• รองนายกฯ อนุมัติปรับปรุง "มาตรฐานคุณภาพอากาศ" ไทย เทียบเท่าสหภาพยุโรป เพิ่มวิธีการตรวจวัดสารมลพิษ
    https://www.thai-tai.tv/news/21920/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ #ฝุ่นPM25 #แม่น้ำบางปะกง #EIA #นโยบายสิ่งแวดล้อม
    รองนายกฯ อนุมัติปรับปรุง "มาตรฐานคุณภาพอากาศ" ไทย เทียบเท่าสหภาพยุโรป เพิ่มวิธีการตรวจวัดสารมลพิษ https://www.thai-tai.tv/news/21920/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ #ฝุ่นPM25 #แม่น้ำบางปะกง #EIA #นโยบายสิ่งแวดล้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

    ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

    พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่:
    - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง
    - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์
    - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน

    ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า:
    - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17%
    - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³

    นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น

    การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม
    วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก

    งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ
    ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย

    พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม
    PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน

    PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³
    พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง

    NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล

    เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³
    มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม

    นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม
    รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม

    WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา

    กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress
    ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท

    มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น
    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์

    กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า
    แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย

    มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม

    ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป
    เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน

    การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต
    ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว

    การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง
    ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

    https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    🧠🌫️ เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่: - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์ - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า: - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17% - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น ✅ การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ➡️ วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก ✅ งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ➡️ ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ✅ พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม ➡️ PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน ✅ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง ✅ NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ✅ เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ ➡️ มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ➡️ รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม ✅ WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา ✅ กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress ➡️ ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท ✅ มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น ➡️ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์ ✅ กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า ➡️ แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย ‼️ มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว ⛔ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม ‼️ ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป ⛔ เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน ‼️ การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต ⛔ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ‼️ การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง ⛔ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    WWW.CAM.AC.UK
    Long-term exposure to outdoor air pollution linked to increased risk of dementia
    An analysis of studies incorporating data from almost 30 million people has highlighted the role that air pollution – including that coming from car exhaust
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ
    นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย
    .
    ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
    .
    ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง
    .
    ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย
    .
    แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้
    .
    ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571
    .
    ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า
    .
    ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
    .
    บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง
    .
    ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย . ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา . ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง . ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย . แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้ . ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571 . ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า . ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก . บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง . ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 818 มุมมอง 0 รีวิว