หรือกราฟีน และมีน้ำหนักรวมเพียงไม่กี่กิโลกรัม แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันดาวอังคารจากลมสุริยะ หรือใช้เป็นเครือข่ายสื่อสารระยะไกลในอวกาศผ่านการปล่อยยานเป็นฝูง (swarm) ที่มีต้นทุนต่ำและควบคุมง่าย ✅ ข้อมูลสำคัญ ➡️ TARS คือระบบใบเรือสุริยะที่ใช้แรงหมุนจากแสงอาทิตย์เพื่อเร่งความเร็ว ➡️ ใช้แผ่นบางสองด้านที่มี albedo ต่างกันเพื่อสร้างแรงหมุน ➡️ อยู่ในวงโคจร quasite รอบดวงอาทิตย์เพื่อสะสมพลังงาน ➡️ สามารถส่ง payload ขนาดมือถือออกนอกระบบสุริยะภายใน 1 ปี ✅ เทคโนโลยีและการใช้งาน ➡️ ใช้วัสดุทั่วไป เช่น CNT หรือกราฟีน น้ำหนักรวมเพียงไม่กี่กิโลกรัม ➡️ ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง onboard — หลุดจากข้อจำกัดของสมการจรวด ➡️ อาจใช้สร้างสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันดาวอังคาร ➡️ สามารถปล่อยเป็นฝูงเพื่อสร้างเครือข่ายสื่อสารระยะไกล ✅ ข้อมูลเสริม ➡️ ใบเรือสุริยะแบบเดิมใช้แรงดันรังสีโดยตรง แต่มีข้อจำกัดด้านทิศทาง ➡️ TARS ใช้หลักการคล้าย radiometer และ dipole หมุนเพื่อสร้างแรง ➡️ การใช้ Jupiter เป็นเลนส์บูสต์สัญญาณเป็นแนวคิดเสริมที่กำลังศึกษา ➡️ อาจใช้ TARS เพื่อศึกษาสื่อระหว่างดาว หรือเป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ความเร็วที่ได้ยังไม่ถึงระดับ relativistic — ไม่เหมาะกับภารกิจที่ต้องการความเร็วสูงมาก ⛔ การออกแบบต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของวัสดุเมื่อหมุนด้วยความเร็วสูง ⛔ การควบคุมทิศทางและการปลดปล่อยพลังงานต้องแม่นยำสูง ⛔ การ scale ระบบให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วจะเพิ่มความซับซ้อนแบบ exponential ⛔ ยังไม่มีการทดสอบจริงในอวกาศ — อยู่ในขั้นแนวคิดและการจำลอง https://youtu.be/MDM1COWJ2Hc
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML”

    ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง

    เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า

    แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม

    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng
    เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง
    เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning
    SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ
    SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก
    เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML
    ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV
    Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1
    บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป
    จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน

    https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    🔬 “SMIC ทดสอบเครื่อง DUV ฝีมือจีนครั้งแรก — ความหวังใหม่สู่การผลิตชิป 5nm โดยไม่ต้องพึ่ง ASML” ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 มีรายงานจาก Financial Times ว่า SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน กำลังทดสอบเครื่อง lithography แบบ DUV (Deep Ultraviolet) ที่ผลิตโดยบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศชื่อ Yuliangsheng ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง DUV ได้เอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูง เดิมที SMIC ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจาก ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี lithography แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิประดับ 5nm และต่ำกว่า แม้เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng จะยังไม่สามารถเทียบเท่า EUV ได้ แต่มีการระบุว่าสามารถ “scale” การผลิตได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิคการทำ pattern ซ้ำหลายชั้น (multi-patterning) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงด้าน yield หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง เนื่องจากการจัดตำแหน่งหลายชั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดสะสม SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm มาก่อน และยอมรับ yield ที่ต่ำเพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นแนวทางเดียวกันสำหรับการผลิต 5nm ด้วยเครื่อง DUV ภายในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเครื่อง DUV นี้ยังมีความท้าทาย เพราะแม้ส่วนใหญ่ของชิ้นส่วนจะผลิตในประเทศ แต่บางส่วนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Yuliangsheng กำลังพยายามพัฒนาให้ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตในจีนได้ในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SMIC กำลังทดสอบเครื่อง DUV ที่ผลิตโดยบริษัทจีน Yuliangsheng ➡️ เป็นครั้งแรกที่จีนสามารถผลิตเครื่อง lithography แบบ DUV ได้เอง ➡️ เครื่องนี้อาจสามารถ scale การผลิตชิปได้ถึงระดับ 5nm ด้วยเทคนิค multi-patterning ➡️ SMIC เคยใช้วิธีนี้ในการผลิตชิป 7nm โดยยอมรับ yield ต่ำเพื่อให้ผลิตได้ ✅ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม ➡️ ความต้องการชิป AI ในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์ภายในประเทศ ➡️ SMIC ไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV จาก ASML เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออก ➡️ เครื่อง DUV ของ Yuliangsheng ใช้เทคโนโลยี immersion คล้ายกับของ ASML ➡️ ส่วนประกอบบางส่วนยังนำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีแผนพัฒนาให้ผลิตในจีนทั้งหมด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 5nm โดยใช้เทคนิค SAQP (Self-Aligned Quadruple Patterning) บนเครื่อง DUV ➡️ Huawei ใช้ชิปจาก SMIC ใน Ascend 920 ที่ผลิตบนกระบวนการ 6nm และให้ประสิทธิภาพสูงถึง 900 TFLOPS1 ➡️ บริษัทจีนอย่าง AMEC และ NAURA เริ่มแข่งขันกับ Lam Research และ TEL ในด้านอุปกรณ์ประกอบการผลิตชิป ➡️ จีนตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกภายในปี 2030 โดยเน้นการพึ่งพาตนเองในทุกขั้นตอน https://wccftech.com/china-smic-reportedly-testing-nations-first-self-built-duv-machine/
    WCCFTECH.COM
    China's SMIC Reportedly Testing Nation's First Self-Built DUV Machine in a Major Breakthrough That Could Scale Production to 5nm
    China's chip segment might have witnessed another breakthrough, as a new report claims that SMIC is trialing the first in-house DUV machine.
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
More Results