• เมื่อพลังงานลมถูกโจมตีด้วย “เงินน้ำมัน” และกลยุทธ์ทางกฎหมาย

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brown กลับพบว่าเบื้องหลังการต่อต้านโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ มีเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา

    รายงาน “Legal Entanglements” จาก Climate & Development Lab (CDL) เปิดเผยว่า กลุ่มต่อต้านพลังงานลมใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลม โดยอ้างความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การคุกคามวาฬสายพันธุ์ North Atlantic Right Whale ทั้งที่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นตัวการหลักที่ทำลายระบบนิเวศทางทะเล

    หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือการฟ้องร้องโครงการ Cape Wind โดยกลุ่ม Alliance to Protect Nantucket Sound ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีน้ำมัน William Koch จนทำให้โครงการต้องยุติ แม้จะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม

    เมื่อ CDL เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่อต้านกับบริษัทน้ำมันและสำนักงานกฎหมาย เช่น Marzulla Law บริษัทเหล่านี้กลับตอบโต้ด้วยการข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานรัฐตัดงบประมาณของมหาวิทยาลัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีทางกฎหมายเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โครงการพลังงานสะอาดล่าช้า แต่ยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    CDL แห่งมหาวิทยาลัย Brown เผยรายงาน “Legal Entanglements” เปิดโปงเครือข่ายต่อต้านพลังงานลม
    กลุ่มต่อต้านได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา
    ใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง
    อ้างการคุกคามวาฬ North Atlantic Right Whale ทั้งที่สาเหตุหลักมาจากการขนส่งน้ำมันและภาวะโลกร้อน
    Marzulla Law ส่งจดหมายข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้ DOE ตัดงบประมาณ
    กลุ่ม Green Oceans ที่ Marzulla Law เป็นตัวแทน เคยฟ้องโครงการ Revolution Wind จนต้องหยุดชั่วคราว
    CDL ยืนยันว่าไม่ได้รับทุนจาก DOE และจะไม่ยอมเซ็นเซอร์งานวิจัย
    Brown University ยืนยันหลักการเสรีภาพทางวิชาการ แม้จะถูกกดดันจากภายนอก
    รายงานชี้ว่าการฟ้องร้องแม้ไม่สำเร็จ ก็สามารถทำให้โครงการล่าช้าและเพิ่มต้นทุน
    การบิดเบือนข้อมูลทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Offshore wind มีศักยภาพสูงในแถบ North Atlantic และสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
    ประเทศอย่างเดนมาร์ก เยอรมนี และเวียดนามประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานลมนอกชายฝั่ง
    การใช้พลังงานลมช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และลดการปล่อยคาร์บอน
    การฟ้องร้องโครงการพลังงานสะอาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วโลกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเก่า
    การคุกคามนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีเสรีภาพทางวิชาการ

    https://electrek.co/2025/08/25/scientist-exposes-anti-wind-groups-as-oil-funded-now-they-want-to-silence-him/
    🌬️ เมื่อพลังงานลมถูกโจมตีด้วย “เงินน้ำมัน” และกลยุทธ์ทางกฎหมาย ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brown กลับพบว่าเบื้องหลังการต่อต้านโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ มีเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา รายงาน “Legal Entanglements” จาก Climate & Development Lab (CDL) เปิดเผยว่า กลุ่มต่อต้านพลังงานลมใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลม โดยอ้างความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การคุกคามวาฬสายพันธุ์ North Atlantic Right Whale ทั้งที่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นตัวการหลักที่ทำลายระบบนิเวศทางทะเล หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือการฟ้องร้องโครงการ Cape Wind โดยกลุ่ม Alliance to Protect Nantucket Sound ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีน้ำมัน William Koch จนทำให้โครงการต้องยุติ แม้จะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม เมื่อ CDL เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่อต้านกับบริษัทน้ำมันและสำนักงานกฎหมาย เช่น Marzulla Law บริษัทเหล่านี้กลับตอบโต้ด้วยการข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานรัฐตัดงบประมาณของมหาวิทยาลัย สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีทางกฎหมายเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โครงการพลังงานสะอาดล่าช้า แต่ยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ CDL แห่งมหาวิทยาลัย Brown เผยรายงาน “Legal Entanglements” เปิดโปงเครือข่ายต่อต้านพลังงานลม ➡️ กลุ่มต่อต้านได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา ➡️ ใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ➡️ อ้างการคุกคามวาฬ North Atlantic Right Whale ทั้งที่สาเหตุหลักมาจากการขนส่งน้ำมันและภาวะโลกร้อน ➡️ Marzulla Law ส่งจดหมายข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้ DOE ตัดงบประมาณ ➡️ กลุ่ม Green Oceans ที่ Marzulla Law เป็นตัวแทน เคยฟ้องโครงการ Revolution Wind จนต้องหยุดชั่วคราว ➡️ CDL ยืนยันว่าไม่ได้รับทุนจาก DOE และจะไม่ยอมเซ็นเซอร์งานวิจัย ➡️ Brown University ยืนยันหลักการเสรีภาพทางวิชาการ แม้จะถูกกดดันจากภายนอก ➡️ รายงานชี้ว่าการฟ้องร้องแม้ไม่สำเร็จ ก็สามารถทำให้โครงการล่าช้าและเพิ่มต้นทุน ➡️ การบิดเบือนข้อมูลทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Offshore wind มีศักยภาพสูงในแถบ North Atlantic และสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ➡️ ประเทศอย่างเดนมาร์ก เยอรมนี และเวียดนามประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานลมนอกชายฝั่ง ➡️ การใช้พลังงานลมช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และลดการปล่อยคาร์บอน ➡️ การฟ้องร้องโครงการพลังงานสะอาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วโลกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเก่า ➡️ การคุกคามนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีเสรีภาพทางวิชาการ https://electrek.co/2025/08/25/scientist-exposes-anti-wind-groups-as-oil-funded-now-they-want-to-silence-him/
    ELECTREK.CO
    Scientist exposes anti-wind groups as oil-funded. Now they want to silence him.
    A report shows how fossil-funded legal groups file bogus lawsuits and spread disinfo about wind - then those lawyers threatened the authors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • กำแพงเมืองไทย เป็นไปได้แค่ไหน?

    ท่าทีของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สนับสนุนให้กองทัพบกสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม หลังจากได้ให้ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย จะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชน และปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอน

    การสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชายแดนด้าน จ.สระแก้ว 165 กิโลเมตร หน่วยงานความมั่นคงเคยเสนอนายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สร้างกำแพง ที่ผ่านมามีการวางลวดหนามแล้ว 55 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมในการหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถตรวจการณ์ได้ตลอดเวลา แต่ขณะนั้นยังไม่มีการสร้างเพราะเห็นว่ายังเร็วเกินไป ต้องศึกษารูปแบบแนวทางภายใต้พื้นที่ที่ชัดเจน ที่ต้องไม่ติดพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของคนทั้งสองประเทศ

    ครั้งหนึ่ง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยสั่งการให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างกำแพงระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลักลอบค้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนวชายแดนในจุดที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกันอย่างถาวร

    เขตแดนไทย-กัมพูชามีความยาว 798 กิโลเมตร แยกเป็นตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร มีการจัดทำหลักเขตแดนสยาม-เขมรไปแล้ว 73 หลัก ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด แต่อีก 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี แม้ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 จะยึดหลักสันปันน้ำจากตีนภูเขาดงรัก แต่ไทยและกัมพูชากลับใช้แผนที่คนละฉบับกัน และกัมพูชาฟ้องศาลโลก

    หากจะมีการสร้างกำแพงขึ้นจริง นอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแล้ว ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหลักเขตแดนเคลื่อนย้ายไปในดินแดนของตน ต้องใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ยังระหองระแหง การจะได้เห็นกำแพงเมืองไทยที่มั่นคงแข็งแรงจึงยังเป็นไปได้ยากในขณะนี้

    #Newskit
    กำแพงเมืองไทย เป็นไปได้แค่ไหน? ท่าทีของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สนับสนุนให้กองทัพบกสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม หลังจากได้ให้ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย จะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชน และปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอน การสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชายแดนด้าน จ.สระแก้ว 165 กิโลเมตร หน่วยงานความมั่นคงเคยเสนอนายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สร้างกำแพง ที่ผ่านมามีการวางลวดหนามแล้ว 55 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมในการหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถตรวจการณ์ได้ตลอดเวลา แต่ขณะนั้นยังไม่มีการสร้างเพราะเห็นว่ายังเร็วเกินไป ต้องศึกษารูปแบบแนวทางภายใต้พื้นที่ที่ชัดเจน ที่ต้องไม่ติดพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของคนทั้งสองประเทศ ครั้งหนึ่ง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยสั่งการให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างกำแพงระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลักลอบค้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนวชายแดนในจุดที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกันอย่างถาวร เขตแดนไทย-กัมพูชามีความยาว 798 กิโลเมตร แยกเป็นตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร มีการจัดทำหลักเขตแดนสยาม-เขมรไปแล้ว 73 หลัก ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด แต่อีก 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี แม้ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 จะยึดหลักสันปันน้ำจากตีนภูเขาดงรัก แต่ไทยและกัมพูชากลับใช้แผนที่คนละฉบับกัน และกัมพูชาฟ้องศาลโลก หากจะมีการสร้างกำแพงขึ้นจริง นอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแล้ว ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหลักเขตแดนเคลื่อนย้ายไปในดินแดนของตน ต้องใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ยังระหองระแหง การจะได้เห็นกำแพงเมืองไทยที่มั่นคงแข็งแรงจึงยังเป็นไปได้ยากในขณะนี้ #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งตัว พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง เหยียบกับระเบิดจนข้อเท้าขวาขาดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ รักษาต่อที่
    รพ.สุรินทร์แล้ว ขณะที่เพื่อนทหารอีก 2 นายถูกแรงอัดระเบิดบาดเจ็บเล็กน้อยเผยเหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างรมช.ก.ต่างประเทศนำคณะผู้แทนทางการทูตของสหภาพยุโรปลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ อีกด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000081957

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ส่งตัว พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง เหยียบกับระเบิดจนข้อเท้าขวาขาดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ รักษาต่อที่ รพ.สุรินทร์แล้ว ขณะที่เพื่อนทหารอีก 2 นายถูกแรงอัดระเบิดบาดเจ็บเล็กน้อยเผยเหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างรมช.ก.ต่างประเทศนำคณะผู้แทนทางการทูตของสหภาพยุโรปลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ อีกด้วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000081957 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้

    แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์

    MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ

    ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้
    บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ
    ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์
    ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้
    MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย
    เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
    รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม
    ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้
    การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน
    การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้
    การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง
    การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    🚍 เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้ แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์ MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้ ➡️ บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ ➡️ ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์ ➡️ ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ➡️ รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม ➡️ ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้ ➡️ การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน ➡️ การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้ ➡️ การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง ➡️ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ “อีเมลเสียงปลอม” กลายเป็นประตูสู่การยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

    ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้ออกคำเตือนถึงแคมเปญฟิชชิ่งระดับโลกที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิคที่ดูเรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่ากลัว — อีเมลแจ้ง “สายที่ไม่ได้รับ” หรือ “ใบสั่งซื้อ” ที่แนบไฟล์ HTML ปลอมมาให้ผู้ใช้คลิก

    เมื่อเปิดไฟล์ HTML เหล่านี้ ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนจริงมาก โดยแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เอง เพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นระบบภายใน เมื่อคลิก “ดาวน์โหลดข้อความเสียง” หรือ “ดาวน์โหลดใบสั่งซื้อ” ระบบจะส่งไฟล์ JavaScript ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัว dropper สำหรับมัลแวร์ชื่อ UpCrypter

    UpCrypter ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา — มันสามารถตรวจสอบว่าเครื่องกำลังถูกวิเคราะห์หรือรันในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ หากพบว่ากำลังถูกตรวจสอบ มันจะหยุดทำงานหรือรีสตาร์ทเครื่องทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    เมื่อมัลแวร์ฝังตัวสำเร็จ มันจะดาวน์โหลด Remote Access Tools (RATs) เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้รู้ตัว

    ที่น่ากลัวคือ UpCrypter สามารถซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวในระบบผ่าน Windows Registry เพื่อให้ทำงานต่อเนื่องแม้รีสตาร์ทเครื่อง

    แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม โดยมีจำนวนการตรวจจับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเพียงสองสัปดาห์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    แคมเปญฟิชชิ่งใช้ “อีเมลเสียงปลอม” และ “ใบสั่งซื้อปลอม” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิกไฟล์ HTML
    เว็บไซต์ปลอมแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    เมื่อคลิก “ดาวน์โหลด” จะได้รับไฟล์ JavaScript ที่เป็น dropper สำหรับมัลแวร์ UpCrypter
    UpCrypter สามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมและหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    มัลแวร์จะดาวน์โหลด RATs เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT เพื่อควบคุมเครื่อง
    โค้ดอันตรายสามารถซ่อนในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวผ่าน Windows Registry
    แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย แคนาดา อินเดีย และอียิปต์
    อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม
    Fortinet แนะนำให้ใช้ระบบกรองอีเมลและฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง
    การตรวจสอบการใช้ PowerShell ที่เริ่มจาก Outlook.exe เป็นวิธีตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UpCrypter ยังมีเวอร์ชัน MSIL ที่สามารถโหลดมัลแวร์ผ่าน PowerShell และ DLL โดยไม่เขียนลงดิสก์
    เทคนิค steganography ที่ใช้ซ่อนโค้ดในภาพเป็นวิธีที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่
    RATs อย่าง PureHVNC และ Babylon RAT มีความสามารถในการควบคุมหน้าจอและขโมยข้อมูลแบบเรียลไทม์
    การฝังตัวผ่าน Windows Registry ทำให้มัลแวร์สามารถรันได้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
    การใช้ HTML attachment เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีเป็นเทคนิคที่ยังได้ผลดีในหลายองค์กร

    https://hackread.com/fake-voicemail-emails-install-upcrypter-malware-windows/
    🎙️ เมื่อ “อีเมลเสียงปลอม” กลายเป็นประตูสู่การยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้ออกคำเตือนถึงแคมเปญฟิชชิ่งระดับโลกที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิคที่ดูเรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่ากลัว — อีเมลแจ้ง “สายที่ไม่ได้รับ” หรือ “ใบสั่งซื้อ” ที่แนบไฟล์ HTML ปลอมมาให้ผู้ใช้คลิก เมื่อเปิดไฟล์ HTML เหล่านี้ ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนจริงมาก โดยแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เอง เพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นระบบภายใน เมื่อคลิก “ดาวน์โหลดข้อความเสียง” หรือ “ดาวน์โหลดใบสั่งซื้อ” ระบบจะส่งไฟล์ JavaScript ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัว dropper สำหรับมัลแวร์ชื่อ UpCrypter UpCrypter ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา — มันสามารถตรวจสอบว่าเครื่องกำลังถูกวิเคราะห์หรือรันในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ หากพบว่ากำลังถูกตรวจสอบ มันจะหยุดทำงานหรือรีสตาร์ทเครื่องทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เมื่อมัลแวร์ฝังตัวสำเร็จ มันจะดาวน์โหลด Remote Access Tools (RATs) เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้รู้ตัว ที่น่ากลัวคือ UpCrypter สามารถซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวในระบบผ่าน Windows Registry เพื่อให้ทำงานต่อเนื่องแม้รีสตาร์ทเครื่อง แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม โดยมีจำนวนการตรวจจับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเพียงสองสัปดาห์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ แคมเปญฟิชชิ่งใช้ “อีเมลเสียงปลอม” และ “ใบสั่งซื้อปลอม” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิกไฟล์ HTML ➡️ เว็บไซต์ปลอมแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ เมื่อคลิก “ดาวน์โหลด” จะได้รับไฟล์ JavaScript ที่เป็น dropper สำหรับมัลแวร์ UpCrypter ➡️ UpCrypter สามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมและหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ มัลแวร์จะดาวน์โหลด RATs เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT เพื่อควบคุมเครื่อง ➡️ โค้ดอันตรายสามารถซ่อนในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวผ่าน Windows Registry ➡️ แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย แคนาดา อินเดีย และอียิปต์ ➡️ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม ➡️ Fortinet แนะนำให้ใช้ระบบกรองอีเมลและฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง ➡️ การตรวจสอบการใช้ PowerShell ที่เริ่มจาก Outlook.exe เป็นวิธีตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UpCrypter ยังมีเวอร์ชัน MSIL ที่สามารถโหลดมัลแวร์ผ่าน PowerShell และ DLL โดยไม่เขียนลงดิสก์ ➡️ เทคนิค steganography ที่ใช้ซ่อนโค้ดในภาพเป็นวิธีที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่ ➡️ RATs อย่าง PureHVNC และ Babylon RAT มีความสามารถในการควบคุมหน้าจอและขโมยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ การฝังตัวผ่าน Windows Registry ทำให้มัลแวร์สามารถรันได้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ➡️ การใช้ HTML attachment เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีเป็นเทคนิคที่ยังได้ผลดีในหลายองค์กร https://hackread.com/fake-voicemail-emails-install-upcrypter-malware-windows/
    HACKREAD.COM
    Fake Voicemail Emails Install UpCrypter Malware on Windows
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก Pirate Bay สู่ 4chan — เมื่อรัฐบาลใช้ “ตัวอย่างร้าย” เพื่อเปิดทางสู่การเซ็นเซอร์

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 รัฐบาลสหราชอาณาจักรใช้เว็บไซต์ The Pirate Bay เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันการบล็อกเว็บละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า TPB เป็นเว็บที่ไม่ให้ความร่วมมือและมีชื่อเสียงในด้านการละเมิดอย่างชัดเจน

    วันนี้ Ofcom กำลังใช้แนวทางเดียวกันกับเว็บไซต์ 4chan — เว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียงในด้านเนื้อหาสุดโต่งและไม่ผ่านการควบคุม โดยอ้างว่า 4chan ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลตามที่กฎหมาย Online Safety Act กำหนด เช่น การประเมินความเสี่ยงของเนื้อหาผิดกฎหมาย และการป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม

    Ofcom ได้ส่งคำร้องขอข้อมูลไปยัง 4chan หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงออก “หนังสือแจ้งการละเมิดเบื้องต้น” พร้อมขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 และอาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร

    แต่ 4chan ไม่ใช่เว็บในอังกฤษ — มันเป็นบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีทนายความพร้อมตอบโต้ โดยอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซง

    นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการบล็อกเว็บ แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง “สิทธิในการแสดงออก” กับ “การควบคุมเนื้อหา” ข้ามพรมแดน และอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ofcom ใช้กฎหมาย Online Safety Act เพื่อบังคับให้เว็บไซต์ต่างประเทศส่งข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาผิดกฎหมาย
    4chan ถูกขอให้ส่งรายงานการประเมินความเสี่ยงของเนื้อหา แต่ไม่ตอบกลับ
    Ofcom ออกหนังสือแจ้งการละเมิด และขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000
    หากยังไม่ปฏิบัติตาม อาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร
    4chan เป็นบริษัทในสหรัฐฯ ไม่มีสำนักงานหรือทรัพย์สินในอังกฤษ
    ทนายของ 4chan อ้างว่าการบังคับใช้กฎหมายอังกฤษในสหรัฐฯ เป็นการละเมิดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการร้องขอให้ใช้มาตรการทางการทูตและกฎหมายเพื่อปกป้องบริษัทอเมริกัน
    กรณีนี้คล้ายกับการบล็อก The Pirate Bay ในปี 2012 ซึ่งถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันนโยบาย
    Ofcom มีอำนาจในการบล็อกเว็บไซต์โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
    การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บละเมิดลิขสิทธิ์อาจถูกมองว่าเป็นการเซ็นเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Online Safety Act กำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเนื้อหา NSFW
    กฎหมายนี้มีผลกระทบต่อหลายเว็บไซต์ รวมถึงเว็บโป๊และเว็บบอร์ดที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยง
    รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ก็มีการออกกฎหมายคล้ายกันเกี่ยวกับการตรวจสอบอายุ
    การบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศมีความซับซ้อน และมักถูกโต้แย้งในศาลสหรัฐฯ
    การบล็อกเว็บไซต์อาจทำให้ผู้ใช้หันไปใช้ VPN หรือแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุม

    https://torrentfreak.com/uk-govt-finds-ideal-pirate-bay-poster-boy-to-sell-blocking-of-non-pirate-sites-250824/
    🎙️ จาก Pirate Bay สู่ 4chan — เมื่อรัฐบาลใช้ “ตัวอย่างร้าย” เพื่อเปิดทางสู่การเซ็นเซอร์ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 รัฐบาลสหราชอาณาจักรใช้เว็บไซต์ The Pirate Bay เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันการบล็อกเว็บละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า TPB เป็นเว็บที่ไม่ให้ความร่วมมือและมีชื่อเสียงในด้านการละเมิดอย่างชัดเจน วันนี้ Ofcom กำลังใช้แนวทางเดียวกันกับเว็บไซต์ 4chan — เว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียงในด้านเนื้อหาสุดโต่งและไม่ผ่านการควบคุม โดยอ้างว่า 4chan ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลตามที่กฎหมาย Online Safety Act กำหนด เช่น การประเมินความเสี่ยงของเนื้อหาผิดกฎหมาย และการป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม Ofcom ได้ส่งคำร้องขอข้อมูลไปยัง 4chan หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงออก “หนังสือแจ้งการละเมิดเบื้องต้น” พร้อมขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 และอาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร แต่ 4chan ไม่ใช่เว็บในอังกฤษ — มันเป็นบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีทนายความพร้อมตอบโต้ โดยอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซง นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการบล็อกเว็บ แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง “สิทธิในการแสดงออก” กับ “การควบคุมเนื้อหา” ข้ามพรมแดน และอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ofcom ใช้กฎหมาย Online Safety Act เพื่อบังคับให้เว็บไซต์ต่างประเทศส่งข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาผิดกฎหมาย ➡️ 4chan ถูกขอให้ส่งรายงานการประเมินความเสี่ยงของเนื้อหา แต่ไม่ตอบกลับ ➡️ Ofcom ออกหนังสือแจ้งการละเมิด และขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 ➡️ หากยังไม่ปฏิบัติตาม อาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร ➡️ 4chan เป็นบริษัทในสหรัฐฯ ไม่มีสำนักงานหรือทรัพย์สินในอังกฤษ ➡️ ทนายของ 4chan อ้างว่าการบังคับใช้กฎหมายอังกฤษในสหรัฐฯ เป็นการละเมิดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการร้องขอให้ใช้มาตรการทางการทูตและกฎหมายเพื่อปกป้องบริษัทอเมริกัน ➡️ กรณีนี้คล้ายกับการบล็อก The Pirate Bay ในปี 2012 ซึ่งถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันนโยบาย ➡️ Ofcom มีอำนาจในการบล็อกเว็บไซต์โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน ➡️ การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บละเมิดลิขสิทธิ์อาจถูกมองว่าเป็นการเซ็นเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Online Safety Act กำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเนื้อหา NSFW ➡️ กฎหมายนี้มีผลกระทบต่อหลายเว็บไซต์ รวมถึงเว็บโป๊และเว็บบอร์ดที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยง ➡️ รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ก็มีการออกกฎหมายคล้ายกันเกี่ยวกับการตรวจสอบอายุ ➡️ การบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศมีความซับซ้อน และมักถูกโต้แย้งในศาลสหรัฐฯ ➡️ การบล็อกเว็บไซต์อาจทำให้ผู้ใช้หันไปใช้ VPN หรือแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุม https://torrentfreak.com/uk-govt-finds-ideal-pirate-bay-poster-boy-to-sell-blocking-of-non-pirate-sites-250824/
    TORRENTFREAK.COM
    Is 4chan the Perfect ‘Pirate Bay’ Poster Child to Justify Wider UK Site-Blocking?
    The UK may need a Pirate Bay-style poster child to gain public support for national blocking of non-pirate sites under the Online Safety Act.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพันธุศาสตร์ Krutovsky กล่าวว่าอาหาร GMO สามารถแทรกซึมเข้าสู่จีโนมมนุษย์ได้

    การศึกษาการถ่ายโอนยีนในแนวนอน (วิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศระหว่างพืชและสัตว์ต่างชนิดกัน) แสดงให้เห็นว่ามนุษย์อาจมีกลไกการถ่ายโอนดังกล่าว

    นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนจีโนมต่างๆ ที่ได้จากอาหารไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่กระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผ่านทางเลือด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของยีนในร่างกายอีกด้วย

    เขากล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญต้องการทราบว่าชิ้นส่วน RNA สั้นๆ เช่น ข้าวโพดหรือเห็ดที่ยังไม่สลายตัวอย่างสมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำปฏิกิริยากับ RNA ของมนุษย์ได้หรือไม่? งานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้

    หากการแทรกซึมดังกล่าวเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผลกระทบต่อรุ่นต่อๆ ไป

    ..............................................................................

    ..ไฟเซอร์อาจแอบใส่เอนไซม์ GMO ลงในชีสอเมริกัน 90% อย่างเงียบๆ — แต่กลับไม่มีอยู่บนฉลาก
    🧬 นักพันธุศาสตร์ Krutovsky กล่าวว่าอาหาร GMO สามารถแทรกซึมเข้าสู่จีโนมมนุษย์ได้ การศึกษาการถ่ายโอนยีนในแนวนอน (วิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศระหว่างพืชและสัตว์ต่างชนิดกัน) แสดงให้เห็นว่ามนุษย์อาจมีกลไกการถ่ายโอนดังกล่าว นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนจีโนมต่างๆ ที่ได้จากอาหารไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่กระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผ่านทางเลือด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของยีนในร่างกายอีกด้วย เขากล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญต้องการทราบว่าชิ้นส่วน RNA สั้นๆ เช่น ข้าวโพดหรือเห็ดที่ยังไม่สลายตัวอย่างสมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำปฏิกิริยากับ RNA ของมนุษย์ได้หรือไม่? งานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้ หากการแทรกซึมดังกล่าวเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผลกระทบต่อรุ่นต่อๆ ไป .............................................................................. ..ไฟเซอร์อาจแอบใส่เอนไซม์ GMO ลงในชีสอเมริกัน 90% อย่างเงียบๆ — แต่กลับไม่มีอยู่บนฉลาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยสงสัยไหมว่าทำไม ฉีดไปตั้งนานแล้ว แต่ยังมี โปรตีนหนามไหลเวียนอยู่ในร่างกาย?
    คำตอบอยู่นี่ไง
    ในยาฉีด mRNA
    มีสารพันธุกรรมที่เรียกว่า พลาสมิด ดีเอ็นเอ plasmid DNA
    สารพันธุกรรมที่ปนเปื้อนมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน!!
    สารพันธุกรรม plasmid DNA นี้สามารถแทรกซึมเข้าไปรวมกับสารพันธุกรรมของคนที่ฉีดได้
    กลายเป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรม ของคนๆนั้น ทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็น
    GMO Genetic Modified Organism สิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม
    หรือ เอาชัดๆ คือ GMH Genetic Modified Human
    มนุษย์ดัดแปลงพันธุกรรม!!
    ผลกระทบที่ตามมามีมากมาย หนึ่งในนั้นคือ
    "มะเร็ง"
    ใครรู้ว่า ตนโดนหลอกขนาดนี้ แล้วไม่สนใจที่จะโวย
    เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเอง
    เอาคนผิดมารับผิด
    ก็ตามใจครับ แต่อย่าหวังว่ามีใครจะมาช่วย ถ้าหากว่า พวกคุณไม่คิดจะช่วย ตนเอง ช่วยคนอื่น
    อัตตาหิ อัตตโน นาโถ
    ตนเป็นที่พึ่งของตนแล
    อยากได้ความเป็นธรรม
    อยากได้วิธีรักษา
    ต้องออกมาเรียกร้องให้ รัฐบาล เอาคนผิดมารับโทษ
    https://www.facebook.com/share/p/1NdcMFfEVK/
    ✍️เคยสงสัยไหมว่าทำไม ฉีดไปตั้งนานแล้ว แต่ยังมี โปรตีนหนามไหลเวียนอยู่ในร่างกาย? คำตอบอยู่นี่ไง ในยาฉีด mRNA 💉☠️ มีสารพันธุกรรมที่เรียกว่า พลาสมิด ดีเอ็นเอ plasmid DNA สารพันธุกรรมที่ปนเปื้อนมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน!! สารพันธุกรรม plasmid DNA นี้สามารถแทรกซึมเข้าไปรวมกับสารพันธุกรรมของคนที่ฉีดได้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรม ของคนๆนั้น ทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็น GMO Genetic Modified Organism สิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม หรือ เอาชัดๆ คือ GMH Genetic Modified Human มนุษย์ดัดแปลงพันธุกรรม!! ผลกระทบที่ตามมามีมากมาย หนึ่งในนั้นคือ "มะเร็ง" ใครรู้ว่า ตนโดนหลอกขนาดนี้ แล้วไม่สนใจที่จะโวย เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเอง เอาคนผิดมารับผิด ก็ตามใจครับ แต่อย่าหวังว่ามีใครจะมาช่วย ถ้าหากว่า พวกคุณไม่คิดจะช่วย ตนเอง ช่วยคนอื่น อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตนแล อยากได้ความเป็นธรรม อยากได้วิธีรักษา ต้องออกมาเรียกร้องให้ รัฐบาล เอาคนผิดมารับโทษ https://www.facebook.com/share/p/1NdcMFfEVK/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว

  • #อย่าตกเป็นเหยื่อ...สินค้าอเมริกาหรือต่างชาติที่ได้เข้ามาจำหน่ายในตลาดของไทย ภายในประเทศไทยจากภาษีทรัมป์คือตัวอย่างในอนาคตก็ตาม.

    ..เตือนภัยสัญลักษณ์ที่ใช้ในอเมริกาและทางการอเมริกาไม่บอกประชาชนเขาตรงๆ

    เลขนำหน้าเป็น 9 = ออร์แกนิก
    เลขนำหน้าเป็น 4 = ปลูกด้วยยาฆ่าแมลง
    เลขนำหน้าเป็น 8 = จีเอ็มโอ

    #อย่าตกเป็นเหยื่อ...

    ... "วิธีการลดประชากรโลก" มีหลายวิธี เช่นการใช้วัคซีนแบบวัคซีนโควิด ,สงครามตัวแทนต่างๆแบบไทยกับเขมร รัสเชียกับยูเคน อิสราเอลกับอิหร่านกับปาเลสไตน์ , สารเคมี หรือใส่ฟลูออไรด์ลงไปในน้ำ แบบฮิตเลอร์ทำ,หรือในยาสีฟันต่างๆทั่วโลก, การทำผ่านบริษัททาง เช่น อุตสาหกรรมทางอาหาร และเกษตรต่างๆแบบขนาดใหญ่บริษัทมอนซานโต, หรือผ่านอาหาร พืช ผัก ผลไม้ สัตว์อาหารต่างๆตัดแต่งพันธุกรรม GMO ร่างกายมนุษย์ก็จะเข้าสู่โหมดสาระพัดโรคภัยไข้เจ็บเป็นอันมาก , วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ GMOด้วย, ตลอดไวรัสในวัคซีนก็ด้วยGMOตรึมก็ว่าในวัคซีนนั้น(สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม)

    ระบบการแพทย์ที่ทุจริตจะต้องล้มละลายหากผู้คนรู้เรื่องนี้

    แพทย์ท่านหนึ่งที่สั่งอาหารปลอดจีเอ็มโอให้กับคนไข้ 5,000 คน กล่าวว่า “คนไข้ [ของเธอ] ทุกคน” มีอาการดีขึ้นหลังจากเปลี่ยนมารับประทานอาหาร

    ซึ่งรวมถึงอาการดีขึ้นจากโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคอ้วน ปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และแม้แต่โรคมะเร็ง

    เจฟฟรีย์ สมิธ รู้สึกประหลาดใจกับรายงานนี้ จึงได้ทำการสำรวจผู้เข้าร่วม 3,256 คน เพื่อเปิดเผยถึงผลกระทบของการเปลี่ยนมารับประทานอาหารปลอดจีเอ็มโอ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก

    เปอร์เซ็นต์ที่ดีขึ้นจากการเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่ไม่ใช่ GMO:

    • ปัญหาระบบย่อยอาหาร - 85.2%
    • ความเหนื่อยล้า - 60.4%
    • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน - 54.6%
    • ภาวะสมองล้า (Brain Fog) - 51.7%
    • ปัญหาอารมณ์ / ความวิตกกังวล / ภาวะซึมเศร้า - 51.1%
    • อาการแพ้อาหารหรือความไวต่ออาหาร - 50.2%
    • ความจำและสมาธิ - 46.9%
    • อาการปวดข้อ - 47.5%
    • อาการแพ้ตามฤดูกาล - 46.2%
    • ความไวต่อกลูเตน - 42.6%
    • นอนไม่หลับ - 41.2%
    • โรคผิวหนังอื่นๆ - 30.9%
    • ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน - 30.4%
    • อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก - 30.2%
    • โรคภูมิต้านตนเอง - 21.4%
    • โรคผิวหนังอักเสบ - 20.8%
    • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดและความดันโลหิตสูง - 19.8%
    • โรคหอบหืด - 14.8%
    • ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน - 13.4%
    • โรคเบาหวาน - 10.6%
    • โรคทางจิตเวชอื่นๆ - 7.9%
    • น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ - 6.5%
    • โรคมะเร็ง - 4.8%
    • โรคไต - 4.3%
    • ภาวะมีบุตรยาก - 2.8%
    • กลุ่มอาการออทิสติก - 2.4%
    • โรคอัลไซเมอร์ - 2.4%
    • โรคพาร์กินสัน - 1.4%

    - - - - - -

    พวกเขาโกหกคุณเรื่องสุขภาพและยามานานหลายทศวรรษ เพราะเมื่อคุณป่วย คุณก็จะมีเงินมากขึ้น



    #อย่าตกเป็นเหยื่อ...สินค้าอเมริกาหรือต่างชาติที่ได้เข้ามาจำหน่ายในตลาดของไทย ภายในประเทศไทยจากภาษีทรัมป์คือตัวอย่างในอนาคตก็ตาม. ..เตือนภัยสัญลักษณ์ที่ใช้ในอเมริกาและทางการอเมริกาไม่บอกประชาชนเขาตรงๆ เลขนำหน้าเป็น 9 = ออร์แกนิก เลขนำหน้าเป็น 4 = ปลูกด้วยยาฆ่าแมลง เลขนำหน้าเป็น 8 = จีเอ็มโอ #อย่าตกเป็นเหยื่อ... ... "วิธีการลดประชากรโลก" มีหลายวิธี เช่นการใช้วัคซีนแบบวัคซีนโควิด ,สงครามตัวแทนต่างๆแบบไทยกับเขมร รัสเชียกับยูเคน อิสราเอลกับอิหร่านกับปาเลสไตน์ , สารเคมี หรือใส่ฟลูออไรด์ลงไปในน้ำ แบบฮิตเลอร์ทำ,หรือในยาสีฟันต่างๆทั่วโลก, การทำผ่านบริษัททาง เช่น อุตสาหกรรมทางอาหาร และเกษตรต่างๆแบบขนาดใหญ่บริษัทมอนซานโต, หรือผ่านอาหาร พืช ผัก ผลไม้ สัตว์อาหารต่างๆตัดแต่งพันธุกรรม GMO ร่างกายมนุษย์ก็จะเข้าสู่โหมดสาระพัดโรคภัยไข้เจ็บเป็นอันมาก , วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ GMOด้วย, ตลอดไวรัสในวัคซีนก็ด้วยGMOตรึมก็ว่าในวัคซีนนั้น(สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม) ระบบการแพทย์ที่ทุจริตจะต้องล้มละลายหากผู้คนรู้เรื่องนี้ แพทย์ท่านหนึ่งที่สั่งอาหารปลอดจีเอ็มโอให้กับคนไข้ 5,000 คน กล่าวว่า “คนไข้ [ของเธอ] ทุกคน” มีอาการดีขึ้นหลังจากเปลี่ยนมารับประทานอาหาร ซึ่งรวมถึงอาการดีขึ้นจากโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคอ้วน ปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และแม้แต่โรคมะเร็ง เจฟฟรีย์ สมิธ รู้สึกประหลาดใจกับรายงานนี้ จึงได้ทำการสำรวจผู้เข้าร่วม 3,256 คน เพื่อเปิดเผยถึงผลกระทบของการเปลี่ยนมารับประทานอาหารปลอดจีเอ็มโอ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก เปอร์เซ็นต์ที่ดีขึ้นจากการเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่ไม่ใช่ GMO: • ปัญหาระบบย่อยอาหาร - 85.2% • ความเหนื่อยล้า - 60.4% • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน - 54.6% • ภาวะสมองล้า (Brain Fog) - 51.7% • ปัญหาอารมณ์ / ความวิตกกังวล / ภาวะซึมเศร้า - 51.1% • อาการแพ้อาหารหรือความไวต่ออาหาร - 50.2% • ความจำและสมาธิ - 46.9% • อาการปวดข้อ - 47.5% • อาการแพ้ตามฤดูกาล - 46.2% • ความไวต่อกลูเตน - 42.6% • นอนไม่หลับ - 41.2% • โรคผิวหนังอื่นๆ - 30.9% • ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน - 30.4% • อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก - 30.2% • โรคภูมิต้านตนเอง - 21.4% • โรคผิวหนังอักเสบ - 20.8% • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดและความดันโลหิตสูง - 19.8% • โรคหอบหืด - 14.8% • ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน - 13.4% • โรคเบาหวาน - 10.6% • โรคทางจิตเวชอื่นๆ - 7.9% • น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ - 6.5% • โรคมะเร็ง - 4.8% • โรคไต - 4.3% • ภาวะมีบุตรยาก - 2.8% • กลุ่มอาการออทิสติก - 2.4% • โรคอัลไซเมอร์ - 2.4% • โรคพาร์กินสัน - 1.4% - - - - - - พวกเขาโกหกคุณเรื่องสุขภาพและยามานานหลายทศวรรษ เพราะเมื่อคุณป่วย คุณก็จะมีเงินมากขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลอังกฤษไม่กินน้ำอย่างที่คิด – พลิกภาพจำของเทคโนโลยีที่กระหายน้ำ

    ในยุคที่ AI และคลาวด์กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล หลายคนอาจนึกถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่กินไฟมหาศาลและใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อน แต่รายงานล่าสุดจาก techUK กลับพลิกภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง

    จากการสำรวจศูนย์ข้อมูล 73 แห่งทั่วอังกฤษ พบว่า 64% ใช้น้ำไม่ถึง 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งน้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center ทั่วไป และใกล้เคียงกับการใช้น้ำของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

    ที่สำคัญคือกว่า 51% ของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) และอีกจำนวนมากใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจรปิด ทำให้ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป

    แม้จะมีข้อสงสัยว่าตัวเลขเหล่านี้อาจไม่รวมการใช้น้ำทางอ้อม เช่น จากการผลิตไฟฟ้า แต่รายงานก็ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของอุตสาหกรรมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ

    ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 การออกแบบศูนย์ข้อมูลให้ใช้น้ำน้อยลงจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รายงานจาก techUK พบว่า 64% ของศูนย์ข้อมูลในอังกฤษใช้น้ำต่ำกว่า 10,000 ลบ.ม./ปี
    ปริมาณนี้น้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center และใกล้เคียงกับสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
    51% ของศูนย์ข้อมูลใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling)
    หลายแห่งใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจร
    89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป
    การระบายความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่เคยทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมาก
    รายงานเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำ
    ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและเป้าหมายด้าน AI ของอังกฤษ
    รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030
    ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนช่วยผลักดันการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ waterless cooling เช่น immersion cooling และ direct-to-chip กำลังได้รับความนิยม
    Closed-loop systems ใช้ของเหลวพิเศษที่มีจุดเดือดต่ำและหมุนเวียนภายในระบบ
    การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดการใช้น้ำทางอ้อมจากการผลิตไฟฟ้า
    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีความเครียดด้านน้ำ เช่นลอนดอนและแมนเชสเตอร์ มีแนวโน้มใช้ระบบแห้งมากขึ้น
    การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ modular ช่วยลด footprint และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
    หลายบริษัทเริ่มใช้ AI เพื่อควบคุมระบบระบายความร้อนแบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/not-as-thirsty-as-we-thought-average-data-center-uses-less-water-than-a-typical-leisure-center-study-claims
    🎙️ ศูนย์ข้อมูลอังกฤษไม่กินน้ำอย่างที่คิด – พลิกภาพจำของเทคโนโลยีที่กระหายน้ำ ในยุคที่ AI และคลาวด์กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล หลายคนอาจนึกถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่กินไฟมหาศาลและใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อน แต่รายงานล่าสุดจาก techUK กลับพลิกภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง จากการสำรวจศูนย์ข้อมูล 73 แห่งทั่วอังกฤษ พบว่า 64% ใช้น้ำไม่ถึง 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งน้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center ทั่วไป และใกล้เคียงกับการใช้น้ำของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่สำคัญคือกว่า 51% ของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) และอีกจำนวนมากใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจรปิด ทำให้ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป แม้จะมีข้อสงสัยว่าตัวเลขเหล่านี้อาจไม่รวมการใช้น้ำทางอ้อม เช่น จากการผลิตไฟฟ้า แต่รายงานก็ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของอุตสาหกรรมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 การออกแบบศูนย์ข้อมูลให้ใช้น้ำน้อยลงจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รายงานจาก techUK พบว่า 64% ของศูนย์ข้อมูลในอังกฤษใช้น้ำต่ำกว่า 10,000 ลบ.ม./ปี ➡️ ปริมาณนี้น้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center และใกล้เคียงกับสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ➡️ 51% ของศูนย์ข้อมูลใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) ➡️ หลายแห่งใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจร ➡️ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป ➡️ การระบายความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่เคยทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมาก ➡️ รายงานเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำ ➡️ ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและเป้าหมายด้าน AI ของอังกฤษ ➡️ รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 ➡️ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนช่วยผลักดันการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ waterless cooling เช่น immersion cooling และ direct-to-chip กำลังได้รับความนิยม ➡️ Closed-loop systems ใช้ของเหลวพิเศษที่มีจุดเดือดต่ำและหมุนเวียนภายในระบบ ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดการใช้น้ำทางอ้อมจากการผลิตไฟฟ้า ➡️ ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีความเครียดด้านน้ำ เช่นลอนดอนและแมนเชสเตอร์ มีแนวโน้มใช้ระบบแห้งมากขึ้น ➡️ การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ modular ช่วยลด footprint และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ➡️ หลายบริษัทเริ่มใช้ AI เพื่อควบคุมระบบระบายความร้อนแบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/not-as-thirsty-as-we-thought-average-data-center-uses-less-water-than-a-typical-leisure-center-study-claims
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้

    ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้

    AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้

    ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่

    นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ
    เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D
    ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต
    ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา
    BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น
    AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด
    Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา
    AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
    ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป
    AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU
    การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป
    เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก
    การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้
    AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    🎙️ เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้ AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้ ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่ นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ ➡️ เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D ➡️ ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต ➡️ ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา ➡️ BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น ➡️ AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด ➡️ Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา ➡️ AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว ➡️ ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป ➡️ AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU ➡️ การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป ➡️ เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก ➡️ การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้ ➡️ AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD comments on burning AM5 sockets — chipmaker blames motherboard vendors for not following official BIOS guidelines
    AMD provides an official response to the latest AM5 burnout/failure issues primarily affecting ASRock motherboards.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 นาที 15 วินาที – ความจริงหรือแค่ตัวเลขที่เล่าต่อกันมา?

    คุณอาจเคยได้ยินว่า “หลังจากถูกขัดจังหวะ จะใช้เวลา 23 นาที 15 วินาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส” ฟังดูเฉพาะเจาะจงและน่ากลัวใช่ไหม? Geoffrey Oberien ก็คิดแบบนั้น เขาแค่ต้องการอ้างอิงตัวเลขนี้ให้เพื่อนร่วมงาน แต่กลับกลายเป็นการผจญภัย 20 นาทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย

    เขาค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ และพบว่าหลายบทความอ้างถึงงานวิจัยชื่อ “The Cost of Interrupted Work: More Speed and Stress” โดย Gloria Mark แต่เมื่อเปิดอ่านจริง ๆ กลับไม่พบตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีเลย

    งานวิจัยนั้นพูดถึงผลกระทบของการขัดจังหวะ เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และเวลาที่ใช้ในงานหลักที่ลดลง แต่ไม่ได้พูดถึง “เวลาฟื้นตัว” หลังจากการขัดจังหวะ

    Geoffrey อ่านงานวิจัยอีกหลายฉบับ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ที่ระบุว่าอาจใช้เวลา 11–16 นาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส แต่ก็ไม่มีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับช่วงเวลานี้

    สุดท้าย เขาพบว่าตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีมาจาก “การให้สัมภาษณ์” ของ Gloria Mark กับสื่อหลายแห่ง เช่น Fast Company และ Wall Street Journal ไม่ใช่จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์

    นั่นหมายความว่า ตัวเลขนี้อาจเป็น “ค่าเฉลี่ยโดยประมาณ” จากประสบการณ์ของผู้วิจัย ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการทดลองที่สามารถตรวจสอบได้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ตัวเลข “23 นาที 15 วินาที” ถูกอ้างถึงในหลายบทความเกี่ยวกับ productivity
    Geoffrey Oberien พยายามค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้
    งานวิจัย “The Cost of Interrupted Work” ไม่ได้กล่าวถึงตัวเลขนี้เลย
    งานวิจัยอื่น ๆ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ระบุช่วงเวลา 11–16 นาที
    ตัวเลข 23:15 มาจากการสัมภาษณ์ Gloria Mark ไม่ใช่จากงานวิจัยตีพิมพ์
    มีบทความมากกว่า 20 ชิ้นที่อ้างถึงตัวเลขนี้โดยไม่มีหลักฐานรองรับ
    งานวิจัยของ Gloria Mark พบว่า 82% ของงานที่ถูกขัดจังหวะจะกลับมาทำต่อในวันเดียวกัน
    การขัดจังหวะที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้
    การขัดจังหวะที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การคุยเรื่องซีรีส์ อาจทำให้ฟื้นตัวช้ากว่า
    การพักเบรกที่ตั้งใจต่างจากการขัดจังหวะที่ไม่คาดคิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gloria Mark เป็นนักวิจัยด้าน digital distraction จาก University of California, Irvine
    งานวิจัยของเธอเชื่อมโยงการขัดจังหวะกับความเครียดและ productivity ที่ลดลง
    ตัวเลข 23:15 ถูกอ้างถึงใน Lifehacker, Fast Company, และ Wall Street Journal
    ไม่มีหลักฐานเชิงสถิติที่ยืนยันตัวเลขนี้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์
    การขัดจังหวะซ้ำ ๆ อาจทำให้ productivity ลดลงมากกว่าที่คาด
    การจัดการ context switch เป็นทักษะสำคัญของนักพัฒนาและผู้บริหาร

    https://blog.oberien.de/2023/11/05/23-minutes-15-seconds.html
    🎙️ 23 นาที 15 วินาที – ความจริงหรือแค่ตัวเลขที่เล่าต่อกันมา? คุณอาจเคยได้ยินว่า “หลังจากถูกขัดจังหวะ จะใช้เวลา 23 นาที 15 วินาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส” ฟังดูเฉพาะเจาะจงและน่ากลัวใช่ไหม? Geoffrey Oberien ก็คิดแบบนั้น เขาแค่ต้องการอ้างอิงตัวเลขนี้ให้เพื่อนร่วมงาน แต่กลับกลายเป็นการผจญภัย 20 นาทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ และพบว่าหลายบทความอ้างถึงงานวิจัยชื่อ “The Cost of Interrupted Work: More Speed and Stress” โดย Gloria Mark แต่เมื่อเปิดอ่านจริง ๆ กลับไม่พบตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีเลย งานวิจัยนั้นพูดถึงผลกระทบของการขัดจังหวะ เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และเวลาที่ใช้ในงานหลักที่ลดลง แต่ไม่ได้พูดถึง “เวลาฟื้นตัว” หลังจากการขัดจังหวะ Geoffrey อ่านงานวิจัยอีกหลายฉบับ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ที่ระบุว่าอาจใช้เวลา 11–16 นาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส แต่ก็ไม่มีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับช่วงเวลานี้ สุดท้าย เขาพบว่าตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีมาจาก “การให้สัมภาษณ์” ของ Gloria Mark กับสื่อหลายแห่ง เช่น Fast Company และ Wall Street Journal ไม่ใช่จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ นั่นหมายความว่า ตัวเลขนี้อาจเป็น “ค่าเฉลี่ยโดยประมาณ” จากประสบการณ์ของผู้วิจัย ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการทดลองที่สามารถตรวจสอบได้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ตัวเลข “23 นาที 15 วินาที” ถูกอ้างถึงในหลายบทความเกี่ยวกับ productivity ➡️ Geoffrey Oberien พยายามค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ ➡️ งานวิจัย “The Cost of Interrupted Work” ไม่ได้กล่าวถึงตัวเลขนี้เลย ➡️ งานวิจัยอื่น ๆ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ระบุช่วงเวลา 11–16 นาที ➡️ ตัวเลข 23:15 มาจากการสัมภาษณ์ Gloria Mark ไม่ใช่จากงานวิจัยตีพิมพ์ ➡️ มีบทความมากกว่า 20 ชิ้นที่อ้างถึงตัวเลขนี้โดยไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ งานวิจัยของ Gloria Mark พบว่า 82% ของงานที่ถูกขัดจังหวะจะกลับมาทำต่อในวันเดียวกัน ➡️ การขัดจังหวะที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ ➡️ การขัดจังหวะที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การคุยเรื่องซีรีส์ อาจทำให้ฟื้นตัวช้ากว่า ➡️ การพักเบรกที่ตั้งใจต่างจากการขัดจังหวะที่ไม่คาดคิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gloria Mark เป็นนักวิจัยด้าน digital distraction จาก University of California, Irvine ➡️ งานวิจัยของเธอเชื่อมโยงการขัดจังหวะกับความเครียดและ productivity ที่ลดลง ➡️ ตัวเลข 23:15 ถูกอ้างถึงใน Lifehacker, Fast Company, และ Wall Street Journal ➡️ ไม่มีหลักฐานเชิงสถิติที่ยืนยันตัวเลขนี้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ ➡️ การขัดจังหวะซ้ำ ๆ อาจทำให้ productivity ลดลงมากกว่าที่คาด ➡️ การจัดการ context switch เป็นทักษะสำคัญของนักพัฒนาและผู้บริหาร https://blog.oberien.de/2023/11/05/23-minutes-15-seconds.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arch Linux กับการโจมตีที่ไม่รู้ว่าใครทำ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่

    ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Arch Linux ซึ่งเป็นหนึ่งในดิสโทรยอดนิยมของสายลินุกซ์ขั้นสูง ถูกโจมตีด้วย DDoS อย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือเว็บไซต์หลัก, Arch User Repository (AUR), และฟอรัมของชุมชน

    การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การดาวน์โหลดแพ็กเกจ, การอัปเดตระบบ, หรือแม้แต่การติดตั้ง ISO ใหม่ได้อย่างราบรื่น ทีมงานของ Arch ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัคร กำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ และกำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงต้นทุน ความปลอดภัย และจริยธรรม

    แม้จะมีข้อเสนอจาก Cloudflare ซึ่งเคยช่วยโครงการโอเพ่นซอร์สอื่น ๆ มาก่อน แต่ Arch ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ อาจเพราะแนวคิดเรื่องความเป็นอิสระและโอเพ่นซอร์สที่ฝังลึกในโครงการนี้

    ที่น่าสนใจคือ Arch Linux ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งทำให้มีผู้ใช้ใหม่จำนวนมาก และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กลุ่มโจมตีเล็งเป้าไปที่โครงการนี้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Arch Linux ถูกโจมตีด้วย DDoS ต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
    บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เว็บไซต์หลัก, AUR, และฟอรัมของชุมชน
    ทีมงานกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ
    กำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงจริยธรรมและต้นทุน
    มีการอัปเดตสถานะบริการผ่านหน้า status page ของ Arch Linux
    Arch Linux เป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งเพิ่มความนิยมในช่วงหลัง
    ผู้ใช้สามารถใช้ mirror list ใน pacman-mirrorlist แทน reflector หากระบบหลักล่ม
    AUR ยังสามารถเข้าถึงผ่าน GitHub mirror โดยใช้คำสั่ง git clone
    Arch Linux ก่อตั้งในปี 2002 โดย Judd Vinet ตามหลัก KISS (Keep It Simple, Stupid)
    ทีมงานขอบคุณชุมชนที่อดทนและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Arch Linux เคยเผชิญปัญหา malware ใน AUR มาก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูร้อน
    การโจมตี DDoS แบบ sustained แม้ไม่รุนแรงมากก็สร้างความเสียหายได้มาก
    Cloudflare เสนอช่วยเหลือ แต่ Arch ยังไม่ตอบรับ อาจเพราะแนวคิดเรื่องโอเพ่นซอร์ส
    ArchWiki เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี
    Arch Linux มีผู้ใช้ที่ภักดีและนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางถึงขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/software/linux/arch-linux-continues-to-feel-the-force-of-a-ddos-attack-after-two-brutal-weeks-attackers-yet-to-be-identified-as-project-struggles-to-restore-full-service
    🎙️ Arch Linux กับการโจมตีที่ไม่รู้ว่าใครทำ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Arch Linux ซึ่งเป็นหนึ่งในดิสโทรยอดนิยมของสายลินุกซ์ขั้นสูง ถูกโจมตีด้วย DDoS อย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือเว็บไซต์หลัก, Arch User Repository (AUR), และฟอรัมของชุมชน การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การดาวน์โหลดแพ็กเกจ, การอัปเดตระบบ, หรือแม้แต่การติดตั้ง ISO ใหม่ได้อย่างราบรื่น ทีมงานของ Arch ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัคร กำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ และกำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงต้นทุน ความปลอดภัย และจริยธรรม แม้จะมีข้อเสนอจาก Cloudflare ซึ่งเคยช่วยโครงการโอเพ่นซอร์สอื่น ๆ มาก่อน แต่ Arch ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ อาจเพราะแนวคิดเรื่องความเป็นอิสระและโอเพ่นซอร์สที่ฝังลึกในโครงการนี้ ที่น่าสนใจคือ Arch Linux ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งทำให้มีผู้ใช้ใหม่จำนวนมาก และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กลุ่มโจมตีเล็งเป้าไปที่โครงการนี้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Arch Linux ถูกโจมตีด้วย DDoS ต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ➡️ บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เว็บไซต์หลัก, AUR, และฟอรัมของชุมชน ➡️ ทีมงานกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ ➡️ กำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงจริยธรรมและต้นทุน ➡️ มีการอัปเดตสถานะบริการผ่านหน้า status page ของ Arch Linux ➡️ Arch Linux เป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งเพิ่มความนิยมในช่วงหลัง ➡️ ผู้ใช้สามารถใช้ mirror list ใน pacman-mirrorlist แทน reflector หากระบบหลักล่ม ➡️ AUR ยังสามารถเข้าถึงผ่าน GitHub mirror โดยใช้คำสั่ง git clone ➡️ Arch Linux ก่อตั้งในปี 2002 โดย Judd Vinet ตามหลัก KISS (Keep It Simple, Stupid) ➡️ ทีมงานขอบคุณชุมชนที่อดทนและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Arch Linux เคยเผชิญปัญหา malware ใน AUR มาก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูร้อน ➡️ การโจมตี DDoS แบบ sustained แม้ไม่รุนแรงมากก็สร้างความเสียหายได้มาก ➡️ Cloudflare เสนอช่วยเหลือ แต่ Arch ยังไม่ตอบรับ อาจเพราะแนวคิดเรื่องโอเพ่นซอร์ส ➡️ ArchWiki เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี ➡️ Arch Linux มีผู้ใช้ที่ภักดีและนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางถึงขั้นสูง https://www.tomshardware.com/software/linux/arch-linux-continues-to-feel-the-force-of-a-ddos-attack-after-two-brutal-weeks-attackers-yet-to-be-identified-as-project-struggles-to-restore-full-service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!”

    ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน

    ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา

    แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง”

    นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน)
    ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ
    เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป
    นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์
    ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม
    เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น
    สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน”
    การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน
    หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ
    การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    🎙️ เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!” ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง” นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน) ➡️ ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ ➡️ เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป ➡️ นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์ ➡️ ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม ➡️ เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น ➡️ สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน” ➡️ การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน ➡️ หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ ➡️ การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan city proposes two-hour daily smartphone limit
    A Japanese city will urge all smartphone users to limit screen time to two hours a day outside work or school under a proposed ordinance that includes no penalties.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง

    รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น

    ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ

    ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ

    แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024
    สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
    Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์
    Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%)
    เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน
    การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์
    Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี
    97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI
    63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
    การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI
    Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก
    การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%)
    การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้
    การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา

    https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    🎙️ เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ➡️ Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%) ➡️ เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน ➡️ การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี ➡️ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI ➡️ 63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ➡️ การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI ➡️ Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก ➡️ การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%) ➡️ การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ➡️ การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is the cost of a data breach?
    The cost of a data breach is not easy to define, but as organizations increasingly fall victim to attacks and exposures, financial repercussions are becoming clearer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
    หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
    ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
    ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
    นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
    เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
    แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
    บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
    รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
    ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้! นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)

    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)
    ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ
    นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง
    สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก
    นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน
    ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง
    ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา!
    ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา
    โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา
    นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย!


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3) ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา! ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ชัดเลิก MOU 43-44 อย่าสงสัยอะไรมาก : [THE MESSAGE]
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยถึงข้อเสนอของฝ่ายค้านต่อการยกเลิก MOU 43-44 อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไร รัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝง หากพูดในสาธารณะคนก็รู้หมด อะไรที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์แค่ไหนต้องคุยกัน อยากให้มาจะคุยกับตนหรือกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ของใคร เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ คือจุดยืนที่จะไม่ยอมเสียอธิปไตย อยากรู้รายละเอียดลึกๆ ให้มาถาม อย่าถามหน้าสื่อ ส่วนจุดยืนของรัฐบาลต่อ MOU 43-44 หลักการของเราคิดว่าได้ประโยชน์สูงสุด เป็นเรื่องของสภาฯ อย่าเอาเรื่องสภาฯมาถาม ผมตอบแทนไม่ได้ ส่วนที่สภาฯ ชิงปิดประชุมก่อนพิจารณาเรื่อง MOU 43-44 ว่ากันตามวาระ ไม่ใช่จะใส่วาระที่ไม่มีเข้าไปได้ ไม่มีอะไรแปลก อย่าสงสัยอะไรมาก ยืนยัน จ่ายชดเชยประชาชนที่ได้รับผลกระทบเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ตามระเบียบเดิม ทำได้ดีกว่าทุกรัฐบาล ขอให้ทำใจเรื่องเขตแดนไม่ได้จบง่ายๆ
    ไม่ชัดเลิก MOU 43-44 อย่าสงสัยอะไรมาก : [THE MESSAGE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยถึงข้อเสนอของฝ่ายค้านต่อการยกเลิก MOU 43-44 อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไร รัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝง หากพูดในสาธารณะคนก็รู้หมด อะไรที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์แค่ไหนต้องคุยกัน อยากให้มาจะคุยกับตนหรือกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ของใคร เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ คือจุดยืนที่จะไม่ยอมเสียอธิปไตย อยากรู้รายละเอียดลึกๆ ให้มาถาม อย่าถามหน้าสื่อ ส่วนจุดยืนของรัฐบาลต่อ MOU 43-44 หลักการของเราคิดว่าได้ประโยชน์สูงสุด เป็นเรื่องของสภาฯ อย่าเอาเรื่องสภาฯมาถาม ผมตอบแทนไม่ได้ ส่วนที่สภาฯ ชิงปิดประชุมก่อนพิจารณาเรื่อง MOU 43-44 ว่ากันตามวาระ ไม่ใช่จะใส่วาระที่ไม่มีเข้าไปได้ ไม่มีอะไรแปลก อย่าสงสัยอะไรมาก ยืนยัน จ่ายชดเชยประชาชนที่ได้รับผลกระทบเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ตามระเบียบเดิม ทำได้ดีกว่าทุกรัฐบาล ขอให้ทำใจเรื่องเขตแดนไม่ได้จบง่ายๆ
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น

    ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด

    แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี

    AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก
    AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน
    B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้
    B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU
    B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง
    B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง
    B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000
    AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม
    B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ
    ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด
    B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025

    https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    🎙️ AMD ปิดตำนาน B650 – เปิดทางสู่ B850 ที่แรงกว่าแต่แพงขึ้น ในโลกของฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนกระแสไฟ AMD ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ใช้งานระดับกลางที่ต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์ม AM5 โดยราคาที่เคยเริ่มต้นราว $125 และลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้ B650 เป็นขวัญใจสายประกอบคอมงบจำกัด แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า AMD ก็ต้องปรับตัว โดยเปิดตัวชิปเซ็ต B850 และ B840 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2025 โดย B850 มาพร้อมกับการรองรับ PCIe 5.0 ที่กว้างขึ้น ทั้งในช่องเสียบ GPU และ M.2 NVMe ซึ่งใน B650 นั้นยังเป็นตัวเลือกเสริม ไม่ได้บังคับให้มี AMD ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์ม AM5 พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งในด้านการเชื่อมต่อ ความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล และการขยายระบบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน Ryzen 9000 และรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะมีข่าวดีเรื่องฟีเจอร์ใหม่ แต่ก็มีผลกระทบตามมา เพราะ B850 มีราคาสูงกว่า B650 และผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีกแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมราคาประหยัดต้องรีบคว้า B650 ที่ยังเหลืออยู่ในตลาดก่อนหมด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ประกาศยุติการผลิตชิปเซ็ต B650 อย่างเป็นทางการ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่สามารถสั่งซื้อ B650 เพิ่มได้อีก ➡️ AMD แนะนำให้เปลี่ยนผ่านไปใช้ B850 และ B840 แทน ➡️ B850 รองรับ PCIe 5.0 สำหรับ M.2 NVMe แบบบังคับ และ GPU แบบเลือกได้ ➡️ B650 รองรับ PCIe 5.0 เฉพาะบางรุ่น และไม่บังคับในช่อง GPU ➡️ B850 ใช้ชิป Promontory 21 เหมือนกับ B650 แต่มีฟีเจอร์ที่ปรับปรุง ➡️ B650 เปิดตัวในปี 2022 และได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานระดับกลาง ➡️ B850 เปิดตัวต้นปี 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และรองรับ Ryzen 9000 ➡️ AMD ยืนยันว่าเมนบอร์ด B650 ที่มีอยู่ยังสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ได้ ➡️ ผู้ผลิตเมนบอร์ดกำลังทยอยขายสต็อก B650 ให้หมดภายในไตรมาส 3–4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ราคาของ B650 เคยลดลงต่ำกว่า $100 ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยม ➡️ B850 มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ➡️ ผู้ใช้งานที่ต้องการประกอบคอมขนาดเล็กควรรีบซื้อ B650 ก่อนหมดตลาด ➡️ B850 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ GPU และ SSD รุ่นใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรีเฟรชแพลตฟอร์ม AM5 ในปี 2024–2025 https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/amd-discontinues-b650-chipset-to-transition-to-the-newer-b850-chipset-affordable-am5-motherboards-just-got-a-bit-pricier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคำสั่งสั้น ๆ ถึง AI กลายเป็นภาระต่อโลก – และการคลิกก็ไม่ไร้ผลอีกต่อไป

    Google เพิ่งเปิดเผยข้อมูลที่หลายคนรอคอยมานาน: คำสั่งข้อความหนึ่งคำสั่งที่ส่งไปยัง Gemini AI ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 0.24 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับการดูทีวีประมาณ 9 วินาที และใช้น้ำประมาณ 0.26 มิลลิลิตร หรือราว 5 หยด เพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล

    แม้ตัวเลขจะดูเล็ก แต่เมื่อคูณกับจำนวนผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลก และคำสั่งที่ส่งเข้ามานับพันล้านครั้งต่อวัน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อรวมกับพลังงานที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในตัวเลขนี้

    Google ระบุว่า 58% ของพลังงานถูกใช้โดยชิป TPU ที่รันโมเดล AI ส่วนอีก 25% มาจาก CPU และหน่วยความจำของเครื่องแม่ข่าย และอีก 10% จากเครื่องสำรองที่เปิดไว้เผื่อระบบล่ม ส่วนที่เหลือ 8% เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปของศูนย์ข้อมูล เช่น ระบบระบายความร้อนและแปลงไฟ

    แม้ Google จะพยายามลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของ Gemini ลงถึง 33 เท่าและ 44 เท่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังตั้งคำถามว่า ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เพราะไม่ได้รวมการใช้น้ำทางอ้อม หรือผลกระทบจากแหล่งพลังงานที่ใช้จริงในแต่ละพื้นที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    คำสั่งหนึ่งคำสั่งถึง Gemini AI ใช้พลังงานเฉลี่ย 0.24 วัตต์-ชั่วโมง
    เทียบเท่ากับการดูทีวีประมาณ 9 วินาที และใช้น้ำประมาณ 0.26 มิลลิลิตรเพื่อระบายความร้อน
    58% ของพลังงานใช้กับชิป TPU, 25% กับ CPU และ DRAM, 10% กับเครื่องสำรอง, 8% กับระบบศูนย์ข้อมูล
    Google ลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของ Gemini ลง 33x และ 44x ภายใน 12 เดือน
    รายงานนี้เป็นครั้งแรกที่บริษัท AI รายใหญ่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานต่อคำสั่งอย่างละเอียด
    Google หวังให้รายงานนี้เป็นมาตรฐานใหม่ในการวัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ AI
    ตัวเลขไม่รวมพลังงานจากการฝึกโมเดล, อุปกรณ์ผู้ใช้, หรือเครือข่ายภายนอก
    Gemini มีผู้ใช้งานมากกว่า 350 ล้านคนต่อเดือน ณ เดือนเมษายน 2025
    การวัดผลกระทบใช้ค่าเฉลี่ยจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลกของ Google
    รายงานยังไม่ผ่านการ peer review แต่ Google เปิดรับข้อเสนอให้ตรวจสอบในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI เคยระบุว่าแต่ละคำสั่งใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่าการเปิดเตาอบ 1 วินาที
    นักวิจัยจาก MIT ระบุว่าการเปิดเผยข้อมูลนี้ช่วยให้เข้าใจผลกระทบของ AI ได้ชัดเจนขึ้น
    นักวิชาการบางคนชี้ว่า Google ใช้ “market-based” carbon measure ซึ่งอาจไม่สะท้อนผลกระทบจริงในแต่ละพื้นที่
    การใช้น้ำทางอ้อม เช่น น้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ยังไม่รวมอยู่ในตัวเลขที่รายงาน
    การใช้ AI อย่างแพร่หลายอาจทำให้ความพยายามลดคาร์บอนของบริษัทถูกกลบด้วยการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/google-one-ai-prompt-uses-as-much-energy-as-nine-seconds-of-tv
    🎙️ เมื่อคำสั่งสั้น ๆ ถึง AI กลายเป็นภาระต่อโลก – และการคลิกก็ไม่ไร้ผลอีกต่อไป Google เพิ่งเปิดเผยข้อมูลที่หลายคนรอคอยมานาน: คำสั่งข้อความหนึ่งคำสั่งที่ส่งไปยัง Gemini AI ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 0.24 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับการดูทีวีประมาณ 9 วินาที และใช้น้ำประมาณ 0.26 มิลลิลิตร หรือราว 5 หยด เพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล แม้ตัวเลขจะดูเล็ก แต่เมื่อคูณกับจำนวนผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลก และคำสั่งที่ส่งเข้ามานับพันล้านครั้งต่อวัน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อรวมกับพลังงานที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในตัวเลขนี้ Google ระบุว่า 58% ของพลังงานถูกใช้โดยชิป TPU ที่รันโมเดล AI ส่วนอีก 25% มาจาก CPU และหน่วยความจำของเครื่องแม่ข่าย และอีก 10% จากเครื่องสำรองที่เปิดไว้เผื่อระบบล่ม ส่วนที่เหลือ 8% เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปของศูนย์ข้อมูล เช่น ระบบระบายความร้อนและแปลงไฟ แม้ Google จะพยายามลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของ Gemini ลงถึง 33 เท่าและ 44 เท่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังตั้งคำถามว่า ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เพราะไม่ได้รวมการใช้น้ำทางอ้อม หรือผลกระทบจากแหล่งพลังงานที่ใช้จริงในแต่ละพื้นที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ คำสั่งหนึ่งคำสั่งถึง Gemini AI ใช้พลังงานเฉลี่ย 0.24 วัตต์-ชั่วโมง ➡️ เทียบเท่ากับการดูทีวีประมาณ 9 วินาที และใช้น้ำประมาณ 0.26 มิลลิลิตรเพื่อระบายความร้อน ➡️ 58% ของพลังงานใช้กับชิป TPU, 25% กับ CPU และ DRAM, 10% กับเครื่องสำรอง, 8% กับระบบศูนย์ข้อมูล ➡️ Google ลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของ Gemini ลง 33x และ 44x ภายใน 12 เดือน ➡️ รายงานนี้เป็นครั้งแรกที่บริษัท AI รายใหญ่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานต่อคำสั่งอย่างละเอียด ➡️ Google หวังให้รายงานนี้เป็นมาตรฐานใหม่ในการวัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ AI ➡️ ตัวเลขไม่รวมพลังงานจากการฝึกโมเดล, อุปกรณ์ผู้ใช้, หรือเครือข่ายภายนอก ➡️ Gemini มีผู้ใช้งานมากกว่า 350 ล้านคนต่อเดือน ณ เดือนเมษายน 2025 ➡️ การวัดผลกระทบใช้ค่าเฉลี่ยจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลกของ Google ➡️ รายงานยังไม่ผ่านการ peer review แต่ Google เปิดรับข้อเสนอให้ตรวจสอบในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI เคยระบุว่าแต่ละคำสั่งใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่าการเปิดเตาอบ 1 วินาที ➡️ นักวิจัยจาก MIT ระบุว่าการเปิดเผยข้อมูลนี้ช่วยให้เข้าใจผลกระทบของ AI ได้ชัดเจนขึ้น ➡️ นักวิชาการบางคนชี้ว่า Google ใช้ “market-based” carbon measure ซึ่งอาจไม่สะท้อนผลกระทบจริงในแต่ละพื้นที่ ➡️ การใช้น้ำทางอ้อม เช่น น้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ยังไม่รวมอยู่ในตัวเลขที่รายงาน ➡️ การใช้ AI อย่างแพร่หลายอาจทำให้ความพยายามลดคาร์บอนของบริษัทถูกกลบด้วยการใช้งานที่เพิ่มขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/google-one-ai-prompt-uses-as-much-energy-as-nine-seconds-of-tv
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google: One AI prompt uses as much energy as nine seconds of TV
    A single text prompt to Google's artificial intelligence (AI) software, Gemini, consumes roughly as much electricity as just under nine seconds of television, the company said on Aug 21.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์

    ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI
    ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR
    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์
    Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง
    Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว
    Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu
    Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล
    กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร
    การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan
    ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน
    นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง
    การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่
    Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น
    การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    🎙️ เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI ➡️ ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ ➡️ Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง ➡️ Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว ➡️ Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu ➡️ Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล ➡️ กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร ➡️ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan ➡️ ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน ➡️ นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง ➡️ การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ➡️ Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น ➡️ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    HACKREAD.COM
    Qilin Ransomware Gang Claims 4TB Data Breach at Nissan CBI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อกล้องหน้าร้านกลายเป็นเครื่องมือสแกนใบหน้า – และลูกค้าไม่รู้ตัว

    Benjamin Jankowski ลูกค้าประจำของ Home Depot ในรัฐอิลลินอยส์ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติระหว่างใช้เครื่อง self-checkout ที่ร้านในชิคาโก เขาเห็นกล้องและหน้าจอที่แสดงกรอบสีเขียวรอบใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าระบบกำลังสแกนและบันทึกข้อมูลใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

    เขาจึงตัดสินใจฟ้อง Home Depot ในรูปแบบ class action โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย Biometric Information Privacy Act (BIPA) ของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น รูปทรงใบหน้า และต้องได้รับ “ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร”

    คดีนี้เปิดเผยว่า Home Depot เริ่มใช้เทคโนโลยี “computer vision” ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อป้องกันการขโมยสินค้า โดยขยายการใช้งานในปี 2024 ไปยังเครื่อง self-checkout ทั่วรัฐอิลลินอยส์ แต่ไม่มีการแจ้งลูกค้าอย่างเป็นทางการ และไม่มีนโยบายการจัดเก็บข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    Jankowski ต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว และเรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา

    กรณีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Rite Aid ถูกแบนไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการใช้งานที่ “ประมาท” และสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค เช่น การระบุผิดพลาดและการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ลูกค้าชื่อ Benjamin Jankowski ฟ้อง Home Depot ฐานใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าโดยไม่แจ้ง
    เขาเห็นกรอบสีเขียวรอบใบหน้าบนหน้าจอ self-checkout ที่ร้านในชิคาโก
    ไม่มีป้ายแจ้งหรือคำเตือนเกี่ยวกับการสแกนใบหน้า
    Home Depot เริ่มใช้ “computer vision” ในปี 2023 และขยายในปี 2024 เพื่อป้องกันการขโมย
    ระบบนี้เก็บข้อมูลรูปทรงใบหน้า (facial geometry) ซึ่งถือเป็นข้อมูลชีวภาพตามกฎหมาย BIPA
    BIPA กำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าและขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเก็บข้อมูล
    Jankowski เรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา
    เขาต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
    คดีนี้เกิดขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rite Aid ถูกแบนจากการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี หลังจากใช้งานโดยประมาท
    ระบบของ Rite Aid เคยสร้าง false positives หลายพันครั้ง และเก็บภาพลูกค้าโดยไม่แจ้ง
    กฎหมาย BIPA ของรัฐอิลลินอยส์ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ
    เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าปลีกเพื่อป้องกันการขโมย
    นักกฎหมายเตือนว่าการใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่แจ้งอาจนำไปสู่คดี class action จำนวนมาก

    https://petapixel.com/2025/08/20/home-depot-sued-for-secretly-using-facial-recognition-technology-on-self-checkout-cameras/
    🎙️ เมื่อกล้องหน้าร้านกลายเป็นเครื่องมือสแกนใบหน้า – และลูกค้าไม่รู้ตัว Benjamin Jankowski ลูกค้าประจำของ Home Depot ในรัฐอิลลินอยส์ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติระหว่างใช้เครื่อง self-checkout ที่ร้านในชิคาโก เขาเห็นกล้องและหน้าจอที่แสดงกรอบสีเขียวรอบใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าระบบกำลังสแกนและบันทึกข้อมูลใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงตัดสินใจฟ้อง Home Depot ในรูปแบบ class action โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย Biometric Information Privacy Act (BIPA) ของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น รูปทรงใบหน้า และต้องได้รับ “ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร” คดีนี้เปิดเผยว่า Home Depot เริ่มใช้เทคโนโลยี “computer vision” ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อป้องกันการขโมยสินค้า โดยขยายการใช้งานในปี 2024 ไปยังเครื่อง self-checkout ทั่วรัฐอิลลินอยส์ แต่ไม่มีการแจ้งลูกค้าอย่างเป็นทางการ และไม่มีนโยบายการจัดเก็บข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ Jankowski ต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว และเรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา กรณีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Rite Aid ถูกแบนไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการใช้งานที่ “ประมาท” และสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค เช่น การระบุผิดพลาดและการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ลูกค้าชื่อ Benjamin Jankowski ฟ้อง Home Depot ฐานใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าโดยไม่แจ้ง ➡️ เขาเห็นกรอบสีเขียวรอบใบหน้าบนหน้าจอ self-checkout ที่ร้านในชิคาโก ➡️ ไม่มีป้ายแจ้งหรือคำเตือนเกี่ยวกับการสแกนใบหน้า ➡️ Home Depot เริ่มใช้ “computer vision” ในปี 2023 และขยายในปี 2024 เพื่อป้องกันการขโมย ➡️ ระบบนี้เก็บข้อมูลรูปทรงใบหน้า (facial geometry) ซึ่งถือเป็นข้อมูลชีวภาพตามกฎหมาย BIPA ➡️ BIPA กำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าและขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเก็บข้อมูล ➡️ Jankowski เรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา ➡️ เขาต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ➡️ คดีนี้เกิดขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rite Aid ถูกแบนจากการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี หลังจากใช้งานโดยประมาท ➡️ ระบบของ Rite Aid เคยสร้าง false positives หลายพันครั้ง และเก็บภาพลูกค้าโดยไม่แจ้ง ➡️ กฎหมาย BIPA ของรัฐอิลลินอยส์ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ ➡️ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าปลีกเพื่อป้องกันการขโมย ➡️ นักกฎหมายเตือนว่าการใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่แจ้งอาจนำไปสู่คดี class action จำนวนมาก https://petapixel.com/2025/08/20/home-depot-sued-for-secretly-using-facial-recognition-technology-on-self-checkout-cameras/
    PETAPIXEL.COM
    Home Depot Sued for 'Secretly' Using Facial Recognition Technology on Self-Checkout Cameras
    The Home Depot customer says he noticed the camera at a recent trip to the store.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI

    ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย

    แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท

    สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้
    องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง
    ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร
    AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด
    2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว
    AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์
    ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน

    https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    🎙️ เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้ ➡️ องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง ➡️ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร ➡️ AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้ ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ➡️ 2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว ➡️ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ ➡️ ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    THEDAILYADDA.COM
    95% of Companies See ‘Zero Return’ on $30 Billion Generative AI Spend, MIT Report Finds
    Over the last three years, companies worldwide have invested between 30 and 40 billion dollars into generative artificial intelligence projects. Yet most of these efforts have brought no real business…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์

    ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump

    หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ

    Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก

    นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump
    Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10%
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น”
    Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป
    Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส
    TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว
    การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump
    Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel
    การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030
    SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน
    การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง

    https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    🎙️ Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump ➡️ Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” ➡️ Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป ➡️ Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส ➡️ TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ➡️ การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump ➡️ Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ➡️ Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030 ➡️ SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน ➡️ การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Seeking To Woo Trump Administration By Investing In Intel After Softbank, Says Report
    Samsung is considering investing in Intel to support U.S. chip production after Softbank's $2 billion investment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts