• ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง

    สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น:
    - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก
    - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่)
    - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น

    โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ

    แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น:
    - การผลิตมือถือและสายส่ง
    - การจัดส่งและรีไซเคิล
    - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด

    จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2

    ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ:
    - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน
    - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90%
    - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว

    https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น: - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่) - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น: - การผลิตมือถือและสายส่ง - การจัดส่งและรีไซเคิล - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2 ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ: - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90% - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน

    1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้

    ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

    2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น

    ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว

    3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้

    การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น

    4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว

    ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น

    เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก

    🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล

    ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card

    ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️

    การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️ ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน 1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ 2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว 3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้ การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น 4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน 5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก 🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️ การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT

    จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน

    Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย

    ✅ 12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025  
    • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง  
    • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น

    ✅ เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)  
    • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ

    ✅ เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui  
    • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา

    ✅ พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta  
    • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS

    ✅ ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง  
    • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน

    ‼️ การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด  
    • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด

    ‼️ การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias  
    • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม

    ‼️ การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต  
    • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้ อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย ✅ 12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025   • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง   • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ✅ เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)   • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ ✅ เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui   • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา ✅ พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta   • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS ✅ ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง   • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน ‼️ การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด   • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด ‼️ การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias   • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ‼️ การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต   • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Latin American countries to launch own AI model in September
    SANTIAGO (Reuters) -A dozen Latin American countries are collaborating to launch Latam-GPT in September, the first large artificial intelligence language model trained to understand the region's diverse cultures and linguistic nuances, Chilean officials said on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ

    แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร

    Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน

    NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม

    สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว

    ✅ Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน  
    • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat  
    • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้

    ✅ NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม  
    • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ  
    • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน

    ✅ Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน  
    • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น

    ‼️ การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน  
    • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ  
    • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง

    ‼️ ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส  
    • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง  
    • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า

    ‼️ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน  
    • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม

    https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว ✅ Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน   • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat   • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้ ✅ NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม   • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ   • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน ✅ Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน   • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น ‼️ การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน   • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ   • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง ‼️ ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส   • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง   • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า ‼️ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน   • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    WWW.NEOWIN.NET
    Watchdog finds Microsoft guilty of confusing advertising when it comes to Copilot
    A U.S. watchdog has criticized Microsoft for making statements about Copilot that are not a "good fit" for making objective claims regarding increased productivity.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ
    หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI.

    รายละเอียดการสอบสวน
    ✅ AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา.
    ✅ DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน.
    ✅ ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้.
    ‼️ DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้.
    ‼️ การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด.

    แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ✅ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้.
    ✅ ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ.
    ✅ ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI
    ✅ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย.
    ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI.
    ‼️ AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI. รายละเอียดการสอบสวน ✅ AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา. ✅ DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน. ✅ ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้. ‼️ DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้. ‼️ การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด. แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้ ✅ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้. ✅ ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ. ✅ ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI ✅ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย. ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI. ‼️ AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Italy regulator probes DeepSeek over false information risks
    ROME (Reuters) -Italy's antitrust watchdog AGCM said on Monday it had opened an investigation into Chinese artificial intelligence startup DeepSeek for allegedly failing to warn users that it may produce false information.
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • 🔗 PCI-SIG เปิดตัวมาตรฐาน PCIe-over-Fiber สำหรับการเชื่อมต่อแบบออปติคอล
    PCI-SIG ได้ประกาศ มาตรฐาน PCIe-over-Fiber ซึ่งเป็น โซลูชันการเชื่อมต่อแบบออปติคอลที่ใช้ PCIe Retimer เพื่อช่วยให้ สามารถขยายระยะการเชื่อมต่อและลดข้อจำกัดของสายทองแดง

    มาตรฐานใหม่นี้ เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่าง Switch, Root-Complex และ Endpoint โดยใช้ เทคโนโลยี Optical Aware Retimer

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - PCI-SIG เปิดตัว Optical Aware Retimer ECN สำหรับ PCIe 6.4 และ PCIe 7.0
    - ช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีออปติคอลร่วมกับ PCIe ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ขยายระยะการเชื่อมต่อระหว่าง racks และ pods ในศูนย์ข้อมูล
    - รองรับการ multiplexing และ data mapping ระหว่างสัญญาณไฟฟ้าและออปติคอล
    - ช่วยให้สามารถออกแบบระบบที่กะทัดรัดกว่าการใช้สายทองแดง

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และ AI
    PCIe-over-Fiber จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น AI/ML และ Cloud Computing

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนไปใช้การเชื่อมต่อแบบออปติคอลอาจต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่
    - ต้องติดตามว่า PCIe-over-Fiber จะสามารถเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์และ HPC ได้เร็วแค่ไหน
    - การบำรุงรักษาและติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกอาจมีต้นทุนสูงกว่าสายทองแดง
    - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปหรือไม่

    🚀 อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อแบบออปติคอล
    PCI-SIG กำลังผลักดันให้ PCIe-over-Fiber กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล โดย อาจช่วยให้สามารถขยายแบนด์วิดท์และลดข้อจำกัดของสายทองแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techpowerup.com/337962/pci-sig-announces-pcie-optical-interconnect-solution-pcie-over-fiber
    🔗 PCI-SIG เปิดตัวมาตรฐาน PCIe-over-Fiber สำหรับการเชื่อมต่อแบบออปติคอล PCI-SIG ได้ประกาศ มาตรฐาน PCIe-over-Fiber ซึ่งเป็น โซลูชันการเชื่อมต่อแบบออปติคอลที่ใช้ PCIe Retimer เพื่อช่วยให้ สามารถขยายระยะการเชื่อมต่อและลดข้อจำกัดของสายทองแดง มาตรฐานใหม่นี้ เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่าง Switch, Root-Complex และ Endpoint โดยใช้ เทคโนโลยี Optical Aware Retimer ✅ ข้อมูลจากข่าว - PCI-SIG เปิดตัว Optical Aware Retimer ECN สำหรับ PCIe 6.4 และ PCIe 7.0 - ช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีออปติคอลร่วมกับ PCIe ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ขยายระยะการเชื่อมต่อระหว่าง racks และ pods ในศูนย์ข้อมูล - รองรับการ multiplexing และ data mapping ระหว่างสัญญาณไฟฟ้าและออปติคอล - ช่วยให้สามารถออกแบบระบบที่กะทัดรัดกว่าการใช้สายทองแดง 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และ AI PCIe-over-Fiber จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น AI/ML และ Cloud Computing ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนไปใช้การเชื่อมต่อแบบออปติคอลอาจต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่ - ต้องติดตามว่า PCIe-over-Fiber จะสามารถเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์และ HPC ได้เร็วแค่ไหน - การบำรุงรักษาและติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกอาจมีต้นทุนสูงกว่าสายทองแดง - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปหรือไม่ 🚀 อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อแบบออปติคอล PCI-SIG กำลังผลักดันให้ PCIe-over-Fiber กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล โดย อาจช่วยให้สามารถขยายแบนด์วิดท์และลดข้อจำกัดของสายทองแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techpowerup.com/337962/pci-sig-announces-pcie-optical-interconnect-solution-pcie-over-fiber
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    PCI-SIG Announces PCIe Optical Interconnect Solution: PCIe-over-Fiber
    PCI-SIG today announced a new optical interconnect specification revision to enable higher PCI Express (PCIe) technology performance. The Optical Aware Retimer Engineering Change Notice (ECN) amends the PCIe 6.4 specification and the new PCIe 7.0 specification to include a PCIe retimer-based solutio...
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • 🌍 ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค

    Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์
    - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI
    - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น
    - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม
    - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

    🚀 อนาคตของตลาดชิป AI
    ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    🌍 ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ✅ ข้อมูลจากข่าว - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์ - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต 🚀 อนาคตของตลาดชิป AI ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ARM CEO joins Nvidia in stance against US export controls — Rene Haas says narrower access 'not good' for industry or consumer
    “If you narrow access to technology and you force other ecosystems to grow up, it’s not good."
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขน
    นายอำเภอเมืองลพบุรี รำวง
    ทั้งสองลีลา
    ไม่ธรรมดา
    ในงานแถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32
    ประจำปี 2568

    //////////////////////

    เพลงขึ้น ทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมารำวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนในอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร รำวงอย่างสนุกสนาน
    ในงาน แถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคมนี้
    วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ตลอดจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกัน แถลงข่าวเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ณ สวนกระท้อนผู้ใหญ่อนุวัชร โตสวัสดิ์ (ผู้ใหญ่หนึ่ง) หมู่ที่ 7 ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งในงานแถลงข่าวยังได้มีการเปิดตัว การแปรรูปผลผลิตกระท้อน มากมาย รวมถึง เมนูใหม่ การทำยำกระท้อนทอดกรอบ ซึ่งมีรสชาติที่อร่อย และ สีสันชวนน่ารับประทาน ให้แก่ผู้ร่วมงานได้ลิ้มรส ด้วย
    โดยมีนายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

    สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 32 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ภายในงานจะมีผลกระท้อนสด จากชาวสวนกระท้อน มาจำหน่าย หลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปุยฝ้าย พันธุ์อีล่า พันธุ์นิ่มนวล พันธุ์ทองกำมะหยี่ พันธุ์ทับทิม ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรี และยังมีกระท้อนแปรรูป ได้แก่ กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนกวน กระท้อนทรงเครื่อง มาวางจำหน่าย เพื่อให้เลือกซื้อหาไปรับประทาน และเป็นของฝากจากลพบุรี ให้ได้เลือก ชิม ช้อป ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “รำวงย้อนยุค” โดยชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การแสดงของชาติพันธุ์ การแสดงดนตรี ลูกทุ่ง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึง การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรี

    สำหรับ กระท้อนของลพบุรี เป็นกระท้อน ที่มีชื่อเสียงจะอยู่ใน 3 ตำบลของอำเภอเมืองลพบุรี ได้แก่ ตำบลตะลุง ตำบลโพธิ์เก้าต้น และตำบลงิ้วราย ของอำเภอเมืองลพบุรี มีลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด คือ เป็นพื้นที่น้ำไหลทรายมูล เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำลพบุรี เหมาะสมกับการผลิตกระท้อนคุณภาพดี จนกระท้อนจังหวัดลพบุรี ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ในชื่อ “กระท้อนตะลุง” จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจาก กระท้อนมีคุณภาพดี รสชาติหวาน อมเปรี้ยว อร่อย ถูกใจผู้บริโภค แตกต่างจากระท้อนที่อื่น ซึ่งจะมีผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม แต่จะมีผลผลิตมากสุดในเดือนมิถุนายน

    มีเกษตรกรผู้ปลูกกระท้อนจำนวน 154 ราย ในพื้นที่ 464 ไร่เศษ ทั้งนี้ กระท้อนลพบุรีได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI ) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 66 ราย ในพื้นที่ 271 ไร่ ซึ่งปีนี้จะมีผลผลิตออกมาจำหน่ายอยู่ที่ ประมาณ 425,090 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับ ราคากระท้อนสดจะจำหน่าย 35-100 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของผล โดยจะมีช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และชาวสวนกระท้อนเอง นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรีและริมทางถนนลพบุรี-บ้านแพรก ซึ่งกระท้อนลพบุรีมีลักษณะพิเศษคือ กลมแป้น เปลือกบาง รสหวาน เนื้อปุย หวานสะดุ้ง กระท้อนตะลุงลพบุรี

    ไฮไลท์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าว รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนนายอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร ลีลาไม่ธรรมดารำวง อย่างสุดสนานทำให้บรรดาผู้ร่วมแถลงข่าวต้องลุกมารำเช่นกันและจบการรำเสร็จลีลายำกระท้อนและหยิบหยิบช้อนป้อนให้
    นายอำเภอเมืองลพบุรีชิม
    นายอำเภอเมืองลพบุรีบอกว่าอร่อยจริงฝีมือขั้นเทพ
    รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขน นายอำเภอเมืองลพบุรี รำวง ทั้งสองลีลา ไม่ธรรมดา ในงานแถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ประจำปี 2568 ////////////////////// เพลงขึ้น ทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมารำวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนในอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร รำวงอย่างสนุกสนาน ในงาน แถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคมนี้ วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ตลอดจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกัน แถลงข่าวเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ณ สวนกระท้อนผู้ใหญ่อนุวัชร โตสวัสดิ์ (ผู้ใหญ่หนึ่ง) หมู่ที่ 7 ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งในงานแถลงข่าวยังได้มีการเปิดตัว การแปรรูปผลผลิตกระท้อน มากมาย รวมถึง เมนูใหม่ การทำยำกระท้อนทอดกรอบ ซึ่งมีรสชาติที่อร่อย และ สีสันชวนน่ารับประทาน ให้แก่ผู้ร่วมงานได้ลิ้มรส ด้วย โดยมีนายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 32 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ภายในงานจะมีผลกระท้อนสด จากชาวสวนกระท้อน มาจำหน่าย หลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปุยฝ้าย พันธุ์อีล่า พันธุ์นิ่มนวล พันธุ์ทองกำมะหยี่ พันธุ์ทับทิม ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรี และยังมีกระท้อนแปรรูป ได้แก่ กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนกวน กระท้อนทรงเครื่อง มาวางจำหน่าย เพื่อให้เลือกซื้อหาไปรับประทาน และเป็นของฝากจากลพบุรี ให้ได้เลือก ชิม ช้อป ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “รำวงย้อนยุค” โดยชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การแสดงของชาติพันธุ์ การแสดงดนตรี ลูกทุ่ง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึง การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรี สำหรับ กระท้อนของลพบุรี เป็นกระท้อน ที่มีชื่อเสียงจะอยู่ใน 3 ตำบลของอำเภอเมืองลพบุรี ได้แก่ ตำบลตะลุง ตำบลโพธิ์เก้าต้น และตำบลงิ้วราย ของอำเภอเมืองลพบุรี มีลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด คือ เป็นพื้นที่น้ำไหลทรายมูล เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำลพบุรี เหมาะสมกับการผลิตกระท้อนคุณภาพดี จนกระท้อนจังหวัดลพบุรี ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ในชื่อ “กระท้อนตะลุง” จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจาก กระท้อนมีคุณภาพดี รสชาติหวาน อมเปรี้ยว อร่อย ถูกใจผู้บริโภค แตกต่างจากระท้อนที่อื่น ซึ่งจะมีผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม แต่จะมีผลผลิตมากสุดในเดือนมิถุนายน มีเกษตรกรผู้ปลูกกระท้อนจำนวน 154 ราย ในพื้นที่ 464 ไร่เศษ ทั้งนี้ กระท้อนลพบุรีได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI ) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 66 ราย ในพื้นที่ 271 ไร่ ซึ่งปีนี้จะมีผลผลิตออกมาจำหน่ายอยู่ที่ ประมาณ 425,090 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับ ราคากระท้อนสดจะจำหน่าย 35-100 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของผล โดยจะมีช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และชาวสวนกระท้อนเอง นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรีและริมทางถนนลพบุรี-บ้านแพรก ซึ่งกระท้อนลพบุรีมีลักษณะพิเศษคือ กลมแป้น เปลือกบาง รสหวาน เนื้อปุย หวานสะดุ้ง กระท้อนตะลุงลพบุรี ไฮไลท์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าว รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนนายอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร ลีลาไม่ธรรมดารำวง อย่างสุดสนานทำให้บรรดาผู้ร่วมแถลงข่าวต้องลุกมารำเช่นกันและจบการรำเสร็จลีลายำกระท้อนและหยิบหยิบช้อนป้อนให้ นายอำเภอเมืองลพบุรีชิม นายอำเภอเมืองลพบุรีบอกว่าอร่อยจริงฝีมือขั้นเทพ
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 0 Reviews
  • กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย

    นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

    “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923

    #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย • นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป • “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923 • #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • 🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
    หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง

    B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน

    แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs
    - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs
    - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU
    - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร
    - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน
    - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • 🔧 ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย
    ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้

    ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย

    ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย
    - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages
    - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด
    - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย
    - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
    - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่

    🔎 ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม
    การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

    หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    🔧 ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ 🔎 ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • Marvell Technology คาดการณ์ว่ารายได้ไตรมาสที่สองจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป AI แบบกำหนดเองที่เพิ่มขึ้นในศูนย์ข้อมูล

    Marvell เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาด AI โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscalers ที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับงานประมวลผล AI นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับประเทศและตลาดเกิดใหม่

    นักวิเคราะห์จาก CFRA Research ระบุว่า ธุรกิจชิปแบบกำหนดเองจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Marvell คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.98 พันล้านเหรียญ
    - รายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูลคิดเป็น 76% ของรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 1.44 พันล้านเหรียญ ในไตรมาสแรก
    - ธุรกิจเครือข่ายสำหรับองค์กรและผู้ให้บริการโทรคมนาคมเริ่มฟื้นตัว หลังจากช่วงปรับลดสินค้าคงคลัง
    - Marvell เลื่อนการประชุมนักลงทุนออกไป เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ตลาดผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ โดยรายได้ลดลง 29% เนื่องจากความต้องการเกมที่ลดลงตามฤดูกาล
    - กลุ่มอุตสาหกรรมก็เผชิญกับความท้าทาย โดยรายได้ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
    - หุ้นของ Marvell ลดลงประมาณ 2% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด แม้ว่าจะมีแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้น
    - ต้องจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับชิปแบบกำหนดเองในวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งอาจเปิดเผยโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด

    Marvell กำลังใช้ประโยชน์จากกระแส AI เพื่อขยายธุรกิจชิปแบบกำหนดเอง แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดผู้บริโภคและอุตสาหกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/chipmaker-marvell-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates
    Marvell Technology คาดการณ์ว่ารายได้ไตรมาสที่สองจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป AI แบบกำหนดเองที่เพิ่มขึ้นในศูนย์ข้อมูล Marvell เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาด AI โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscalers ที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับงานประมวลผล AI นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับประเทศและตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์จาก CFRA Research ระบุว่า ธุรกิจชิปแบบกำหนดเองจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า ✅ ข้อมูลจากข่าว - Marvell คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.98 พันล้านเหรียญ - รายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูลคิดเป็น 76% ของรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 1.44 พันล้านเหรียญ ในไตรมาสแรก - ธุรกิจเครือข่ายสำหรับองค์กรและผู้ให้บริการโทรคมนาคมเริ่มฟื้นตัว หลังจากช่วงปรับลดสินค้าคงคลัง - Marvell เลื่อนการประชุมนักลงทุนออกไป เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ตลาดผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ โดยรายได้ลดลง 29% เนื่องจากความต้องการเกมที่ลดลงตามฤดูกาล - กลุ่มอุตสาหกรรมก็เผชิญกับความท้าทาย โดยรายได้ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า - หุ้นของ Marvell ลดลงประมาณ 2% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด แม้ว่าจะมีแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้น - ต้องจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับชิปแบบกำหนดเองในวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งอาจเปิดเผยโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด Marvell กำลังใช้ประโยชน์จากกระแส AI เพื่อขยายธุรกิจชิปแบบกำหนดเอง แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดผู้บริโภคและอุตสาหกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/chipmaker-marvell-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Marvell forecasts second-quarter revenue above estimates on strong demand for custom AI chips
    (Reuters) -Marvell Technology forecast second-quarter revenue above Wall Street estimates on Thursday, betting on strong demand for its custom chips powering artificial intelligence workloads in data centers.
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • มุสลิมอินโดฯ ช็อก! ร้านไก่ทอดดังเพิ่งเผยเมนูไม่ฮาลาล

    ร้านไก่ทอดชื่อดังในอินโดนีเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลฯ ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากกว่า 80% เมื่อร้านไก่ทอดชื่อดัง อะยัม โกเรง วิดูรัน (AYAM GORENG WIDURAN) ในเมืองซูราการ์ตา (โซโล) จังหวัดชวาเตงกะห์ กำลังถูกชาวมุสลิมแสดงความไม่พอใจ หลังบัญชีผู้ใช้เธรด (Thread) ที่ชื่อ @pedalranger สงสัยว่าเกล็ดกรุบกรอบ หรือเกรอเมอร์ส (Kremes) ที่โรยบนไก่ทอด ทอดด้วยไขมันหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามปรุงอาหาร ทั้งที่นับตั้งแต่เปิดกิจการในปี 2516 หรือกว่า 50 ปีก่อน ไม่เคยบอกให้สาธารณชนรับรู้ ภายหลังทางร้านจึงใช้วิธีติดป้ายว่า "KREMES NON HALAL" แทน

    เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมรู้สึกว่าเหมือนถูกหลอก เพราะร้านอาหารไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าเมนูภายในร้านไม่ใช่ฮาลาล นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตบางคนไปขุดภาพร้านใน Google Street View แล้วพบว่าเคยขึ้นเครื่องหมายฮาลาลบนป้ายแบนเนอร์ในอดีตอีกด้วย ร้อนถึงฝ่ายบริหารของร้านออกมาขอโทษผ่านอินสตาแกรม @ayamgorengwiduransolo เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ว่า ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่ใช่ฮาลาลอย่างชัดเจนในร้านค้าและโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของร้านทุกแห่ง หวังว่าสาธารณชนจะให้พื้นที่แก่ทางร้านในการแก้ไขและปรับปรุงทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ขณะที่พนักงานร้านยืนยันว่าเมนูที่มีปัญหามีเพียงไก่ทอดเกรอเมอร์สเท่านั้น เมนูอื่นใช้น้ำมันพืชปกติ

    ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองโซโล เรสปาตี อาร์ดี สั่งปิดร้านอาหารชั่วคราว ยอมรับว่าผิดหวังที่ร้านอาหารในตำนานแห่งนี้ไม่ได้ติดป้าย NON HALAL มานาน ทั้งที่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมจำนวนมากซื้อไก่ทอดที่ร้านแห่งนี้ และย้ำว่าการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนแกนนำกลุ่มด้านสิทธิผู้บริโภคอินโดนีเซีย Forum Konsumen Berdaya Indonesia (FKBI) ตูลุส อาบาดี ระบุว่า คำขอโทษดังกล่าวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่ทางร้านทำมานานเป็นสิบปี เป็นการกระทำโดยจงใจ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย อีกทั้งทางร้านละเมิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายอาหาร และกฎหมายการรับประกันผลิตภัณฑ์ฮาลาล ซึ่งจัดอยู่ในประเภทการฉ้อโกง โดยเรียกร้องให้ดำเนินคดีและลงโทษทางปกครอง

    สำหรับเกรอเมอร์ส ภาษาอินโดนีเซีย ตรงกับคำว่า Crunch (ครันช์) เป็นเกล็ดที่ใช้โรยบนไก่ทอด ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง ผสมแป้งข้าวเจ้า ไข่แดง และซอสที่ใช้หมักไก่ทอดแบบอินโดนีเซีย เติมผงฟูลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยใช้มือวักส่วนผสมโรยลงบนน้ำมันให้กลายเป็นเกล็ด ก่อนซับน้ำมันแล้วนำไปโรยหน้าบนจานไก่ทอด ข้าว และแตงกวาหั่น

    #Newskit
    มุสลิมอินโดฯ ช็อก! ร้านไก่ทอดดังเพิ่งเผยเมนูไม่ฮาลาล ร้านไก่ทอดชื่อดังในอินโดนีเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลฯ ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากกว่า 80% เมื่อร้านไก่ทอดชื่อดัง อะยัม โกเรง วิดูรัน (AYAM GORENG WIDURAN) ในเมืองซูราการ์ตา (โซโล) จังหวัดชวาเตงกะห์ กำลังถูกชาวมุสลิมแสดงความไม่พอใจ หลังบัญชีผู้ใช้เธรด (Thread) ที่ชื่อ @pedalranger สงสัยว่าเกล็ดกรุบกรอบ หรือเกรอเมอร์ส (Kremes) ที่โรยบนไก่ทอด ทอดด้วยไขมันหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามปรุงอาหาร ทั้งที่นับตั้งแต่เปิดกิจการในปี 2516 หรือกว่า 50 ปีก่อน ไม่เคยบอกให้สาธารณชนรับรู้ ภายหลังทางร้านจึงใช้วิธีติดป้ายว่า "KREMES NON HALAL" แทน เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมรู้สึกว่าเหมือนถูกหลอก เพราะร้านอาหารไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าเมนูภายในร้านไม่ใช่ฮาลาล นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตบางคนไปขุดภาพร้านใน Google Street View แล้วพบว่าเคยขึ้นเครื่องหมายฮาลาลบนป้ายแบนเนอร์ในอดีตอีกด้วย ร้อนถึงฝ่ายบริหารของร้านออกมาขอโทษผ่านอินสตาแกรม @ayamgorengwiduransolo เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ว่า ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่ใช่ฮาลาลอย่างชัดเจนในร้านค้าและโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของร้านทุกแห่ง หวังว่าสาธารณชนจะให้พื้นที่แก่ทางร้านในการแก้ไขและปรับปรุงทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ขณะที่พนักงานร้านยืนยันว่าเมนูที่มีปัญหามีเพียงไก่ทอดเกรอเมอร์สเท่านั้น เมนูอื่นใช้น้ำมันพืชปกติ ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองโซโล เรสปาตี อาร์ดี สั่งปิดร้านอาหารชั่วคราว ยอมรับว่าผิดหวังที่ร้านอาหารในตำนานแห่งนี้ไม่ได้ติดป้าย NON HALAL มานาน ทั้งที่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมจำนวนมากซื้อไก่ทอดที่ร้านแห่งนี้ และย้ำว่าการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนแกนนำกลุ่มด้านสิทธิผู้บริโภคอินโดนีเซีย Forum Konsumen Berdaya Indonesia (FKBI) ตูลุส อาบาดี ระบุว่า คำขอโทษดังกล่าวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่ทางร้านทำมานานเป็นสิบปี เป็นการกระทำโดยจงใจ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย อีกทั้งทางร้านละเมิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายอาหาร และกฎหมายการรับประกันผลิตภัณฑ์ฮาลาล ซึ่งจัดอยู่ในประเภทการฉ้อโกง โดยเรียกร้องให้ดำเนินคดีและลงโทษทางปกครอง สำหรับเกรอเมอร์ส ภาษาอินโดนีเซีย ตรงกับคำว่า Crunch (ครันช์) เป็นเกล็ดที่ใช้โรยบนไก่ทอด ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง ผสมแป้งข้าวเจ้า ไข่แดง และซอสที่ใช้หมักไก่ทอดแบบอินโดนีเซีย เติมผงฟูลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยใช้มือวักส่วนผสมโรยลงบนน้ำมันให้กลายเป็นเกล็ด ก่อนซับน้ำมันแล้วนำไปโรยหน้าบนจานไก่ทอด ข้าว และแตงกวาหั่น #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 468 Views 0 Reviews
  • นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน แปรรูป
    เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว เทศกาลงานกระท้อน ประจำปี 68 ปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี

    ////////////////////

    นายอำเภอเมืองลพบุรีเป็นห่วงแม่ค้า ลุยเยี่ยม
    แม่ค้าขายกระท้อน ในบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี
    เป็นสถานที่จัดงานกระท้อนหวาน
    ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68

    เมื่อเวลา 08.00 น
    ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568
    นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี
    เยี่ยมแม่ค้าขายกระท้อนที่เป็นผลและแปรรูปแล้ว เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและเป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์เทศกาลงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68
    ณ สนามหน้า
    ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี

    นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ได้ไปเยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน มีชาวสวนนำมาจำหน่าย พร้อมทั้งมอบธงให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นอาหารปลอดภัยและเป็นกระท้อนที่มาจากสวนโดยตรง
    สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรีในครั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย

    นอกจากนี้ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระท้อนหวานเมืองลพบุรี การแปรรูปกระท้อน การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรีอีกมากมายมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรี อีกด้วย

    โดยนายอำเภอเมืองลพบุรี
    กล่าวว่า “กระท้อนตะลุง” อำเภอเมืองลพบุรี เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมจากตลาดมากขึ้นทุกปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดี สิ่งสำคัญมาจากการจัดงานเพื่อเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ผลผลิตของกระท้อน ทำให้กระท้อนลพบุรีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่างแพร่หลาย สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมงาน และจับจ่ายซื้อหาสินค้าต่างๆ ภายในงานได้อย่างครบครัน สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากและขอความร่วมมือ พี่น้องเกษตรกรคือ เรื่องคุณภาพกระท้อน ความปลอดภัยของผู้บริโภค และไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ซื้อ ให้คิดเสมอว่า ผู้ผลิตอยู่รอด ผู้บริโภคปลอดภัยจากการบริโภค ผลผลิตไร้สารเคมีต่างๆ และส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น

    รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดูโดดเด่น น่าซื้อหา เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญ “กระท้อนตะลุง” ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดลพบุรี ซึ่งจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของประเทศไทย โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนกระท้อนตะลุง เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้า GI แล้ว เพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาชื่อเสียงให้กระท้อนตะลุง ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อกระท้อนตะลุงที่มีคุณภาพได้ง่าย และมั่นใจยิ่งขึ้นอีกด้วย
    นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน แปรรูป เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว เทศกาลงานกระท้อน ประจำปี 68 ปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี //////////////////// นายอำเภอเมืองลพบุรีเป็นห่วงแม่ค้า ลุยเยี่ยม แม่ค้าขายกระท้อน ในบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี เป็นสถานที่จัดงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68 เมื่อเวลา 08.00 น ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมแม่ค้าขายกระท้อนที่เป็นผลและแปรรูปแล้ว เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและเป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์เทศกาลงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68 ณ สนามหน้า ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ได้ไปเยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน มีชาวสวนนำมาจำหน่าย พร้อมทั้งมอบธงให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นอาหารปลอดภัยและเป็นกระท้อนที่มาจากสวนโดยตรง สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรีในครั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระท้อนหวานเมืองลพบุรี การแปรรูปกระท้อน การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรีอีกมากมายมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรี อีกด้วย โดยนายอำเภอเมืองลพบุรี กล่าวว่า “กระท้อนตะลุง” อำเภอเมืองลพบุรี เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมจากตลาดมากขึ้นทุกปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดี สิ่งสำคัญมาจากการจัดงานเพื่อเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ผลผลิตของกระท้อน ทำให้กระท้อนลพบุรีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่างแพร่หลาย สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมงาน และจับจ่ายซื้อหาสินค้าต่างๆ ภายในงานได้อย่างครบครัน สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากและขอความร่วมมือ พี่น้องเกษตรกรคือ เรื่องคุณภาพกระท้อน ความปลอดภัยของผู้บริโภค และไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ซื้อ ให้คิดเสมอว่า ผู้ผลิตอยู่รอด ผู้บริโภคปลอดภัยจากการบริโภค ผลผลิตไร้สารเคมีต่างๆ และส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดูโดดเด่น น่าซื้อหา เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญ “กระท้อนตะลุง” ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดลพบุรี ซึ่งจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของประเทศไทย โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนกระท้อนตะลุง เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้า GI แล้ว เพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาชื่อเสียงให้กระท้อนตะลุง ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อกระท้อนตะลุงที่มีคุณภาพได้ง่าย และมั่นใจยิ่งขึ้นอีกด้วย
    0 Comments 0 Shares 311 Views 10 0 Reviews
  • Instagram กำลังใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อฝึก AI ของ Meta – นี่คือโอกาสสุดท้ายในการปฏิเสธ

    Meta เตรียมเริ่มฝึกระบบ AI ใหม่ของตนโดยใช้ข้อมูลสาธารณะจากผู้ใช้ Instagram ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2025 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลผู้ใช้ของ Meta
    ✅ Meta AI จะใช้ข้อมูลสาธารณะจาก Instagram เพื่อฝึกโมเดล AI
    - รวมถึง โพสต์, คำบรรยายภาพ และข้อมูลโปรไฟล์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    ✅ ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้
    - ต้อง กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และล็อกอินเข้าสู่บัญชี Instagram

    ✅ Meta ยืนยันว่าจะเคารพคำร้องขอของผู้ใช้ที่ยื่นแบบฟอร์มภายในกำหนด
    - เมื่อได้รับการอนุมัติ ผู้ใช้จะได้รับอีเมลยืนยันว่า Meta จะไม่ใช้ข้อมูลของตน

    ✅ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคในยุโรประบุว่าแนวทางของ Meta อาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    - มีการดำเนินคดีในศาลยุโรปเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างพิจารณา

    ✅ Facebook มีแบบฟอร์มปฏิเสธการใช้ข้อมูลเช่นกัน แต่ต้องให้ข้อมูลมากกว่า Instagram
    - ผู้ใช้ต้อง กรอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตน

    ✅ WhatsApp ไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้ข้อมูล AI ยกเว้นกรณีที่ผู้ใช้สื่อสารกับ Meta AI
    - หากผู้ใช้ เพิ่ม Meta AI ในแชทกลุ่มหรือใช้ฟีเจอร์ AI บน WhatsApp ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/last-chance-to-stop-instagram-training-meta039s-ai-with-your-data
    Instagram กำลังใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อฝึก AI ของ Meta – นี่คือโอกาสสุดท้ายในการปฏิเสธ Meta เตรียมเริ่มฝึกระบบ AI ใหม่ของตนโดยใช้ข้อมูลสาธารณะจากผู้ใช้ Instagram ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2025 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลผู้ใช้ของ Meta ✅ Meta AI จะใช้ข้อมูลสาธารณะจาก Instagram เพื่อฝึกโมเดล AI - รวมถึง โพสต์, คำบรรยายภาพ และข้อมูลโปรไฟล์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ✅ ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ - ต้อง กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และล็อกอินเข้าสู่บัญชี Instagram ✅ Meta ยืนยันว่าจะเคารพคำร้องขอของผู้ใช้ที่ยื่นแบบฟอร์มภายในกำหนด - เมื่อได้รับการอนุมัติ ผู้ใช้จะได้รับอีเมลยืนยันว่า Meta จะไม่ใช้ข้อมูลของตน ✅ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคในยุโรประบุว่าแนวทางของ Meta อาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - มีการดำเนินคดีในศาลยุโรปเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างพิจารณา ✅ Facebook มีแบบฟอร์มปฏิเสธการใช้ข้อมูลเช่นกัน แต่ต้องให้ข้อมูลมากกว่า Instagram - ผู้ใช้ต้อง กรอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตน ✅ WhatsApp ไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้ข้อมูล AI ยกเว้นกรณีที่ผู้ใช้สื่อสารกับ Meta AI - หากผู้ใช้ เพิ่ม Meta AI ในแชทกลุ่มหรือใช้ฟีเจอร์ AI บน WhatsApp ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/last-chance-to-stop-instagram-training-meta039s-ai-with-your-data
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Last chance to stop Instagram training Meta's AI with your data
    On May 27 at the latest, Meta will begin training its new artificial intelligence system, Meta AI, using public data from its users.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้:
    1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0
    - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร
    - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62%
    - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่
    2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่
    - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร
    - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories
    3️⃣ Dell Project Lightning
    - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน
    - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search
    4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements
    - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า
    5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่
    - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge
    - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ
    6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics
    - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics
    7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services
    - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568
    8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่
    - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort
    - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision
    - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi
    9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates
    - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ
    ℹ️ℹ️ หมายเหตุ ℹ️ℹ️
    - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน
    - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์
    - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน

    งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้: 1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0 - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62% - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่ 2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่ - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories 3️⃣ Dell Project Lightning - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search 4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า 5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่ - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ 6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics 7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568 8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่ - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi 9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ ℹ️ℹ️ หมายเหตุ ℹ️ℹ️ - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์ - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน
    0 Comments 0 Shares 426 Views 0 Reviews
  • สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน:

    1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA
    • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด.
    • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI.
    • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI.
    • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม.

    2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel
    • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท.
    • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น.
    • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ.

    3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD
    • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์.
    • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz.
    • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่.

    4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI
    • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า.
    • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า.
    • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU.

    5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS
    • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์.
    • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม.
    • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1.

    6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek
    • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร.
    • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud.

    7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston
    • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก.
    • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย.
    • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน.

    8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE
    • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI.
    • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล.
    • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing.

    9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro
    • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC.
    • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล.

    🔟 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
    • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ.
    • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่.
    • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน.
    • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน.
    • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ.
    • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft.

    💯 สรุป 💯
    งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    สรุปงาน Computex 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ภายใต้ธีม “AI Next” ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เน้น AI, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีรุ่นถัดไป และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต นี่คือสรุปผลิตภัณฑ์ใหม่เด่นๆ จากงาน: 1️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก NVIDIA • GeForce RTX 50 Series: การ์ดจอรุ่นใหม่ เช่น RTX 5060, 5070 Ti, 5080, และ 5090 เน้นประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมและงาน AI มีฟีเจอร์ DLSS 4 และ Multi Frame Generation เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด. • DGX Spark และ DGX Station: อุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI. • NVLink Fusion: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI. • AI Infrastructure: NVIDIA ผลักดันวิสัยทัศน์โรงงาน AI และการพัฒนา agentic AI รวมถึง physical AI สำหรับหุ่นยนต์และโทรคมนาคม. 2️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Intel • Core Ultra 200V Series Processors: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI, ความปลอดภัย และความเร็วสำหรับงานทุกประเภท. • Xeon 6 Processors และ Gaudi 3 AI Accelerators: ออกแบบสำหรับศูนย์ข้อมูลสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น. • Intel Arc Pro B50 และ B60: การ์ดกราฟิกสำหรับงาน AI และเวิร์คสเตชันระดับมืออาชีพ. 3️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก AMD • Radeon RX 9060 XT: การ์ดจอรุ่นใหม่ ใช้สถาปัตยกรรม Navi 44 มีหน่วยความจำ GDDR6 สูงสุด 16GB และเพิ่มประสิทธิภาพ Ray Tracing 2 เท่า ราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์. • Ryzen Threadripper 9000 Series: CPU สำหรับเดสก์ท็อปและเวิร์คสเตชัน รุ่นท็อป Ryzen 9 9995WX มี 96 คอร์ 192 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.4GHz. • Ryzen AI Max: CPU สำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์ เพิ่มประสิทธิภาพและแบตเตอรี่. 4️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MSI • Claw A8 BZ2EM และ Claw 7 A2HM: เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD มีรุ่น Polar Tempest Edition สีขาวพร้อมสตอเรจเพิ่มเป็น 2 เท่า. • QD-OLED Monitor และ MEG Vision X AI PC: จอมอนิเตอร์และพีซีที่ผสาน AI เช่น AI Care Sensor และ AI Navigator เพื่อป้องกัน burn-in และปรับแต่งการตั้งค่า. • Titan 18 HX Dragon Edition: เดสก์ท็อปพรีเมียมพร้อมจอสัมผัส 13 นิ้วที่ด้านหน้า รองรับ RTX 5090 และ Intel Core Ultra 9 CPU. 5️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก ASUS • ROG Ally X และ ROG Ally 2 (คาดการณ์): เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์รุ่นใหม่ ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen Z2 Extreme และอาจมี Windows รุ่นปรับแต่งให้เหมาะกับแฮนด์เฮลด์. • ProArt RTX 5080: การ์ดจอสำหรับครีเอเตอร์ มีพอร์ต USB-C และสล็อต M.2 SSD พร้อมดีไซน์ไม้เทียม. • ROG Bulwark Dock: ด็อก 7-in-1 สำหรับแฮนด์เฮลด์ รองรับ 4K 144Hz ผ่าน HDMI 2.1. 6️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก MediaTek • AI Solutions: นำเสนอวิสัยทัศน์ “AI for Everyone: From Edge to Cloud” รวมถึง AI ในสมาร์ทโฟน บ้านอัจฉริยะ รถยนต์ และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ผสานกับ NVIDIA สำหรับโซลูชัน AI ครบวงจร. • Smart Auto Central และ Hybrid AI Computing: โซลูชันสำหรับยานยนต์และการประมวลผลแบบผสมผสานระหว่าง edge และ cloud. 7️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Kingston • XS1000 และ XS2000 SSD: SSD แบบพกพาดีไซน์ใหม่ เน้นความเร็วและพกพาสะดวก. • DataTraveler Exodia S USB Flash Drive: แฟลชไดรฟ์ USB 3.2 Gen 1 ดีไซน์เพรียวบาง ใช้งานง่าย. • Future City Showcase: นำเสนอโซลูชันหน่วยความจำสำหรับ AI, หุ่นยนต์, เกมมิ่ง และอุตสาหกรรมการบิน. 8️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก GIGABYTE • AORUS MASTER 16 AI PC: ได้รับรางวัล COMPUTEX 2025 Best Choice Award เน้นประสิทธิภาพ AI. • GIGAPOD และ AIOps Platform: โซลูชันซูเปอร์คอมพิวติ้งสำหรับ AI และศูนย์ข้อมูล. • BRIX AI Mini-PCs: มินิพีซีที่ใช้ AMD Ryzen 7 PRO และ Intel Core Ultra CPU พร้อม NPU สำหรับ edge computing. 9️⃣ ผลิตภัณฑ์จาก Supermicro • High-Performance Server Architectures: เซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและโซลูชันระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับ AI และ HPC. • Green Computing Initiatives: เทคโนโลยีประหยัดพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล. 🔟 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ • Acer Predator Triton 14 AI: แล็ปท็อปเกมมิ่งดีไซน์พรีเมียม ใช้ RTX 50-series และมีสารเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ. • Acer PD243Y E: จอมอนิเตอร์พกพาแบบ dual-screen สำหรับการทำงานนอกสถานที่. • Cherry MX Honey Switches: สวิตช์คีย์บอร์ดที่ให้ความรู้สึกแบบเมคานิคอลแต่ลดเสียงรบกวน. • Phison aiDAPTIV+: โซลูชันสำหรับการฝึก LLM ในสถานที่โดยไม่ต้องใช้ GPU จำนวนมาก เน้นความเป็นส่วนตัวและประหยัดต้นทุน. • V-Color Xfinity Manta DDR5 RAM: RAM พร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลเช่น ความเร็วและแรงดันไฟ. • Thermaltake MineCube 360: ระบบระบายความร้อน AIO พร้อมจอ 720x720 แสดงภาพ Minecraft. 💯 สรุป 💯 งาน Computex 2025 เน้นหนักไปที่ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่การ์ดจอ, CPU, เกมมิ่งแฮนด์เฮลด์, แล็ปท็อป, ไปจนถึงโซลูชันสำหรับศูนย์ข้อมูลและ edge computing นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการเล่นเกม, การประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ผู้ผลิตอย่าง NVIDIA, Intel, AMD, MSI, ASUS, MediaTek และ Kingston ต่างนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ
    0 Comments 0 Shares 509 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่ผสาน AI ในช่วงปลายปี 2026

    Apple กำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะสำหรับผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเทศกาลปลายปี 2026 โดยแว่นตานี้จะมี ไมโครโฟน, ลำโพง และกล้อง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ โต้ตอบกับ Siri และ Apple Intelligence ผ่านเสียง, ถ่ายภาพและวิดีโอ, ฟังเพลง, รับสายโทรศัพท์ และนำทางแบบเรียลไทม์

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแว่นตาอัจฉริยะของ Apple
    ✅ Apple กำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะที่สามารถโต้ตอบกับ Siri และ Apple Intelligence
    - รองรับ การสั่งงานด้วยเสียง, ถ่ายภาพ, ฟังเพลง และนำทาง

    ✅ แว่นตาจะมีไมโครโฟน, ลำโพง และกล้องในตัว
    - ช่วยให้ สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนตลอดเวลา

    ✅ Apple ตั้งเป้าพัฒนาแว่นตา AR ในอนาคต แต่รุ่นแรกจะยังไม่มีฟีเจอร์ AR เต็มรูปแบบ
    - เป็น ก้าวแรกสู่แว่นตา AR ที่สมบูรณ์แบบในอนาคต

    ✅ Apple เปรียบเทียบแว่นตาของตนกับ Meta Ray-Ban Smart Glasses แต่ระบุว่ามีคุณภาพดีกว่า
    - Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่มีราคาเริ่มต้นที่ $299

    ✅ Apple ตัดสินใจไม่พัฒนา Apple Watch ที่มีกล้องในตัว
    - เนื่องจาก แนวคิดนี้ไม่เคยได้รับความนิยมในตลาดสมาร์ทวอทช์

    https://www.techspot.com/news/108039-apple-ai-infused-smart-glasses-arrive-late-2026.html
    Apple เตรียมเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่ผสาน AI ในช่วงปลายปี 2026 Apple กำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะสำหรับผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเทศกาลปลายปี 2026 โดยแว่นตานี้จะมี ไมโครโฟน, ลำโพง และกล้อง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ โต้ตอบกับ Siri และ Apple Intelligence ผ่านเสียง, ถ่ายภาพและวิดีโอ, ฟังเพลง, รับสายโทรศัพท์ และนำทางแบบเรียลไทม์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแว่นตาอัจฉริยะของ Apple ✅ Apple กำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะที่สามารถโต้ตอบกับ Siri และ Apple Intelligence - รองรับ การสั่งงานด้วยเสียง, ถ่ายภาพ, ฟังเพลง และนำทาง ✅ แว่นตาจะมีไมโครโฟน, ลำโพง และกล้องในตัว - ช่วยให้ สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนตลอดเวลา ✅ Apple ตั้งเป้าพัฒนาแว่นตา AR ในอนาคต แต่รุ่นแรกจะยังไม่มีฟีเจอร์ AR เต็มรูปแบบ - เป็น ก้าวแรกสู่แว่นตา AR ที่สมบูรณ์แบบในอนาคต ✅ Apple เปรียบเทียบแว่นตาของตนกับ Meta Ray-Ban Smart Glasses แต่ระบุว่ามีคุณภาพดีกว่า - Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่มีราคาเริ่มต้นที่ $299 ✅ Apple ตัดสินใจไม่พัฒนา Apple Watch ที่มีกล้องในตัว - เนื่องจาก แนวคิดนี้ไม่เคยได้รับความนิยมในตลาดสมาร์ทวอทช์ https://www.techspot.com/news/108039-apple-ai-infused-smart-glasses-arrive-late-2026.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple's AI-infused smart glasses to arrive in late 2026
    With launch just over a year and a half away, one could safely assume that Apple is deep into the development phase. Even if it took through...
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณขนาดใหญ่ที่เรียกว่า"One Big Beautiful Bill" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของวาระที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ร่างกฎหมายยาว 1,116 หน้านี้มีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่การลดภาษี การปรับโครงสร้างสวัสดิการสังคม ไปจนถึงการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงสาระสำคัญของร่างกฎหมายนโยบายด้านภาษีแกนหลักของร่างกฎหมายคือการขยายระยะเวลาTax Cuts and Jobs Act (TCJA) ปี 2017 ให้มีผลถาวร ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้มีรายได้สูงและชนชั้นมั่งคั่ง นอกจากนี้ยังรวมถึงการยกเลิกภาษีเงินทิปสำหรับพนักงานในอุตสาหกรรมบริการและพนักงานความงาม รวมทั้งการยกเลิกภาษีค่าตอบแทนล่วงเวลา ซึ่งทั้งสองมาตรการนี้จะมีผลชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2028ร่างกฎหมายยังรวมถึงการเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีState and Local Tax Deduction (SALT)จาก 10,000 ดอลลาร์ (330,000 บาท) เป็น 40,000 ดอลลาร์ (1.32 ล้านบาท) ต่อครัวเรือนสำหรับรายได้ถึง 500,000 ดอลลาร์ (16.5 ล้านบาท) การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลจากแรงกดดันจากสมาชิกรีพับลิกันในรัฐที่มีภาษีรัฐและท้องถิ่นสูง เช่น นิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประชาชนในรัฐเหล่านี้ต้องจ่ายภาษีรัฐและภาษีทรัพย์สินจำนวนมากมาตรการภาษีอื่นๆ ได้แก่ การยกเลิกภาษี 200 ดอลลาร์ (6,600 บาท) สำหรับเครื่องเก็บเสียงปืน การเพิ่มเครดิตภาษีเด็กจาก 2,000 ดอลลาร์เป็น 2,500 ดอลลาร์ (82,500 บาท) และการอนุญาตให้หักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์สูงสุด 10,000 ดอลลาร์สำหรับรถที่ประกอบในสหรัฐฯโครงการ "Trump Accounts"ร่างกฎหมายสร้างบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็ก 1,000 ดอลลาร์ (33,000บาท) ที่เรียกว่า"Trump Accounts" (เดิมชื่อ "MAGA Accounts") รัฐบาลกลางจะสมทบ 1,000 ดอลลาร์ให้เด็กที่เกิดระหว่างปี 2024-2028 พ่อแม่สามารถสมทบเพิ่มได้ปีละ 5,000 ดอลลาร์ (165,000 บาท) เงินในบัญชีสามารถใช้สำหรับการศึกษาต่อ การฝึกอาชีพ และการซื้อบ้านหลังแรกเมื่อบุตรอายุครบ 18 ปีการปฏิรูป Medicaid และ SNAPร่างกฎหมายเสนอการปฏิรูป Medicaid ของรัฐบาลไบเดนอย่างถอนรากถอนโคน โดยกำหนดให้ผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีอายุ 18-65 ปีที่ไม่มีบุตรต่ำกว่า 7 ปีต้องทำงานเพื่อได้รับสวัสดิการ นอกจากนี้ยังห้ามใช้ Medicaid สำหรับการรักษาเปลี่ยนเพศและตัดงบประมาณสำหรับรัฐที่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพผิดกฎหมายการปฏิรูปSupplemental Nutrition Assistance Program (SNAP) จะขยายเงื่อนไขการทำงานให้ครอบคลุมผู้ใหญ่อายุ 18-64 ปี และเปลี่ยนการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐต่างๆ โดยในปัจจุบันรัฐบาลกลางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการให้ผลประโยชน์ 100% และค่าดำเนินการ 50% แต่ร่างกฎหมายใหม่จะให้รัฐต่างๆ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการให้ผลประโยชน์ 5% และค่าดำเนินการ 75% โปรแกรมนี้ให้ความช่วยเหลือคนอเมริกันกว่า 42 ล้านคนงบประมาณด้านความมั่นคงร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณ 4.65 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.53 ล้านล้านบาท) สำหรับกำแพงชายแดน 4.1 พันล้านดอลลาร์ (135,000 ล้านบาท) สำหรับการจ้างเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ (66,000 ล้านบาท) สำหรับเงินรางวัลจูงใจให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาทำงานใหม่และคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปการยุติโครงการพลังงานสะอาดร่างกฎหมายจะยุติเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาดหลายรายการ โดยกำหนดให้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ต้องเริ่มก่อสร้างภายใน 60 วันหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้และเปิดให้บริการภายในสิ้นปี 2028 ยกเว้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีเวลาถึงสิ้นปี 2028โอกาสการผ่านกฎหมายและขั้นตอนที่เหลือร่างกฎหมายผ่านคณะกรรมการงบประมาณสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงเพียงเล็กน้อย 17-16 เสียงในการประชุมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จากนั้นได้ผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงเกินมาเพียงหนึ่งเสียงหลังจากการประชุมตลอดคืนขั้นตอนต่อไปคือการส่งไปยังคณะกรรมการกฎระเบียบสภาผู้แทนราษฎรในช่วงกลางสัปดาห์เพื่อกำหนดเงื่อนไขการอภิปรายและพิจารณาการแก้ไข ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สภาผู้แทนราษฎร หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร จะส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งอาจพบกับความท้าทายเพิ่มเติมเนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันหลายคนต้องการการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายนี้การที่ผ่านด้วยคะแนนเสียงเพียงเล็กน้อยในสภาผู้แทนราษฎรแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายในพรรครีพับลิกัน ทำให้การผ่านในวุฒิสภาอาจมีความท้าทายมากกว่าผู้ได้รับประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ผู้ได้รับประโยชน์บริษัทผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ RTX Corp (NYSE:RTX) และ Lockheed Martin Corp (NYSE:LMT) ถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการภาครัฐ เช่น Palantir Technologies (NASDAQ:PLTR) และ Booz Allen Hamilton (NYSE:BAH)ผู้มีรายได้สูงและชนชั้นมั่งคั่งจะได้รับประโยชน์จากการขยายเวลา TCJA และการเพิ่ม SALT deduction ขีดจำกัด พนักงานในอุตสาหกรรมบริการจะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกภาษีเงินทิปและค่าล่วงเวลาผู้เสียประโยชน์บริษัทประกันสุขภาพที่ให้บริการ Medicaid จะเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างมาก UnitedHealth Group (NYSE:UNH), Centene Corp (NYSE:CNC) และ Elevance Health (NYSE:ELV) อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของจำนวนผู้เอาประกันและความท้าทายในการกำหนดราคาเบี้ยประกันคนอเมริกันรายได้น้อยกว่า 42 ล้านคนที่พึ่งพา SNAP จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มเงื่อนไขการทำงานและการโยกภาระไปยังรัฐต่างๆอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะได้รับผลกระทบอย่างมาก หุ้นพลังงานสะอาด ได้แก่ Enphase Energy (NASDAQ:ENPH), First Solar (NASDAQ:FSLR) และ Sunrun (NASDAQ:RUN) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์หลังจากข่าวออกมาปฏิกิริยาของตลาดและนักลงทุนความกังวลในตลาดพันธบัตรตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่า 28 ล้านล้านดอลลาร์ (924 ล้านล้านบาท) แสดงสัญญาณความไม่สบายใจอย่างชัดเจน พันธบัตรอายุ 30 ปีได้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.11% นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 พ.ค. และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2023ด้านนักเศรษฐศาสตร์หัวหน้าของ FWDBONDS ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ "ดูเหมือนจะทำลายงบประมาณในระยะใกล้เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่าย" อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นเนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อหาเงินทุนสำหรับการขาดดุลงบประมาณความต้องการอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (528,000 ล้านบาท) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นักลงทุนเรียกร้องอัตราผลตอบแทนสูงกว่า 5% เปรียบเทียบกับ 4.6% ที่เคยเป็นบรรทัดฐานในการประมูลก่อนหน้านี้ สะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อความเสี่ยงการลงทุนในหนี้รัฐบาลสหรัฐฯความกลัว "Bond Vigilantes"นักลงทุนแสดงความกังวลต่อการเกิดขึ้นของ "Bond Vigilantes" หรือนักลงทุนที่บังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยการขายหรือขู่ว่าจะขายหนี้ของรัฐบาล ปรากฏการณ์นี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสามารถสร้างความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นได้ผลกระทบที่คาดการณ์หากตลาดไม่พอใจหากตลาดพันธบัตรยังคงแสดงความไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้ อาจส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่อยู่อาศัยจะปรับตัวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงหมายถึงต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไปนอกจากนี้ การลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody's เมื่อเร็วๆ นี้ ประกอบกับความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบแบบต่อเนื่องไปยังรัฐและท้องถิ่น ดังเช่นกรณีรัฐแมริแลนด์ที่ถูก Moody's ลดอันดับเครดิต Aaa ส่งผลให้ต้นทุนการกู้เงินสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน อาคารโรงเรียน และสาธารณูปโภคของรัฐและท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้นท้ายที่สุด ร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ของทรัมป์จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญต่อความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างนโยบายการคลังที่ต้องการและความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีต่อๆ ไป. . https://www.cbsnews.com/news/whats-in-trumps-one-big-beautiful-bill-medicaid-taxes/#
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณขนาดใหญ่ที่เรียกว่า"One Big Beautiful Bill" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของวาระที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ร่างกฎหมายยาว 1,116 หน้านี้มีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่การลดภาษี การปรับโครงสร้างสวัสดิการสังคม ไปจนถึงการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงสาระสำคัญของร่างกฎหมายนโยบายด้านภาษีแกนหลักของร่างกฎหมายคือการขยายระยะเวลาTax Cuts and Jobs Act (TCJA) ปี 2017 ให้มีผลถาวร ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้มีรายได้สูงและชนชั้นมั่งคั่ง นอกจากนี้ยังรวมถึงการยกเลิกภาษีเงินทิปสำหรับพนักงานในอุตสาหกรรมบริการและพนักงานความงาม รวมทั้งการยกเลิกภาษีค่าตอบแทนล่วงเวลา ซึ่งทั้งสองมาตรการนี้จะมีผลชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2028ร่างกฎหมายยังรวมถึงการเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีState and Local Tax Deduction (SALT)จาก 10,000 ดอลลาร์ (330,000 บาท) เป็น 40,000 ดอลลาร์ (1.32 ล้านบาท) ต่อครัวเรือนสำหรับรายได้ถึง 500,000 ดอลลาร์ (16.5 ล้านบาท) การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลจากแรงกดดันจากสมาชิกรีพับลิกันในรัฐที่มีภาษีรัฐและท้องถิ่นสูง เช่น นิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประชาชนในรัฐเหล่านี้ต้องจ่ายภาษีรัฐและภาษีทรัพย์สินจำนวนมากมาตรการภาษีอื่นๆ ได้แก่ การยกเลิกภาษี 200 ดอลลาร์ (6,600 บาท) สำหรับเครื่องเก็บเสียงปืน การเพิ่มเครดิตภาษีเด็กจาก 2,000 ดอลลาร์เป็น 2,500 ดอลลาร์ (82,500 บาท) และการอนุญาตให้หักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์สูงสุด 10,000 ดอลลาร์สำหรับรถที่ประกอบในสหรัฐฯโครงการ "Trump Accounts"ร่างกฎหมายสร้างบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็ก 1,000 ดอลลาร์ (33,000บาท) ที่เรียกว่า"Trump Accounts" (เดิมชื่อ "MAGA Accounts") รัฐบาลกลางจะสมทบ 1,000 ดอลลาร์ให้เด็กที่เกิดระหว่างปี 2024-2028 พ่อแม่สามารถสมทบเพิ่มได้ปีละ 5,000 ดอลลาร์ (165,000 บาท) เงินในบัญชีสามารถใช้สำหรับการศึกษาต่อ การฝึกอาชีพ และการซื้อบ้านหลังแรกเมื่อบุตรอายุครบ 18 ปีการปฏิรูป Medicaid และ SNAPร่างกฎหมายเสนอการปฏิรูป Medicaid ของรัฐบาลไบเดนอย่างถอนรากถอนโคน โดยกำหนดให้ผู้ใหญ่ที่สุขภาพดีอายุ 18-65 ปีที่ไม่มีบุตรต่ำกว่า 7 ปีต้องทำงานเพื่อได้รับสวัสดิการ นอกจากนี้ยังห้ามใช้ Medicaid สำหรับการรักษาเปลี่ยนเพศและตัดงบประมาณสำหรับรัฐที่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพผิดกฎหมายการปฏิรูปSupplemental Nutrition Assistance Program (SNAP) จะขยายเงื่อนไขการทำงานให้ครอบคลุมผู้ใหญ่อายุ 18-64 ปี และเปลี่ยนการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐต่างๆ โดยในปัจจุบันรัฐบาลกลางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการให้ผลประโยชน์ 100% และค่าดำเนินการ 50% แต่ร่างกฎหมายใหม่จะให้รัฐต่างๆ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการให้ผลประโยชน์ 5% และค่าดำเนินการ 75% โปรแกรมนี้ให้ความช่วยเหลือคนอเมริกันกว่า 42 ล้านคนงบประมาณด้านความมั่นคงร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณ 4.65 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.53 ล้านล้านบาท) สำหรับกำแพงชายแดน 4.1 พันล้านดอลลาร์ (135,000 ล้านบาท) สำหรับการจ้างเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ (66,000 ล้านบาท) สำหรับเงินรางวัลจูงใจให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาทำงานใหม่และคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปการยุติโครงการพลังงานสะอาดร่างกฎหมายจะยุติเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาดหลายรายการ โดยกำหนดให้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ต้องเริ่มก่อสร้างภายใน 60 วันหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้และเปิดให้บริการภายในสิ้นปี 2028 ยกเว้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีเวลาถึงสิ้นปี 2028โอกาสการผ่านกฎหมายและขั้นตอนที่เหลือร่างกฎหมายผ่านคณะกรรมการงบประมาณสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงเพียงเล็กน้อย 17-16 เสียงในการประชุมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จากนั้นได้ผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงเกินมาเพียงหนึ่งเสียงหลังจากการประชุมตลอดคืนขั้นตอนต่อไปคือการส่งไปยังคณะกรรมการกฎระเบียบสภาผู้แทนราษฎรในช่วงกลางสัปดาห์เพื่อกำหนดเงื่อนไขการอภิปรายและพิจารณาการแก้ไข ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สภาผู้แทนราษฎร หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร จะส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งอาจพบกับความท้าทายเพิ่มเติมเนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันหลายคนต้องการการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายนี้การที่ผ่านด้วยคะแนนเสียงเพียงเล็กน้อยในสภาผู้แทนราษฎรแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายในพรรครีพับลิกัน ทำให้การผ่านในวุฒิสภาอาจมีความท้าทายมากกว่าผู้ได้รับประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ผู้ได้รับประโยชน์บริษัทผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ RTX Corp (NYSE:RTX) และ Lockheed Martin Corp (NYSE:LMT) ถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการภาครัฐ เช่น Palantir Technologies (NASDAQ:PLTR) และ Booz Allen Hamilton (NYSE:BAH)ผู้มีรายได้สูงและชนชั้นมั่งคั่งจะได้รับประโยชน์จากการขยายเวลา TCJA และการเพิ่ม SALT deduction ขีดจำกัด พนักงานในอุตสาหกรรมบริการจะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกภาษีเงินทิปและค่าล่วงเวลาผู้เสียประโยชน์บริษัทประกันสุขภาพที่ให้บริการ Medicaid จะเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างมาก UnitedHealth Group (NYSE:UNH), Centene Corp (NYSE:CNC) และ Elevance Health (NYSE:ELV) อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของจำนวนผู้เอาประกันและความท้าทายในการกำหนดราคาเบี้ยประกันคนอเมริกันรายได้น้อยกว่า 42 ล้านคนที่พึ่งพา SNAP จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มเงื่อนไขการทำงานและการโยกภาระไปยังรัฐต่างๆอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจะได้รับผลกระทบอย่างมาก หุ้นพลังงานสะอาด ได้แก่ Enphase Energy (NASDAQ:ENPH), First Solar (NASDAQ:FSLR) และ Sunrun (NASDAQ:RUN) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์หลังจากข่าวออกมาปฏิกิริยาของตลาดและนักลงทุนความกังวลในตลาดพันธบัตรตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่า 28 ล้านล้านดอลลาร์ (924 ล้านล้านบาท) แสดงสัญญาณความไม่สบายใจอย่างชัดเจน พันธบัตรอายุ 30 ปีได้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.11% นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 พ.ค. และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2023ด้านนักเศรษฐศาสตร์หัวหน้าของ FWDBONDS ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ "ดูเหมือนจะทำลายงบประมาณในระยะใกล้เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่าย" อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นเนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อหาเงินทุนสำหรับการขาดดุลงบประมาณความต้องการอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (528,000 ล้านบาท) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นักลงทุนเรียกร้องอัตราผลตอบแทนสูงกว่า 5% เปรียบเทียบกับ 4.6% ที่เคยเป็นบรรทัดฐานในการประมูลก่อนหน้านี้ สะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อความเสี่ยงการลงทุนในหนี้รัฐบาลสหรัฐฯความกลัว "Bond Vigilantes"นักลงทุนแสดงความกังวลต่อการเกิดขึ้นของ "Bond Vigilantes" หรือนักลงทุนที่บังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยการขายหรือขู่ว่าจะขายหนี้ของรัฐบาล ปรากฏการณ์นี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสามารถสร้างความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นได้ผลกระทบที่คาดการณ์หากตลาดไม่พอใจหากตลาดพันธบัตรยังคงแสดงความไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้ อาจส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่อยู่อาศัยจะปรับตัวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงหมายถึงต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไปนอกจากนี้ การลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody's เมื่อเร็วๆ นี้ ประกอบกับความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบแบบต่อเนื่องไปยังรัฐและท้องถิ่น ดังเช่นกรณีรัฐแมริแลนด์ที่ถูก Moody's ลดอันดับเครดิต Aaa ส่งผลให้ต้นทุนการกู้เงินสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน อาคารโรงเรียน และสาธารณูปโภคของรัฐและท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้นท้ายที่สุด ร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ของทรัมป์จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญต่อความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างนโยบายการคลังที่ต้องการและความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีต่อๆ ไป. . https://www.cbsnews.com/news/whats-in-trumps-one-big-beautiful-bill-medicaid-taxes/#
    WWW.CBSNEWS.COM
    What's in Trump's House-passed "one big, beautiful bill"
    Republicans made a number of last-minute changes to the legislation that passed in the lower chamber early Thursday.
    0 Comments 0 Shares 647 Views 0 Reviews
  • วันที่ true ล่ม บอกอะไรเรา

    10 โมงเช้า 22 พ.ค. ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเครือข่ายทรู (True) ที่หลังควบรวมกับดีแทค (dtac) กลายเป็นเครือข่ายอันดับหนึ่งด้วยผู้ใช้งานรวม 48.8 ล้านเลขหมาย ประสบปัญหาเครือข่ายล่ม ขึ้นข้อความว่าไม่มีบริการ (No Service) ไม่สามารถโทรออกและรับสายได้ อินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ยกเว้นลูกค้าดีแทคประมาณ 20 ล้านเลขหมายไม่ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะกลับมาใช้ได้เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. สำนักงาน กสทช. สั่งให้ทรูหาทางเยียวยาลูกค้า ขณะผู้ใช้งานที่ไม่ได้เชื่อมต่อไว-ไฟต่างไม่ทราบข่าว พยายามเปิด-ปิดเน็ตและมือถือ เพราะคิดว่ามือถือมีปัญหา กว่าจะรู้ตัวก็ทราบข่าวจากคนรอบข้าง เมื่อโทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

    ตัวอย่างเช่น ใช้แอปฯ ธนาคารไม่ได้ สแกนจ่ายไม่ได้ ร้านอาหาร ข้าวแกง อาหารตามสั่งที่รับสแกนจ่ายก็รับเงินจากลูกค้าไม่ได้ แพลตฟอร์มส่งอาหารเกิดออเดอร์ค้าง ติดต่อไรเดอร์ไม่ได้ ส่วนฝั่งไรเดอร์ที่ใช้ซิมทรูก็ติดต่อลูกค้าไม่ได้ ติดต่อร้านอาหารไม่ได้ ยกเลิกก็ไม่ได้ ส่วนคนที่ทำธุรกิจ คนที่ใช้ซิมทรูติดต่อประสานงานไม่ได้ ธุรกิจได้รับความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ และคนที่ปฎิบัติภารกิจเกี่ยวกับความเป็นความตาย เช่น คนที่ทำหน้าที่รถฉุกเฉินในโรงพยาบาล แต่ใช้ซิมทรู ก็ติดต่อห้องฉุกเฉินไม่ได้ จะส่งรายงานคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ใช้เน็ตมือถือไม่ได้ ต้องใช้วิทยุสื่อสารแทน

    ที่ผ่านมาคนที่รู้ตัวดีว่าค่ายมือถือในไทยยุคนี้มีลักษณะกึ่งผูกขาด เพราะแข่งขันจริงจังแค่สองค่าย คือทรูและเอไอเอส (AIS) พึ่งพาอะไรไม่ได้ จะมีโทรศัพท์มือถือสองเครื่องหรือสองซิมการ์ดต่างเครือข่าย ประกอบด้วยเบอร์ที่ใช้ประจำและเบอร์อีกค่ายที่ใช้สำรอง ย่อมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

    จุฑา สังขชาติ อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค มองว่า ความเสียหายของประชาชนกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่ใช้ทรูประเมินค่าไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง บางครั้งก็ไม่มีการเยียวยา สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่แค่จำนวนผู้ให้บริการ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักเหลือเพียง 2 ราย กำลังสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางไซเบอร์ สิทธิของผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะหลังควบรวมกิจการ

    ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค เรียกร้องให้ กสทช.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และออกมาตรการชดเชยแบบอัตโนมัติให้ผู้บริโภคทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ส่งเสริมระบบอินเทอร์เน็ตกลางของภาครัฐ เพื่อใช้เป็นเครือข่ายสำรองในกรณีฉุกเฉินและลดการพึ่งพาเอกชน

    #Newskit
    วันที่ true ล่ม บอกอะไรเรา 10 โมงเช้า 22 พ.ค. ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเครือข่ายทรู (True) ที่หลังควบรวมกับดีแทค (dtac) กลายเป็นเครือข่ายอันดับหนึ่งด้วยผู้ใช้งานรวม 48.8 ล้านเลขหมาย ประสบปัญหาเครือข่ายล่ม ขึ้นข้อความว่าไม่มีบริการ (No Service) ไม่สามารถโทรออกและรับสายได้ อินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ ยกเว้นลูกค้าดีแทคประมาณ 20 ล้านเลขหมายไม่ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะกลับมาใช้ได้เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. สำนักงาน กสทช. สั่งให้ทรูหาทางเยียวยาลูกค้า ขณะผู้ใช้งานที่ไม่ได้เชื่อมต่อไว-ไฟต่างไม่ทราบข่าว พยายามเปิด-ปิดเน็ตและมือถือ เพราะคิดว่ามือถือมีปัญหา กว่าจะรู้ตัวก็ทราบข่าวจากคนรอบข้าง เมื่อโทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตัวอย่างเช่น ใช้แอปฯ ธนาคารไม่ได้ สแกนจ่ายไม่ได้ ร้านอาหาร ข้าวแกง อาหารตามสั่งที่รับสแกนจ่ายก็รับเงินจากลูกค้าไม่ได้ แพลตฟอร์มส่งอาหารเกิดออเดอร์ค้าง ติดต่อไรเดอร์ไม่ได้ ส่วนฝั่งไรเดอร์ที่ใช้ซิมทรูก็ติดต่อลูกค้าไม่ได้ ติดต่อร้านอาหารไม่ได้ ยกเลิกก็ไม่ได้ ส่วนคนที่ทำธุรกิจ คนที่ใช้ซิมทรูติดต่อประสานงานไม่ได้ ธุรกิจได้รับความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ และคนที่ปฎิบัติภารกิจเกี่ยวกับความเป็นความตาย เช่น คนที่ทำหน้าที่รถฉุกเฉินในโรงพยาบาล แต่ใช้ซิมทรู ก็ติดต่อห้องฉุกเฉินไม่ได้ จะส่งรายงานคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ใช้เน็ตมือถือไม่ได้ ต้องใช้วิทยุสื่อสารแทน ที่ผ่านมาคนที่รู้ตัวดีว่าค่ายมือถือในไทยยุคนี้มีลักษณะกึ่งผูกขาด เพราะแข่งขันจริงจังแค่สองค่าย คือทรูและเอไอเอส (AIS) พึ่งพาอะไรไม่ได้ จะมีโทรศัพท์มือถือสองเครื่องหรือสองซิมการ์ดต่างเครือข่าย ประกอบด้วยเบอร์ที่ใช้ประจำและเบอร์อีกค่ายที่ใช้สำรอง ย่อมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จุฑา สังขชาติ อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค มองว่า ความเสียหายของประชาชนกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่ใช้ทรูประเมินค่าไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง บางครั้งก็ไม่มีการเยียวยา สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่แค่จำนวนผู้ให้บริการ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักเหลือเพียง 2 ราย กำลังสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางไซเบอร์ สิทธิของผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะหลังควบรวมกิจการ ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค เรียกร้องให้ กสทช.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และออกมาตรการชดเชยแบบอัตโนมัติให้ผู้บริโภคทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ส่งเสริมระบบอินเทอร์เน็ตกลางของภาครัฐ เพื่อใช้เป็นเครือข่ายสำรองในกรณีฉุกเฉินและลดการพึ่งพาเอกชน #Newskit
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • AT&T เข้าซื้อธุรกิจไฟเบอร์ของ Lumen มูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์

    AT&T ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Lumen Technologies ในส่วนของธุรกิจไฟเบอร์สำหรับผู้บริโภค ด้วยมูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดีลนี้จะช่วยให้ AT&T ขยายเครือข่ายไฟเบอร์ไปยังเมืองสำคัญหลายแห่ง และเพิ่มฐานลูกค้าไฟเบอร์อีก 1 ล้านราย

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง AT&T และ Lumen
    ✅ AT&T จะได้รับลูกค้าไฟเบอร์เพิ่มอีก 1 ล้านราย
    - รวมถึง การขยายเครือข่ายไปยังเมืองสำคัญ เช่น เดนเวอร์, ลาสเวกัส, มินนิอาโปลิส-เซนต์พอล, ออร์แลนโด, ฟีนิกซ์, พอร์ตแลนด์, ซอลต์เลกซิตี้ และซีแอตเทิล

    ✅ Lumen จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจไฟเบอร์สำหรับองค์กรแทน
    - CFO ของ Lumen ระบุว่าการขายธุรกิจนี้ช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความหน่วงต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับ AI

    ✅ เงินที่ได้จากการขายจะช่วยให้ Lumen ลดหนี้ลง 4.8 พันล้านดอลลาร์
    - รวมถึง ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    ✅ AT&T วางแผนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อบริหารสินทรัพย์ที่ได้มา
    - และมีแผน ขายหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อยนี้ในอนาคต

    ✅ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2026
    - ขึ้นอยู่กับ การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/att-agrees-to-buy-lumen039s-consumer-fiber-business-for-575-billion-in-cash
    AT&T เข้าซื้อธุรกิจไฟเบอร์ของ Lumen มูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์ AT&T ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Lumen Technologies ในส่วนของธุรกิจไฟเบอร์สำหรับผู้บริโภค ด้วยมูลค่า 5.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดีลนี้จะช่วยให้ AT&T ขยายเครือข่ายไฟเบอร์ไปยังเมืองสำคัญหลายแห่ง และเพิ่มฐานลูกค้าไฟเบอร์อีก 1 ล้านราย 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง AT&T และ Lumen ✅ AT&T จะได้รับลูกค้าไฟเบอร์เพิ่มอีก 1 ล้านราย - รวมถึง การขยายเครือข่ายไปยังเมืองสำคัญ เช่น เดนเวอร์, ลาสเวกัส, มินนิอาโปลิส-เซนต์พอล, ออร์แลนโด, ฟีนิกซ์, พอร์ตแลนด์, ซอลต์เลกซิตี้ และซีแอตเทิล ✅ Lumen จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจไฟเบอร์สำหรับองค์กรแทน - CFO ของ Lumen ระบุว่าการขายธุรกิจนี้ช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความหน่วงต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับ AI ✅ เงินที่ได้จากการขายจะช่วยให้ Lumen ลดหนี้ลง 4.8 พันล้านดอลลาร์ - รวมถึง ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ AT&T วางแผนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อบริหารสินทรัพย์ที่ได้มา - และมีแผน ขายหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อยนี้ในอนาคต ✅ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2026 - ขึ้นอยู่กับ การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/att-agrees-to-buy-lumen039s-consumer-fiber-business-for-575-billion-in-cash
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AT&T agrees to buy Lumen's consumer fiber business for $5.75 billion
    (Reuters) -AT&T has clinched a deal to acquire Lumen Technologies' consumer fiber operations for $5.75 billion in cash, the companies said on Wednesday, as the wireless provider adds further scale to its national fiber footprint.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • No Processing Fee แค่มุกใหม่ไทยแอร์เอเชีย

    แคมเปญล่าสุดของสายการบินไทยแอร์เอเชีย คือการงดเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Processing Fee) สำหรับทุกการจองเที่ยวบิน FD ผ่านแอปพลิเคชัน AirAsia MOVE ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. ถึง 15 ส.ค. 2568 ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดล่าสุดนอกจากการออกโปรโมชัน BIG SALE จ่ายเฉพาะภาษีสนามบิน (Airport Tax) แต่ก็ต้องจ่ายค่า Processing Fee ตั้งแต่ 107.00 ถึง 128.40 บาทต่อคนต่อเที่ยวบิน เท่ากับค่าโดยสารราคาโปรโมชันประมาณ 300-600 บาทต่อเที่ยวบิน ถึงกระนั้น ในช่วงนี้ยังไม่มีโปรโมชันแรงๆ อย่าง BIG SALE เกิดขึ้น มีแต่โปรโมชันปกติ ราคาเริ่มต้นที่ 900-930 บาทต่อเที่ยว ซึ่งช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว (Low Season) ที่นักท่องเที่ยวลดลง ราคาบัตรโดยสารไม่น่าจะเกิน 2,000 บาทต่อเที่ยว

    แต่ถ้าเป็นประเทศมาเลเซีย ต้นกำเนิดแอร์เอเชีย เส้นทางบินทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศ เช่น ดอนเมือง สุวรรณภูมิ ไม่มีค่า Processing Fee อย่างชัดเจน เพราะได้ยกเลิกไปตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 2562 หรือเมื่อ 6 ปีก่อน หลังคณะกรรมการการบินแห่งมาเลเซีย (MAVCOM) สั่งปรับสายการบินแอร์เอเชีย และแอร์เอเชียเอ็กซ์ สายการบินละ 200,000 ริงกิต เนื่องจากคิดค่า Processing Fee แยกจากค่าโดยสารพื้นฐาน เพราะก่อนหน้านี้ MAVCOM กำหนดให้ทุกสายการบินในมาเลเซียยกเลิกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแฝง หนึ่งในนั้นคือค่า Processing Fee ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคการบินแห่งมาเลเซีย 2016 (MACPC) นับจากนั้นเป็นต้นมาการจองผ่านแอปฯ ของแอร์เอเชีย โดยเฉพาะบัตรเครดิตจะไม่ถูกเรียกเก็บค่า Processing Fee อีกต่อไป

    น่าเสียดายที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT กลับมองข้ามถึงเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นการคุ้มครองผู้โดยสารไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกทางหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาโปรโมชันค่าโดยสารถูกที่สุดมีเพียงแค่การนำที่นั่งในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้โดยสารคับคั่งออกมาลดราคา เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 20% ของจำนวนที่นั่งต่อเที่ยวบิน ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยนอกจากจะต้องจ่ายในราคาที่สูงแล้ว ต่อที่สองยังต้องจ่ายค่า Processing Fee ต่อคนต่อเที่ยวบินอีก ถึงกระนั้นหากมองอีกมุมหนึ่ง ถือเป็นช่องทางหารายได้ของสายการบิน ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามเหมือนมาเลเซีย อีกทั้งการชำระเงินผ่านช่องทาง Direct Debit และบัตรเครดิต สายการบินยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแก่ผู้ให้บริการอีก

    สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ถือหุ้นในสายการบินแอร์เอเชีย พบว่า รายได้จากการขายและบริการ 13,225 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท

    #Newskit
    No Processing Fee แค่มุกใหม่ไทยแอร์เอเชีย แคมเปญล่าสุดของสายการบินไทยแอร์เอเชีย คือการงดเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Processing Fee) สำหรับทุกการจองเที่ยวบิน FD ผ่านแอปพลิเคชัน AirAsia MOVE ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. ถึง 15 ส.ค. 2568 ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดล่าสุดนอกจากการออกโปรโมชัน BIG SALE จ่ายเฉพาะภาษีสนามบิน (Airport Tax) แต่ก็ต้องจ่ายค่า Processing Fee ตั้งแต่ 107.00 ถึง 128.40 บาทต่อคนต่อเที่ยวบิน เท่ากับค่าโดยสารราคาโปรโมชันประมาณ 300-600 บาทต่อเที่ยวบิน ถึงกระนั้น ในช่วงนี้ยังไม่มีโปรโมชันแรงๆ อย่าง BIG SALE เกิดขึ้น มีแต่โปรโมชันปกติ ราคาเริ่มต้นที่ 900-930 บาทต่อเที่ยว ซึ่งช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว (Low Season) ที่นักท่องเที่ยวลดลง ราคาบัตรโดยสารไม่น่าจะเกิน 2,000 บาทต่อเที่ยว แต่ถ้าเป็นประเทศมาเลเซีย ต้นกำเนิดแอร์เอเชีย เส้นทางบินทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศ เช่น ดอนเมือง สุวรรณภูมิ ไม่มีค่า Processing Fee อย่างชัดเจน เพราะได้ยกเลิกไปตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 2562 หรือเมื่อ 6 ปีก่อน หลังคณะกรรมการการบินแห่งมาเลเซีย (MAVCOM) สั่งปรับสายการบินแอร์เอเชีย และแอร์เอเชียเอ็กซ์ สายการบินละ 200,000 ริงกิต เนื่องจากคิดค่า Processing Fee แยกจากค่าโดยสารพื้นฐาน เพราะก่อนหน้านี้ MAVCOM กำหนดให้ทุกสายการบินในมาเลเซียยกเลิกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแฝง หนึ่งในนั้นคือค่า Processing Fee ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคการบินแห่งมาเลเซีย 2016 (MACPC) นับจากนั้นเป็นต้นมาการจองผ่านแอปฯ ของแอร์เอเชีย โดยเฉพาะบัตรเครดิตจะไม่ถูกเรียกเก็บค่า Processing Fee อีกต่อไป น่าเสียดายที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT กลับมองข้ามถึงเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นการคุ้มครองผู้โดยสารไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกทางหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาโปรโมชันค่าโดยสารถูกที่สุดมีเพียงแค่การนำที่นั่งในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้โดยสารคับคั่งออกมาลดราคา เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 20% ของจำนวนที่นั่งต่อเที่ยวบิน ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยนอกจากจะต้องจ่ายในราคาที่สูงแล้ว ต่อที่สองยังต้องจ่ายค่า Processing Fee ต่อคนต่อเที่ยวบินอีก ถึงกระนั้นหากมองอีกมุมหนึ่ง ถือเป็นช่องทางหารายได้ของสายการบิน ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามเหมือนมาเลเซีย อีกทั้งการชำระเงินผ่านช่องทาง Direct Debit และบัตรเครดิต สายการบินยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแก่ผู้ให้บริการอีก สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ถือหุ้นในสายการบินแอร์เอเชีย พบว่า รายได้จากการขายและบริการ 13,225 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 454 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์ที่ดู "น่ารัก" สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ได้

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Penn State พบว่า หุ่นยนต์ที่มีลักษณะ "น่ารัก" เช่น ดวงตากลมโตและแก้มที่ยกขึ้น สามารถโน้มน้าวให้ผู้คนยอมรับคำแนะนำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ เช่น ร้านอาหารและการขายสินค้า

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของหุ่นยนต์ที่ดูน่ารัก
    ✅ หุ่นยนต์ที่มีลักษณะน่ารักสามารถเพิ่มความไว้วางใจและความอบอุ่นทางอารมณ์
    - ทำให้ ผู้คนรู้สึกสบายใจและมีแนวโน้มที่จะทำตามคำแนะนำของหุ่นยนต์

    ✅ การออกแบบหุ่นยนต์ให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจ
    - เช่น หุ่นยนต์ที่มีเสียงทุ้มต่ำอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าหุ่นยนต์ที่มีเสียงหวานใสในการขายสินค้า

    ✅ ผู้บริโภคที่มี "sense of power" ต่ำมีแนวโน้มที่จะเชื่อคำแนะนำของหุ่นยนต์มากขึ้น
    - โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจต่ำมักจะเชื่อคำแนะนำของหุ่นยนต์ที่มีลักษณะเป็นชายมากกว่า

    ✅ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์สามารถมีบทบาทสำคัญในการตลาดและการให้บริการ
    - เช่น การแนะนำเมนูอาหารในร้านอาหาร หรือการโปรโมตสินค้าใหม่

    ✅ ผลการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Hospitality and Tourism Management
    - แสดงให้เห็นว่า การออกแบบหุ่นยนต์สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคได้จริง

    ‼️ การออกแบบหุ่นยนต์ให้มีลักษณะน่ารักอาจถูกนำไปใช้เพื่อโน้มน้าวใจในทางที่ผิด
    - เช่น การชักจูงให้ซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือการใช้ในโฆษณาที่มีเจตนาแอบแฝง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/robots-that-look-039cute039-can-influence-human-decisions-study-finds
    หุ่นยนต์ที่ดู "น่ารัก" สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมนุษย์ได้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Penn State พบว่า หุ่นยนต์ที่มีลักษณะ "น่ารัก" เช่น ดวงตากลมโตและแก้มที่ยกขึ้น สามารถโน้มน้าวให้ผู้คนยอมรับคำแนะนำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ เช่น ร้านอาหารและการขายสินค้า 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของหุ่นยนต์ที่ดูน่ารัก ✅ หุ่นยนต์ที่มีลักษณะน่ารักสามารถเพิ่มความไว้วางใจและความอบอุ่นทางอารมณ์ - ทำให้ ผู้คนรู้สึกสบายใจและมีแนวโน้มที่จะทำตามคำแนะนำของหุ่นยนต์ ✅ การออกแบบหุ่นยนต์ให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจ - เช่น หุ่นยนต์ที่มีเสียงทุ้มต่ำอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าหุ่นยนต์ที่มีเสียงหวานใสในการขายสินค้า ✅ ผู้บริโภคที่มี "sense of power" ต่ำมีแนวโน้มที่จะเชื่อคำแนะนำของหุ่นยนต์มากขึ้น - โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจต่ำมักจะเชื่อคำแนะนำของหุ่นยนต์ที่มีลักษณะเป็นชายมากกว่า ✅ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์สามารถมีบทบาทสำคัญในการตลาดและการให้บริการ - เช่น การแนะนำเมนูอาหารในร้านอาหาร หรือการโปรโมตสินค้าใหม่ ✅ ผลการศึกษาถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Hospitality and Tourism Management - แสดงให้เห็นว่า การออกแบบหุ่นยนต์สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคได้จริง ‼️ การออกแบบหุ่นยนต์ให้มีลักษณะน่ารักอาจถูกนำไปใช้เพื่อโน้มน้าวใจในทางที่ผิด - เช่น การชักจูงให้ซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือการใช้ในโฆษณาที่มีเจตนาแอบแฝง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/robots-that-look-039cute039-can-influence-human-decisions-study-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Robots that look 'cute' can influence human decisions, study finds
    The most susceptible group of people turned out to be "powerless female consumers," which the team found to be more likely than others to go with menu suggestions made by male-like robots.
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • GPU ระดับผู้บริโภคสามารถใช้เจาะรหัสผ่านที่ซับซ้อนได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

    รายงานล่าสุดจาก Hive Systems เผยว่า GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia เช่น RTX 5090 สามารถใช้ในการเจาะรหัสผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทดสอบพบว่า รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนแต่สั้นสามารถถูกเจาะได้ภายในไม่กี่วัน

    ✅ Hive Systems ทดสอบการเจาะรหัสผ่านโดยใช้ 12 Nvidia RTX 5090 GPUs
    - พบว่า รหัสผ่าน 6 ตัวอักษรที่มีตัวเลขและตัวพิมพ์เล็กสามารถถูกเจาะได้ภายใน 14 วัน

    ✅ รหัสผ่านที่ยาวขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้นต้องใช้เวลานานขึ้นในการเจาะ
    - ตัวอย่างเช่น รหัสผ่าน 18 ตัวอักษรที่มีตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ ต้องใช้เวลาถึง 463 ล้านล้านปีในการเจาะ

    ✅ GPU มีประสิทธิภาพสูงในการเดารหัสผ่านแบบ brute force
    - เนื่องจาก สามารถประมวลผลแบบขนานและสร้างแฮชจากหลายล้านหรือพันล้านชุดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

    ✅ Hive Systems ใช้ Bcrypt เป็นอัลกอริธึมสำหรับการทดสอบ
    - เป็นอัลกอริธึมที่ใช้ในการเข้ารหัสรหัสผ่านก่อนจัดเก็บ แต่สามารถถูกเดาได้โดยใช้ GPU

    ✅ การใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อนยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเจาะรหัสผ่าน
    - ควรใช้ ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ร่วมกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/12-nvidia-rtx-5090-gpus-will-take-14-days-to-crack-a-complex-6-character-password-but-i-dont-think-you-should-care
    GPU ระดับผู้บริโภคสามารถใช้เจาะรหัสผ่านที่ซับซ้อนได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ รายงานล่าสุดจาก Hive Systems เผยว่า GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia เช่น RTX 5090 สามารถใช้ในการเจาะรหัสผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทดสอบพบว่า รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนแต่สั้นสามารถถูกเจาะได้ภายในไม่กี่วัน ✅ Hive Systems ทดสอบการเจาะรหัสผ่านโดยใช้ 12 Nvidia RTX 5090 GPUs - พบว่า รหัสผ่าน 6 ตัวอักษรที่มีตัวเลขและตัวพิมพ์เล็กสามารถถูกเจาะได้ภายใน 14 วัน ✅ รหัสผ่านที่ยาวขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้นต้องใช้เวลานานขึ้นในการเจาะ - ตัวอย่างเช่น รหัสผ่าน 18 ตัวอักษรที่มีตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ ต้องใช้เวลาถึง 463 ล้านล้านปีในการเจาะ ✅ GPU มีประสิทธิภาพสูงในการเดารหัสผ่านแบบ brute force - เนื่องจาก สามารถประมวลผลแบบขนานและสร้างแฮชจากหลายล้านหรือพันล้านชุดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ✅ Hive Systems ใช้ Bcrypt เป็นอัลกอริธึมสำหรับการทดสอบ - เป็นอัลกอริธึมที่ใช้ในการเข้ารหัสรหัสผ่านก่อนจัดเก็บ แต่สามารถถูกเดาได้โดยใช้ GPU ✅ การใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อนยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเจาะรหัสผ่าน - ควรใช้ ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ร่วมกัน https://www.techradar.com/pro/security/12-nvidia-rtx-5090-gpus-will-take-14-days-to-crack-a-complex-6-character-password-but-i-dont-think-you-should-care
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

    Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของ Wall Street เนื่องจากบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก

    ✅ Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2025 อยู่ที่ 236.45 พันล้านหยวน ($32.79 พันล้านดอลลาร์)
    - ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 237.24 พันล้านหยวน

    ✅ บริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค
    - เนื่องจาก เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญความท้าทาย

    ✅ Alibaba เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอีคอมเมิร์ซ
    - คู่แข่งอย่าง JD.com และ Pinduoduo กำลังขยายตลาดอย่างรวดเร็ว

    ✅ นักลงทุนจับตาดูแนวโน้มของ Alibaba ในไตรมาสถัดไป
    - คาดว่า บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/15/alibaba-misses-quarterly-revenue-estimates
    Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ของ Wall Street เนื่องจากบริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก ✅ Alibaba รายงานรายได้ไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2025 อยู่ที่ 236.45 พันล้านหยวน ($32.79 พันล้านดอลลาร์) - ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 237.24 พันล้านหยวน ✅ บริษัทกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค - เนื่องจาก เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญความท้าทาย ✅ Alibaba เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอีคอมเมิร์ซ - คู่แข่งอย่าง JD.com และ Pinduoduo กำลังขยายตลาดอย่างรวดเร็ว ✅ นักลงทุนจับตาดูแนวโน้มของ Alibaba ในไตรมาสถัดไป - คาดว่า บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/15/alibaba-misses-quarterly-revenue-estimates
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba misses quarterly revenue estimates
    (Reuters) -Chinese e-commerce giant Alibaba reported quarterly revenue that missed Wall Street estimates on Thursday, as the firm works on new strategies to keep consumers spending amid persistent economic weakness and global trade uncertainties.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
More Results