• เขาขึ้นหรือเขานางบวชและวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ
    ....
    ในท้องทุ่งแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยมีตำนานเล่าเรื่องวีรชนแห่งบ้านระจันหรือบางระจัน ที่ต้านทัพพม่า ซึ่งเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ทางใต้ไม่ไกลนักได้ถึง ๗ ครั้ง ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้รบและเสียชีวิตทั้งหมู่บ้านในครั้งที่ ๘ แม้นักประวัติศาสตร์หลายท่านจะเห็นแย้งและกล่าวว่าทัพพม่าเข้ามาทางบ้านตากนั้นยังคงไม่ถึงกรุงศรีอยุธยา เอกสารที่บันทึกไว้อย่างละเอียดน่าจะเป็นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะขยายความและบรรยายอย่างละเอียด โดยมีนำมากล่าวถึงในหนังสือไทยรบพม่าของ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับอื่นคงบรรยายไว้เพียงไม่มาก ปรากฎชื่อสถานที่ว่า ‘บ้านระจัน’ พระอาจารย์วัดเขานางบวชซึ่งก็หมายถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ นายจันเขียว พระยารัตนาธิเบศ
    .
    อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารและบันทึกคำให้การต่างๆ ล้วนมีการบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญและมีส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างใดนั้น เรื่องเล่าติดที่คือตำนานต่างๆ ถูกสร้างและแต่งเสริมด้วยผู้คนที่เป็นชาวบ้านแห่งท้องทุ่งในลุ่มแม่น้ำน้อยนี้
    .
    น่าสนใจว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญ คือ ‘พระอาจารย์ธรรมโชติ’ แห่งวัดเขานางบวช สุพรรณบุรี นั้นกลายเป็น Culture hero แห่งเขตพื้นที่กลางอันเป็นพื้นที่นครรัฐเจนลีฟูแต่เดิม เมื่อย้อนกลับไปราวห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น
    .
    พื้นที่สู้รบนั้นอยู่ตามลำแม่น้ำน้อย ตั้งแต่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญจนลงเข้าสู่ผักไห่และตั้งค่ายสำคัญอยู่ที่สีกุก
    .
    ส่วนด้านทางเหนือก็เข้าควบคุมพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านไปรวมกันแถบรอบวัดโพธิ์เก้าต้น ต่อชาวบ้านไปอาราธนาพระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช ให้ไปช่วยคุ้มครองทำผ้าประเจียด ตะกรุด พิสมร (ตะกรุดรูปแบบหนึ่ง ใช้ร้อยสายไว้ป้องกันอันตราย) แจกจ่ายนักรบชาวบ้าน เล่าสืบต่อมาว่าพระอาจารย์ธรรมโชติ บวชครั้งแรกที่ ‘วัดยาง’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง กับวัดโพธิ์เก้าต้นหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดแดง’ เพราะมีดงไม้แดงขึ้นเยอะ ทั้งสองวัดนี้เป็นวัดเก่า เพราะมีวิหารแบบแอ่นท้องสำเภา พระพุทธรูปหินทราย และพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานไว้ ก่อนย้ายไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานในถ้ำบนยอดเขานางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนามาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบ
    .
    บริเวณ ‘วัดโพธิ์เก้าต้น’ นี้เป็นย่านชุมชนเก่ามาตั้งแต่สมัยทวารวดีช่วงปลาย แต่อยู่อาศัยกันบางเบาเพราะเป็นเขตที่ต้องใช้ดารเดินทางติดต่อทางน้ำเป็นหลัก [Riverine] เพราะอยู่ไม่ไกลจาก ‘เมืองคูเมือง’ ในตำบลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ที่อยู่ห่างไปราว ๓ กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองรูปสี่เหลี่ยมของลุ่มน้ำระหว่างลำสีบัวทองและแม่น้ำน้อย มีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยทวารวดีและยุคลพบุรีหรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ และคงอยู่สืบเนื่องกันต่อเรื่อยมาจนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา
    .
    พอพม่าเข้าตีค่ายบางระจันที่วัดโพธิ์เก้าต้นได้ ใน ‘ไทยรบพม่า’ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ว่าชาวบ้านที่เหลือตายหนีไปได้บ้าง พม่าจับเอาไปเป็นเชลยบ้าง แต่พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นเลยหายสาบสูญไป จะถึงมรณภาพในเวลาเสียค่ายพม่าหรือหนีรอดไปได้ไม่มีหลักฐานปรากฎ
    .
    แต่ในบทความของอาจารย์มนัส โอภากุล เรื่อง พระอาจารย์ธรรมโชติ หายไปไหน? (มนัส โอภากุล. พระอาจารย์ธรรมโชติหายไปไหน? ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗) ใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจากทายกวัดนางบวช อายุ ๗๕ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เล่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชติกลับมาจำพรรษาที่วัดเขานางบวชตามเดิม โดยคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเล่าว่า เมื่อค่ายบางระจันแตก พระอาจารย์ธรรมโชติหลบหนีมาที่เขานางบวช ทหารก็ไล่ติดตามมาจนมาค้นที่วัดเขานางบวชหาตัวเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะท่านลงไปหลบในอุโมงค์ภายในวิหารที่ยังปรากฎอยู่จนปัจจุบันที่เคยเป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เล่ากันว่าภายในมีพื้นที่ให้คนนั่งรวมกันได้ ๕ - ๖ คน ทุกวันนี้ก็ยังปรากฎอยู่....
    .
    ซึ่งเป็นความเชื่อในคุณวิเศษของพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่ชาวบ้านทางแถบเดิมบางตลอดไปจนถึงเขาพระ หัวเขาและบ้านกำมะเชียร ในย่านลุ่มน้ำสุพรรณเชื่อถือกันสืบต่อมา
    .
    พระวิหารวิปัสสนาที่เขาขึ้นหรือวัดเขานางบวชนั้น เป็นอาคารยาวมุงกระเบื้องกาบกล้วยแบบเก่า ประดิษฐานรอยพระบาท ด้านหลังเป็นโพรงหรืออุโมงค์ลงไปในโพรงแคบๆ ของพระเจดีย์ที่อาจจะเป็นกรุมาแต่ดั้งเดิม (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นโพรงถ้ำวิปัสสนามาแต่ก่อน
    .
    ‘เขาขึ้น’ หรือ ‘เขานางบวช’ นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานบนเขาและชุมชนยุคแรกๆ มราเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากใกล้ชิดกับชุมชนที่เดิมบางฯ ริมแม่น้ำสุพรรณซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อเส้นทางเดินทางสมัยโบราณได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือไปทางลุ่มน้ำสะแกกรังผ่านไปทางลำน้ำปิง ทางลำน้ำมะเขามเฒ่าสู่กลุ่มเมืองทางอู่ตะเภาและพื้นที่ดอนที่ติดต่อกับที่ราบสูงโคราช ทางตะวันตกสู่ลุ่มน้ำสุพรรณ อู่ทองและแม่กลอง และทางใต้ติดต่อกับท้องทุ่งและลำน้ำใหญ่น้อยที่ลงสูากลุ่มละโว้ได้เช่นกัน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่อง จนกลายเป็นแลนด์มาร์กและวัดสำคัญของท้องถิ่น มำตำนานของผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ๆ สร้างให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น และกลายมาเป็นการสร้างประเพณีสำคัญของท้องถิ่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน
    .
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสขึ้นบนเขานางบวช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า
    .
    ...ที่บนนั้นมีพระอุโบสถหลังหนึ่ง ห้าห้อง ไม่มีหน้าต่าง ก่อเว้นช่องอย่างวัดพุทไธสวรรย์ แต่ไม่มีหลังคามุงแฝกคลุมไว้ พระที่ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเป็นพระพุทธรูปศิลาปั้นปูน ประกอบปิดทอง ผนังโบสถ์ด้านหนึ่งก่อเป็นแท่นเหมือนอาสนสงฆ์ ตั้งพระพุทธรูป เป็นพระยืนขนาดใหญ่ เห็นจะเป็นพระเก่าผีมือดี ๆ อย่างโบราณ สวมเทริด หน้าต่าง ๆ แต่ ชำรุดทั้งสิ้น ได้เชิญให้ลงมาปฏิสังขรณ์ ๔ องค์ ถ้าเสร็จแล้วจะส่งกลับไปไว้ที่เขานั้นบ้าง เสมาใช้ศิลาแผ่นใหญ่ ๆ อย่างเสมาวัดหลวงกรุงเก่า มีกำแพงแก้วรอบไป จนกระทั่งเจดีย์และวิหารด้วย แต่วิหารนั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า ทำเป็นสองคราว เพราะกระชั้นพระเจดีย์นัก ไม่ได้ไว้ช่อง อีกมีช่องหน้าต่างเล็กสูงเพียงศอกเดียว กว้างกับเศษ ๒ ช่องเท่านั้น ท้ายวิหารจดฐานพระเจดีย์ มีทางเข้าไปในองค์พระเจดีย์ที่กำแพงแก้ว มีพระเจดีย์ประจำมุมเห็นจะมีถึงด้านละ ๔ องค์ พระเจดีย์นั้นก็เป็นพานแว่นฟ้า ๓ ชั้น
    .
    เขานางบวชนี้เป็นที่ราษฎรนับถือมาก มีกำหนดขึ้นไหว้กันกลางเดือน ๔ ทุกปี มาแต่หัวเมืองอื่นก็มากใช้เดินทางบกทั้งนั้น...
    .
    ลักษณะของเจดีย์ที่สร้างแบบผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ ซึ่งมักนิยมสร้างกันเช่นนี้ตามเขาที่มีฐานวิหารและพระเจดีย์บนเขา เช่น ที่บ้านหัวเขาในอำเภอเดิมบางฯ นี้ และแนวเขาพระที่ต่อเนื่องมาจากอู่ทองจนถึงเลาขวัญอีกหลายแห่ง ก็มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งเป็นยุคสมัยแบบลพบุรีหรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ อันเป็นช่วงร่วมสมัยกับกลุ่มนครรัฐเจนลีฟูที่ปรากฎขึ้นในบริเวณนี้ และเป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักตามระบุไว้ในจดหมายเหตุจีน
    .
    และยังพบฐานแท่นหินทรายขนาดย่อมๆ สำหรับประติมากรรมที่อาจเป็นพระพุทธรูปหรือเทวรูปก็ได้ และพระพุทธรูปยืนสวมเทริดทำจากหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงที่อาจนำไปปฏิสังขรณ์แล้วและอาจไม่ได้ส่งกลับมาก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปแบบหินทรายปางมารวิชัยแบบเก่าซึ่งพบในแถบพื้นที่ดอนของสามชุก หนองหญ้าไซ และดอนเจดีย์
    ...
    ภาพ วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติบนเขาขึ้นหรือเขานางบวช ต่อด้วยเจดีย์ทำจากก้อนหินผสมกับอิฐ ซึ่งมีโพรงด้านใน และพระอุโบสถมีพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัยที่พบในเขตนี้หลายองค์ ทั้งใบเสมาทำจากหินชนวนแบบวัดหลวงแต่ทำลวดลายที่พบได้ทั่วไปในเขตชัยนาท เมืองสิงห์เก่าและเมืองพรหมเก่า
    เขาขึ้นหรือเขานางบวชและวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ .... ในท้องทุ่งแห่งลุ่มแม่น้ำน้อยมีตำนานเล่าเรื่องวีรชนแห่งบ้านระจันหรือบางระจัน ที่ต้านทัพพม่า ซึ่งเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ทางใต้ไม่ไกลนักได้ถึง ๗ ครั้ง ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้รบและเสียชีวิตทั้งหมู่บ้านในครั้งที่ ๘ แม้นักประวัติศาสตร์หลายท่านจะเห็นแย้งและกล่าวว่าทัพพม่าเข้ามาทางบ้านตากนั้นยังคงไม่ถึงกรุงศรีอยุธยา เอกสารที่บันทึกไว้อย่างละเอียดน่าจะเป็นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะขยายความและบรรยายอย่างละเอียด โดยมีนำมากล่าวถึงในหนังสือไทยรบพม่าของ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับอื่นคงบรรยายไว้เพียงไม่มาก ปรากฎชื่อสถานที่ว่า ‘บ้านระจัน’ พระอาจารย์วัดเขานางบวชซึ่งก็หมายถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ นายจันเขียว พระยารัตนาธิเบศ . อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดารและบันทึกคำให้การต่างๆ ล้วนมีการบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญและมีส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนจะมีรายละเอียดอย่างใดนั้น เรื่องเล่าติดที่คือตำนานต่างๆ ถูกสร้างและแต่งเสริมด้วยผู้คนที่เป็นชาวบ้านแห่งท้องทุ่งในลุ่มแม่น้ำน้อยนี้ . น่าสนใจว่า ผู้นำทางจิตวิญญาณที่สำคัญ คือ ‘พระอาจารย์ธรรมโชติ’ แห่งวัดเขานางบวช สุพรรณบุรี นั้นกลายเป็น Culture hero แห่งเขตพื้นที่กลางอันเป็นพื้นที่นครรัฐเจนลีฟูแต่เดิม เมื่อย้อนกลับไปราวห้าร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น . พื้นที่สู้รบนั้นอยู่ตามลำแม่น้ำน้อย ตั้งแต่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญจนลงเข้าสู่ผักไห่และตั้งค่ายสำคัญอยู่ที่สีกุก . ส่วนด้านทางเหนือก็เข้าควบคุมพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านไปรวมกันแถบรอบวัดโพธิ์เก้าต้น ต่อชาวบ้านไปอาราธนาพระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช ให้ไปช่วยคุ้มครองทำผ้าประเจียด ตะกรุด พิสมร (ตะกรุดรูปแบบหนึ่ง ใช้ร้อยสายไว้ป้องกันอันตราย) แจกจ่ายนักรบชาวบ้าน เล่าสืบต่อมาว่าพระอาจารย์ธรรมโชติ บวชครั้งแรกที่ ‘วัดยาง’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง กับวัดโพธิ์เก้าต้นหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดแดง’ เพราะมีดงไม้แดงขึ้นเยอะ ทั้งสองวัดนี้เป็นวัดเก่า เพราะมีวิหารแบบแอ่นท้องสำเภา พระพุทธรูปหินทราย และพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานไว้ ก่อนย้ายไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานในถ้ำบนยอดเขานางบวช ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธนามาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบ . บริเวณ ‘วัดโพธิ์เก้าต้น’ นี้เป็นย่านชุมชนเก่ามาตั้งแต่สมัยทวารวดีช่วงปลาย แต่อยู่อาศัยกันบางเบาเพราะเป็นเขตที่ต้องใช้ดารเดินทางติดต่อทางน้ำเป็นหลัก [Riverine] เพราะอยู่ไม่ไกลจาก ‘เมืองคูเมือง’ ในตำบลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ที่อยู่ห่างไปราว ๓ กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองรูปสี่เหลี่ยมของลุ่มน้ำระหว่างลำสีบัวทองและแม่น้ำน้อย มีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยทวารวดีและยุคลพบุรีหรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ และคงอยู่สืบเนื่องกันต่อเรื่อยมาจนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา . พอพม่าเข้าตีค่ายบางระจันที่วัดโพธิ์เก้าต้นได้ ใน ‘ไทยรบพม่า’ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ว่าชาวบ้านที่เหลือตายหนีไปได้บ้าง พม่าจับเอาไปเป็นเชลยบ้าง แต่พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นเลยหายสาบสูญไป จะถึงมรณภาพในเวลาเสียค่ายพม่าหรือหนีรอดไปได้ไม่มีหลักฐานปรากฎ . แต่ในบทความของอาจารย์มนัส โอภากุล เรื่อง พระอาจารย์ธรรมโชติ หายไปไหน? (มนัส โอภากุล. พระอาจารย์ธรรมโชติหายไปไหน? ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๗) ใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจากทายกวัดนางบวช อายุ ๗๕ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เล่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชติกลับมาจำพรรษาที่วัดเขานางบวชตามเดิม โดยคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเล่าว่า เมื่อค่ายบางระจันแตก พระอาจารย์ธรรมโชติหลบหนีมาที่เขานางบวช ทหารก็ไล่ติดตามมาจนมาค้นที่วัดเขานางบวชหาตัวเท่าไหร่ก็ไม่พบ เพราะท่านลงไปหลบในอุโมงค์ภายในวิหารที่ยังปรากฎอยู่จนปัจจุบันที่เคยเป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เล่ากันว่าภายในมีพื้นที่ให้คนนั่งรวมกันได้ ๕ - ๖ คน ทุกวันนี้ก็ยังปรากฎอยู่.... . ซึ่งเป็นความเชื่อในคุณวิเศษของพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่ชาวบ้านทางแถบเดิมบางตลอดไปจนถึงเขาพระ หัวเขาและบ้านกำมะเชียร ในย่านลุ่มน้ำสุพรรณเชื่อถือกันสืบต่อมา . พระวิหารวิปัสสนาที่เขาขึ้นหรือวัดเขานางบวชนั้น เป็นอาคารยาวมุงกระเบื้องกาบกล้วยแบบเก่า ประดิษฐานรอยพระบาท ด้านหลังเป็นโพรงหรืออุโมงค์ลงไปในโพรงแคบๆ ของพระเจดีย์ที่อาจจะเป็นกรุมาแต่ดั้งเดิม (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นโพรงถ้ำวิปัสสนามาแต่ก่อน . ‘เขาขึ้น’ หรือ ‘เขานางบวช’ นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานบนเขาและชุมชนยุคแรกๆ มราเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากใกล้ชิดกับชุมชนที่เดิมบางฯ ริมแม่น้ำสุพรรณซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อเส้นทางเดินทางสมัยโบราณได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือไปทางลุ่มน้ำสะแกกรังผ่านไปทางลำน้ำปิง ทางลำน้ำมะเขามเฒ่าสู่กลุ่มเมืองทางอู่ตะเภาและพื้นที่ดอนที่ติดต่อกับที่ราบสูงโคราช ทางตะวันตกสู่ลุ่มน้ำสุพรรณ อู่ทองและแม่กลอง และทางใต้ติดต่อกับท้องทุ่งและลำน้ำใหญ่น้อยที่ลงสูากลุ่มละโว้ได้เช่นกัน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่อง จนกลายเป็นแลนด์มาร์กและวัดสำคัญของท้องถิ่น มำตำนานของผู้เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ๆ สร้างให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น และกลายมาเป็นการสร้างประเพณีสำคัญของท้องถิ่นสืบมาจนถึงปัจจุบัน . เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสขึ้นบนเขานางบวช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า . ...ที่บนนั้นมีพระอุโบสถหลังหนึ่ง ห้าห้อง ไม่มีหน้าต่าง ก่อเว้นช่องอย่างวัดพุทไธสวรรย์ แต่ไม่มีหลังคามุงแฝกคลุมไว้ พระที่ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเป็นพระพุทธรูปศิลาปั้นปูน ประกอบปิดทอง ผนังโบสถ์ด้านหนึ่งก่อเป็นแท่นเหมือนอาสนสงฆ์ ตั้งพระพุทธรูป เป็นพระยืนขนาดใหญ่ เห็นจะเป็นพระเก่าผีมือดี ๆ อย่างโบราณ สวมเทริด หน้าต่าง ๆ แต่ ชำรุดทั้งสิ้น ได้เชิญให้ลงมาปฏิสังขรณ์ ๔ องค์ ถ้าเสร็จแล้วจะส่งกลับไปไว้ที่เขานั้นบ้าง เสมาใช้ศิลาแผ่นใหญ่ ๆ อย่างเสมาวัดหลวงกรุงเก่า มีกำแพงแก้วรอบไป จนกระทั่งเจดีย์และวิหารด้วย แต่วิหารนั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า ทำเป็นสองคราว เพราะกระชั้นพระเจดีย์นัก ไม่ได้ไว้ช่อง อีกมีช่องหน้าต่างเล็กสูงเพียงศอกเดียว กว้างกับเศษ ๒ ช่องเท่านั้น ท้ายวิหารจดฐานพระเจดีย์ มีทางเข้าไปในองค์พระเจดีย์ที่กำแพงแก้ว มีพระเจดีย์ประจำมุมเห็นจะมีถึงด้านละ ๔ องค์ พระเจดีย์นั้นก็เป็นพานแว่นฟ้า ๓ ชั้น . เขานางบวชนี้เป็นที่ราษฎรนับถือมาก มีกำหนดขึ้นไหว้กันกลางเดือน ๔ ทุกปี มาแต่หัวเมืองอื่นก็มากใช้เดินทางบกทั้งนั้น... . ลักษณะของเจดีย์ที่สร้างแบบผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ ซึ่งมักนิยมสร้างกันเช่นนี้ตามเขาที่มีฐานวิหารและพระเจดีย์บนเขา เช่น ที่บ้านหัวเขาในอำเภอเดิมบางฯ นี้ และแนวเขาพระที่ต่อเนื่องมาจากอู่ทองจนถึงเลาขวัญอีกหลายแห่ง ก็มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งเป็นยุคสมัยแบบลพบุรีหรือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ อันเป็นช่วงร่วมสมัยกับกลุ่มนครรัฐเจนลีฟูที่ปรากฎขึ้นในบริเวณนี้ และเป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักตามระบุไว้ในจดหมายเหตุจีน . และยังพบฐานแท่นหินทรายขนาดย่อมๆ สำหรับประติมากรรมที่อาจเป็นพระพุทธรูปหรือเทวรูปก็ได้ และพระพุทธรูปยืนสวมเทริดทำจากหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงที่อาจนำไปปฏิสังขรณ์แล้วและอาจไม่ได้ส่งกลับมาก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปแบบหินทรายปางมารวิชัยแบบเก่าซึ่งพบในแถบพื้นที่ดอนของสามชุก หนองหญ้าไซ และดอนเจดีย์ ... ภาพ วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติบนเขาขึ้นหรือเขานางบวช ต่อด้วยเจดีย์ทำจากก้อนหินผสมกับอิฐ ซึ่งมีโพรงด้านใน และพระอุโบสถมีพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัยที่พบในเขตนี้หลายองค์ ทั้งใบเสมาทำจากหินชนวนแบบวัดหลวงแต่ทำลวดลายที่พบได้ทั่วไปในเขตชัยนาท เมืองสิงห์เก่าและเมืองพรหมเก่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • 763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง

    "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น

    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄

    พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา
    "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น

    - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์
    - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่
    - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา

    พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา

    เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง
    ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก

    - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น
    - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾
    - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ

    พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง

    บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา
    หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย

    ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม

    ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์
    ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453

    ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย"
    พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม

    วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย
    เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น

    - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง
    - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง?
    พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย

    2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา?
    เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่

    3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร?
    ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย

    เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568

    #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    763 ปีพญามังรายสร้าง “เมืองเชียงราย” หลังเสด็จตามรอยเท้าช้าง สร้างเวียงรอบดอยจอมทอง "เชียงราย" เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 763 ปี โดยถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ตามบันทึกตำนานพื้นเมือง พญามังรายทรงเสด็จตามรอยเท้าช้าง มาทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลือกชัยภูมิริมฝั่งแม่น้ำกก และดอยจอมทองในการก่อตั้งเมืองเชียงรายแห่งนี้ โดยสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองให้มีความมั่นคง และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ในยุคนั้น เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญา และความเฉลียวฉลาดของพญามังราย ในการเลือกพื้นที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมือง มาจนถึงปัจจุบัน 🌄 พญามังราย ราชาผู้ก่อตั้งล้านนา "พญามังราย" หรือที่รู้จักกันในนาม "ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา" เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และขยายอาณาจักรล้านนา พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว โดยตลอดรัชสมัย พระองค์ได้สร้างเมืองสำคัญหลายแห่ง เช่น - เมืองเชียงราย ศูนย์กลางการปกครองแห่งแรก ของพระองค์ - เวียงกุมกาม เมืองต้นแบบก่อนการสร้างเชียงใหม่ - เมืองเชียงใหม่ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พระนามของพญามังราย ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสาร และหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912) และมังรายศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญ และบทบาทของพระองค์ ในฐานะผู้วางรากฐานอาณาจักรล้านนา เหตุผลที่เลือกดอยจอมทอง เป็นที่ตั้งเมือง ชัยภูมิของดอยจอมทอง ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกก มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการตั้งเมืองในยุคนั้น เนื่องจาก - ความปลอดภัย ดอยจอมทองเป็นที่สูง ช่วยให้การป้องกันเมืองจากศัตรูง่ายขึ้น - ทรัพยากรธรรมชาติ แม่น้ำกกที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญ สำหรับการดำรงชีวิตและการเกษตร 🌾 - การคมนาคม แม่น้ำกกยังเป็นเส้นทางการค้า และการเดินทางระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ พญามังรายทรงมองเห็นถึง ความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ จึงได้วางรากฐานให้เชียงราย กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่นคง บทบาทของเชียงราย ในยุคอาณาจักรล้านนา หลังจากการสร้างเมืองเชียงราย พญามังรายได้ครองราชย์ และพัฒนาเมือง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง แห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 เมืองเชียงราย จึงกลายเป็นที่ตั้งของพระราชโอรส พญาไชยสงคราม ผู้สืบทอดราชสมบัติ ต่อจากพญามังราย ในยุคต่อมา เมื่ออาณาจักรล้านนา ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงรายยังคงมีบทบาทสำคัญ ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ แต่ในช่วงสงคราม ระหว่างสยามและพม่า เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน เนื่องจากประชาชน ต้องอพยพหนีภัยสงคราม ฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในสมัยรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาต ให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ โดยเมืองเชียงราย กลับมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง ที่สำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะ เป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ในปี พ.ศ. 2453 ข้อถกเถียงเกี่ยวกับพระนาม "พญามังราย" พระนาม "พญามังราย" ได้รับการบันทึกไว้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ และหลักฐานต่าง ๆ แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเป็น "เม็งราย" ในพงศาวดารโยนก โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย และโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม วัฒนธรรมและมรดกทางประวัติศาสตร์ ของเชียงราย เมืองเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศูนย์กลางทางการปกครองในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น - วัดพระธาตุดอยจอมทอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งเมือง - พิพิธภัณฑ์อูบคำ รวบรวมศิลปวัตถุ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีต คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. ทำไมพญามังราย ถึงเลือกเชียงรายเป็นที่ตั้งเมือง? พญามังรายทรงเลือกพื้นที่ ดอยจอมทองและแม่น้ำกก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ต่อการตั้งเมือง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถป้องกันศัตรูได้ง่าย 2. เมืองเชียงรายมีความสำคัญอย่างไร ในยุคล้านนา? เมืองเชียงรายเป็นเมืองแรก ที่พญามังรายสร้างขึ้น และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนา ก่อนจะย้ายไปยังเชียงใหม่ 3. ชื่อนาม "พญามังราย" มีที่มาอย่างไร? ชื่อนี้มีที่มาจาก การผสมชื่อของพระบิดา พระมารดา และฤๅษีปัทมังกร ผู้ตั้งถวาย เมืองเชียงราย ที่ก่อตั้งโดยพญามังราย เมื่อ 763 ปี ที่ผ่านมา เป็นมรดกสำคัญ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองนี้ จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ความงดงาม และคุณค่าทางวัฒนธรรมของเชียงราย ยังคงสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261148 ม.ค. 2568 #เมืองเชียงราย #พญามังราย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัฒนธรรมเชียงราย #763ปีเชียงราย #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.น.มีคำสั่งให้ ผกก.สน.หนองค้างพลู ออกจากราชการหลัง ป.ป.ท.ชี้มูลผิดวินัยอย่างร้ายแรง พร้อมตั้ง พ.ต.อ.ธนากร นิมมะโม นั่งรักษาการ

    วันนี้ (23 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ลงนามในคำสั่ง บช.น.ที่ 361/2567 เรื่อง "ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน" ด้วยกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 (บก.น.9) มีคำสั่ง ที่ 306 /2567 ลงโทษปลด ว่าที่ พ.ต.อ. สุขสันต์ แสนสวัสดิ์ ผกก.หนองค้างพลู ออกจากราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.2567 เป็นต้นไป

    เนื่องจาก เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.ป.สภ.พระยืน จ.ขอนแก่น มีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ขี้มูลความผิดว่าการกระทำของ ว่าที่ พ.ต.อ.สุขสันต์ แสนสวัสดิ์ ผกก.หนองค้างพลู เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มีควรได้ จึงเป็นเหตุให้ขาดผู้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000112752

    #MGROnline #หนองค้างพลู
    ผบช.น.มีคำสั่งให้ ผกก.สน.หนองค้างพลู ออกจากราชการหลัง ป.ป.ท.ชี้มูลผิดวินัยอย่างร้ายแรง พร้อมตั้ง พ.ต.อ.ธนากร นิมมะโม นั่งรักษาการ • วันนี้ (23 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ลงนามในคำสั่ง บช.น.ที่ 361/2567 เรื่อง "ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน" ด้วยกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 (บก.น.9) มีคำสั่ง ที่ 306 /2567 ลงโทษปลด ว่าที่ พ.ต.อ. สุขสันต์ แสนสวัสดิ์ ผกก.หนองค้างพลู ออกจากราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.2567 เป็นต้นไป • เนื่องจาก เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.ป.สภ.พระยืน จ.ขอนแก่น มีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ขี้มูลความผิดว่าการกระทำของ ว่าที่ พ.ต.อ.สุขสันต์ แสนสวัสดิ์ ผกก.หนองค้างพลู เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มีควรได้ จึงเป็นเหตุให้ขาดผู้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000112752 • #MGROnline #หนองค้างพลู
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทร ประดับขัตติยะภูษิตาภรณ์” ประดิษฐานด้านมุมซ้ายขวา บทแท่น เวชยันต์บุษบกไม้จำหลักลาย ที่ซึ่งประดิษฐาน “พระพุทธเทววิลาส” โดยพระพุทธรูปทรงเครื่อง ปิดทองประดับกระจกเกรียบ ลายประณีตบรรจ เรียกกันว่าพระทอง ดุจเดียวกันกับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เบื้องบนพระทองสององค์ กางกั้นสุวรรณฉัตรคันดาน 5 ชั้น 2 ดั้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของเดิมทั้งสิ้น #วัดเทพธิดารามวรวิหาร #พระทอง #พระยืน #พระพุทธรูปทรงเครื่อง #ปางห้ามสมุทร #พระพุทธเทววิลาศ #bangkok #thailand
    “พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทร ประดับขัตติยะภูษิตาภรณ์” ประดิษฐานด้านมุมซ้ายขวา บทแท่น เวชยันต์บุษบกไม้จำหลักลาย ที่ซึ่งประดิษฐาน “พระพุทธเทววิลาส” โดยพระพุทธรูปทรงเครื่อง ปิดทองประดับกระจกเกรียบ ลายประณีตบรรจ เรียกกันว่าพระทอง ดุจเดียวกันกับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เบื้องบนพระทองสององค์ กางกั้นสุวรรณฉัตรคันดาน 5 ชั้น 2 ดั้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของเดิมทั้งสิ้น #วัดเทพธิดารามวรวิหาร #พระทอง #พระยืน #พระพุทธรูปทรงเครื่อง #ปางห้ามสมุทร #พระพุทธเทววิลาศ #bangkok #thailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ใช้กล้องโทรศัพท์ซูมจากภายนอกพระอุโบสถ) เป็นพระพุทธรูปยืนแบบสมภังค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๖ ศอกหล่อด้วยสัมฤทธิ์เป็นแกนในแล้วหุ้มทองคำหนัก ๖๓ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ทรงเครื่องต้นจักรพรรดิราชาธิราช พระพุทธรูปมีพระพักตร์เป็นรูปวงรี พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว แย้มสรวล และพระกรรณค่อนข้างยาว มีอุณาโลมบนพระนลาฏ ทรงชฎามงกุฎ ประกอบด้วยกรรเจียกจร พระพุทธรูปแสดงปางห้ามสมุทร หรืออภัย มุทราด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปช้างหน้า นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา มีชายอุตราสงค์ซ้อนทบพาดเหนือพระอังสาช้ายปลายจรดพระนาภี เครื่องแต่งพระองค์ ประกอบด้วยกรองศอ อีกทั้งช่อดอกไม้ประดับ ด้านหน้าพระศอ สังวาลเฉวียง พระอังสาทั้งสองข้างประดับด้วยทับทรวงบริเวณ กึ่งกลางพระอุระ ทรงพาหุรัด ทองกร พระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ ทรงสายรัดพระองค์ซึ่งมีปั้นเหน่งรูปดอกไม้แปดเหลี่ยมประดับเบื้องหน้า ด้านล่างของปั่นเหน่งมีสุวรรณกระถอบห้อยอยู่เบื้องหน้าของเจียระบาด และอันตรวาสก กับทั้ง มีชายไหว ชายแครงเป็นลายกนกใบเทศซ้อนกันสามชั้น ทรงทองพระบาทและฉลองพระบาทเชิงงอน พระพุทธรูปประทับยืนบนปัทมาสน์ประดับด้วยกลีบบัว และเกสรเหนือฐานแข้งสิงห์จำหลักลายมีสิงห์แบก ครุฑแบกและเทวดาแบก ลดหลั่นกันตามลำดับ พระพุทธปฏิมาองค์นี้สูงจากฐานถึงยอดมงกกุฎ ๓ เมตร กางกั้นด้วยสัปตปฎล สุวรรณฉัตรคันดาน ที่มา : หอสมุดพิกุลศิลปาคาร #พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ #พระพุทธเลิศหล้านภาไลย #พระยืน #ทอง #วัดพระแก้ว #พระบรมมหาราชวัง #grandpalacebangkok #thailand #bangkok
    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ใช้กล้องโทรศัพท์ซูมจากภายนอกพระอุโบสถ) เป็นพระพุทธรูปยืนแบบสมภังค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๖ ศอกหล่อด้วยสัมฤทธิ์เป็นแกนในแล้วหุ้มทองคำหนัก ๖๓ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ทรงเครื่องต้นจักรพรรดิราชาธิราช พระพุทธรูปมีพระพักตร์เป็นรูปวงรี พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว แย้มสรวล และพระกรรณค่อนข้างยาว มีอุณาโลมบนพระนลาฏ ทรงชฎามงกุฎ ประกอบด้วยกรรเจียกจร พระพุทธรูปแสดงปางห้ามสมุทร หรืออภัย มุทราด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปช้างหน้า นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา มีชายอุตราสงค์ซ้อนทบพาดเหนือพระอังสาช้ายปลายจรดพระนาภี เครื่องแต่งพระองค์ ประกอบด้วยกรองศอ อีกทั้งช่อดอกไม้ประดับ ด้านหน้าพระศอ สังวาลเฉวียง พระอังสาทั้งสองข้างประดับด้วยทับทรวงบริเวณ กึ่งกลางพระอุระ ทรงพาหุรัด ทองกร พระธำมรงค์ทุกนิ้วพระหัตถ์ ทรงสายรัดพระองค์ซึ่งมีปั้นเหน่งรูปดอกไม้แปดเหลี่ยมประดับเบื้องหน้า ด้านล่างของปั่นเหน่งมีสุวรรณกระถอบห้อยอยู่เบื้องหน้าของเจียระบาด และอันตรวาสก กับทั้ง มีชายไหว ชายแครงเป็นลายกนกใบเทศซ้อนกันสามชั้น ทรงทองพระบาทและฉลองพระบาทเชิงงอน พระพุทธรูปประทับยืนบนปัทมาสน์ประดับด้วยกลีบบัว และเกสรเหนือฐานแข้งสิงห์จำหลักลายมีสิงห์แบก ครุฑแบกและเทวดาแบก ลดหลั่นกันตามลำดับ พระพุทธปฏิมาองค์นี้สูงจากฐานถึงยอดมงกกุฎ ๓ เมตร กางกั้นด้วยสัปตปฎล สุวรรณฉัตรคันดาน ที่มา : หอสมุดพิกุลศิลปาคาร #พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ #พระพุทธเลิศหล้านภาไลย #พระยืน #ทอง #วัดพระแก้ว #พระบรมมหาราชวัง #grandpalacebangkok #thailand #bangkok
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 31 0 รีวิว