• 232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ
    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General)

    เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ

    การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์
    หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์

    ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว
    ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น

    คำตัดสินประหารชีวิต
    ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ

    ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ
    ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต

    สำเร็จโทษด้วยกิโยติน
    เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ

    ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์

    "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ
    "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ

    ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ

    มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
    การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ

    เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส?
    พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน

    2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ?
    กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม

    3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร?
    ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส

    4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์?
    ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568

    #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General) เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์ หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์ ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น คำตัดสินประหารชีวิต ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต สำเร็จโทษด้วยกิโยติน เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์ "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส? พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน 2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ? กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม 3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร? ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส 4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์? ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568 #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧵เอ็มมานูเอล มาครง – ลูกศิษย์ของตระกูลรอธส์ไชลด์กลายมาเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส?

    ประธานาธิบดีฝรั่งเศส @EmmanuelMacron ผู้ได้รับฉายาว่า “ประธานาธิบดีของคนรวย,” ได้ให้การสนับสนุนการขึ้นภาษีแก่บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยและบริษัทขนาดใหญ่ นิวยอร์กไทม์ส กล่าวว่า ประธานาธิบดี “คัดค้านการขึ้นภาษีอย่างแข็งกร้าว,” แต่ มิเชล บาร์เนียร์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวว่า ไม่มีทางเลือกอื่นในการแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่ขยายตัวของฝรั่งเศส

    👇มาครงได้รับฉายานี้มาได้อย่างไร, และเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลธนาคารชื่อดัง รอธส์ไชลด์ ได้อย่างไร? 👇
    .
    ◻️ เอ็มมานูเอล มาครง เคยทำงานเป็นนายธนาคารเพื่อการลงทุนที่ธนาคาร Rothschild & Cie Banque ระหว่างปี ๒๐๐๘ ถึง ๒๐๑๒ หลังจากได้รับการคัดเลือกในช่วงปลายปี ๒๐๐๘, มาครงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนของธนาคารในปี ๒๐๑๐ มาครงได้รับเงินเดือนประมาณ ๒.๙ ล้านยูโร ในขณะที่ทำงานให้กับตระกูล Rothschild, ตามรายงานของ Financial Times
    .
    ◻️ ในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี ๒๐๑๗, มาครงถูกตำหนิว่าเป็น "ผู้สมัครรับเลือกตั้งในสาขาการเงิน" เขาลงสมัครในฐานะผู้สมัครอิสระในพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ แต่สามารถระดมทุนได้อย่างรวดเร็วถึง ๑๓ ล้านยูโร เงินทุนส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายธนาคาร, นักการเงิน, และนักธุรกิจที่มีอิทธิพล, ตามรายงานของ Mediapart, ซึ่งเป็นสื่อสืบสวนอิสระของฝรั่งเศส กฎหมายของฝรั่งเศสอนุญาตให้ทีมหาเสียงของมาครงเก็บรายชื่อผู้บริจาคของเขาไว้เป็นความลับ
    .
    ◻️ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง, นายมาครงได้ดำเนินมาตรการต่างๆมากมายเพื่อคนรวยและบริษัทต่างๆ โดยได้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลอย่างเป็นทางการจาก ๓๓% เหลือ ๒๕%, ลดภาษีสำหรับผู้ผลิต, กำหนดให้เก็บภาษีในอัตราคงที่ ๓๐% สำหรับรายได้จากการลงทุน และแทนที่ภาษีทรัพย์สินสำหรับคนรวยด้วยภาษีสำหรับทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑.๓ ล้านยูโร
    .
    อย่างไรก็ตาม, มาตรการขึ้นภาษี, ซึ่งอาจทำให้มีรายได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านยูโรต่อปี, ตามรายงานของ Terra Nova ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยของฝรั่งเศส, ถือเป็นมาตรการชั่วคราว รัฐบาลฝรั่งเศสจำเป็นต้องหาเงิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านยูโรในช่วงหลายปีข้างหน้า, และเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการลดรายจ่ายของรัฐบาล, ตามรายงานของ NYT
    .
    ตระกูลรอธส์ไชลด์ จัดการอย่างไร จึงนำอาณาจักรทางการเงินของพวกเขากลับมารวมกันอีกครั้งภายใต้การนำของมาครง

