• 343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ

    🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ

    วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ

    🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸

    🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด

    🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา

    ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง

    🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด

    หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย

    ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"

    🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี

    ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน

    🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด
    🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา

    🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม
    - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้
    - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด
    - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ

    พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ

    🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด
    หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย

    ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า

    👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ"

    🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568

    🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ 🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ 🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸 🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด 🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง 🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" 🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน 🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด 🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา 🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้ - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ 🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า 👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ" 🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568 🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 อารมณ์ vs. เหตุผล: ใช้อย่างไรให้ชีวิตเจริญ?


    ---

    🧠 มนุษย์ใช้เหตุผลได้… ถ้าอยากใช้!

    ✅ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
    ✅ แต่ส่วนใหญ่เลือกใช้อารมณ์นำหน้า
    ✅ ใช้เหตุผล → ชีวิตเจริญ
    ✅ ใช้อารมณ์นำ → ชีวิตวุ่นวาย

    🎯 "การเลือกใช้เหตุผลหรืออารมณ์" คือสิ่งที่กำหนด "ทิศทางชีวิต"


    ---

    🚨 4 ประเภทของคน ตามการใช้ "อารมณ์ vs. เหตุผล"

    ❌ 1️⃣ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

    🔴 ทำให้ทั้งสองสถานที่มืดมน
    🔴 ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
    🔴 ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง

    🎯 "ออกจากบ้านไปสู่ความมืด → กลับมาบ้านก็ยังอยู่ในความมืด"


    ---

    🤔 2️⃣ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน

    🔵 เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลเมื่ออยู่ข้างนอก
    🔴 แต่กลับบ้านแล้วใช้อารมณ์ ทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข
    🔴 คนในบ้านรับเคราะห์จากความเครียดและอารมณ์แปรปรวน

    🎯 "ทำงานแบบคนมีเหตุผล → แต่กลับบ้านแล้วเป็นคนโง่"


    ---

    🔥 3️⃣ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน

    🔴 ทำให้ที่ทำงานวุ่นวายและเป็นพิษ
    🔵 แต่กลับบ้านแล้วสงบสุข เพราะใช้เหตุผลกับครอบครัว
    🔴 เสี่ยงต่อการมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย

    🎯 "ก่อปัญหาให้สังคม → แต่ดูแลครอบครัวดี"


    ---

    💡 4️⃣ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน

    ✅ ทำให้ชีวิตราบรื่นทั้งสองด้าน
    ✅ เป็นแสงสว่างให้คนรอบตัว
    ✅ สร้างความสงบสุขและความเจริญในทุกที่

    🎯 "ออกจากบ้านไปไล่ความมืด → กลับมาขจัดความมืดที่บ้าน"


    ---

    🔥 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

    ✅ 1️⃣ หยุดคิดก่อนพูด

    🎯 หายใจลึกๆ ก่อนตอบโต้
    🎯 ถามตัวเอง → "ถ้าฉันพูดแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?"
    🎯 ฝึกนิ่งก่อนโต้ตอบ


    ---

    ✅ 2️⃣ ฝึก "เปลี่ยนมุมมอง" ก่อนใช้อารมณ์

    🎯 คนพูดไม่ดีใส่เรา → อาจเป็นเพราะเขาเครียด ไม่ใช่เพราะเรา
    🎯 เรื่องที่เกิดขึ้น → อาจมีแง่ดีให้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องแย่
    🎯 ทุกปัญหา → แก้ได้ด้วยสติ ไม่ใช่อารมณ์


    ---

    ✅ 3️⃣ สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับครอบครัว

    🎯 อย่าเอาความเครียดจากงานมาลงที่บ้าน
    🎯 กลับบ้าน → เปลี่ยนเป็นโหมด "ใจเย็น-ให้กำลังใจ"
    🎯 ทำให้บ้านเป็น "แหล่งพลังบวก" ไม่ใช่ "สนามรบ"


    ---

    🎯 สรุป: ใช้เหตุผลให้มากขึ้น = ชีวิตเจริญขึ้น!

    ✔ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน → ชีวิตมืดมน
    ✔ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน → บ้านไม่มีความสุข
    ✔ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน → งานมีปัญหา
    ✔ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน → ชีวิตเจริญที่สุด!

    🔥 "เลือกใช้เหตุผลให้มากขึ้น → ชีวิตจะดีขึ้นทุกด้าน" 🔥

    📌 อารมณ์ vs. เหตุผล: ใช้อย่างไรให้ชีวิตเจริญ? --- 🧠 มนุษย์ใช้เหตุผลได้… ถ้าอยากใช้! ✅ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ✅ แต่ส่วนใหญ่เลือกใช้อารมณ์นำหน้า ✅ ใช้เหตุผล → ชีวิตเจริญ ✅ ใช้อารมณ์นำ → ชีวิตวุ่นวาย 🎯 "การเลือกใช้เหตุผลหรืออารมณ์" คือสิ่งที่กำหนด "ทิศทางชีวิต" --- 🚨 4 ประเภทของคน ตามการใช้ "อารมณ์ vs. เหตุผล" ❌ 1️⃣ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน 🔴 ทำให้ทั้งสองสถานที่มืดมน 🔴 ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ 🔴 ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง 🎯 "ออกจากบ้านไปสู่ความมืด → กลับมาบ้านก็ยังอยู่ในความมืด" --- 🤔 2️⃣ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน 🔵 เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลเมื่ออยู่ข้างนอก 🔴 แต่กลับบ้านแล้วใช้อารมณ์ ทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข 🔴 คนในบ้านรับเคราะห์จากความเครียดและอารมณ์แปรปรวน 🎯 "ทำงานแบบคนมีเหตุผล → แต่กลับบ้านแล้วเป็นคนโง่" --- 🔥 3️⃣ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน 🔴 ทำให้ที่ทำงานวุ่นวายและเป็นพิษ 🔵 แต่กลับบ้านแล้วสงบสุข เพราะใช้เหตุผลกับครอบครัว 🔴 เสี่ยงต่อการมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย 🎯 "ก่อปัญหาให้สังคม → แต่ดูแลครอบครัวดี" --- 💡 4️⃣ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ✅ ทำให้ชีวิตราบรื่นทั้งสองด้าน ✅ เป็นแสงสว่างให้คนรอบตัว ✅ สร้างความสงบสุขและความเจริญในทุกที่ 🎯 "ออกจากบ้านไปไล่ความมืด → กลับมาขจัดความมืดที่บ้าน" --- 🔥 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ✅ 1️⃣ หยุดคิดก่อนพูด 🎯 หายใจลึกๆ ก่อนตอบโต้ 🎯 ถามตัวเอง → "ถ้าฉันพูดแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?" 🎯 ฝึกนิ่งก่อนโต้ตอบ --- ✅ 2️⃣ ฝึก "เปลี่ยนมุมมอง" ก่อนใช้อารมณ์ 🎯 คนพูดไม่ดีใส่เรา → อาจเป็นเพราะเขาเครียด ไม่ใช่เพราะเรา 🎯 เรื่องที่เกิดขึ้น → อาจมีแง่ดีให้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องแย่ 🎯 ทุกปัญหา → แก้ได้ด้วยสติ ไม่ใช่อารมณ์ --- ✅ 3️⃣ สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับครอบครัว 🎯 อย่าเอาความเครียดจากงานมาลงที่บ้าน 🎯 กลับบ้าน → เปลี่ยนเป็นโหมด "ใจเย็น-ให้กำลังใจ" 🎯 ทำให้บ้านเป็น "แหล่งพลังบวก" ไม่ใช่ "สนามรบ" --- 🎯 สรุป: ใช้เหตุผลให้มากขึ้น = ชีวิตเจริญขึ้น! ✔ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน → ชีวิตมืดมน ✔ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน → บ้านไม่มีความสุข ✔ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน → งานมีปัญหา ✔ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน → ชีวิตเจริญที่สุด! 🔥 "เลือกใช้เหตุผลให้มากขึ้น → ชีวิตจะดีขึ้นทุกด้าน" 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมีนาคม 2568

    ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เป็นเดือนเถาะดิน 己卯(กี๋เบ้า) ธาตุดิน มีกระแสพลังดาวธาตุน้ำ一白 (อิกแป๊ะ) ดาวแห่งการริเริ่ม เปลี่ยนแปลง ตำแหน่ง สติปัญญา ฯลฯ ร่วมคู่ขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุดิน二黑 (หยี่เฮก) ที่เป็นดาวป่วยไข้ ดาวแห่งโรคภัย ดาวแห่งความเสื่อมถดถอย ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลถึงความกระตือรือร้นให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกว่าเดิม จากที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่กลับมีปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นภาคของการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนกับการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดทอง การนำเข้า การส่งออกฯลฯจะร้อนแรง มีการลงทุนกระตุ้นให้เกิดการขยับขยายเพิ่มยิ่งขึ้น ส่วนด้านสังคมยังคงต้องครองสติให้อยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท รู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายอย่างเพียงพอ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ตามพระราชดำรัสแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งต้องระมัดระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยในการขับขี่ยวดยานระหว่างการสัญจรเดินทางจะได้ไม่สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สินและไม่สร้างความสูญสิ้นต่อร่างกายและจิตใจ

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ดาวเหินจรคู่ผสมระหว่างปีและเดือน ประจำเดือนมีนาคม 2568 ตั้งแต่วันพุธที่ 5 เดือนมีนาคม ไปจนถึง วันพฤหัสบดีที่ 3 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เป็นเดือนเถาะดิน 己卯(กี๋เบ้า) ธาตุดิน มีกระแสพลังดาวธาตุน้ำ一白 (อิกแป๊ะ) ดาวแห่งการริเริ่ม เปลี่ยนแปลง ตำแหน่ง สติปัญญา ฯลฯ ร่วมคู่ขัดแย้งกับกระแสพลังดาวธาตุดิน二黑 (หยี่เฮก) ที่เป็นดาวป่วยไข้ ดาวแห่งโรคภัย ดาวแห่งความเสื่อมถดถอย ประจำอยู่ในปีจรมะเส็งไม้ 乙巳(อิกจี๋) ธาตุไฟ ส่งอิทธิพลถึงความกระตือรือร้นให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกว่าเดิม จากที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่กลับมีปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นภาคของการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนกับการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดทอง การนำเข้า การส่งออกฯลฯจะร้อนแรง มีการลงทุนกระตุ้นให้เกิดการขยับขยายเพิ่มยิ่งขึ้น ส่วนด้านสังคมยังคงต้องครองสติให้อยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท รู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายอย่างเพียงพอ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ตามพระราชดำรัสแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งต้องระมัดระวังตนจากอุบัติเหตุเภทภัยในการขับขี่ยวดยานระหว่างการสัญจรเดินทางจะได้ไม่สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สินและไม่สร้างความสูญสิ้นต่อร่างกายและจิตใจ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยในโตเกียวได้พัฒนา AIREC หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือประชากรผู้สูงอายุในญี่ปุ่น หุ่นยนต์นี้สามารถเคลื่อนไหวผู้สูงอายุเพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือป้องกันแผลกดทับได้โดยง่าย ซึ่งเป็นงานที่สำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ

    AIREC ถูกพัฒนาโดยศาสตราจารย์ Shigeki Sugano จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ ด้วยเงินทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนประชากรผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลกและมีอัตราการเกิดต่ำลง

    ปัญหาการขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุ ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุอย่างหนัก โดยในเดือนธันวาคม 2024 ตำแหน่งงานว่างในภาคการดูแลผู้สูงอายุมีเพียงผู้สมัครคนเดียวต่อทุกๆ 4.25 ตำแหน่ง ซึ่งแย่กว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีผู้สมัคร 1.22 คนต่อหนึ่งตำแหน่ง

    ในขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามนำเข้าพนักงานจากต่างประเทศ แต่จำนวนพนักงานต่างชาติในภาคการดูแลผู้สูงอายุยังคงต่ำอยู่

    การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการดูแลผู้สูงอายุ Sugano กล่าวว่า การนำหุ่นยนต์มาช่วยเหลือในภาคการดูแลผู้สูงอายุเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานทางกายภาพร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องการความแม่นยำและสติปัญญาระดับสูง

    AIREC สามารถช่วยผู้สูงอายุลุกนั่ง ใส่ถุงเท้า ทำอาหารง่ายๆ และงานบ้านอื่นๆ แต่ Sugano คาดว่า AIREC จะพร้อมใช้งานในสถานดูแลผู้สูงอายุประมาณปี 2030 โดยมีราคาประมาณ 10 ล้านเยน ($67,000) ในระยะแรก

    อนาคตของการดูแลผู้สูงอายุ Takaki Ito, พนักงานดูแลผู้สูงอายุที่ Zenkoukai กล่าวอย่างระมัดระวังว่า หากหุ่นยนต์ที่มี AI สามารถเข้าใจสภาพชีวิตและลักษณะเฉพาะของผู้รับการดูแลได้ ก็อาจมีอนาคตที่หุ่นยนต์จะสามารถดูแลผู้สูงอายุได้โดยตรง แต่เขายังเชื่อว่าหุ่นยนต์และมนุษย์ควรทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงการดูแลผู้สูงอายุ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/ai-robots-may-hold-key-to-nursing-japan039s-ageing-population
    นักวิจัยในโตเกียวได้พัฒนา AIREC หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือประชากรผู้สูงอายุในญี่ปุ่น หุ่นยนต์นี้สามารถเคลื่อนไหวผู้สูงอายุเพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือป้องกันแผลกดทับได้โดยง่าย ซึ่งเป็นงานที่สำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ AIREC ถูกพัฒนาโดยศาสตราจารย์ Shigeki Sugano จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ ด้วยเงินทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนประชากรผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลกและมีอัตราการเกิดต่ำลง ปัญหาการขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุ ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพนักงานดูแลผู้สูงอายุอย่างหนัก โดยในเดือนธันวาคม 2024 ตำแหน่งงานว่างในภาคการดูแลผู้สูงอายุมีเพียงผู้สมัครคนเดียวต่อทุกๆ 4.25 ตำแหน่ง ซึ่งแย่กว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีผู้สมัคร 1.22 คนต่อหนึ่งตำแหน่ง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามนำเข้าพนักงานจากต่างประเทศ แต่จำนวนพนักงานต่างชาติในภาคการดูแลผู้สูงอายุยังคงต่ำอยู่ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการดูแลผู้สูงอายุ Sugano กล่าวว่า การนำหุ่นยนต์มาช่วยเหลือในภาคการดูแลผู้สูงอายุเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานทางกายภาพร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องการความแม่นยำและสติปัญญาระดับสูง AIREC สามารถช่วยผู้สูงอายุลุกนั่ง ใส่ถุงเท้า ทำอาหารง่ายๆ และงานบ้านอื่นๆ แต่ Sugano คาดว่า AIREC จะพร้อมใช้งานในสถานดูแลผู้สูงอายุประมาณปี 2030 โดยมีราคาประมาณ 10 ล้านเยน ($67,000) ในระยะแรก อนาคตของการดูแลผู้สูงอายุ Takaki Ito, พนักงานดูแลผู้สูงอายุที่ Zenkoukai กล่าวอย่างระมัดระวังว่า หากหุ่นยนต์ที่มี AI สามารถเข้าใจสภาพชีวิตและลักษณะเฉพาะของผู้รับการดูแลได้ ก็อาจมีอนาคตที่หุ่นยนต์จะสามารถดูแลผู้สูงอายุได้โดยตรง แต่เขายังเชื่อว่าหุ่นยนต์และมนุษย์ควรทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงการดูแลผู้สูงอายุ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/ai-robots-may-hold-key-to-nursing-japan039s-ageing-population
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI robots may hold key to nursing Japan's ageing population
    TOKYO (Reuters) - Recently in Tokyo an AI-driven robot leaned over a man lying on his back and gently put a hand on his knee and another on a shoulder and rolled him onto his side -- a manoeuvre used to change diapers or prevent bedsores in the elderly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27/2/68

    3อย่าง ที่ผ่านไปแล้วไม่คืนกลับมา
    1. เวลา
    2. ชีวิต
    3. วัยเยาว์

    3อย่าง ที่ส่งผลทำลายชีวิตเรา
    1. โมโห
    2. โอหัง
    3. ใจแคบ

    3อย่างที่ทิ้งไม่ได้
    1. ความเชื่อ
    2. ความหวัง
    3. ความรัก

    3อย่าง ที่ประมาณค่าไม่ได้
    1. ความรัก
    2. ความดี
    3. มิตรภาพ

    3อย่างที่ไม่นิรันดร์
    1. ความสำเร็จ
    2. ทรัพย์สมบัติ
    3. เกียรติยศ ชื่อเสียง

    3อย่าง ที่ช่วยเราให้สำเร็จ
    1. ความรู้
    2. สติปัญญา
    3. วินัย

    3อย่าง ที่ต้องถนอมรักษา
    1. พ่อแม่
    2. ครอบครัว
    3. เพื่อนพ้อง

    3อย่าง ที่ใช้ในการทำงาน
    1. เป้าหมาย
    2. วิธีการ
    3. อุดมการณ์

    3อย่างที่ใช้ในการคบมิตร
    1. สัจจะ
    2. จริงใจ
    3. น้ำใจ

    3อย่าง ที่ต้องรักษาไว้ให้ดี
    1. โอกาส
    2. ชีวิต
    3. มิตรภาพ

    ส่งต่อให้เพื่อนที่รัก
    27/2/68 3อย่าง ที่ผ่านไปแล้วไม่คืนกลับมา 1. เวลา 2. ชีวิต 3. วัยเยาว์ 3อย่าง ที่ส่งผลทำลายชีวิตเรา 1. โมโห 2. โอหัง 3. ใจแคบ 3อย่างที่ทิ้งไม่ได้ 1. ความเชื่อ 2. ความหวัง 3. ความรัก 3อย่าง ที่ประมาณค่าไม่ได้ 1. ความรัก 2. ความดี 3. มิตรภาพ 3อย่างที่ไม่นิรันดร์ 1. ความสำเร็จ 2. ทรัพย์สมบัติ 3. เกียรติยศ ชื่อเสียง 3อย่าง ที่ช่วยเราให้สำเร็จ 1. ความรู้ 2. สติปัญญา 3. วินัย 3อย่าง ที่ต้องถนอมรักษา 1. พ่อแม่ 2. ครอบครัว 3. เพื่อนพ้อง 3อย่าง ที่ใช้ในการทำงาน 1. เป้าหมาย 2. วิธีการ 3. อุดมการณ์ 3อย่างที่ใช้ในการคบมิตร 1. สัจจะ 2. จริงใจ 3. น้ำใจ 3อย่าง ที่ต้องรักษาไว้ให้ดี 1. โอกาส 2. ชีวิต 3. มิตรภาพ ส่งต่อให้เพื่อนที่รัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทจะถูกทอดทิ้ง ยูเครนก็ถูก สหรัฐทอดทิ้งเอาได้ง่ายๆ หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตของไทย จะพบว่าครั้งหนึ่ง ไทยเองก็ถูกอเมริกาทอดทิ้งและเป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า การเลือกข้าง ไม่ว่าจะมหาอำนาจข้างใดเขามองเห็นแค่ผลประโยชน์ของประเทศเขาเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อในอดีต....ไทยเป็นประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่จะต้องรับมือการขยายอำนาจของประเทศคอมมิวนิสต์ อย่างรัสเซีย ผ่านเวียดนาม และจีนและสหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามในการสกัดกั้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเข้ามาประจันของทั้งสองมหาอำนาจนี้บางประเทศก็เลือกที่จะเข้าข้างอำนาจหนึ่ง บางประเทศก็เลือกที่จะผูกพันกับอีกอำนาจหนึ่ง แต่การผูกพันกับอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากก็ย่อมส่งผลเสียตามมาหากมีมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งต้องถอยหลังไป ดังนั้นแล้วการทุ่มตัวในการพลิกให้เป็นฝ่ายชนะให้ได้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะให้ผลประโยชน์ได้ดีที่สุดมากกว่าการแพ้ แต่มีคนไทยผู้หนึ่งนั้นมองอย่างแตกต่างออกไปที่ถึงจะไม่ชนะ แต่ก็ต้องไม่แพ้ กล่าวคือการ “หนีเสือปะจระเข้” จะไม่มีผลต่อการเลือกว่าเราจะต้องอยู่บนบกหรือในน้ำอีกต่อไป คนไทยผู้นี้คือ " ถนัด คอมันตร์ "“หากเราหนีเสือ [จีน] แล้วไปปะจระเข้ [โซเวียต] มันก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านัก… ถ้าเราไม่มีทางอื่น เราอาจจะต้องอยู่กับจระเข้… ที่ว่ามานี้คือรูปแบบที่เป็นไปได้ถ้าสหรัฐอเมริกาต้องถอนกำลังออกจากประเทศเรา… เพราะเราไม่อาจบอกได้ว่าภูมิภาคของเราตอนนี้มีอำนาจมากพอ… เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยสนับสนุนประเทศในภูมิภาคที่จะรวมตัวสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นให้เหนียวแน่นกว่าเดิม” คำกล่าวนี้คือคำกล่าวของถนัด คอมันตร์ ผู้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นระดับตำนานของไทยที่จะคิดหาวิธีอยู่รอดในวันที่สหรัฐอเมริกากำลังเลือกที่จะถอนกำลังออก และในวันที่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นมีพลังมากขึ้นด้วยการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพื่อคานอิทธิพลของอำนาจแดงเอาไว้ [1]เรามักจะคุ้นหูว่าหลักการ Nixon (Nixon Doctrine) ที่ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเวียดนามได้ทำให้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนนโยบายกับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนทิศของนโยบายการต่างประเทศไทยนั้นได้เริ่มขึ้นก่อนที่การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้น และการตัดสินใจนี้เองก็มีส่วนที่ทำให้สงครามเวียดนามบรรเทาความรุนแรงลงด้วย การตัดสินใจเปลี่ยนทิศของไทยนั้นเริ่มหลังจากที่ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ประกาศนโยบายกลับลำให้คุยสันติภาพหลังจากการรุกตรุษญวน ในการนี้ ถนัด คอมันตร์ และคนอื่นๆ ได้มีการกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาได้สร้างข้อสงสัยขึ้นให้กับประเทศอื่นๆ และตอนนี้ไทยก็ได้รู้ตัวอย่างแจ่มแจ้งมากกว่าเก่าว่าการพึ่งกับสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ทางที่ดีอีกต่อไปถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องถอนทัพออกไป แต่ถนัดก็ได้ขอให้การถอนทัพนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และไทยเองก็ต้องสร้างความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ในท่ามกลางดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปนี้ด้วย ถนัดจึงได้คิดค้นการทูตแบบยืดหยุ่นขึ้นในขณะนั้นถนัดประเมินว่ามีอยู่ 5 แนวทางสำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทยในอนาคต คือ ทางเลือกที่หนึ่ง การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่นโยบายนี้เขาพบว่ามหาอำนาจจะไม่ยอมให้ประเทศเล็กๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมักจะโดนยำเสมอ ทางเลือกนี้จึงตัดทิ้งไป ทางที่สอง คือการเข้าไปหาคอมมิวนิสต์โดยตรงและ “ชนะใจ” ในเชิงการทูตเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ซึ่งถนัดก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ในตอนนั้น ทางเลือกที่สาม คือการประกาศว่าเป็นกลางคือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นสงครามหรือความขัดแย้งทั้งสิ้นซึ่งต่างจากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เขาก็ประเมินว่าประเทศคอมมิวนิสต์คงไม่อยู่เฉยๆ เพราะถึงเราจะเป็นกลาง แต่คอมมิวนิสต์ไม่กลางด้วย หรือทางที่สี่ การเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ด้วยเลยก็ไม่มีประโยชน์เพราะจะถูกบีบได้เสมอ เขาเห็นว่าทางที่ห้า เป็นไปได้มากที่สุดคือการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเป็นพลังต่อรองใหม่ ซึ่งนี่คือจุดกำเนิดของ ASEAN นั่นเองถนัดเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่ต้องการพึ่งพลังจากภายนอกอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถจัดการต่อรองประเด็นต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมและมีพลังด้วย ถึงแม้ว่าถนัดในช่วงก่อนนั้นจะเห็นว่าการมีอยู่ของกองทัพสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประโยชน์แต่ก็เสียความชอบธรรมลงไปเพราะการเมืองในประเทศของสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งถนัดได้ชี้ว่า “เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป เราไม่ได้เปลี่ยน พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยน การมีอยู่ของกองทัพอเมริกันในไทยเสียความชอบธรรมไปแล้ว” และเขายังได้ติติงว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นมหาอำนาจได้ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบในภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น การถอนทัพออกไปนั้นจะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อประเทศอื่น แต่ยังส่งผลไปยังสหรัฐอเมริกาเองด้วยว่าไม่สามารถทำหน้าที่มหาอำนาจได้อีกต่อไปอย่างไรก็ดี ถนัดได้เดินหน้าต่อในการวางแนวทางใหม่ทางการทูตที่ไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป พร้อมกับที่สหรัฐอเมริกาค่อยๆ ถอนกำลังออกจากไทย การถอนทัพนี้ได้สร้างความไม่ลงรอยทางการเมืองในไทยเองด้วย กล่าวคือกลุ่มกองทัพไทยยังคงอยากให้กองทัพสหรัฐอเมริกาอยู่ต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย ส่วนกลุ่มในกระทรวงการต่างประเทศนั้นแม้จะยังอยากให้กองทัพอยู่เช่นกัน แต่ก็ตระหนักถึงความจริงที่สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจไปแล้วด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่าการถอนทัพออกของอเมริกันเองก็ได้มอบพื้นที่ใหม่ทางการต่างประเทศให้กับไทยและภูมิภาคด้วยการถอนกำลังของสหรัฐอเมริกานั้นสามารถก่อให้เกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นได้ ดังนั้นการร่วมมือของประเทศในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไทยจึงกลายเป็นหัวหอกในการพาชาติต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานด้วยกันในการสร้างสันติภาพภายใต้องค์การ ASEAN ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้เกิดช่องว่างอำนาจจนอาจสั่นคลอนภูมิภาคได้ แต่ ASEAN แตกต่างจากองค์การอื่นๆ ก่อนหน้าเช่น SEATO เพราะ ASEAN ไม่ใช่องค์การในเชิงทหาร แต่เป็นองค์การเชิงการเมือง โดยถนัดชี้ว่าต่อให้ทุกประเทศรวมกันในเชิงกองกำลังก็ยังต้านจีนไม่ได้ วิธีการจึงต้องเป็นวิธีอื่นนอกจากการทหารควบคู่ไปกับการร่วมมือกันของประเทศต่างๆ ไทย (และประเทศอื่น) ก็เริ่มหาแนวทางปรับความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ ถนัดได้เขียนบทความลง Times เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพูดคุยในทางการทูตระหว่างกันระหว่างเรากับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่เราจะต้องพยายามให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศในอาเซียนสามารถร่วมมือกันอย่างเป็นระบบได้ในการโน้มน้าวให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ละทิ้งสงครามและร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์” นั่นหมายความว่าถนัดได้เห็นแล้วว่าการผ่อนคลายระหว่างกัน (Détente) นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องทำซึ่งในช่วงเวลาของเขานั้นเรื่องนี้คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ “สามารถปฏิบัติได้จริงในอนาคต” เพราะว่าประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถมีท่าทีในเชิงรุกได้ตลอดไป ดังนั้นไทยต้องเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องด้วย หรือเป็นการ “มีนโยบายที่ยืดหยุ่นมากขึ้นกับจีน” เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าปักกิ่งมีสัญญาณว่าเราสามารถพูดคุยกันได้เมื่อไร ผมจะแนะนำให้รัฐบาลไทยไปนั่งโต๊ะทันที แต่ตอนนี้สัญญาณนั้นยังไม่เกิดขึ้น” ถนัดยืนยันว่าไทยไม่ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือจีน และต้องการที่จะพูดคุยหาทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติให้ได้ ถนัดยังกล่าวต่อไปอีกว่าจีนต่างหากที่ต้านไทยเพราะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนนั้นพูดเองว่าจะทำสงครามกองโจรกับไทยถนัดนั้นจึงเตรียมพร้อมเสมอในการไปปักกิ่ง และคาดกันว่าเขาเตรียมจะส่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเจรจา หรือกระทั่งแคล้ว นรปติ ซึ่งเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยมในขณะนั้น ไปเพื่อถามกันตรงๆ ว่า ที่ว่าจะทำสงครามเป็นเพราะอะไร แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์นั้นได้ออกมาปฏิเสธในการไปคุยกับจีนว่าไม่มีประโยชน์เพราะคำตอบนั้นชัดอยู่แล้วว่าเพราะไทยอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดีถนัดได้ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศไทยนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ การปกป้องเอกราชของประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดำเนินมาตลอด แต่วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบริบทดังที่เขากล่าวว่า “เราต้องตระหนักสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดุลอำนาจเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนนโยบายของเรา นโยบายของเราเหมือนเดิม และเราจะไม่มีวันปล่อยหลักการทางศีลธรรมและทางสติปัญญาของเราทิ้งไป” ดังนั้นจึงหมายความว่าแม้จะ “ลู่ลม” แต่ “ราก” นั้นไม่เปลี่ยนไปตามลมนั่นเองหลักการการทูตที่ยืดหยุ่นนั้นประกอบไปด้วยสามประการ คือ ไม่อเมริกัน การร่วมมือในภูมิภาค และการผ่อนคลายความตึงเครียด ถนัดได้สร้างช่องทางในการติดต่อกับจีนผ่านคนที่สามในการหาทางอยู่ร่วมกัน เช่น UN รวมไปถึงการติดต่อกับโซเวียตไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าถนัดจะยืนยันว่านโยบายไม่ได้เปลี่ยนก็ตาม แต่การใช้วิธีแบบยืดหยุ่นนี้ได้สร้างการผ่อนคลายได้ในที่สุด และได้กลายเป็นฐานให้ผู้มีอำนาจอื่นๆ ต่อยอดวิธีการของถนัดในการอยู่กับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสันติและปกป้องเอกราชของไทยเอาไว้ได้ถนัดจึงสมควรได้รับการยกย่องที่สุดว่า “ถนัดและคนอื่นๆ ได้คิดในสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้ในสงครามเย็น นั่นคือการอยู่ร่วมกับทั้งจระเข้และเสืออย่างปลอดภัย” และนี่คือถนัด คอมันตร์ ตำนานรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยตลอดกาล #มูลนิธิสยามรีกอเดอ #LueHistory #ประวัติศาสตร์ #ฤๅคัฟเวอรี่
    บทจะถูกทอดทิ้ง ยูเครนก็ถูก สหรัฐทอดทิ้งเอาได้ง่ายๆ หากศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตของไทย จะพบว่าครั้งหนึ่ง ไทยเองก็ถูกอเมริกาทอดทิ้งและเป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า การเลือกข้าง ไม่ว่าจะมหาอำนาจข้างใดเขามองเห็นแค่ผลประโยชน์ของประเทศเขาเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า....เมื่อในอดีต....ไทยเป็นประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่จะต้องรับมือการขยายอำนาจของประเทศคอมมิวนิสต์ อย่างรัสเซีย ผ่านเวียดนาม และจีนและสหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามในการสกัดกั้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเข้ามาประจันของทั้งสองมหาอำนาจนี้บางประเทศก็เลือกที่จะเข้าข้างอำนาจหนึ่ง บางประเทศก็เลือกที่จะผูกพันกับอีกอำนาจหนึ่ง แต่การผูกพันกับอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากก็ย่อมส่งผลเสียตามมาหากมีมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งต้องถอยหลังไป ดังนั้นแล้วการทุ่มตัวในการพลิกให้เป็นฝ่ายชนะให้ได้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะให้ผลประโยชน์ได้ดีที่สุดมากกว่าการแพ้ แต่มีคนไทยผู้หนึ่งนั้นมองอย่างแตกต่างออกไปที่ถึงจะไม่ชนะ แต่ก็ต้องไม่แพ้ กล่าวคือการ “หนีเสือปะจระเข้” จะไม่มีผลต่อการเลือกว่าเราจะต้องอยู่บนบกหรือในน้ำอีกต่อไป คนไทยผู้นี้คือ " ถนัด คอมันตร์ "“หากเราหนีเสือ [จีน] แล้วไปปะจระเข้ [โซเวียต] มันก็ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านัก… ถ้าเราไม่มีทางอื่น เราอาจจะต้องอยู่กับจระเข้… ที่ว่ามานี้คือรูปแบบที่เป็นไปได้ถ้าสหรัฐอเมริกาต้องถอนกำลังออกจากประเทศเรา… เพราะเราไม่อาจบอกได้ว่าภูมิภาคของเราตอนนี้มีอำนาจมากพอ… เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยสนับสนุนประเทศในภูมิภาคที่จะรวมตัวสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นให้เหนียวแน่นกว่าเดิม” คำกล่าวนี้คือคำกล่าวของถนัด คอมันตร์ ผู้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นระดับตำนานของไทยที่จะคิดหาวิธีอยู่รอดในวันที่สหรัฐอเมริกากำลังเลือกที่จะถอนกำลังออก และในวันที่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์นั้นมีพลังมากขึ้นด้วยการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพื่อคานอิทธิพลของอำนาจแดงเอาไว้ [1]เรามักจะคุ้นหูว่าหลักการ Nixon (Nixon Doctrine) ที่ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเวียดนามได้ทำให้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนนโยบายกับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนทิศของนโยบายการต่างประเทศไทยนั้นได้เริ่มขึ้นก่อนที่การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้น และการตัดสินใจนี้เองก็มีส่วนที่ทำให้สงครามเวียดนามบรรเทาความรุนแรงลงด้วย การตัดสินใจเปลี่ยนทิศของไทยนั้นเริ่มหลังจากที่ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ประกาศนโยบายกลับลำให้คุยสันติภาพหลังจากการรุกตรุษญวน ในการนี้ ถนัด คอมันตร์ และคนอื่นๆ ได้มีการกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาได้สร้างข้อสงสัยขึ้นให้กับประเทศอื่นๆ และตอนนี้ไทยก็ได้รู้ตัวอย่างแจ่มแจ้งมากกว่าเก่าว่าการพึ่งกับสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ทางที่ดีอีกต่อไปถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องถอนทัพออกไป แต่ถนัดก็ได้ขอให้การถอนทัพนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และไทยเองก็ต้องสร้างความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ในท่ามกลางดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปนี้ด้วย ถนัดจึงได้คิดค้นการทูตแบบยืดหยุ่นขึ้นในขณะนั้นถนัดประเมินว่ามีอยู่ 5 แนวทางสำหรับนโยบายการต่างประเทศของไทยในอนาคต คือ ทางเลือกที่หนึ่ง การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่นโยบายนี้เขาพบว่ามหาอำนาจจะไม่ยอมให้ประเทศเล็กๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมักจะโดนยำเสมอ ทางเลือกนี้จึงตัดทิ้งไป ทางที่สอง คือการเข้าไปหาคอมมิวนิสต์โดยตรงและ “ชนะใจ” ในเชิงการทูตเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ซึ่งถนัดก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ในตอนนั้น ทางเลือกที่สาม คือการประกาศว่าเป็นกลางคือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นสงครามหรือความขัดแย้งทั้งสิ้นซึ่งต่างจากการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เขาก็ประเมินว่าประเทศคอมมิวนิสต์คงไม่อยู่เฉยๆ เพราะถึงเราจะเป็นกลาง แต่คอมมิวนิสต์ไม่กลางด้วย หรือทางที่สี่ การเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ด้วยเลยก็ไม่มีประโยชน์เพราะจะถูกบีบได้เสมอ เขาเห็นว่าทางที่ห้า เป็นไปได้มากที่สุดคือการรวมกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเป็นพลังต่อรองใหม่ ซึ่งนี่คือจุดกำเนิดของ ASEAN นั่นเองถนัดเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่ต้องการพึ่งพลังจากภายนอกอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถจัดการต่อรองประเด็นต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมและมีพลังด้วย ถึงแม้ว่าถนัดในช่วงก่อนนั้นจะเห็นว่าการมีอยู่ของกองทัพสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประโยชน์แต่ก็เสียความชอบธรรมลงไปเพราะการเมืองในประเทศของสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งถนัดได้ชี้ว่า “เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไป เราไม่ได้เปลี่ยน พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยน การมีอยู่ของกองทัพอเมริกันในไทยเสียความชอบธรรมไปแล้ว” และเขายังได้ติติงว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นมหาอำนาจได้ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบในภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น การถอนทัพออกไปนั้นจะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อประเทศอื่น แต่ยังส่งผลไปยังสหรัฐอเมริกาเองด้วยว่าไม่สามารถทำหน้าที่มหาอำนาจได้อีกต่อไปอย่างไรก็ดี ถนัดได้เดินหน้าต่อในการวางแนวทางใหม่ทางการทูตที่ไม่ต้องพึ่งสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป พร้อมกับที่สหรัฐอเมริกาค่อยๆ ถอนกำลังออกจากไทย การถอนทัพนี้ได้สร้างความไม่ลงรอยทางการเมืองในไทยเองด้วย กล่าวคือกลุ่มกองทัพไทยยังคงอยากให้กองทัพสหรัฐอเมริกาอยู่ต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย ส่วนกลุ่มในกระทรวงการต่างประเทศนั้นแม้จะยังอยากให้กองทัพอยู่เช่นกัน แต่ก็ตระหนักถึงความจริงที่สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจไปแล้วด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่าการถอนทัพออกของอเมริกันเองก็ได้มอบพื้นที่ใหม่ทางการต่างประเทศให้กับไทยและภูมิภาคด้วยการถอนกำลังของสหรัฐอเมริกานั้นสามารถก่อให้เกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นได้ ดังนั้นการร่วมมือของประเทศในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไทยจึงกลายเป็นหัวหอกในการพาชาติต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานด้วยกันในการสร้างสันติภาพภายใต้องค์การ ASEAN ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้เกิดช่องว่างอำนาจจนอาจสั่นคลอนภูมิภาคได้ แต่ ASEAN แตกต่างจากองค์การอื่นๆ ก่อนหน้าเช่น SEATO เพราะ ASEAN ไม่ใช่องค์การในเชิงทหาร แต่เป็นองค์การเชิงการเมือง โดยถนัดชี้ว่าต่อให้ทุกประเทศรวมกันในเชิงกองกำลังก็ยังต้านจีนไม่ได้ วิธีการจึงต้องเป็นวิธีอื่นนอกจากการทหารควบคู่ไปกับการร่วมมือกันของประเทศต่างๆ ไทย (และประเทศอื่น) ก็เริ่มหาแนวทางปรับความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ ถนัดได้เขียนบทความลง Times เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการพูดคุยในทางการทูตระหว่างกันระหว่างเรากับประเทศคอมมิวนิสต์ แต่เราจะต้องพยายามให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศในอาเซียนสามารถร่วมมือกันอย่างเป็นระบบได้ในการโน้มน้าวให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ละทิ้งสงครามและร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์” นั่นหมายความว่าถนัดได้เห็นแล้วว่าการผ่อนคลายระหว่างกัน (Détente) นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องทำซึ่งในช่วงเวลาของเขานั้นเรื่องนี้คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ “สามารถปฏิบัติได้จริงในอนาคต” เพราะว่าประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถมีท่าทีในเชิงรุกได้ตลอดไป ดังนั้นไทยต้องเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องด้วย หรือเป็นการ “มีนโยบายที่ยืดหยุ่นมากขึ้นกับจีน” เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าปักกิ่งมีสัญญาณว่าเราสามารถพูดคุยกันได้เมื่อไร ผมจะแนะนำให้รัฐบาลไทยไปนั่งโต๊ะทันที แต่ตอนนี้สัญญาณนั้นยังไม่เกิดขึ้น” ถนัดยืนยันว่าไทยไม่ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือจีน และต้องการที่จะพูดคุยหาทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติให้ได้ ถนัดยังกล่าวต่อไปอีกว่าจีนต่างหากที่ต้านไทยเพราะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนนั้นพูดเองว่าจะทำสงครามกองโจรกับไทยถนัดนั้นจึงเตรียมพร้อมเสมอในการไปปักกิ่ง และคาดกันว่าเขาเตรียมจะส่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเจรจา หรือกระทั่งแคล้ว นรปติ ซึ่งเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยมในขณะนั้น ไปเพื่อถามกันตรงๆ ว่า ที่ว่าจะทำสงครามเป็นเพราะอะไร แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์นั้นได้ออกมาปฏิเสธในการไปคุยกับจีนว่าไม่มีประโยชน์เพราะคำตอบนั้นชัดอยู่แล้วว่าเพราะไทยอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดีถนัดได้ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศไทยนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ การปกป้องเอกราชของประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดำเนินมาตลอด แต่วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบริบทดังที่เขากล่าวว่า “เราต้องตระหนักสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดุลอำนาจเปลี่ยนไปแล้ว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนนโยบายของเรา นโยบายของเราเหมือนเดิม และเราจะไม่มีวันปล่อยหลักการทางศีลธรรมและทางสติปัญญาของเราทิ้งไป” ดังนั้นจึงหมายความว่าแม้จะ “ลู่ลม” แต่ “ราก” นั้นไม่เปลี่ยนไปตามลมนั่นเองหลักการการทูตที่ยืดหยุ่นนั้นประกอบไปด้วยสามประการ คือ ไม่อเมริกัน การร่วมมือในภูมิภาค และการผ่อนคลายความตึงเครียด ถนัดได้สร้างช่องทางในการติดต่อกับจีนผ่านคนที่สามในการหาทางอยู่ร่วมกัน เช่น UN รวมไปถึงการติดต่อกับโซเวียตไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าถนัดจะยืนยันว่านโยบายไม่ได้เปลี่ยนก็ตาม แต่การใช้วิธีแบบยืดหยุ่นนี้ได้สร้างการผ่อนคลายได้ในที่สุด และได้กลายเป็นฐานให้ผู้มีอำนาจอื่นๆ ต่อยอดวิธีการของถนัดในการอยู่กับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสันติและปกป้องเอกราชของไทยเอาไว้ได้ถนัดจึงสมควรได้รับการยกย่องที่สุดว่า “ถนัดและคนอื่นๆ ได้คิดในสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้ในสงครามเย็น นั่นคือการอยู่ร่วมกับทั้งจระเข้และเสืออย่างปลอดภัย” และนี่คือถนัด คอมันตร์ ตำนานรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยตลอดกาล #มูลนิธิสยามรีกอเดอ #LueHistory #ประวัติศาสตร์ #ฤๅคัฟเวอรี่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราเคยเจอติ่งการเมืองบางกลุ่มดาร์ก
    ทักมาด่าด้อยค่า และโทรมาขู่ด้วยนะ
    แต่เราก็มองขำๆ ด้วยเวทนาเมตตา
    ที่เขามองอย่างตื้นเขิน เพียงเพราะ
    ไม่ถูกใจตนไม่สนใจถูกต้องกติกา
    สังคมใดๆ เหตุแบบนี้มีมาแต่ตอน
    จัดรายการนานมาแล้ว บอกจะเอา
    ระเบิดมาวางสถานี ดักหน้าซอยบ้าง
    หรือ จะบุกมาหาที่บ้านบ้าง ปัจจุบัน
    ก็มีลักษณะนี้อยู่นะ ซึ่งไม่มีมาหานะ
    แต่ก็ไม่ท้าทายนะ เพียงแต่ งงตรรกะ
    ต้องบอกว่า คนดีๆมีสติปัญญาเขา
    ไม่ทำแบบนี้กันดอกครับ

    ประชาธิปไตยอะไรกัน เราเห็นต่าง
    มองอีกมุม กลับจะท้าตีท้ายต่อยข่มขู่
    หาว่าเราโง่อีกนะ มันดูสิ้นคิดมากๆฮะ
    และเราเองก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฮะครับ

    คนไทยเหมือนกันเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์
    อย่าหลงในภาพนักการเมืองจนเอาอารมณ์
    ตนเป็นใหญ่เหนือความถูกต้องจนไร้สติฮะ
    แล้วสังคมจะดีงามเอย

    คนเราเป็นคนเหมือนกันแต่ความเป็นคนมีไม่เท่ากัน
    สังคมดี บ้านเมืองดี ด้วยเรามีจิตสำนึกความเป็นคนดี
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    เราเคยเจอติ่งการเมืองบางกลุ่มดาร์ก ทักมาด่าด้อยค่า และโทรมาขู่ด้วยนะ แต่เราก็มองขำๆ ด้วยเวทนาเมตตา ที่เขามองอย่างตื้นเขิน เพียงเพราะ ไม่ถูกใจตนไม่สนใจถูกต้องกติกา สังคมใดๆ เหตุแบบนี้มีมาแต่ตอน จัดรายการนานมาแล้ว บอกจะเอา ระเบิดมาวางสถานี ดักหน้าซอยบ้าง หรือ จะบุกมาหาที่บ้านบ้าง ปัจจุบัน ก็มีลักษณะนี้อยู่นะ ซึ่งไม่มีมาหานะ แต่ก็ไม่ท้าทายนะ เพียงแต่ งงตรรกะ ต้องบอกว่า คนดีๆมีสติปัญญาเขา ไม่ทำแบบนี้กันดอกครับ ประชาธิปไตยอะไรกัน เราเห็นต่าง มองอีกมุม กลับจะท้าตีท้ายต่อยข่มขู่ หาว่าเราโง่อีกนะ มันดูสิ้นคิดมากๆฮะ และเราเองก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฮะครับ คนไทยเหมือนกันเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ อย่าหลงในภาพนักการเมืองจนเอาอารมณ์ ตนเป็นใหญ่เหนือความถูกต้องจนไร้สติฮะ แล้วสังคมจะดีงามเอย คนเราเป็นคนเหมือนกันแต่ความเป็นคนมีไม่เท่ากัน สังคมดี บ้านเมืองดี ด้วยเรามีจิตสำนึกความเป็นคนดี มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังคา-เทหน้าเทหลัง ฮวงจุ้ยดี 100%
    .
    หลังคาที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็น “ทรงปั้นหยา” มีมุมหลังคา 35 องศา เพื่อให้กระแสน้ำฝนค่อย ๆ ไหลเทระบายลงมา ให้พลังงานน้ำจากธรรมชาติไหลเวียนลงมาหน้าบ้าน แล้วก่อตัวเป็นลม พัดเข้าสู่ตัวบ้านให้มากที่สุด
    .
    หลังคาได้มุมแบบนี้ ให้ผลดีในทางฮวงจุ้ย ส่งผลต่อเรื่องทรัพย์ และยังส่งผลต่อสติปัญญาความหลักแหลมของผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย
    .
    แต่ถ้าเอาให้สมบูรณ์จริง ๆ รูปแบบหลังคานั้นจะต้องเป็นแบบ “เทหน้า-เทหลัง”
    .
    ลักษณะการเทหน้าเทหลังเราจะดูจากชายคาค่ะ ทิศทางที่น้ำฝนไหลผ่านหลังคาลงมาที่ชายคา จะต้องเป็นหน้าบ้านและหลังบ้าน
    เป็นม่านสายฝนที่ตกผ่านประตูหน้าบ้านโดยไม่มีรางน้ำมากั้น ถือเป็นลักษณะที่ถูกต้องตามตำราฮวงจุ้ยโบราณ ที่เราจะรับเอาน้ำเอาลมเข้าบ้านให้ได้มากที่สุด
    หลังคา-เทหน้าเทหลัง ฮวงจุ้ยดี 100% . หลังคาที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็น “ทรงปั้นหยา” มีมุมหลังคา 35 องศา เพื่อให้กระแสน้ำฝนค่อย ๆ ไหลเทระบายลงมา ให้พลังงานน้ำจากธรรมชาติไหลเวียนลงมาหน้าบ้าน แล้วก่อตัวเป็นลม พัดเข้าสู่ตัวบ้านให้มากที่สุด . หลังคาได้มุมแบบนี้ ให้ผลดีในทางฮวงจุ้ย ส่งผลต่อเรื่องทรัพย์ และยังส่งผลต่อสติปัญญาความหลักแหลมของผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย . แต่ถ้าเอาให้สมบูรณ์จริง ๆ รูปแบบหลังคานั้นจะต้องเป็นแบบ “เทหน้า-เทหลัง” . ลักษณะการเทหน้าเทหลังเราจะดูจากชายคาค่ะ ทิศทางที่น้ำฝนไหลผ่านหลังคาลงมาที่ชายคา จะต้องเป็นหน้าบ้านและหลังบ้าน เป็นม่านสายฝนที่ตกผ่านประตูหน้าบ้านโดยไม่มีรางน้ำมากั้น ถือเป็นลักษณะที่ถูกต้องตามตำราฮวงจุ้ยโบราณ ที่เราจะรับเอาน้ำเอาลมเข้าบ้านให้ได้มากที่สุด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม

    คนเราเกิดมาต่างกัน
    ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา
    แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม”
    ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง
    และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง


    ---

    📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง?

    ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง
    ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง
    ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล

    📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง
    คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย
    เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง
    กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด

    📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม”
    ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา
    ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน
    และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ


    ---

    📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร?

    ⚠ ระวังตัวเองให้ดี
    เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’

    ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง

    ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร

    ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก"

    หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า
    “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?”


    ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ

    คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย

    บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก

    กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง”

    กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ”



    ---

    📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม?

    ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้

    ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที

    ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ

    ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย


    ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น

    หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด

    หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม


    ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น

    กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้

    เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง



    ---

    📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด

    คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง
    คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ
    คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง

    แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้
    กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา

    “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”

    📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม คนเราเกิดมาต่างกัน ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม” ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง --- 📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง? ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล 📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด 📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม” ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ --- 📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร? ⚠ ระวังตัวเองให้ดี เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’ ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก" หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?” ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง” กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ” --- 📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม? ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้ เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง --- 📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้ กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chiromance เป็นวิธีโบราณที่มีบันทึกในการทํานายอนาคตและการตีความบุคลิกภาพและนิสัยของคนจากรูปแบบของลายเส้นของมือของพวกเขา บางครั้งเส้นเหล่านี้สามารถสร้างตัวเลขและตัวอักษรได้....
    หนึ่งในตัวอักษรเหล่านี้อาจจะเป็นตัว M ความหมายของซึ่งได้รับการค้นคว้าจากความลึกลับมากมาย
    เท่าที่หลายคนเชื่อ เส้นบนฝ่ามือเผยนิสัยและโชคชะตาของเราออกมา
    ตัว M ถูกมอบหมายให้กับคนพิเศษอย่างแท้จริง
    พวกเขาได้รับสัญชาตญาณอันพิเศษและจะมีทักษะพิเศษบางอย่าง ที่คนทั่วไปไม่มี

    ด้วยการเป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาสูง คนที่มีตัว M ในฝ่ามือสามารถบอกได้ง่ายว่าพวกเขากําลังถูกโกหกหรือถูกหลอก..ดังนั้น พูดกับเขาไปตรงๆ..
    ผู้หญิงที่มีตัว M บนฝ่ามือ มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งกว่าผู้ชาย ที่ไม่มี
    พวกเขาได้รับอํานาจในการจัดการและเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต และพวกเขารู้วิธีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและโอกาสที่นําเสนอให้กับพวกเขา
    ตัวอักษร "M" บนฝ่ามือของคุณอาจหมายถึง:
    • ทักษะความเป็นผู้นํา
    • พลังงาน
    • ความสุข
    • โอกาสที่ดีเยี่ยม
    ° จิตสัมผัสกับสิ่งเร้นลับ
    คำขยายความที่กล่าวถึง สัญลักษณ์นี้เป็นลักษณะของพระศาสดา...
    ดังนั้นถ้าคุณมีเครื่องหมายนี้อยู่ในมือของคุณ คุณคือคนพิเศษอย่างแท้จริง!
    บางคนมีมันอยู่ในมือเดียว และบางคนมีมันอยู่ในทั้งสองอย่าง
    คุณจะโดดเด่นในเส้นทางที่คุณเลือก ทั้งดี และร้าย. ชีวิตแบบราบเรียบไม่มีในคนที่มีสัญลักษณ์นี้บนมือ..
    จงใฝ่ดี ใฝ่รู้ เพราะถ้าไปทางตรงข้าม..ก็ให้ผลแบบ สุดโต่ง เช่นกัน..
    #คัดลอกแปลจาก บทความต่างประเทศ

    Chiromance เป็นวิธีโบราณที่มีบันทึกในการทํานายอนาคตและการตีความบุคลิกภาพและนิสัยของคนจากรูปแบบของลายเส้นของมือของพวกเขา บางครั้งเส้นเหล่านี้สามารถสร้างตัวเลขและตัวอักษรได้.... หนึ่งในตัวอักษรเหล่านี้อาจจะเป็นตัว M ความหมายของซึ่งได้รับการค้นคว้าจากความลึกลับมากมาย เท่าที่หลายคนเชื่อ เส้นบนฝ่ามือเผยนิสัยและโชคชะตาของเราออกมา ตัว M ถูกมอบหมายให้กับคนพิเศษอย่างแท้จริง พวกเขาได้รับสัญชาตญาณอันพิเศษและจะมีทักษะพิเศษบางอย่าง ที่คนทั่วไปไม่มี ด้วยการเป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาสูง คนที่มีตัว M ในฝ่ามือสามารถบอกได้ง่ายว่าพวกเขากําลังถูกโกหกหรือถูกหลอก..ดังนั้น พูดกับเขาไปตรงๆ.. ผู้หญิงที่มีตัว M บนฝ่ามือ มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งกว่าผู้ชาย ที่ไม่มี พวกเขาได้รับอํานาจในการจัดการและเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ในชีวิต และพวกเขารู้วิธีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและโอกาสที่นําเสนอให้กับพวกเขา ตัวอักษร "M" บนฝ่ามือของคุณอาจหมายถึง: • ทักษะความเป็นผู้นํา • พลังงาน • ความสุข • โอกาสที่ดีเยี่ยม ° จิตสัมผัสกับสิ่งเร้นลับ คำขยายความที่กล่าวถึง สัญลักษณ์นี้เป็นลักษณะของพระศาสดา... ดังนั้นถ้าคุณมีเครื่องหมายนี้อยู่ในมือของคุณ คุณคือคนพิเศษอย่างแท้จริง! บางคนมีมันอยู่ในมือเดียว และบางคนมีมันอยู่ในทั้งสองอย่าง คุณจะโดดเด่นในเส้นทางที่คุณเลือก ทั้งดี และร้าย. ชีวิตแบบราบเรียบไม่มีในคนที่มีสัญลักษณ์นี้บนมือ.. จงใฝ่ดี ใฝ่รู้ เพราะถ้าไปทางตรงข้าม..ก็ให้ผลแบบ สุดโต่ง เช่นกัน.. #คัดลอกแปลจาก บทความต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29/1/68

    จาก เฟสบุ๊คของ Akhom Makaranond (อาคม มกรานนท์)
    ..
    เพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักครับ

    เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังเจอกับฝุ่นพิษ พี.เอ็ม.๒.๕ อย่างหนัก การเดินทางไปไหนมาไหน ก็เหมือนเดินทางฝ่าหมอก รถราติดกันยาวเหยียด ชาวบ้านเจอพิษร้ายคราวนี้ เล่นเอาแย่ไปตามๆกัน หายใจหายคอลำบาก บางรายถึงกับเลือดกำเดาไหล

    รัฐบาลประกาศให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ๗ วัน ที่จริงไม่ได้ฟรีตามที่รัฐบาลบอกหรอกนะ เพราะเอางบประมาณมาใช้ชดเชยงานนี้ถึง ๑๔๐ ล้านบาท จะเรียกว่าฟรีได้ยังไง มันเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง แถมยังมีคำกล่าวของนายกฯแถมมาให้อีกด้วย
    "เราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้"
    เป็นคำกล่าวที่น่ารักมากของนายกฯหญิงคนนี้

    เลยขอฝากถึงนายกฯด้วยว่า"เราก็ไม่สามารถเอานิ้วไปดีดปากที่ท่านพูดออกมาได้ แต่เราขอใช้ปากเชิญท่านและพ่องท่านได้ ใช่ไหม? ส่วนจะเชิญไปไหนคิดเอาเอง ไม่ใช่ให้ไปสวรรค์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าแช่งกัน

    ถ้าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่ คนชั่วอย่างคนๆนี้ จะมีทางเลือกแค่"หนีคดีความ และ เข้าไปอยู่ในคุก"เท่านั้น คนชั่วไม่มีสิทธิ์มาลอยนวลอยู่อย่างนี้หรอก

    ว่าแต่ไปทำอะไรเข้า สส.เขียงใหม่ พรรคของตัวเอง "จักรพล ตั้งสุทธิธรรม" ถึงออกมาเล่นงานหัวหน้าพรรคฯตัวเอง ในฐานะนายกฯ หนีการตอบกระทู้ในสภาฯ ทุกวันพฤหัศบดี แม้แต่กระทู้เรื่องฝุ่นพิษที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ ก็เลี่ยงไม่มาตอบ

    ท่าน สส.เชียงใหม่ นายกฯจะไปทำไม? ไม่มีอะไรจะตอบ เพราะตอบไม่ได้ ไงล่ะ!

    เรื่องนี้สำคัญกว่า อยานึกว่าเขาไม่รู้ ทางการจีนเขามีคนของเขา ส่งข่าวไปให้รัฐบาลของเขาทราบ เขารู้มานานแล้วว่า ข้าราชการไทย และนักการเมืองพรรคใหญ่ มีเอี่ยวกับพวกจีนเทา

    ข่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่า รัฐบาลและข้าราชการไทย เจ้าหน้าที่รัฐ บกพร่อง อ่อนแอ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับขบวนการสีเทา ยิ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า พวกว้าแดงที่เป็นชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธ ขบวนการผลิตยาเสพติด มันไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย เพราะนายกฯและ รมต.กลาโหมไทย มันอ่อนเสียจนเขาไม่เกรงกลัวเลย น่าอายจัง

    ถึงเวลาหรือยัง? หยุดตระกูลโกงชาติ ก่อนที่บ้านเมืองจะพังพินาศจนไม่เหลืออะไรเลย

    นี่ก็อีกคน ไม่ทราบว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด "แก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการแจกมุ้งสู้ฝุ่น ๓ หมื่นกว่าหลัง สู้ฝุ่นหรือสู้ยุง

    รัฐบาลชุดนี้ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ อย่างเรื่องพม่าตัดสินจำคุกลูกเรือประมงไทยที่เกาะสอง

    สื่อเราถามนายกฯว่าจะมีมาตรการอะไรตอบโต้พม่าบ้าง มาตรการตอบโต้ของนายกฯไทย
    ๑. จับพม่าเถื่อนมาขึ้นทะเบียน โดยไม่มีการสอบประวัติอาชญากรรม
    ๒. ให้อยู่ในไทยไม่จำกัดเวลา จะอยู่นานเท่าไรก็ได้
    ๓. ลูกหลานพม่าเรียนฟรี เจ็บป่วยรักษาฟรี
    ส่วนลูกเรือประมงไทย แล้วแต่เวรแต่กรรม พวกพม่าได้ฟังแล้ว พากันกลัวเสียจนเยี่ยวราดกันเป็นแถว

    ประเทศเรา สมรสเท่าเทียมก็มีแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะติดคุกเท่าเทียมคนอื่นเขาเสียที รัฐบาลช่วยคิดด้วยสิ

    เวลานี้รัฐบาลจีนกำลังไล่กำจัดพวกคอลเซนเตอร์ เพื่อปกป้องประเทศของเขา

    สหรัฐอเมริกากำลังขับพวกอพยพออกนอกประเทศ

    ประเทศไทย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนไทย แต่ทำเพื่อคนพม่า

    มันผู้ใดที่ทำร้ายบ้านเมือง ขอให้มันจงฉิบหายทั้งตระกูล สาธุ

    เราจะช่วยกันด่าหรือจะช่วยกันชม ฟังนะ

    นางหนึ่งบอก เรื่องฝุ่น พี.เอ็ม.๒.๕ นี่นะ คิดมาตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกฯ และตามที่หาเสียงไว้"เพื่อไทยแก้ฝุ่นที่ต้นตอ"
    นายหนึ่ง (ที่จริงก็พวกเดียวกันนั่นแหละ)บอกว่า"ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ ผมศึกษามานานถึง ๒ ปี
    พ่อของพรรคก็จ้อหลอกชาวบ้านว่า"ถ้าเพื่อไทยทำไม่ได้ ให้ชี้หน้าด่าได้เลย"

    รัฐบาลประยุทธ์ฯพยายามแก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน
    รัฐบาลเพื่อไทยแก้ปัญหาด้วยการ นั่งรถ ขสมก.- รถไฟฟ้าฟรี(ใช้งบ ๑๔๐ ล้านบาท)

    เห็นไหม"สติปัญญาของคนมันต่างกัน"เชื่อหรือยังล่ะ?

    วันนี้จบแค่นี้ก่อน เช่นเคย ขอฝากข้อคิดให้ไปคิดกัน การที่จะให้คนชั่วสูญพันธ์ ต้องใช้แบบนี้
    "คนที่ลืมรากเหง้าของ ตนเอง ทรยศต่อมาตุภูมิ และทำให้ชาติต้องแตกแยก มักจะเจอจุดจบที่ไม่ดี"

    อย่าลืมกันเสียล่ะ ช่วยดูๆกันด้วยนะ ถ้าหน้าแล้งปีนี้ ไม่มีน้ำ "ฝนหลวง"มีงบไม่พอ พี่น้องที่เลือก ๑๐ ล้านเสียง อย่าร้องเอะอะโวยวายนะ "ไอโอดิน" กินแล้วไม่โง่ สิบอกให้

    ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เลือกพรรคนี้มาเป็นรัฐบาล แทนที่จะได้ฝน กลับได้ฝุ่นมาแทน

    ใครบอก คนตกงานต้องเดินเตะฝุ่น ตอนนี้คนมีงานก็ต้องเดินเตะฝุ่นกันเพียบเลย

    สวัสดี.
    29/1/68 จาก เฟสบุ๊คของ Akhom Makaranond (อาคม มกรานนท์) .. เพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักครับ เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังเจอกับฝุ่นพิษ พี.เอ็ม.๒.๕ อย่างหนัก การเดินทางไปไหนมาไหน ก็เหมือนเดินทางฝ่าหมอก รถราติดกันยาวเหยียด ชาวบ้านเจอพิษร้ายคราวนี้ เล่นเอาแย่ไปตามๆกัน หายใจหายคอลำบาก บางรายถึงกับเลือดกำเดาไหล รัฐบาลประกาศให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ๗ วัน ที่จริงไม่ได้ฟรีตามที่รัฐบาลบอกหรอกนะ เพราะเอางบประมาณมาใช้ชดเชยงานนี้ถึง ๑๔๐ ล้านบาท จะเรียกว่าฟรีได้ยังไง มันเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง แถมยังมีคำกล่าวของนายกฯแถมมาให้อีกด้วย "เราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้" เป็นคำกล่าวที่น่ารักมากของนายกฯหญิงคนนี้ เลยขอฝากถึงนายกฯด้วยว่า"เราก็ไม่สามารถเอานิ้วไปดีดปากที่ท่านพูดออกมาได้ แต่เราขอใช้ปากเชิญท่านและพ่องท่านได้ ใช่ไหม? ส่วนจะเชิญไปไหนคิดเอาเอง ไม่ใช่ให้ไปสวรรค์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าแช่งกัน ถ้าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่ คนชั่วอย่างคนๆนี้ จะมีทางเลือกแค่"หนีคดีความ และ เข้าไปอยู่ในคุก"เท่านั้น คนชั่วไม่มีสิทธิ์มาลอยนวลอยู่อย่างนี้หรอก ว่าแต่ไปทำอะไรเข้า สส.เขียงใหม่ พรรคของตัวเอง "จักรพล ตั้งสุทธิธรรม" ถึงออกมาเล่นงานหัวหน้าพรรคฯตัวเอง ในฐานะนายกฯ หนีการตอบกระทู้ในสภาฯ ทุกวันพฤหัศบดี แม้แต่กระทู้เรื่องฝุ่นพิษที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ ก็เลี่ยงไม่มาตอบ ท่าน สส.เชียงใหม่ นายกฯจะไปทำไม? ไม่มีอะไรจะตอบ เพราะตอบไม่ได้ ไงล่ะ! เรื่องนี้สำคัญกว่า อยานึกว่าเขาไม่รู้ ทางการจีนเขามีคนของเขา ส่งข่าวไปให้รัฐบาลของเขาทราบ เขารู้มานานแล้วว่า ข้าราชการไทย และนักการเมืองพรรคใหญ่ มีเอี่ยวกับพวกจีนเทา ข่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่า รัฐบาลและข้าราชการไทย เจ้าหน้าที่รัฐ บกพร่อง อ่อนแอ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับขบวนการสีเทา ยิ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า พวกว้าแดงที่เป็นชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธ ขบวนการผลิตยาเสพติด มันไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย เพราะนายกฯและ รมต.กลาโหมไทย มันอ่อนเสียจนเขาไม่เกรงกลัวเลย น่าอายจัง ถึงเวลาหรือยัง? หยุดตระกูลโกงชาติ ก่อนที่บ้านเมืองจะพังพินาศจนไม่เหลืออะไรเลย นี่ก็อีกคน ไม่ทราบว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด "แก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการแจกมุ้งสู้ฝุ่น ๓ หมื่นกว่าหลัง สู้ฝุ่นหรือสู้ยุง รัฐบาลชุดนี้ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ อย่างเรื่องพม่าตัดสินจำคุกลูกเรือประมงไทยที่เกาะสอง สื่อเราถามนายกฯว่าจะมีมาตรการอะไรตอบโต้พม่าบ้าง มาตรการตอบโต้ของนายกฯไทย ๑. จับพม่าเถื่อนมาขึ้นทะเบียน โดยไม่มีการสอบประวัติอาชญากรรม ๒. ให้อยู่ในไทยไม่จำกัดเวลา จะอยู่นานเท่าไรก็ได้ ๓. ลูกหลานพม่าเรียนฟรี เจ็บป่วยรักษาฟรี ส่วนลูกเรือประมงไทย แล้วแต่เวรแต่กรรม พวกพม่าได้ฟังแล้ว พากันกลัวเสียจนเยี่ยวราดกันเป็นแถว ประเทศเรา สมรสเท่าเทียมก็มีแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะติดคุกเท่าเทียมคนอื่นเขาเสียที รัฐบาลช่วยคิดด้วยสิ เวลานี้รัฐบาลจีนกำลังไล่กำจัดพวกคอลเซนเตอร์ เพื่อปกป้องประเทศของเขา สหรัฐอเมริกากำลังขับพวกอพยพออกนอกประเทศ ประเทศไทย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนไทย แต่ทำเพื่อคนพม่า มันผู้ใดที่ทำร้ายบ้านเมือง ขอให้มันจงฉิบหายทั้งตระกูล สาธุ เราจะช่วยกันด่าหรือจะช่วยกันชม ฟังนะ นางหนึ่งบอก เรื่องฝุ่น พี.เอ็ม.๒.๕ นี่นะ คิดมาตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกฯ และตามที่หาเสียงไว้"เพื่อไทยแก้ฝุ่นที่ต้นตอ" นายหนึ่ง (ที่จริงก็พวกเดียวกันนั่นแหละ)บอกว่า"ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ ผมศึกษามานานถึง ๒ ปี พ่อของพรรคก็จ้อหลอกชาวบ้านว่า"ถ้าเพื่อไทยทำไม่ได้ ให้ชี้หน้าด่าได้เลย" รัฐบาลประยุทธ์ฯพยายามแก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเพื่อไทยแก้ปัญหาด้วยการ นั่งรถ ขสมก.- รถไฟฟ้าฟรี(ใช้งบ ๑๔๐ ล้านบาท) เห็นไหม"สติปัญญาของคนมันต่างกัน"เชื่อหรือยังล่ะ? วันนี้จบแค่นี้ก่อน เช่นเคย ขอฝากข้อคิดให้ไปคิดกัน การที่จะให้คนชั่วสูญพันธ์ ต้องใช้แบบนี้ "คนที่ลืมรากเหง้าของ ตนเอง ทรยศต่อมาตุภูมิ และทำให้ชาติต้องแตกแยก มักจะเจอจุดจบที่ไม่ดี" อย่าลืมกันเสียล่ะ ช่วยดูๆกันด้วยนะ ถ้าหน้าแล้งปีนี้ ไม่มีน้ำ "ฝนหลวง"มีงบไม่พอ พี่น้องที่เลือก ๑๐ ล้านเสียง อย่าร้องเอะอะโวยวายนะ "ไอโอดิน" กินแล้วไม่โง่ สิบอกให้ ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เลือกพรรคนี้มาเป็นรัฐบาล แทนที่จะได้ฝน กลับได้ฝุ่นมาแทน ใครบอก คนตกงานต้องเดินเตะฝุ่น ตอนนี้คนมีงานก็ต้องเดินเตะฝุ่นกันเพียบเลย สวัสดี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 947 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีฉลู

    เพื่อเป็นการสยบพลังมืดของดาวร้ายและเสริมกระแสน้อมรับพลังมงคล จึงควรน้อมจิตน้อมใจไปกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและการเรียนรู้ ทรงบารมีในเรื่อง ความฉลาดหลักแหลมด้วยแสงแห่งปัญญา หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทุกศาลที่มีรูปปั้นจำลองขององค์เทพท่านสถิตอยู่ เพื่อรับพรพระเมตตารับฟังต่อทุกคำอธิษฐานพร้อมน้อมฝากดวงชะตาขอบารมีต่อพระองค์ท่านได้โปรดเมตตาประทานแสงสว่างที่จะขจัดออกซึ่งความมืดของปัญหาความวุ่นวายหม่นทึบให้พินาศ และเปิดดวงตารับรู้ให้เห็นช่องทางแก้ไขสถานการณ์นั้นก้าวข้ามผ่านพ้นอุปสรรคความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด ด้วยพร บารมีแห่งแสงของสติปัญญาที่พระองค์เทพท่านเมตตาดลบันดาลประทานให้ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อรำลึกถึงพลังแห่งปัญญาที่ส่งเสริมพลังเทพที่เมตตาบารมีจากพระองค์ท่านได้สถิตคุ้มครองให้พบกับทางออกของทุกๆปัญหา โดยการตัดสินใจที่พร้อมด้วยปัญญาอันชาญฉลาดอย่างแหลมคม พร้อมรับตำแหน่งหน้าที่การงานด้วยความเจริญก้าวหน้า ตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีฉลู เพื่อเป็นการสยบพลังมืดของดาวร้ายและเสริมกระแสน้อมรับพลังมงคล จึงควรน้อมจิตน้อมใจไปกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและการเรียนรู้ ทรงบารมีในเรื่อง ความฉลาดหลักแหลมด้วยแสงแห่งปัญญา หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทุกศาลที่มีรูปปั้นจำลองขององค์เทพท่านสถิตอยู่ เพื่อรับพรพระเมตตารับฟังต่อทุกคำอธิษฐานพร้อมน้อมฝากดวงชะตาขอบารมีต่อพระองค์ท่านได้โปรดเมตตาประทานแสงสว่างที่จะขจัดออกซึ่งความมืดของปัญหาความวุ่นวายหม่นทึบให้พินาศ และเปิดดวงตารับรู้ให้เห็นช่องทางแก้ไขสถานการณ์นั้นก้าวข้ามผ่านพ้นอุปสรรคความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด ด้วยพร บารมีแห่งแสงของสติปัญญาที่พระองค์เทพท่านเมตตาดลบันดาลประทานให้ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อรำลึกถึงพลังแห่งปัญญาที่ส่งเสริมพลังเทพที่เมตตาบารมีจากพระองค์ท่านได้สถิตคุ้มครองให้พบกับทางออกของทุกๆปัญหา โดยการตัดสินใจที่พร้อมด้วยปัญญาอันชาญฉลาดอย่างแหลมคม พร้อมรับตำแหน่งหน้าที่การงานด้วยความเจริญก้าวหน้า ตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..."

    ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ

    เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า

    "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว

    ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

    ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

    ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..."

    สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน

    ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

    อ้างอิง:

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html

    อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/

    คลิปรายการของไทยโพสต์:
    https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..." ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..." สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ อ้างอิง: พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/ คลิปรายการของไทยโพสต์: https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์
    ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น
    แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ
    1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้
    2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม
    3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส
    4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา
    ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์ ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ 1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้ 2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม 3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส 4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • การรักที่ถูกต้องตามหลักธรรม
    การรักที่ถูกต้องตามหลักธรรม คือ การรักอย่างมีสติปัญญาและเหตุผล โดยให้มีสติกับเหตุผลกำกับด้วยในการรัก ไม่ใช่การรักที่ใช้อารมณ์และความรู้สึก ขาดสติปัญญาและเหตุผล ซึ่งนั่นก็คือการรักที่ถูกต้องถูกวิธีตามหลักธรรมนั่นเอง และจะต้องถูกหลักระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามด้วย ไม่ใช่แค่รักกันอย่างไร้ทิศทางและขาดสติปัญญาและเหตุผลแต่เพียงอย่างเดียว
    การรักที่ถูกต้องตามหลักธรรม การรักที่ถูกต้องตามหลักธรรม คือ การรักอย่างมีสติปัญญาและเหตุผล โดยให้มีสติกับเหตุผลกำกับด้วยในการรัก ไม่ใช่การรักที่ใช้อารมณ์และความรู้สึก ขาดสติปัญญาและเหตุผล ซึ่งนั่นก็คือการรักที่ถูกต้องถูกวิธีตามหลักธรรมนั่นเอง และจะต้องถูกหลักระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามด้วย ไม่ใช่แค่รักกันอย่างไร้ทิศทางและขาดสติปัญญาและเหตุผลแต่เพียงอย่างเดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด
    ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ
    1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย
    2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์
    3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง
    4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง
    ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ 1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย 2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์ 3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง 4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลังวิเศษ10ประการที่ผมปรารถนา(พรที่ได้รับมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนให้มา)
    ถ้าผมสามารถมีพลังวิเศษที่สามารถที่จะคุ้มครองคนดี(เพื่อนพ้อง)และกำราบคนชั่ว(อริศัตรู)ได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว อย่างในภาพยนตร์เรื่องเอ็กซ์เม็นล่ะก็ ผมจะใช้พลังที่ว่ามานี้เพื่อทำให้โลกที่ทุกวันนี้เสื่อมทรามลงให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ซึ่งพลังวิเศษที่ว่าของผมมีดังต่อไปนี้คือ
    1.มีสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง
    2.มีนัยน์ตาเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง
    3.มีนัยน์ตามาร ฆ่าทำลายทุกสรรพสิ่ง
    4.มีหัตถ์โคตรเทพ พร้อมพลังของโคตรเทพ
    5.มีหัตถ์โคตรมาร พร้อมพลังของโคตรมาร
    6.มีพลังเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายชั่วพริบตา
    7.มีพลังควบคุมกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    8.มีร่างทิพย์ ร่างเทพ ร่างมาร
    9.มีพลังอมตะ ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย
    10.มีอาวุธวิเศษ ดาบปราบมาร
    ซึ่งพลังทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งคือ ใช้ได้ผลเฉพาะกับคนชั่วเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นคนดีก็จะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด และสามารถใช้กับภูติผีปีศาจอสูรเทพมารได้อีกด้วยครับ
    พลังวิเศษ10ประการที่ผมปรารถนา(พรที่ได้รับมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนให้มา) ถ้าผมสามารถมีพลังวิเศษที่สามารถที่จะคุ้มครองคนดี(เพื่อนพ้อง)และกำราบคนชั่ว(อริศัตรู)ได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว อย่างในภาพยนตร์เรื่องเอ็กซ์เม็นล่ะก็ ผมจะใช้พลังที่ว่ามานี้เพื่อทำให้โลกที่ทุกวันนี้เสื่อมทรามลงให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ซึ่งพลังวิเศษที่ว่าของผมมีดังต่อไปนี้คือ 1.มีสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง 2.มีนัยน์ตาเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง 3.มีนัยน์ตามาร ฆ่าทำลายทุกสรรพสิ่ง 4.มีหัตถ์โคตรเทพ พร้อมพลังของโคตรเทพ 5.มีหัตถ์โคตรมาร พร้อมพลังของโคตรมาร 6.มีพลังเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายชั่วพริบตา 7.มีพลังควบคุมกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต 8.มีร่างทิพย์ ร่างเทพ ร่างมาร 9.มีพลังอมตะ ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย 10.มีอาวุธวิเศษ ดาบปราบมาร ซึ่งพลังทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งคือ ใช้ได้ผลเฉพาะกับคนชั่วเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นคนดีก็จะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด และสามารถใช้กับภูติผีปีศาจอสูรเทพมารได้อีกด้วยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • 40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก
    .
    กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต)
    .
    ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก
    .
    ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด
    .
    งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์
    .
    แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก
    .
    40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด
    .
    .
    1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything."

    "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง"
    .
    .
    2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something."

    "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง"
    .
    .
    3. "The beginning is the most important part of the work."

    "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน"
    .
    .
    4. "No one is more hated than he who speaks the truth."

    "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง"
    .
    .
    5. "Necessity is the mother of invention."
    "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น"
    .
    .
    6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge."

    "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้"
    .
    .
    7. "The measure of a man is what he does with power."

    "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ"
    .
    .
    8. "The first and best victory is to conquer self."

    "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง"
    .
    .
    9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves."

    "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน"
    .
    .
    10. "Those who tell the stories rule society."

    "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม"
    .
    .
    11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself."

    "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้"
    .
    .
    12. "Ignorance, the root and the stem of every evil."

    "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง"
    .
    .
    13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light."

    "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง"
    .
    .
    14. "The worst form of injustice is pretended justice."

    "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม"
    .
    .
    15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance."

    "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา"
    .
    .
    16. "Geometry existed before creation."

    "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์"
    .
    .
    17. "Writing is the geometry of the soul."
    "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ"
    .
    .
    18. "Courage is knowing what not to fear."

    "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว"
    .
    .
    19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers."

    "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด"
    .
    .
    20. "Education is teaching our children to desire the right things."

    "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง"
    .
    .
    21. "Philosophy is the highest music."

    "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด"
    .
    .
    22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain."

    "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์"
    .
    .
    23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each."

    "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ"
    .
    .
    24. "You should not honor men more than truth."

    "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง"
    .
    .
    25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men."

    "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน"
    .
    .
    26. "At the touch of love everyone becomes a poet."

    "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี"
    .
    .
    27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil."

    "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง"
    .
    .
    28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser."

    "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก"
    .
    .
    29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so."

    "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี"
    .
    .
    30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy."

    "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา"
    .
    .
    31. "Courage is a kind of salvation."

    "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น"
    .
    .
    32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not."

    "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่"
    .
    .
    33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker."

    "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า"
    .
    .
    34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth."

    "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น"
    .
    .
    35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want."

    "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด"
    .
    .
    36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age."

    "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา"
    .
    .
    37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others."

    "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้"
    .
    .
    38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road."

    "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน"
    .
    .
    39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright."

    "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น"
    .
    .
    40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they."

    "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า"
    .
    .
    .
    .
    #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก . กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต) . ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก . ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด . งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์ . แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก . 40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด . . 1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything." "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง" . . 2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something." "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง" . . 3. "The beginning is the most important part of the work." "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน" . . 4. "No one is more hated than he who speaks the truth." "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง" . . 5. "Necessity is the mother of invention." "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น" . . 6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge." "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้" . . 7. "The measure of a man is what he does with power." "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ" . . 8. "The first and best victory is to conquer self." "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง" . . 9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves." "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน" . . 10. "Those who tell the stories rule society." "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม" . . 11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself." "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้" . . 12. "Ignorance, the root and the stem of every evil." "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง" . . 13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light." "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง" . . 14. "The worst form of injustice is pretended justice." "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม" . . 15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance." "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา" . . 16. "Geometry existed before creation." "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์" . . 17. "Writing is the geometry of the soul." "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ" . . 18. "Courage is knowing what not to fear." "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว" . . 19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers." "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด" . . 20. "Education is teaching our children to desire the right things." "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง" . . 21. "Philosophy is the highest music." "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด" . . 22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain." "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์" . . 23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each." "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ" . . 24. "You should not honor men more than truth." "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง" . . 25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men." "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน" . . 26. "At the touch of love everyone becomes a poet." "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี" . . 27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil." "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง" . . 28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser." "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก" . . 29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so." "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี" . . 30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy." "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา" . . 31. "Courage is a kind of salvation." "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น" . . 32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not." "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่" . . 33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker." "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า" . . 34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth." "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น" . . 35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want." "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด" . . 36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age." "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา" . . 37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others." "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้" . . 38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road." "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน" . . 39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright." "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น" . . 40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they." "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า" . . . . #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่านที่เกิดปีฉลู

    ในปี 2568 นี้... พลังชีวิตของคนที่เกิดปีฉลูทุกๆคน ได้รับพลังฟ้าที่เมตตาจากดาวเทพมงคล三台(ซำไท้) ช่วยสลายผ่อนคลายเรื่องหนักให้เป็นเบาบางและพลิกร้ายกลับหายไป เป็นพละกำลังฟันฝ่าอุปสรรคให้ได้รับชัยชนะในการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งให้ได้ปรับเลื่อนขั้นหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ โดดเด่น เจริญก้าวหน้า คิดริเริ่มโครงการใหม่ๆก็จะพบกับความสำเร็จลุล่วง จนมีฐานะทางสังคมที่ดีและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ที่อยู่ในวัยศึกษาหาความรู้จะมีสติปัญญาที่ดีจดจำง่ายส่งผลให้การเรียนและการสอบสำเร็จสมหวังสมปรารถนาตลอดทั้งปี

    แต่ในความรุ่งโรจน์สดใสจะถูกบดบังด้วยกระแสพลังดาวร้าย五鬼(โหงวกุ้ย) ที่มีอำนาจรุนแรงที่สุดในกลุ่มดาวร้ายที่สถิตในเรือนชะตา เช่น ดาวร้าย官符(กัวฮู้) ดาวร้าย指背(จี๋ป่วย) และดาวร้าย天哭(เทียงเข่า) ร่วมด้วยช่วยกันจรกระหน่ำซ้ำเติม ส่งผลให้จะมีคนคิดร้ายหักหลังขัดขวางให้ไม่ราบรื่น แม้สู้อุตส่าห์ตั้งใจแต่ก็ยังเจอกับปัญหาให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินอย่างยากที่จะควบคุม โดยเฉพาะคู่กรณีที่เข้ามาฉ้อฉลให้หลงกลโกง ต้องตั้งสติไม่ละโมบโลภมากหวังแต่ประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง เงินจะได้ไม่สูญทองจะได้ไม่เสีย ไม่วุ่นวายให้ต้องพัวพันกับคดีความน้อยใหญ่ และที่ต้องใส่ใจอีกเรื่องคือ สุขภาพร่างกาย หากพบสัญญาณบ่งบอกอาการเจ็บไข้ได้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อรีบรักษาทันที ทั้งความวัวยังไม่หายความควายยังเข้ามาแทรกถึงขนาดฟ้ายังต้องร่วมร้องไห้เศร้าโศกกับการจากไปของผู้หลักผู้ใหญ่และการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของลูกหลานอีกด้วย

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ท่านที่เกิดปีฉลู ในปี 2568 นี้... พลังชีวิตของคนที่เกิดปีฉลูทุกๆคน ได้รับพลังฟ้าที่เมตตาจากดาวเทพมงคล三台(ซำไท้) ช่วยสลายผ่อนคลายเรื่องหนักให้เป็นเบาบางและพลิกร้ายกลับหายไป เป็นพละกำลังฟันฝ่าอุปสรรคให้ได้รับชัยชนะในการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งให้ได้ปรับเลื่อนขั้นหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ โดดเด่น เจริญก้าวหน้า คิดริเริ่มโครงการใหม่ๆก็จะพบกับความสำเร็จลุล่วง จนมีฐานะทางสังคมที่ดีและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ที่อยู่ในวัยศึกษาหาความรู้จะมีสติปัญญาที่ดีจดจำง่ายส่งผลให้การเรียนและการสอบสำเร็จสมหวังสมปรารถนาตลอดทั้งปี แต่ในความรุ่งโรจน์สดใสจะถูกบดบังด้วยกระแสพลังดาวร้าย五鬼(โหงวกุ้ย) ที่มีอำนาจรุนแรงที่สุดในกลุ่มดาวร้ายที่สถิตในเรือนชะตา เช่น ดาวร้าย官符(กัวฮู้) ดาวร้าย指背(จี๋ป่วย) และดาวร้าย天哭(เทียงเข่า) ร่วมด้วยช่วยกันจรกระหน่ำซ้ำเติม ส่งผลให้จะมีคนคิดร้ายหักหลังขัดขวางให้ไม่ราบรื่น แม้สู้อุตส่าห์ตั้งใจแต่ก็ยังเจอกับปัญหาให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินอย่างยากที่จะควบคุม โดยเฉพาะคู่กรณีที่เข้ามาฉ้อฉลให้หลงกลโกง ต้องตั้งสติไม่ละโมบโลภมากหวังแต่ประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง เงินจะได้ไม่สูญทองจะได้ไม่เสีย ไม่วุ่นวายให้ต้องพัวพันกับคดีความน้อยใหญ่ และที่ต้องใส่ใจอีกเรื่องคือ สุขภาพร่างกาย หากพบสัญญาณบ่งบอกอาการเจ็บไข้ได้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อรีบรักษาทันที ทั้งความวัวยังไม่หายความควายยังเข้ามาแทรกถึงขนาดฟ้ายังต้องร่วมร้องไห้เศร้าโศกกับการจากไปของผู้หลักผู้ใหญ่และการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของลูกหลานอีกด้วย ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • 31-12-67/01 : หมี CNN / "บทสรุปมหากาพย์สุดยอดปี 67" จะเล่าแบบม้วนเดียวจบ รีบอ่านก่อนโดนลบ !!

    หลังโซเวียตแตก รัสเซีย จีน อิหร่าน เริ่มคุยกันนับแต่นั้นมา NATO เดินหน้าเขมือบแผ่นดินเก่าโซเวียต ล้างสมองคลั่งปชต. ความอดทนกว่า 30 ปี ทำให้ขั้วใหม่ผงาดฟ้า วิ่งแบบม้วนเดียวจบ สูตรเอาคืนคือ "ย้อนเกล็ดเหี้ย" ยึดพลังงาน อาหาร นวตกรรม การเงิน โลจิสติค แหล่งแร่ ทั้งหมด คือดึงทุกอย่างที่เหี้ยเคยมี เคยสร้าง ให้ย้ายฝั่งมาเอเซียทั้งหมด จุดเริ่มคือ จีนดึงโสมแดง อาเซียน แปซิฟิค แอฟริกา อิหร่านดึงโลกอาหรับ มุสลิม รัสเซียดึงยูเรเซีย ลาติน หมู่เกาะแคริบเบี้ยน 30 ปี ที่เข้าไปสร้างโครงสร้างให้ชาติกำลังพัฒนา เช่นเดียวกับสร้างฐานกองกำลัง ศูนย์ฝึกหน่วยรบป้องกันความมั่นคง จะแยกโลกออกจากเหี้ยได้ ต้องมีขุมกำลังที่ใหญ่กว่า แสนยานุภาพมากกว่า ทำได้ เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน มีสิ่งที่เหี้ยไม่มี นั่นคือ "แรงปรารถนา"

    ปัญหาของโลกคือ ทรัพยากรมีไว้ให้ใช้ไม่สิ้นสุด แต่เหี้ยยิวคิดจะเขมือบคนเดียว ขั้วใหม่ ใช้จุดนี้ ตีแสกหน้าเหี้ย สูตรใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ ทำทุกอย่างตรงกันข้ามเหี้ยให้หมด ถึงได้ดึงทั้งโลกเข้ามาหาอย่างง่ายดาย มีใครอยากจะเป็นขี้ข้าเหี้ยไปตลอดชีวิตกันล่ะ นอกจากควายไทยบัดซบบางกลุ่มเท่านั้น เมื่อขุมกำลังใหญ่ขึ้น ก็คิดใหญ่มากกว่าเดิม จากแค่คิดเอาของเก่าคืน แต่เนื่องจากเหี้ยเล่นไม่เลิก จะประกาศศักดาทั้งที มันต้องเอาให้โลกจดจำ ปูติน คุย สีจิ้นผิง ถึงโครงการสายไหมของจีน สอดประสานเส้นทางท่แก็สรัสเซีย เชื่อมโลกทั้งใบ โดยมีอิหร่าน ตุรกี เป็นตัวเชื่อมเอเซีย แอฟริกา ลาติน ที่ผ่านมา เหี้ยยิวใช้เหี้ยอูฐ ในการแบ่งปันพลังงานให้เหล่าขี้ข้า และถูกเอาเปรียบ ชี้นิ้วสั่งตลอดเวลา ชนกับรัสเซียหลายครั้งในกลุ่ม OPEC จนถูกสั่งสอน น้ำมันท่วมโลก รัสเซียตัดราคา จนเหี้ยอูฐต้องเทน้ำมันทิ้ง เผาทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีที่เก็บ จากนั้น จีนก็เข้ามาเชื่อมสัมพันธ์ เปิดทางเดินปลดแอกเหี้ยให้เหี้ยอูฐ UAE กาตาร์ ต่างร่วมมือ แต่ยังเกรงใจเหี้ยอยู่ ไปไม่สุด ยังแทงกั๊ก จีน รัสเซีย อิหร่าน ถึงต้องขีดเส้นตายให้ การเปิดปมสงครามเยรูซาเล็ม โดยมีฮามาสประกาศศึก นั่นคือหมากที่รัสเซีย จีน อิหร่าน วางเอาไว้แต่แรกแล้ว มันจะมาหลังจากเครมลินเปิดหน้าชน NATO ที่ยูเครน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนปูติน

    ไอ้อีเหี้ยหิวแสงทั้งหลาย จะกระโดดร่วมหม้อตุ๋น ตายห่าเกลื่อน นี่คือกับดักที่รัสเซียวางไว้ พลิกล็อค เหี้ยก็คิดว่าจะใช้ยูเครนเป็นเหยื่อล่อให้รัสเซียติดหล่มสงครามยาวจนเศรษฐกิจพัง เแล้วไหงกลับตาลปัตร NATO EU อเมริกา อิสราเอล เจ๊งยับเยิน เหตุเพราะรัสเซียมีจีน ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ไอ ออกหน้า ยู ออกตังค์ โอเคมั้ย? ที่มาว่าจีนสั่งพลังงานรัสเซียเต็มอัตราศึก อีแขกก็กระโดดร่วมด้วย ทั้งตุรกี ฟาโรห์ เอาด้วยหมด เพราะอยากกินส่วนต่าง ที่ไอ้อีหน้าโง่ยุโรปเสือกคว่ำบาตรจ้าวพลังงานโลก เหี้ยอูฐ และกลุ่ม OPEC+ จับมือยึดพลังงานโลก ไม่แจกจ่ายผลิตเพิ่มให้ตะวันตก เพื่อสอดคล้องแผนการมาของ BRICS ใครเข้า จะได้ใช้พลังงานราคาถูก เมื่อปากท้องเรียกร้อง หลังยุโรปติดหล่มสงครามจนเศรษฐกิจพังยับ อียิวก็ถูกรุกคืบอย่างหนัก เหี้ยถึงคิดจะหนีไปจุดไฟต่อที่แปซิฟิค อาเซียน แทน โดยใช้อีไต้หวัน อีปินส์ เป็นเหยื่อล่อจีน แต่รายนี้ ไม่เคยรอให้มรึงเขยิบก่อน จีนเปิดเกาะสแปรดลี่ย์ สร้างฐานทัพกันชนรอไว้ล่วงหน้าแล้ว ล่อเหี้ยเข้ามาตาย ที่นี่ถิ่นจีน ใครได้เปรียบกันล่ะ?

    อิหร่านจัดแผนโฆษณาชวนเชื่อสำเร็จ โลกประจักษ์เห็นธาตุแท้อียิวจนหมดเปลือก ได้กระแสต่อต้านยิวมาเต็มตรีน แม้แต่ยุโรปโลกสวยยังรับอียิวไม่ไหว? ชาวปาเลสไตน์ไม่ได้ตายเปล่า เค้าเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแลกแผ่นดินคานาอันคืน แผนการรบที่ผ่านมา ทั้งการตายแบบนินจาฮาโตริ ของบรรดาผู้นำกองกำลัง ผู้นำประเทศ แม้แต่หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ มันคือส่วนนึงของแผน ข่าวกรองถึงกันหมด ส่งใครมา อาวุธจากไหน กล้องวงจรปิด โทรศ์พท์ อินเตอร์เน็ต GPS อะไรที่เหี้ยมี รัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีมากกว่าเยอะ หน่วยไซเบอร์จีนมีเป็นล้าน มรึงจะเอาใครค้นหาได้เร็วกว่าล่ะ? AI ใครพัฒนาเร็วสุด ดาวเทียมรุ่นใหม่ ใครล้ำหน้าที่สุด ดังนั้น เวลาจะเจอข่าวอะไร? มันมีอยู่แค่ "เค้าต้องการให้รู้แค่ไหน" อะไรที่เป็นความลับ จะไม่มีวันได้รู้ เพราะนั่นคือเป้าหมายแท้จริง จนถึงวันที่สำเร็จแล้ว

    แผนการทั้งหมดแค่เป็นส่วนนึงของแผนการใหญ่ การเปลี่ยนโลกไม่ง่ายดาย การจะให้ควายทั้งโลกเดินตามได้ ต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าใครคือ "หัวหน้าตัวจริง" ควายจะยอมรับแค่ "อำนาจ กับเงินตรา" หากมี 2 สิ้งนี้ 100 ขี้ข้าเหี้ยก็ยอมย้ายขั้วชัวร์ ขั้วใหม่อ่านจุดนี้ขาดกระจุย ถึงได้มีตัวละครใหม่เข้ามาในเกมส์นี้ ไม่ซ้ำหน้า ทั้งตุรกี ทั้งซาอุ UAE ฟาโรห์ ทั้งหมารับใช้เหี้ยในอาเซียน และเอเซียใต้ ย้ายหมด รวดเร็วเกินคาด เพราะเจ้ามือเก่า เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว รอวันฟองสบู่แตก จริงๆ คือแตกไปนานแล้ว มันอยู่ที่จีน รัสเซีย จะประกาศเป็นทางการเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ที่ยังเลี้ยงไว้ ก็เพื่อรอคอยเวลาที่ใช่ หากเลือกจังหวะผิด เกมส์ที่เดินมาทั้งหมด จะย้อนกลับทันที ไม่เร่งเกินไป ไม่รอจนเกิดสูญญากาศ หากสังเกตุ ผู้นำยุโรปเริ่มเปลี่ยนหน้าไปแล้วหลายประเทศ แนวทางปชต.เริ่มเป็นที่ไม่ยอมรับ กติกาเดิมโลกไม่เอา ของสดใหม่ ย่อมดีกว่าเสมอ หากเอาผลประโยชน์ร่วมเป็นที่ตั้ง เมื่อเห็นภาพรวมใหญ่แล้วว่า รัสเซีย จีน จะเดินหน้า โดยใช้ BRICS นำโลก ใช้เส้นทางสายไหมจีน เดินคู่ท่อแก็ส โลจิสติคถึง พลังงานถึง โลกจะเดินหน้าเร็วกว่าเก่าเยอะ ด้วยเทคโนโลยีจีนยุคใหม่ ทำอะไรก็ได้แค่ 30 วัน

    กองกำลัง แสนยานุภาพที่มีทั้งหมดในวันนี้ จะกลายเป็นเป็นกองทัพโลกยุคใหม่ในไม่ช้า? จะไม่เหลือ NATO อีกต่อไป เพราะโลกคือโลกเดียว กติกาเดียว สภาโลกก่อเกิด กองทัพโลกจึงเกิดตาม หมดยุคทะเลาะกัน ไม่มีอียิวนำ โลกสงบสุข เพราะไม่ต้องไปเสี้ยมใครอีก? จากนี้สิ่งที่จะเกิด คือการผนวกรวมชาติ ชาติเล็กที่อยู่ไม่รอด ก็จะจับกลุ่มตั้งพันธมิตร กลุ่มประเทศในพื้นที่เฉพาะ เฉกเช่นเดียวกับอาเซียน อำนาจต่อรอง อยู่ที่ความสามารถของกลุ่มประเทศนั้นๆ ชาติผู้นำดี มรึงก็มั่นคง สุดท้าย ใครไปไม่รอด ก็ตกเป็นแผ่นดินของขาใหญ่ต่อไป เพราะปากท้องยังต้องมี ยูเครนรวมรัสเซีย กลุ่มยุโรปตะวันออก ก็จะจับมือกันอยู่ภายใต้กฎหมายรัสเซียใหม่ พิมพ์เขียวใหญ่ที่เครมลินวางแบบแผนเอาไว้ เริ่มเข้าโครงร่างเป็นจริง ส่วนเหี้ยยิว ก็คิดจะจัดตั้งรัฐยิวใหม่เช่นกัน

    มันคือการผลัดใบใหม่ ของขั้วอำนาจเก่าสู่มือยิวเต็มตัว แต่ปัญหาอยู่ที่ โลกไม่ต้อนรับยิว มรึงจึงถูกบีบให้ไปอยู่รวมกันที่อเมริกาเหนือ และบางส่วนก็กระจัดกระจาย ในยุโรปไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะมีมุสลิมเป็นล้านคอยจ้องเก็บกวาดอยู่ ประวัติศาสตร์หน้าไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนดอกน่ะ มันถูกกำหนดมาใน DNA ศรัทธามันซึมซับไม่รู้จบ เมื่อรู้เกมส์จะออกหน้าไหนแล้ว ข้ามมาปี 68 คือ "ปีแห่งการพิพากษา" แสงทำงานเต็มกำลัง เหี้ยจะอยู่เฉยต่อไม่ได้อีกแล้ว ต้องเปิดหน้าแลก เพื่อให้แผนการสวรรค์สำเร็จลุล่วงไปได้ หากอเมริกาไม่นำสงคราม อียิวและเหล่าขี้ข้าจะจัดฉาก ให้ก่อ WWIII ให้ได้ แต่ไม่ว่าเสี้ยนอยากรบแค่ไหน? คำถามเดียว ที่ไร้คำตอบ "มรึงจะเอาชนะขั้วใหม่ได้ยังไง?" กลศึก แม้ต้องแพ้ยับ ก็ต้องเปิด เพื่อปูทางสู่การเจรจา แปลว่าอะไร? อียิวมันไม่คิดจะชนะตั้งแต่แรกแล้ว มันแค่ต้องการสร้างความเสียหายให้โลก เพื่อที่จะแบมือขอความช่วยเหลือนายทุนสามานย์ต่อ ซึ่งก็คือยิวทั้งนั้น แต่ช้าก่อน โลกยุคใหม่ ไม่มีแค่นายทุนยิว แต่มีทุนจีน ทุนรัสเซีย เข้ามาเพิ่ม ดังนั้นเหี้ยมองแต่ขี้ข้าเป็นผู้ส่งส่วยให้มาตลอด แต่ขั้วใหม่ทำตรงกันข้าม ใช้ขี้ข้าเข้ามามีส่วนร่วมกับโลก จุดนี้ จึงจะทำให้โลกแยกตัวออกจากเหี้ยได้จริง

    การแบ่งแยกจะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เวทีโลก จะมี 2 ฝั่ง กฎหมายโลก จะถูกยอมรับแค่ผู้ชนะเท่านั้น แต่เหี้ยจะตะแบงใช้ของมันเอง ซึ่งจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยต่อมา จีน รัสเซีย ได้นำนวตกรรมใหม่ เทคโนโลยีใหม่ และกระจายความเสี่ยงไปสู่นอกโลก หากโลกต้องสูญเสียสนามแม่เหล็กไปจำนวนมาก เพราะเกิดจากสงครามนิวเคลียร์ ยามเมื่อแกนโลกเอียง ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร ร้อนเป็นเย็น เย็นเป็นร้อนจัด ภูมิอากาศแปรปรวน จีน รัสเซีย อิหร่าน ทำฐานสำรองพลเมืองโลกบนดวงจันทร์รอไว้แล้ว ต่อไปก็ดาวอังคาร เพราะพิสูจน์แล้วว่ามีน้ำ จุดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง STAR WARS จึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป การสูญเสียนับจากนี้ คือสิ่งที่สวรรค์ได้คัดสรรไว้ก่อนแล้ว ขยะโลกก็ตายไปซะ ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมจะพิสูจน์ตัวเองด้วยสติปัญญา ไม่หลงทาง ก็ไม่เป็นเหยื่อ ปลายทางของสงครามครั้งสุดท้าย คือรัสเซีย จีน ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งในเชิงศรัทธา และการยอมรับ จุดกำเนิด "สภาโลก ถ่วงดุลอำนาจของแท้"

    ข้ามมาอโยธยาศรีรามเทพนคร ศรีธนญชัย ปี 68 คือการไล่ล่าของฝ่ายแสง ความจริงจะปรากฎทุกมิติ เรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา จะถูกเปิดเผย โลกความจริงมักจะโหดร้ายกว่าที่คิดเสมอ จุดจบของไอ้อีขายชาติทั้งหลาย คือ "ไร้แผ่นดินอยู่" ไม่ว่ามรึงจะหนีไปไหน สุดท้ายก็ถูกสั่งเก็บอยู่ดี เงินซื้อชีวิตมรึงไม่ได้ วิญญานที่มรึงเคยเข่นฆ่าเค้า ตามจองเวรจองกรรมกับมรึงไม่รู้จบ ไม่รู้กี่ภพชาติ ไม่รู้ชะตากรรม จนกว่าจะอโหสิกรรมให้ และชดใช้กรรมจนครบ ถึงจะกำเนิดใหม่ โปรดสังเกตุ นายพลฝ่ายวังเข้ามาควบคุมอำนาจทหารเบ็ดเสร็จ ฝ่ายการเมืองได้แต่จ้องเศษเงิน แต่ท้องพระคลังจริง ไม่ได้แตะ เค้าไม่อนุญาตให้มรึงเสือก ไอ้ที่เห็นแค่คำกล่าวอ้าง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีใครเป็นแบ็คให้ แต่วังเรา มีรัสเซีย จีน หนุนตลอดเวลา แค่นั้นก็ครองอาเซียนสบายตรีนแล้ว เพื่อนคือไว้ใจ และเพื่อนไม่หักหลัง นี่คือคอนเซปสัมพันธ์ ทุกความทุกข์ยากที่ผ่านมา ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับ มันคือบททดสอบของสวรรค์ มันการสั่งสอนของแสง ไม่เจ็บ ไม่สำนึก ไม่ฉลาดขึ้น ก็ไม่มีทางหลุดพ้นบ่วงกรรม วังวนเหี้ย

    ชาวอโยธยาจะสู้เพื่อสิ่งเดียว คือ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" แค่มีผู้นำที่กล้าหาญ คนตามทั้งแผ่นดิน ไม่ว่ากี่ยุค กี่สมัย เมื่อวังนำหน้า ประชาชนจะอุ่นใจ เมื่อวังสั่งการ กองทัพจะมั่นคง เกมส์โลก กำหนดทิศทางไทย โดยเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราถูกวางเป็นตัวยืน เหตุเพราะจุดยุทธศาสตร์ที่เราอยู่ เรามี นั่นเอง

    ปล.ปี 68 เตรียมสติ อาหาร กำลังใจ ศรัทธา พักให้พอ นอนให้อิ่ม เพราะเวลามันใกล้เข้ามาแล้ว 17 ปีแล้ว ตั้งแต่กูเปิดเพจหมี CNN ขึ้นมา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วในภพนี้ ที่จะได้กอบกู้บ้านเมือง ทำคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพ่ออยู่หัว เค้าไม่ได้ให้มรึงไปตาย แต่เค้าให้มรึงไปแสดงตัว ว่ากูคือลูกพ่อ พ่อกูชื่อ "ภูมิพล" คน 2 แผ่นดินปกป้องรักษา สืบสานต่อจากบรรพบุรุษส่งให้มา เงินทอง ใช้พอดี อย่าเกินตัว คิดให้รัดกุม อยากจะแดร๊กอะไรก็แดร๊กซะ จงอยู่กับสติ และใช้ปัญญาให้มาก คิดแย้งก่อนจะเชื่ออะไร? เพราะทุกความจริง ต่างมีแง่มุมที่แตกต่างเช่นกัน ทำใจได้เลย สงครามใหญ่ก่อเกิด มรึงจะให้หนีไปไหนได้อีกล่ะ หากไม่ใช่ "สยามเมืองยิ้ม" อยู่ที่นี่ ถูกและดี มั่นคง ปลอดภัย อบายมุขเพี๊ยบ ตอบสนอง 24 ชม. เมากัญชาก็ได้ ฆ่าตำรวจก็ได้ ยังไม่ติดคุกเลย จ่ายครบ จบทันที ขบวนการยุติธรรมจะถูกรื้อขึ้นมาใหม่ ระบบใครสร้าง ระบบใครเอื้อ แก้ที่คนก่อน ระบบจะดีตามเอง ทรัพยากรบุคคลสำคัญที่สุด นี่คือเหตุผลที่จีนสร้างชาติยุคใหม่ เน้นทุ่มเงินไปที่ทรัพยากรบุคคลนี่แหละ คนสร้างกันได้ แต่จิตสำนึกย่อมต้องมีควบคู่ จะเอาแต่เงินอย่างเดียว ไร้ศีลธรรม บ้านเมืองก็ล่มสลาย

    เราฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ฉบับ ครั้งที่ 20 ทำไมจะไม่มี และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย ตราบใดที่ความมั่นคงประเทศไม่ปลอดภัย รัฐธรรมนูญก็ช่วยอะไรไม่ได้ กองทัพอ่อนแอ วังอ่อนแอ ชาติก็ล่มสลาย พ่อหลวงท่านมองการณ์ล่วงหน้าแล้ว ท่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ถึงได้ส่งต่อแผ่นดินให้พ่อร.10 ผู้เป็นหนึ่งในทหารเอก ที่รู้จักกองทัพไทยดีกว่าใคร? ที่มาว่า ทำไมจึงต้องเป็นพระราชินีองค์นี้ พ่อเป็นแม่ทัพ แม่เป็นขุนศึก ตอบสนองยุคสมัยผลัดเปลี่ยน กลียุคต้องยาแรง กลียุคต้องเด็ดขาด เราผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรื่องใหม่ที่จะเกิดขึ้น หลังพศ.2475 นั่นคือ "พ่อปกครองลูกจะกลับมาอีกครั้ง" ต่างหากล่ะ ส่งคืนพระราชอำนาจ ไม่ได้พูดปากเปล่า ใครปฎิวัติ? คนนั้นแหละ ส่งมอบคืนให้ ไม่ต้องเร่งรีบแดร๊กปชต.ตอแหลต่อ เพราะยุคปลายกลียุค ปชต.เสื่อมหมดแล้ว ยามที่ปชช.ปากท้องอิ่ม ใครจะห่วงเรื่องปชต.ต่ออีกล่ะ? เมื่อจิกซอร์ตัวแรกโผล่มาแล้ว มันจะเกิดโดมิโน่แอฟเฟคเอง คนไทยเบื่ออะไร คนไทยต้องการอะไร วังรับรู้หมดสิ้นแล้ว รอแค่เวลาที่เหมาะสม ทุกดวงใจจะเปรมปรีเบ่งบานอีกครั้ง

    ไทยจะปกครองไทย ไม่ใช่ให้ใครมาปกครองเรา รูปแบบใหม่ ไทยจะเฟื่องฟูอำนาจ ทั้งการเงิน การคลัง การทหาร รอดูเด็กรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่รุ่นนี้ รุ่นหลาน เหลน โหลน จะสร้างชาติแบบที่โลกต้องตะลึง คนยุคเรา คน 2 แผ่นดิน จะตายไปพร้อมกับไอ้อีลูกหลานจัญไร ในกลียุคทั้งหมด เพราะเราเกิดมา ก็เพื่อการณ์นี้ จงทำภาระกิจให้สำเร็จ กวาดล้างบางสิ่งสกปรกโสมมในแผ่นดินออกไปให้หมด อย่าให้ลูกหลานรุ่นต่อไป ต้องมาจัดการต่อแทนอีกเลย เหี้ยขายชาติต้องตายคาตรีนคนรุ่นนี้เท่านั้น จบที่มรึงและกู นอนตายตาหลับ ปี 68 สู้เต็มกำลัง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าได้กลัว แสงให้พลังพวกมรึง แสงก็คุ้มครองพวกมรึงด้วยเช่นกัน

    ปล. 2 โพสกระทู้ต่อไป ค่อยเป็นโพสสวัสดีปีใหม่ 2568 อยากขอบคุณ ผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน ผู้ที่ทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน โดยไร้ตัวตนทั้งหลาย ปีนี้ ไม่ใช่จะเลวร้ายซะทุกอย่าง มันคือวัคซีนฉีดให้คนไทยได้ตื่นรู้ และพร้อมรับมือกับสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้ แต่ใจยังยิ้มได้ เพราะสติมี ปัญญาเกิด ไม่ต้องไปเครียด กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น สู้กันไป วันต่อวัน เท่านั้นพอ กินให้อิ่ม หลับให้สบาย นั่นคือยาชั้นดี พรุ่งนี้ ก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดพอ

    หมี CNN(เรื่องราวอะไรในปี 67 ที่ไม่ดี ไม่งาม ที่เกิดกับตัวเรา จงอย่าแบกเอาไว้ ปล่อยให้มันผ่านไป แล้วจงเตรียมตัวรับสิ่งใหม่เข้ามาแทน อย่ากลัว อย่าตื่นตระหนก นิ่งเข้าไว้ สงบเข้าว่า ดวงตาจะเปิดเอง ทุกปัญหาแก้ได้ แค่จะถูกใจมรึงหรือไม่เท่านั้นเอง ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง สมดุลธรรมชาติ)
    31 ธันาวคม 67(วันสิ้นปี จงยืนหยัด ศรัทธาเชื่อมั่น เหมือนที่เคยเป็นมา)
    00.08 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    ชื่อเพจ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ รออีก 60 วัน "แสงสว่าง สิริแสงสว่าง"
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100015961291594
    31-12-67/01 : หมี CNN / "บทสรุปมหากาพย์สุดยอดปี 67" จะเล่าแบบม้วนเดียวจบ รีบอ่านก่อนโดนลบ !! หลังโซเวียตแตก รัสเซีย จีน อิหร่าน เริ่มคุยกันนับแต่นั้นมา NATO เดินหน้าเขมือบแผ่นดินเก่าโซเวียต ล้างสมองคลั่งปชต. ความอดทนกว่า 30 ปี ทำให้ขั้วใหม่ผงาดฟ้า วิ่งแบบม้วนเดียวจบ สูตรเอาคืนคือ "ย้อนเกล็ดเหี้ย" ยึดพลังงาน อาหาร นวตกรรม การเงิน โลจิสติค แหล่งแร่ ทั้งหมด คือดึงทุกอย่างที่เหี้ยเคยมี เคยสร้าง ให้ย้ายฝั่งมาเอเซียทั้งหมด จุดเริ่มคือ จีนดึงโสมแดง อาเซียน แปซิฟิค แอฟริกา อิหร่านดึงโลกอาหรับ มุสลิม รัสเซียดึงยูเรเซีย ลาติน หมู่เกาะแคริบเบี้ยน 30 ปี ที่เข้าไปสร้างโครงสร้างให้ชาติกำลังพัฒนา เช่นเดียวกับสร้างฐานกองกำลัง ศูนย์ฝึกหน่วยรบป้องกันความมั่นคง จะแยกโลกออกจากเหี้ยได้ ต้องมีขุมกำลังที่ใหญ่กว่า แสนยานุภาพมากกว่า ทำได้ เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน มีสิ่งที่เหี้ยไม่มี นั่นคือ "แรงปรารถนา" ปัญหาของโลกคือ ทรัพยากรมีไว้ให้ใช้ไม่สิ้นสุด แต่เหี้ยยิวคิดจะเขมือบคนเดียว ขั้วใหม่ ใช้จุดนี้ ตีแสกหน้าเหี้ย สูตรใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ ทำทุกอย่างตรงกันข้ามเหี้ยให้หมด ถึงได้ดึงทั้งโลกเข้ามาหาอย่างง่ายดาย มีใครอยากจะเป็นขี้ข้าเหี้ยไปตลอดชีวิตกันล่ะ นอกจากควายไทยบัดซบบางกลุ่มเท่านั้น เมื่อขุมกำลังใหญ่ขึ้น ก็คิดใหญ่มากกว่าเดิม จากแค่คิดเอาของเก่าคืน แต่เนื่องจากเหี้ยเล่นไม่เลิก จะประกาศศักดาทั้งที มันต้องเอาให้โลกจดจำ ปูติน คุย สีจิ้นผิง ถึงโครงการสายไหมของจีน สอดประสานเส้นทางท่แก็สรัสเซีย เชื่อมโลกทั้งใบ โดยมีอิหร่าน ตุรกี เป็นตัวเชื่อมเอเซีย แอฟริกา ลาติน ที่ผ่านมา เหี้ยยิวใช้เหี้ยอูฐ ในการแบ่งปันพลังงานให้เหล่าขี้ข้า และถูกเอาเปรียบ ชี้นิ้วสั่งตลอดเวลา ชนกับรัสเซียหลายครั้งในกลุ่ม OPEC จนถูกสั่งสอน น้ำมันท่วมโลก รัสเซียตัดราคา จนเหี้ยอูฐต้องเทน้ำมันทิ้ง เผาทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีที่เก็บ จากนั้น จีนก็เข้ามาเชื่อมสัมพันธ์ เปิดทางเดินปลดแอกเหี้ยให้เหี้ยอูฐ UAE กาตาร์ ต่างร่วมมือ แต่ยังเกรงใจเหี้ยอยู่ ไปไม่สุด ยังแทงกั๊ก จีน รัสเซีย อิหร่าน ถึงต้องขีดเส้นตายให้ การเปิดปมสงครามเยรูซาเล็ม โดยมีฮามาสประกาศศึก นั่นคือหมากที่รัสเซีย จีน อิหร่าน วางเอาไว้แต่แรกแล้ว มันจะมาหลังจากเครมลินเปิดหน้าชน NATO ที่ยูเครน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนปูติน ไอ้อีเหี้ยหิวแสงทั้งหลาย จะกระโดดร่วมหม้อตุ๋น ตายห่าเกลื่อน นี่คือกับดักที่รัสเซียวางไว้ พลิกล็อค เหี้ยก็คิดว่าจะใช้ยูเครนเป็นเหยื่อล่อให้รัสเซียติดหล่มสงครามยาวจนเศรษฐกิจพัง เแล้วไหงกลับตาลปัตร NATO EU อเมริกา อิสราเอล เจ๊งยับเยิน เหตุเพราะรัสเซียมีจีน ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ไอ ออกหน้า ยู ออกตังค์ โอเคมั้ย? ที่มาว่าจีนสั่งพลังงานรัสเซียเต็มอัตราศึก อีแขกก็กระโดดร่วมด้วย ทั้งตุรกี ฟาโรห์ เอาด้วยหมด เพราะอยากกินส่วนต่าง ที่ไอ้อีหน้าโง่ยุโรปเสือกคว่ำบาตรจ้าวพลังงานโลก เหี้ยอูฐ และกลุ่ม OPEC+ จับมือยึดพลังงานโลก ไม่แจกจ่ายผลิตเพิ่มให้ตะวันตก เพื่อสอดคล้องแผนการมาของ BRICS ใครเข้า จะได้ใช้พลังงานราคาถูก เมื่อปากท้องเรียกร้อง หลังยุโรปติดหล่มสงครามจนเศรษฐกิจพังยับ อียิวก็ถูกรุกคืบอย่างหนัก เหี้ยถึงคิดจะหนีไปจุดไฟต่อที่แปซิฟิค อาเซียน แทน โดยใช้อีไต้หวัน อีปินส์ เป็นเหยื่อล่อจีน แต่รายนี้ ไม่เคยรอให้มรึงเขยิบก่อน จีนเปิดเกาะสแปรดลี่ย์ สร้างฐานทัพกันชนรอไว้ล่วงหน้าแล้ว ล่อเหี้ยเข้ามาตาย ที่นี่ถิ่นจีน ใครได้เปรียบกันล่ะ? อิหร่านจัดแผนโฆษณาชวนเชื่อสำเร็จ โลกประจักษ์เห็นธาตุแท้อียิวจนหมดเปลือก ได้กระแสต่อต้านยิวมาเต็มตรีน แม้แต่ยุโรปโลกสวยยังรับอียิวไม่ไหว? ชาวปาเลสไตน์ไม่ได้ตายเปล่า เค้าเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแลกแผ่นดินคานาอันคืน แผนการรบที่ผ่านมา ทั้งการตายแบบนินจาฮาโตริ ของบรรดาผู้นำกองกำลัง ผู้นำประเทศ แม้แต่หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ มันคือส่วนนึงของแผน ข่าวกรองถึงกันหมด ส่งใครมา อาวุธจากไหน กล้องวงจรปิด โทรศ์พท์ อินเตอร์เน็ต GPS อะไรที่เหี้ยมี รัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีมากกว่าเยอะ หน่วยไซเบอร์จีนมีเป็นล้าน มรึงจะเอาใครค้นหาได้เร็วกว่าล่ะ? AI ใครพัฒนาเร็วสุด ดาวเทียมรุ่นใหม่ ใครล้ำหน้าที่สุด ดังนั้น เวลาจะเจอข่าวอะไร? มันมีอยู่แค่ "เค้าต้องการให้รู้แค่ไหน" อะไรที่เป็นความลับ จะไม่มีวันได้รู้ เพราะนั่นคือเป้าหมายแท้จริง จนถึงวันที่สำเร็จแล้ว แผนการทั้งหมดแค่เป็นส่วนนึงของแผนการใหญ่ การเปลี่ยนโลกไม่ง่ายดาย การจะให้ควายทั้งโลกเดินตามได้ ต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าใครคือ "หัวหน้าตัวจริง" ควายจะยอมรับแค่ "อำนาจ กับเงินตรา" หากมี 2 สิ้งนี้ 100 ขี้ข้าเหี้ยก็ยอมย้ายขั้วชัวร์ ขั้วใหม่อ่านจุดนี้ขาดกระจุย ถึงได้มีตัวละครใหม่เข้ามาในเกมส์นี้ ไม่ซ้ำหน้า ทั้งตุรกี ทั้งซาอุ UAE ฟาโรห์ ทั้งหมารับใช้เหี้ยในอาเซียน และเอเซียใต้ ย้ายหมด รวดเร็วเกินคาด เพราะเจ้ามือเก่า เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว รอวันฟองสบู่แตก จริงๆ คือแตกไปนานแล้ว มันอยู่ที่จีน รัสเซีย จะประกาศเป็นทางการเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ที่ยังเลี้ยงไว้ ก็เพื่อรอคอยเวลาที่ใช่ หากเลือกจังหวะผิด เกมส์ที่เดินมาทั้งหมด จะย้อนกลับทันที ไม่เร่งเกินไป ไม่รอจนเกิดสูญญากาศ หากสังเกตุ ผู้นำยุโรปเริ่มเปลี่ยนหน้าไปแล้วหลายประเทศ แนวทางปชต.เริ่มเป็นที่ไม่ยอมรับ กติกาเดิมโลกไม่เอา ของสดใหม่ ย่อมดีกว่าเสมอ หากเอาผลประโยชน์ร่วมเป็นที่ตั้ง เมื่อเห็นภาพรวมใหญ่แล้วว่า รัสเซีย จีน จะเดินหน้า โดยใช้ BRICS นำโลก ใช้เส้นทางสายไหมจีน เดินคู่ท่อแก็ส โลจิสติคถึง พลังงานถึง โลกจะเดินหน้าเร็วกว่าเก่าเยอะ ด้วยเทคโนโลยีจีนยุคใหม่ ทำอะไรก็ได้แค่ 30 วัน กองกำลัง แสนยานุภาพที่มีทั้งหมดในวันนี้ จะกลายเป็นเป็นกองทัพโลกยุคใหม่ในไม่ช้า? จะไม่เหลือ NATO อีกต่อไป เพราะโลกคือโลกเดียว กติกาเดียว สภาโลกก่อเกิด กองทัพโลกจึงเกิดตาม หมดยุคทะเลาะกัน ไม่มีอียิวนำ โลกสงบสุข เพราะไม่ต้องไปเสี้ยมใครอีก? จากนี้สิ่งที่จะเกิด คือการผนวกรวมชาติ ชาติเล็กที่อยู่ไม่รอด ก็จะจับกลุ่มตั้งพันธมิตร กลุ่มประเทศในพื้นที่เฉพาะ เฉกเช่นเดียวกับอาเซียน อำนาจต่อรอง อยู่ที่ความสามารถของกลุ่มประเทศนั้นๆ ชาติผู้นำดี มรึงก็มั่นคง สุดท้าย ใครไปไม่รอด ก็ตกเป็นแผ่นดินของขาใหญ่ต่อไป เพราะปากท้องยังต้องมี ยูเครนรวมรัสเซีย กลุ่มยุโรปตะวันออก ก็จะจับมือกันอยู่ภายใต้กฎหมายรัสเซียใหม่ พิมพ์เขียวใหญ่ที่เครมลินวางแบบแผนเอาไว้ เริ่มเข้าโครงร่างเป็นจริง ส่วนเหี้ยยิว ก็คิดจะจัดตั้งรัฐยิวใหม่เช่นกัน มันคือการผลัดใบใหม่ ของขั้วอำนาจเก่าสู่มือยิวเต็มตัว แต่ปัญหาอยู่ที่ โลกไม่ต้อนรับยิว มรึงจึงถูกบีบให้ไปอยู่รวมกันที่อเมริกาเหนือ และบางส่วนก็กระจัดกระจาย ในยุโรปไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะมีมุสลิมเป็นล้านคอยจ้องเก็บกวาดอยู่ ประวัติศาสตร์หน้าไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนดอกน่ะ มันถูกกำหนดมาใน DNA ศรัทธามันซึมซับไม่รู้จบ เมื่อรู้เกมส์จะออกหน้าไหนแล้ว ข้ามมาปี 68 คือ "ปีแห่งการพิพากษา" แสงทำงานเต็มกำลัง เหี้ยจะอยู่เฉยต่อไม่ได้อีกแล้ว ต้องเปิดหน้าแลก เพื่อให้แผนการสวรรค์สำเร็จลุล่วงไปได้ หากอเมริกาไม่นำสงคราม อียิวและเหล่าขี้ข้าจะจัดฉาก ให้ก่อ WWIII ให้ได้ แต่ไม่ว่าเสี้ยนอยากรบแค่ไหน? คำถามเดียว ที่ไร้คำตอบ "มรึงจะเอาชนะขั้วใหม่ได้ยังไง?" กลศึก แม้ต้องแพ้ยับ ก็ต้องเปิด เพื่อปูทางสู่การเจรจา แปลว่าอะไร? อียิวมันไม่คิดจะชนะตั้งแต่แรกแล้ว มันแค่ต้องการสร้างความเสียหายให้โลก เพื่อที่จะแบมือขอความช่วยเหลือนายทุนสามานย์ต่อ ซึ่งก็คือยิวทั้งนั้น แต่ช้าก่อน โลกยุคใหม่ ไม่มีแค่นายทุนยิว แต่มีทุนจีน ทุนรัสเซีย เข้ามาเพิ่ม ดังนั้นเหี้ยมองแต่ขี้ข้าเป็นผู้ส่งส่วยให้มาตลอด แต่ขั้วใหม่ทำตรงกันข้าม ใช้ขี้ข้าเข้ามามีส่วนร่วมกับโลก จุดนี้ จึงจะทำให้โลกแยกตัวออกจากเหี้ยได้จริง การแบ่งแยกจะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เวทีโลก จะมี 2 ฝั่ง กฎหมายโลก จะถูกยอมรับแค่ผู้ชนะเท่านั้น แต่เหี้ยจะตะแบงใช้ของมันเอง ซึ่งจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยต่อมา จีน รัสเซีย ได้นำนวตกรรมใหม่ เทคโนโลยีใหม่ และกระจายความเสี่ยงไปสู่นอกโลก หากโลกต้องสูญเสียสนามแม่เหล็กไปจำนวนมาก เพราะเกิดจากสงครามนิวเคลียร์ ยามเมื่อแกนโลกเอียง ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร ร้อนเป็นเย็น เย็นเป็นร้อนจัด ภูมิอากาศแปรปรวน จีน รัสเซีย อิหร่าน ทำฐานสำรองพลเมืองโลกบนดวงจันทร์รอไว้แล้ว ต่อไปก็ดาวอังคาร เพราะพิสูจน์แล้วว่ามีน้ำ จุดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง STAR WARS จึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป การสูญเสียนับจากนี้ คือสิ่งที่สวรรค์ได้คัดสรรไว้ก่อนแล้ว ขยะโลกก็ตายไปซะ ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมจะพิสูจน์ตัวเองด้วยสติปัญญา ไม่หลงทาง ก็ไม่เป็นเหยื่อ ปลายทางของสงครามครั้งสุดท้าย คือรัสเซีย จีน ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งในเชิงศรัทธา และการยอมรับ จุดกำเนิด "สภาโลก ถ่วงดุลอำนาจของแท้" ข้ามมาอโยธยาศรีรามเทพนคร ศรีธนญชัย ปี 68 คือการไล่ล่าของฝ่ายแสง ความจริงจะปรากฎทุกมิติ เรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา จะถูกเปิดเผย โลกความจริงมักจะโหดร้ายกว่าที่คิดเสมอ จุดจบของไอ้อีขายชาติทั้งหลาย คือ "ไร้แผ่นดินอยู่" ไม่ว่ามรึงจะหนีไปไหน สุดท้ายก็ถูกสั่งเก็บอยู่ดี เงินซื้อชีวิตมรึงไม่ได้ วิญญานที่มรึงเคยเข่นฆ่าเค้า ตามจองเวรจองกรรมกับมรึงไม่รู้จบ ไม่รู้กี่ภพชาติ ไม่รู้ชะตากรรม จนกว่าจะอโหสิกรรมให้ และชดใช้กรรมจนครบ ถึงจะกำเนิดใหม่ โปรดสังเกตุ นายพลฝ่ายวังเข้ามาควบคุมอำนาจทหารเบ็ดเสร็จ ฝ่ายการเมืองได้แต่จ้องเศษเงิน แต่ท้องพระคลังจริง ไม่ได้แตะ เค้าไม่อนุญาตให้มรึงเสือก ไอ้ที่เห็นแค่คำกล่าวอ้าง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีใครเป็นแบ็คให้ แต่วังเรา มีรัสเซีย จีน หนุนตลอดเวลา แค่นั้นก็ครองอาเซียนสบายตรีนแล้ว เพื่อนคือไว้ใจ และเพื่อนไม่หักหลัง นี่คือคอนเซปสัมพันธ์ ทุกความทุกข์ยากที่ผ่านมา ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับ มันคือบททดสอบของสวรรค์ มันการสั่งสอนของแสง ไม่เจ็บ ไม่สำนึก ไม่ฉลาดขึ้น ก็ไม่มีทางหลุดพ้นบ่วงกรรม วังวนเหี้ย ชาวอโยธยาจะสู้เพื่อสิ่งเดียว คือ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" แค่มีผู้นำที่กล้าหาญ คนตามทั้งแผ่นดิน ไม่ว่ากี่ยุค กี่สมัย เมื่อวังนำหน้า ประชาชนจะอุ่นใจ เมื่อวังสั่งการ กองทัพจะมั่นคง เกมส์โลก กำหนดทิศทางไทย โดยเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราถูกวางเป็นตัวยืน เหตุเพราะจุดยุทธศาสตร์ที่เราอยู่ เรามี นั่นเอง ปล.ปี 68 เตรียมสติ อาหาร กำลังใจ ศรัทธา พักให้พอ นอนให้อิ่ม เพราะเวลามันใกล้เข้ามาแล้ว 17 ปีแล้ว ตั้งแต่กูเปิดเพจหมี CNN ขึ้นมา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วในภพนี้ ที่จะได้กอบกู้บ้านเมือง ทำคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพ่ออยู่หัว เค้าไม่ได้ให้มรึงไปตาย แต่เค้าให้มรึงไปแสดงตัว ว่ากูคือลูกพ่อ พ่อกูชื่อ "ภูมิพล" คน 2 แผ่นดินปกป้องรักษา สืบสานต่อจากบรรพบุรุษส่งให้มา เงินทอง ใช้พอดี อย่าเกินตัว คิดให้รัดกุม อยากจะแดร๊กอะไรก็แดร๊กซะ จงอยู่กับสติ และใช้ปัญญาให้มาก คิดแย้งก่อนจะเชื่ออะไร? เพราะทุกความจริง ต่างมีแง่มุมที่แตกต่างเช่นกัน ทำใจได้เลย สงครามใหญ่ก่อเกิด มรึงจะให้หนีไปไหนได้อีกล่ะ หากไม่ใช่ "สยามเมืองยิ้ม" อยู่ที่นี่ ถูกและดี มั่นคง ปลอดภัย อบายมุขเพี๊ยบ ตอบสนอง 24 ชม. เมากัญชาก็ได้ ฆ่าตำรวจก็ได้ ยังไม่ติดคุกเลย จ่ายครบ จบทันที ขบวนการยุติธรรมจะถูกรื้อขึ้นมาใหม่ ระบบใครสร้าง ระบบใครเอื้อ แก้ที่คนก่อน ระบบจะดีตามเอง ทรัพยากรบุคคลสำคัญที่สุด นี่คือเหตุผลที่จีนสร้างชาติยุคใหม่ เน้นทุ่มเงินไปที่ทรัพยากรบุคคลนี่แหละ คนสร้างกันได้ แต่จิตสำนึกย่อมต้องมีควบคู่ จะเอาแต่เงินอย่างเดียว ไร้ศีลธรรม บ้านเมืองก็ล่มสลาย เราฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ฉบับ ครั้งที่ 20 ทำไมจะไม่มี และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย ตราบใดที่ความมั่นคงประเทศไม่ปลอดภัย รัฐธรรมนูญก็ช่วยอะไรไม่ได้ กองทัพอ่อนแอ วังอ่อนแอ ชาติก็ล่มสลาย พ่อหลวงท่านมองการณ์ล่วงหน้าแล้ว ท่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ถึงได้ส่งต่อแผ่นดินให้พ่อร.10 ผู้เป็นหนึ่งในทหารเอก ที่รู้จักกองทัพไทยดีกว่าใคร? ที่มาว่า ทำไมจึงต้องเป็นพระราชินีองค์นี้ พ่อเป็นแม่ทัพ แม่เป็นขุนศึก ตอบสนองยุคสมัยผลัดเปลี่ยน กลียุคต้องยาแรง กลียุคต้องเด็ดขาด เราผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรื่องใหม่ที่จะเกิดขึ้น หลังพศ.2475 นั่นคือ "พ่อปกครองลูกจะกลับมาอีกครั้ง" ต่างหากล่ะ ส่งคืนพระราชอำนาจ ไม่ได้พูดปากเปล่า ใครปฎิวัติ? คนนั้นแหละ ส่งมอบคืนให้ ไม่ต้องเร่งรีบแดร๊กปชต.ตอแหลต่อ เพราะยุคปลายกลียุค ปชต.เสื่อมหมดแล้ว ยามที่ปชช.ปากท้องอิ่ม ใครจะห่วงเรื่องปชต.ต่ออีกล่ะ? เมื่อจิกซอร์ตัวแรกโผล่มาแล้ว มันจะเกิดโดมิโน่แอฟเฟคเอง คนไทยเบื่ออะไร คนไทยต้องการอะไร วังรับรู้หมดสิ้นแล้ว รอแค่เวลาที่เหมาะสม ทุกดวงใจจะเปรมปรีเบ่งบานอีกครั้ง ไทยจะปกครองไทย ไม่ใช่ให้ใครมาปกครองเรา รูปแบบใหม่ ไทยจะเฟื่องฟูอำนาจ ทั้งการเงิน การคลัง การทหาร รอดูเด็กรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่รุ่นนี้ รุ่นหลาน เหลน โหลน จะสร้างชาติแบบที่โลกต้องตะลึง คนยุคเรา คน 2 แผ่นดิน จะตายไปพร้อมกับไอ้อีลูกหลานจัญไร ในกลียุคทั้งหมด เพราะเราเกิดมา ก็เพื่อการณ์นี้ จงทำภาระกิจให้สำเร็จ กวาดล้างบางสิ่งสกปรกโสมมในแผ่นดินออกไปให้หมด อย่าให้ลูกหลานรุ่นต่อไป ต้องมาจัดการต่อแทนอีกเลย เหี้ยขายชาติต้องตายคาตรีนคนรุ่นนี้เท่านั้น จบที่มรึงและกู นอนตายตาหลับ ปี 68 สู้เต็มกำลัง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าได้กลัว แสงให้พลังพวกมรึง แสงก็คุ้มครองพวกมรึงด้วยเช่นกัน ปล. 2 โพสกระทู้ต่อไป ค่อยเป็นโพสสวัสดีปีใหม่ 2568 อยากขอบคุณ ผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน ผู้ที่ทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน โดยไร้ตัวตนทั้งหลาย ปีนี้ ไม่ใช่จะเลวร้ายซะทุกอย่าง มันคือวัคซีนฉีดให้คนไทยได้ตื่นรู้ และพร้อมรับมือกับสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้ แต่ใจยังยิ้มได้ เพราะสติมี ปัญญาเกิด ไม่ต้องไปเครียด กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น สู้กันไป วันต่อวัน เท่านั้นพอ กินให้อิ่ม หลับให้สบาย นั่นคือยาชั้นดี พรุ่งนี้ ก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดพอ หมี CNN(เรื่องราวอะไรในปี 67 ที่ไม่ดี ไม่งาม ที่เกิดกับตัวเรา จงอย่าแบกเอาไว้ ปล่อยให้มันผ่านไป แล้วจงเตรียมตัวรับสิ่งใหม่เข้ามาแทน อย่ากลัว อย่าตื่นตระหนก นิ่งเข้าไว้ สงบเข้าว่า ดวงตาจะเปิดเอง ทุกปัญหาแก้ได้ แค่จะถูกใจมรึงหรือไม่เท่านั้นเอง ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง สมดุลธรรมชาติ) 31 ธันาวคม 67(วันสิ้นปี จงยืนหยัด ศรัทธาเชื่อมั่น เหมือนที่เคยเป็นมา) 00.08 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** ชื่อเพจ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ รออีก 60 วัน "แสงสว่าง สิริแสงสว่าง" https://www.facebook.com/profile.php?id=100015961291594
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1186 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏🏻✨🪷 กราบขอบพระคุณพี่ๆ ผู้สื่อข่าว พี่ๆ แอดมิน ที่นำเสนอข่าวเพื่อความเป็นธรรมให้น้องแตงโม อย่างสูงนะคะ✨ จาก คลิปข่าว : https://youtu.be/ellfbuHYFYY?si=9xf1wuyH24H1DGbP💞 จากที่เรียนรู้ปฎิบัติธรรมมาจากพระ จากครูบาอาจารย์ เข้าใจว่า การปลุกเสกตนเอง โดยการทำทาน ศีล ภาวนาให้ครบอย่างต่อเนื่องด้วยใจบริสุทธิ์ ✨ ท่านจะมีสติปัญญาในการบริหารภาระกิจ แก้โจทย์ปัญหาชีวิตของตัวท่านเองอย่างลึกซึ้งได้สำเร็จลุล่วง และสามารถช่วยเหลือผู้อื่น มีพลังอธิษฐานจิตแผ่กุศลให้ทั้งคนเป็นและคนตายได้ทุกมิติสำเร็จเร็วพลัน💞 คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร ปฎิบัติธรรมทาน ศีล ภาวนา ครบทุกประการ มีจิตโพธิสัตว์ ทำดีเพื่อดี ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง🤍 ใครคิด พูด ทำร้าย ทุกท่านที่กล่าวมา จะได้รับกรรมอย่างเผ็ดร้อน อย่างไม่มีประมาณ เพราะทุกท่านปฎิบัติอย่างอดทน อย่างไม่ย่อท้อ อย่างทำดีเพื่อดี เพื่อให้สังคมดีขึ้น สังคมไม่ลำบากยากแค้น💞 พ่อแม่พี่น้องคะ พวกเรา มาปลุกเสกตัวเอง ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย ปลุกจิตโพธิสัตว์ของเรา ทำ ทาน ศีล ภาวนา คิด พูด ทำดี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรวมพลังทำดี รวมพลังอธิฐาน ช่วยทีมจิตโพธิสัตว์ (คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร และสำคัญมากเลยคือ พี่ๆ ผู้สื่อข่าว คุณแอดมิน ทีมงานทุกท่าน) ทำงานได้สำเร็จ ช่วยให้น้องแตงโมได้รับความเป็นธรรม ให้ทุกท่านปราศจากอุปสรรค อันตรายทุกประการ กันดีไม๊คะ 💞 สาธุ เรามาปลุกเสกจิตโพธิสัตว์ ปลุกสติปัญญา และกายหยาบของพวกเรากันทำประโยชน์เพื่อ จิต กายตัวเอง และส่วนรวมกันค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
    🙏🏻✨🪷 กราบขอบพระคุณพี่ๆ ผู้สื่อข่าว พี่ๆ แอดมิน ที่นำเสนอข่าวเพื่อความเป็นธรรมให้น้องแตงโม อย่างสูงนะคะ✨ จาก คลิปข่าว : https://youtu.be/ellfbuHYFYY?si=9xf1wuyH24H1DGbP💞 จากที่เรียนรู้ปฎิบัติธรรมมาจากพระ จากครูบาอาจารย์ เข้าใจว่า การปลุกเสกตนเอง โดยการทำทาน ศีล ภาวนาให้ครบอย่างต่อเนื่องด้วยใจบริสุทธิ์ ✨ ท่านจะมีสติปัญญาในการบริหารภาระกิจ แก้โจทย์ปัญหาชีวิตของตัวท่านเองอย่างลึกซึ้งได้สำเร็จลุล่วง และสามารถช่วยเหลือผู้อื่น มีพลังอธิษฐานจิตแผ่กุศลให้ทั้งคนเป็นและคนตายได้ทุกมิติสำเร็จเร็วพลัน💞 คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร ปฎิบัติธรรมทาน ศีล ภาวนา ครบทุกประการ มีจิตโพธิสัตว์ ทำดีเพื่อดี ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง🤍 ใครคิด พูด ทำร้าย ทุกท่านที่กล่าวมา จะได้รับกรรมอย่างเผ็ดร้อน อย่างไม่มีประมาณ เพราะทุกท่านปฎิบัติอย่างอดทน อย่างไม่ย่อท้อ อย่างทำดีเพื่อดี เพื่อให้สังคมดีขึ้น สังคมไม่ลำบากยากแค้น💞 พ่อแม่พี่น้องคะ พวกเรา มาปลุกเสกตัวเอง ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย ปลุกจิตโพธิสัตว์ของเรา ทำ ทาน ศีล ภาวนา คิด พูด ทำดี อย่างต่อเนื่อง เพื่อรวมพลังทำดี รวมพลังอธิฐาน ช่วยทีมจิตโพธิสัตว์ (คุณลุงสนธิ อ.ปานเทพ และพี่ๆ ทีมข่าว คุณหญิงหมอพรทิพย์ คุณอัจฉริยะ คุณหมอธวัชชัย ทีมอาจารย์หมอ พี่ท๊อป พี่ไทท์ คุณต่าย สายธาร และสำคัญมากเลยคือ พี่ๆ ผู้สื่อข่าว คุณแอดมิน ทีมงานทุกท่าน) ทำงานได้สำเร็จ ช่วยให้น้องแตงโมได้รับความเป็นธรรม ให้ทุกท่านปราศจากอุปสรรค อันตรายทุกประการ กันดีไม๊คะ 💞 สาธุ เรามาปลุกเสกจิตโพธิสัตว์ ปลุกสติปัญญา และกายหยาบของพวกเรากันทำประโยชน์เพื่อ จิต กายตัวเอง และส่วนรวมกันค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 739 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 613 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
    เราเคยสังเกตุกันไหมว่า จากประวัติศาสตร์มา
    ยุคที่เราพัฒนานำหน้าชาติไหนๆ
    คือ ยุคสมบูรณาญาสิทธิราช
    พอหลังคณะราษฏรปฎิวัติปล้นพระราชอำนาจ
    เราถูกหลายประเทศแซงหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

    ยุคเราเด็ก... ยุค 80,90มา เราเกิดทัน เราเห็น
    หลายอย่าง ร.9 ทรงทำเพื่อชาติประชาชน
    ได้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นประโยชน์
    ต่อประชาชนจนโลกยกย่องยอมรับ ซึ่งมาจาก
    พระราชกรณียกิจ โครงการพระราชดำริมากมาย
    ส่งผลดีต่อชาติประชาชนจนทุกวันนี้

    ถ้าเราไม่มืดบอกใช้สติปัญญาจนขาดจิตสำนึก
    เราจะรู้ว่าใครรักประเทศชาติประชาชนแท้จริง
    อย่าคลั่งจนหลงนักการเมืองพรรคการเมือง
    ประเภทการตลาดแชร์ลูกโซ่กันเลย หลอกลวง

    สำหรับเรา นักการน้อยมากที่จะเสียสละทำ
    เพื่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ยิ่งปัจจุบัน
    นักการเมืองที่มาจากพ่อค้านักธุรกิจนายทุน
    ยิ่งแทบไม่มีเลยที่จะทำเพื่อชาวบ้านและ
    บ้านเมืองจริงๆ ส่วนมากจะเข้ามาเพื่ออยากได้
    อำนาจเพื่อต่อยอดผลประโยชน์ของตนและ
    พวกพ้องเป็นหลักมาก่อนประชาชนและ
    บ้านเมืองเสมอ.. อย่าด้อมนักการเมืองจนสิ้นคิดฮะ

    ระบอบไหนไม่สำคัญเท่า ระบอบที่ทำเพื่อ
    ชาติประชาชนจริงๆ หาใช่แค่วาทกรรมสวยหรู

    เรามาคลั่งชาติ รักชาติ เพื่อผลประโยชน์
    ชาติประชาชนที่แท้จริง อย่างมีจริยธรรมคุณธรรม
    กันดีกว่าเยอะเลยฮะครับ

    เลิฟ ยู.. ชาติ ศาสน์ กษัติรย์
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ เราเคยสังเกตุกันไหมว่า จากประวัติศาสตร์มา ยุคที่เราพัฒนานำหน้าชาติไหนๆ คือ ยุคสมบูรณาญาสิทธิราช พอหลังคณะราษฏรปฎิวัติปล้นพระราชอำนาจ เราถูกหลายประเทศแซงหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ ยุคเราเด็ก... ยุค 80,90มา เราเกิดทัน เราเห็น หลายอย่าง ร.9 ทรงทำเพื่อชาติประชาชน ได้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ ต่อประชาชนจนโลกยกย่องยอมรับ ซึ่งมาจาก พระราชกรณียกิจ โครงการพระราชดำริมากมาย ส่งผลดีต่อชาติประชาชนจนทุกวันนี้ ถ้าเราไม่มืดบอกใช้สติปัญญาจนขาดจิตสำนึก เราจะรู้ว่าใครรักประเทศชาติประชาชนแท้จริง อย่าคลั่งจนหลงนักการเมืองพรรคการเมือง ประเภทการตลาดแชร์ลูกโซ่กันเลย หลอกลวง สำหรับเรา นักการน้อยมากที่จะเสียสละทำ เพื่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ยิ่งปัจจุบัน นักการเมืองที่มาจากพ่อค้านักธุรกิจนายทุน ยิ่งแทบไม่มีเลยที่จะทำเพื่อชาวบ้านและ บ้านเมืองจริงๆ ส่วนมากจะเข้ามาเพื่ออยากได้ อำนาจเพื่อต่อยอดผลประโยชน์ของตนและ พวกพ้องเป็นหลักมาก่อนประชาชนและ บ้านเมืองเสมอ.. อย่าด้อมนักการเมืองจนสิ้นคิดฮะ ระบอบไหนไม่สำคัญเท่า ระบอบที่ทำเพื่อ ชาติประชาชนจริงๆ หาใช่แค่วาทกรรมสวยหรู เรามาคลั่งชาติ รักชาติ เพื่อผลประโยชน์ ชาติประชาชนที่แท้จริง อย่างมีจริยธรรมคุณธรรม กันดีกว่าเยอะเลยฮะครับ เลิฟ ยู.. ชาติ ศาสน์ กษัติรย์ มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาการ "สมองเน่า" คำแห่งปี ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
    หมายถึง "อาการเสื่อมโทรมลงของสภาพจิตใจหรือสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสาเหตุมาจากการเสพเนื้อหาไร้สาระทางออนไลน์มากเกินไป"

    ก่อนหน้านี้ เคยมีนักวิชาการบอกว่า TV is dumbing you down ยิ่งดูทีวียิ่งโง่ แต่ตอนนี้ Internet is rotting your brain! ยิ่งไถ ยิ่งสมองเน่า!

    (ภาพจาก New York Times)
    อาการ "สมองเน่า" คำแห่งปี ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หมายถึง "อาการเสื่อมโทรมลงของสภาพจิตใจหรือสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสาเหตุมาจากการเสพเนื้อหาไร้สาระทางออนไลน์มากเกินไป" ก่อนหน้านี้ เคยมีนักวิชาการบอกว่า TV is dumbing you down ยิ่งดูทีวียิ่งโง่ แต่ตอนนี้ Internet is rotting your brain! ยิ่งไถ ยิ่งสมองเน่า! (ภาพจาก New York Times)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts