• เรื่องเล่าจาก CXL ถึง DDR5: เมื่อการ์ดเสริมกลายเป็นหน่วยความจำหลักของระบบ AI

    Gigabyte เปิดตัวการ์ดเสริมรุ่นใหม่ชื่อ AI Top CXL R5X4 ซึ่งเป็น add-in card (AIC) ที่ใช้เทคโนโลยี CXL 2.0/1.1 เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 512GB ผ่านสล็อต PCIe 5.0 x16 โดยไม่ต้องพึ่ง DIMM บนเมนบอร์ดโดยตรง

    การ์ดนี้มีขนาด 120 × 254 มม. ใช้แผงวงจร 16-layer HDI PCB และควบคุมด้วยชิป Microchip PM8712 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ “CXL Thermal Armor” ที่เป็นโลหะเต็มตัว และพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม

    จุดเด่นคือการรองรับ DDR5 RDIMM แบบ ECC ได้ถึง 4 ช่อง โดยแต่ละช่องรองรับโมดูลสูงสุด 128GB รวมเป็น 512GB ซึ่งต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูปของ Samsung ที่มีขนาดตายตัว—การ์ดนี้ให้ผู้ใช้เลือกขนาดแรมเองได้

    แม้จะออกแบบมาสำหรับเมนบอร์ด Gigabyte รุ่น TRX50 AI Top และ W790 AI Top แต่หากเมนบอร์ดอื่นรองรับ PCIe 5.0 และ CXL ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Gigabyte เตือนว่าบางสล็อตบน TRX50 เช่น PCIEX16_4 ไม่รองรับ CXL

    การ์ดใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม และต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการเชื่อมต่อพลังงาน ราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $2,000–$3,000 ตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ CXL ระดับสูง

    สเปกของ AI Top CXL R5X4
    ใช้ PCIe 5.0 x16 และรองรับ CXL 2.0/1.1
    มี 4 ช่อง DDR5 RDIMM รองรับ ECC สูงสุด 512GB
    ใช้ Microchip PM8712 controller และระบบระบายความร้อนแบบโลหะเต็มตัว

    การใช้งานและความเข้ากันได้
    ออกแบบสำหรับ TRX50 AI Top และ W790 AI Top
    สามารถใช้กับเมนบอร์ดอื่นที่รองรับ PCIe 5.0 และ CXL
    ต้องตรวจสอบว่าแต่ละสล็อตรองรับ CXL จริง เช่น PCIEX16_4 บน TRX50 ไม่รองรับ

    จุดเด่นด้านการปรับแต่งและการขยาย
    ผู้ใช้สามารถเลือกขนาดแรมเองได้ ต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูป
    รองรับการอัปเกรดในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนการ์ด
    เหมาะสำหรับงาน AI training ที่ต้องการแรมระดับหลายร้อย GB

    ระบบพลังงานและการระบายความร้อน
    ใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม
    ต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะ
    มีพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/expansion-card-lets-you-insert-512gb-of-extra-ddr5-memory-into-your-pcie-slot-cxl-2-0-aic-designed-for-trx50-and-w790-workstation-motherboards
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CXL ถึง DDR5: เมื่อการ์ดเสริมกลายเป็นหน่วยความจำหลักของระบบ AI Gigabyte เปิดตัวการ์ดเสริมรุ่นใหม่ชื่อ AI Top CXL R5X4 ซึ่งเป็น add-in card (AIC) ที่ใช้เทคโนโลยี CXL 2.0/1.1 เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 512GB ผ่านสล็อต PCIe 5.0 x16 โดยไม่ต้องพึ่ง DIMM บนเมนบอร์ดโดยตรง การ์ดนี้มีขนาด 120 × 254 มม. ใช้แผงวงจร 16-layer HDI PCB และควบคุมด้วยชิป Microchip PM8712 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ “CXL Thermal Armor” ที่เป็นโลหะเต็มตัว และพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม จุดเด่นคือการรองรับ DDR5 RDIMM แบบ ECC ได้ถึง 4 ช่อง โดยแต่ละช่องรองรับโมดูลสูงสุด 128GB รวมเป็น 512GB ซึ่งต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูปของ Samsung ที่มีขนาดตายตัว—การ์ดนี้ให้ผู้ใช้เลือกขนาดแรมเองได้ แม้จะออกแบบมาสำหรับเมนบอร์ด Gigabyte รุ่น TRX50 AI Top และ W790 AI Top แต่หากเมนบอร์ดอื่นรองรับ PCIe 5.0 และ CXL ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Gigabyte เตือนว่าบางสล็อตบน TRX50 เช่น PCIEX16_4 ไม่รองรับ CXL การ์ดใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม และต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการเชื่อมต่อพลังงาน ราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $2,000–$3,000 ตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ CXL ระดับสูง ✅ สเปกของ AI Top CXL R5X4 ➡️ ใช้ PCIe 5.0 x16 และรองรับ CXL 2.0/1.1 ➡️ มี 4 ช่อง DDR5 RDIMM รองรับ ECC สูงสุด 512GB ➡️ ใช้ Microchip PM8712 controller และระบบระบายความร้อนแบบโลหะเต็มตัว ✅ การใช้งานและความเข้ากันได้ ➡️ ออกแบบสำหรับ TRX50 AI Top และ W790 AI Top ➡️ สามารถใช้กับเมนบอร์ดอื่นที่รองรับ PCIe 5.0 และ CXL ➡️ ต้องตรวจสอบว่าแต่ละสล็อตรองรับ CXL จริง เช่น PCIEX16_4 บน TRX50 ไม่รองรับ ✅ จุดเด่นด้านการปรับแต่งและการขยาย ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกขนาดแรมเองได้ ต่างจากโมดูล CXL แบบสำเร็จรูป ➡️ รองรับการอัปเกรดในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนการ์ด ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI training ที่ต้องการแรมระดับหลายร้อย GB ✅ ระบบพลังงานและการระบายความร้อน ➡️ ใช้พลังงานประมาณ 70W ที่โหลดเต็ม ➡️ ต้องต่อสายไฟ 8-pin EXT12V พร้อมไฟ LED แสดงสถานะ ➡️ มีพัดลม AIO สำหรับระบายความร้อนจากตัวควบคุมและสล็อตแรม https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/expansion-card-lets-you-insert-512gb-of-extra-ddr5-memory-into-your-pcie-slot-cxl-2-0-aic-designed-for-trx50-and-w790-workstation-motherboards
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปที่ถูกทิ้งถึงการปฏิวัติวงการขุดบิตคอยน์

    ย้อนกลับไปปี 2022 Intel เคยเปิดตัวชิป Blockscale BZM2 ซึ่งเป็น ASIC รุ่นที่สองสำหรับการขุดบิตคอยน์โดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 580 GH/s และใช้พลังงานเพียง 23 J/TH แต่หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน Intel ก็ถอนตัวจากตลาดนี้อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจาก Bitmain และการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโต

    สองปีผ่านไป ชิปเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อแจกฟรี โดย Jack Dorsey ผ่านบริษัท Block (เดิมคือ Square) ได้บริจาคชิป BZM2 จำนวน 256,000 ตัวให้กับมูลนิธิ 256 Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สด้านฮาร์ดแวร์ขุดบิตคอยน์ในสหรัฐฯ

    ชิปเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว โดยไม่มีเอกสารทางเทคนิคจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่จากชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง

    แม้ชิป BZM2 จะถูกออกแบบมาเพื่อขุดบิตคอยน์โดยใช้ SHA-256 แต่ผู้พัฒนาบางรายเริ่มทดลองใช้ความร้อนจากชิปในการทำงานอื่น เช่น อุ่นน้ำ อุ่นห้อง หรือแม้แต่ทำให้เตียงเครื่องพิมพ์ 3D ร้อนขึ้น—สะท้อนถึงแนวคิด “heat reuse” ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการพลังงานหมุนเวียน

    การแจกชิปครั้งนี้ถือเป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Bitmain ซึ่งมักล็อก firmware และไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ การมีชิปในมือของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจึงเป็นก้าวสำคัญสู่การกระจายอำนาจของระบบขุดบิตคอยน์

    การกลับมาของชิป Blockscale BZM2
    Intel เคยเปิดตัวในปี 2022 แล้วถอนตัวจากตลาดในปีถัดมา
    ชิปมีประสิทธิภาพ 580 GH/s และใช้พลังงาน 23 J/TH
    ถูกบริจาคจำนวน 256,000 ตัวโดย Block (Jack Dorsey) ให้ 256 Foundation

    การแจกจ่ายและการใช้งาน
    แจกให้ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว
    ไม่มีเอกสารจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่
    ใช้สำหรับการขุดบิตคอยน์และการทดลองด้าน heat reuse

    ความหมายต่อวงการขุดบิตคอยน์
    เป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่
    เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งและตรวจสอบฮาร์ดแวร์ได้เอง
    สร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาอุปกรณ์ขุดแบบเปิดและยั่งยืน

    การใช้งานนอกเหนือจากการขุด
    ใช้ความร้อนจากชิปในการอุ่นห้อง อุ่นน้ำ หรือทำงานในระบบพลังงานหมุนเวียน
    มีศักยภาพในการใช้งานในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกล
    สะท้อนแนวคิด circular computing และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-bzm2-block-sale-chips-return-from-dead
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่ถูกทิ้งถึงการปฏิวัติวงการขุดบิตคอยน์ ย้อนกลับไปปี 2022 Intel เคยเปิดตัวชิป Blockscale BZM2 ซึ่งเป็น ASIC รุ่นที่สองสำหรับการขุดบิตคอยน์โดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 580 GH/s และใช้พลังงานเพียง 23 J/TH แต่หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน Intel ก็ถอนตัวจากตลาดนี้อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจาก Bitmain และการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโต สองปีผ่านไป ชิปเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อแจกฟรี โดย Jack Dorsey ผ่านบริษัท Block (เดิมคือ Square) ได้บริจาคชิป BZM2 จำนวน 256,000 ตัวให้กับมูลนิธิ 256 Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สด้านฮาร์ดแวร์ขุดบิตคอยน์ในสหรัฐฯ ชิปเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว โดยไม่มีเอกสารทางเทคนิคจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่จากชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง แม้ชิป BZM2 จะถูกออกแบบมาเพื่อขุดบิตคอยน์โดยใช้ SHA-256 แต่ผู้พัฒนาบางรายเริ่มทดลองใช้ความร้อนจากชิปในการทำงานอื่น เช่น อุ่นน้ำ อุ่นห้อง หรือแม้แต่ทำให้เตียงเครื่องพิมพ์ 3D ร้อนขึ้น—สะท้อนถึงแนวคิด “heat reuse” ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการพลังงานหมุนเวียน การแจกชิปครั้งนี้ถือเป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Bitmain ซึ่งมักล็อก firmware และไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ การมีชิปในมือของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจึงเป็นก้าวสำคัญสู่การกระจายอำนาจของระบบขุดบิตคอยน์ ✅ การกลับมาของชิป Blockscale BZM2 ➡️ Intel เคยเปิดตัวในปี 2022 แล้วถอนตัวจากตลาดในปีถัดมา ➡️ ชิปมีประสิทธิภาพ 580 GH/s และใช้พลังงาน 23 J/TH ➡️ ถูกบริจาคจำนวน 256,000 ตัวโดย Block (Jack Dorsey) ให้ 256 Foundation ✅ การแจกจ่ายและการใช้งาน ➡️ แจกให้ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว ➡️ ไม่มีเอกสารจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่ ➡️ ใช้สำหรับการขุดบิตคอยน์และการทดลองด้าน heat reuse ✅ ความหมายต่อวงการขุดบิตคอยน์ ➡️ เป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งและตรวจสอบฮาร์ดแวร์ได้เอง ➡️ สร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาอุปกรณ์ขุดแบบเปิดและยั่งยืน ✅ การใช้งานนอกเหนือจากการขุด ➡️ ใช้ความร้อนจากชิปในการอุ่นห้อง อุ่นน้ำ หรือทำงานในระบบพลังงานหมุนเวียน ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกล ➡️ สะท้อนแนวคิด circular computing และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-bzm2-block-sale-chips-return-from-dead
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti

    ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที

    แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration

    การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง

    การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ
    กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice
    เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน
    เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส

    กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี
    เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์
    เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ
    ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack

    ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด
    เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE
    เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต

    ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน
    ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง
    องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง
    มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง ✅ การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice ➡️ เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส ✅ กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี ➡️ เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์ ➡️ เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ ➡️ ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack ✅ ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด ➡️ เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE ➡️ เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต ✅ ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง ➡️ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง ➡️ มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ

    ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ

    โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก

    การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส

    นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

    การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก

    ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ
    เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ
    โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน
    ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC
    ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก
    ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน
    ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป
    สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco
    มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5%
    เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี
    เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด
    ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา
    GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้

    https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    🏭 จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก ✅ ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ ➡️ เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC ➡️ ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก ➡️ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน ➡️ ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป ➡️ สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco ➡️ มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5% ➡️ เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี ➡️ เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด ➡️ ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา ➡️ GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้ https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    WCCFTECH.COM
    U.S. Chip Industry Reaches Another Massive Milestone as GlobalWafers Becomes the First Firm to Produce Silicon Wafers Domestically, Backed By Investments from Apple & TSMC
    America's chip industry is heading towards complete self-reliance, as GlobalWafers has announced plans to develop silicon wafers in Texas.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ทุ่มงบ $100 พันล้านในศูนย์ข้อมูล: มากกว่าจีดีพีของประเทศทั้งประเทศ

    ลองจินตนาการว่า Amazon ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการคลาวด์ แต่กลายเป็น “ประเทศแห่งศูนย์ข้อมูล” ที่มีงบลงทุนสูงกว่าจีดีพีของประเทศอย่างลักเซมเบิร์ก ลิทัวเนีย หรือแม้แต่คอสตาริกา

    ข้อมูลล่าสุดจาก Omdia ระบุว่า Amazon Web Services (AWS) ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Google ($82B), Microsoft ($75B) และ Meta ($69B) อย่างชัดเจน และคาดว่าภายในปี 2025 การลงทุนทั่วโลกในศูนย์ข้อมูลจะพุ่งถึง $657 พันล้าน—เกือบสองเท่าจากปี 2023

    AWS ยังครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์โลกถึง 32% ในไตรมาสแรกของปี 2025 มากกว่ารวมกันของ Microsoft (23%) และ Google (12%) โดยมีการเร่งขยายบริการ AI เช่น Bedrock ที่รองรับโมเดลใหม่อย่าง Claude 3.7 และ Llama 4 พร้อมเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลีด้วยงบ $4 พันล้าน และลงทุนอีก $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล

    แม้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีคำเตือนจากนักวิเคราะห์ว่า การลงทุนมหาศาลนี้อาจไม่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น และอาจกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ หากการใช้งาน AI ไม่เติบโตตามที่คาดไว้

    การลงทุนของ Amazon ในศูนย์ข้อมูล
    AWS ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน
    มากกว่าจีดีพีของประเทศอย่างคอสตาริกา ลักเซมเบิร์ก และลิทัวเนีย
    คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ Meta ลงทุนน้อยกว่าชัดเจน
    คาดว่าการลงทุนทั่วโลกในปี 2025 จะพุ่งถึง $657 พันล้าน

    ส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตของ AWS
    AWS ครองตลาดคลาวด์โลก 32% ใน Q1 2025
    รายได้ AWS โต 17.5% จากปีก่อน รวม $30.9 พันล้าน
    ขยายบริการ Bedrock รองรับ Claude 3.7 และ Llama 4
    ลงทุน $4 พันล้านเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลี
    ลงทุนเพิ่ม $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายรัฐบาล

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม AI
    การลงทุนในศูนย์ข้อมูลมีผลต่อจีดีพีมากกว่าการบริโภคของประชาชน
    ความต้องการ compute สำหรับ AI ยังสูงกว่าซัพพลาย
    การพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น GPT-5 ทำให้ต้องใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น
    ผู้ให้บริการต้องลงทุนในระบบพลังงานและการระบายความร้อนใหม่

    นักวิเคราะห์บางรายกังวลว่า AI ยังไม่ให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนในระยะสั้น
    Meta ระบุว่าระบบแนะนำแบบดั้งเดิมยังทำเงินมากกว่า generative AI
    การลงทุนมหาศาลอาจกลายเป็นภาระหาก AI ไม่เติบโตตามที่คาด
    ความหนาแน่นของ compute ใน data hall สูงขึ้น อาจกระทบระบบพลังงาน
    ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น microgrid-as-a-service เพื่อรองรับการใช้พลังงาน

    https://www.techradar.com/pro/amazons-data-center-spend-tops-usd100bn-more-than-the-gdp-of-most-countries
    🏗️ Amazon ทุ่มงบ $100 พันล้านในศูนย์ข้อมูล: มากกว่าจีดีพีของประเทศทั้งประเทศ ลองจินตนาการว่า Amazon ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการคลาวด์ แต่กลายเป็น “ประเทศแห่งศูนย์ข้อมูล” ที่มีงบลงทุนสูงกว่าจีดีพีของประเทศอย่างลักเซมเบิร์ก ลิทัวเนีย หรือแม้แต่คอสตาริกา ข้อมูลล่าสุดจาก Omdia ระบุว่า Amazon Web Services (AWS) ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Google ($82B), Microsoft ($75B) และ Meta ($69B) อย่างชัดเจน และคาดว่าภายในปี 2025 การลงทุนทั่วโลกในศูนย์ข้อมูลจะพุ่งถึง $657 พันล้าน—เกือบสองเท่าจากปี 2023 AWS ยังครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์โลกถึง 32% ในไตรมาสแรกของปี 2025 มากกว่ารวมกันของ Microsoft (23%) และ Google (12%) โดยมีการเร่งขยายบริการ AI เช่น Bedrock ที่รองรับโมเดลใหม่อย่าง Claude 3.7 และ Llama 4 พร้อมเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลีด้วยงบ $4 พันล้าน และลงทุนอีก $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล แม้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีคำเตือนจากนักวิเคราะห์ว่า การลงทุนมหาศาลนี้อาจไม่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น และอาจกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ หากการใช้งาน AI ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ ✅ การลงทุนของ Amazon ในศูนย์ข้อมูล ➡️ AWS ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ➡️ มากกว่าจีดีพีของประเทศอย่างคอสตาริกา ลักเซมเบิร์ก และลิทัวเนีย ➡️ คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ Meta ลงทุนน้อยกว่าชัดเจน ➡️ คาดว่าการลงทุนทั่วโลกในปี 2025 จะพุ่งถึง $657 พันล้าน ✅ ส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตของ AWS ➡️ AWS ครองตลาดคลาวด์โลก 32% ใน Q1 2025 ➡️ รายได้ AWS โต 17.5% จากปีก่อน รวม $30.9 พันล้าน ➡️ ขยายบริการ Bedrock รองรับ Claude 3.7 และ Llama 4 ➡️ ลงทุน $4 พันล้านเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลี ➡️ ลงทุนเพิ่ม $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายรัฐบาล ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม AI ➡️ การลงทุนในศูนย์ข้อมูลมีผลต่อจีดีพีมากกว่าการบริโภคของประชาชน ➡️ ความต้องการ compute สำหรับ AI ยังสูงกว่าซัพพลาย ➡️ การพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น GPT-5 ทำให้ต้องใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น ➡️ ผู้ให้บริการต้องลงทุนในระบบพลังงานและการระบายความร้อนใหม่ ⛔ นักวิเคราะห์บางรายกังวลว่า AI ยังไม่ให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนในระยะสั้น ⛔ Meta ระบุว่าระบบแนะนำแบบดั้งเดิมยังทำเงินมากกว่า generative AI ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจกลายเป็นภาระหาก AI ไม่เติบโตตามที่คาด ⛔ ความหนาแน่นของ compute ใน data hall สูงขึ้น อาจกระทบระบบพลังงาน ⛔ ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น microgrid-as-a-service เพื่อรองรับการใช้พลังงาน https://www.techradar.com/pro/amazons-data-center-spend-tops-usd100bn-more-than-the-gdp-of-most-countries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล”

    จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน

    หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก

    และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์

    แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด

    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล
    การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง
    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า

    ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน
    ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน
    การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง

    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI
    ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง
    ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI
    ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI
    การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร
    ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming

    ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า
    การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล” จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์ แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด ✅ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล ➡️ การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง ➡️ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า ✅ ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน ➡️ ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน ➡️ การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง ✅ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง ➡️ ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI ➡️ ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล ➡️ การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ⛔ การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร ⛔ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming ‼️ ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ เช่น ChatGPT, Sora, xAI ฯลฯ ได้กระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยีทั่วสหรัฐฯ แห่กันสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบเร่งด่วน → โดยเฉพาะในพื้นที่ “Data Center Alley” รัฐ Virginia ที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกในการประมวลผล AI

    ปัญหาคือ...ดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ใช้พลังงานมหาศาล → ส่งผลให้ความต้องการไฟฟ้าในโซนตะวันออกของสหรัฐฯ ภายใต้การดูแลของ PJM เพิ่มขึ้นเร็วมาก → ราคาพลังงานใน Pennsylvania พุ่งขึ้นกว่า 800% จากการประมูลสิทธิกำลังผลิต → และอาจมี blackout ในหน้าร้อนปี 2025

    ผู้ว่าการรัฐ Josh Shapiro ออกมาเรียกร้องว่า → ถ้า PJM ไม่เร่งอนุมัติโรงไฟฟ้าใหม่ หรือขยายกริดให้ไวขึ้น → รัฐอาจต้อง “ถอนตัว” แล้วสร้างระบบพลังงานแยกของตัวเอง

    PJM Interconnection คือองค์กรจัดการกริดพลังงานครอบคลุม 13 รัฐ รวมถึง Pennsylvania  
    • เป็นผู้ดูแลการซื้อขายพลังงานระดับ wholesale  
    • ต้องรับแรงกดดันจากดาต้าเซ็นเตอร์ AI ทั่วภูมิภาค

    การเปิดตัว ChatGPT และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ตั้งแต่ปี 2023 ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  
    • Elon Musk ถึงขั้นต้องส่งโรงไฟฟ้าทั้งชุดไปยังสหรัฐฯ เพื่อรองรับโครงการ Colossus ของ xAI

    PJM เคยชะลอการเชื่อมต่อโรงไฟฟ้าใหม่ในปี 2022 เพราะมีโครงการพลังงานสะอาดเข้ามามากเกินไป → ตรวจสอบไม่ทัน

    PJM ประเมินว่า ภายในปี 2030 จะต้องเพิ่มกำลังผลิตอีก 32 GW  
    • ในจำนวนนี้กว่า 30 GW จะถูกใช้กับดาต้าเซ็นเตอร์ AI ใหม่ทั้งหมด

    เพื่อเร่งแก้ปัญหา รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งให้โรงไฟฟ้าเก่าที่กำลังจะปิดกลับมาเปิดใช้งานหน้าร้อนนี้แทนการปิดตามแผน

    ผู้ว่าการรัฐ Pennsylvania เรียกร้องว่า “PJM ต้องเร็วขึ้น–โปร่งใสขึ้น–และลดต้นทุนพลังงานให้ประชาชน”

    PJM ได้อนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าใหม่กว่า 50 แห่งแล้ว → แต่ส่วนใหญ่จะออนไลน์จริงในช่วงต้นทศวรรษ 2030

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-is-eating-up-pennsylvanias-power-governor-threatens-to-pull-state-from-the-grid-new-plants-arent-being-built-fast-enough-to-keep-up-with-demand
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ เช่น ChatGPT, Sora, xAI ฯลฯ ได้กระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยีทั่วสหรัฐฯ แห่กันสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบเร่งด่วน → โดยเฉพาะในพื้นที่ “Data Center Alley” รัฐ Virginia ที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกในการประมวลผล AI ปัญหาคือ...ดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ใช้พลังงานมหาศาล → ส่งผลให้ความต้องการไฟฟ้าในโซนตะวันออกของสหรัฐฯ ภายใต้การดูแลของ PJM เพิ่มขึ้นเร็วมาก → ราคาพลังงานใน Pennsylvania พุ่งขึ้นกว่า 800% จากการประมูลสิทธิกำลังผลิต → และอาจมี blackout ในหน้าร้อนปี 2025 ผู้ว่าการรัฐ Josh Shapiro ออกมาเรียกร้องว่า → ถ้า PJM ไม่เร่งอนุมัติโรงไฟฟ้าใหม่ หรือขยายกริดให้ไวขึ้น → รัฐอาจต้อง “ถอนตัว” แล้วสร้างระบบพลังงานแยกของตัวเอง ✅ PJM Interconnection คือองค์กรจัดการกริดพลังงานครอบคลุม 13 รัฐ รวมถึง Pennsylvania   • เป็นผู้ดูแลการซื้อขายพลังงานระดับ wholesale   • ต้องรับแรงกดดันจากดาต้าเซ็นเตอร์ AI ทั่วภูมิภาค ✅ การเปิดตัว ChatGPT และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ตั้งแต่ปี 2023 ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว   • Elon Musk ถึงขั้นต้องส่งโรงไฟฟ้าทั้งชุดไปยังสหรัฐฯ เพื่อรองรับโครงการ Colossus ของ xAI ✅ PJM เคยชะลอการเชื่อมต่อโรงไฟฟ้าใหม่ในปี 2022 เพราะมีโครงการพลังงานสะอาดเข้ามามากเกินไป → ตรวจสอบไม่ทัน ✅ PJM ประเมินว่า ภายในปี 2030 จะต้องเพิ่มกำลังผลิตอีก 32 GW   • ในจำนวนนี้กว่า 30 GW จะถูกใช้กับดาต้าเซ็นเตอร์ AI ใหม่ทั้งหมด ✅ เพื่อเร่งแก้ปัญหา รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งให้โรงไฟฟ้าเก่าที่กำลังจะปิดกลับมาเปิดใช้งานหน้าร้อนนี้แทนการปิดตามแผน ✅ ผู้ว่าการรัฐ Pennsylvania เรียกร้องว่า “PJM ต้องเร็วขึ้น–โปร่งใสขึ้น–และลดต้นทุนพลังงานให้ประชาชน” ✅ PJM ได้อนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าใหม่กว่า 50 แห่งแล้ว → แต่ส่วนใหญ่จะออนไลน์จริงในช่วงต้นทศวรรษ 2030 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-is-eating-up-pennsylvanias-power-governor-threatens-to-pull-state-from-the-grid-new-plants-arent-being-built-fast-enough-to-keep-up-with-demand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในโลกของพลังงานและ AI ที่ทุกวินาทีต้องการประสิทธิภาพสูง การใช้ “ซิลิคอน” อาจไม่พออีกต่อไปแล้วครับ → บริษัทอย่าง Infineon จึงหันมาโฟกัสที่ GaN (Gallium Nitride) ซึ่งเด่นเรื่อง

    - เปิด–ปิดสัญญาณไฟเร็วกว่า
    - รองรับแรงดันสูง–ความร้อนสูง
    - มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า Si หลายเท่า → ใช้งานได้ดีใน AI Data Center, ยานยนต์ EV, อุตสาหกรรมควบคุมมอเตอร์

    ล่าสุด Infineon พัฒนาไลน์ผลิตเวเฟอร์ GaN ขนาด 300 มม. (จากเดิม 200 มม.) ซึ่ง → ทำให้ได้จำนวนชิปต่อแผ่นมากขึ้น 2.3 เท่า → ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิปลดลง → พร้อมส่งตัวอย่างให้ลูกค้าทดสอบใน Q4 ปี 2025

    ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ TSMC กลับตัดสินใจ “เลิกเล่นเกม GaN” โดยจะปิดสายผลิตและรื้อโรงงานออกใน 2 ปีข้างหน้า → เป็นโอกาสทองให้ Infineon กลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดนี้

    Infineon จะเริ่มผลิต GaN บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. เป็นรายแรกของโลก  
    • ส่งผลให้ได้ yield สูงขึ้น 2.3 เท่า เทียบกับแบบ 200 มม.  
    • พร้อมเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในไตรมาส 4 ปี 2025

    ใช้โครงสร้าง IDM (Integrated Device Manufacturer)  
    • ควบคุมทุกขั้นตอน: ตั้งแต่ fab ไปจนถึงสินค้า  
    • ลดต้นทุน–เร่งเวลาไปตลาด  
    • ทำให้ GaN มีต้นทุนใกล้เคียงกับซิลิคอนแบบเดิม

    ตลาด GaN คาดจะเติบโต 36% ต่อปี และมีมูลค่า $2.5B ภายในปี 2030  
    • ข้อมูลจาก Yole Group  
    • ผลักดันจากความต้องการใน AI, EV, ระบบพลังงานขั้นสูง

    TSMC เตรียมถอนตัวจากตลาด GaN ใน 2 ปีข้างหน้า  
    • ชี้ชัดว่าบริษัทจะโฟกัสที่โปรเซสเซอร์ margin สูง  
    • เปิดพื้นที่ให้ Infineon และผู้เล่นเฉพาะทางยึดตลาด power semiconductor

    แอปพลิเคชันเป้าหมายของ Infineon รวมถึง:  
    • แหล่งจ่ายไฟของระบบ AI  
    • เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า  
    • ระบบควบคุมมอเตอร์อุตสาหกรรม

    https://www.techpowerup.com/338633/infineon-to-start-300-mm-gan-wafer-production-as-tsmc-exits-market
    ในโลกของพลังงานและ AI ที่ทุกวินาทีต้องการประสิทธิภาพสูง การใช้ “ซิลิคอน” อาจไม่พออีกต่อไปแล้วครับ → บริษัทอย่าง Infineon จึงหันมาโฟกัสที่ GaN (Gallium Nitride) ซึ่งเด่นเรื่อง - เปิด–ปิดสัญญาณไฟเร็วกว่า - รองรับแรงดันสูง–ความร้อนสูง - มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า Si หลายเท่า → ใช้งานได้ดีใน AI Data Center, ยานยนต์ EV, อุตสาหกรรมควบคุมมอเตอร์ ล่าสุด Infineon พัฒนาไลน์ผลิตเวเฟอร์ GaN ขนาด 300 มม. (จากเดิม 200 มม.) ซึ่ง → ทำให้ได้จำนวนชิปต่อแผ่นมากขึ้น 2.3 เท่า → ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิปลดลง → พร้อมส่งตัวอย่างให้ลูกค้าทดสอบใน Q4 ปี 2025 ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ TSMC กลับตัดสินใจ “เลิกเล่นเกม GaN” โดยจะปิดสายผลิตและรื้อโรงงานออกใน 2 ปีข้างหน้า → เป็นโอกาสทองให้ Infineon กลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดนี้ ✅ Infineon จะเริ่มผลิต GaN บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. เป็นรายแรกของโลก   • ส่งผลให้ได้ yield สูงขึ้น 2.3 เท่า เทียบกับแบบ 200 มม.   • พร้อมเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในไตรมาส 4 ปี 2025 ✅ ใช้โครงสร้าง IDM (Integrated Device Manufacturer)   • ควบคุมทุกขั้นตอน: ตั้งแต่ fab ไปจนถึงสินค้า   • ลดต้นทุน–เร่งเวลาไปตลาด   • ทำให้ GaN มีต้นทุนใกล้เคียงกับซิลิคอนแบบเดิม ✅ ตลาด GaN คาดจะเติบโต 36% ต่อปี และมีมูลค่า $2.5B ภายในปี 2030   • ข้อมูลจาก Yole Group   • ผลักดันจากความต้องการใน AI, EV, ระบบพลังงานขั้นสูง ✅ TSMC เตรียมถอนตัวจากตลาด GaN ใน 2 ปีข้างหน้า   • ชี้ชัดว่าบริษัทจะโฟกัสที่โปรเซสเซอร์ margin สูง   • เปิดพื้นที่ให้ Infineon และผู้เล่นเฉพาะทางยึดตลาด power semiconductor ✅ แอปพลิเคชันเป้าหมายของ Infineon รวมถึง:   • แหล่งจ่ายไฟของระบบ AI   • เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า   • ระบบควบคุมมอเตอร์อุตสาหกรรม https://www.techpowerup.com/338633/infineon-to-start-300-mm-gan-wafer-production-as-tsmc-exits-market
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Infineon to Start 300 mm GaN Wafer Production as TSMC Exits Market
    Infineon has announced that its gallium nitride (GaN) power semiconductor production is on schedule, confirming that its 300 mm wafer fab will deliver customer samples in Q4 2025. The German semiconductor manufacturer becomes the first company to successfully integrate 300 mm GaN wafer technology in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปปีที่แล้ว CoreWeave เคยเสนอยื่นซื้อกิจการ Core Scientific มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเงิน $1.02 พันล้าน แต่ถูกปฏิเสธเพราะทาง CoreSci มองว่ามูลค่าดังกล่าวยังต่ำกว่าความเป็นจริง

    เวลาผ่านไป…ดูเหมือนสถานการณ์เปลี่ยนครับ เพราะวันนี้ WSJ รายงานว่า ทั้งสองบริษัท “กลับมาเจรจากันใหม่” และอาจปิดดีลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

    อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง? เพราะตอนนี้บริษัท AI อย่าง CoreWeave ต้องการ “แหล่งพลังงานราคาถูกและพร้อมใช้งานได้ทันที” — ซึ่งตรงกับสิ่งที่ CoreSci มีอยู่ เพราะศูนย์เหมืองคริปโตต้องใช้ไฟมหาศาลระดับหลายร้อยเมกะวัตต์อยู่แล้ว และมีสัญญาโรงไฟฟ้าระยะยาวพร้อมใช้งาน

    นอกจากนี้ ทั้งคู่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกันไปเมื่อกลางปี 2024 โดย CoreSci จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน 200 เมกะวัตต์ให้ CoreWeave ใช้กับการประมวลผล AI

    CoreWeave กำลังเจรจาซื้อกิจการ Core Scientific อีกครั้ง หลังเคยถูกปฏิเสธเมื่อปีที่แล้ว  
    • รอบก่อนเสนอซื้อที่ $1.02 พันล้าน หรือ $5.75/หุ้น แต่โดนปัดตกว่า “ราคาต่ำเกินไป”

    ดีลใหม่นี้มีมูลค่ายังไม่เปิดเผย และยังอยู่ระหว่างเจรจา  
    • หากสำเร็จ อาจเสร็จสิ้นภายในไม่กี่สัปดาห์

    Core Scientific ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว $4 พันล้าน  
    • ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 8% หลังมีข่าวเจรจา

    ทั้งสองบริษัทมีสัญญาระยะยาวร่วมกันอยู่แล้ว  
    • CoreSci ให้พลังงาน 200MW สำหรับศูนย์ AI ของ CoreWeave  
    • เป็นระบบพลังงานระดับ “High-performance computing infrastructure”

    เทรนด์ในอุตสาหกรรมตอนนี้: บริษัท AI ซื้อหรือร่วมมือกับผู้ขุดเหมืองคริปโตเพื่อแย่งพลังงานราคาถูก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/27/coreweave-in-talks-to-buy-core-scientific-wsj-reports
    ย้อนกลับไปปีที่แล้ว CoreWeave เคยเสนอยื่นซื้อกิจการ Core Scientific มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเงิน $1.02 พันล้าน แต่ถูกปฏิเสธเพราะทาง CoreSci มองว่ามูลค่าดังกล่าวยังต่ำกว่าความเป็นจริง เวลาผ่านไป…ดูเหมือนสถานการณ์เปลี่ยนครับ เพราะวันนี้ WSJ รายงานว่า ทั้งสองบริษัท “กลับมาเจรจากันใหม่” และอาจปิดดีลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง? เพราะตอนนี้บริษัท AI อย่าง CoreWeave ต้องการ “แหล่งพลังงานราคาถูกและพร้อมใช้งานได้ทันที” — ซึ่งตรงกับสิ่งที่ CoreSci มีอยู่ เพราะศูนย์เหมืองคริปโตต้องใช้ไฟมหาศาลระดับหลายร้อยเมกะวัตต์อยู่แล้ว และมีสัญญาโรงไฟฟ้าระยะยาวพร้อมใช้งาน นอกจากนี้ ทั้งคู่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกันไปเมื่อกลางปี 2024 โดย CoreSci จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน 200 เมกะวัตต์ให้ CoreWeave ใช้กับการประมวลผล AI ✅ CoreWeave กำลังเจรจาซื้อกิจการ Core Scientific อีกครั้ง หลังเคยถูกปฏิเสธเมื่อปีที่แล้ว   • รอบก่อนเสนอซื้อที่ $1.02 พันล้าน หรือ $5.75/หุ้น แต่โดนปัดตกว่า “ราคาต่ำเกินไป” ✅ ดีลใหม่นี้มีมูลค่ายังไม่เปิดเผย และยังอยู่ระหว่างเจรจา   • หากสำเร็จ อาจเสร็จสิ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ✅ Core Scientific ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว $4 พันล้าน   • ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 8% หลังมีข่าวเจรจา ✅ ทั้งสองบริษัทมีสัญญาระยะยาวร่วมกันอยู่แล้ว   • CoreSci ให้พลังงาน 200MW สำหรับศูนย์ AI ของ CoreWeave   • เป็นระบบพลังงานระดับ “High-performance computing infrastructure” ✅ เทรนด์ในอุตสาหกรรมตอนนี้: บริษัท AI ซื้อหรือร่วมมือกับผู้ขุดเหมืองคริปโตเพื่อแย่งพลังงานราคาถูก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/27/coreweave-in-talks-to-buy-core-scientific-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    CoreWeave in talks to buy Core Scientific, WSJ reports
    (Reuters) -CoreWeave is in talks to buy Core Scientific, after the bitcoin miner rejected an earlier deal from the cloud provider last year, the Wall Street Journal reported on Thursday, citing people familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ

    อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่
    - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต
    - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์
    - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก
    - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ
    - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี

    ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย
    - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด
    - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน

    คำเตือนและแนวทางป้องกัน
    อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้
    - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน
    - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก

    วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี
    - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต
    - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST
    - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ ✅ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่ - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี ✅ ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน ⚠️ คำเตือนและแนวทางป้องกัน ‼️ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้ - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก ‼️ วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก FBI ในปี 2024 เปิดเผยว่าการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ (ransomware) มีค่าเสียหายสูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 33% จากปี 2023 โดยการโจมตีเหล่านี้เพิ่มขึ้น 9% และมีเป้าหมายสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ระบบพลังงานและการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการร้องเรียนทั้งหมด การโจมตีเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการสนับสนุนจากรัฐ

    นอกจากนี้ การฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซีก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่าความเสียหายถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 โดยการฉ้อโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนปลอม

    FBI ได้ดำเนินการตอบโต้ เช่น การแจกจ่ายคีย์ถอดรหัสให้กับเหยื่อแรนซัมแวร์ ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินกว่า 800 ล้านดอลลาร์

    ค่าเสียหายจากแรนซัมแวร์
    - มีค่าเสียหายสูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2023
    - การโจมตีเพิ่มขึ้น 9% โดยเป้าหมายหลักคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

    การฉ้อโกงคริปโตเคอเรนซี
    - มูลค่าความเสียหายถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023
    - การฉ้อโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนปลอม

    การตอบโต้ของ FBI
    - แจกจ่ายคีย์ถอดรหัสให้กับเหยื่อแรนซัมแวร์
    - ช่วยหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินกว่า 800 ล้านดอลลาร์

    การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการโจมตี
    - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามและการฟิชชิงเพิ่มขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-cost-us-victims-usd16-6-billion-in-2024-fbi-warns
    รายงานจาก FBI ในปี 2024 เปิดเผยว่าการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ (ransomware) มีค่าเสียหายสูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 33% จากปี 2023 โดยการโจมตีเหล่านี้เพิ่มขึ้น 9% และมีเป้าหมายสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ระบบพลังงานและการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการร้องเรียนทั้งหมด การโจมตีเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการสนับสนุนจากรัฐ นอกจากนี้ การฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซีก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่าความเสียหายถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 โดยการฉ้อโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนปลอม FBI ได้ดำเนินการตอบโต้ เช่น การแจกจ่ายคีย์ถอดรหัสให้กับเหยื่อแรนซัมแวร์ ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ✅ ค่าเสียหายจากแรนซัมแวร์ - มีค่าเสียหายสูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2023 - การโจมตีเพิ่มขึ้น 9% โดยเป้าหมายหลักคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ✅ การฉ้อโกงคริปโตเคอเรนซี - มูลค่าความเสียหายถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 - การฉ้อโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนปลอม ✅ การตอบโต้ของ FBI - แจกจ่ายคีย์ถอดรหัสให้กับเหยื่อแรนซัมแวร์ - ช่วยหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ✅ การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการโจมตี - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามและการฟิชชิงเพิ่มขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-cost-us-victims-usd16-6-billion-in-2024-fbi-warns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • Honda กำลังพัฒนาเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดแบบวงปิด ซึ่งใช้แหล่งพลังงานจากน้ำและแสงอาทิตย์ในการสร้างออกซิเจนและไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอวกาศ ระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการบำรุงรักษา แต่ยังมีศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำหรับการตั้งถิ่นฐานในดวงจันทร์ รวมถึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้บนโลกเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดในอนาคต

    == เทคโนโลยีที่ Honda นำเสนอ ==
    ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบวงปิด
    - ระบบนี้ใช้แหล่งพลังงานจาก แสงอาทิตย์และน้ำ เพื่อผลิตออกซิเจนสำหรับการหายใจและไฮโดรเจนสำหรับเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า
    - ผลพลอยได้จากการผลิตพลังงานคือ น้ำ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในระบบ

    ข้อดีที่ทำให้ระบบเหมาะกับการใช้งานในอวกาศ
    - ระบบนี้มีความ กะทัดรัดและน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสำหรับภารกิจในดวงจันทร์
    - การลดความจำเป็นในกระบวนการบีบอัดเชิงกลทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือและต้องการการบำรุงรักษาน้อยลง

    การทดสอบในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ
    - Honda จะทดสอบระบบนี้บน ISS เพื่อดูความสามารถในการใช้งานในสภาพ microgravity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งานจริงในอวกาศ

    == เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง ==
    การสนับสนุนภารกิจในดวงจันทร์
    - ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในดวงจันทร์

    ความหวังในด้านพลังงานสะอาดสำหรับโลก
    - Honda วางแผนที่จะนำระบบนี้ไปใช้บนโลก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์และส่งเสริมพลังงานสะอาด

    ความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ
    - Sierra Space รับหน้าที่ประสานงานกับ NASA เพื่อขนส่งอุปกรณ์ผ่าน Dream Chaser Spaceplane ในขณะที่ Tec-Masters ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ISS

    https://www.techspot.com/news/107432-honda-test-compact-hydrogen-system-space-exploration-iss.html
    Honda กำลังพัฒนาเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดแบบวงปิด ซึ่งใช้แหล่งพลังงานจากน้ำและแสงอาทิตย์ในการสร้างออกซิเจนและไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอวกาศ ระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการบำรุงรักษา แต่ยังมีศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำหรับการตั้งถิ่นฐานในดวงจันทร์ รวมถึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้บนโลกเพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดในอนาคต == เทคโนโลยีที่ Honda นำเสนอ == ✅ ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบวงปิด - ระบบนี้ใช้แหล่งพลังงานจาก แสงอาทิตย์และน้ำ เพื่อผลิตออกซิเจนสำหรับการหายใจและไฮโดรเจนสำหรับเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า - ผลพลอยได้จากการผลิตพลังงานคือ น้ำ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในระบบ ✅ ข้อดีที่ทำให้ระบบเหมาะกับการใช้งานในอวกาศ - ระบบนี้มีความ กะทัดรัดและน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสำหรับภารกิจในดวงจันทร์ - การลดความจำเป็นในกระบวนการบีบอัดเชิงกลทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือและต้องการการบำรุงรักษาน้อยลง ✅ การทดสอบในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ - Honda จะทดสอบระบบนี้บน ISS เพื่อดูความสามารถในการใช้งานในสภาพ microgravity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งานจริงในอวกาศ == เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง == ✅ การสนับสนุนภารกิจในดวงจันทร์ - ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในดวงจันทร์ ✅ ความหวังในด้านพลังงานสะอาดสำหรับโลก - Honda วางแผนที่จะนำระบบนี้ไปใช้บนโลก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์และส่งเสริมพลังงานสะอาด ✅ ความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ - Sierra Space รับหน้าที่ประสานงานกับ NASA เพื่อขนส่งอุปกรณ์ผ่าน Dream Chaser Spaceplane ในขณะที่ Tec-Masters ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ISS https://www.techspot.com/news/107432-honda-test-compact-hydrogen-system-space-exploration-iss.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Honda to test compact hydrogen system for space exploration on the ISS
    Honda is aiming beyond Earth with plans to test its high-differential pressure water electrolysis system aboard the International Space Station. In partnership with Sierra Space and Tec-Masters,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ReactOS เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อเข้ากันได้กับ Windows โดยไม่มีโค้ดของ Microsoft หลังจาก 26 ปีของการพัฒนา ล่าสุดได้เปิดตัว ReactOS 0.4.15 ซึ่งมีการปรับปรุงสำคัญ เช่น Plug and Play และเสียง อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงอยู่ใน สถานะ Alpha และเป้าหมายปัจจุบันคือ Windows Server 2003 ในอนาคตอาจรองรับ UEFI, NTFS และระบบพลังงานที่ดีขึ้น

    ReactOS คืออะไร?
    - เป็น ระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่มีโค้ดของ Microsoft
    - เป้าหมายคือ ให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์และไดรเวอร์ของ Windows ได้
    - ใช้โครงสร้าง Windows NT แต่พัฒนาขึ้นเอง

    เป้าหมายการเข้ากันได้—Windows Server 2003
    - ReactOS ปัจจุบันยังคง พยายามเข้ากันได้กับ Windows Server 2003
    - สามารถใช้งาน LibreOffice, Firefox และ Adobe Photoshop รุ่นเก่าได้
    - ใช้ส่วนประกอบจาก โครงการ Wine และสามารถ บูตระบบ Linux 64-bit ผ่าน Freeloader utility

    การอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 0.4.15
    - ปรับปรุงระบบ Plug and Play และเสียง
    - เพิ่มความสามารถในการจัดการหน่วยความจำและแก้ไขปัญหา Registry
    - ปรับปรุงเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Notepad, Paint และ RAPPS

    ReactOS ยังอยู่ในช่วง Alpha และอาจใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์
    - แม้ว่าจะพัฒนามากว่า 26 ปี แต่ ReactOS ยังอยู่ในสถานะ Alpha
    - ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลอง ใช้งานผ่าน VirtualBox เพื่อดูพัฒนาการของระบบ

    ฟีเจอร์ที่วางแผนสำหรับอัปเดตถัดไป
    - รองรับ UEFI
    - ตัวติดตั้งแบบกราฟิกใหม่
    - ระบบไฟล์ NTFS และ Symmetric Multiprocessing (SMP)
    - การจัดการพลังงานและรองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลายขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/free-microsoft-windows-rival-gets-first-major-update-in-four-years-but-is-it-already-too-little-too-late
    ReactOS เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อเข้ากันได้กับ Windows โดยไม่มีโค้ดของ Microsoft หลังจาก 26 ปีของการพัฒนา ล่าสุดได้เปิดตัว ReactOS 0.4.15 ซึ่งมีการปรับปรุงสำคัญ เช่น Plug and Play และเสียง อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงอยู่ใน สถานะ Alpha และเป้าหมายปัจจุบันคือ Windows Server 2003 ในอนาคตอาจรองรับ UEFI, NTFS และระบบพลังงานที่ดีขึ้น ✅ ReactOS คืออะไร? - เป็น ระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยไม่มีโค้ดของ Microsoft - เป้าหมายคือ ให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์และไดรเวอร์ของ Windows ได้ - ใช้โครงสร้าง Windows NT แต่พัฒนาขึ้นเอง ✅ เป้าหมายการเข้ากันได้—Windows Server 2003 - ReactOS ปัจจุบันยังคง พยายามเข้ากันได้กับ Windows Server 2003 - สามารถใช้งาน LibreOffice, Firefox และ Adobe Photoshop รุ่นเก่าได้ - ใช้ส่วนประกอบจาก โครงการ Wine และสามารถ บูตระบบ Linux 64-bit ผ่าน Freeloader utility ✅ การอัปเดตครั้งใหญ่ในเวอร์ชัน 0.4.15 - ปรับปรุงระบบ Plug and Play และเสียง - เพิ่มความสามารถในการจัดการหน่วยความจำและแก้ไขปัญหา Registry - ปรับปรุงเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Notepad, Paint และ RAPPS ✅ ReactOS ยังอยู่ในช่วง Alpha และอาจใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์ - แม้ว่าจะพัฒนามากว่า 26 ปี แต่ ReactOS ยังอยู่ในสถานะ Alpha - ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลอง ใช้งานผ่าน VirtualBox เพื่อดูพัฒนาการของระบบ ✅ ฟีเจอร์ที่วางแผนสำหรับอัปเดตถัดไป - รองรับ UEFI - ตัวติดตั้งแบบกราฟิกใหม่ - ระบบไฟล์ NTFS และ Symmetric Multiprocessing (SMP) - การจัดการพลังงานและรองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลายขึ้น https://www.techradar.com/pro/free-microsoft-windows-rival-gets-first-major-update-in-four-years-but-is-it-already-too-little-too-late
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 734 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไม่มีใครจะควบคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย (ZNPP) ได้นอกจากรัสเซียเท่านั้น ทรัพย์สินของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นของสหพันธรัฐรัสเซีย”
    — Yuriy Chernichuk ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กล่าวถึงกรณีที่ทรัมป์และเซเลนสกีกำลังร่วมมือกันเพื่อหาทางนำ ZNPP กลับสู่ยูเครน

    “สิ่งเดียวที่ยูเครนจะสามารถทำได้เกี่ยวกับ ZNPP หลังการยุติของสงครามคือการรอรับไฟฟ้าส่วนเกินที่เหลือจากการใช้จ่ายของรัสเซียแล้ว ไม่มีใครจะให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียแก่ยูเครนหรือสหรัฐฯ”

    การจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียร่วมกับยูเครนนั้นไม่สมเหตุสมผล โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเชื่อมต่อกับระบบพลังงานของรัสเซียเท่านั้น
    “ไม่มีใครจะควบคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย (ZNPP) ได้นอกจากรัสเซียเท่านั้น ทรัพย์สินของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นของสหพันธรัฐรัสเซีย” — Yuriy Chernichuk ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กล่าวถึงกรณีที่ทรัมป์และเซเลนสกีกำลังร่วมมือกันเพื่อหาทางนำ ZNPP กลับสู่ยูเครน “สิ่งเดียวที่ยูเครนจะสามารถทำได้เกี่ยวกับ ZNPP หลังการยุติของสงครามคือการรอรับไฟฟ้าส่วนเกินที่เหลือจากการใช้จ่ายของรัสเซียแล้ว ไม่มีใครจะให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียแก่ยูเครนหรือสหรัฐฯ” การจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียร่วมกับยูเครนนั้นไม่สมเหตุสมผล โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเชื่อมต่อกับระบบพลังงานของรัสเซียเท่านั้น
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Meta และ Google กำลังร่วมมือกันสนับสนุนการเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 เพราะพลังงานนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการพลังงานมหาศาลจาก AI แถมยังเป็นพลังงานสะอาดและต่อเนื่อง พวกเขายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างเตาปฏิกรณ์จิ๋วเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก

    เป้าหมายของโครงการ:
    - พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพลังงานสะอาดและต่อเนื่องสำหรับศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ซึ่งมีความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ.
    - โครงการนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น micro nuclear reactors ที่คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2030.

    บริษัทที่มีบทบาทสำคัญ:
    - Amazon ได้ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในโครงการและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในปีที่ผ่านมา และมุ่งสู่เป้าหมายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040.
    - Meta และ Google มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว.

    การสนับสนุนระดับโลก:
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก 31 ประเทศ บริษัทในอุตสาหกรรมกว่า 140 แห่ง และธนาคารใหญ่ ๆ อีก 14 แห่งทั่วโลก ผ่านการประชุมที่ World Nuclear Symposium 2023.

    ความสำคัญต่อ AI และศูนย์ข้อมูล:
    - พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบสำหรับการป้องกันความไม่เสถียรของระบบพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เช่น การประมวลผล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-mia-as-amazon-meta-google-and-others-join-consortium-to-triple-nuclear-energy-output-by-2050
    บริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Meta และ Google กำลังร่วมมือกันสนับสนุนการเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 เพราะพลังงานนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการพลังงานมหาศาลจาก AI แถมยังเป็นพลังงานสะอาดและต่อเนื่อง พวกเขายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างเตาปฏิกรณ์จิ๋วเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เป้าหมายของโครงการ: - พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพลังงานสะอาดและต่อเนื่องสำหรับศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ซึ่งมีความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ. - โครงการนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น micro nuclear reactors ที่คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2030. บริษัทที่มีบทบาทสำคัญ: - Amazon ได้ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในโครงการและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในปีที่ผ่านมา และมุ่งสู่เป้าหมายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040. - Meta และ Google มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว. การสนับสนุนระดับโลก: - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก 31 ประเทศ บริษัทในอุตสาหกรรมกว่า 140 แห่ง และธนาคารใหญ่ ๆ อีก 14 แห่งทั่วโลก ผ่านการประชุมที่ World Nuclear Symposium 2023. ความสำคัญต่อ AI และศูนย์ข้อมูล: - พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบสำหรับการป้องกันความไม่เสถียรของระบบพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เช่น การประมวลผล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-mia-as-amazon-meta-google-and-others-join-consortium-to-triple-nuclear-energy-output-by-2050
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เจรจาก็ส่วนนึง"

    รัสเซียยังคงเปิดฉากโจมตีด้วยโดรนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาในเมืองโอเดสซาและเมืองอื่นๆ ทั่วยูเครน โดยมีรายงานว่าโดรนมากกว่า 150 ลำ โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและสถานที่ทางทหารอื่นๆของยูเครน

    โดยเฉพาะที่โอเดสซา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีครั้งนี้ มีรายงานว่าระบบพลังงานไฟฟ้าดับกระจายเป็นวงกว้าง และยังไม่สามารถฟื้นฟูได้จนถึงขณะนี้
    "เจรจาก็ส่วนนึง" รัสเซียยังคงเปิดฉากโจมตีด้วยโดรนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาในเมืองโอเดสซาและเมืองอื่นๆ ทั่วยูเครน โดยมีรายงานว่าโดรนมากกว่า 150 ลำ โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและสถานที่ทางทหารอื่นๆของยูเครน โดยเฉพาะที่โอเดสซา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีครั้งนี้ มีรายงานว่าระบบพลังงานไฟฟ้าดับกระจายเป็นวงกว้าง และยังไม่สามารถฟื้นฟูได้จนถึงขณะนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี "Digital Twin" หรือ "คู่แฝดดิจิทัล" กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สำคัญสำหรับธุรกิจในการปรับปรุงการดำเนินงาน และสร้างนวัตกรรมที่ล้ำสมัย

    "Digital Twin" คือ การสร้างแบบจำลองดิจิทัลของระบบหรือสภาพแวดล้อมจริง ทำให้องค์กรสามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงและการลงทุนได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนกระบวนการที่มีอยู่จริง เช่น โรงงานผลิต, ยานพาหนะ, ระบบการผลิต, และแม้แต่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด

    ประเภทของ Digital Twin:
    1) Entity Twin: ใช้เพื่อแสดงและปรับปรุงวัตถุที่มีอยู่จริง เช่น เครื่องจักรในโรงงาน
    2) System Twin: ใช้เพื่อทดสอบการทำงานร่วมกันของส่วนประกอบต่างๆ
    3) Process Twin: ใช้เพื่อทดสอบกระบวนการผลิตและการดำเนินงาน

    ประโยชน์ของ Digital Twin:
    - สามารถออกแบบ, ทดสอบ, และปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ โดยไม่ต้องหยุดการทำงานจริง
    - ลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึง 20%-50% และลดค่าใช้จ่าย
    - สามารถตรวจสอบและปรับปรุงการทำงานของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์
    - ช่วยในการวางแผนผังเมืองและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น:
    - การเริ่มต้นใช้งานต้องลงทุนสูง และอาจไม่เห็นผลตอบแทนทันที
    - ความซับซ้อนในการสร้างและดูแลระบบ Digital Twin
    - ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ที่อาจทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลจริงขององค์กรได้

    ตัวอย่างการใช้งานจริง:
    - Mayo Clinic: ใช้ Digital Twin เพื่อสร้างแบบจำลองผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา
    - BMW: สร้างแบบจำลองโรงงานเพื่อปรับปรุงการผลิต
    - E.ON: ใช้ Digital Twin เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจสอบการทำงานของระบบพลังงาน

    Digital Twin ไม่ใช่แค่แบบจำลองดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถนำเทคโนโลยี AI, Machine Learning, และ Data Analytics มารวมกันเพื่อสร้างภาพรวมของทรัพย์สินและกระบวนการต่างๆ ภายในองค์กร ซึ่งทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

    https://www.zdnet.com/article/digital-twins-are-optimizing-supply-chains-and-more-heres-why-enterprises-should-care/
    ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี "Digital Twin" หรือ "คู่แฝดดิจิทัล" กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สำคัญสำหรับธุรกิจในการปรับปรุงการดำเนินงาน และสร้างนวัตกรรมที่ล้ำสมัย "Digital Twin" คือ การสร้างแบบจำลองดิจิทัลของระบบหรือสภาพแวดล้อมจริง ทำให้องค์กรสามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงและการลงทุนได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนกระบวนการที่มีอยู่จริง เช่น โรงงานผลิต, ยานพาหนะ, ระบบการผลิต, และแม้แต่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ประเภทของ Digital Twin: 1) Entity Twin: ใช้เพื่อแสดงและปรับปรุงวัตถุที่มีอยู่จริง เช่น เครื่องจักรในโรงงาน 2) System Twin: ใช้เพื่อทดสอบการทำงานร่วมกันของส่วนประกอบต่างๆ 3) Process Twin: ใช้เพื่อทดสอบกระบวนการผลิตและการดำเนินงาน ประโยชน์ของ Digital Twin: - สามารถออกแบบ, ทดสอบ, และปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ โดยไม่ต้องหยุดการทำงานจริง - ลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึง 20%-50% และลดค่าใช้จ่าย - สามารถตรวจสอบและปรับปรุงการทำงานของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ - ช่วยในการวางแผนผังเมืองและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น: - การเริ่มต้นใช้งานต้องลงทุนสูง และอาจไม่เห็นผลตอบแทนทันที - ความซับซ้อนในการสร้างและดูแลระบบ Digital Twin - ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ที่อาจทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลจริงขององค์กรได้ ตัวอย่างการใช้งานจริง: - Mayo Clinic: ใช้ Digital Twin เพื่อสร้างแบบจำลองผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา - BMW: สร้างแบบจำลองโรงงานเพื่อปรับปรุงการผลิต - E.ON: ใช้ Digital Twin เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจสอบการทำงานของระบบพลังงาน Digital Twin ไม่ใช่แค่แบบจำลองดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถนำเทคโนโลยี AI, Machine Learning, และ Data Analytics มารวมกันเพื่อสร้างภาพรวมของทรัพย์สินและกระบวนการต่างๆ ภายในองค์กร ซึ่งทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://www.zdnet.com/article/digital-twins-are-optimizing-supply-chains-and-more-heres-why-enterprises-should-care/
    WWW.ZDNET.COM
    Digital twins are optimizing supply chains and more. Here's why enterprises should care
    Virtual modeling, analytics, and the Internet of Things have created a new way for businesses to use data to improve their operations: the digital twin.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 496 มุมมอง 0 รีวิว
  • New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ”

    ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น

    ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์

    มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์
    - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ

    - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

    สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร

    ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก

    ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง

    “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก”

    “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ”

    การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง

    "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น"

    แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย

    ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์

    “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017

    ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ”
    “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม

    การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน
    แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก"

    ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก
    กรีนแลนด์
    ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ”

    อ่าวเม็กซิโก
    ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม”

    แคนาดา
    ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า”

    คลองปานามา
    “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด”

    “ไม่ขาย”
    ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย”

    “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

    “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี
    .
    ลิ้งค์ต้นทาง:
    https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ” ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์ - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก” “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ” การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น" แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017 ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ” “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก" ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก 🎯กรีนแลนด์ ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” 🎯อ่าวเม็กซิโก ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม” 🎯แคนาดา ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า” 🎯คลองปานามา “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด” ❌“ไม่ขาย” ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย” “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี . ลิ้งค์ต้นทาง: https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องราวของนัก DIY ขั้นสุดครับ

    มีผู้ใช้ชื่อ Glubux ได้สร้างระบบพลังงานสำหรับบ้านโดยใช้แบตเตอรี่จากแล็ปท็อปที่ถูกทิ้งไปมากกว่า 1,000 ก้อน ระบบนี้ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แม้แต่ก้อนเดียว ระบบนี้ถูกติดตั้งในโรงเก็บของที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาประมาณ 50 เมตร และใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสร้างพลังงานที่ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายไฟฟ้า

    Glubux เริ่มต้นโครงการนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2016 โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1.4kW, แบตเตอรี่รถยกเก่า, ตัวควบคุมการชาร์จ, และอินเวอร์เตอร์ขนาด 3kVA เขาได้รวบรวมแบตเตอรี่แล็ปท็อปประมาณ 650 ก้อนและเริ่มจัดเรียงและประกอบเป็นแพ็คที่สามารถเก็บพลังงานได้ประมาณ 100Ah ต่อแพ็ค ในปัจจุบัน ระบบนี้ได้ถูกอัปเกรดด้วยแผงโซลาร์เซลล์ 24 แผงที่มีความสามารถในการผลิตพลังงานสูงสุด 440W ต่อแผง

    กล้าและเก่งมากๆ ครับ

    https://www.techspot.com/news/106156-eight-years-success-diy-power-system-using-over.html
    ข่าวนี้เป็นเรื่องราวของนัก DIY ขั้นสุดครับ มีผู้ใช้ชื่อ Glubux ได้สร้างระบบพลังงานสำหรับบ้านโดยใช้แบตเตอรี่จากแล็ปท็อปที่ถูกทิ้งไปมากกว่า 1,000 ก้อน ระบบนี้ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แม้แต่ก้อนเดียว ระบบนี้ถูกติดตั้งในโรงเก็บของที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาประมาณ 50 เมตร และใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสร้างพลังงานที่ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายไฟฟ้า Glubux เริ่มต้นโครงการนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2016 โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1.4kW, แบตเตอรี่รถยกเก่า, ตัวควบคุมการชาร์จ, และอินเวอร์เตอร์ขนาด 3kVA เขาได้รวบรวมแบตเตอรี่แล็ปท็อปประมาณ 650 ก้อนและเริ่มจัดเรียงและประกอบเป็นแพ็คที่สามารถเก็บพลังงานได้ประมาณ 100Ah ต่อแพ็ค ในปัจจุบัน ระบบนี้ได้ถูกอัปเกรดด้วยแผงโซลาร์เซลล์ 24 แผงที่มีความสามารถในการผลิตพลังงานสูงสุด 440W ต่อแผง กล้าและเก่งมากๆ ครับ https://www.techspot.com/news/106156-eight-years-success-diy-power-system-using-over.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ingenious DIY setup powers home for 8 years with over 1,000 repurposed laptop batteries
    This remarkable feat has been running successfully for an astonishing eight years without a single battery replacement, as detailed by the creator, Glubux, on the online forum...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานกองทัพรัสเซียโจมตีระบบพลังงานในเมืองคริวอย ร็อก (Krivoy Rog) ด้วยขีปนาวุธ Iskander จำนวน 2 ลูก ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าดับทั่วทั้งเมือง จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถกลับมาใช้งานได้
    อเล็กซานเดอร์ วิลกุล หัวหน้าฝ่ายป้องกันเมืองของยูเครน รายงาน
    มีรายงานกองทัพรัสเซียโจมตีระบบพลังงานในเมืองคริวอย ร็อก (Krivoy Rog) ด้วยขีปนาวุธ Iskander จำนวน 2 ลูก ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าดับทั่วทั้งเมือง จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ อเล็กซานเดอร์ วิลกุล หัวหน้าฝ่ายป้องกันเมืองของยูเครน รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาพเมืองโอเดสซา ของยูเครน ยังคงอยู่ในความมืด เนื่องจากระบบพลังงานไฟฟ้าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หลังโดนโจมตีจากรัสเซียเมื่อวานนี้
    สภาพเมืองโอเดสซา ของยูเครน ยังคงอยู่ในความมืด เนื่องจากระบบพลังงานไฟฟ้าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หลังโดนโจมตีจากรัสเซียเมื่อวานนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • /2

    สื่อยูเครนรายงานการโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซีย เป้าหมายคือระบบพลังงาน และโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าย่อย(Substation) ทั่วยูเครน

    มีรายงานพบขีปนาวุธร่อนหลายลำบินทั่วยูเครน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เครื่องบิน F16 พยายามยิงสกัดขีปนาวุธร่อนเหล่านี้ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

    กระทรวงพลังงานของยูเครนประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานทั่วประเทศ

    มีรายงานระบบกระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง หลายภูมิภาคของยูเครน

    สื่อของยูเครนรายงานความเสียหายต่อสถานีไฟฟ้าย่อยในมูกาเชโว ภูมิภาคทรานส์คาร์พาเทีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับผิดชอบในการนำเข้าระบบไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป

    รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของยูเครน "กาลุชเชนโก" ยืนยันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนครั้งใหญ่จากกองทัพรัสเซีย และมีคำสั่งใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานแล้ว
    /2 สื่อยูเครนรายงานการโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซีย เป้าหมายคือระบบพลังงาน และโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าย่อย(Substation) ทั่วยูเครน มีรายงานพบขีปนาวุธร่อนหลายลำบินทั่วยูเครน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เครื่องบิน F16 พยายามยิงสกัดขีปนาวุธร่อนเหล่านี้ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ กระทรวงพลังงานของยูเครนประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานทั่วประเทศ มีรายงานระบบกระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง หลายภูมิภาคของยูเครน สื่อของยูเครนรายงานความเสียหายต่อสถานีไฟฟ้าย่อยในมูกาเชโว ภูมิภาคทรานส์คาร์พาเทีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับผิดชอบในการนำเข้าระบบไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของยูเครน "กาลุชเชนโก" ยืนยันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนครั้งใหญ่จากกองทัพรัสเซีย และมีคำสั่งใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 973 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • /1

    สื่อยูเครนรายงานการโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซีย เป้าหมายคือระบบพลังงาน และโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าย่อย(Substation) ทั่วยูเครน

    มีรายงานพบขีปนาวุธร่อนหลายลำบินทั่วยูเครน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เครื่องบิน F16 พยายามยิงสกัดขีปนาวุธร่อนเหล่านี้ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

    กระทรวงพลังงานของยูเครนประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานทั่วประเทศ

    มีรายงานระบบกระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง หลายภูมิภาคของยูเครน

    สื่อของยูเครนรายงานความเสียหายต่อสถานีไฟฟ้าย่อยในมูกาเชโว ภูมิภาคทรานส์คาร์พาเทีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับผิดชอบในการนำเข้าระบบไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป

    รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของยูเครน "กาลุชเชนโก" ยืนยันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนครั้งใหญ่จากกองทัพรัสเซีย และมีคำสั่งใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานแล้ว
    /1 สื่อยูเครนรายงานการโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซีย เป้าหมายคือระบบพลังงาน และโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าย่อย(Substation) ทั่วยูเครน มีรายงานพบขีปนาวุธร่อนหลายลำบินทั่วยูเครน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เครื่องบิน F16 พยายามยิงสกัดขีปนาวุธร่อนเหล่านี้ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ กระทรวงพลังงานของยูเครนประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานทั่วประเทศ มีรายงานระบบกระแสไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง หลายภูมิภาคของยูเครน สื่อของยูเครนรายงานความเสียหายต่อสถานีไฟฟ้าย่อยในมูกาเชโว ภูมิภาคทรานส์คาร์พาเทีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับผิดชอบในการนำเข้าระบบไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของยูเครน "กาลุชเชนโก" ยืนยันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนครั้งใหญ่จากกองทัพรัสเซีย และมีคำสั่งใช้มาตรการฉุกเฉินด้านพลังงานแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ukrenergo หน่วยงานด้านบริหารจัดการพลังงานของยูเครน กำลังเริ่มใช้มาตรการจำกัดการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ โดยจะเริ่มต้นใช้มาตรการนี้ในภูมิภาคเคียฟ โอเดสซา ดนีโปรเปตรอฟสค์ และโดเนตสค์

    ธุรกิจต่างๆ จะต้องลดการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 7.00 น. ถึง 20.00 น. เนื่องจาก "ระบบพลังงานขาดแคลนในขั้นวิกฤต" เจากการโจมตีของรัสเซีย และเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
    Ukrenergo หน่วยงานด้านบริหารจัดการพลังงานของยูเครน กำลังเริ่มใช้มาตรการจำกัดการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ โดยจะเริ่มต้นใช้มาตรการนี้ในภูมิภาคเคียฟ โอเดสซา ดนีโปรเปตรอฟสค์ และโดเนตสค์ ธุรกิจต่างๆ จะต้องลดการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 7.00 น. ถึง 20.00 น. เนื่องจาก "ระบบพลังงานขาดแคลนในขั้นวิกฤต" เจากการโจมตีของรัสเซีย และเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 556 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts