• ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่

    วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า

    “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย”

    แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472

    #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    ปูด ลูกนักการเมืองเบอร์ใหญ่ “ส” เป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre หลัง “เด็ก ปชน.” กัดไม่ปล่อย จี้ถาม สปสช.ทุ่ม 7 พันล้าน ซื้อ แต่ราคาประเมินจริงแค่ 3 พันล้าน เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ • วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาตั้งคำถามถึงการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7 พันล้านบาท แต่มูลค่าจริงเพียง 3 พันล้านบาท ในปี 2565 ของกองทุนประกันสังคม (สปสช.) นั้น เป็นการเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ เพราะถือเป็นการจงใจลงทุนผิดพลาด พร้อมระบุว่า • “ใครเป็นเจ้าของ เป็นของนักการเมืองพรรคไหน เกี่ยวข้องกับพรรคที่อยู่ในป่าหรือไม่ น่าสงสัย เพราะท่านอดีต รมว.แรงงาน ก็อยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยากให้ทุกท่านได้ลองหาข้อมูลดู ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จปี 2565 ก็พร้อมขายให้กองทุน สปส.เลย” • แหล่งข่าวระดับสูง เปิดเผยว่า ชื่อผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของอาคาร SKYY9 Centre ก่อนที่จะมีการขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในสมัยที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ บุตรชายของนักการเมือง “ส” ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล และเป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เพราะแว่วว่า เป็นคนๆ เดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวดัง ”รัฐมนตรีเบี้ยวไม่จ่ายค่าตัวหญิงบริการ” นั่นเอง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023472 • #MGROnline #SKYY9Centre #กองทุนประกันสังคม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ
    .
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้
    .
    ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39
    .
    "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ
    .
    ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง
    .
    ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน
    ............
    Sondhi X
    'ประกันสังคม' ลดกระแส เตรียมปรับสูตรบำนาญ เยียวยาคนทำงานเกษียณ . ชั่วโมงนี้คงไม่มีหน่วยงานไหนมีรถทัวร์ไปลงมากเท่ากับสำนักงานประกันสังคม ภายหลังมีกระแสเรียกร้องให้มีการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันกลางที่ประชุมวุฒิสภาว่า เตรียมจะมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเร็วๆนี้ . ทั้งนี้ การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายชูชีพ เอื้อการณ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่อง เรื่องผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากไม่ทันค่าของชีพที่สูงขึ้น และแนวทางลดค่าของชีพของประชาชน การดูแล SME ทั้งระยะสั้นระยะยาว โดยนายพิพัฒน์ ตอบชี้แจงตอนหนึ่งระบุว่า จะหารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเอสเอ็มอี (SME) ควรจะดูแลอย่างไร ขณะเดียวกันนอกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้วจะต้องดูแล 13 อาชีพ ให้ได้รับการอัพสกิล รีสกิลยกระดับฝีมือแรงงาน เว้นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่นอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย แต่ก็จะพยามดูแลให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสูตรคำนวณดูแลเยียวยา ของผู้ทำงานประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา 39 . "กระทรวงแรงงานได้คิดว่าเมื่อผู้ใช้แรงงานได้เกษียณอายุไปจะทำอย่างไร ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทำประชาพิจารณ์คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ว่าหากเกษียณอายุ 60 ปีไปแล้ว ยังมีอายุอีก 20 ถึง30 ปี เงินในส่วนนั้นจะทำอย่างไรให้สามารถยังชีพอยู่ได้หากไม่มีบุตรหลานคอยดูแล หากยืดอายุกองทุนประกันสังคมได้ จากนั้นจะคิดสูตรว่า ในแต่ละปีการประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนได้อย่างไร หากอีก2 ปีข้างหน้ามีการเดินสู่เป้าหมายที่ชัดเจน จะพิจารณาต่อว่ากองทุนประกันสังคมจะให้เงินสำหรับสงเคราะห์ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่เพื่อยังชีพ" นายพิพัฒน์ ระบุ . ขณะที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาการบริหารกองทุนประกันสังคมโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนที่ขาดธรรมาภิบาล โดยการใช้เงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 2.6 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใสโดยเฉพาะการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การซื้ออาคารย่านพระราม 9 มูลค่า 7,000 ล้านบาทในขณะที่ราคาช่วงประเมินปี 2565 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปีแรกมีอัตราการเช่าเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และปัจจุบันก็มีผู้เช่าไม่ถึงครึ่ง . ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งรับรู้ ไม่มีสิทธิไปแต่งตั้งบอร์ดต่างๆ จนเมื่อเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ตนถึงจะมีสิทธิลงนามแต่งตั้งเท่านั้น ราคาดังกล่าวเป็นราคาประเมินตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แล้วคนที่ซื้อมาลงทุน มีการรีโนเวทอย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ เนื่องจากการซื้อขายนั้นจะใช้การประเมินโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ประเมิน ............ Sondhi X
    Like
    Love
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 687 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568

    วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098

    #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 • วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098 • #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนนครสั่งสอนบ้านใหญ่ เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยน
    ผลการเลือกตั้งนายก อบจ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่เลือกกัน 3 จังหวัดในวันเดียวกันคือ อุดรธานี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช
    ส่วนใหญ่คนสนใจไปที่อุดรธานี หลังเห็นทักษิณ ชินวัตร นําทัพใหญ่ไปช่วยสราวุธ เพชรพนมพร ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็ขนอดีตแกนนําพรรคส้มตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน ไปช่วยหาเสียงให้นายคณิศร ผู้สมัครนายก อบจ อุดรธานี เช่นกัน ทั้ง พิธา ธนาธร ปิยบุตร ไชยธว ช่อพณิกาและเท้ง ณัฐพล จนทําให้ศึกเลือกตั้งนายกอุดรธานีไปไกลเกินเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้ว
    แต่สุดท้ายอุดรธานี ไม่มีล็อกถล่ม เพื่อไทยยังคงรักษาเก้าอี้นายกอุดรธานีไว้ได้อีกสมัยทําให้ทักษิณไม่หน้าแหก ส่วนที่ล็อกถล่มคือสนามเลือกตั้งนายกอบจ นครศรีธรรมราช ที่นายกต้อย อดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชไม่สามารถรักษาเก้าอี้เดิมไว้ได้ โดยแพ้ให้กับวาริน ผู้สมัครจากกรุงนครเข้มแข็ง ซึ่งนายกต้อย เป็นอดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชมาร่วม 4 ปีแถมมีลูกชายสองคนเป็น สส นครศรีธรรมราชในเวลานี้ คือชัยชนะและพิทักษ์เดชเดโช สองพี่น้อง สส นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะแทนชัยชนะก็ยังเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ และที่ผ่านมามีบทบาทอย่างมากในพรรคประชาธิปัตย์ยุคเฉลิมชัยที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและพรรคเพื่อไทยเรียกได้ว่า ชัยชนะ คือเบอร์สามในพรรคประชาธิปัตย์รองจากเฉลิมชัยและเดชอิฐ
    รวมถึงยังสร้างตระกูลเดชเดโชให้ขึ้นมาเป็นบ้านใหญ่นครศรีธรรมราชได้สําเร็จเพราะตัวเองกับน้องชายก็เป็นส สส่วนแม่ก็เป็นนายก อบจ ด้วยบารมีทางการเมืองเบ่งบานขนาดนี้คนนึกว่ากนกพรคงชนะชัวร์แบบใสใส แต่สุดท้ายแพ้พลิกล็อก ให้กับ วารินเด็กปั้นโกเกี๊ยะพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แกนนําพรรคภูมิใจไทยสายภาคใต้ที่ช่วงแรกคนมองว่ากระดูกคนละเบอร์กับนางกนกพร แต่สุดท้ายหลังกระแสม้าตีนปลายของวารินมาแรงช่วง 2สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่สามารถล้ม นางกนกพรและชัยชนะได้สําเร็จ
    เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของบ้านใหญ่เดชเดโชครั้งนี้ว่ากันว่าสาเหตุหลักหลักเพราะคนนครที่ถือเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นฐานการเมืองสําคัญ ของประชาธิปัตย์ในภาคใต้มาตลอด ต้องการสั่งสอนชัยชนะและพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทยซึ่งเป็นเรื่องที่คนนครจํานวนไม่น้อยรับไม่ได้ และยังมีกรณีชัยชนะเอาคณะกรรมาธิการการตํารวจที่ตัวเองเป็นประธาน ตรวจสอบเรื่องชั้น 14 ทักษิณแต่สุดท้ายกลายเป็นปาหี่ไม่เอาจริงแถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการเอาประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณ
    การสั่งสอนของคนนครศรีธรรมราชต่อแกนนําพรรคประชาธิปัตย์ที่คงทําให้พวก สสสะตอพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทย มีหนาวแน่ เพราะอาจจะสอบตกตามรอยแม่ชัยชนะอย่างที่เห็นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นก็ได้ ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ

    คนนครสั่งสอนบ้านใหญ่ เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยน ผลการเลือกตั้งนายก อบจ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่เลือกกัน 3 จังหวัดในวันเดียวกันคือ อุดรธานี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่คนสนใจไปที่อุดรธานี หลังเห็นทักษิณ ชินวัตร นําทัพใหญ่ไปช่วยสราวุธ เพชรพนมพร ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็ขนอดีตแกนนําพรรคส้มตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน ไปช่วยหาเสียงให้นายคณิศร ผู้สมัครนายก อบจ อุดรธานี เช่นกัน ทั้ง พิธา ธนาธร ปิยบุตร ไชยธว ช่อพณิกาและเท้ง ณัฐพล จนทําให้ศึกเลือกตั้งนายกอุดรธานีไปไกลเกินเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้ว แต่สุดท้ายอุดรธานี ไม่มีล็อกถล่ม เพื่อไทยยังคงรักษาเก้าอี้นายกอุดรธานีไว้ได้อีกสมัยทําให้ทักษิณไม่หน้าแหก ส่วนที่ล็อกถล่มคือสนามเลือกตั้งนายกอบจ นครศรีธรรมราช ที่นายกต้อย อดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชไม่สามารถรักษาเก้าอี้เดิมไว้ได้ โดยแพ้ให้กับวาริน ผู้สมัครจากกรุงนครเข้มแข็ง ซึ่งนายกต้อย เป็นอดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชมาร่วม 4 ปีแถมมีลูกชายสองคนเป็น สส นครศรีธรรมราชในเวลานี้ คือชัยชนะและพิทักษ์เดชเดโช สองพี่น้อง สส นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะแทนชัยชนะก็ยังเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ และที่ผ่านมามีบทบาทอย่างมากในพรรคประชาธิปัตย์ยุคเฉลิมชัยที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและพรรคเพื่อไทยเรียกได้ว่า ชัยชนะ คือเบอร์สามในพรรคประชาธิปัตย์รองจากเฉลิมชัยและเดชอิฐ รวมถึงยังสร้างตระกูลเดชเดโชให้ขึ้นมาเป็นบ้านใหญ่นครศรีธรรมราชได้สําเร็จเพราะตัวเองกับน้องชายก็เป็นส สส่วนแม่ก็เป็นนายก อบจ ด้วยบารมีทางการเมืองเบ่งบานขนาดนี้คนนึกว่ากนกพรคงชนะชัวร์แบบใสใส แต่สุดท้ายแพ้พลิกล็อก ให้กับ วารินเด็กปั้นโกเกี๊ยะพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แกนนําพรรคภูมิใจไทยสายภาคใต้ที่ช่วงแรกคนมองว่ากระดูกคนละเบอร์กับนางกนกพร แต่สุดท้ายหลังกระแสม้าตีนปลายของวารินมาแรงช่วง 2สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่สามารถล้ม นางกนกพรและชัยชนะได้สําเร็จ เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของบ้านใหญ่เดชเดโชครั้งนี้ว่ากันว่าสาเหตุหลักหลักเพราะคนนครที่ถือเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นฐานการเมืองสําคัญ ของประชาธิปัตย์ในภาคใต้มาตลอด ต้องการสั่งสอนชัยชนะและพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทยซึ่งเป็นเรื่องที่คนนครจํานวนไม่น้อยรับไม่ได้ และยังมีกรณีชัยชนะเอาคณะกรรมาธิการการตํารวจที่ตัวเองเป็นประธาน ตรวจสอบเรื่องชั้น 14 ทักษิณแต่สุดท้ายกลายเป็นปาหี่ไม่เอาจริงแถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการเอาประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณ การสั่งสอนของคนนครศรีธรรมราชต่อแกนนําพรรคประชาธิปัตย์ที่คงทําให้พวก สสสะตอพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทย มีหนาวแน่ เพราะอาจจะสอบตกตามรอยแม่ชัยชนะอย่างที่เห็นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นก็ได้ ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1010 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้ประกันตน 2567 เริ่ม 1 พ.ย. 2567 กู้ได้ 2 ล้าน
    .
    วันที่ 31 ตุลาคม 2567 นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลและกระทรวงแรงงาน มีนโยบายให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เร่งผลักดันนโยบายให้สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จับมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ กระทรวงการคลัง จัดโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ปี 2567 เพื่อเป้าหมาย “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยจะช่วยให้ผู้ประกันตนทุกคนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ นั้น
    .
    สำนักงานประกันสังคม จึงได้นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการประกันสังคม และคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ให้ดำเนิน "โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ปี 2567” สามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ต้องส่งเงินสมทบต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี ก่อนเดือนที่ขอใช้สิทธิ
    .
    โดยมีวัตถุประสงค์
    - เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
    - เพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัย
    - เพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างที่อยู่อาศัย
    ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่มีภาระผ่อนที่อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 1.59 ต่อปี คงที่เป็นระยะเวลา 5 ปี และในปีที่ 6 – 8 อัตราดอกเบี้ย MRR–ร้อยละ 2 ต่อปี (MRR–2%) และตั้งแต่ปีที่ 9 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR–ร้อยละ 0.5 ต่อปี (MRR–0.5%) โดยผู้ประกันตนจะได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่เกินรายละ 2,000,000 บาท
    .
    ผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสินเชื่อฯ ดาวน์โหลด Application SSO Plus เพื่อขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป เพื่อนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นประกอบการขอสินเชื่อฯ
    .
    ที่มา: สำนักงานประกันสังคม
    .
    - https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/e1fb643574d4535064f0e92a999729f9.pdf
    .
    #PlanWise
    โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้ประกันตน 2567 เริ่ม 1 พ.ย. 2567 กู้ได้ 2 ล้าน . วันที่ 31 ตุลาคม 2567 นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลและกระทรวงแรงงาน มีนโยบายให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เร่งผลักดันนโยบายให้สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จับมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ กระทรวงการคลัง จัดโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ปี 2567 เพื่อเป้าหมาย “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยจะช่วยให้ผู้ประกันตนทุกคนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ นั้น . สำนักงานประกันสังคม จึงได้นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการประกันสังคม และคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ให้ดำเนิน "โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ปี 2567” สามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ต้องส่งเงินสมทบต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี ก่อนเดือนที่ขอใช้สิทธิ . โดยมีวัตถุประสงค์ - เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย - เพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัย - เพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่มีภาระผ่อนที่อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 1.59 ต่อปี คงที่เป็นระยะเวลา 5 ปี และในปีที่ 6 – 8 อัตราดอกเบี้ย MRR–ร้อยละ 2 ต่อปี (MRR–2%) และตั้งแต่ปีที่ 9 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR–ร้อยละ 0.5 ต่อปี (MRR–0.5%) โดยผู้ประกันตนจะได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่เกินรายละ 2,000,000 บาท . ผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสินเชื่อฯ ดาวน์โหลด Application SSO Plus เพื่อขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป เพื่อนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นประกอบการขอสินเชื่อฯ . ที่มา: สำนักงานประกันสังคม . - https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/e1fb643574d4535064f0e92a999729f9.pdf . #PlanWise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 534 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พิพัฒน์” ขีดเส้น 2 เดือน พิจารณาเร่งแก้กฎกระทรวงฯ ให้ลูกจ้างรายเดือน รับสิทธิค่า OT ตามจริง พร้อมตั้งคณะทำงาน 3ฝ่าย
    วันที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือและรับหนังสือจากนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างจำนวน 7 สภา เพื่อขอให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) และ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมี นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศ. นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน
    นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงแรงงาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมหารือผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างฯ ที่ได้มายื่นหนังสือเพื่อขอให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) ข้อ 2 วรรคสอง ที่กำหนดไม่ให้ลูกจ้างรายเดือนมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาเท่ากับลูกจ้างรายวัน และแก้ไขฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ซึ่งตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลา ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างรายเดือนได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลา เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวัน
    “ผมได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 7 คน เพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย รวมถึงผลกระทบจากการแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยจะพิจารณาการจ่ายค่าตอบแทนในอัตรา 1.5 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ และ 3 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานในวันหยุด เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวันหรือลูกจ้างตามผลงานตามกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดประชุมและรายงานผลการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน” นายพิพัฒน์กล่าว
    @PR DLPW

    https://www.facebook.com/share/Vt6L8h2fKupXkD92
    “พิพัฒน์” ขีดเส้น 2 เดือน พิจารณาเร่งแก้กฎกระทรวงฯ ให้ลูกจ้างรายเดือน รับสิทธิค่า OT ตามจริง พร้อมตั้งคณะทำงาน 3ฝ่าย วันที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือและรับหนังสือจากนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างจำนวน 7 สภา เพื่อขอให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) และ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมี นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวกาญจนา พูลแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศ. นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงแรงงาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมหารือผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างฯ ที่ได้มายื่นหนังสือเพื่อขอให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) ข้อ 2 วรรคสอง ที่กำหนดไม่ให้ลูกจ้างรายเดือนมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาเท่ากับลูกจ้างรายวัน และแก้ไขฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ซึ่งตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลา ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างรายเดือนได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลา เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวัน “ผมได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 7 คน เพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย รวมถึงผลกระทบจากการแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว โดยจะพิจารณาการจ่ายค่าตอบแทนในอัตรา 1.5 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ และ 3 เท่าต่อชั่วโมงสำหรับการทำงานในวันหยุด เช่นเดียวกับลูกจ้างรายวันหรือลูกจ้างตามผลงานตามกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดประชุมและรายงานผลการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน” นายพิพัฒน์กล่าว @PR DLPW https://www.facebook.com/share/Vt6L8h2fKupXkD92
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว