• นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 6 ฉากนี้ ชื่อ Ukraine

    Ukraine กับรัสเซีย พัวพัน แกะกันแทบไม่ออก ในเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกของประเทศ มันแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีอะไรแปลกแยกกันเลย ท่อแก๊สเกือบทั้งหมดของรัสเซีย วิ่งลงมาจากตะวันตกของไซบีเรีย ผ่านตรงลงมาที่ Ukraine เพื่อออกไปสู่เยอรมัน ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก ความพยายามของ NATO ที่จะทำให้ Ukraine กลายเป็นรัฐที่ไม่เป็นกลาง ย่อมมีผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงของรัสเซีย และนี่เป็นตัวชนวน ที่รัฐบาลของ Bush คนลูก ต้องการอย่างที่สุด

    ดูให้ดี ๆ จากแผนที่ของ Eurasia จะเห็นว่า Color – Revolutions การปฏิวัติหลากสี ที่เกิดขึ้นใน Eurasia ในช่วงปี ค.ศ. 2000 เป็นการเดินหมากล้อมของอเมริกา เพื่อโดดเดี่ยวรัสเซีย และเป้าหมายที่สำคัญ คือเพื่อตัดเส้นเลือดสำคัญที่เลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซีย คือเครือข่ายการขนส่งน้ำมันและ แก๊สทางท่อส่งจาก Urals และไซบีเรีย มายังยุโรปตะวันตก และ Eurasia โดยผ่าน Ukraine ถ้าอเมริกาเก็บ Ukraine เข้ากระเป๋าตัวเองได้ นั่นคืออวสานของรัสเซีย

    การพยายามเปลี่ยนให้ Ukraine ที่เคยพึ่งพารัสเซีย มาเข้าอยู่ในอ้อมกอดของ NATO จึงเป็นมหกรรมการสร้างฉาก ที่อเมริกาลงทุนทุ่มสุดตัว ผ่านเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อมเรียกว่า “Orange Revolution หุ่นเชิดชาว Ukraine ที่อเมริกาเรียกมาเข้าฉาก คือ Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของ Ukraine วัย 50 ปี เมียของ Yushchenko ชื่อ Kateryna เป็นคนสัญชาติอเมริกันเกิดใน Chicago และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในสมัยของ Reagan และ Bush คนพ่อ คุณนายมาอยู่ Ukraine ในฐานะตัวแทนของ US-Ukraine Foundation ซึ่งมีกรรมการสำคัญ ๆ เช่น นาย Grover Norquist ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลสูงอยู่ในพรรค Republican ของอเมริกา และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของนาย Bush คนพ่อ
    ทีมงานสร้างหุ่น สร้างฉาก มีหน้าที่ทำแผนการหาเสียง ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีให้นาย Yushchenko และเพื่อจัดการให้ Ukraine ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ NATO และของ EU ต่อไป ในการหาเสียงของนาย Yushchenko ผู้กำกับบอกใช้สีส้มนะ ถูกโฉลกดี ดังนั้นทุกอย่างตั้งแต่ ผืนธง แผ่นพับ ลูกโป่ง ป้าย ฯลฯ เป็นสีส้มหมด ส้มมันทั้งเมือง ไม่เป็นไร ลูกพี่ใหญ่รวยทุ่มเข้าไป แค่นั้นยังไม่สมกับฐานะเศรษฐี ลงมาเป็นผู้อำนวยการสร้าง วอชิงตันบอกเราต้องสร้างกลุ่มวัยรุ่นด้วย ที่คอยส่งเสียงเรียกร้องหาประชาธิปไตย เอามาวิ่งไป วิ่งมา เดินมันให้เต็มถนน สนุกดีออก เอ๊ะ แบบนี้คล้าย ๆ กับเพิ่งเห็นนะ ที่ไหนหว่า

    นอกจากนี้ นายทุนใหญ่จัดหนัก ส่งบริษัท PR ประชาสัมพันธ์ ตรงมาจากวอชิงตัน ชื่อบริษัท Rock Creek Creative มาเป็นผู้คิดแผนประชาสัมพันธ์สีส้มทั้งหมด ทำ web เชียร์ นาย Yushchenko ให้เป็นเทวดา ใช้ Slogan ว่า Pora (ถึงเวลาแล้ว) และยังเอาทีมงานที่เคยใช้สมัย “Rose Revolution” ของ Georgia มาร่วมด้วยช่วยกัน ส่วนด้านสื่อ CNN และ BBC ก็ช่วยกันประโคมข่าวว่าการเลือ กตั้งก่อนหน้านี้ ที่นาย Yushchenko แพ้นั้น เพราะมีการโกง เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อ ค.ศ. 2005 Yushchenko ก็ชนะแบบฉิ่วเฉียด แม้ว่าจะมีทีมงานสีส้มมาจัดฉาก แล้วเขาก็ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี

    งานนี้ นายทุนใหญ่ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาควักกระเป๋าจ่ายไปจิ๊บ ๆ แค่ 20 ล้านเหรียญ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ข่าวว่าลุงกำนันยังฉิบหายมากกว่านี้เลยตอนที่ให้สู้เข้าไป อย่าได้ถอยน่ะ

    นอกจากนี้องค์การ NGO ที่เคยสนับสนุนตอน Georgia ก็มาแจมด้วย ไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาออก คือองค์กร Open Society Institute ของไอ้ตัวร้าย George Soros รวมทั้ง Freedom House และ the National Endowment for Democracy (NED) แถมพ่วงพวกองค์กรของนักการเมือ งมาอีก 2 หน่อ คือ National Republican Institute และ National Democratic Institute ไม่ให้น้อยหน้ากัน สื่อท้องถิ่นของ Ukraine ออกข่าวว่า พวกนักสร้างฉากของนอก ที่เข้ามาเผ่นพ่านในเมืองเขานั้น ทำงานกันขยันขันแข็งมาก ทำกันเป็นทีม เดินกันเต็มเมือง เล่นเอาชาว Ukraine เหนียมอายหลบเข้าบ้านกันหมด
    เขียน ๆ ไปแล้วชักสงสัย แล้วไอ้สีเหลือง สีแดง สีฟ้า สี…อื่นๆ ในบ้านเรานี่ มีผู้กำกับนักสร้างฉากของนอก ส่งมาร่วมงานด้วยหรือเปล่าหนอ ? ! ?

    สิ่งที่วอชิงตันกัดฟันแน่น ไม่สามารถพูดออกมาได้ถึงวาระซ่อนเร้นของตน เกี่ยวกับนโยบายถล่มรัสเซีย คือ “พลังงาน” ตราบใดที่รัสเซียยังถือไพ่ใหญ่ในมือ คือการมีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเหลือเฟือในดินแดนของตน ซึ่งทำให้ยุโรปตะวันตก จีน และอีกหลาย ๆ ที่ ยากที่จะไม่เป็นเพื่อนกับรัสเซีย แล้วอย่างนี้อเมริกาจะใช้วิธีไหนที่จะโดดเดี่ยวรัสเซีย !

    ดูกันต่อไป หนังเพิ่งเริ่มเล่นมา 100 ปีกว่าเอง เขาก็เล่นมันไปเรื่อย ๆ เราก็ดูกันไปเรื่อย ๆ หรือไงครับ ? !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 6 ฉากนี้ ชื่อ Ukraine Ukraine กับรัสเซีย พัวพัน แกะกันแทบไม่ออก ในเรื่องของ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกของประเทศ มันแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีอะไรแปลกแยกกันเลย ท่อแก๊สเกือบทั้งหมดของรัสเซีย วิ่งลงมาจากตะวันตกของไซบีเรีย ผ่านตรงลงมาที่ Ukraine เพื่อออกไปสู่เยอรมัน ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก ความพยายามของ NATO ที่จะทำให้ Ukraine กลายเป็นรัฐที่ไม่เป็นกลาง ย่อมมีผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงของรัสเซีย และนี่เป็นตัวชนวน ที่รัฐบาลของ Bush คนลูก ต้องการอย่างที่สุด ดูให้ดี ๆ จากแผนที่ของ Eurasia จะเห็นว่า Color – Revolutions การปฏิวัติหลากสี ที่เกิดขึ้นใน Eurasia ในช่วงปี ค.ศ. 2000 เป็นการเดินหมากล้อมของอเมริกา เพื่อโดดเดี่ยวรัสเซีย และเป้าหมายที่สำคัญ คือเพื่อตัดเส้นเลือดสำคัญที่เลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซีย คือเครือข่ายการขนส่งน้ำมันและ แก๊สทางท่อส่งจาก Urals และไซบีเรีย มายังยุโรปตะวันตก และ Eurasia โดยผ่าน Ukraine ถ้าอเมริกาเก็บ Ukraine เข้ากระเป๋าตัวเองได้ นั่นคืออวสานของรัสเซีย การพยายามเปลี่ยนให้ Ukraine ที่เคยพึ่งพารัสเซีย มาเข้าอยู่ในอ้อมกอดของ NATO จึงเป็นมหกรรมการสร้างฉาก ที่อเมริกาลงทุนทุ่มสุดตัว ผ่านเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อมเรียกว่า “Orange Revolution หุ่นเชิดชาว Ukraine ที่อเมริกาเรียกมาเข้าฉาก คือ Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของ Ukraine วัย 50 ปี เมียของ Yushchenko ชื่อ Kateryna เป็นคนสัญชาติอเมริกันเกิดใน Chicago และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ในสมัยของ Reagan และ Bush คนพ่อ คุณนายมาอยู่ Ukraine ในฐานะตัวแทนของ US-Ukraine Foundation ซึ่งมีกรรมการสำคัญ ๆ เช่น นาย Grover Norquist ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลสูงอยู่ในพรรค Republican ของอเมริกา และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของนาย Bush คนพ่อ ทีมงานสร้างหุ่น สร้างฉาก มีหน้าที่ทำแผนการหาเสียง ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีให้นาย Yushchenko และเพื่อจัดการให้ Ukraine ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ NATO และของ EU ต่อไป ในการหาเสียงของนาย Yushchenko ผู้กำกับบอกใช้สีส้มนะ ถูกโฉลกดี ดังนั้นทุกอย่างตั้งแต่ ผืนธง แผ่นพับ ลูกโป่ง ป้าย ฯลฯ เป็นสีส้มหมด ส้มมันทั้งเมือง ไม่เป็นไร ลูกพี่ใหญ่รวยทุ่มเข้าไป แค่นั้นยังไม่สมกับฐานะเศรษฐี ลงมาเป็นผู้อำนวยการสร้าง วอชิงตันบอกเราต้องสร้างกลุ่มวัยรุ่นด้วย ที่คอยส่งเสียงเรียกร้องหาประชาธิปไตย เอามาวิ่งไป วิ่งมา เดินมันให้เต็มถนน สนุกดีออก เอ๊ะ แบบนี้คล้าย ๆ กับเพิ่งเห็นนะ ที่ไหนหว่า นอกจากนี้ นายทุนใหญ่จัดหนัก ส่งบริษัท PR ประชาสัมพันธ์ ตรงมาจากวอชิงตัน ชื่อบริษัท Rock Creek Creative มาเป็นผู้คิดแผนประชาสัมพันธ์สีส้มทั้งหมด ทำ web เชียร์ นาย Yushchenko ให้เป็นเทวดา ใช้ Slogan ว่า Pora (ถึงเวลาแล้ว) และยังเอาทีมงานที่เคยใช้สมัย “Rose Revolution” ของ Georgia มาร่วมด้วยช่วยกัน ส่วนด้านสื่อ CNN และ BBC ก็ช่วยกันประโคมข่าวว่าการเลือ กตั้งก่อนหน้านี้ ที่นาย Yushchenko แพ้นั้น เพราะมีการโกง เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อ ค.ศ. 2005 Yushchenko ก็ชนะแบบฉิ่วเฉียด แม้ว่าจะมีทีมงานสีส้มมาจัดฉาก แล้วเขาก็ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี งานนี้ นายทุนใหญ่ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาควักกระเป๋าจ่ายไปจิ๊บ ๆ แค่ 20 ล้านเหรียญ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ข่าวว่าลุงกำนันยังฉิบหายมากกว่านี้เลยตอนที่ให้สู้เข้าไป อย่าได้ถอยน่ะ นอกจากนี้องค์การ NGO ที่เคยสนับสนุนตอน Georgia ก็มาแจมด้วย ไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาออก คือองค์กร Open Society Institute ของไอ้ตัวร้าย George Soros รวมทั้ง Freedom House และ the National Endowment for Democracy (NED) แถมพ่วงพวกองค์กรของนักการเมือ งมาอีก 2 หน่อ คือ National Republican Institute และ National Democratic Institute ไม่ให้น้อยหน้ากัน สื่อท้องถิ่นของ Ukraine ออกข่าวว่า พวกนักสร้างฉากของนอก ที่เข้ามาเผ่นพ่านในเมืองเขานั้น ทำงานกันขยันขันแข็งมาก ทำกันเป็นทีม เดินกันเต็มเมือง เล่นเอาชาว Ukraine เหนียมอายหลบเข้าบ้านกันหมด เขียน ๆ ไปแล้วชักสงสัย แล้วไอ้สีเหลือง สีแดง สีฟ้า สี…อื่นๆ ในบ้านเรานี่ มีผู้กำกับนักสร้างฉากของนอก ส่งมาร่วมงานด้วยหรือเปล่าหนอ ? ! ? สิ่งที่วอชิงตันกัดฟันแน่น ไม่สามารถพูดออกมาได้ถึงวาระซ่อนเร้นของตน เกี่ยวกับนโยบายถล่มรัสเซีย คือ “พลังงาน” ตราบใดที่รัสเซียยังถือไพ่ใหญ่ในมือ คือการมีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเหลือเฟือในดินแดนของตน ซึ่งทำให้ยุโรปตะวันตก จีน และอีกหลาย ๆ ที่ ยากที่จะไม่เป็นเพื่อนกับรัสเซีย แล้วอย่างนี้อเมริกาจะใช้วิธีไหนที่จะโดดเดี่ยวรัสเซีย ! ดูกันต่อไป หนังเพิ่งเริ่มเล่นมา 100 ปีกว่าเอง เขาก็เล่นมันไปเรื่อย ๆ เราก็ดูกันไปเรื่อย ๆ หรือไงครับ ? ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาหารพกพายามเดินทางไกล

    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ

    ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl)

    จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน

    อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น

    แล้วมันคืออะไร?

    มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก

    หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน

    น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย

    น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว

    และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง

    เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/690825754_121115947
    https://www.sohu.com/a/712914583_121338666
    https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html
    https://www.sohu.com/a/443453413_120946747
    https://www.sohu.com/a/476806140_120018480
    https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5
    https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    อาหารพกพายามเดินทางไกล สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ ก็เลยมีความสงสัยว่า แล้วประชาชนธรรมดาเวลาเดินทางไกลกินอะไรกัน? วันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ เรื่องนี้ค่ะ ในสมัยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีรถม้าและพักแรมกินอาหารตามโรงเตี๊ยมได้ ระยะทางก็ยาวไกล ไม่สะดวกแบกสัมภาระมาก ภาพที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์คือสะพายห่อผ้าเดินเท้ากัน และอาหารที่พกก็คือเปี๊ยะหรือแผ่นแป้งปิ้งที่คุยกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid021ovimRULhAa1TBPph1nXsGVcPHbNM5ABmNwrzEahckFTPhq1zhUQ4n1aNAjDVuGNl) จริงๆ แล้วการทำเปี๊ยะปิ้งไม่ใช่งานง่ายนัก กว่าจะนวดแป้ง (ไม่นับชาวบ้านชนบทที่อาจต้องโม่แป้งเอง) ไหนจะต้องคอยดูไฟไม่ให้แรงเกินไป คอยพลิกแผ่นเปี๊ยะไปมา ทั้งหมดต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง อีกทั้งข้าวสาลียังแพงกว่าข้าวฟ่าง ไม่ว่าจะทำเปี๊ยะเองหรือหาซื้อ ล้วนสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ดังนั้น หากมีทางเลือกที่ง่ายกว่าประหยัดกว่า ย่อมเป็นที่นิยมของชาวบ้าน อีกทางเลือกที่ว่านี้คือ ‘ฉิ่ว’ (糗) เป็นอาหารแห้งสมัยโบราณ คิดค้นกันขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่มีการกล่าวถึงในบันทึกพิธีการราชวงศ์โจว หรือ บันทึกโจวหลี่ว่า ‘ฉิวเอ่อร์เฝิ่นฉือ’(糗饵粉飺) คือก้อนข้าวและแผ่นแป้ง แต่จริงๆ แผ่นแป้งที่ว่านี้ไม่ใช่เปี๊ยะ ส่วนผสมมันเหมือนกันกับฉิ่ว เพียงแต่ฉิ่วหมายถึงปั้นเป็นก้อน ในขณะที่ฉือคือบี้ให้แบนเป็นแผ่น แล้วมันคืออะไร? มันคือการเอาข้าวที่นึ่งสุกแล้วมาใส่น้ำเล็กน้อยแล้วบีบหรือทุบให้เละเพื่อจะได้จับตัวกัน เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน (คือฉิ่ว) หรือบี้แบนเป็นแผ่น (คือฉือ) แล้วนำไปตากแห้ง แห้งแล้วก็จะหน้าตาคล้ายข้าวตังบ้านเรา ปัจจุบันของจีนเขาก็มีขนมหน้าตาคล้ายกันเรียกว่า ‘กัวปา’ (锅巴) (ดูรูปประกอบ) ซึ่งข้าวที่ว่านี้ในสมัยโบราณก่อนยุคหมิงคือข้าวฟ่างเป็นหลัก หน้าตาคล้าย แต่รสชาติไม่กรอบร่วนเหมือนข้าวเกรียบกัวปาปัจจุบัน เนื้อของฉิ่วก็จะแน่นๆ แข็งๆ แน่นอนว่ามันเป็นอาหารกินกันตาย ไม่ใช่กินเพื่อความจรรโลงใจ ชาวบ้านยามเดินทางไกลก็ห่อฉิ่วในผ้าบางหรือตะกร้าเล็กซุกไว้ในห่อผ้า เก็บได้นานถึงเกือบครึ่งเดือน เวลาจะกินก็คล้ายกับการกินเปี๊ยะกัวคุยที่กล่าวถึงไปในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวคือจิ้มน้ำจิ้มให้ชุ่มและนุ่มลงแล้วค่อยกิน บางคนก็มีผักดองหรือเนื้อหมักแห้งพกมากินแกล้มด้วย หรือหากมีโอกาสได้น้ำร้อนน้ำแกงก็เอาฉิ่วจุ้ม/แช่ให้นุ่มแล้วกินก็ได้เช่นกัน นึกภาพว่าข้าวชามหนึ่งสามารถอัดเป็นก้อนได้ขนาดเล็ก ดังนั้นเห็นก้อนเล็กๆ ก็อิ่มไม่น้อย พกจากบ้านไปก็ประหยัดทรัพย์ไปได้หลายวัน น้ำจิ้มที่ใช้ก็พวกถั่วหมักเค็มหรือเต้าเจี้ยว ใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นบ้าง ใส่ขิงซอยขิงสับบ้าง แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำ เขาพกพากันอย่างไร? ง่ายๆ คือเอาไปตากแดดจนน้ำระเหย จาก ‘น้ำ’ จิ้มก็กลายเป็น ‘เปียก’ จิ้ม... คือข้นๆ เหนียวๆ เสร็จแล้วก็ห่อในกระดาษน้ำมัน พกพาได้ง่าย เวลาจะกินก็แบ่งออกมาเติมน้ำผสมให้เหลวหน่อย น้ำจิ้มมันเค็มจึงมักมีการตัดเค็มด้วยน้ำส้มสายชู แต่วิธีการพกน้ำส้มสายชูเป็นอะไรที่ Storyฯ ยอมรับว่าเหนือความคาดหมายของข้าพเจ้าเอง สมัยนั้นมีไหมีขวดให้ใช้บรรจุน้ำส้มสายชูได้แต่ก็ไม่สามารถพกติดตัวได้ในปริมาณมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นแรง (มันซึมผ่านผ้าที่จุกฝา) ดังนั้นวิธีพกคือใช้ผ้าสะอาดตัดเป็นแถบแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู จากนั้นนำมาตากแห้ง พกเป็นผ้าไป เวลาจะกินก็ตัดผ้าชิ้นเล็กออกมาแช่ในน้ำก็จะได้รสชาติของน้ำส้มสายชูแล้ว และไม่ว่าจะเป็นฉิ่ว หรือน้ำจิ้ม หรือวิธีพกน้ำส้มสายชูที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่เพียงใช้โดยชาวบ้านธรรมดา แต่ในกองทัพก็ใช้เช่นกัน Storyฯ หาไม่พบข้อมูลว่าฉิ่วหายไปจากวิถีชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ สันนิษฐานเอาเองว่าหายไปเมื่อสารพัดชนิดของเปี๊ยะมีมากขึ้นและราคาถูกลง เชื่อว่าวิธีเตรียมและพกพาอาหารแห้งเหล่านี้ ของไทยเราก็น่าจะมีอะไรคล้ายคลึงที่สืบทอดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเช่นกัน แต่ Storyฯ ไม่รู้จักมากนัก ใครมีเรื่องเล่าที่ฟังมาจากผู้ใหญ่หรือคนรุ่นก่อน นำมาเล่าแบ่งปันกันด้วยนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/690825754_121115947 https://www.sohu.com/a/712914583_121338666 https://m.fx361.com/news/2022/0630/10495172.html https://www.sohu.com/a/443453413_120946747 https://www.sohu.com/a/476806140_120018480 https://cidian.qianp.com/ci/%E7%B3%97%E9%A5%B5 https://www.zhihu.com/question/558888787/answer/2718324984 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #กัวปา #ฉิ่ว #เสบียงแห้งโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1251 มุมมอง 0 รีวิว