    ◻️ ในเดือนกันยายน ๒๐๑๘, FT เรียก เดวิด เดอ โรธส์ไชลด์ ว่าเป็น "ลูกศิษย์" ของมาครง และอ้างถึงนายธนาคารที่ยกย่องประธานาธิบดีฝรั่งเศสว่า "เด็ดขาด," "ฉลาดมาก," "กล้าหาญ," และ "ทำในสิ่งที่เขาพูดว่าจะทำ" เมื่อ FT ถามเกี่ยวกับการ "ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้" ของมาครง, เดอ โรธส์ไชลด์ ตอบว่า: "โลกได้จัดเรียงแถวกัน"
    .
    ◻️ ตระกูลรอธส์ไชลด์ ดูเหมือนจะมีแรงจูงใจในการสนับสนุนมาครง - ประธานาธิบดีที่คาดเดาได้ซึ่งเล่นงานคนรวย: โครงสร้างธนาคารของตระกูลรอธส์ไชลด์ถูกยึดเป็นของรัฐสองครั้งในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสยุคใหม่ - โดยระบอบการปกครองของวีชีในปี ๑๙๔๐ และโดยกลุ่มพันธมิตรสังคมนิยมของประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิตแตร์รอง ในปี ๑๙๘๑
    .
    ◻️ ในปี ๑๙๘๔, Eric de Rothschild ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งธนาคารแห่งใหม่ แต่ถูกห้ามใช้ชื่อสกุล ข้อจำกัดดังกล่าวถูกยกเลิกภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Jacques Chirac ในปี ๑๙๘๖, และสถาบันการเงินได้เปลี่ยนชื่อเป็น Rothschild et Associés Banque และต่อมาเป็น Rothschild et Cie. Banque
    .
    ◻️ ในช่วงที่ Macron ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี, Rothschilds ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจการเงินของตน, โดยบริษัทใหญ่ของพวกเขา Rothschilds & Co. ถูกขายเป็นเอกชนในปี ๒๐๒๓ ในข้อตกลงมูลค่า ๓.๗ พันล้านยูโร ที่นำโดยครอบครัว ในเดือนมีนาคม ๒๐๒๓, Reuters เน้นย้ำถึง "การขยายตัวล่าสุดของ Rothschild ในด้านธนาคารส่วนบุคคลและการจัดการสินทรัพย์" และการทำให้ "มีการเคลื่อนไหวและมีพลวัตมาก"
    .
    ในรายงานเชิงลึกด้านมหภาค ประจำเดือนกันยายน, Rothschild & Co. เขียนว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น, และเสริมว่า "คำถามที่ยังคงค้างอยู่ว่าจะประสานความจำเป็นในการมีวินัยทางการเงินกับความต้องการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่หยุดหย่อนได้อย่างไร" จะต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลของ Macron
    .
    🧵EMMANUEL MACRON – ROTHSCHILDS PROTÉGÉ TURNED FRENCH PRESIDENT?

    French President @EmmanuelMacron who has been nicknamed a "president of the rich," has given a nod to tax increases on wealthy individuals and big companies. The New York Times says the president "has vociferously opposed tax increases," but French PM Michel Barnier said there is no other choice for solving France’s widening budget deficit problem.

    👇How did Macron earn his nickname, and how is he linked to the famous Rothschild banking family? 👇
    .
    ◻️ Emmanuel Macron had worked as an investment banker at Rothschild & Cie Banque between 2008 and 2012. Recruited at the end of 2008, Macron was promoted to a partner with the bank in 2010. Macron earned about €2.9 million while working for the Rothschilds, according to the Financial Times.
    .
    ◻️ During his 2017 presidential campaign, Macron was castigated as the "candidate of finance." He ran as an independent candidate with a newly assembled party but managed to quickly raise €13 million. The funds were primarily sourced from a powerful network of bankers, financiers, and businessmen, according to Mediapart, an independent French investigative media. French laws allowed the Macron campaign to keep the list of his donors on the hush.
    .
    ◻️ When assuming office, Macron carried out a string of measures for the rich and companies. He reduced the official corporate tax rate to 25% from 33%, slashed taxes for manufacturers, introduced a flat tax of 30% on investment income, and replaced a wealth tax on the very rich with a tax on real estate assets valued at more than 1.3 million euros.
    .
    However, the tax increase measure, which could bring around €10 billion annually, according to French think tank Terra Nova, is a temporary measure. The French government needs to find €110 billion over the next several years, and most of the sum would be in the form of slashing government spending, according to NYT.
    .
    HOW ROTHSCHILDS MANAGED TO BRING THEIR FINANCIAL EMPIRE TOGETHER AGAIN UNDER MACRON

    ◻️ In September 2018, FT called Macron David de Rothschild's "protégé" and cited the banker as hailing the French president as "decisive," "extremely intelligent," "courageous," and "doing what he said he would do." When asked by FT about Macron's "unlikely ascent to the presidency," de Rothschild responded: "Planets have aligned."
    .
    ◻️ The Rothschilds appear to have a motif in supporting Macron – a predictable president playing in the hands of the rich: the Rothschild banking structure was nationalized twice in modern French history – by the Vichy regime in 1940 and by the Socialist coalition of President François Mitterrand in 1981.
    .
    ◻️ In 1984, Eric de Rothschild received permission to found a new bank but was banned from using the family name. The restriction was lifted under PM Jacques Chirac in 1986, and the financial institution was renamed Rothschild et Associés Banque and later Rothschild et Cie. Banque.
    .
    ◻️ During Macron's presidency, the Rothschilds restructured their financial business, with their major company Rothschilds & Co. being taken private in 2023 in a family-led €3.7 billion deal. In March 2023, Reuters placed emphasis on the Rothschilds "recent expansion into private banking and asset management" and becoming "very active and dynamic."
    .
    In their September macro insights, Rothschild & Co. wrote that the French economy needs a boost, adding that "the lingering question over how to reconcile the need for fiscal discipline with incessant demands for public spending" must be resolved by the Macron government.
    .
    12:30 AM · Oct 8, 2024 · 4,279 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1843343262028886189
    🧵เอ็มมานูเอล มาครง – ลูกศิษย์ของตระกูลรอธส์ไชลด์กลายมาเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส? ประธานาธิบดีฝรั่งเศส @EmmanuelMacron ผู้ได้รับฉายาว่า “ประธานาธิบดีของคนรวย,” ได้ให้การสนับสนุนการขึ้นภาษีแก่บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยและบริษัทขนาดใหญ่ นิวยอร์กไทม์ส กล่าวว่า ประธานาธิบดี “คัดค้านการขึ้นภาษีอย่างแข็งกร้าว,” แต่ มิเชล บาร์เนียร์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวว่า ไม่มีทางเลือกอื่นในการแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่ขยายตัวของฝรั่งเศส 👇มาครงได้รับฉายานี้มาได้อย่างไร, และเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลธนาคารชื่อดัง รอธส์ไชลด์ ได้อย่างไร? 👇 . ◻️ เอ็มมานูเอล มาครง เคยทำงานเป็นนายธนาคารเพื่อการลงทุนที่ธนาคาร Rothschild & Cie Banque ระหว่างปี ๒๐๐๘ ถึง ๒๐๑๒ หลังจากได้รับการคัดเลือกในช่วงปลายปี ๒๐๐๘, มาครงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนของธนาคารในปี ๒๐๑๐ มาครงได้รับเงินเดือนประมาณ ๒.๙ ล้านยูโร ในขณะที่ทำงานให้กับตระกูล Rothschild, ตามรายงานของ Financial Times . ◻️ ในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี ๒๐๑๗, มาครงถูกตำหนิว่าเป็น "ผู้สมัครรับเลือกตั้งในสาขาการเงิน" เขาลงสมัครในฐานะผู้สมัครอิสระในพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ แต่สามารถระดมทุนได้อย่างรวดเร็วถึง ๑๓ ล้านยูโร เงินทุนส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายธนาคาร, นักการเงิน, และนักธุรกิจที่มีอิทธิพล, ตามรายงานของ Mediapart, ซึ่งเป็นสื่อสืบสวนอิสระของฝรั่งเศส กฎหมายของฝรั่งเศสอนุญาตให้ทีมหาเสียงของมาครงเก็บรายชื่อผู้บริจาคของเขาไว้เป็นความลับ . ◻️ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง, นายมาครงได้ดำเนินมาตรการต่างๆมากมายเพื่อคนรวยและบริษัทต่างๆ โดยได้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลอย่างเป็นทางการจาก ๓๓% เหลือ ๒๕%, ลดภาษีสำหรับผู้ผลิต, กำหนดให้เก็บภาษีในอัตราคงที่ ๓๐% สำหรับรายได้จากการลงทุน และแทนที่ภาษีทรัพย์สินสำหรับคนรวยด้วยภาษีสำหรับทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑.๓ ล้านยูโร . อย่างไรก็ตาม, มาตรการขึ้นภาษี, ซึ่งอาจทำให้มีรายได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านยูโรต่อปี, ตามรายงานของ Terra Nova ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยของฝรั่งเศส, ถือเป็นมาตรการชั่วคราว รัฐบาลฝรั่งเศสจำเป็นต้องหาเงิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านยูโรในช่วงหลายปีข้างหน้า, และเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการลดรายจ่ายของรัฐบาล, ตามรายงานของ NYT . ตระกูลรอธส์ไชลด์ จัดการอย่างไร จึงนำอาณาจักรทางการเงินของพวกเขากลับมารวมกันอีกครั้งภายใต้การนำของมาครง ◻️ ในเดือนกันยายน ๒๐๑๘, FT เรียก เดวิด เดอ โรธส์ไชลด์ ว่าเป็น "ลูกศิษย์" ของมาครง และอ้างถึงนายธนาคารที่ยกย่องประธานาธิบดีฝรั่งเศสว่า "เด็ดขาด," "ฉลาดมาก," "กล้าหาญ," และ "ทำในสิ่งที่เขาพูดว่าจะทำ" เมื่อ FT ถามเกี่ยวกับการ "ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้" ของมาครง, เดอ โรธส์ไชลด์ ตอบว่า: "โลกได้จัดเรียงแถวกัน" . ◻️ ตระกูลรอธส์ไชลด์ ดูเหมือนจะมีแรงจูงใจในการสนับสนุนมาครง - ประธานาธิบดีที่คาดเดาได้ซึ่งเล่นงานคนรวย: โครงสร้างธนาคารของตระกูลรอธส์ไชลด์ถูกยึดเป็นของรัฐสองครั้งในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสยุคใหม่ - โดยระบอบการปกครองของวีชีในปี ๑๙๔๐ และโดยกลุ่มพันธมิตรสังคมนิยมของประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิตแตร์รอง ในปี ๑๙๘๑ . ◻️ ในปี ๑๙๘๔, Eric de Rothschild ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งธนาคารแห่งใหม่ แต่ถูกห้ามใช้ชื่อสกุล ข้อจำกัดดังกล่าวถูกยกเลิกภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Jacques Chirac ในปี ๑๙๘๖, และสถาบันการเงินได้เปลี่ยนชื่อเป็น Rothschild et Associés Banque และต่อมาเป็น Rothschild et Cie. Banque . ◻️ ในช่วงที่ Macron ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี, Rothschilds ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจการเงินของตน, โดยบริษัทใหญ่ของพวกเขา Rothschilds & Co. ถูกขายเป็นเอกชนในปี ๒๐๒๓ ในข้อตกลงมูลค่า ๓.๗ พันล้านยูโร ที่นำโดยครอบครัว ในเดือนมีนาคม ๒๐๒๓, Reuters เน้นย้ำถึง "การขยายตัวล่าสุดของ Rothschild ในด้านธนาคารส่วนบุคคลและการจัดการสินทรัพย์" และการทำให้ "มีการเคลื่อนไหวและมีพลวัตมาก" . ในรายงานเชิงลึกด้านมหภาค ประจำเดือนกันยายน, Rothschild & Co. เขียนว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น, และเสริมว่า "คำถามที่ยังคงค้างอยู่ว่าจะประสานความจำเป็นในการมีวินัยทางการเงินกับความต้องการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่หยุดหย่อนได้อย่างไร" จะต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลของ Macron . 🧵EMMANUEL MACRON – ROTHSCHILDS PROTÉGÉ TURNED FRENCH PRESIDENT? French President @EmmanuelMacron who has been nicknamed a "president of the rich," has given a nod to tax increases on wealthy individuals and big companies. The New York Times says the president "has vociferously opposed tax increases," but French PM Michel Barnier said there is no other choice for solving France’s widening budget deficit problem. 👇How did Macron earn his nickname, and how is he linked to the famous Rothschild banking family? 👇 . ◻️ Emmanuel Macron had worked as an investment banker at Rothschild & Cie Banque between 2008 and 2012. Recruited at the end of 2008, Macron was promoted to a partner with the bank in 2010. Macron earned about €2.9 million while working for the Rothschilds, according to the Financial Times. . ◻️ During his 2017 presidential campaign, Macron was castigated as the "candidate of finance." He ran as an independent candidate with a newly assembled party but managed to quickly raise €13 million. The funds were primarily sourced from a powerful network of bankers, financiers, and businessmen, according to Mediapart, an independent French investigative media. French laws allowed the Macron campaign to keep the list of his donors on the hush. . ◻️ When assuming office, Macron carried out a string of measures for the rich and companies. He reduced the official corporate tax rate to 25% from 33%, slashed taxes for manufacturers, introduced a flat tax of 30% on investment income, and replaced a wealth tax on the very rich with a tax on real estate assets valued at more than 1.3 million euros. . However, the tax increase measure, which could bring around €10 billion annually, according to French think tank Terra Nova, is a temporary measure. The French government needs to find €110 billion over the next several years, and most of the sum would be in the form of slashing government spending, according to NYT. . HOW ROTHSCHILDS MANAGED TO BRING THEIR FINANCIAL EMPIRE TOGETHER AGAIN UNDER MACRON ◻️ In September 2018, FT called Macron David de Rothschild's "protégé" and cited the banker as hailing the French president as "decisive," "extremely intelligent," "courageous," and "doing what he said he would do." When asked by FT about Macron's "unlikely ascent to the presidency," de Rothschild responded: "Planets have aligned." . ◻️ The Rothschilds appear to have a motif in supporting Macron – a predictable president playing in the hands of the rich: the Rothschild banking structure was nationalized twice in modern French history – by the Vichy regime in 1940 and by the Socialist coalition of President François Mitterrand in 1981. . ◻️ In 1984, Eric de Rothschild received permission to found a new bank but was banned from using the family name. The restriction was lifted under PM Jacques Chirac in 1986, and the financial institution was renamed Rothschild et Associés Banque and later Rothschild et Cie. Banque. . ◻️ During Macron's presidency, the Rothschilds restructured their financial business, with their major company Rothschilds & Co. being taken private in 2023 in a family-led €3.7 billion deal. In March 2023, Reuters placed emphasis on the Rothschilds "recent expansion into private banking and asset management" and becoming "very active and dynamic." . In their September macro insights, Rothschild & Co. wrote that the French economy needs a boost, adding that "the lingering question over how to reconcile the need for fiscal discipline with incessant demands for public spending" must be resolved by the Macron government. . 12:30 AM · Oct 8, 2024 · 4,279 Views https://x.com/SputnikInt/status/1843343262028886189
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว