• ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights

    เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล

    หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ

    การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี
    ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ

    ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ
    100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ

    จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP
    ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร

    ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง

    https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    🛡️ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ ✅ การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี ➡️ ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ ✅ ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ ➡️ 100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ ✅ จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP ➡️ ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร ‼️ ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ⛔ องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: "Flathub ถูกนักพัฒนาแอบใช้แท็ก NSFW เพื่อโกยดาวน์โหลด"

    ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์โอเพ่นซอร์สที่มีชื่อเสียงอย่าง Flathub ซึ่งเป็นศูนย์รวมแอป Flatpak สำหรับ Linux กลับไปติดอันดับ Google ด้วยคำค้นหาอย่าง “pornhub downloader” ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อมีนักพัฒนาที่ชื่อ Warlord Software สร้างแอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ลงไปในหน้าแอปบน Flathub

    ผลลัพธ์คือ แอปเหล่านี้ถูก Google จัดอันดับสูง เพราะ Flathub เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจผิดและดาวน์โหลดไปใช้ โดยยอดดาวน์โหลดทะลุ 250,000 ครั้ง ทั้งที่แอปไม่ได้มีฟีเจอร์พิเศษใด ๆ และยังขายเวอร์ชันพรีเมียมอีกด้วย

    สิ่งที่น่าสนใจคือ บนเว็บไซต์ของนักพัฒนาเองกลับไม่มีการใช้คำ NSFW เลย แสดงให้เห็นว่าเป็นการจงใจใช้ชื่อเสียงของ Flathub เพื่อดึงคนเข้าไปดาวน์โหลด ถือเป็นการ “เอาเปรียบระบบโอเพ่นซอร์ส” อย่างชัดเจน

    Flathub ถูกใช้ชื่อเสียงเพื่อดันแอป
    แอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW
    ทำให้ติดอันดับ Google ในคำค้นหาที่แข่งขันสูง

    ผลลัพธ์คือยอดดาวน์โหลดมหาศาล
    แอปจากนักพัฒนารายเดียวมียอดดาวน์โหลดกว่า 250,000 ครั้ง
    ทั้งที่ไม่มีฟีเจอร์พิเศษและยังขายเวอร์ชันพรีเมียม

    เว็บไซต์นักพัฒนาไม่ใช้คำ NSFW
    แสดงถึงการจงใจใช้ Flathub เป็นเครื่องมือในการโปรโมต
    ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นแอปที่ถูกตรวจสอบแล้ว

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Linux
    อย่าดาวน์โหลดแอปเพียงเพราะเห็นแท็กหรืออันดับสูงใน Google
    ตรวจสอบที่มาของแอปและรีวิวจากชุมชนก่อนติดตั้ง

    https://itsfoss.com/news/flathub-tag-exploited/
    🚨 ข่าวเทคโนโลยี: "Flathub ถูกนักพัฒนาแอบใช้แท็ก NSFW เพื่อโกยดาวน์โหลด" ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์โอเพ่นซอร์สที่มีชื่อเสียงอย่าง Flathub ซึ่งเป็นศูนย์รวมแอป Flatpak สำหรับ Linux กลับไปติดอันดับ Google ด้วยคำค้นหาอย่าง “pornhub downloader” ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อมีนักพัฒนาที่ชื่อ Warlord Software สร้างแอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ลงไปในหน้าแอปบน Flathub ผลลัพธ์คือ แอปเหล่านี้ถูก Google จัดอันดับสูง เพราะ Flathub เป็นเว็บที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจผิดและดาวน์โหลดไปใช้ โดยยอดดาวน์โหลดทะลุ 250,000 ครั้ง ทั้งที่แอปไม่ได้มีฟีเจอร์พิเศษใด ๆ และยังขายเวอร์ชันพรีเมียมอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ บนเว็บไซต์ของนักพัฒนาเองกลับไม่มีการใช้คำ NSFW เลย แสดงให้เห็นว่าเป็นการจงใจใช้ชื่อเสียงของ Flathub เพื่อดึงคนเข้าไปดาวน์โหลด ถือเป็นการ “เอาเปรียบระบบโอเพ่นซอร์ส” อย่างชัดเจน ✅ Flathub ถูกใช้ชื่อเสียงเพื่อดันแอป ➡️ แอปดาวน์โหลดวิดีโอธรรมดา ๆ แต่ใส่แท็ก NSFW ➡️ ทำให้ติดอันดับ Google ในคำค้นหาที่แข่งขันสูง ✅ ผลลัพธ์คือยอดดาวน์โหลดมหาศาล ➡️ แอปจากนักพัฒนารายเดียวมียอดดาวน์โหลดกว่า 250,000 ครั้ง ➡️ ทั้งที่ไม่มีฟีเจอร์พิเศษและยังขายเวอร์ชันพรีเมียม ✅ เว็บไซต์นักพัฒนาไม่ใช้คำ NSFW ➡️ แสดงถึงการจงใจใช้ Flathub เป็นเครื่องมือในการโปรโมต ➡️ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นแอปที่ถูกตรวจสอบแล้ว ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Linux ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปเพียงเพราะเห็นแท็กหรืออันดับสูงใน Google ⛔ ตรวจสอบที่มาของแอปและรีวิวจากชุมชนก่อนติดตั้ง https://itsfoss.com/news/flathub-tag-exploited/
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร

    Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026

    Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่

    หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock"
    ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store

    Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน
    ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ
    การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา
    มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น

    Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock
    ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น

    เกณฑ์การตรวจสอบ
    หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์
    หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน

    ข้อยกเว้นบางกรณี
    แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์

    วันบังคับใช้
    เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป
    แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store
    อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก

    https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    🔋 ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026 Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่ 🔰 หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock" 🔰 ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน 💠 ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ 💠 การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา 💠 มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น ✅ Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock ➡️ ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น ✅ เกณฑ์การตรวจสอบ ➡️ หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ ➡️ หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน ✅ ข้อยกเว้นบางกรณี ➡️ แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์ ✅ วันบังคับใช้ ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป ⛔ แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store ⛔ อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Android Rule: Google to Flag Battery-Draining Apps on Play Store Listings
    Google launches the "Excessive Wake Lock" metric. Apps that overuse wake locks (over 2 hours in 24 hrs) will get a red battery drain warning on the Play Store starting Mar 2026.
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • เมื่อมัลแวร์กลายเป็นบริการ: Fantasy Hub RAT เปิดให้แฮกเกอร์สมัครใช้งานผ่าน Telegram

    นักวิจัยจาก zLabs ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ Fantasy Hub ซึ่งถูกขายในช่องทางใต้ดินของรัสเซียในรูปแบบ Malware-as-a-Service (MaaS) โดยผู้โจมตีสามารถสมัครใช้งานผ่าน Telegram bot เพื่อเข้าถึงระบบควบคุม, สร้าง dropper อัตโนมัติ และเลือกแผนการใช้งานตามระยะเวลาและฟีเจอร์ที่ต้องการ

    Fantasy Hub ไม่ใช่มัลแวร์ธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือระดับมืออาชีพที่มีความสามารถใกล้เคียงกับสปายแวร์ของรัฐ เช่น:
    ดักฟัง SMS, บันทึกเสียง, เปิดกล้อง, สตรีมภาพและเสียงแบบสดผ่าน WebRTC
    ขโมยข้อมูลจากเครื่องเหยื่อ เช่น รายชื่อ, รูปภาพ, วิดีโอ, การแจ้งเตือน
    สร้างหน้าจอปลอมเพื่อหลอกขโมยข้อมูลธนาคารจากแอปจริง เช่น Alfa-Bank, PSB, Tbank และ Sber

    เทคนิคที่ใช้: WebRTC, Phishing Overlay และ Dropper Builder
    Fantasy Hub ใช้ WebRTC เพื่อสตรีมข้อมูลจากเครื่องเหยื่อกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมแบบเข้ารหัส โดยจะแสดงข้อความ “Live stream active” สั้นๆ เพื่อหลอกให้ดูเหมือนเป็นฟีเจอร์ปกติ

    มัลแวร์ยังมีระบบสร้างหน้าจอปลอม (overlay) ที่สามารถปรับแต่งได้ผ่านอินเทอร์เฟซง่ายๆ พร้อมวิดีโอสอนการสร้าง phishing page แบบมืออาชีพ

    ผู้ขายยังแนะนำให้ผู้ใช้ปลอมแอปให้ดูเหมือนจริง เช่น Telegram โดยใช้รีวิวปลอมและไอคอนหลอกบน Google Play ปลอม เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้ง

    ลักษณะของ Fantasy Hub
    เป็น Android RAT ที่ขายแบบ MaaS ผ่าน Telegram
    มีระบบ dropper builder อัตโนมัติ
    มี command panel และ subscription plan ให้เลือก

    ความสามารถของมัลแวร์
    ดักฟัง SMS, โทรศัพท์, กล้อง, และสตรีมสดผ่าน WebRTC
    ขโมยข้อมูลจากเครื่องเหยื่อแบบครบวงจร
    สร้าง phishing overlay หลอกข้อมูลธนาคาร

    เทคนิคการหลบซ่อน
    ใช้ WebRTC แบบเข้ารหัสเพื่อส่งข้อมูล
    ใช้ dropper ที่ฝังใน APK ปลอม
    ปลอมแอปให้ดูเหมือนแอปจริงบน Google Play

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Android
    หากติดตั้ง APK ที่มี Fantasy Hub dropper อาจถูกควบคุมเครื่องทันที
    การสตรีมสดแบบเงียบทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่าถูกสอดแนม
    การปลอมแอปและรีวิวทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่าย

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ
    ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปที่ขอเข้าถึง SMS และกล้อง
    ใช้ระบบป้องกันมัลแวร์ที่สามารถตรวจจับ RAT และ dropper ได้

    https://securityonline.info/fantasy-hub-rat-maas-uncovered-russian-spyware-uses-telegram-bot-and-webrtc-to-hijack-android-devices/
    🕵️‍♀️ เมื่อมัลแวร์กลายเป็นบริการ: Fantasy Hub RAT เปิดให้แฮกเกอร์สมัครใช้งานผ่าน Telegram นักวิจัยจาก zLabs ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ Fantasy Hub ซึ่งถูกขายในช่องทางใต้ดินของรัสเซียในรูปแบบ Malware-as-a-Service (MaaS) โดยผู้โจมตีสามารถสมัครใช้งานผ่าน Telegram bot เพื่อเข้าถึงระบบควบคุม, สร้าง dropper อัตโนมัติ และเลือกแผนการใช้งานตามระยะเวลาและฟีเจอร์ที่ต้องการ Fantasy Hub ไม่ใช่มัลแวร์ธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือระดับมืออาชีพที่มีความสามารถใกล้เคียงกับสปายแวร์ของรัฐ เช่น: 💠 ดักฟัง SMS, บันทึกเสียง, เปิดกล้อง, สตรีมภาพและเสียงแบบสดผ่าน WebRTC 💠 ขโมยข้อมูลจากเครื่องเหยื่อ เช่น รายชื่อ, รูปภาพ, วิดีโอ, การแจ้งเตือน 💠 สร้างหน้าจอปลอมเพื่อหลอกขโมยข้อมูลธนาคารจากแอปจริง เช่น Alfa-Bank, PSB, Tbank และ Sber 🧠 เทคนิคที่ใช้: WebRTC, Phishing Overlay และ Dropper Builder Fantasy Hub ใช้ WebRTC เพื่อสตรีมข้อมูลจากเครื่องเหยื่อกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมแบบเข้ารหัส โดยจะแสดงข้อความ “Live stream active” สั้นๆ เพื่อหลอกให้ดูเหมือนเป็นฟีเจอร์ปกติ มัลแวร์ยังมีระบบสร้างหน้าจอปลอม (overlay) ที่สามารถปรับแต่งได้ผ่านอินเทอร์เฟซง่ายๆ พร้อมวิดีโอสอนการสร้าง phishing page แบบมืออาชีพ ผู้ขายยังแนะนำให้ผู้ใช้ปลอมแอปให้ดูเหมือนจริง เช่น Telegram โดยใช้รีวิวปลอมและไอคอนหลอกบน Google Play ปลอม เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้ง ✅ ลักษณะของ Fantasy Hub ➡️ เป็น Android RAT ที่ขายแบบ MaaS ผ่าน Telegram ➡️ มีระบบ dropper builder อัตโนมัติ ➡️ มี command panel และ subscription plan ให้เลือก ✅ ความสามารถของมัลแวร์ ➡️ ดักฟัง SMS, โทรศัพท์, กล้อง, และสตรีมสดผ่าน WebRTC ➡️ ขโมยข้อมูลจากเครื่องเหยื่อแบบครบวงจร ➡️ สร้าง phishing overlay หลอกข้อมูลธนาคาร ✅ เทคนิคการหลบซ่อน ➡️ ใช้ WebRTC แบบเข้ารหัสเพื่อส่งข้อมูล ➡️ ใช้ dropper ที่ฝังใน APK ปลอม ➡️ ปลอมแอปให้ดูเหมือนแอปจริงบน Google Play ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Android ⛔ หากติดตั้ง APK ที่มี Fantasy Hub dropper อาจถูกควบคุมเครื่องทันที ⛔ การสตรีมสดแบบเงียบทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่าถูกสอดแนม ⛔ การปลอมแอปและรีวิวทำให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่าย ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปที่ขอเข้าถึง SMS และกล้อง ⛔ ใช้ระบบป้องกันมัลแวร์ที่สามารถตรวจจับ RAT และ dropper ได้ https://securityonline.info/fantasy-hub-rat-maas-uncovered-russian-spyware-uses-telegram-bot-and-webrtc-to-hijack-android-devices/
    SECURITYONLINE.INFO
    Fantasy Hub RAT MaaS Uncovered: Russian Spyware Uses Telegram Bot and WebRTC to Hijack Android Devices
    Zimperium exposed Fantasy Hub, a Russian MaaS Android RAT. It uses a Telegram bot for subscriptions and WebRTC to covertly stream live video and audio, targeting Russian banks with dynamic overlays.
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • “บ้านอัจฉริยะเริ่มต้นที่เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ – เทคโนโลยีเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิต”

    คุณอาจคิดว่าบ้านอัจฉริยะต้องมีอุปกรณ์ล้ำยุคเต็มบ้าน แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นอาจเป็นแค่ “เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ” ตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของคุณได้อย่างน่าทึ่ง

    ลองนึกภาพว่าแสงแดดส่องเข้าหน้าต่างตอนบ่าย เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนแล้วสั่งให้ม่านปิดอัตโนมัติ หรือเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงเกินไป พัดลมก็เปิดเองโดยไม่ต้องแตะสวิตช์

    ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ป้องกันอันตราย และดูแลคนในบ้านได้อย่างชาญฉลาด เช่น แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิลดต่ำจนเสี่ยงท่อน้ำแข็งแตก หรือเมื่ออากาศในบ้านร้อนเกินไปสำหรับสัตว์เลี้ยง

    เทคโนโลยีนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่เซนเซอร์ที่เชื่อมกับแอปมือถือก็สามารถแจ้งเตือนให้คุณเปิดหน้าต่าง ปรับเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่เตรียมก่อไฟในเตาผิงได้ทันเวลา

    ใช้เซนเซอร์ควบคุมม่านอัตโนมัติ
    ปรับม่านตามอุณหภูมิภายนอกเพื่อควบคุมความร้อนในบ้าน
    ลดการใช้เครื่องปรับอากาศและประหยัดพลังงาน
    ใช้ร่วมกับระบบ SwitchBot หรือแพลตฟอร์มอื่นได้

    เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
    เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิในแต่ละห้อง
    สั่งงานผ่านสมาร์ทปลั๊กหรือระบบบ้านอัจฉริยะ
    เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีระบบ HVAC รวมศูนย์

    รับการแจ้งเตือนผ่านมือถือ
    แจ้งเมื่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินค่าที่ตั้งไว้
    ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยง พืช และสมาชิกในบ้าน
    วิเคราะห์ประวัติอุณหภูมิเพื่อวางแผนการใช้พลังงาน

    เปิดหรือปิดหน้าต่างตามสภาพอากาศ
    เปรียบเทียบอุณหภูมิภายนอกกับภายใน
    แจ้งเตือนให้เปิดหน้าต่างเมื่ออากาศเย็นกว่า
    สามารถตั้งระบบเปิดหน้าต่างอัตโนมัติได้ (ต้องมีอุปกรณ์เสริม)

    ป้องกันท่อน้ำแข็งแตกในฤดูหนาว
    ติดตั้งเซนเซอร์ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้ถุนหรือห้องใต้ดิน
    แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไป
    บางรุ่นมีฟังก์ชันวัดความชื้นเพื่อเตือนภัยน้ำรั่ว

    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่เสถียร
    เซนเซอร์บางรุ่นอาจไม่ทำงานหาก Wi-Fi หรือ Bluetooth ขาดช่วง
    ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีระบบแจ้งเตือนเมื่อขาดการเชื่อมต่อ

    ความแม่นยำของเซนเซอร์ราคาถูก
    เซนเซอร์บางรุ่นอาจมีค่าคลาดเคลื่อนสูง
    ควรตรวจสอบรีวิวและเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/2017704/temperature-sensor-home-uses/
    🌡️ “บ้านอัจฉริยะเริ่มต้นที่เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ – เทคโนโลยีเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิต” คุณอาจคิดว่าบ้านอัจฉริยะต้องมีอุปกรณ์ล้ำยุคเต็มบ้าน แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นอาจเป็นแค่ “เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ” ตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของคุณได้อย่างน่าทึ่ง ลองนึกภาพว่าแสงแดดส่องเข้าหน้าต่างตอนบ่าย เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนแล้วสั่งให้ม่านปิดอัตโนมัติ หรือเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงเกินไป พัดลมก็เปิดเองโดยไม่ต้องแตะสวิตช์ ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ป้องกันอันตราย และดูแลคนในบ้านได้อย่างชาญฉลาด เช่น แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิลดต่ำจนเสี่ยงท่อน้ำแข็งแตก หรือเมื่ออากาศในบ้านร้อนเกินไปสำหรับสัตว์เลี้ยง เทคโนโลยีนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่เซนเซอร์ที่เชื่อมกับแอปมือถือก็สามารถแจ้งเตือนให้คุณเปิดหน้าต่าง ปรับเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่เตรียมก่อไฟในเตาผิงได้ทันเวลา ✅ ใช้เซนเซอร์ควบคุมม่านอัตโนมัติ ➡️ ปรับม่านตามอุณหภูมิภายนอกเพื่อควบคุมความร้อนในบ้าน ➡️ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศและประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้ร่วมกับระบบ SwitchBot หรือแพลตฟอร์มอื่นได้ ✅ เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ➡️ เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิในแต่ละห้อง ➡️ สั่งงานผ่านสมาร์ทปลั๊กหรือระบบบ้านอัจฉริยะ ➡️ เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีระบบ HVAC รวมศูนย์ ✅ รับการแจ้งเตือนผ่านมือถือ ➡️ แจ้งเมื่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินค่าที่ตั้งไว้ ➡️ ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยง พืช และสมาชิกในบ้าน ➡️ วิเคราะห์ประวัติอุณหภูมิเพื่อวางแผนการใช้พลังงาน ✅ เปิดหรือปิดหน้าต่างตามสภาพอากาศ ➡️ เปรียบเทียบอุณหภูมิภายนอกกับภายใน ➡️ แจ้งเตือนให้เปิดหน้าต่างเมื่ออากาศเย็นกว่า ➡️ สามารถตั้งระบบเปิดหน้าต่างอัตโนมัติได้ (ต้องมีอุปกรณ์เสริม) ✅ ป้องกันท่อน้ำแข็งแตกในฤดูหนาว ➡️ ติดตั้งเซนเซอร์ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้ถุนหรือห้องใต้ดิน ➡️ แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไป ➡️ บางรุ่นมีฟังก์ชันวัดความชื้นเพื่อเตือนภัยน้ำรั่ว ‼️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่เสถียร ⛔ เซนเซอร์บางรุ่นอาจไม่ทำงานหาก Wi-Fi หรือ Bluetooth ขาดช่วง ⛔ ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีระบบแจ้งเตือนเมื่อขาดการเชื่อมต่อ ‼️ ความแม่นยำของเซนเซอร์ราคาถูก ⛔ เซนเซอร์บางรุ่นอาจมีค่าคลาดเคลื่อนสูง ⛔ ควรตรวจสอบรีวิวและเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/2017704/temperature-sensor-home-uses/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Handy Ways To Use Temperature Sensors In Your Home - SlashGear
    If you think smart home, you might not imagine a temperature sensor, but there's a lot you can achieve with one of those and some imagination.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control)

    ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย!

    จุดอ่อนของระบบ Marketplace
    Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า

    รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex
    ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์
    ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง
    เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ
    ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ

    การตอบสนองของ Microsoft
    ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก
    URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found”

    ข้อสังเกตจากนักวิจัย
    อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft
    เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน
    โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด
    ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก
    ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่
    Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    🧨🧠 “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft” นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control) ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย! 🧠 จุดอ่อนของระบบ Marketplace 🔖 Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน 🔖 ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก 🔖 นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า ✅ รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex ➡️ ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์ ➡️ ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง ➡️ เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ ➡️ ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน ➡️ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก ➡️ URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found” ✅ ข้อสังเกตจากนักวิจัย ➡️ อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft ➡️ เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน ➡️ โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด ⛔ ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก ⛔ ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่ ⛔ Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • “KDE Gear 25.08.3 มาแล้ว! แก้บั๊กหลายจุด – เตรียมพบเวอร์ชัน 25.12 วันที่ 11 ธันวาคมนี้”
    ถ้าคุณใช้แอปจาก KDE อยู่เป็นประจำ เช่น Dolphin, NeoChat หรือ Kdenlive ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด! KDE Gear 25.08.3 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียรของแอปยอดนิยมในระบบ KDE

    ในเวอร์ชันนี้มีการแก้ไขปัญหาหลายจุด เช่น:
    Dolphin ไม่แครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ
    NeoChat แก้ปัญหาการสืบทอดห้องสนทนา
    Merkuro แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยใช้งานไม่ได้

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง KItinerary ให้รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ เช่น Flixbus, RyanAir, NH Hotels และ Wiener Linien รวมถึงการปรับปรุง Kdenlive ให้รองรับ SVG และแก้ไขพรีวิว timeline, subtitle styles และเอฟเฟกต์ resize

    KDE ยังประกาศว่าเวอร์ชันถัดไปคือ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัวในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 ซึ่งอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการรองรับฮาร์ดแวร์ AI PC ที่กำลังมาแรง

    KDE Gear 25.08.3 เป็นอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08
    เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียร
    ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ปรับปรุงหลายแอปหลัก

    แอปที่ได้รับการแก้ไขในเวอร์ชันนี้
    Dolphin: แก้ปัญหาแครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ
    NeoChat: แก้การสืบทอดห้องสนทนา
    Merkuro: แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยเสีย
    Kdenlive: รองรับ SVG และแก้ subtitle styles

    KItinerary รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ
    เพิ่มสคริปต์สำหรับ citycity.se, CFR, Comboios de Portugal และ Wiener Linien
    ปรับปรุงการแยกข้อมูลจาก RyanAir และ NH Hotels

    KDE Gear 25.12 จะเปิดตัววันที่ 11 ธันวาคม 2025
    คาดว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่และรองรับ AI PC มากขึ้น
    อาจแยกเวอร์ชันสำหรับ Snapdragon X2 และ x86

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KDE Gear คือชุดแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย KDE เช่น Dolphin, Kate, Okular, Kdenlive
    การอัปเดต Gear มักออกทุก 4 เดือน โดยมีอัปเดตย่อยเพื่อแก้บั๊ก
    KDE เป็นหนึ่งใน desktop environment ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-3-is-out-with-more-bug-fixes-kde-gear-25-12-coming-december-11th
    🧰 “KDE Gear 25.08.3 มาแล้ว! แก้บั๊กหลายจุด – เตรียมพบเวอร์ชัน 25.12 วันที่ 11 ธันวาคมนี้” ถ้าคุณใช้แอปจาก KDE อยู่เป็นประจำ เช่น Dolphin, NeoChat หรือ Kdenlive ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด! KDE Gear 25.08.3 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียรของแอปยอดนิยมในระบบ KDE ในเวอร์ชันนี้มีการแก้ไขปัญหาหลายจุด เช่น: 🎗️ Dolphin ไม่แครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ 🎗️ NeoChat แก้ปัญหาการสืบทอดห้องสนทนา 🎗️ Merkuro แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง KItinerary ให้รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ เช่น Flixbus, RyanAir, NH Hotels และ Wiener Linien รวมถึงการปรับปรุง Kdenlive ให้รองรับ SVG และแก้ไขพรีวิว timeline, subtitle styles และเอฟเฟกต์ resize KDE ยังประกาศว่าเวอร์ชันถัดไปคือ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัวในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 ซึ่งอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการรองรับฮาร์ดแวร์ AI PC ที่กำลังมาแรง ✅ KDE Gear 25.08.3 เป็นอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 ➡️ เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียร ➡️ ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ปรับปรุงหลายแอปหลัก ✅ แอปที่ได้รับการแก้ไขในเวอร์ชันนี้ ➡️ Dolphin: แก้ปัญหาแครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ ➡️ NeoChat: แก้การสืบทอดห้องสนทนา ➡️ Merkuro: แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยเสีย ➡️ Kdenlive: รองรับ SVG และแก้ subtitle styles ✅ KItinerary รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ ➡️ เพิ่มสคริปต์สำหรับ citycity.se, CFR, Comboios de Portugal และ Wiener Linien ➡️ ปรับปรุงการแยกข้อมูลจาก RyanAir และ NH Hotels ✅ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัววันที่ 11 ธันวาคม 2025 ➡️ คาดว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่และรองรับ AI PC มากขึ้น ➡️ อาจแยกเวอร์ชันสำหรับ Snapdragon X2 และ x86 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KDE Gear คือชุดแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย KDE เช่น Dolphin, Kate, Okular, Kdenlive ➡️ การอัปเดต Gear มักออกทุก 4 เดือน โดยมีอัปเดตย่อยเพื่อแก้บั๊ก ➡️ KDE เป็นหนึ่งใน desktop environment ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-3-is-out-with-more-bug-fixes-kde-gear-25-12-coming-december-11th
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.08.3 Is Out with More Bug Fixes, KDE Gear 25.12 Coming December 11th - 9to5Linux
    KDE Gear 25.08.3 open-source software suite is out now with more bug fixes and improvements for your favorite KDE applications.
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • “Storm-1849” แฮกเกอร์จีนเจาะระบบไฟร์วอลล์ Cisco ทั่วโลก

    รายงานล่าสุดจาก Palo Alto Networks’ Unit 42 เผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกติดตามในชื่อ Storm-1849 หรือ UAT4356 กำลังโจมตีอุปกรณ์ Cisco Adaptive Security Appliance (ASA) ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐบาล สถาบันกลาโหม และบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย

    แม้ Cisco และ CISA ยังไม่ระบุว่าเป็นฝีมือของจีนอย่างเป็นทางการ แต่บริษัท Censys เคยพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการโจมตีในปี 2024 ที่มีลักษณะคล้ายกัน

    กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1849
    ถูกติดตามในชื่อ UAT4356 โดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    โจมตีอุปกรณ์ Cisco ASA ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์สำคัญในระบบรัฐบาลและองค์กร

    ขอบเขตการโจมตี
    พบการโจมตีในสหรัฐฯ ต่อ IP ของหน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่น
    ขยายไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ
    มีช่วงหยุดโจมตีระหว่าง 1–8 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันหยุด Golden Week ของจีน

    ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี
    CVE-2025-30333 (CVSS 9.9): ผู้โจมตีที่มี VPN credentials สามารถรันโค้ดบนอุปกรณ์ได้
    CVE-2025-20362 (CVSS 6.5): ผู้โจมตีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสามารถเข้าถึงพื้นที่จำกัดได้
    การโจมตีแบบ chain ทำให้ควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    James Maude: ต้อง patch ช่องโหว่ทันที และรีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน
    Heath Renfrow: อุปกรณ์ edge กลายเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่แค่โครงสร้างรอง
    ต้องตรวจสอบ credential ทั้งหมดและรีวิว log อย่างละเอียด

    https://hackread.com/china-hackers-target-cisco-firewalls/
    📰 “Storm-1849” แฮกเกอร์จีนเจาะระบบไฟร์วอลล์ Cisco ทั่วโลก รายงานล่าสุดจาก Palo Alto Networks’ Unit 42 เผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกติดตามในชื่อ Storm-1849 หรือ UAT4356 กำลังโจมตีอุปกรณ์ Cisco Adaptive Security Appliance (ASA) ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐบาล สถาบันกลาโหม และบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย แม้ Cisco และ CISA ยังไม่ระบุว่าเป็นฝีมือของจีนอย่างเป็นทางการ แต่บริษัท Censys เคยพบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการโจมตีในปี 2024 ที่มีลักษณะคล้ายกัน ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1849 ➡️ ถูกติดตามในชื่อ UAT4356 โดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย ➡️ โจมตีอุปกรณ์ Cisco ASA ซึ่งเป็นไฟร์วอลล์สำคัญในระบบรัฐบาลและองค์กร ✅ ขอบเขตการโจมตี ➡️ พบการโจมตีในสหรัฐฯ ต่อ IP ของหน่วยงานรัฐบาลกลางและท้องถิ่น ➡️ ขยายไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ ➡️ มีช่วงหยุดโจมตีระหว่าง 1–8 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันหยุด Golden Week ของจีน ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี ➡️ CVE-2025-30333 (CVSS 9.9): ผู้โจมตีที่มี VPN credentials สามารถรันโค้ดบนอุปกรณ์ได้ ➡️ CVE-2025-20362 (CVSS 6.5): ผู้โจมตีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสามารถเข้าถึงพื้นที่จำกัดได้ ➡️ การโจมตีแบบ chain ทำให้ควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ James Maude: ต้อง patch ช่องโหว่ทันที และรีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน ➡️ Heath Renfrow: อุปกรณ์ edge กลายเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่แค่โครงสร้างรอง ➡️ ต้องตรวจสอบ credential ทั้งหมดและรีวิว log อย่างละเอียด https://hackread.com/china-hackers-target-cisco-firewalls/
    HACKREAD.COM
    China-Linked Hackers Target Cisco Firewalls in Global Campaign
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality

    Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา

    ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025

    เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า

    นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้

    Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI

    ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S
    สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D
    ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box

    จุดเด่นของ Mixed Reality Link
    สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย
    คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500

    แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality
    เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง
    เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์
    มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality
    ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน
    หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย
    ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน

    โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี.

    https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    🧠 Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025 เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้ Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI ✅ ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S ➡️ สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D ➡️ ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ✅ จุดเด่นของ Mixed Reality Link ➡️ สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500 ✅ แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality ➡️ เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง ➡️ เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ➡️ มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality ⛔ ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย ⛔ ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี. https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    SECURITYONLINE.INFO
    Meta Quest 3 Gets Windows 11 Virtual Desktop—Bringing Mixed Reality to the Masses
    Microsoft's Mixed Reality Link brings the Windows 11 virtual desktop experience to Meta Quest 3 users. It supports cloud PCs and challenges the expensive Apple Vision Pro.
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • Stellar Toolkit for Outlook: เครื่องมือจัดการไฟล์ PST/OST แบบครบวงจรสำหรับผู้ใช้ Outlook ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย

    บทความรีวิวจาก HackRead แนะนำ Stellar Toolkit for Outlook ว่าเป็นชุดเครื่องมือ 7-in-1 ที่ช่วยแก้ปัญหาไฟล์ข้อมูล Outlook ได้อย่างครอบคลุม ทั้งการซ่อม, แปลง, รวม, แยก, ย่อขนาด, กู้คืน และปลดล็อกรหัสผ่านจากไฟล์ PST/OST

    ผู้ใช้ Outlook มักเจอปัญหาไฟล์ PST/OST เสียหาย, ขนาดใหญ่เกินไป, ลืมรหัสผ่าน, หรือไม่สามารถเปิดไฟล์ OST ได้หลังจากบัญชีถูกลบจาก Exchange ซึ่งทั้งหมดนี้ Stellar Toolkit for Outlook สามารถจัดการได้ในโปรแกรมเดียว

    ฟีเจอร์เด่นของชุดเครื่องมือนี้ ได้แก่:
    1️⃣ ซ่อมไฟล์ PST ที่เสียหาย พร้อมกู้คืนอีเมล, ปฏิทิน, รายชื่อ ฯลฯ
    2️⃣ แปลงไฟล์ OST เป็น PST แม้เป็นไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสหรือ orphaned
    3️⃣ แยกไฟล์ PST ตามขนาด, วันที่, หรืออีเมล เพื่อป้องกันการเสียหาย
    4️⃣ ย่อขนาดไฟล์ PST โดยแยกไฟล์แนบออกและล้างข้อมูลขยะ
    5️⃣ รวมไฟล์ PST หลายไฟล์ ให้เป็นไฟล์เดียวโดยไม่เสียข้อมูล
    6️⃣ กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบจากไฟล์ PST/OST พร้อม preview ก่อน export
    7️⃣ ปลดล็อกรหัสผ่านไฟล์ PST โดยสร้างรหัสผ่านใหม่ให้เลือกใช้

    นอกจากนี้ยังมี คอนโซลรวม ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงทุกฟังก์ชันจากหน้าจอเดียว ไม่ต้องติดตั้งหลายโปรแกรม และรองรับ Outlook ตั้งแต่เวอร์ชัน 2013 ถึง 2019

    ฟีเจอร์หลักของ Stellar Toolkit for Outlook
    ซ่อมไฟล์ PST ที่เสียหายทุกระดับ
    แปลง OST เป็น PST แม้ไฟล์ถูกลบหรือเข้ารหัส
    แยก, รวม, ย่อขนาดไฟล์ PST ได้ตามต้องการ
    กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบจากไฟล์ Outlook
    ปลดล็อกรหัสผ่านไฟล์ PST ที่ลืมหรือสูญหาย
    มีคอนโซลรวม ใช้งานง่าย ไม่ต้องติดตั้งหลายโปรแกรม

    เหมาะกับใคร
    ผู้ดูแลระบบ IT ที่ต้องจัดการข้อมูล Outlook จำนวนมาก
    ผู้ใช้ทั่วไปที่เจอปัญหาไฟล์ Outlook เสียหายหรือเปิดไม่ได้
    องค์กรที่ใช้ Office 365 และต้องการเครื่องมือกู้คืนข้อมูล

    https://hackread.com/stellar-toolkit-outlook-review-pst-ost-file-management/
    🛠️📧 Stellar Toolkit for Outlook: เครื่องมือจัดการไฟล์ PST/OST แบบครบวงจรสำหรับผู้ใช้ Outlook ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย บทความรีวิวจาก HackRead แนะนำ Stellar Toolkit for Outlook ว่าเป็นชุดเครื่องมือ 7-in-1 ที่ช่วยแก้ปัญหาไฟล์ข้อมูล Outlook ได้อย่างครอบคลุม ทั้งการซ่อม, แปลง, รวม, แยก, ย่อขนาด, กู้คืน และปลดล็อกรหัสผ่านจากไฟล์ PST/OST ผู้ใช้ Outlook มักเจอปัญหาไฟล์ PST/OST เสียหาย, ขนาดใหญ่เกินไป, ลืมรหัสผ่าน, หรือไม่สามารถเปิดไฟล์ OST ได้หลังจากบัญชีถูกลบจาก Exchange ซึ่งทั้งหมดนี้ Stellar Toolkit for Outlook สามารถจัดการได้ในโปรแกรมเดียว ฟีเจอร์เด่นของชุดเครื่องมือนี้ ได้แก่: 1️⃣ ซ่อมไฟล์ PST ที่เสียหาย พร้อมกู้คืนอีเมล, ปฏิทิน, รายชื่อ ฯลฯ 2️⃣ แปลงไฟล์ OST เป็น PST แม้เป็นไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสหรือ orphaned 3️⃣ แยกไฟล์ PST ตามขนาด, วันที่, หรืออีเมล เพื่อป้องกันการเสียหาย 4️⃣ ย่อขนาดไฟล์ PST โดยแยกไฟล์แนบออกและล้างข้อมูลขยะ 5️⃣ รวมไฟล์ PST หลายไฟล์ ให้เป็นไฟล์เดียวโดยไม่เสียข้อมูล 6️⃣ กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบจากไฟล์ PST/OST พร้อม preview ก่อน export 7️⃣ ปลดล็อกรหัสผ่านไฟล์ PST โดยสร้างรหัสผ่านใหม่ให้เลือกใช้ นอกจากนี้ยังมี คอนโซลรวม ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงทุกฟังก์ชันจากหน้าจอเดียว ไม่ต้องติดตั้งหลายโปรแกรม และรองรับ Outlook ตั้งแต่เวอร์ชัน 2013 ถึง 2019 ✅ ฟีเจอร์หลักของ Stellar Toolkit for Outlook ➡️ ซ่อมไฟล์ PST ที่เสียหายทุกระดับ ➡️ แปลง OST เป็น PST แม้ไฟล์ถูกลบหรือเข้ารหัส ➡️ แยก, รวม, ย่อขนาดไฟล์ PST ได้ตามต้องการ ➡️ กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบจากไฟล์ Outlook ➡️ ปลดล็อกรหัสผ่านไฟล์ PST ที่ลืมหรือสูญหาย ➡️ มีคอนโซลรวม ใช้งานง่าย ไม่ต้องติดตั้งหลายโปรแกรม ✅ เหมาะกับใคร ➡️ ผู้ดูแลระบบ IT ที่ต้องจัดการข้อมูล Outlook จำนวนมาก ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปที่เจอปัญหาไฟล์ Outlook เสียหายหรือเปิดไม่ได้ ➡️ องค์กรที่ใช้ Office 365 และต้องการเครื่องมือกู้คืนข้อมูล https://hackread.com/stellar-toolkit-outlook-review-pst-ost-file-management/
    HACKREAD.COM
    Stellar Toolkit for Outlook Review: Simplify and Optimize PST/OST File Management
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • Shotcut 25.10 มาแล้ว! เพิ่มฟีเจอร์บันทึกหน้าจอและเอฟเฟกต์พิมพ์ดีดสำหรับข้อความในวิดีโอ

    Shotcut โปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ปล่อยเวอร์ชัน 25.10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่ การบันทึกหน้าจอในตัว และเอฟเฟกต์ข้อความแบบ “พิมพ์ดีด” ที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้กับวิดีโอของคุณ

    Shotcut 25.10 เปิดตัวเมื่อปลายตุลาคม 2025 โดยเน้นเพิ่มความสามารถในการสร้างวิดีโอแบบมืออาชีพโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น:

    Screen Recording (บันทึกหน้าจอ) ผู้ใช้สามารถบันทึกหน้าจอได้โดยตรงจาก Shotcut โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมภายนอก เช่น OBS หรือ SimpleScreenRecorder เหมาะสำหรับการทำวิดีโอสอน, รีวิวซอฟต์แวร์ หรือการนำเสนอ

    Typewriter Text Effect (เอฟเฟกต์พิมพ์ดีด) เพิ่มลูกเล่นให้ข้อความในวิดีโอปรากฏทีละตัวเหมือนพิมพ์ดีด เหมาะสำหรับการเน้นคำพูด, ใส่คำบรรยาย หรือสร้างความน่าสนใจในวิดีโอสั้น

    ปรับปรุง UI และประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงการจัดการ timeline, การแสดงผล preview และการเรนเดอร์ให้เร็วขึ้น รวมถึงแก้บั๊กที่เกี่ยวกับการ export และการใช้งาน filter บางตัว

    รองรับหลายแพลตฟอร์ม Shotcut รองรับ Windows, macOS และ Linux โดยสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์หลัก

    https://9to5linux.com/shotcut-25-10-video-editor-released-with-screen-recording-typewriter-text-effect
    🖥️✂️ Shotcut 25.10 มาแล้ว! เพิ่มฟีเจอร์บันทึกหน้าจอและเอฟเฟกต์พิมพ์ดีดสำหรับข้อความในวิดีโอ Shotcut โปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ปล่อยเวอร์ชัน 25.10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่ การบันทึกหน้าจอในตัว และเอฟเฟกต์ข้อความแบบ “พิมพ์ดีด” ที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้กับวิดีโอของคุณ Shotcut 25.10 เปิดตัวเมื่อปลายตุลาคม 2025 โดยเน้นเพิ่มความสามารถในการสร้างวิดีโอแบบมืออาชีพโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น: 🎗️ Screen Recording (บันทึกหน้าจอ) ผู้ใช้สามารถบันทึกหน้าจอได้โดยตรงจาก Shotcut โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมภายนอก เช่น OBS หรือ SimpleScreenRecorder เหมาะสำหรับการทำวิดีโอสอน, รีวิวซอฟต์แวร์ หรือการนำเสนอ 🎗️ Typewriter Text Effect (เอฟเฟกต์พิมพ์ดีด) เพิ่มลูกเล่นให้ข้อความในวิดีโอปรากฏทีละตัวเหมือนพิมพ์ดีด เหมาะสำหรับการเน้นคำพูด, ใส่คำบรรยาย หรือสร้างความน่าสนใจในวิดีโอสั้น 🎗️ ปรับปรุง UI และประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงการจัดการ timeline, การแสดงผล preview และการเรนเดอร์ให้เร็วขึ้น รวมถึงแก้บั๊กที่เกี่ยวกับการ export และการใช้งาน filter บางตัว 🎗️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม Shotcut รองรับ Windows, macOS และ Linux โดยสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์หลัก https://9to5linux.com/shotcut-25-10-video-editor-released-with-screen-recording-typewriter-text-effect
    9TO5LINUX.COM
    Shotcut 25.10 Video Editor Released with Screen Recording, Typewriter Text Effect - 9to5Linux
    Shotcut 25.10 open-source video editor is now available for download with screen recording. Typewriter text effect, and more.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์

    บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน

    สาระสำคัญจากบทความ
    ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง

    Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม

    หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม

    ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

    แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

    เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet
    กรอง Spam และตรวจสอบความจริง
    mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม
    CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา

    สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง
    phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด
    Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ

    ปกป้องการท่องเว็บ
    DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam
    RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง

    ข้อคิดจากผู้เขียน
    แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว”

    https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    🧠📉 บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน 🧩 สาระสำคัญจากบทความ 💠 ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง 💠 Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม 💠 หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม 💠 ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 💠 แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 🛠️ เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet 💠 กรอง Spam และตรวจสอบความจริง 🎗️ mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม 🎗️ CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา 💠 สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง 🎗️ phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด 🎗️ Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ 💠 ปกป้องการท่องเว็บ 🎗️ DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam 🎗️ RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง 🧭 ข้อคิดจากผู้เขียน แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว” https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Internet is Dying. We Can Still Stop It
    Almost 50% of all internet traffic are non-human already. Unchecked, it could lead to a zombie internet.
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล

    จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง

    การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ

    ByteDance พัฒนา GameTop
    เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ
    มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam
    มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    จุดเด่นของ GameTop
    ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม
    ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม
    คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก

    การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance
    หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง
    ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    🎮 ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ ✅ ByteDance พัฒนา GameTop ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ ➡️ มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam ➡️ มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI ✅ จุดเด่นของ GameTop ➡️ ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม ➡️ ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม ➡️ คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก ✅ การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance ➡️ หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง ➡️ ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่ https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized

    ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย

    M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT)

    ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z
    Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก)
    สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867)
    ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization

    จุดเด่นของ Apple M5
    ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz
    ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป

    ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z
    M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads
    ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935)
    ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    🍎 Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT) ✅ ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z ➡️ Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก) ➡️ สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867) ➡️ ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization ✅ จุดเด่นของ Apple M5 ➡️ ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz ➡️ ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป ✅ ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z ➡️ M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads ➡️ ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935) ➡️ ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา

    Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย

    Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    การอัปเกรดเครือข่าย
    ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า
    สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า

    รองรับหลายอุปกรณ์
    โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    ฟีเจอร์ AI ใหม่
    ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน
    สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi

    โปรโมชันพิเศษ
    ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่
    ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน)
    หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    ความเห็นจากผู้ใช้
    WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า
    เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น

    คำเตือนจากรีวิว Trustpilot
    คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว
    ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน
    ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี

    คำแนะนำก่อนสมัคร
    ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่
    อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร
    เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่

    https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    📶 Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ การอัปเกรดเครือข่าย ➡️ ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า ➡️ สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า ✅ รองรับหลายอุปกรณ์ ➡️ โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป ➡️ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ ✅ ฟีเจอร์ AI ใหม่ ➡️ ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน ➡️ สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi ✅ โปรโมชันพิเศษ ➡️ ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่ ➡️ ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน) ➡️ หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ ความเห็นจากผู้ใช้ ➡️ WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น ‼️ คำเตือนจากรีวิว Trustpilot ⛔ คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว ⛔ ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน ⛔ ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี ‼️ คำแนะนำก่อนสมัคร ⛔ ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่ ⛔ อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร ⛔ เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่ https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Fi Wireless Is Adding New Features - Here's What To Expect With The Upgrade - SlashGear
    Budget mobile plans continue to grow as people look to cut costs where they can, and Google Fi is incentivizing customers with some brand-new features.
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • “อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายกลายเป็นจุดอ่อน — ช่องโหว่ยุค 90 ยังหลอกหลอนองค์กรในปี 2025” — เมื่อไฟร์วอลล์และ VPN ที่ควรป้องกัน กลับกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เจาะระบบ

    บทความจาก CSO Online โดย Lucian Constantin เปิดเผยว่าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่าย เช่น ไฟร์วอลล์, VPN, และเกตเวย์อีเมล กำลังกลายเป็นจุดอ่อนหลักขององค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะจากช่องโหว่พื้นฐานอย่าง buffer overflow, command injection และ SQL injection ที่ควรหมดไปตั้งแต่ยุค 1990

    Google Threat Intelligence Group รายงานว่าในปี 2024 มีช่องโหว่ zero-day ถูกใช้โจมตีถึง 75 รายการ โดยหนึ่งในสามเป็นการเจาะอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Citrix, Ivanti, Fortinet, Palo Alto, Cisco, SonicWall และ Juniper ซึ่งมักถูกละเลยจากการตรวจสอบ endpoint และ logging

    เหตุผลที่ช่องโหว่เหล่านี้ยังคงอยู่:
    โค้ดเก่าที่สืบทอดจากการซื้อกิจการ
    ทีมพัฒนาเดิมลาออกไปหมดแล้ว
    ความกลัวว่าการแก้ไขจะทำให้ระบบพัง
    ขาดแรงจูงใจทางการเงินในการปรับปรุง

    นักวิจัยชี้ว่าแม้ช่องโหว่บางอย่างจะซับซ้อน แต่หลายจุดกลับ “ง่ายจนไม่น่าให้อภัย” และควรถูกตรวจพบด้วยเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดอัตโนมัติหรือการรีวิวโค้ดทั่วไป

    การโจมตีอุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มขึ้นหลังยุค COVID-19 ที่องค์กรเร่งติดตั้ง VPN และเกตเวย์เพื่อรองรับการทำงานจากบ้าน ขณะเดียวกัน phishing ก็เริ่มได้ผลน้อยลง ทำให้แฮกเกอร์หันมาใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์แทน

    ช่องโหว่ zero-day ในอุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    1 ใน 3 ของช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีในปี 2024 มาจากอุปกรณ์เครือข่าย

    ช่องโหว่ที่พบยังเป็นประเภทพื้นฐาน เช่น buffer overflow และ command injection
    เป็นช่องโหว่ที่ควรหมดไปตั้งแต่ยุค 1990

    อุปกรณ์เครือข่ายมักไม่ถูกตรวจสอบโดย endpoint protection หรือ logging
    ทำให้แฮกเกอร์ใช้เป็นช่องทางเจาะระบบ

    การโจมตีเพิ่มขึ้นหลังองค์กรติดตั้ง VPN และเกตเวย์ช่วง COVID-19
    เพื่อรองรับการทำงานจากบ้าน

    Phishing มีประสิทธิภาพลดลง ทำให้แฮกเกอร์หันมาใช้ช่องโหว่แทน
    เพราะ phishing ต้องลงทุนสูงและถูกป้องกันมากขึ้น

    นักวิจัยชี้ว่าหลายช่องโหว่ควรถูกตรวจพบด้วยเครื่องมืออัตโนมัติ
    เช่น static code analysis และ code review

    ผู้ผลิตบางรายเริ่มปรับปรุง เช่น Palo Alto ใช้ SELinux และ IMA
    เพื่อเสริมความปลอดภัยระดับ platform

    CISA ส่งเสริมแนวทาง Secure by Design และแบบฟอร์ม attestation
    เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตรับผิดชอบมากขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4074945/network-security-devices-endanger-orgs-with-90s-era-flaws.html
    🛡️ “อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายกลายเป็นจุดอ่อน — ช่องโหว่ยุค 90 ยังหลอกหลอนองค์กรในปี 2025” — เมื่อไฟร์วอลล์และ VPN ที่ควรป้องกัน กลับกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เจาะระบบ บทความจาก CSO Online โดย Lucian Constantin เปิดเผยว่าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่าย เช่น ไฟร์วอลล์, VPN, และเกตเวย์อีเมล กำลังกลายเป็นจุดอ่อนหลักขององค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะจากช่องโหว่พื้นฐานอย่าง buffer overflow, command injection และ SQL injection ที่ควรหมดไปตั้งแต่ยุค 1990 Google Threat Intelligence Group รายงานว่าในปี 2024 มีช่องโหว่ zero-day ถูกใช้โจมตีถึง 75 รายการ โดยหนึ่งในสามเป็นการเจาะอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Citrix, Ivanti, Fortinet, Palo Alto, Cisco, SonicWall และ Juniper ซึ่งมักถูกละเลยจากการตรวจสอบ endpoint และ logging เหตุผลที่ช่องโหว่เหล่านี้ยังคงอยู่: 🪲 โค้ดเก่าที่สืบทอดจากการซื้อกิจการ 🪲 ทีมพัฒนาเดิมลาออกไปหมดแล้ว 🪲 ความกลัวว่าการแก้ไขจะทำให้ระบบพัง 🪲 ขาดแรงจูงใจทางการเงินในการปรับปรุง นักวิจัยชี้ว่าแม้ช่องโหว่บางอย่างจะซับซ้อน แต่หลายจุดกลับ “ง่ายจนไม่น่าให้อภัย” และควรถูกตรวจพบด้วยเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดอัตโนมัติหรือการรีวิวโค้ดทั่วไป การโจมตีอุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มขึ้นหลังยุค COVID-19 ที่องค์กรเร่งติดตั้ง VPN และเกตเวย์เพื่อรองรับการทำงานจากบ้าน ขณะเดียวกัน phishing ก็เริ่มได้ผลน้อยลง ทำให้แฮกเกอร์หันมาใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์แทน ✅ ช่องโหว่ zero-day ในอุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ 1 ใน 3 ของช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีในปี 2024 มาจากอุปกรณ์เครือข่าย ✅ ช่องโหว่ที่พบยังเป็นประเภทพื้นฐาน เช่น buffer overflow และ command injection ➡️ เป็นช่องโหว่ที่ควรหมดไปตั้งแต่ยุค 1990 ✅ อุปกรณ์เครือข่ายมักไม่ถูกตรวจสอบโดย endpoint protection หรือ logging ➡️ ทำให้แฮกเกอร์ใช้เป็นช่องทางเจาะระบบ ✅ การโจมตีเพิ่มขึ้นหลังองค์กรติดตั้ง VPN และเกตเวย์ช่วง COVID-19 ➡️ เพื่อรองรับการทำงานจากบ้าน ✅ Phishing มีประสิทธิภาพลดลง ทำให้แฮกเกอร์หันมาใช้ช่องโหว่แทน ➡️ เพราะ phishing ต้องลงทุนสูงและถูกป้องกันมากขึ้น ✅ นักวิจัยชี้ว่าหลายช่องโหว่ควรถูกตรวจพบด้วยเครื่องมืออัตโนมัติ ➡️ เช่น static code analysis และ code review ✅ ผู้ผลิตบางรายเริ่มปรับปรุง เช่น Palo Alto ใช้ SELinux และ IMA ➡️ เพื่อเสริมความปลอดภัยระดับ platform ✅ CISA ส่งเสริมแนวทาง Secure by Design และแบบฟอร์ม attestation ➡️ เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตรับผิดชอบมากขึ้น https://www.csoonline.com/article/4074945/network-security-devices-endanger-orgs-with-90s-era-flaws.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Network security devices endanger orgs with ’90s era flaws
    Built to defend enterprise networks, network edge security devices are becoming liabilities, with an alarming rise in zero-day exploits of what experts describe as basic vulnerabilities. Can the security device industry correct course?
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • “5 แก็ดเจ็ตจาก Lowe’s ที่คุณอาจไม่รู้ว่ามี — แต่คุ้มค่าและน่าใช้กว่าที่คิด” — เมื่อร้านฮาร์ดแวร์กลายเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะที่ไม่ควรมองข้าม

    แม้ Lowe’s จะเป็นร้านฮาร์ดแวร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่จริง ๆ แล้วในหมวด smart home และ security ก็มีแก็ดเจ็ตน่าสนใจมากกว่า 3,700 รายการ ซึ่งหลายชิ้นได้รับคะแนนรีวิวสูงจากทีม SlashGear และอาจกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในบ้านของคุณ

    บทความนี้คัดมา 5 แก็ดเจ็ตที่โดดเด่น ทั้งด้านฟีเจอร์ ความคุ้มค่า และการใช้งานจริง:

    Google Nest Hub 2nd Gen – ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ติดตามการนอนหลับได้
    ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว, อุณหภูมิ และแสง เพื่อวิเคราะห์คุณภาพการนอน
    ไม่ต้องใส่อุปกรณ์บนตัว — เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบ wearable
    ราคา $99.99 ที่ Lowe’s

    Ring Spotlight Cam Pro – กล้องรักษาความปลอดภัยพร้อมเสียงและภาพกลางคืน
    มุมมอง 140 องศา, ความละเอียด 1080p, Night Vision ชัดเจน
    สื่อสารกับผู้มาเยือนได้ผ่านไมค์และลำโพงในตัว
    ราคา $199.99

    Lutron Caseta Outdoor Smart Plug – ปลั๊กอัจฉริยะสำหรับกลางแจ้ง
    ควบคุมผ่าน Apple HomeKit, Alexa, Google Assistant หรือรีโมตของ Lutron
    ทนฝนและฝุ่น (IP65), ใช้งานได้แม้ในอุณหภูมิต่ำ
    ราคา $84.95 (อาจหมดสต็อกชั่วคราว)

    Amazon Fire TV Stick 4K Max (2nd Gen) – สตรีมมิ่งพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่ม
    รองรับ 4K และมีพื้นที่เก็บข้อมูล 16GB — มากกว่ารุ่นก่อนเท่าตัว
    ใช้ Alexa และรีโมตของ Amazon ได้
    ราคา $59.99

    EufyCam 3 – กล้องรักษาความปลอดภัยแบบไม่ต้องจ่ายรายเดือน
    ภาพคมชัด, ตรวจจับใบหน้า, บันทึกเสียงชัดเจน
    ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์ — ชาร์จได้แม้แดดน้อย
    ราคา $549.99 พร้อม Homebase (กล้องเสริมไม่ต้องซื้อ Homebase เพิ่ม)

    https://www.slashgear.com/1997485/cool-lesser-known-lowes-gadgets/
    🛠️ “5 แก็ดเจ็ตจาก Lowe’s ที่คุณอาจไม่รู้ว่ามี — แต่คุ้มค่าและน่าใช้กว่าที่คิด” — เมื่อร้านฮาร์ดแวร์กลายเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะที่ไม่ควรมองข้าม แม้ Lowe’s จะเป็นร้านฮาร์ดแวร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่จริง ๆ แล้วในหมวด smart home และ security ก็มีแก็ดเจ็ตน่าสนใจมากกว่า 3,700 รายการ ซึ่งหลายชิ้นได้รับคะแนนรีวิวสูงจากทีม SlashGear และอาจกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในบ้านของคุณ บทความนี้คัดมา 5 แก็ดเจ็ตที่โดดเด่น ทั้งด้านฟีเจอร์ ความคุ้มค่า และการใช้งานจริง: ✅ Google Nest Hub 2nd Gen – ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ติดตามการนอนหลับได้ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว, อุณหภูมิ และแสง เพื่อวิเคราะห์คุณภาพการนอน ➡️ ไม่ต้องใส่อุปกรณ์บนตัว — เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบ wearable ➡️ ราคา $99.99 ที่ Lowe’s ✅ Ring Spotlight Cam Pro – กล้องรักษาความปลอดภัยพร้อมเสียงและภาพกลางคืน ➡️ มุมมอง 140 องศา, ความละเอียด 1080p, Night Vision ชัดเจน ➡️ สื่อสารกับผู้มาเยือนได้ผ่านไมค์และลำโพงในตัว ➡️ ราคา $199.99 ✅ Lutron Caseta Outdoor Smart Plug – ปลั๊กอัจฉริยะสำหรับกลางแจ้ง ➡️ ควบคุมผ่าน Apple HomeKit, Alexa, Google Assistant หรือรีโมตของ Lutron ➡️ ทนฝนและฝุ่น (IP65), ใช้งานได้แม้ในอุณหภูมิต่ำ ➡️ ราคา $84.95 (อาจหมดสต็อกชั่วคราว) ✅ Amazon Fire TV Stick 4K Max (2nd Gen) – สตรีมมิ่งพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่ม ➡️ รองรับ 4K และมีพื้นที่เก็บข้อมูล 16GB — มากกว่ารุ่นก่อนเท่าตัว ➡️ ใช้ Alexa และรีโมตของ Amazon ได้ ➡️ ราคา $59.99 ✅ EufyCam 3 – กล้องรักษาความปลอดภัยแบบไม่ต้องจ่ายรายเดือน ➡️ ภาพคมชัด, ตรวจจับใบหน้า, บันทึกเสียงชัดเจน ➡️ ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์ — ชาร์จได้แม้แดดน้อย ➡️ ราคา $549.99 พร้อม Homebase (กล้องเสริมไม่ต้องซื้อ Homebase เพิ่ม) https://www.slashgear.com/1997485/cool-lesser-known-lowes-gadgets/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Lowe's Gadgets That Are Actually Worth Buying - SlashGear
    We've sifted through the thousands of electronic gadgets available at Lowe's to find a few that might actually make your life easier.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • “Nvidia DGX Spark: เดสก์ท็อป AI ที่อาจเป็น ‘Apple Mac Moment’ ของ Nvidia”

    Nvidia เปิดตัว DGX Spark ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักรีวิวว่าเป็น “เครื่องมือ AI ระดับวิจัยที่อยู่บนโต๊ะทำงาน” ด้วยขนาดเล็กแต่ทรงพลัง DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 ที่รวม CPU และ GPU พร้อมหน่วยความจำ unified ขนาด 128GB ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    รีวิวจากหลายสำนักชี้ว่า DGX Spark มีประสิทธิภาพสูงในการรันโมเดล Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B โดยตรงจากหน่วยความจำภายใน พร้อมระบบระบายความร้อนที่เงียบและเสถียร แม้จะมีข้อจำกัดด้าน bandwidth จาก LPDDR5X แต่ก็ยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัยที่ต้องการทดลอง AI แบบ local

    สเปกและความสามารถของ DGX Spark
    ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 รวม CPU + GPU
    หน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาดใหญ่
    รัน Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B ได้โดยตรงจาก RAM
    มี batching efficiency และ throughput consistency สูง

    จุดเด่นด้านการใช้งาน
    ขนาดเล็ก วางบนโต๊ะทำงานได้
    เสียงเงียบและระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพ
    ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Nvidia Sync จากเครื่องอื่น

    ความเห็นจากนักรีวิว
    LMSYS: “เครื่องวิจัยที่สวยงามและทรงพลัง”
    ServeTheHome: “จะทำให้การรันโมเดลขนาดใหญ่เป็นเรื่องของทุกคน”
    HotHardware: “เหมาะเป็นเครื่องเสริมสำหรับนักพัฒนา ไม่ใช่แทนที่ workstation”
    The Register: “เหมาะกับงานทดลอง ไม่ใช่สำหรับ productivity หรือ gaming”

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Bandwidth ของ LPDDR5X ยังเป็นคอขวดเมื่อเทียบกับ GPU แยก
    Driver และซอฟต์แวร์บางส่วนยังไม่สมบูรณ์
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการเครื่องสำหรับงานทั่วไปหรือเล่นเกม
    หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องรอเวอร์ชันที่ใช้ GB200 ในเครื่อง Windows

    https://www.techradar.com/pro/so-freaking-cool-first-reviews-of-nvidia-dgx-spark-leave-absolutely-no-doubt-this-may-be-nvidias-apple-mac-moment
    🖥️ “Nvidia DGX Spark: เดสก์ท็อป AI ที่อาจเป็น ‘Apple Mac Moment’ ของ Nvidia” Nvidia เปิดตัว DGX Spark ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักรีวิวว่าเป็น “เครื่องมือ AI ระดับวิจัยที่อยู่บนโต๊ะทำงาน” ด้วยขนาดเล็กแต่ทรงพลัง DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 ที่รวม CPU และ GPU พร้อมหน่วยความจำ unified ขนาด 128GB ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ รีวิวจากหลายสำนักชี้ว่า DGX Spark มีประสิทธิภาพสูงในการรันโมเดล Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B โดยตรงจากหน่วยความจำภายใน พร้อมระบบระบายความร้อนที่เงียบและเสถียร แม้จะมีข้อจำกัดด้าน bandwidth จาก LPDDR5X แต่ก็ยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัยที่ต้องการทดลอง AI แบบ local ✅ สเปกและความสามารถของ DGX Spark ➡️ ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 รวม CPU + GPU ➡️ หน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ รัน Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B ได้โดยตรงจาก RAM ➡️ มี batching efficiency และ throughput consistency สูง ✅ จุดเด่นด้านการใช้งาน ➡️ ขนาดเล็ก วางบนโต๊ะทำงานได้ ➡️ เสียงเงียบและระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Nvidia Sync จากเครื่องอื่น ✅ ความเห็นจากนักรีวิว ➡️ LMSYS: “เครื่องวิจัยที่สวยงามและทรงพลัง” ➡️ ServeTheHome: “จะทำให้การรันโมเดลขนาดใหญ่เป็นเรื่องของทุกคน” ➡️ HotHardware: “เหมาะเป็นเครื่องเสริมสำหรับนักพัฒนา ไม่ใช่แทนที่ workstation” ➡️ The Register: “เหมาะกับงานทดลอง ไม่ใช่สำหรับ productivity หรือ gaming” ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Bandwidth ของ LPDDR5X ยังเป็นคอขวดเมื่อเทียบกับ GPU แยก ⛔ Driver และซอฟต์แวร์บางส่วนยังไม่สมบูรณ์ ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการเครื่องสำหรับงานทั่วไปหรือเล่นเกม ⛔ หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องรอเวอร์ชันที่ใช้ GB200 ในเครื่อง Windows https://www.techradar.com/pro/so-freaking-cool-first-reviews-of-nvidia-dgx-spark-leave-absolutely-no-doubt-this-may-be-nvidias-apple-mac-moment
    WWW.TECHRADAR.COM
    Reviews praise Nvidia DGX Spark as a compact local AI workstation
    Early hardware and software quirks do raise concerns, however
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • "เล่น Battlefield 6 บนจอระบายความร้อน CPU ขนาด 2.1 นิ้ว—เมื่อเกมเมอร์ไม่ยอมแพ้ต่อพื้นที่จำกัด"

    ในยุคที่เกมเมอร์มักมองหาหน้าจอใหญ่ ๆ เพื่อประสบการณ์ที่เต็มอิ่ม มีผู้ใช้งานคนหนึ่งจากเยอรมนีชื่อ Tim กลับเลือกเส้นทางสุดแหวก—เขาเล่น Battlefield 6 บนจอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ที่ติดอยู่บนชุดระบายความร้อน CPU แบบน้ำของ MSI รุ่น CoreLiquid P13 ซึ่งมีความละเอียดเพียง 480x480 พิกเซล

    แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ Tim ยืนยันว่าเขาใช้จอนี้ในการ “ฟาร์ม XP” ระหว่างช่วงพักจากงานรีวิวจอ OLED ที่เขาควรจะทำอยู่ โดยอ้างว่า “ก็ยังเป็นการทดสอบจอภาพอยู่นะ” ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะและความทึ่งให้กับชุมชนเกมเมอร์

    จอของ MSI รุ่นนี้รองรับการแสดงผลแบบ IPS และสามารถใช้เป็นจอที่สองได้จริง ๆ ซึ่งหลายคนใช้แสดงข้อมูลระบบหรือภาพตกแต่ง แต่ Tim กลับใช้มันเล่นเกมเต็มรูปแบบ—แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์และความ “ไม่ยอมแพ้” ของเกมเมอร์ตัวจริง

    อุปกรณ์ที่ใช้
    MSI CoreLiquid P13 AIO liquid cooler
    จอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 480x480
    รองรับการแสดงผล IPS และใช้เป็นจอที่สองได้

    วิธีการเล่นเกม
    ใช้จอระบายความร้อน CPU เป็นจอหลักในการเล่น Battlefield 6
    เล่นเพื่อฟาร์ม XP ระหว่างพักจากงานรีวิวจอ OLED
    ใช้ฟีเจอร์ secondary display ที่มีใน AIO รุ่นใหม่

    ปฏิกิริยาจากชุมชน
    ผู้ชมใน YouTube และโซเชียลต่างทึ่งกับความแหวกแนว
    หลายคนมองว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
    บางคนแซวว่า “นี่คือจอที่เหมาะกับการเล่นเกมในที่ทำงาน”

    คำเตือนในการใช้งาน
    จอขนาดเล็กอาจทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดสำคัญในเกม
    ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแข่งขันหรือ FPS ที่ต้องการความแม่นยำ
    การใช้จอระบายความร้อนเป็นจอหลักอาจส่งผลต่ออุณหภูมิ CPU หากไม่ระวัง

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/enthusiast-plays-battlefield-6-on-his-cpu-watercoolers-screen-tiny-2-1-inch-480x480-msi-liquid-cooler-screen-good-enough-for-xp-farming
    🎮 "เล่น Battlefield 6 บนจอระบายความร้อน CPU ขนาด 2.1 นิ้ว—เมื่อเกมเมอร์ไม่ยอมแพ้ต่อพื้นที่จำกัด" ในยุคที่เกมเมอร์มักมองหาหน้าจอใหญ่ ๆ เพื่อประสบการณ์ที่เต็มอิ่ม มีผู้ใช้งานคนหนึ่งจากเยอรมนีชื่อ Tim กลับเลือกเส้นทางสุดแหวก—เขาเล่น Battlefield 6 บนจอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ที่ติดอยู่บนชุดระบายความร้อน CPU แบบน้ำของ MSI รุ่น CoreLiquid P13 ซึ่งมีความละเอียดเพียง 480x480 พิกเซล แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ Tim ยืนยันว่าเขาใช้จอนี้ในการ “ฟาร์ม XP” ระหว่างช่วงพักจากงานรีวิวจอ OLED ที่เขาควรจะทำอยู่ โดยอ้างว่า “ก็ยังเป็นการทดสอบจอภาพอยู่นะ” ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะและความทึ่งให้กับชุมชนเกมเมอร์ จอของ MSI รุ่นนี้รองรับการแสดงผลแบบ IPS และสามารถใช้เป็นจอที่สองได้จริง ๆ ซึ่งหลายคนใช้แสดงข้อมูลระบบหรือภาพตกแต่ง แต่ Tim กลับใช้มันเล่นเกมเต็มรูปแบบ—แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์และความ “ไม่ยอมแพ้” ของเกมเมอร์ตัวจริง ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ ➡️ MSI CoreLiquid P13 AIO liquid cooler ➡️ จอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 480x480 ➡️ รองรับการแสดงผล IPS และใช้เป็นจอที่สองได้ ✅ วิธีการเล่นเกม ➡️ ใช้จอระบายความร้อน CPU เป็นจอหลักในการเล่น Battlefield 6 ➡️ เล่นเพื่อฟาร์ม XP ระหว่างพักจากงานรีวิวจอ OLED ➡️ ใช้ฟีเจอร์ secondary display ที่มีใน AIO รุ่นใหม่ ✅ ปฏิกิริยาจากชุมชน ➡️ ผู้ชมใน YouTube และโซเชียลต่างทึ่งกับความแหวกแนว ➡️ หลายคนมองว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ➡️ บางคนแซวว่า “นี่คือจอที่เหมาะกับการเล่นเกมในที่ทำงาน” ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ จอขนาดเล็กอาจทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดสำคัญในเกม ⛔ ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแข่งขันหรือ FPS ที่ต้องการความแม่นยำ ⛔ การใช้จอระบายความร้อนเป็นจอหลักอาจส่งผลต่ออุณหภูมิ CPU หากไม่ระวัง https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/enthusiast-plays-battlefield-6-on-his-cpu-watercoolers-screen-tiny-2-1-inch-480x480-msi-liquid-cooler-screen-good-enough-for-xp-farming
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก"

    ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง

    จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้

    ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก

    แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

    คุณสมบัติของ SGT-4 TIM
    เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้
    ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์
    ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น

    ผลกระทบต่ออุปกรณ์
    กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง
    ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้
    ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม

    คำเตือนจากการใช้งาน
    ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู
    อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน
    การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง

    การตรวจสอบทางเคมี
    พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด
    ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป
    การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี

    ปฏิกิริยาของผู้ผลิต
    ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย
    ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
    อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone
    RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ
    มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน

    วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย
    ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ
    ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    🧊 "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก" ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ✅ คุณสมบัติของ SGT-4 TIM ➡️ เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้ ➡️ ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ ➡️ ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น ✅ ผลกระทบต่ออุปกรณ์ ➡️ กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง ➡️ ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ➡️ ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม ‼️ คำเตือนจากการใช้งาน ⛔ ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ⛔ อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน ⛔ การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง ✅ การตรวจสอบทางเคมี ➡️ พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด ➡️ ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป ➡️ การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี ‼️ ปฏิกิริยาของผู้ผลิต ⛔ ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย ⛔ ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ⛔ อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone ➡️ RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ ➡️ มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน ✅ วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย ➡️ ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ ➡️ ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • “GlassWorm: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี VS Code ด้วย Unicode ล่องหนและ Solana Blockchain” — เมื่อการรีวิวโค้ดด้วยสายตาไม่สามารถป้องกันภัยได้อีกต่อไป

    นักวิจัยจาก Koi Security เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “GlassWorm” ซึ่งเป็นมัลแวร์แบบ self-propagating worm ตัวแรกที่โจมตีผ่าน VS Code extensions บน OpenVSX Marketplace โดยใช้เทคนิคที่ล้ำหน้าและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสายซัพพลายเชน

    GlassWorm ใช้ “Unicode variation selectors” เพื่อฝังโค้ดอันตรายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือเครื่องมือรีวิวโค้ดทั่วไป เช่น GitHub diff viewer หรือ syntax highlighter ของ VS Code — โค้ดที่ดูเหมือนช่องว่างนั้นจริง ๆ แล้วคือคำสั่ง JavaScript ที่สามารถรันได้ทันที

    เมื่อฝังตัวสำเร็จ มัลแวร์จะใช้ Solana blockchain เป็น command-and-control (C2) infrastructure โดยฝัง wallet address ไว้ในโค้ด และให้ระบบติดตาม transaction memo เพื่อดึง payload ถัดไปแบบ base64 ซึ่งไม่สามารถถูกปิดกั้นด้วยการบล็อกโดเมนหรือ IP แบบเดิม

    หาก Solana ถูกบล็อก GlassWorm ยังมี “แผนสำรอง” โดยใช้ Google Calendar event เป็น backup C2 — โดยฝัง URL payload ไว้ในชื่อ event ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ฟรีและไม่ถูกบล็อกโดยระบบใด ๆ

    มัลแวร์ยังมีความสามารถในการขโมย credentials จาก NPM, GitHub, OpenVSX และ wallet extensions กว่า 49 รายการ เช่น MetaMask, Phantom และ Coinbase Wallet

    Payload สุดท้ายคือ “ZOMBI” — remote access trojan (RAT) ที่เปลี่ยนเครื่องของเหยื่อให้กลายเป็น proxy node สำหรับกิจกรรมอาชญากรรม โดยใช้เทคนิค HVNC (Hidden VNC), WebRTC P2P, และ BitTorrent DHT เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ

    ที่น่ากลัวที่สุดคือ GlassWorm สามารถแพร่กระจายตัวเองโดยใช้ credentials ที่ขโมยมาไปฝังมัลแวร์ใน extensions อื่น ๆ ได้แบบอัตโนมัติ — สร้างวงจรการติดเชื้อที่ขยายตัวเองได้เรื่อย ๆ

    GlassWorm เป็นมัลแวร์แบบ self-propagating worm ตัวแรกที่โจมตี VS Code extensions
    พบใน OpenVSX และ Microsoft Marketplace

    ใช้ Unicode variation selectors เพื่อฝังโค้ดล่องหน
    ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยเครื่องมือรีวิวโค้ดทั่วไป

    ใช้ Solana blockchain เป็น C2 infrastructure
    ดึง payload ผ่าน transaction memo แบบ base64

    ใช้ Google Calendar เป็น backup C2
    ฝัง URL payload ไว้ในชื่อ event

    ขโมย credentials จาก NPM, GitHub และ wallet extensions กว่า 49 รายการ
    เช่น MetaMask, Phantom, Coinbase Wallet

    Payload สุดท้ายคือ ZOMBI RAT ที่เปลี่ยนเครื่องเหยื่อเป็น proxy node
    ใช้ HVNC, WebRTC P2P และ BitTorrent DHT

    แพร่กระจายตัวเองโดยใช้ credentials ที่ขโมยมา
    ฝังมัลแวร์ใน extensions อื่น ๆ ได้แบบอัตโนมัติ

    https://securityonline.info/glassworm-supply-chain-worm-uses-invisible-unicode-and-solana-blockchain-for-stealth-c2/
    🪱 “GlassWorm: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี VS Code ด้วย Unicode ล่องหนและ Solana Blockchain” — เมื่อการรีวิวโค้ดด้วยสายตาไม่สามารถป้องกันภัยได้อีกต่อไป นักวิจัยจาก Koi Security เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “GlassWorm” ซึ่งเป็นมัลแวร์แบบ self-propagating worm ตัวแรกที่โจมตีผ่าน VS Code extensions บน OpenVSX Marketplace โดยใช้เทคนิคที่ล้ำหน้าและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสายซัพพลายเชน GlassWorm ใช้ “Unicode variation selectors” เพื่อฝังโค้ดอันตรายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือเครื่องมือรีวิวโค้ดทั่วไป เช่น GitHub diff viewer หรือ syntax highlighter ของ VS Code — โค้ดที่ดูเหมือนช่องว่างนั้นจริง ๆ แล้วคือคำสั่ง JavaScript ที่สามารถรันได้ทันที เมื่อฝังตัวสำเร็จ มัลแวร์จะใช้ Solana blockchain เป็น command-and-control (C2) infrastructure โดยฝัง wallet address ไว้ในโค้ด และให้ระบบติดตาม transaction memo เพื่อดึง payload ถัดไปแบบ base64 ซึ่งไม่สามารถถูกปิดกั้นด้วยการบล็อกโดเมนหรือ IP แบบเดิม หาก Solana ถูกบล็อก GlassWorm ยังมี “แผนสำรอง” โดยใช้ Google Calendar event เป็น backup C2 — โดยฝัง URL payload ไว้ในชื่อ event ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ฟรีและไม่ถูกบล็อกโดยระบบใด ๆ มัลแวร์ยังมีความสามารถในการขโมย credentials จาก NPM, GitHub, OpenVSX และ wallet extensions กว่า 49 รายการ เช่น MetaMask, Phantom และ Coinbase Wallet Payload สุดท้ายคือ “ZOMBI” — remote access trojan (RAT) ที่เปลี่ยนเครื่องของเหยื่อให้กลายเป็น proxy node สำหรับกิจกรรมอาชญากรรม โดยใช้เทคนิค HVNC (Hidden VNC), WebRTC P2P, และ BitTorrent DHT เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ ที่น่ากลัวที่สุดคือ GlassWorm สามารถแพร่กระจายตัวเองโดยใช้ credentials ที่ขโมยมาไปฝังมัลแวร์ใน extensions อื่น ๆ ได้แบบอัตโนมัติ — สร้างวงจรการติดเชื้อที่ขยายตัวเองได้เรื่อย ๆ ✅ GlassWorm เป็นมัลแวร์แบบ self-propagating worm ตัวแรกที่โจมตี VS Code extensions ➡️ พบใน OpenVSX และ Microsoft Marketplace ✅ ใช้ Unicode variation selectors เพื่อฝังโค้ดล่องหน ➡️ ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยเครื่องมือรีวิวโค้ดทั่วไป ✅ ใช้ Solana blockchain เป็น C2 infrastructure ➡️ ดึง payload ผ่าน transaction memo แบบ base64 ✅ ใช้ Google Calendar เป็น backup C2 ➡️ ฝัง URL payload ไว้ในชื่อ event ✅ ขโมย credentials จาก NPM, GitHub และ wallet extensions กว่า 49 รายการ ➡️ เช่น MetaMask, Phantom, Coinbase Wallet ✅ Payload สุดท้ายคือ ZOMBI RAT ที่เปลี่ยนเครื่องเหยื่อเป็น proxy node ➡️ ใช้ HVNC, WebRTC P2P และ BitTorrent DHT ✅ แพร่กระจายตัวเองโดยใช้ credentials ที่ขโมยมา ➡️ ฝังมัลแวร์ใน extensions อื่น ๆ ได้แบบอัตโนมัติ https://securityonline.info/glassworm-supply-chain-worm-uses-invisible-unicode-and-solana-blockchain-for-stealth-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    GlassWorm Supply Chain Worm Uses Invisible Unicode and Solana Blockchain for Stealth C2
    Koi Security exposed GlassWorm, the first VSCode worm that spreads autonomously, using invisible Unicode to hide malicious code. It uses Solana blockchain and Google Calendar for a resilient C2.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • “PeaZip 10.7 เพิ่มฟีเจอร์ดูภาพในไฟล์ — ครบเครื่องทั้งบีบอัดและพรีวิว”

    PeaZip 10.7 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมจัดการไฟล์แบบโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ: ตัวดูภาพ (image viewer) ที่สามารถพรีวิวภาพภายในไฟล์บีบอัดได้โดยไม่ต้องแตกไฟล์ออกมาก่อน

    ฟีเจอร์ใหม่นี้อยู่ในเมนู “File manager > View images” และรองรับการซูม, โหมด immersive, การเปลี่ยนชื่อ, ลบไฟล์ และการนำทางภาพแบบพื้นฐาน นอกจากนี้ยังสามารถแสดง thumbnail ของภาพในตัวจัดการไฟล์ได้ทุกแพลตฟอร์ม

    PeaZip 10.7 ยังปรับปรุงการทำงานร่วมกับ ClamAV (แอนตี้ไวรัสโอเพ่นซอร์ส), เพิ่มการพรีวิวไฟล์ในฟอร์แมต Zpaq, และปรับปรุงการเรียกดูไฟล์ .pkg รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “Quick Look” บน macOS

    ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่:

    การสำรวจ path ของไฟล์พรีวิวผ่านเบราว์เซอร์ของระบบ
    การพรีวิวข้อความพร้อมฟีเจอร์ค้นหา, นับจำนวนคำ/บรรทัด/ตัวอักษร, เปลี่ยน encoding และ word wrap
    ปรับปรุงธีม “Line custom”
    เพิ่มตัวเลือกให้เก็บไฟล์ไว้แม้การแตกไฟล์ล้มเหลว (เฉพาะ backend Zstd)
    ปรับปรุงการรายงานระดับการบีบอัดของ Brotli และ Zpaq
    ปรับปรุงการตั้งชื่อหน่วยและรายการต่าง ๆ
    ปรับปรุงเมนู “Functions” ให้เรียงตามตัวอักษรและใช้งานง่ายขึ้น
    อัปเดตไลบรารี crypto/hash ให้รองรับสถาปัตยกรรม non-x86/x86_64

    PeaZip 10.7 พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งเวอร์ชัน GTK และ Qt รวมถึง Flatpak ผ่าน Flathub

    PeaZip 10.7 เพิ่มฟีเจอร์ image viewer
    ดูภาพและพรีวิวภาพในไฟล์บีบอัดได้โดยไม่ต้องแตกไฟล์

    รองรับการแสดง thumbnail ใน file manager ทุกแพลตฟอร์ม
    ช่วยให้ดูภาพในไฟล์บีบอัดได้สะดวกขึ้น

    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ ClamAV
    เพิ่มความปลอดภัยในการจัดการไฟล์

    รองรับการพรีวิวไฟล์ Zpaq และ .pkg
    ขยายความสามารถในการจัดการฟอร์แมตเฉพาะ

    เพิ่ม Quick Look บน macOS และปรับปรุง Text preview
    รองรับการค้นหา, นับคำ, เปลี่ยน encoding ฯลฯ

    ปรับปรุงเมนู Functions และธีม Line custom
    ใช้งานง่ายและดูสบายตายิ่งขึ้น

    เพิ่มตัวเลือกเก็บไฟล์แม้แตกไฟล์ล้มเหลว (Zstd)
    ป้องกันการสูญหายของข้อมูล

    อัปเดตไลบรารี crypto/hash ให้รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย
    เพิ่มความเข้ากันได้กับระบบที่ไม่ใช่ x86

    https://9to5linux.com/peazip-10-7-open-source-archive-manager-introduces-an-image-viewer
    🗂️ “PeaZip 10.7 เพิ่มฟีเจอร์ดูภาพในไฟล์ — ครบเครื่องทั้งบีบอัดและพรีวิว” PeaZip 10.7 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมจัดการไฟล์แบบโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ: ตัวดูภาพ (image viewer) ที่สามารถพรีวิวภาพภายในไฟล์บีบอัดได้โดยไม่ต้องแตกไฟล์ออกมาก่อน ฟีเจอร์ใหม่นี้อยู่ในเมนู “File manager > View images” และรองรับการซูม, โหมด immersive, การเปลี่ยนชื่อ, ลบไฟล์ และการนำทางภาพแบบพื้นฐาน นอกจากนี้ยังสามารถแสดง thumbnail ของภาพในตัวจัดการไฟล์ได้ทุกแพลตฟอร์ม PeaZip 10.7 ยังปรับปรุงการทำงานร่วมกับ ClamAV (แอนตี้ไวรัสโอเพ่นซอร์ส), เพิ่มการพรีวิวไฟล์ในฟอร์แมต Zpaq, และปรับปรุงการเรียกดูไฟล์ .pkg รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “Quick Look” บน macOS ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่: 🛄 การสำรวจ path ของไฟล์พรีวิวผ่านเบราว์เซอร์ของระบบ 🛄 การพรีวิวข้อความพร้อมฟีเจอร์ค้นหา, นับจำนวนคำ/บรรทัด/ตัวอักษร, เปลี่ยน encoding และ word wrap 🛄 ปรับปรุงธีม “Line custom” 🛄 เพิ่มตัวเลือกให้เก็บไฟล์ไว้แม้การแตกไฟล์ล้มเหลว (เฉพาะ backend Zstd) 🛄 ปรับปรุงการรายงานระดับการบีบอัดของ Brotli และ Zpaq 🛄 ปรับปรุงการตั้งชื่อหน่วยและรายการต่าง ๆ 🛄 ปรับปรุงเมนู “Functions” ให้เรียงตามตัวอักษรและใช้งานง่ายขึ้น 🛄 อัปเดตไลบรารี crypto/hash ให้รองรับสถาปัตยกรรม non-x86/x86_64 PeaZip 10.7 พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งเวอร์ชัน GTK และ Qt รวมถึง Flatpak ผ่าน Flathub ✅ PeaZip 10.7 เพิ่มฟีเจอร์ image viewer ➡️ ดูภาพและพรีวิวภาพในไฟล์บีบอัดได้โดยไม่ต้องแตกไฟล์ ✅ รองรับการแสดง thumbnail ใน file manager ทุกแพลตฟอร์ม ➡️ ช่วยให้ดูภาพในไฟล์บีบอัดได้สะดวกขึ้น ✅ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ ClamAV ➡️ เพิ่มความปลอดภัยในการจัดการไฟล์ ✅ รองรับการพรีวิวไฟล์ Zpaq และ .pkg ➡️ ขยายความสามารถในการจัดการฟอร์แมตเฉพาะ ✅ เพิ่ม Quick Look บน macOS และปรับปรุง Text preview ➡️ รองรับการค้นหา, นับคำ, เปลี่ยน encoding ฯลฯ ✅ ปรับปรุงเมนู Functions และธีม Line custom ➡️ ใช้งานง่ายและดูสบายตายิ่งขึ้น ✅ เพิ่มตัวเลือกเก็บไฟล์แม้แตกไฟล์ล้มเหลว (Zstd) ➡️ ป้องกันการสูญหายของข้อมูล ✅ อัปเดตไลบรารี crypto/hash ให้รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย ➡️ เพิ่มความเข้ากันได้กับระบบที่ไม่ใช่ x86 https://9to5linux.com/peazip-10-7-open-source-archive-manager-introduces-an-image-viewer
    9TO5LINUX.COM
    PeaZip 10.7 Open-Source Archive Manager Introduces an Image Viewer - 9to5Linux
    PeaZip 10.7 open-source archive manager is now available for download with a new image viewer component and various improvements.
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • “Pixel 10 Pro Fold พังกลางคลิปทดสอบ” — เมื่อการงอเครื่องผิดทิศทางทำให้เกิดควันและความกังวลเรื่องความปลอดภัย

    Google Pixel 10 Pro Fold ซึ่งเป็นมือถือพับรุ่นล่าสุดจาก Google ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ใช้และนักรีวิว โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ที่ผสาน AI ได้อย่างลงตัว แม้ฮาร์ดแวร์จะไม่หรูเท่า Galaxy Z Fold 7 แต่ก็ถือว่าแข็งแรงและใช้งานดี

    อย่างไรก็ตาม คลิปทดสอบความทนทานจากช่อง JerryRigEverything กลับสร้างความตกตะลึง เมื่อ Zack Nelson พยายามงอเครื่องย้อนกลับเพื่อทดสอบความแข็งแรงของบานพับ แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด — เครื่องเริ่มปล่อยควันหนาออกมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดไฟไหม้ในคลิปทดสอบของเขา

    เหตุการณ์นี้เกิดจากแบตเตอรี่ที่ได้รับแรงกดผิดปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตเตือนว่าอาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดได้ โดยเฉพาะเมื่อแบตเตอรี่ถูกเจาะหรือโดนความร้อนสูง

    แม้จะดูน่ากังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การใช้งานจริงของผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะไม่มีใครงอเครื่องย้อนกลับแบบในคลิป และแบตเตอรี่ของ Pixel 10 Pro Fold ก็ไม่ได้มีปัญหาในกรณีใช้งานปกติ

    ข้อมูลในข่าว
    Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับรุ่นล่าสุดจาก Google
    คลิปทดสอบจาก JerryRigEverything ทำให้เครื่องปล่อยควันออกมา
    การงอเครื่องย้อนกลับทำให้แบตเตอรี่เสียหาย
    เป็นครั้งแรกที่เกิดไฟไหม้ในคลิปทดสอบของ Zack Nelson
    แบตเตอรี่ที่ถูกกดหรือเจาะอาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิด
    Google ยังไม่ได้แสดงความเห็นอย่างเป็นทางการ
    ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรพบปัญหานี้ในการใช้งานปกติ
    Pixel 10 Pro Fold ได้รับคำชมเรื่องซอฟต์แวร์และ AI integration
    ผู้ทดสอบเปรียบเทียบกับ OnePlus Open ที่ยังทำงานได้ดีแม้เก็บไว้ 20 เดือน

    https://www.slashgear.com/1998186/pixel-10-pro-durability-test-failure-explained/
    🔥 “Pixel 10 Pro Fold พังกลางคลิปทดสอบ” — เมื่อการงอเครื่องผิดทิศทางทำให้เกิดควันและความกังวลเรื่องความปลอดภัย Google Pixel 10 Pro Fold ซึ่งเป็นมือถือพับรุ่นล่าสุดจาก Google ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ใช้และนักรีวิว โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ที่ผสาน AI ได้อย่างลงตัว แม้ฮาร์ดแวร์จะไม่หรูเท่า Galaxy Z Fold 7 แต่ก็ถือว่าแข็งแรงและใช้งานดี อย่างไรก็ตาม คลิปทดสอบความทนทานจากช่อง JerryRigEverything กลับสร้างความตกตะลึง เมื่อ Zack Nelson พยายามงอเครื่องย้อนกลับเพื่อทดสอบความแข็งแรงของบานพับ แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด — เครื่องเริ่มปล่อยควันหนาออกมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดไฟไหม้ในคลิปทดสอบของเขา เหตุการณ์นี้เกิดจากแบตเตอรี่ที่ได้รับแรงกดผิดปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตเตือนว่าอาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดได้ โดยเฉพาะเมื่อแบตเตอรี่ถูกเจาะหรือโดนความร้อนสูง แม้จะดูน่ากังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การใช้งานจริงของผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะไม่มีใครงอเครื่องย้อนกลับแบบในคลิป และแบตเตอรี่ของ Pixel 10 Pro Fold ก็ไม่ได้มีปัญหาในกรณีใช้งานปกติ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับรุ่นล่าสุดจาก Google ➡️ คลิปทดสอบจาก JerryRigEverything ทำให้เครื่องปล่อยควันออกมา ➡️ การงอเครื่องย้อนกลับทำให้แบตเตอรี่เสียหาย ➡️ เป็นครั้งแรกที่เกิดไฟไหม้ในคลิปทดสอบของ Zack Nelson ➡️ แบตเตอรี่ที่ถูกกดหรือเจาะอาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิด ➡️ Google ยังไม่ได้แสดงความเห็นอย่างเป็นทางการ ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรพบปัญหานี้ในการใช้งานปกติ ➡️ Pixel 10 Pro Fold ได้รับคำชมเรื่องซอฟต์แวร์และ AI integration ➡️ ผู้ทดสอบเปรียบเทียบกับ OnePlus Open ที่ยังทำงานได้ดีแม้เก็บไว้ 20 เดือน https://www.slashgear.com/1998186/pixel-10-pro-durability-test-failure-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Pixel 10 Pro Fold Durability Test Goes Up In Smoke. Does It Really Matter? - SlashGear
    It's not uncommon for users to test the durability of tech products on the market. However, this test on a Pixel 10 Pro didn't go as planned.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย

    Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว

    รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว

    ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย

    ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้

    อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995

    ข้อมูลในข่าว
    Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai
    รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์
    ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
    รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger
    พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต
    ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit
    ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก
    ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
    สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก
    รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม
    ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์)

    https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    🚗 “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai ➡️ รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์ ➡️ ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ➡️ รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ➡️ พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต ➡️ ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit ➡️ ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก ➡️ ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ⛔ สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก ⛔ รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม ⛔ ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์) https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nissan's New 2026 Leaf Finally Delivers On An Old Promise - SlashGear
    Is Nissan's newest Leaf the freshly-crowned king of cheap electric cars?
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
More Results