• "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด"

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้.

    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์.

    แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ.

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด
    จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์
    H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่

    คำเตือนจากข่าว
    Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ
    การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป
    ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    💡 "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด" Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้. ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์. แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ. สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด ➡️ จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์ ➡️ H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200 ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป ⛔ ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Cambricon ตั้งเป้าเพิ่มการผลิตชิป AI 3 เท่า – หวังแทนที่ Nvidia และท้าชน Huawei"

    ข่าวนี้เล่าถึงบริษัท Cambricon Technologies ของจีนที่ตั้งเป้า เพิ่มการผลิตชิป AI เป็น 3 เท่าในปี 2026 เพื่อทดแทนช่องว่างที่ Nvidia ถอนตัวออกจากตลาดจีน และแข่งขันกับ Huawei แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องกำลังการผลิตและคุณภาพการผลิตที่ต่ำ

    Cambricon Technologies มีแผนจะผลิตชิป AI กว่า 500,000 ตัวในปี 2026 รวมถึงรุ่นเรือธง Siyuan 590 และ 690 ซึ่งมากกว่าสามเท่าของจำนวนที่คาดว่าจะผลิตในปี 2025 (ประมาณ 142,000 ตัว). การขยายนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ถูกจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน ทำให้เกิดช่องว่างในตลาดที่บริษัทจีนพยายามเข้ามาเติมเต็ม.

    Cambricon จะพึ่งพากำลังการผลิตจาก Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) โดยใช้กระบวนการผลิต 7nm N+2 แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องคุณภาพ เนื่องจากชิป Siyuan มีอัตราการผลิตที่ใช้ได้จริงเพียง 20% หรือหนึ่งในห้าของจำนวนที่ผลิตออกมา ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ TSMC ที่มี yield rate สูงถึง 60%.

    แม้จะมีข้อจำกัดด้านเทคนิค แต่ Cambricon ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลจีนและความต้องการภายในประเทศ โดยมีลูกค้ารายใหญ่เช่น Alibaba และ ByteDance ที่หันมาใช้ชิปจีนตามนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติ รายได้ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นกว่า 14 เท่าในไตรมาสล่าสุด สะท้อนความต้องการที่พุ่งสูงในตลาด AI.

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่ การจัดหาวัสดุพื้นฐานและหน่วยความจำ (HBM, LPDDR) ซึ่งขาดแคลนทั่วโลก รวมถึงการแข่งขันกับ Huawei ที่ประกาศว่าจะเพิ่มการผลิตชิปเช่นกัน ทำให้อนาคตของ Cambricon แม้จะสดใส แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงด้านเทคนิคและทรัพยากร.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Cambricon ตั้งเป้าผลิตชิป AI 500,000 ตัวในปี 2026
    ใช้กำลังการผลิตจาก SMIC ที่กระบวนการ 7nm N+2
    Yield rate ของชิป Siyuan อยู่ที่ 20% เทียบกับ TSMC ที่ 60%
    ลูกค้ารายใหญ่: Alibaba และ ByteDance
    รายได้ไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้น 14 เท่า

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    Huawei กำลังเพิ่มการผลิตชิป AI เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ
    การขาดแคลน HBM และ LPDDR เป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก

    คำเตือนจากข่าว
    Yield rate ต่ำอาจทำให้ต้นทุนสูงและการผลิตไม่คุ้มค่า
    การขาดแคลนหน่วยความจำอาจทำให้คำสั่งซื้อไม่สามารถส่งมอบได้
    การแข่งขันกับ Huawei อาจทำให้ Cambricon เสียเปรียบในตลาดภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-tech-firm-cambricon-looks-to-step-into-nvidia-void-triple-ai-chip-production-next-year-seeks-to-rival-huawei-but-production-remains-a-concern
    ⚙️ "Cambricon ตั้งเป้าเพิ่มการผลิตชิป AI 3 เท่า – หวังแทนที่ Nvidia และท้าชน Huawei" ข่าวนี้เล่าถึงบริษัท Cambricon Technologies ของจีนที่ตั้งเป้า เพิ่มการผลิตชิป AI เป็น 3 เท่าในปี 2026 เพื่อทดแทนช่องว่างที่ Nvidia ถอนตัวออกจากตลาดจีน และแข่งขันกับ Huawei แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องกำลังการผลิตและคุณภาพการผลิตที่ต่ำ Cambricon Technologies มีแผนจะผลิตชิป AI กว่า 500,000 ตัวในปี 2026 รวมถึงรุ่นเรือธง Siyuan 590 และ 690 ซึ่งมากกว่าสามเท่าของจำนวนที่คาดว่าจะผลิตในปี 2025 (ประมาณ 142,000 ตัว). การขยายนี้เกิดขึ้นหลังจาก Nvidia ถูกจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน ทำให้เกิดช่องว่างในตลาดที่บริษัทจีนพยายามเข้ามาเติมเต็ม. Cambricon จะพึ่งพากำลังการผลิตจาก Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) โดยใช้กระบวนการผลิต 7nm N+2 แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องคุณภาพ เนื่องจากชิป Siyuan มีอัตราการผลิตที่ใช้ได้จริงเพียง 20% หรือหนึ่งในห้าของจำนวนที่ผลิตออกมา ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ TSMC ที่มี yield rate สูงถึง 60%. แม้จะมีข้อจำกัดด้านเทคนิค แต่ Cambricon ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลจีนและความต้องการภายในประเทศ โดยมีลูกค้ารายใหญ่เช่น Alibaba และ ByteDance ที่หันมาใช้ชิปจีนตามนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติ รายได้ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นกว่า 14 เท่าในไตรมาสล่าสุด สะท้อนความต้องการที่พุ่งสูงในตลาด AI. อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่ การจัดหาวัสดุพื้นฐานและหน่วยความจำ (HBM, LPDDR) ซึ่งขาดแคลนทั่วโลก รวมถึงการแข่งขันกับ Huawei ที่ประกาศว่าจะเพิ่มการผลิตชิปเช่นกัน ทำให้อนาคตของ Cambricon แม้จะสดใส แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงด้านเทคนิคและทรัพยากร. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Cambricon ตั้งเป้าผลิตชิป AI 500,000 ตัวในปี 2026 ➡️ ใช้กำลังการผลิตจาก SMIC ที่กระบวนการ 7nm N+2 ➡️ Yield rate ของชิป Siyuan อยู่ที่ 20% เทียบกับ TSMC ที่ 60% ➡️ ลูกค้ารายใหญ่: Alibaba และ ByteDance ➡️ รายได้ไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้น 14 เท่า ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ Huawei กำลังเพิ่มการผลิตชิป AI เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ ➡️ การขาดแคลน HBM และ LPDDR เป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ Yield rate ต่ำอาจทำให้ต้นทุนสูงและการผลิตไม่คุ้มค่า ⛔ การขาดแคลนหน่วยความจำอาจทำให้คำสั่งซื้อไม่สามารถส่งมอบได้ ⛔ การแข่งขันกับ Huawei อาจทำให้ Cambricon เสียเปรียบในตลาดภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-tech-firm-cambricon-looks-to-step-into-nvidia-void-triple-ai-chip-production-next-year-seeks-to-rival-huawei-but-production-remains-a-concern
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: จีนออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากแบบใหม่

    รัฐบาลจีนได้ออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” ให้กับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ เช่น JL Mag Rare Earth, Ningbo Yunsheng และ Beijing Zhong Ke San Huan High-Tech การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า

    รายละเอียดของใบอนุญาต
    ใบอนุญาตใหม่นี้มีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้ผู้ผลิตสามารถส่งออกได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณีเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กรอบการควบคุมยังคงอยู่ เพียงแต่มีช่องทางที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    มาตรการนี้ช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ แต่ผลกระทบจะไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน เนื่องจากใบอนุญาตผูกกับลูกค้าเฉพาะราย บางบริษัทอาจได้ประโยชน์ทันที ขณะที่บางรายยังต้องรอการอนุมัติในอนาคต

    มุมมองในอนาคต
    แม้จะมีการผ่อนคลาย แต่จีนยังคงควบคุมอุตสาหกรรมแร่หายากอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในส่วนแม่เหล็กถาวรที่ใช้ใน มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเพียงการเปิดช่องทางใหม่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด

    สรุปสาระสำคัญ
    จีนออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” สำหรับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวร
    ครอบคลุม JL Mag, Ningbo Yunsheng และ Zhong Ke San Huan

    ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล
    ลดขั้นตอนการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณี

    ช่วยให้การส่งออกเร็วขึ้นและเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้า
    แต่ผลกระทบไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน

    กรอบการควบคุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัด
    ผู้ผลิตที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อยังต้องรอการอนุมัติ

    อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวรยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีน
    มีผลต่อเทคโนโลยีสำคัญ เช่น มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-issues-first-batch-of-general-rare-earth-export-licenses-to-magnet-makers
    🌏 ข่าวใหญ่: จีนออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากแบบใหม่ รัฐบาลจีนได้ออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” ให้กับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ เช่น JL Mag Rare Earth, Ningbo Yunsheng และ Beijing Zhong Ke San Huan High-Tech การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า 🔧 รายละเอียดของใบอนุญาต ใบอนุญาตใหม่นี้มีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้ผู้ผลิตสามารถส่งออกได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณีเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กรอบการควบคุมยังคงอยู่ เพียงแต่มีช่องทางที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติ 📉 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม มาตรการนี้ช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ แต่ผลกระทบจะไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน เนื่องจากใบอนุญาตผูกกับลูกค้าเฉพาะราย บางบริษัทอาจได้ประโยชน์ทันที ขณะที่บางรายยังต้องรอการอนุมัติในอนาคต 📊 มุมมองในอนาคต แม้จะมีการผ่อนคลาย แต่จีนยังคงควบคุมอุตสาหกรรมแร่หายากอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในส่วนแม่เหล็กถาวรที่ใช้ใน มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเพียงการเปิดช่องทางใหม่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จีนออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” สำหรับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวร ➡️ ครอบคลุม JL Mag, Ningbo Yunsheng และ Zhong Ke San Huan ✅ ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ➡️ ลดขั้นตอนการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณี ✅ ช่วยให้การส่งออกเร็วขึ้นและเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้า ➡️ แต่ผลกระทบไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน ‼️ กรอบการควบคุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัด ⛔ ผู้ผลิตที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อยังต้องรอการอนุมัติ ‼️ อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวรยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีน ⛔ มีผลต่อเทคโนโลยีสำคัญ เช่น มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-issues-first-batch-of-general-rare-earth-export-licenses-to-magnet-makers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 15
    ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด
    อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว
    ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง
    กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน
    คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ
    เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย
    คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล
    วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน
    กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม
    เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน
    หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)”
    ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ
    ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น
    โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า
    ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ
    ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา
    ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง
    คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร
    เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน
    อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 15 ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)” ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลทดสอบของการ์ดจอ Nvidia RTX Pro 6000D รุ่นพิเศษที่ทำตลาดในจีน

    ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดตัวและผลทดสอบของการ์ดจอ Nvidia RTX Pro 6000D รุ่นพิเศษที่ทำตลาดในจีน ซึ่งแม้ถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ แต่ยังทำคะแนนทดสอบได้สูงกว่า RTX 5090D เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การ์ดนี้ถูกแบนโดยรัฐบาลจีน ทำให้อนาคตของมันไม่สดใส

    ผลทดสอบที่เหนือกว่าเล็กน้อย
    RTX Pro 6000D ทำคะแนน 390,656 คะแนนใน Geekbench 6.5 OpenCL ซึ่งสูงกว่า RTX 5090D V2 ประมาณ 1% และตามหลัง RTX Pro 6000 รุ่นเซิร์ฟเวอร์เพียง 5% เท่านั้น การ์ดนี้มีหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 84GB และ 19,968 CUDA cores แม้จะถูกลดสเปกลงจากรุ่นหลัก แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้ดีในงานคำนวณเชิงกราฟิก

    ข้อจำกัดและการลดสเปก
    เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ Nvidia ต้องลดสเปกของรุ่น D-series เช่น RTX 6000D โดยตัดหน่วยความจำลง 14% และลดจำนวน CUDA cores ลง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 6000 ปกติ แม้ผลทดสอบ OpenCL ยังดูดี แต่ในงาน AI และ Machine Learning ประสิทธิภาพจะลดลงมากกว่า ซึ่งเป็นจุดที่รัฐบาลสหรัฐฯ จับตามอง

    การแบนจากรัฐบาลจีน
    แม้ Nvidia พยายามเจาะตลาดจีนด้วยรุ่นพิเศษนี้ แต่รัฐบาลจีนกลับสั่งแบนการ์ดดังกล่าว และสนับสนุนให้ใช้ GPU ที่ผลิตโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ทำให้ RTX 6000D ไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามที่คาดการณ์ และกลายเป็นเพียง “บทเรียน” ของการปรับตัวในตลาดที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและเศรษฐกิจ

    ผลสะท้อนต่ออุตสาหกรรม
    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก ที่ถูกกำหนดทั้งโดยเทคโนโลยีและการเมือง การที่ Nvidia ต้องออกแบบรุ่นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด แต่สุดท้ายก็ถูกแบน แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดจีนไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของความมั่นคงและการพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลทดสอบ RTX Pro 6000D
    ทำคะแนน 390,656 ใน Geekbench 6.5 OpenCL
    สูงกว่า RTX 5090D V2 เล็กน้อย และตามหลัง RTX Pro 6000 เซิร์ฟเวอร์เพียง 5%

    ข้อจำกัดด้านสเปก
    หน่วยความจำลดลง 14% เหลือ 84GB GDDR7
    CUDA cores ลดลง 20% เหลือ 19,968 cores

    การแบนจากรัฐบาลจีน
    ห้ามจำหน่าย RTX 6000D ในประเทศ
    สนับสนุนให้ใช้ GPU ที่ผลิตโดยบริษัทจีนแทน

    ผลสะท้อนต่ออุตสาหกรรม
    แสดงให้เห็นความซับซ้อนของการเมืองและเทคโนโลยี
    การแข่งขันในตลาดจีนไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคง

    คำเตือนต่อผู้เล่นในตลาด GPU
    การพึ่งพาตลาดจีนมีความเสี่ยงสูงจากข้อจำกัดทางการเมือง
    การลดสเปกเพื่อเลี่ยงข้อกำหนดอาจทำให้สูญเสียความสามารถในงาน AI ที่สำคัญ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-6000d-squeaks-ahead-of-rtx-5090d-in-geekbench-opencl-china-tailored-ai-card-still-performs-well-despite-regulatory-woes
    💷 ผลทดสอบของการ์ดจอ Nvidia RTX Pro 6000D รุ่นพิเศษที่ทำตลาดในจีน ข่าวนี้เล่าถึงการเปิดตัวและผลทดสอบของการ์ดจอ Nvidia RTX Pro 6000D รุ่นพิเศษที่ทำตลาดในจีน ซึ่งแม้ถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ แต่ยังทำคะแนนทดสอบได้สูงกว่า RTX 5090D เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การ์ดนี้ถูกแบนโดยรัฐบาลจีน ทำให้อนาคตของมันไม่สดใส ⚡ ผลทดสอบที่เหนือกว่าเล็กน้อย RTX Pro 6000D ทำคะแนน 390,656 คะแนนใน Geekbench 6.5 OpenCL ซึ่งสูงกว่า RTX 5090D V2 ประมาณ 1% และตามหลัง RTX Pro 6000 รุ่นเซิร์ฟเวอร์เพียง 5% เท่านั้น การ์ดนี้มีหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 84GB และ 19,968 CUDA cores แม้จะถูกลดสเปกลงจากรุ่นหลัก แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพได้ดีในงานคำนวณเชิงกราฟิก 🏭 ข้อจำกัดและการลดสเปก เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ Nvidia ต้องลดสเปกของรุ่น D-series เช่น RTX 6000D โดยตัดหน่วยความจำลง 14% และลดจำนวน CUDA cores ลง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 6000 ปกติ แม้ผลทดสอบ OpenCL ยังดูดี แต่ในงาน AI และ Machine Learning ประสิทธิภาพจะลดลงมากกว่า ซึ่งเป็นจุดที่รัฐบาลสหรัฐฯ จับตามอง 🚫 การแบนจากรัฐบาลจีน แม้ Nvidia พยายามเจาะตลาดจีนด้วยรุ่นพิเศษนี้ แต่รัฐบาลจีนกลับสั่งแบนการ์ดดังกล่าว และสนับสนุนให้ใช้ GPU ที่ผลิตโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ทำให้ RTX 6000D ไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามที่คาดการณ์ และกลายเป็นเพียง “บทเรียน” ของการปรับตัวในตลาดที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและเศรษฐกิจ 🌍 ผลสะท้อนต่ออุตสาหกรรม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก ที่ถูกกำหนดทั้งโดยเทคโนโลยีและการเมือง การที่ Nvidia ต้องออกแบบรุ่นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด แต่สุดท้ายก็ถูกแบน แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดจีนไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของความมั่นคงและการพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลทดสอบ RTX Pro 6000D ➡️ ทำคะแนน 390,656 ใน Geekbench 6.5 OpenCL ➡️ สูงกว่า RTX 5090D V2 เล็กน้อย และตามหลัง RTX Pro 6000 เซิร์ฟเวอร์เพียง 5% ✅ ข้อจำกัดด้านสเปก ➡️ หน่วยความจำลดลง 14% เหลือ 84GB GDDR7 ➡️ CUDA cores ลดลง 20% เหลือ 19,968 cores ✅ การแบนจากรัฐบาลจีน ➡️ ห้ามจำหน่าย RTX 6000D ในประเทศ ➡️ สนับสนุนให้ใช้ GPU ที่ผลิตโดยบริษัทจีนแทน ✅ ผลสะท้อนต่ออุตสาหกรรม ➡️ แสดงให้เห็นความซับซ้อนของการเมืองและเทคโนโลยี ➡️ การแข่งขันในตลาดจีนไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ‼️ คำเตือนต่อผู้เล่นในตลาด GPU ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนมีความเสี่ยงสูงจากข้อจำกัดทางการเมือง ⛔ การลดสเปกเพื่อเลี่ยงข้อกำหนดอาจทำให้สูญเสียความสามารถในงาน AI ที่สำคัญ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-6000d-squeaks-ahead-of-rtx-5090d-in-geekbench-opencl-china-tailored-ai-card-still-performs-well-despite-regulatory-woes
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX Pro 6000D squeaks ahead of RTX 5090D in Geekbench OpenCL—China-tailored AI card still performs well despite regulatory woes
    Performance against other Nvidia GPUs looks good, but Chinese regulatory headwinds mean the RTX Pro 6000D is unlikely to enjoy wide adoption.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) กำลังสอบสวนบริษัทจีน Bitmain

    รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องขุดจาก Bitmain สามารถถูกควบคุมจากระยะไกลโดยรัฐบาลจีนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ดภายใน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ความกังวลนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน

    กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า
    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ เคยสั่งปิดการดำเนินการขุด Bitcoin ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base เนื่องจากใช้เครื่อง Antminer ของ Bitmain นับพันเครื่อง และถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง นอกจากนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังระบุว่าเครื่องขุดของ Bitmainสามารถถูก “ควบคุมจากระยะไกล” ได้

    การตอบโต้ของ Bitmain
    Bitmain ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า ปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรม บริษัทชี้แจงว่าการที่สินค้าบางส่วนถูกยึดโดย FCC เป็นเพียงการตรวจสอบมาตรฐานสัญญาณเท่านั้น และไม่พบสิ่งผิดปกติ

    ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    Bitmain ครองตลาดเครื่องขุด Bitcoin กว่า 80% ทั่วโลก แต่การที่สหรัฐฯ กังวลต่อบริษัทจีนรายใหญ่เช่นนี้ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงาน โดยเฉพาะหลังจีนออกกฎหมายข่าวกรัฐในปี 2017 ที่บังคับให้บริษัทต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การสอบสวนของ DHS
    ปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” ตรวจสอบเครื่องขุด Bitmain
    ยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ด

    กรณีที่เคยเกิดขึ้น
    ปี 2024 สหรัฐฯ ปิดการขุดใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base
    รายงานวุฒิสภาระบุว่าเครื่อง Bitmain อาจถูกควบคุมจากระยะไกล

    การตอบโต้ของ Bitmain
    ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องสอดแนมและก่อวินาศกรรม
    ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ และมาตรฐาน FCC

    ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    Bitmain ครองตลาดเครื่องขุดกว่า 80%
    ความตึงเครียดสหรัฐฯ–จีนเพิ่มขึ้นหลังมีกฎหมายข่าวกรัฐจีน

    คำเตือนจากกรณีนี้
    เครื่องขุดอาจถูกใช้เป็นช่องทางสอดแนมหรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงานยังคงสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/homeland-security-thinks-chinese-firms-bitcoin-mining-chips-could-be-used-for-espionage-or-to-sabotage-the-power-grid-bitmain-probed-by-u-s-govt-over-national-security-concerns
    ‼️‼️ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) กำลังสอบสวนบริษัทจีน Bitmain รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องขุดจาก Bitmain สามารถถูกควบคุมจากระยะไกลโดยรัฐบาลจีนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ดภายใน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ความกังวลนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน 🔋 กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ เคยสั่งปิดการดำเนินการขุด Bitcoin ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base เนื่องจากใช้เครื่อง Antminer ของ Bitmain นับพันเครื่อง และถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง นอกจากนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังระบุว่าเครื่องขุดของ Bitmainสามารถถูก “ควบคุมจากระยะไกล” ได้ 🛡️ การตอบโต้ของ Bitmain Bitmain ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า ปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรม บริษัทชี้แจงว่าการที่สินค้าบางส่วนถูกยึดโดย FCC เป็นเพียงการตรวจสอบมาตรฐานสัญญาณเท่านั้น และไม่พบสิ่งผิดปกติ 🌐 ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ Bitmain ครองตลาดเครื่องขุด Bitcoin กว่า 80% ทั่วโลก แต่การที่สหรัฐฯ กังวลต่อบริษัทจีนรายใหญ่เช่นนี้ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงาน โดยเฉพาะหลังจีนออกกฎหมายข่าวกรัฐในปี 2017 ที่บังคับให้บริษัทต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การสอบสวนของ DHS ➡️ ปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” ตรวจสอบเครื่องขุด Bitmain ➡️ ยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ด ✅ กรณีที่เคยเกิดขึ้น ➡️ ปี 2024 สหรัฐฯ ปิดการขุดใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base ➡️ รายงานวุฒิสภาระบุว่าเครื่อง Bitmain อาจถูกควบคุมจากระยะไกล ✅ การตอบโต้ของ Bitmain ➡️ ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องสอดแนมและก่อวินาศกรรม ➡️ ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ และมาตรฐาน FCC ✅ ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ Bitmain ครองตลาดเครื่องขุดกว่า 80% ➡️ ความตึงเครียดสหรัฐฯ–จีนเพิ่มขึ้นหลังมีกฎหมายข่าวกรัฐจีน ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ เครื่องขุดอาจถูกใช้เป็นช่องทางสอดแนมหรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงานยังคงสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/homeland-security-thinks-chinese-firms-bitcoin-mining-chips-could-be-used-for-espionage-or-to-sabotage-the-power-grid-bitmain-probed-by-u-s-govt-over-national-security-concerns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เปิดตัว Vera Rubin เร็วกว่ากำหนด

    Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งรวมทั้ง GPU, CPU, DPU และระบบเครือข่าย จะเปิดตัวในไตรมาส 3 ปี 2026 เร็วกว่าที่เคยประกาศไว้ในครึ่งหลังของปี การเร่งเปิดตัวครั้งนี้เกิดจากความต้องการ AI Compute ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีทีมวิศวกรกว่า 20,000 คนทำงานตลอดเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม

    เป้าหมายยอดขายมหาศาล
    Nvidia ตั้งเป้ายอดขาย GPU สำหรับ AI สูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่รวมตลาดจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่อันดับสามของบริษัท การเติบโตนี้มาจากการใช้งาน AI ที่แพร่หลายทั้งในภาคธุรกิจ รัฐบาล และสถาบันวิจัย ทำให้ความต้องการชิปประสิทธิภาพสูงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบจากข้อจำกัดจีน
    สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการขาย GPU ขั้นสูงให้จีน ขณะที่รัฐบาลจีนก็ห้ามหน่วยงานรัฐซื้อฮาร์ดแวร์ต่างประเทศ ทำให้ Nvidia ต้องตัดจีนออกจากการคาดการณ์รายได้ Huang ระบุว่า “เราคาดการณ์รายได้จากจีนเป็นศูนย์” แม้จะยอมรับว่าตลาด AI ของจีนมีมูลค่ากว่า 50 พันล้านดอลลาร์ แต่บริษัทจะยังคงพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ

    สถาปัตยกรรม Vera Rubin
    แพลตฟอร์ม Vera Rubin ประกอบด้วย
    Rubin GPU แบบ dual-chiplet พร้อม HBM4 288GB
    Rubin CPX accelerator พร้อม GDDR7 128GB
    Vera CPU ที่มี 88 คอร์
    BlueField-4 DPU
    NVLink รุ่นที่ 6 และอะแดปเตอร์ Ethernet/InfiniBand รุ่นใหม่

    ทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อรองรับการประมวลผล AI และ HPC ในระดับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Vera Rubin เปิดตัวเร็วกว่ากำหนด
    เปิดตัวไตรมาส 3 ปี 2026
    ทีมวิศวกรกว่า 20,000 คนทำงานพัฒนา

    เป้าหมายยอดขาย
    ตั้งเป้า 500 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026
    ความต้องการ AI Compute พุ่งสูงทั่วโลก

    ผลกระทบจากจีน
    สหรัฐฯ ห้ามขาย GPU ขั้นสูงให้จีน
    จีนห้ามหน่วยงานรัฐซื้อฮาร์ดแวร์ต่างประเทศ
    Nvidia คาดการณ์รายได้จากจีนเป็นศูนย์

    สถาปัตยกรรม Vera Rubin
    Rubin GPU, CPX accelerator, Vera CPU, BlueField-4 DPU
    NVLink รุ่นที่ 6 และระบบเครือข่ายใหม่

    คำเตือนสำหรับอนาคต
    การสูญเสียตลาดจีนอาจกระทบต่อการเติบโตระยะยาว
    ความเสี่ยงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ–จีนยังคงอยู่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-hints-at-early-vera-rubin-launch-on-track-for-usd500-billion-in-gpu-sales-by-late-2026-despite-losing-china
    🚀 Nvidia เปิดตัว Vera Rubin เร็วกว่ากำหนด Jensen Huang ซีอีโอ Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งรวมทั้ง GPU, CPU, DPU และระบบเครือข่าย จะเปิดตัวในไตรมาส 3 ปี 2026 เร็วกว่าที่เคยประกาศไว้ในครึ่งหลังของปี การเร่งเปิดตัวครั้งนี้เกิดจากความต้องการ AI Compute ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีทีมวิศวกรกว่า 20,000 คนทำงานตลอดเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม 💹 เป้าหมายยอดขายมหาศาล Nvidia ตั้งเป้ายอดขาย GPU สำหรับ AI สูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่รวมตลาดจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่อันดับสามของบริษัท การเติบโตนี้มาจากการใช้งาน AI ที่แพร่หลายทั้งในภาคธุรกิจ รัฐบาล และสถาบันวิจัย ทำให้ความต้องการชิปประสิทธิภาพสูงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 🌐 ผลกระทบจากข้อจำกัดจีน สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการขาย GPU ขั้นสูงให้จีน ขณะที่รัฐบาลจีนก็ห้ามหน่วยงานรัฐซื้อฮาร์ดแวร์ต่างประเทศ ทำให้ Nvidia ต้องตัดจีนออกจากการคาดการณ์รายได้ Huang ระบุว่า “เราคาดการณ์รายได้จากจีนเป็นศูนย์” แม้จะยอมรับว่าตลาด AI ของจีนมีมูลค่ากว่า 50 พันล้านดอลลาร์ แต่บริษัทจะยังคงพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ⚡ สถาปัตยกรรม Vera Rubin แพลตฟอร์ม Vera Rubin ประกอบด้วย 🎗️ Rubin GPU แบบ dual-chiplet พร้อม HBM4 288GB 🎗️ Rubin CPX accelerator พร้อม GDDR7 128GB 🎗️ Vera CPU ที่มี 88 คอร์ 🎗️ BlueField-4 DPU 🎗️ NVLink รุ่นที่ 6 และอะแดปเตอร์ Ethernet/InfiniBand รุ่นใหม่ ทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อรองรับการประมวลผล AI และ HPC ในระดับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Vera Rubin เปิดตัวเร็วกว่ากำหนด ➡️ เปิดตัวไตรมาส 3 ปี 2026 ➡️ ทีมวิศวกรกว่า 20,000 คนทำงานพัฒนา ✅ เป้าหมายยอดขาย ➡️ ตั้งเป้า 500 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 ➡️ ความต้องการ AI Compute พุ่งสูงทั่วโลก ✅ ผลกระทบจากจีน ➡️ สหรัฐฯ ห้ามขาย GPU ขั้นสูงให้จีน ➡️ จีนห้ามหน่วยงานรัฐซื้อฮาร์ดแวร์ต่างประเทศ ➡️ Nvidia คาดการณ์รายได้จากจีนเป็นศูนย์ ✅ สถาปัตยกรรม Vera Rubin ➡️ Rubin GPU, CPX accelerator, Vera CPU, BlueField-4 DPU ➡️ NVLink รุ่นที่ 6 และระบบเครือข่ายใหม่ ‼️ คำเตือนสำหรับอนาคต ⛔ การสูญเสียตลาดจีนอาจกระทบต่อการเติบโตระยะยาว ⛔ ความเสี่ยงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ–จีนยังคงอยู่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-hints-at-early-vera-rubin-launch-on-track-for-usd500-billion-in-gpu-sales-by-late-2026-despite-losing-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ”

    บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน

    การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment)

    โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล

    สรุปสาระสำคัญ
    การควบคุมโดย App Store
    Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ
    การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ

    โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์
    Apple บังคับใช้ App Store เดียว
    Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง
    แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต
    App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้

    ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ
    ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent
    ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU

    คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน
    การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ
    การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว

    https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    📰 “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ” บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน 📱 การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment) 🔒 โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้ 👁️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌐 ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การควบคุมโดย App Store ➡️ Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ ➡️ การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ ✅ โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ ➡️ Apple บังคับใช้ App Store เดียว ➡️ Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer ✅ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง ➡️ แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต ➡️ App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้ ✅ ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ ➡️ ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent ➡️ ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน ⛔ การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ ⛔ การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    WWW.ACLU.ORG
    Your Smartphone, Their Rules: How App Stores Enable Corporate-Government Censorship | ACLU
    Big Tech Oligopoly helps the Trump Administration crack down on free speech
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม

    การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร

    สรุปประเด็น
    Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี
    ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin
    ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ
    เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน
    การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    💰 คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร 📌 สรุปประเด็น ✅ Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี ➡️ ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ ✅ ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ➡️ ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ ➡️ เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ‼️ ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน ⛔ การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเร่งใช้ชิป AI พัฒนาเอง หลังถูกจำกัดการนำเข้า

    รัฐบาลจีนเริ่มเข้ามากำกับดูแลการจัดสรรชิป AI ระดับสูง เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขาดแคลน GPU ของ Nvidia บริษัทคลาวด์รายใหญ่ในจีน เช่น Alibaba และ Baidu จึงหันมาใช้ชิปที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910B และรุ่นใหม่ 910C ซึ่งแม้จะไม่แรงเท่า Nvidia แต่ก็ถูกนำมาใช้จริงในงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จีนต้องเขียนซอฟต์แวร์ใหม่และปรับโครงสร้างงานให้เข้ากับชิปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ปัญหาที่ตามมาคือแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่ยังไม่เพียงพอ และการผลิต HBM ในประเทศยังไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การผลักดันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนลดการพึ่งพาต่างชาติ

    นอกจากนั้นยังมีการใช้วิธีเลี่ยง เช่น การนำชิป Nvidia มือสองเข้ามา หรือใช้บริษัทสาขาในต่างประเทศเพื่อฝึกโมเดล แต่แนวโน้มชัดเจนว่าตลาดจีนกำลังหันไปพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น

    จีนหันมาใช้ชิป AI ที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910C
    ถูกใช้จริงในการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Alibaba และ Baidu ปรับแพลตฟอร์มให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์จีน
    ลดการพึ่งพา Nvidia

    รัฐบาลจีนเข้ามากำกับการจัดสรรชิปโดยตรง
    เน้นให้โครงการรัฐและคลาวด์ใช้ชิปในประเทศ

    ชิปจีนยังด้อยกว่า Nvidia ในด้านประสิทธิภาพ
    อาจทำให้การฝึกโมเดลใช้เวลานานขึ้น

    ปัญหาหน่วยความจำ HBM ยังไม่ถูกแก้ไข
    เสี่ยงต่อการชะลอการพัฒนา AI ในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-ai-chip-pivot-accelerates-as-us-export-restrictions-bite
    🇨🇳 จีนเร่งใช้ชิป AI พัฒนาเอง หลังถูกจำกัดการนำเข้า รัฐบาลจีนเริ่มเข้ามากำกับดูแลการจัดสรรชิป AI ระดับสูง เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขาดแคลน GPU ของ Nvidia บริษัทคลาวด์รายใหญ่ในจีน เช่น Alibaba และ Baidu จึงหันมาใช้ชิปที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910B และรุ่นใหม่ 910C ซึ่งแม้จะไม่แรงเท่า Nvidia แต่ก็ถูกนำมาใช้จริงในงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จีนต้องเขียนซอฟต์แวร์ใหม่และปรับโครงสร้างงานให้เข้ากับชิปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ปัญหาที่ตามมาคือแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่ยังไม่เพียงพอ และการผลิต HBM ในประเทศยังไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การผลักดันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนลดการพึ่งพาต่างชาติ นอกจากนั้นยังมีการใช้วิธีเลี่ยง เช่น การนำชิป Nvidia มือสองเข้ามา หรือใช้บริษัทสาขาในต่างประเทศเพื่อฝึกโมเดล แต่แนวโน้มชัดเจนว่าตลาดจีนกำลังหันไปพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น ✅ จีนหันมาใช้ชิป AI ที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910C ➡️ ถูกใช้จริงในการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ✅ Alibaba และ Baidu ปรับแพลตฟอร์มให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์จีน ➡️ ลดการพึ่งพา Nvidia ✅ รัฐบาลจีนเข้ามากำกับการจัดสรรชิปโดยตรง ➡️ เน้นให้โครงการรัฐและคลาวด์ใช้ชิปในประเทศ ‼️ ชิปจีนยังด้อยกว่า Nvidia ในด้านประสิทธิภาพ ⛔ อาจทำให้การฝึกโมเดลใช้เวลานานขึ้น ‼️ ปัญหาหน่วยความจำ HBM ยังไม่ถูกแก้ไข ⛔ เสี่ยงต่อการชะลอการพัฒนา AI ในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-ai-chip-pivot-accelerates-as-us-export-restrictions-bite
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link — ความปลอดภัยไซเบอร์หรือสงครามการค้า? "

    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแบนการขายอุปกรณ์เครือข่ายจาก TP-Link Systems ซึ่งครองตลาดผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กกว่า 50% โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน แม้ TP-Link จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าเป็นบริษัทอเมริกันที่แยกตัวจากจีนแล้วก็ตาม

    เหตุผลที่สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link
    TP-Link ถูกกล่าวหาว่าอาจอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลจีน
    แม้จะมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียและโรงงานในเวียดนาม แต่ยังมีการดำเนินงานบางส่วนในจีน

    อุปกรณ์ TP-Link พบในฐานทัพสหรัฐฯ และร้านค้าสำหรับทหาร
    สร้างความกังวลเรื่องการสอดแนมและการโจมตีไซเบอร์

    ราคาถูกและประสิทธิภาพดี ทำให้ TP-Link เป็นที่นิยมในตลาด
    โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถูกเปิดเผย
    กลุ่มแฮกเกอร์ Camaro Dragon ใช้ firmware ปลอมโจมตีหน่วยงานต่างประเทศ
    พบเฉพาะในอุปกรณ์ TP-Link แต่มีความเสี่ยงต่ออุปกรณ์อื่นด้วย

    Microsoft พบว่า TP-Link ถูกใช้ในการโจมตีแบบ “password spraying”
    กลุ่มแฮกเกอร์จีนใช้ router ที่ถูกเจาะระบบเพื่อเข้าถึงบัญชี Microsoft

    อุปกรณ์ใหม่มักมี firmware ที่ล้าสมัยและตั้งค่าความปลอดภัยไม่ดี
    เช่น รหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่ได้เปลี่ยน ทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ TP-Link
    ใช้ firmware แบบ open-source เช่น OpenWRT หรือ DD-WRT
    เพิ่มความปลอดภัยและฟีเจอร์ เช่น VPN, ad blocker, network monitor

    เปลี่ยน router หากอุปกรณ์เก่าเกิน 4–5 ปี
    เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า

    ตรวจสอบว่า router ได้รับการอัปเดตจาก ISP หรือไม่
    หากเป็นอุปกรณ์ที่เช่า ควรปรึกษาผู้ให้บริการก่อนเปลี่ยน

    แนวโน้มของตลาด router และความปลอดภัย
    ผู้ผลิตเริ่มบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านและอัปเดต firmware ตั้งแต่แรก
    เช่น Amazon Eero, Netgear Orbi, Asus ZenWifi

    router ราคาถูกมักบังคับให้ติดตั้งผ่านแอปมือถือ
    อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าด้วยตนเอง

    https://krebsonsecurity.com/2025/11/drilling-down-on-uncle-sams-proposed-tp-link-ban/
    📡 "สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link — ความปลอดภัยไซเบอร์หรือสงครามการค้า? 🔒🇺🇸" รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแบนการขายอุปกรณ์เครือข่ายจาก TP-Link Systems ซึ่งครองตลาดผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กกว่า 50% โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน แม้ TP-Link จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าเป็นบริษัทอเมริกันที่แยกตัวจากจีนแล้วก็ตาม 🔖 เหตุผลที่สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link ✅ TP-Link ถูกกล่าวหาว่าอาจอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลจีน ➡️ แม้จะมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียและโรงงานในเวียดนาม แต่ยังมีการดำเนินงานบางส่วนในจีน ✅ อุปกรณ์ TP-Link พบในฐานทัพสหรัฐฯ และร้านค้าสำหรับทหาร ➡️ สร้างความกังวลเรื่องการสอดแนมและการโจมตีไซเบอร์ ✅ ราคาถูกและประสิทธิภาพดี ทำให้ TP-Link เป็นที่นิยมในตลาด ➡️ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ⛔🚫 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถูกเปิดเผย ‼️ กลุ่มแฮกเกอร์ Camaro Dragon ใช้ firmware ปลอมโจมตีหน่วยงานต่างประเทศ ⛔ พบเฉพาะในอุปกรณ์ TP-Link แต่มีความเสี่ยงต่ออุปกรณ์อื่นด้วย ‼️ Microsoft พบว่า TP-Link ถูกใช้ในการโจมตีแบบ “password spraying” ⛔ กลุ่มแฮกเกอร์จีนใช้ router ที่ถูกเจาะระบบเพื่อเข้าถึงบัญชี Microsoft ‼️ อุปกรณ์ใหม่มักมี firmware ที่ล้าสมัยและตั้งค่าความปลอดภัยไม่ดี ⛔ เช่น รหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่ได้เปลี่ยน ทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย ✅ ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ TP-Link ✅ ใช้ firmware แบบ open-source เช่น OpenWRT หรือ DD-WRT ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและฟีเจอร์ เช่น VPN, ad blocker, network monitor ✅ เปลี่ยน router หากอุปกรณ์เก่าเกิน 4–5 ปี ➡️ เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า ✅ ตรวจสอบว่า router ได้รับการอัปเดตจาก ISP หรือไม่ ➡️ หากเป็นอุปกรณ์ที่เช่า ควรปรึกษาผู้ให้บริการก่อนเปลี่ยน ✅ แนวโน้มของตลาด router และความปลอดภัย ✅ ผู้ผลิตเริ่มบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านและอัปเดต firmware ตั้งแต่แรก ➡️ เช่น Amazon Eero, Netgear Orbi, Asus ZenWifi ✅ router ราคาถูกมักบังคับให้ติดตั้งผ่านแอปมือถือ ➡️ อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าด้วยตนเอง https://krebsonsecurity.com/2025/11/drilling-down-on-uncle-sams-proposed-tp-link-ban/
    KREBSONSECURITY.COM
    Drilling Down on Uncle Sam’s Proposed TP-Link Ban
    The U.S. government is reportedly preparing to ban the sale of wireless routers and other networking gear from TP-Link Systems, a tech company that currently enjoys an estimated 50% market share among home users and small businesses. Experts say while…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน

    การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ

    การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ

    หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41)

    เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร?
    DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง
    Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส

    กลุ่มผู้โจมตี
    เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp
    มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

    เทคนิคที่ใช้
    สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts
    ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL
    สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM
    ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll

    ความสามารถของมัลแวร์
    สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload
    ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory
    ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง
    การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM
    ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe
    ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้

    https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    🧨 ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41) 🧠 เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร? 🎗️ DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง 🎗️ Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ กลุ่มผู้โจมตี ➡️ เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts ➡️ ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL ➡️ สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM ➡️ ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll ✅ ความสามารถของมัลแวร์ ➡️ สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload ➡️ ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory ➡️ ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง ⛔ การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM ⛔ ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe ⛔ ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้ https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    SECURITYONLINE.INFO
    China APT Infiltrates US Policy Nonprofit in Months-Long Espionage Campaign Using DLL Sideloading
    A China-linked APT targeted a U.S. policy nonprofit for weeks in April 2025. The group used DLL sideloading via a VipreAV binary and msbuild.exe scheduled tasks to achieve SYSTEM persistence for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 1 ปี – เปิดทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ”

    รัฐบาลจีนประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เวลาผ่อนผัน 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

    มาตรการเดิมครอบคลุมทั้งแร่หายากที่ผลิตในจีน และเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้เกิน 0.1% ของมูลค่ารวม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่พึ่งพาแร่หายากจากจีนในหลายกระบวนการผลิต

    เบื้องหลังการตัดสินใจ
    การระงับมาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมลับระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ที่เมืองปูซาน ระหว่างการประชุม APEC 2025 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องการพักรบทางภาษี และเปิดทางให้การเจรจาเชิงเทคนิคดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกกดดันจากระดับผู้นำ

    ความสำคัญของแร่หายากในอุตสาหกรรมชิป
    ใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและฮาร์ดดิสก์
    เป็นส่วนประกอบสำคัญในเลเซอร์และอุปกรณ์ออปติก
    จำเป็นต่อการผลิตชิป AI และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง

    จีนระงับมาตรการควบคุมแร่หายาก
    ระงับการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี
    ครอบคลุมแร่หายากและเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบเกิน 0.1%
    ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีเวลาสำรองวัตถุดิบและหาทางเลือกใหม่

    การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
    เกิดขึ้นหลังการประชุม APEC 2025 ที่ปูซาน
    Trump ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 100% และแบนซอฟต์แวร์สำคัญ
    การระงับช่วยลดแรงกดดันในการเจรจา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    Nvidia ยังไม่สามารถส่งชิป Blackwell ไปจีนได้
    จีนแบนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ไม่ให้ซื้อ GPU จาก Nvidia
    ตลาดจีนของ Nvidia ลดลงจาก 95% เหลือเกือบ 0%

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแร่หายากจากจีนเป็นจุดอ่อนของสหรัฐฯ
    หากจีนกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้ง อุตสาหกรรมชิปทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ
    การแบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-suspends-rare-earth-export-control-measures-easing-key-flashpoint-in-us-china-trade-war-one-year-reprieve-allows-for-trade-talks-with-the-u-s-to-continue
    🌏🧲 “จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 1 ปี – เปิดทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ” รัฐบาลจีนประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เวลาผ่อนผัน 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น มาตรการเดิมครอบคลุมทั้งแร่หายากที่ผลิตในจีน และเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้เกิน 0.1% ของมูลค่ารวม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่พึ่งพาแร่หายากจากจีนในหลายกระบวนการผลิต 🤝 เบื้องหลังการตัดสินใจ การระงับมาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมลับระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ที่เมืองปูซาน ระหว่างการประชุม APEC 2025 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องการพักรบทางภาษี และเปิดทางให้การเจรจาเชิงเทคนิคดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกกดดันจากระดับผู้นำ 🧠 ความสำคัญของแร่หายากในอุตสาหกรรมชิป 🔖 ใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและฮาร์ดดิสก์ 🔖 เป็นส่วนประกอบสำคัญในเลเซอร์และอุปกรณ์ออปติก 🔖 จำเป็นต่อการผลิตชิป AI และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง ✅ จีนระงับมาตรการควบคุมแร่หายาก ➡️ ระงับการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี ➡️ ครอบคลุมแร่หายากและเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบเกิน 0.1% ➡️ ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีเวลาสำรองวัตถุดิบและหาทางเลือกใหม่ ✅ การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ➡️ เกิดขึ้นหลังการประชุม APEC 2025 ที่ปูซาน ➡️ Trump ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 100% และแบนซอฟต์แวร์สำคัญ ➡️ การระงับช่วยลดแรงกดดันในการเจรจา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ Nvidia ยังไม่สามารถส่งชิป Blackwell ไปจีนได้ ➡️ จีนแบนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ไม่ให้ซื้อ GPU จาก Nvidia ➡️ ตลาดจีนของ Nvidia ลดลงจาก 95% เหลือเกือบ 0% ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแร่หายากจากจีนเป็นจุดอ่อนของสหรัฐฯ ⛔ หากจีนกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้ง อุตสาหกรรมชิปทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ ⛔ การแบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วเทคโนโลยีระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-suspends-rare-earth-export-control-measures-easing-key-flashpoint-in-us-china-trade-war-one-year-reprieve-allows-for-trade-talks-with-the-u-s-to-continue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา”

    รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่
    ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง:
    ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน
    ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์
    หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ความเคลื่อนไหวของจีน
    ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal
    เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III
    รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง

    ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์
    ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน
    ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี
    ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก

    ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว
    เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้
    หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน
    จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง

    ความคืบหน้าของ Nantong Crystal
    เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว
    ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก
    ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก
    ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก
    การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    🪨🔧 “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา” รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี 🧪 ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่ ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง: 🎗️ ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน 🎗️ ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์ 🎗️ หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย ✅ ความเคลื่อนไหวของจีน ➡️ ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal ➡️ เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III ➡️ รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง ✅ ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์ ➡️ ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน ➡️ ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี ➡️ ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก ✅ ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว ➡️ เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้ ➡️ หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน ➡️ จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง ✅ ความคืบหน้าของ Nantong Crystal ➡️ เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว ➡️ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก ➡️ ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่ ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก ⛔ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก ⛔ การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่

    รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก

    คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้

    ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ
    จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ

    แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่

    การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ
    มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ
    ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก

    ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม
    Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน
    แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ

    การผลักดันชิปในประเทศ
    ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี
    เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ

    ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด
    โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
    โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน
    ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    🏛️⚠️ “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่ รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้ 🇨🇳 ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่ 💸 การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ✅ คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ ➡️ มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ ➡️ ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก ✅ ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม ➡️ Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน ➡️ แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ ✅ การผลักดันชิปในประเทศ ➡️ ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี ➡️ เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ ‼️ ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ ⛔ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ⛔ โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก ‼️ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ⛔ โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน ⛔ ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนแจกส่วนลดไฟฟ้าให้บริษัท AI — ถ้าใช้ชิปผลิตในประเทศ!”

    ในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก จีนกำลังเดินเกมรุกเพื่อสร้างอิสรภาพด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุดหลายมณฑลในจีน เช่น กานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ได้เสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรมสูงถึง 50% ให้กับศูนย์ข้อมูล AI — แต่มีเงื่อนไขสำคัญ: ต้องใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเท่านั้น ห้ามใช้ของ Nvidia หรือ AMD

    นอกจากส่วนลดค่าไฟแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนโดยตรงที่เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี โดยราคาค่าไฟต่อหน่วยลดลงเหลือเพียง 0.4 หยวน หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคชายฝั่ง

    แม้ชิปจีนยังไม่สามารถเทียบเคียงกับ Nvidia H20 หรือ Blackwell ได้ในด้านประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลจีนก็ผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างจริงจัง โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เข้าร่วมผลิต AI accelerators โดย Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนสั่งแบนการใช้งานชิป AI จาก Nvidia โดยตรง ซึ่งทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น 30–50% เนื่องจากชิปจีนยังด้อยกว่าด้านประสิทธิภาพ

    จีนเสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ศูนย์ข้อมูล AI
    มณฑลกานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ลดค่าไฟลง 50%
    เหลือเพียง 0.4 หยวนต่อ kWh หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ

    เงื่อนไขคือต้องใช้ชิปที่ผลิตในจีน
    ห้ามใช้ชิปจาก Nvidia หรือ AMD
    เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินทุนโดยตรง
    เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี
    ส่งเสริมการตั้งศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีพลังงานเหลือเฟือ

    บริษัทจีนเร่งพัฒนาชิป AI
    Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เป็นผู้ผลิตหลัก
    Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C

    คำเตือนด้านประสิทธิภาพของชิปจีน
    ประสิทธิภาพยังด้อยกว่าชิป Nvidia H20 และ Blackwell
    ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 30–50%

    คำเตือนด้านการแข่งขันระดับโลก
    การแบนชิปต่างชาติอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    การพึ่งพาชิปภายในอาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันคู่แข่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/chinese-provinces-offer-steep-power-discounts-to-ai-companies-using-china-made-chips-country-continues-its-aggressive-push-towards-ai-independence-and-homegrown-silicon
    ⚡🇨🇳 “จีนแจกส่วนลดไฟฟ้าให้บริษัท AI — ถ้าใช้ชิปผลิตในประเทศ!” ในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก จีนกำลังเดินเกมรุกเพื่อสร้างอิสรภาพด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุดหลายมณฑลในจีน เช่น กานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ได้เสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าอุตสาหกรรมสูงถึง 50% ให้กับศูนย์ข้อมูล AI — แต่มีเงื่อนไขสำคัญ: ต้องใช้ชิปที่ผลิตในประเทศจีนเท่านั้น ห้ามใช้ของ Nvidia หรือ AMD นอกจากส่วนลดค่าไฟแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนโดยตรงที่เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี โดยราคาค่าไฟต่อหน่วยลดลงเหลือเพียง 0.4 หยวน หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคชายฝั่ง แม้ชิปจีนยังไม่สามารถเทียบเคียงกับ Nvidia H20 หรือ Blackwell ได้ในด้านประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลจีนก็ผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างจริงจัง โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เข้าร่วมผลิต AI accelerators โดย Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนสั่งแบนการใช้งานชิป AI จาก Nvidia โดยตรง ซึ่งทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น 30–50% เนื่องจากชิปจีนยังด้อยกว่าด้านประสิทธิภาพ ✅ จีนเสนอส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ศูนย์ข้อมูล AI ➡️ มณฑลกานซู, กุ้ยโจว และมองโกเลียใน ลดค่าไฟลง 50% ➡️ เหลือเพียง 0.4 หยวนต่อ kWh หรือประมาณ 5.6 เซนต์สหรัฐ ✅ เงื่อนไขคือต้องใช้ชิปที่ผลิตในจีน ➡️ ห้ามใช้ชิปจาก Nvidia หรือ AMD ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ✅ รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินทุนโดยตรง ➡️ เพียงพอให้ศูนย์ข้อมูลดำเนินงานได้ถึงหนึ่งปี ➡️ ส่งเสริมการตั้งศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีพลังงานเหลือเฟือ ✅ บริษัทจีนเร่งพัฒนาชิป AI ➡️ Huawei, Cambricon, Alibaba และ Biren เป็นผู้ผลิตหลัก ➡️ Huawei นำทีมด้วยชิป Ascend 910C ‼️ คำเตือนด้านประสิทธิภาพของชิปจีน ⛔ ประสิทธิภาพยังด้อยกว่าชิป Nvidia H20 และ Blackwell ⛔ ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 30–50% ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขันระดับโลก ⛔ การแบนชิปต่างชาติอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ การพึ่งพาชิปภายในอาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันคู่แข่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/chinese-provinces-offer-steep-power-discounts-to-ai-companies-using-china-made-chips-country-continues-its-aggressive-push-towards-ai-independence-and-homegrown-silicon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bronze Butler โจมตีองค์กรผ่านช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope — แฮกเกอร์จีนใช้ช่องทางควบคุมระบบแบบลับๆ

    กลุ่ม APT จากจีนชื่อ Bronze Butler ถูกพบว่าใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในซอฟต์แวร์ Lanscope เพื่อลอบควบคุมระบบขององค์กรในญี่ปุ่น โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์หรือไฟล์ใดๆ — เป็นการโจมตีแบบ “fileless” ที่ยากต่อการตรวจจับ

    Lanscope เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรเพื่อควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครือข่าย เช่น การล็อกการใช้งาน USB หรือการตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ ล่าสุดพบว่ามีช่องโหว่ Zero-Day ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถใช้ API ภายในเพื่อควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์ใดๆ

    กลุ่ม Bronze Butler ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ได้ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิค “living off the land” คือการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบ เช่น PowerShell หรือ WMI เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายโดยไม่ทิ้งร่องรอย

    การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือ payload แบบเดิมๆ ทำให้ระบบป้องกันไวรัสหรือ EDR ตรวจจับได้ยากมาก และสามารถแฝงตัวในระบบได้นานโดยไม่ถูกพบ

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยแนะนำให้องค์กรที่ใช้ Lanscope ตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ภายใน และอัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ พร้อมทั้งเสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติในเครือข่าย

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    “Living off the land” คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    Fileless attack เป็นรูปแบบการโจมตีที่ไม่ใช้ไฟล์ ทำให้ระบบป้องกันแบบ signature-based ไม่สามารถตรวจจับได้
    Bronze Butler เคยถูกจับตาในกรณีโจมตีหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2016

    ช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope
    เปิดให้ควบคุมระบบผ่าน API ภายใน
    ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือมัลแวร์ในการโจมตี
    เป็นการโจมตีแบบ fileless ที่ยากต่อการตรวจจับ

    กลุ่มผู้โจมตี: Bronze Butler
    เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน
    มีประวัติการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก
    ใช้เทคนิค “living off the land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    วิธีการโจมตี
    ใช้ PowerShell, WMI และ API ภายในของ Lanscope
    ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม
    ควบคุมระบบจากระยะไกลโดยไม่ทิ้งร่องรอย

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ระบบตรวจสอบทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้
    อาจถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานาน
    ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือเปลี่ยนแปลง

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Lanscope
    ควรตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ที่ผิดปกติ
    อัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่
    เสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมในเครือข่าย เช่น UEBA หรือ XDR

    https://securityonline.info/chinese-apt-bronze-butler-exploits-lanscope-zero-day-for-system-control/
    🕵️‍♂️ Bronze Butler โจมตีองค์กรผ่านช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope — แฮกเกอร์จีนใช้ช่องทางควบคุมระบบแบบลับๆ กลุ่ม APT จากจีนชื่อ Bronze Butler ถูกพบว่าใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในซอฟต์แวร์ Lanscope เพื่อลอบควบคุมระบบขององค์กรในญี่ปุ่น โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์หรือไฟล์ใดๆ — เป็นการโจมตีแบบ “fileless” ที่ยากต่อการตรวจจับ Lanscope เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรเพื่อควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครือข่าย เช่น การล็อกการใช้งาน USB หรือการตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ ล่าสุดพบว่ามีช่องโหว่ Zero-Day ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถใช้ API ภายในเพื่อควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์ใดๆ กลุ่ม Bronze Butler ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ได้ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิค “living off the land” คือการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบ เช่น PowerShell หรือ WMI เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายโดยไม่ทิ้งร่องรอย การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือ payload แบบเดิมๆ ทำให้ระบบป้องกันไวรัสหรือ EDR ตรวจจับได้ยากมาก และสามารถแฝงตัวในระบบได้นานโดยไม่ถูกพบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยแนะนำให้องค์กรที่ใช้ Lanscope ตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ภายใน และอัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ พร้อมทั้งเสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติในเครือข่าย 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 “Living off the land” คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ 💠 Fileless attack เป็นรูปแบบการโจมตีที่ไม่ใช้ไฟล์ ทำให้ระบบป้องกันแบบ signature-based ไม่สามารถตรวจจับได้ 💠 Bronze Butler เคยถูกจับตาในกรณีโจมตีหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2016 ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope ➡️ เปิดให้ควบคุมระบบผ่าน API ภายใน ➡️ ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือมัลแวร์ในการโจมตี ➡️ เป็นการโจมตีแบบ fileless ที่ยากต่อการตรวจจับ ✅ กลุ่มผู้โจมตี: Bronze Butler ➡️ เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ➡️ มีประวัติการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก ➡️ ใช้เทคนิค “living off the land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ PowerShell, WMI และ API ภายในของ Lanscope ➡️ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม ➡️ ควบคุมระบบจากระยะไกลโดยไม่ทิ้งร่องรอย ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ระบบตรวจสอบทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้ ⛔ อาจถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานาน ⛔ ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือเปลี่ยนแปลง ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Lanscope ⛔ ควรตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ที่ผิดปกติ ⛔ อัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ ⛔ เสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมในเครือข่าย เช่น UEBA หรือ XDR https://securityonline.info/chinese-apt-bronze-butler-exploits-lanscope-zero-day-for-system-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chinese APT BRONZE BUTLER Exploits LANSCOPE Zero-Day for SYSTEM Control
    Chinese APT BRONZE BUTLER exploited CVE-2025-61932 in Motex LANSCOPE Endpoint Manager to gain SYSTEM access. CISA added the actively exploited zero-day to KEV.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!”

    ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ

    บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง

    อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens

    ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง

    นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้

    นวัตกรรมจาก Amies Technologies
    เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP
    ระบบ laser annealing และ wafer inspection
    ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก

    นวัตกรรมจาก SiCarrier
    ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด
    เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30%
    ลดเวลา hardware development 40%
    มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน
    ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง

    วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology
    photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster
    สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm
    แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว
    มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ
    รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย

    อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight
    ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz
    ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้
    เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    🇨🇳 “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!” ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ✅ นวัตกรรมจาก Amies Technologies ➡️ เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP ➡️ ระบบ laser annealing และ wafer inspection ➡️ ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก ✅ นวัตกรรมจาก SiCarrier ➡️ ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30% ➡️ ลดเวลา hardware development 40% ➡️ มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน ➡️ ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง ✅ วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology ➡️ photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster ➡️ สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ➡️ แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว ➡️ มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ ➡️ รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ✅ อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight ➡️ ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz ➡️ ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ➡️ เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล หลังถูกแฮ็กนานนับสิบปี” — เมื่อภัยคุกคามไซเบอร์จากจีนลึกและนานจนต้องคิดถึงการ ‘ล้างระบบ’ ทั้งหมด

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล (data hub) ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลลับ หลังพบว่าถูกแฮ็กโดยกลุ่มที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนมานานกว่าทศวรรษ

    การโจมตีเริ่มต้นหลังบริษัทที่ควบคุมศูนย์ข้อมูลนี้ถูกขายให้กับบริษัทจีน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าข้อมูลระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” (official-sensitive) อาจถูกเข้าถึง แม้จะไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” (top secret) รั่วไหลก็ตาม

    แม้สุดท้ายรัฐบาลจะไม่ทำลายศูนย์ข้อมูล แต่ก็ต้องใช้มาตรการขั้นสูงในการปกป้องข้อมูล และอดีตนายกรัฐมนตรี Boris Johnson ถึงกับสั่งให้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยคุกคามจากจีน ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ชี้ว่า การทำลายศูนย์ข้อมูลอาจเป็นทางเดียวที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มี “ประตูหลัง” หรือมัลแวร์หลงเหลืออยู่ เพราะการตรวจสอบศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้แน่ใจว่า “สะอาด” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

    รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูลที่ถูกแฮ็ก
    เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลลับระดับชาติ

    การแฮ็กเกิดขึ้นหลังบริษัทเจ้าของศูนย์ข้อมูลถูกขายให้บริษัทจีน
    ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ”
    แต่ไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” รั่วไหล

    รัฐบาลเลือกใช้มาตรการป้องกันอื่นแทนการทำลาย
    เช่น การอุดช่องโหว่และตรวจสอบระบบอย่างละเอียด

    Boris Johnson เคยสั่งจัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยไซเบอร์จากจีน
    รายงานนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ

    https://www.csoonline.com/article/4074876/government-considered-destroying-its-data-hub-after-decade-long-intrusion.html
    🕵️‍♂️ “รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล หลังถูกแฮ็กนานนับสิบปี” — เมื่อภัยคุกคามไซเบอร์จากจีนลึกและนานจนต้องคิดถึงการ ‘ล้างระบบ’ ทั้งหมด รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูล (data hub) ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลลับ หลังพบว่าถูกแฮ็กโดยกลุ่มที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนมานานกว่าทศวรรษ การโจมตีเริ่มต้นหลังบริษัทที่ควบคุมศูนย์ข้อมูลนี้ถูกขายให้กับบริษัทจีน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าข้อมูลระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” (official-sensitive) อาจถูกเข้าถึง แม้จะไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” (top secret) รั่วไหลก็ตาม แม้สุดท้ายรัฐบาลจะไม่ทำลายศูนย์ข้อมูล แต่ก็ต้องใช้มาตรการขั้นสูงในการปกป้องข้อมูล และอดีตนายกรัฐมนตรี Boris Johnson ถึงกับสั่งให้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยคุกคามจากจีน ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ชี้ว่า การทำลายศูนย์ข้อมูลอาจเป็นทางเดียวที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มี “ประตูหลัง” หรือมัลแวร์หลงเหลืออยู่ เพราะการตรวจสอบศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้แน่ใจว่า “สะอาด” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ✅ รัฐบาลอังกฤษเคยพิจารณาทำลายศูนย์ข้อมูลที่ถูกแฮ็ก ➡️ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลลับระดับชาติ ✅ การแฮ็กเกิดขึ้นหลังบริษัทเจ้าของศูนย์ข้อมูลถูกขายให้บริษัทจีน ➡️ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงรวมถึงระดับ “ลับ” และ “ลับทางราชการ” ➡️ แต่ไม่มีข้อมูลระดับ “ลับที่สุด” รั่วไหล ✅ รัฐบาลเลือกใช้มาตรการป้องกันอื่นแทนการทำลาย ➡️ เช่น การอุดช่องโหว่และตรวจสอบระบบอย่างละเอียด ✅ Boris Johnson เคยสั่งจัดทำรายงานลับเกี่ยวกับภัยไซเบอร์จากจีน ➡️ รายงานนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ https://www.csoonline.com/article/4074876/government-considered-destroying-its-data-hub-after-decade-long-intrusion.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Government considered destroying its data hub after decade-long intrusion
    Attack highlights the constant threat from state-sponsored cyber attacks on governments and businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย

    Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

    ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ

    Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน
    ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์
    ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ

    การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น
    อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron
    แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ

    ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ
    ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    🇨🇳 “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ ✅ Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน ➡️ ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ ➡️ ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ ✅ การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น ➡️ อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ✅ การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ ✅ Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron ➡️ แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ ✅ ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ ➡️ ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่

    นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย

    แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ

    ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง

    ข้อมูลในข่าว
    Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ
    พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air
    Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision
    iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย
    Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026
    อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ
    Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์
    ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน
    Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI
    ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่
    Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    🍎 “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ ➡️ พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision ➡️ iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย ➡️ Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 ➡️ อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน ➡️ Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI ➡️ ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    WCCFTECH.COM
    China's Government Just Gave Apple Its Strong Support For Continuing Operations In The Country
    According to Global Times' interpretation, China just gave a strong nod to Apple's domestic operations in the country.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ

    การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม

    หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN

    สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน

    ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    ข้อมูลในข่าว
    Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
    ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell
    Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่
    เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย
    ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN
    พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets
    สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน
    ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น
    เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC)

    https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    🌪️ “Flax Typhoon ฝัง Web Shell ใน ArcGIS SOE” — แฮกเกอร์จีนเข้าถึงระบบนานกว่า 1 ปีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้เป็นช่องทางลับ กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อ “Flax Typhoon” หรือ “Ethereal Panda” ถูกเปิดโปงว่าใช้เทคนิคใหม่ในการแทรกซึมระบบองค์กรผ่าน ArcGIS โดยเปลี่ยน Java Server Object Extension (SOE) ที่ถูกต้องตามมาตรฐานให้กลายเป็น Web Shell แบบลับ ซึ่งสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ถูกตรวจจับ การโจมตีนี้กินเวลานานกว่า 12 เดือน โดยแฮกเกอร์ฝัง SOE ที่มี access key แบบ hardcoded ลงในระบบ และฝังไว้ในไฟล์ backup เพื่อให้กลับมาได้แม้ระบบจะถูกกู้คืนแล้วก็ตาม หลังจากเข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย พวกเขาใช้คำสั่ง base64 ที่ดูเหมือนคำสั่งปกติของ ArcGIS เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ API ของ ArcGIS ในการรันคำสั่ง PowerShell สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ “bridge.exe” ที่ถูกแปลงชื่อจาก SoftEther VPN สุดท้าย Flax Typhoon พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมยข้อมูลจาก SAM และ LSA โดยใช้ RemoteRegistry และสร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ReliaQuest ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยการโจมตีนี้ ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มจะยังคงแฝงตัวอยู่ในเครือข่ายอื่น ๆ และมักทำงานในช่วงเวลาตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Flax Typhoon เป็นกลุ่ม APT ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ➡️ ใช้ ArcGIS SOE ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแปลงเป็น Web Shell ➡️ Web Shell มี access key แบบ hardcoded และฝังใน backup เพื่อความคงอยู่ ➡️ เข้าถึงระบบผ่านบัญชีผู้ดูแล ArcGIS ที่ถูกขโมย ➡️ ใช้คำสั่ง base64 ผ่าน API เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ สร้าง VPN bridge ลับผ่านไฟล์ bridge.exe ที่แปลงชื่อจาก SoftEther VPN ➡️ พยายามเข้าถึง workstation ของ IT เพื่อขโมย SAM และ LSA secrets ➡️ สร้างไฟล์ pass.txt.lnk เพื่อเก็บรหัสผ่าน ➡️ ReliaQuest ระบุว่า Flax Typhoon มีแนวโน้มยังแฝงตัวในเครือข่ายอื่น ➡️ เวลาทำงานของกลุ่มตรงกับเวลาทำการของจีน (00:00–06:00 UTC) https://securityonline.info/china-backed-flax-typhoon-apt-maintained-year-long-access-by-turning-arcgis-soe-into-web-shell-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    China-Backed Flax Typhoon APT Maintained Year-Long Access by Turning ArcGIS SOE into Web Shell Backdoor
    ReliaQuest exposed Flax Typhoon for a year-long breach, where the China-backed APT turned a legitimate ArcGIS Java SOE into a web shell and embedded it in backups to ensure persistence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 13

    ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม

    หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC)

    สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง

    อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ

    อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก !
    ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย

    Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา

    Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater !

    ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย

    Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี

    ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi

    แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา
    หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ !

    ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ

    Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร

    ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง !

    เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา !

    ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย

    สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว

    และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 13 ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC) สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก ! ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater ! ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ ! ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ! เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา ! ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 763 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ”

    รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน”

    การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ”
    TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix
    ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei
    การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ
    กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน
    เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน
    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019
    TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
    Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning
    การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน
    การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    🚫 “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ” รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน” การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” ➡️ TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ➡️ ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei ➡️ การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน ➡️ เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน ➡️ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 ➡️ TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ➡️ Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning ➡️ การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน ➡️ การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts