• “AMD vs Intel ปี 2025 — เมื่อ Ryzen 9000X3D ทิ้งห่าง Arrow Lake ทั้งด้านเกมและประสิทธิภาพต่อราคา”

    ในปี 2025 การแข่งขันระหว่าง AMD และ Intel ยังคงดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดซีพียูสำหรับเดสก์ท็อป ล่าสุดเว็บไซต์ Tom’s Hardware ได้สรุปผลการเปรียบเทียบระหว่าง AMD Ryzen 9000 ซีรีส์ (โดยเฉพาะรุ่น X3D) กับ Intel Core Ultra 200S ซีรีส์ (Arrow Lake) ซึ่งชี้ชัดว่า AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะเกมมิ่งและความคุ้มค่าต่อราคา

    AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นที่สอง ซึ่งช่วยเพิ่มแคช L3 ได้มหาศาล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่นเกมสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ Intel Core Ultra 9 285K แม้ Intel จะพยายามตอบโต้ด้วย “200S Boost” ซึ่งเป็นชุดปรับแต่งประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถแซง AMD ได้ในด้านเกมมิ่ง

    ในด้านการทำงานและการสร้างคอนเทนต์ Intel ยังคงมีจุดแข็งในงานแบบ single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ แต่ AMD ก็มีความได้เปรียบในงาน multi-thread ด้วยจำนวน core ที่มากกว่าและการรองรับ AVX-512 ซึ่งเหมาะกับงานประมวลผลหนัก

    ด้านการใช้พลังงาน AMD ได้เปรียบจากการใช้เทคโนโลยี 4nm ของ TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel อย่างชัดเจน ขณะที่ Intel ยังต้องใช้พลังงานสูงและมีความร้อนสะสมมากกว่า

    ในเรื่องการโอเวอร์คล็อก Intel ยังคงเป็นผู้นำ โดยเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่า AMD แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนที่ดี ส่วน AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อยกว่า

    สุดท้าย ในด้านความปลอดภัย AMD ได้เปรียบจากการมีช่องโหว่น้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจาก Spectre และ Meltdown ซึ่งยังคงส่งผลต่อประสิทธิภาพหลังการแก้ไข

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นใหม่ เพิ่มแคช L3 ได้สูงถึง 144MB
    Intel Core Ultra 200S มีจุดเด่นด้าน single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ
    AMD ได้เปรียบในงาน multi-thread และรองรับ AVX-512 สำหรับงานประมวลผลหนัก
    AMD ใช้เทคโนโลยี 4nm จาก TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel
    Intel ยังเป็นผู้นำด้านโอเวอร์คล็อก แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนดี
    AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อย
    AMD มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยน้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้า
    AMD รองรับซ็อกเก็ต AM5 ไปจนถึงปี 2025+ ขณะที่ Intel ยังไม่ยืนยันการรองรับรุ่นถัดไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ryzen 9 9950X3D มี 16 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.7GHz และแคชรวม 144MB
    Intel Core Ultra 9 285K มี 24 คอร์ (8P + 16E) และแคชรวม 76MB
    AMD Ryzen 7 9800X3D เป็นซีพียูเกมมิ่งที่เร็วที่สุดในตลาด ณ ปี 2025
    Intel ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based ซึ่งส่งผลลบต่อประสิทธิภาพเกม
    AMD มีซีพียูรุ่นกลางที่ใช้เทคโนโลยี X3D เช่น Ryzen 5 5600X3D ซึ่งคุ้มค่ามาก

    https://www.tomshardware.com/features/amd-vs-intel-cpus
    ⚔️ “AMD vs Intel ปี 2025 — เมื่อ Ryzen 9000X3D ทิ้งห่าง Arrow Lake ทั้งด้านเกมและประสิทธิภาพต่อราคา” ในปี 2025 การแข่งขันระหว่าง AMD และ Intel ยังคงดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดซีพียูสำหรับเดสก์ท็อป ล่าสุดเว็บไซต์ Tom’s Hardware ได้สรุปผลการเปรียบเทียบระหว่าง AMD Ryzen 9000 ซีรีส์ (โดยเฉพาะรุ่น X3D) กับ Intel Core Ultra 200S ซีรีส์ (Arrow Lake) ซึ่งชี้ชัดว่า AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะเกมมิ่งและความคุ้มค่าต่อราคา AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นที่สอง ซึ่งช่วยเพิ่มแคช L3 ได้มหาศาล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่นเกมสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ Intel Core Ultra 9 285K แม้ Intel จะพยายามตอบโต้ด้วย “200S Boost” ซึ่งเป็นชุดปรับแต่งประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถแซง AMD ได้ในด้านเกมมิ่ง ในด้านการทำงานและการสร้างคอนเทนต์ Intel ยังคงมีจุดแข็งในงานแบบ single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ แต่ AMD ก็มีความได้เปรียบในงาน multi-thread ด้วยจำนวน core ที่มากกว่าและการรองรับ AVX-512 ซึ่งเหมาะกับงานประมวลผลหนัก ด้านการใช้พลังงาน AMD ได้เปรียบจากการใช้เทคโนโลยี 4nm ของ TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel อย่างชัดเจน ขณะที่ Intel ยังต้องใช้พลังงานสูงและมีความร้อนสะสมมากกว่า ในเรื่องการโอเวอร์คล็อก Intel ยังคงเป็นผู้นำ โดยเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่า AMD แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนที่ดี ส่วน AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อยกว่า สุดท้าย ในด้านความปลอดภัย AMD ได้เปรียบจากการมีช่องโหว่น้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจาก Spectre และ Meltdown ซึ่งยังคงส่งผลต่อประสิทธิภาพหลังการแก้ไข ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นใหม่ เพิ่มแคช L3 ได้สูงถึง 144MB ➡️ Intel Core Ultra 200S มีจุดเด่นด้าน single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ ➡️ AMD ได้เปรียบในงาน multi-thread และรองรับ AVX-512 สำหรับงานประมวลผลหนัก ➡️ AMD ใช้เทคโนโลยี 4nm จาก TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel ➡️ Intel ยังเป็นผู้นำด้านโอเวอร์คล็อก แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนดี ➡️ AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อย ➡️ AMD มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยน้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้า ➡️ AMD รองรับซ็อกเก็ต AM5 ไปจนถึงปี 2025+ ขณะที่ Intel ยังไม่ยืนยันการรองรับรุ่นถัดไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ryzen 9 9950X3D มี 16 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.7GHz และแคชรวม 144MB ➡️ Intel Core Ultra 9 285K มี 24 คอร์ (8P + 16E) และแคชรวม 76MB ➡️ AMD Ryzen 7 9800X3D เป็นซีพียูเกมมิ่งที่เร็วที่สุดในตลาด ณ ปี 2025 ➡️ Intel ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based ซึ่งส่งผลลบต่อประสิทธิภาพเกม ➡️ AMD มีซีพียูรุ่นกลางที่ใช้เทคโนโลยี X3D เช่น Ryzen 5 5600X3D ซึ่งคุ้มค่ามาก https://www.tomshardware.com/features/amd-vs-intel-cpus
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel vs AMD: Which CPUs Are Better in 2025?
    We put Intel vs AMD in a battle of processor prowess.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตำรวจอังกฤษถูกจับได้ว่า ‘แกล้งทำงาน’ ด้วยการกดคีย์ซ้ำ — 26 รายถูกสอบสวน หลังระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ”

    ในยุคที่การทำงานจากบ้านกลายเป็นเรื่องปกติ หน่วยงานต่าง ๆ ก็ต้องหาวิธีตรวจสอบประสิทธิภาพของพนักงาน ล่าสุดตำรวจอังกฤษ โดยเฉพาะในเขต Greater Manchester Police (GMP) และ Durham Constabulary ได้เผชิญกับเหตุการณ์อื้อฉาว เมื่อพบว่ามีเจ้าหน้าที่รวม 26 คนใช้วิธี “key jamming” หรือการวางสิ่งของบนแป้นพิมพ์เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำงาน

    การตรวจสอบเริ่มต้นจากการติดตั้งซอฟต์แวร์ keylogger บนอุปกรณ์ที่ออกให้เจ้าหน้าที่ใช้ทำงานจากบ้าน ซึ่งพบพฤติกรรมการกดคีย์ซ้ำอย่างผิดปกติ เช่น การกดปุ่ม “I” มากกว่า 16,000 ครั้งในช่วงเวลาเดียว หรือการกดปุ่ม “H” ซ้ำกว่า 30 ครั้งโดยไม่มีการใช้งานอื่น ๆ

    หนึ่งในกรณีที่โดดเด่นคือ Detective Constable Niall Thubron จาก Durham ซึ่งถูกพบว่าใช้วิธีนี้ถึง 38 ครั้งในช่วง 12 วัน โดยมีช่วงเวลาทำงานที่แท้จริงเพียงครึ่งเดียวของเวลาที่ล็อกอินไว้ เขาลาออกก่อนถูกไล่ออก และถูกขึ้นบัญชีดำห้ามกลับเข้ารับราชการอีก

    เหตุการณ์นี้ทำให้ GMP ตัดสินใจยกเลิกสิทธิ์การทำงานจากบ้านของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด และประกาศว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่มีพฤติกรรมจงใจหลอกลวง โดยระบุว่า “ประชาชนสมควรได้รับการบริการที่คุ้มค่า และเราจะไม่ยอมให้พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ 26 รายถูกสอบสวนจากพฤติกรรม key jamming ขณะทำงานจากบ้าน
    key jamming คือการวางสิ่งของบนแป้นพิมพ์เพื่อให้ดูเหมือนมีการทำงาน
    GMP ติดตั้ง keylogger เพื่อตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์ราชการ
    พบการกดปุ่ม “I” มากกว่า 16,000 ครั้ง และ “H” มากกว่า 30 ครั้งในช่วงเวลาสั้น
    Detective Constable Niall Thubron ใช้วิธีนี้ 38 ครั้งใน 12 วัน และทำงานจริงเพียงครึ่งเวลา
    Thubron ลาออกก่อนถูกไล่ออก และถูกขึ้นบัญชีดำจาก College of Policing
    GMP ยกเลิกสิทธิ์การทำงานจากบ้านของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
    ผู้บริหารระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่จงใจหลอกลวง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    keylogger เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบการกดแป้นพิมพ์ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการทำงาน
    การทำงานจากบ้านมีข้อดีด้านประสิทธิภาพ แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการละเมิดวินัย
    บริษัทเอกชน เช่น Wells Fargo เคยไล่ออกพนักงานที่ใช้ mouse jigger เพื่อหลอกระบบตรวจสอบ
    การกดคีย์ซ้ำโดยไม่มีการใช้งานจริงสามารถตรวจจับได้จากรูปแบบการพิมพ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
    การขึ้นบัญชีดำในระบบราชการอังกฤษหมายถึงห้ามรับราชการในทุกหน่วยงานทั่วประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/uk-cops-busted-for-faking-productivity-while-working-from-home-by-holding-down-keys-on-keyboard-26-officers-and-staff-reportedly-caught-trying-to-trick-keylogging-software
    🕵️‍♂️ “ตำรวจอังกฤษถูกจับได้ว่า ‘แกล้งทำงาน’ ด้วยการกดคีย์ซ้ำ — 26 รายถูกสอบสวน หลังระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ” ในยุคที่การทำงานจากบ้านกลายเป็นเรื่องปกติ หน่วยงานต่าง ๆ ก็ต้องหาวิธีตรวจสอบประสิทธิภาพของพนักงาน ล่าสุดตำรวจอังกฤษ โดยเฉพาะในเขต Greater Manchester Police (GMP) และ Durham Constabulary ได้เผชิญกับเหตุการณ์อื้อฉาว เมื่อพบว่ามีเจ้าหน้าที่รวม 26 คนใช้วิธี “key jamming” หรือการวางสิ่งของบนแป้นพิมพ์เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำงาน การตรวจสอบเริ่มต้นจากการติดตั้งซอฟต์แวร์ keylogger บนอุปกรณ์ที่ออกให้เจ้าหน้าที่ใช้ทำงานจากบ้าน ซึ่งพบพฤติกรรมการกดคีย์ซ้ำอย่างผิดปกติ เช่น การกดปุ่ม “I” มากกว่า 16,000 ครั้งในช่วงเวลาเดียว หรือการกดปุ่ม “H” ซ้ำกว่า 30 ครั้งโดยไม่มีการใช้งานอื่น ๆ หนึ่งในกรณีที่โดดเด่นคือ Detective Constable Niall Thubron จาก Durham ซึ่งถูกพบว่าใช้วิธีนี้ถึง 38 ครั้งในช่วง 12 วัน โดยมีช่วงเวลาทำงานที่แท้จริงเพียงครึ่งเดียวของเวลาที่ล็อกอินไว้ เขาลาออกก่อนถูกไล่ออก และถูกขึ้นบัญชีดำห้ามกลับเข้ารับราชการอีก เหตุการณ์นี้ทำให้ GMP ตัดสินใจยกเลิกสิทธิ์การทำงานจากบ้านของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด และประกาศว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่มีพฤติกรรมจงใจหลอกลวง โดยระบุว่า “ประชาชนสมควรได้รับการบริการที่คุ้มค่า และเราจะไม่ยอมให้พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ 26 รายถูกสอบสวนจากพฤติกรรม key jamming ขณะทำงานจากบ้าน ➡️ key jamming คือการวางสิ่งของบนแป้นพิมพ์เพื่อให้ดูเหมือนมีการทำงาน ➡️ GMP ติดตั้ง keylogger เพื่อตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์ราชการ ➡️ พบการกดปุ่ม “I” มากกว่า 16,000 ครั้ง และ “H” มากกว่า 30 ครั้งในช่วงเวลาสั้น ➡️ Detective Constable Niall Thubron ใช้วิธีนี้ 38 ครั้งใน 12 วัน และทำงานจริงเพียงครึ่งเวลา ➡️ Thubron ลาออกก่อนถูกไล่ออก และถูกขึ้นบัญชีดำจาก College of Policing ➡️ GMP ยกเลิกสิทธิ์การทำงานจากบ้านของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ➡️ ผู้บริหารระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่จงใจหลอกลวง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ keylogger เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบการกดแป้นพิมพ์ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการทำงาน ➡️ การทำงานจากบ้านมีข้อดีด้านประสิทธิภาพ แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการละเมิดวินัย ➡️ บริษัทเอกชน เช่น Wells Fargo เคยไล่ออกพนักงานที่ใช้ mouse jigger เพื่อหลอกระบบตรวจสอบ ➡️ การกดคีย์ซ้ำโดยไม่มีการใช้งานจริงสามารถตรวจจับได้จากรูปแบบการพิมพ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ➡️ การขึ้นบัญชีดำในระบบราชการอังกฤษหมายถึงห้ามรับราชการในทุกหน่วยงานทั่วประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/uk-cops-busted-for-faking-productivity-while-working-from-home-by-holding-down-keys-on-keyboard-26-officers-and-staff-reportedly-caught-trying-to-trick-keylogging-software
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “FOSS ไม่ใช่แค่ฟรี — แต่คือการลงทุนระยะยาวของนักสร้างสรรค์ที่กล้าท้าทายความสะดวก”

    เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) หลายคนมักนึกถึงคำว่า “ฟรี” ในแง่ของราคา แต่สำหรับนักเขียน นักถ่ายภาพ หรือผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำงานจริง คำว่า “ฟรี” กลับมีความหมายที่ลึกกว่านั้นมาก

    บทความจาก It's FOSS โดย Theena Kumaragurunathan นักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Microsoft Word ไปสู่โลกของ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ซึ่งแม้จะต้องแลกมาด้วยเวลาและความพยายามในการเรียนรู้ แต่ผลลัพธ์คือระบบการทำงานที่เขาสร้างขึ้นเอง — เร็วขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทใด

    เขาเล่าว่าเริ่มต้นจากการใช้ Git เพื่อควบคุมเวอร์ชันของงานเขียน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ plain text และ Vim ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น NeoVim และสุดท้ายคือ Emacs ที่เขาใช้เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ด้วยซ้ำ

    Theena ยังสร้างเครื่องมือของตัวเองชื่อว่า OVIWrite ซึ่งเป็น Integrated Writing Environment (IWE) ที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก โดยออกแบบให้รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนทุกประเภท ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงบทภาพยนตร์

    แม้จะมีเพื่อนนักเขียนที่ยังยึดติดกับ Obsidian เพราะความสะดวกและอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย แต่ Theena ยืนยันว่าการควบคุมเครื่องมือได้เองคืออิสรภาพที่แท้จริง แม้จะต้องแลกมาด้วยการเป็น “ฝ่ายซัพพอร์ตของตัวเอง” และการอ่านเอกสารที่เข้าใจยาก

    เขาสรุปว่า FOSS ไม่ใช่แค่การประหยัดเงิน — แต่มันคือการสร้างระบบที่ยั่งยืน ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท ไม่ต้องกลัวการขึ้นราคา หรือการปรับฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือ “คุณได้สร้างสิ่งใหม่ระหว่างทาง”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FOSS ฟรีในแง่ของราคา แต่ไม่ฟรีในแง่ของความพยายาม
    Theena เปลี่ยนจาก Word ไปใช้ Git, Vim, NeoVim และ Emacs
    เขาสร้าง OVIWrite — เครื่องมือเขียนที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก
    OVIWrite รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนหลากหลาย
    เขาใช้ Emacs เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ได้
    เพื่อนนักเขียนบางคนยังใช้ Obsidian เพราะความสะดวก
    Theena ยืนยันว่าอิสรภาพในการควบคุมเครื่องมือคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
    FOSS ช่วยให้ไม่ต้องขึ้นกับ roadmap หรือ subscription ของบริษัท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OVIWrite ใช้ LazyVim และ Lua ในการสร้างระบบเขียนแบบ modular
    Obsidian เป็นเครื่องมือ note-taking ที่นิยม แต่เป็น closed-source
    Emacs มี ecosystem สำหรับงานเขียนที่ครบถ้วน เช่น org-mode และ LaTeX integration
    Git ช่วยให้ควบคุมเวอร์ชันของงานเขียนได้อย่างละเอียด
    นักเขียนหลายคนเริ่มหันมาใช้ plain text เพื่อความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในระยะยาว

    https://news.itsfoss.com/open-source-beyond-free/
    🧠 “FOSS ไม่ใช่แค่ฟรี — แต่คือการลงทุนระยะยาวของนักสร้างสรรค์ที่กล้าท้าทายความสะดวก” เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) หลายคนมักนึกถึงคำว่า “ฟรี” ในแง่ของราคา แต่สำหรับนักเขียน นักถ่ายภาพ หรือผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำงานจริง คำว่า “ฟรี” กลับมีความหมายที่ลึกกว่านั้นมาก บทความจาก It's FOSS โดย Theena Kumaragurunathan นักเขียนและผู้กำกับภาพยนตร์ ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Microsoft Word ไปสู่โลกของ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ซึ่งแม้จะต้องแลกมาด้วยเวลาและความพยายามในการเรียนรู้ แต่ผลลัพธ์คือระบบการทำงานที่เขาสร้างขึ้นเอง — เร็วขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทใด เขาเล่าว่าเริ่มต้นจากการใช้ Git เพื่อควบคุมเวอร์ชันของงานเขียน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ plain text และ Vim ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น NeoVim และสุดท้ายคือ Emacs ที่เขาใช้เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ด้วยซ้ำ Theena ยังสร้างเครื่องมือของตัวเองชื่อว่า OVIWrite ซึ่งเป็น Integrated Writing Environment (IWE) ที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก โดยออกแบบให้รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนทุกประเภท ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงบทภาพยนตร์ แม้จะมีเพื่อนนักเขียนที่ยังยึดติดกับ Obsidian เพราะความสะดวกและอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย แต่ Theena ยืนยันว่าการควบคุมเครื่องมือได้เองคืออิสรภาพที่แท้จริง แม้จะต้องแลกมาด้วยการเป็น “ฝ่ายซัพพอร์ตของตัวเอง” และการอ่านเอกสารที่เข้าใจยาก เขาสรุปว่า FOSS ไม่ใช่แค่การประหยัดเงิน — แต่มันคือการสร้างระบบที่ยั่งยืน ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท ไม่ต้องกลัวการขึ้นราคา หรือการปรับฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือ “คุณได้สร้างสิ่งใหม่ระหว่างทาง” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FOSS ฟรีในแง่ของราคา แต่ไม่ฟรีในแง่ของความพยายาม ➡️ Theena เปลี่ยนจาก Word ไปใช้ Git, Vim, NeoVim และ Emacs ➡️ เขาสร้าง OVIWrite — เครื่องมือเขียนที่ใช้ NeoVim เป็นแกนหลัก ➡️ OVIWrite รองรับ Markdown, LaTeX และ Fountain สำหรับงานเขียนหลากหลาย ➡️ เขาใช้ Emacs เขียนบทภาพยนตร์บนมือถือ Android ได้ ➡️ เพื่อนนักเขียนบางคนยังใช้ Obsidian เพราะความสะดวก ➡️ Theena ยืนยันว่าอิสรภาพในการควบคุมเครื่องมือคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด ➡️ FOSS ช่วยให้ไม่ต้องขึ้นกับ roadmap หรือ subscription ของบริษัท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OVIWrite ใช้ LazyVim และ Lua ในการสร้างระบบเขียนแบบ modular ➡️ Obsidian เป็นเครื่องมือ note-taking ที่นิยม แต่เป็น closed-source ➡️ Emacs มี ecosystem สำหรับงานเขียนที่ครบถ้วน เช่น org-mode และ LaTeX integration ➡️ Git ช่วยให้ควบคุมเวอร์ชันของงานเขียนได้อย่างละเอียด ➡️ นักเขียนหลายคนเริ่มหันมาใช้ plain text เพื่อความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในระยะยาว https://news.itsfoss.com/open-source-beyond-free/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Beyond Free: The Value Proposition of Open Source for Creatives
    FOSS is free as in cost, but not free as in effort. The loss of convenience is real, especially at the start. But for creatives who are willing to invest, the long-term rewards—flexibility, control, and a workflow built to last—are more than worth the price.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศึก GPU สำหรับสายครีเอทีฟ: Nvidia นำโด่งทุกสนาม ขณะที่ Intel แอบแจ้งเกิดในงาน AI และ AMD ยืนหยัดในตลาดกลาง”

    ในยุคที่งานสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ แต่เป็นการประมวลผลระดับสูง ทั้งการตัดต่อวิดีโอแบบเรียลไทม์ การเรนเดอร์ 3D และการใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา GPU จึงกลายเป็นหัวใจของเวิร์กโฟลว์สายครีเอทีฟ ล่าสุด TechRadar ได้เผยผลการทดสอบจาก PugetSystem ที่เปรียบเทียบ GPU รุ่นใหม่จาก Nvidia, AMD และ Intel ในงาน content creation และ AI

    ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ โดยเฉพาะ RTX 5090 ที่ทำคะแนนสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ เช่น Blender, V-Ray และ Octane แม้รุ่นอื่นในซีรีส์ 50 จะยังไม่ทิ้งห่างจากซีรีส์ 40 มากนัก แต่ RTX 5090 กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับสายงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    AMD เข้ามาในตลาดด้วย RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ซึ่งมีผลลัพธ์ผสมผสาน บางงานเช่น LongGOP codec กลับทำได้ดีกว่า Nvidia แต่ในงาน 3D และ ray tracing ยังตามหลังอยู่ โดย RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านการใช้พลังงานต่ำและราคาที่เข้าถึงได้

    Intel กลายเป็นม้ามืดที่น่าสนใจ โดย Arc GPU แม้ยังไม่เหมาะกับงานตัดต่อระดับมืออาชีพ แต่กลับทำผลงานได้ดีในงาน AI inference เช่น MLPerf Client โดยเฉพาะการสร้าง token แรกที่เร็วที่สุดในกลุ่ม และมีราคาต่อประสิทธิภาพที่คุ้มค่า เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง

    ในภาพรวม Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ AMD และ Intel เสนอทางเลือกที่น่าสนใจในบางเวิร์กโหลดหรือระดับราคาที่ต่างกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia RTX 5090 ทำคะแนนสูงสุดในงานเรนเดอร์ เช่น Blender, V-Ray, Octane
    RTX 5090 แรงกว่ารุ่น RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ
    GPU ซีรีส์ 50 รุ่นอื่นยังมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับซีรีส์ 40
    AMD RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ทำผลงานดีในบาง codec แต่ยังตามหลังในงาน 3D
    RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านพลังงานต่ำและราคาคุ้มค่า
    Intel Arc GPU ทำผลงานดีในงาน AI inference โดยเฉพาะ MLPerf Client
    Intel มีราคาต่อประสิทธิภาพที่ดี เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง
    Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RTX 5090 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม Tensor Core รุ่นที่ 5 และ GDDR7
    RX 9070 XT ใช้ RDNA4 พร้อม Ray Accelerator รุ่นที่ 3 และ AI Engine รุ่นที่ 2
    Intel Arc Battlemage A980 รองรับ OpenVINO และ oneAPI สำหรับงาน AI
    MLPerf เป็นมาตรฐานการทดสอบ AI ที่วัดความเร็วในการประมวลผลโมเดล
    CUDA และ RTX ยังคงเป็นพื้นฐานของซอฟต์แวร์เรนเดอร์ส่วนใหญ่ ทำให้ Nvidia ได้เปรียบ

    https://www.techradar.com/pro/which-gpu-is-best-for-content-creation-well-nvidia-seems-to-have-all-the-answers-to-that-question-but-intel-is-the-dark-horse
    🎨 “ศึก GPU สำหรับสายครีเอทีฟ: Nvidia นำโด่งทุกสนาม ขณะที่ Intel แอบแจ้งเกิดในงาน AI และ AMD ยืนหยัดในตลาดกลาง” ในยุคที่งานสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ แต่เป็นการประมวลผลระดับสูง ทั้งการตัดต่อวิดีโอแบบเรียลไทม์ การเรนเดอร์ 3D และการใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา GPU จึงกลายเป็นหัวใจของเวิร์กโฟลว์สายครีเอทีฟ ล่าสุด TechRadar ได้เผยผลการทดสอบจาก PugetSystem ที่เปรียบเทียบ GPU รุ่นใหม่จาก Nvidia, AMD และ Intel ในงาน content creation และ AI ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ โดยเฉพาะ RTX 5090 ที่ทำคะแนนสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ เช่น Blender, V-Ray และ Octane แม้รุ่นอื่นในซีรีส์ 50 จะยังไม่ทิ้งห่างจากซีรีส์ 40 มากนัก แต่ RTX 5090 กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับสายงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด AMD เข้ามาในตลาดด้วย RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ซึ่งมีผลลัพธ์ผสมผสาน บางงานเช่น LongGOP codec กลับทำได้ดีกว่า Nvidia แต่ในงาน 3D และ ray tracing ยังตามหลังอยู่ โดย RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านการใช้พลังงานต่ำและราคาที่เข้าถึงได้ Intel กลายเป็นม้ามืดที่น่าสนใจ โดย Arc GPU แม้ยังไม่เหมาะกับงานตัดต่อระดับมืออาชีพ แต่กลับทำผลงานได้ดีในงาน AI inference เช่น MLPerf Client โดยเฉพาะการสร้าง token แรกที่เร็วที่สุดในกลุ่ม และมีราคาต่อประสิทธิภาพที่คุ้มค่า เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง ในภาพรวม Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ AMD และ Intel เสนอทางเลือกที่น่าสนใจในบางเวิร์กโหลดหรือระดับราคาที่ต่างกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia RTX 5090 ทำคะแนนสูงสุดในงานเรนเดอร์ เช่น Blender, V-Ray, Octane ➡️ RTX 5090 แรงกว่ารุ่น RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ ➡️ GPU ซีรีส์ 50 รุ่นอื่นยังมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับซีรีส์ 40 ➡️ AMD RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ทำผลงานดีในบาง codec แต่ยังตามหลังในงาน 3D ➡️ RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านพลังงานต่ำและราคาคุ้มค่า ➡️ Intel Arc GPU ทำผลงานดีในงาน AI inference โดยเฉพาะ MLPerf Client ➡️ Intel มีราคาต่อประสิทธิภาพที่ดี เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง ➡️ Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RTX 5090 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม Tensor Core รุ่นที่ 5 และ GDDR7 ➡️ RX 9070 XT ใช้ RDNA4 พร้อม Ray Accelerator รุ่นที่ 3 และ AI Engine รุ่นที่ 2 ➡️ Intel Arc Battlemage A980 รองรับ OpenVINO และ oneAPI สำหรับงาน AI ➡️ MLPerf เป็นมาตรฐานการทดสอบ AI ที่วัดความเร็วในการประมวลผลโมเดล ➡️ CUDA และ RTX ยังคงเป็นพื้นฐานของซอฟต์แวร์เรนเดอร์ส่วนใหญ่ ทำให้ Nvidia ได้เปรียบ https://www.techradar.com/pro/which-gpu-is-best-for-content-creation-well-nvidia-seems-to-have-all-the-answers-to-that-question-but-intel-is-the-dark-horse
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft”

    แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร

    แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง

    ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์

    OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้

    แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024
    ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ
    ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์
    ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์
    ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์
    จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่
    เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก
    ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์
    กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์
    Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร
    ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
    การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI
    การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด
    นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้

    https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    💸 “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft” แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้ แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 ➡️ ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ➡️ เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ➡️ ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ➡️ การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด ➡️ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้ https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง”

    ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด

    Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ”

    เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”

    Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น

    แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน
    เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”
    เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น
    ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ
    ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว
    Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี
    หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม
    การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน
    แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
    การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์

    https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    ⚖️ “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง” ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ” เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน ➡️ เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” ➡️ เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น ➡️ ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ ➡️ ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว ➡️ Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี ➡️ หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม ➡️ การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน ➡️ แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร ➡️ การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์ https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Man Who Started Open Source Initiative Advocates for Abolishing Codes of Conduct
    Between Anarchy and Bureaucracy: The Code of Conduct Debate Ignited by Eric Raymond.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนตัว สมควรสร้างรั้วกำแพงลวดหนามแบบจีนกั้นกับเวียดหนามเลย หนา สูง คนเวียดนามจะข้ามไปจีนจะลำบาก เอาไม้ เอาบันไดลิงพาดกำแพงรั้วลวดหนามไม่ง่ายหรือต่ออะไรให้สูงกระโดดข้ามมาหรือหย่อนบันไดลิงมาอีกด้านฝั่งเราก็ไม่ง่าย,หากทำต่ำๆไม่สูงอะไรแบบรั้วปกติของไทบ้านประชาชนคนไทย มันแอบลักลอบ แอบโยน แอบยื่นอะไรให้กันก็ง่ายเหมือนเดิม, สร้างแบบ2ใน3ของกำแพงคุกขังนักโทษยิ่งดี ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากหรอก,ตัดงบเบี้ยประชุมเบี้ยต่างๆเบิกน้ำมันเบิกอะไรของข้าราชการทั่วประเทศออกก็มีตังเหลือกว่า10,000ล้านบาทแล้วต่อเดือน,ตัดชัตดาวน์เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดทั่วประเทศไทยสัก1ปีแบบวิจัยทดลองดู ให้แต่เงินเดือนข้าราชการเท่านั้นบวกเพิ่มอีก1%ของเงินเดือนปกติก็พอ,เราจะมีเงินไว้สร้างกำแพงถาวรรั้วลวดหนามอย่างดีกว่า30,000ล้านบาทต่อเดือนโน้นเลย.

    ..จริงๆแบบ รูปแบบ การออกแบบรั้วลวดหนามสมควรเผยแผ่ออกสู่ประชาชนได้แล้วว่าเป็นแบบใด,ยิ่งให้ประชาชนลงประชามติเลือกแบบลวดหนามด้วยกันออนไลน์ทางเน็ตทางเว็บทางแอปแบบแอปเป๋าตังผ่านตู้ธนาคารแบบยืนยันตัวตนยิ่งจะดีมาก,1บัตรประชาชนต่อ1กดปุ่มตัวเลือกแบบรั้วลวดหนาม,ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย,ยิ่งทางเว็บของทหารเอง ให้คนไทยมีส่วนร่วมยิ่งดี บอกราคารั้วลวดหนามต่อกม.ให้ชัดเจนด้วย,เช่นแบบนี้เกรดAกม.ละ10ล้าน เกรดBกม.ละ5ล้าน เกรดCกม.ละ2ล้าน เกรดDไทบ้านกม.ละ1ล้าน หรือ1เมตร1,000บาทนั้นเอง.,เรามีแนวจะสร้างเกือบ900กม.ก็สูงสุดที่9,000ล้านบาทถือว่าคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเราที่ติดแนวพรมแดนไทยกับเขมรทั้งหมดทันที ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินชัดเจนด้วย ไม่ต้องกังวลภัยอันตรายใดๆที่คนเขมร ทหารเขมรจะเข้ามาง่ายๆผ่านช่องทางธรรมชาติก่อนสร้างรั้วอีก,จากนั้นให้ทหารกำหนดห้ามมีประชาชนคนใดครอบครองที่ดินติดกำแพงเป็นฟรีเพื่อเป็นพื้นที่ลาดตะเวนตลอดแนวกำแพงรั้วลวดหนามห่างจากกำแพงรั้วลวดหนามฝั่งไทยคือ50เมตร. ทหารเราสามารถทำถนนไว้ลาดตะเวนติดรั้วลวดหนามเสริมกำลังและเข้าปฏิบัติการรักษาความสงบต่างๆใดๆได้ง่าย,ประชาชนคนไทยใดหมายทำอะไรใดๆไม่ดีก็เข้าพื้นที่เขตหวงห้ามนี้ลำบาก,โดยทหารจะสร้างแนวรั้วกั้นประชาชนแบบไทบ้านๆอีกชั้น,ถ้ามีประชาชนเข้าเขตเดทโซนนี้แสดงว่าคือพวกไม่ดีหมายติดต่อกระทำชั่วกับอีกฝั่งทันที,กล้องเราตรวจจับแม้ทันทีได้ แต่มันก็แค่กล้องไม่สามารถหยุดธุรกรรมกิจกรรมมันทันทีขณะนั้นได้ แม้ตามจับได้ในฝั่งไทยเราแต่เนื้องานทางส่งของให้คนร้ายมันทำสำเร็จกับอีกฝั่งแล้วนั้นเองไม่คุ้มค่ากับผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก.ถ้าอดีตอาจคือตัวจุดฉนวนระเบิดหรือขีปนาวุธเป็นต้นที่ไม่มีล้ำๆแบบปัจจุบันต้องส่งของส่งอะไหล่แบบสมัยๆเก่าๆในอดีตนั้น.,และมีนัยยะที่ดีมากมายต่อทางจิตใจคนติดชายแดนติดเขมรด้วย,สิ้นเปลืองแบบนี้ถือว่าคุ้มค่าและจ่ายครั้งเดียวจบแค่ซ่อมบำรุงรายปีเท่านั้นเอง.,
    ..ปัจจุบันประชาชนไม่เห็นแบบของทหารอะไรเลย,สูง มั่นคงหรือแบบเวียดนามกั้นเขมรมั้ย หรือแบบจีน กั้นเวียดนามมั้ย,หากเราไปลอกเลียนแบบรั้วลวดหนามแบบเมืองผู้ดีชาติตะวันตกบอกเลยแบบนั้นกาก,กระจอก,กับคนสันดานนิสัยเขมรต้องเด็ดขาดสไตล์รั้วแบบเวียดนามหรือแบบจีน จึงเหมาะสมแก่คนสันดานนิสัยแบบเขมร หัวสมองพวกลิ้น2แฉกมันต้องเจอแบบนี้,นี้ไม่รวมที่มันอาจขุดรูใต้ดินใต้กำแพงรั้วลวดหนามเข้าไทยอีกนะ กล้องฝันไปเลยจะเห็นมัน,ระยะฟรี50เมตรจึงพอดี ไม่กินเนื้อที่ที่ดินประชาชนด้วย,ประชาชนยินยอมยกที่ดินฟรีๆให้กองทัพให้ทหารแน่นอนเพราะมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยเราทั้งประเทศด้วย.,เราจึงต้องมีเครื่องมือสแกนสิ่งผิดปกติใต้พื้นดินด้วย แบบโพร่งแบบรูใต้เส้นทางถนนตลอดแนวขนานรั้วกำแพงลวดหนามของเรา,ในเขตพื้นที่รับผิดชอบต้องใช้เครื่องสแกนทุกๆเดือนใต้ถนนหนทางเราว่ามันขุดรูขุดอุโมงค์รอดมาด้วยมั้ยเช่นกัน.

    https://youtube.com/watch?v=sJTo0hhGfnA&si=hARi7QFm0aKjk7dL
    ส่วนตัว สมควรสร้างรั้วกำแพงลวดหนามแบบจีนกั้นกับเวียดหนามเลย หนา สูง คนเวียดนามจะข้ามไปจีนจะลำบาก เอาไม้ เอาบันไดลิงพาดกำแพงรั้วลวดหนามไม่ง่ายหรือต่ออะไรให้สูงกระโดดข้ามมาหรือหย่อนบันไดลิงมาอีกด้านฝั่งเราก็ไม่ง่าย,หากทำต่ำๆไม่สูงอะไรแบบรั้วปกติของไทบ้านประชาชนคนไทย มันแอบลักลอบ แอบโยน แอบยื่นอะไรให้กันก็ง่ายเหมือนเดิม, สร้างแบบ2ใน3ของกำแพงคุกขังนักโทษยิ่งดี ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากหรอก,ตัดงบเบี้ยประชุมเบี้ยต่างๆเบิกน้ำมันเบิกอะไรของข้าราชการทั่วประเทศออกก็มีตังเหลือกว่า10,000ล้านบาทแล้วต่อเดือน,ตัดชัตดาวน์เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดทั่วประเทศไทยสัก1ปีแบบวิจัยทดลองดู ให้แต่เงินเดือนข้าราชการเท่านั้นบวกเพิ่มอีก1%ของเงินเดือนปกติก็พอ,เราจะมีเงินไว้สร้างกำแพงถาวรรั้วลวดหนามอย่างดีกว่า30,000ล้านบาทต่อเดือนโน้นเลย. ..จริงๆแบบ รูปแบบ การออกแบบรั้วลวดหนามสมควรเผยแผ่ออกสู่ประชาชนได้แล้วว่าเป็นแบบใด,ยิ่งให้ประชาชนลงประชามติเลือกแบบลวดหนามด้วยกันออนไลน์ทางเน็ตทางเว็บทางแอปแบบแอปเป๋าตังผ่านตู้ธนาคารแบบยืนยันตัวตนยิ่งจะดีมาก,1บัตรประชาชนต่อ1กดปุ่มตัวเลือกแบบรั้วลวดหนาม,ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย,ยิ่งทางเว็บของทหารเอง ให้คนไทยมีส่วนร่วมยิ่งดี บอกราคารั้วลวดหนามต่อกม.ให้ชัดเจนด้วย,เช่นแบบนี้เกรดAกม.ละ10ล้าน เกรดBกม.ละ5ล้าน เกรดCกม.ละ2ล้าน เกรดDไทบ้านกม.ละ1ล้าน หรือ1เมตร1,000บาทนั้นเอง.,เรามีแนวจะสร้างเกือบ900กม.ก็สูงสุดที่9,000ล้านบาทถือว่าคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเราที่ติดแนวพรมแดนไทยกับเขมรทั้งหมดทันที ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินชัดเจนด้วย ไม่ต้องกังวลภัยอันตรายใดๆที่คนเขมร ทหารเขมรจะเข้ามาง่ายๆผ่านช่องทางธรรมชาติก่อนสร้างรั้วอีก,จากนั้นให้ทหารกำหนดห้ามมีประชาชนคนใดครอบครองที่ดินติดกำแพงเป็นฟรีเพื่อเป็นพื้นที่ลาดตะเวนตลอดแนวกำแพงรั้วลวดหนามห่างจากกำแพงรั้วลวดหนามฝั่งไทยคือ50เมตร. ทหารเราสามารถทำถนนไว้ลาดตะเวนติดรั้วลวดหนามเสริมกำลังและเข้าปฏิบัติการรักษาความสงบต่างๆใดๆได้ง่าย,ประชาชนคนไทยใดหมายทำอะไรใดๆไม่ดีก็เข้าพื้นที่เขตหวงห้ามนี้ลำบาก,โดยทหารจะสร้างแนวรั้วกั้นประชาชนแบบไทบ้านๆอีกชั้น,ถ้ามีประชาชนเข้าเขตเดทโซนนี้แสดงว่าคือพวกไม่ดีหมายติดต่อกระทำชั่วกับอีกฝั่งทันที,กล้องเราตรวจจับแม้ทันทีได้ แต่มันก็แค่กล้องไม่สามารถหยุดธุรกรรมกิจกรรมมันทันทีขณะนั้นได้ แม้ตามจับได้ในฝั่งไทยเราแต่เนื้องานทางส่งของให้คนร้ายมันทำสำเร็จกับอีกฝั่งแล้วนั้นเองไม่คุ้มค่ากับผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีก.ถ้าอดีตอาจคือตัวจุดฉนวนระเบิดหรือขีปนาวุธเป็นต้นที่ไม่มีล้ำๆแบบปัจจุบันต้องส่งของส่งอะไหล่แบบสมัยๆเก่าๆในอดีตนั้น.,และมีนัยยะที่ดีมากมายต่อทางจิตใจคนติดชายแดนติดเขมรด้วย,สิ้นเปลืองแบบนี้ถือว่าคุ้มค่าและจ่ายครั้งเดียวจบแค่ซ่อมบำรุงรายปีเท่านั้นเอง., ..ปัจจุบันประชาชนไม่เห็นแบบของทหารอะไรเลย,สูง มั่นคงหรือแบบเวียดนามกั้นเขมรมั้ย หรือแบบจีน กั้นเวียดนามมั้ย,หากเราไปลอกเลียนแบบรั้วลวดหนามแบบเมืองผู้ดีชาติตะวันตกบอกเลยแบบนั้นกาก,กระจอก,กับคนสันดานนิสัยเขมรต้องเด็ดขาดสไตล์รั้วแบบเวียดนามหรือแบบจีน จึงเหมาะสมแก่คนสันดานนิสัยแบบเขมร หัวสมองพวกลิ้น2แฉกมันต้องเจอแบบนี้,นี้ไม่รวมที่มันอาจขุดรูใต้ดินใต้กำแพงรั้วลวดหนามเข้าไทยอีกนะ กล้องฝันไปเลยจะเห็นมัน,ระยะฟรี50เมตรจึงพอดี ไม่กินเนื้อที่ที่ดินประชาชนด้วย,ประชาชนยินยอมยกที่ดินฟรีๆให้กองทัพให้ทหารแน่นอนเพราะมันคือความมั่นคงทางอธิปไตยไทยเราทั้งประเทศด้วย.,เราจึงต้องมีเครื่องมือสแกนสิ่งผิดปกติใต้พื้นดินด้วย แบบโพร่งแบบรูใต้เส้นทางถนนตลอดแนวขนานรั้วกำแพงลวดหนามของเรา,ในเขตพื้นที่รับผิดชอบต้องใช้เครื่องสแกนทุกๆเดือนใต้ถนนหนทางเราว่ามันขุดรูขุดอุโมงค์รอดมาด้วยมั้ยเช่นกัน. https://youtube.com/watch?v=sJTo0hhGfnA&si=hARi7QFm0aKjk7dL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว


  • ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ
    ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน.
    ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว.
    ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด

    ..

    #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)
    ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง


    ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท).

    ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง.

    เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย.

    เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ.
    สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง

    เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง.

    เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท

    ...........................................................................

    เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
    การเมือง
    20 มิ.ย. 66

    หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่
    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้
    เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196)
    ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123)
    ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้


    ประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท

    รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง

    ...........................................................................


    ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ
    นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท
    รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท
    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท

    หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก

    ...........................................................................

    คณะทำงานทางการเมือง
    คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้

    ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ...........................................................................


    ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
    ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง
    จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส.
    และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส.
    ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน


    เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส.
    พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด

    ผู้ป่วยใน
    ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน
    ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง
    ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน
    ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง
    การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี
    การคลอดบุตร :
    คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท
    คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท
    สวัสดิการอื่น ๆ

    ...........................................................................

    ผู้ป่วยนอก
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี
    อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง
    การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี
    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ
    ...........................................................................

    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ
    ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ
    ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556

    ...........................................................................


    https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo



    ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน. ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว. ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด .. #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท). ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง. เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย. เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ. สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง. เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ........................................................................... เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง การเมือง 20 มิ.ย. 66 หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้ เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196) ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123) ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ........................................................................... ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก ........................................................................... คณะทำงานทางการเมือง คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ........................................................................... ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส. และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส. ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส. พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด ผู้ป่วยใน ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี การคลอดบุตร : คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท สวัสดิการอื่น ๆ ........................................................................... ผู้ป่วยนอก ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ........................................................................... เบี้ยประชุมกรรมาธิการ ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556 ........................................................................... https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

    บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย

    การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง”

    การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง

    บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้
    การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness
    การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
    การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น
    การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม
    การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2
    การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี
    การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน
    การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    🏛️ “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง” การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้ ➡️ การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ➡️ การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น ➡️ การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ➡️ การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม ➡️ การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2 ➡️ การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี ➡️ การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน ➡️ การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    TERRIBLESOFTWARE.ORG
    Stop Avoiding Politics
    Most engineers think workplace politics is dirty. They’re wrong. Refusing to play politics doesn’t make you noble; it makes you ineffective.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft 365 Premium เปิดตัวแล้ว — รวมพลัง AI ระดับโปรในแพ็กเดียว พร้อมเลิกขาย Copilot Pro แยก”

    Microsoft ประกาศเปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ที่รวมทุกสิ่งจาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับมืออาชีพในราคาสมเหตุสมผลที่ $19.99 ต่อเดือน โดยผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้แผน Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

    แผนนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่เหนือกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การสร้างเอกสารระดับมืออาชีพจากคำสั่งเดียว และการจัดการงานผ่าน Agent Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานแทนได้จริง

    Microsoft ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Photos Agent สำหรับจัดการภาพ, การสร้างภาพด้วย GPT-4o, การสรุปเสียงและพอดแคสต์, และการใช้งานผ่านเสียงแบบเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกับการป้องกันระดับองค์กร เช่น Enterprise Data Protection และระบบตรวจสอบความปลอดภัยจาก prompt injection

    นอกจากนี้ Microsoft ยังปรับไอคอนของแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยและสะท้อนยุค AI มากขึ้น พร้อมเปิดให้ผู้ใช้เลือกโมเดล AI ที่ต้องการใช้งาน เช่น ChatGPT หรือ Claude ผ่านระบบ Copilot

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังมาพร้อมการเลิกขาย Copilot Pro แบบแยก โดยผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ AI ระดับสูงจะต้องสมัคร Microsoft 365 Premium แทน ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างแผนสมาชิกให้เรียบง่ายขึ้น และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ราคา $19.99/เดือน
    รวมฟีเจอร์จาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ในแผนเดียว
    ผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้ Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
    เพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับโปร เช่น Researcher, Analyst, Actions และ Agent Mode
    มี Photos Agent สำหรับจัดการภาพ และ GPT-4o สำหรับสร้างภาพใน PowerPoint
    รองรับการสรุปเสียงและพอดแคสต์ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงเต็มรูปแบบ
    มี Enterprise Data Protection สำหรับการใช้งานกับไฟล์องค์กร
    ปรับไอคอนแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้สะท้อนยุค AI
    ผู้ใช้สามารถเลือกโมเดล AI ที่ต้องการ เช่น ChatGPT หรือ Claude
    Microsoft เลิกขาย Copilot Pro แบบแยก และแนะนำให้ใช้ Premium แทน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft 365 Premium ได้รับการออกแบบให้แข่งกับ ChatGPT Plus โดยตรง
    Premium รองรับการใช้งานกับ GPT-5 และ GPT-4o สำหรับงาน reasoning และภาพ
    ผู้ใช้ Premium จะได้สิทธิ์ทดลองฟีเจอร์ใหม่ก่อนใครผ่านโปรแกรม Frontier
    มีพื้นที่เก็บข้อมูล OneDrive สูงสุด 6TB (1TB ต่อคน สำหรับสูงสุด 6 คน)
    Microsoft ลงทุนกว่า $13 พันล้านใน OpenAI และใช้ Azure เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Copilot

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/microsoft-365-premium-brings-pro-level-ai-features-to-your-subscription-but-only-if-you-upgrade
    🧠 “Microsoft 365 Premium เปิดตัวแล้ว — รวมพลัง AI ระดับโปรในแพ็กเดียว พร้อมเลิกขาย Copilot Pro แยก” Microsoft ประกาศเปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ที่รวมทุกสิ่งจาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับมืออาชีพในราคาสมเหตุสมผลที่ $19.99 ต่อเดือน โดยผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้แผน Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แผนนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่เหนือกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การสร้างเอกสารระดับมืออาชีพจากคำสั่งเดียว และการจัดการงานผ่าน Agent Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานแทนได้จริง Microsoft ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Photos Agent สำหรับจัดการภาพ, การสร้างภาพด้วย GPT-4o, การสรุปเสียงและพอดแคสต์, และการใช้งานผ่านเสียงแบบเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกับการป้องกันระดับองค์กร เช่น Enterprise Data Protection และระบบตรวจสอบความปลอดภัยจาก prompt injection นอกจากนี้ Microsoft ยังปรับไอคอนของแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยและสะท้อนยุค AI มากขึ้น พร้อมเปิดให้ผู้ใช้เลือกโมเดล AI ที่ต้องการใช้งาน เช่น ChatGPT หรือ Claude ผ่านระบบ Copilot การเปิดตัวครั้งนี้ยังมาพร้อมการเลิกขาย Copilot Pro แบบแยก โดยผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ AI ระดับสูงจะต้องสมัคร Microsoft 365 Premium แทน ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างแผนสมาชิกให้เรียบง่ายขึ้น และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้ทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ราคา $19.99/เดือน ➡️ รวมฟีเจอร์จาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ในแผนเดียว ➡️ ผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้ Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับโปร เช่น Researcher, Analyst, Actions และ Agent Mode ➡️ มี Photos Agent สำหรับจัดการภาพ และ GPT-4o สำหรับสร้างภาพใน PowerPoint ➡️ รองรับการสรุปเสียงและพอดแคสต์ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงเต็มรูปแบบ ➡️ มี Enterprise Data Protection สำหรับการใช้งานกับไฟล์องค์กร ➡️ ปรับไอคอนแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้สะท้อนยุค AI ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกโมเดล AI ที่ต้องการ เช่น ChatGPT หรือ Claude ➡️ Microsoft เลิกขาย Copilot Pro แบบแยก และแนะนำให้ใช้ Premium แทน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft 365 Premium ได้รับการออกแบบให้แข่งกับ ChatGPT Plus โดยตรง ➡️ Premium รองรับการใช้งานกับ GPT-5 และ GPT-4o สำหรับงาน reasoning และภาพ ➡️ ผู้ใช้ Premium จะได้สิทธิ์ทดลองฟีเจอร์ใหม่ก่อนใครผ่านโปรแกรม Frontier ➡️ มีพื้นที่เก็บข้อมูล OneDrive สูงสุด 6TB (1TB ต่อคน สำหรับสูงสุด 6 คน) ➡️ Microsoft ลงทุนกว่า $13 พันล้านใน OpenAI และใช้ Azure เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Copilot https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/microsoft-365-premium-brings-pro-level-ai-features-to-your-subscription-but-only-if-you-upgrade
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด”

    ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง

    Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน

    จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า

    Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที

    นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว

    แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว
    หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน
    รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน
    พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก.
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android
    ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที
    มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์
    ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต
    การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า
    จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด
    RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect
    ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel

    https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    ⌨️ “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด” ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ➡️ หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน ➡️ รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน ➡️ พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก. ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android ➡️ ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที ➡️ มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์ ➡️ ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต ➡️ การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า ➡️ จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด ➡️ RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect ➡️ ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องหั่นมันฝรั่ง หั่นมันแกวทำเฟรนช์ฟรายส์
    นวัตกรรมใหม่! หั่น มันแกว ให้เป็นแท่งสวยเป๊ะเหมือนเฟรนช์ฟรายส์ ด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) จาก ย.ย่งฮะเฮง!

    ใครว่าเครื่องหั่นมันฝรั่งจะหั่นได้แต่มันฝรั่ง? วันนี้เรามีไอเดียสุดว้าว! เปลี่ยนเมนูธรรมดาให้พิเศษ
    อัปเกรดธุรกิจของคุณด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่งที่หั่นวัตถุดิบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

    มันแกวทอด/อบกรอบ: เมนูทานเล่นใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพ
    มันฝรั่งแท่ง: เฟรนช์ฟรายส์มาตรฐานสากล
    กระชาย/ขิง/แครอท: สำหรับธุรกิจสมุนไพรและอาหารแปรรูป

    จุดเด่นที่ทำให้คุณไม่ควรพลาด:
    อเนกประสงค์ : หั่นได้หลากหลายกว่าที่คิด ตั้งแต่มันแกวถึงกระชาย!
    ชิ้นงานสม่ำเสมอ: ปรับความหนาได้ตามต้องการ ได้ชิ้นงานสวยเท่ากันทุกแท่ง
    ผลิตเร็วแรงสูง: กำลังการผลิต 100-300 KG/H ประหยัดเวลาแรงงานไปได้เยอะ!
    อย่าปล่อยให้การหั่นช้าทำให้ธุรกิจสะดุด! ลงทุนครั้งเดียว คุ้มค่าระยะยาว!

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันแกว #มันแกวเฟรนช์ฟรายส์ #เฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นกระชาย #เครื่องหั่นขิง #ธุรกิจอาหาร #ร้านอาหาร #โรงงานแปรรูป #อาหารแช่แข็ง #อาหารแปรรูป #วัตถุดิบสดใหม่ #อุปกรณ์ครัว #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต #ลงทุนธุรกิจ #ครัวมืออาชีพ #ของดีบอกต่อ #ทำอาหารขาย #สินค้าพร้อมส่ง #เครื่องจักรนำเข้า
    🥔🍠 เครื่องหั่นมันฝรั่ง หั่นมันแกวทำเฟรนช์ฟรายส์ 🍟✨ ✨ นวัตกรรมใหม่! หั่น มันแกว ให้เป็นแท่งสวยเป๊ะเหมือนเฟรนช์ฟรายส์ ด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) จาก ย.ย่งฮะเฮง! 🚀 ใครว่าเครื่องหั่นมันฝรั่งจะหั่นได้แต่มันฝรั่ง? 🧐 วันนี้เรามีไอเดียสุดว้าว! เปลี่ยนเมนูธรรมดาให้พิเศษ ✨ อัปเกรดธุรกิจของคุณด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่งที่หั่นวัตถุดิบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มันแกวทอด/อบกรอบ: เมนูทานเล่นใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพ 💚 มันฝรั่งแท่ง: เฟรนช์ฟรายส์มาตรฐานสากล 🍟 กระชาย/ขิง/แครอท: สำหรับธุรกิจสมุนไพรและอาหารแปรรูป 🥕 ✅ จุดเด่นที่ทำให้คุณไม่ควรพลาด: อเนกประสงค์ 💯: หั่นได้หลากหลายกว่าที่คิด ตั้งแต่มันแกวถึงกระชาย! ชิ้นงานสม่ำเสมอ: ปรับความหนาได้ตามต้องการ ได้ชิ้นงานสวยเท่ากันทุกแท่ง ผลิตเร็วแรงสูง: กำลังการผลิต 100-300 KG/H ประหยัดเวลาแรงงานไปได้เยอะ! ⏱️ อย่าปล่อยให้การหั่นช้าทำให้ธุรกิจสะดุด! 🛠️ ลงทุนครั้งเดียว คุ้มค่าระยะยาว! 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันแกว #มันแกวเฟรนช์ฟรายส์ #เฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นกระชาย #เครื่องหั่นขิง #ธุรกิจอาหาร #ร้านอาหาร #โรงงานแปรรูป #อาหารแช่แข็ง #อาหารแปรรูป #วัตถุดิบสดใหม่ #อุปกรณ์ครัว #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต #ลงทุนธุรกิจ #ครัวมืออาชีพ #ของดีบอกต่อ #ทำอาหารขาย #สินค้าพร้อมส่ง #เครื่องจักรนำเข้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • “iPhone 17e: รุ่นประหยัดที่อาจไม่คุ้มค่าการรอ — เมื่อ Apple ตั้งใจให้คุณเลือกตัวแพง”

    แม้ iPhone 17 จะเปิดตัวไปแล้ว แต่ยังมีรุ่นหนึ่งที่หลายคนรอคอยคือ iPhone 17e ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2026 โดยเป็นรุ่นประหยัดในซีรีส์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจากนักวิเคราะห์ชื่อดัง Mark Gurman และข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ว่า iPhone 17e อาจไม่คุ้มค่าการรอเท่าไรนัก

    สิ่งที่น่าผิดหวังคือหน้าจอของ iPhone 17e จะยังคงเป็น OLED ขนาด 6.1 นิ้วแบบ 60Hz ซึ่งต่างจาก iPhone 17 ที่ใช้ 120Hz ทำให้การแสดงผลไม่ลื่นไหลเท่ารุ่นหลัก แม้จะมีการปรับดีไซน์ให้ใช้ Dynamic Island แทน notch แบบเดิม แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ระดับสูง

    กล้องหลังยังคงเป็นเลนส์เดียว 48MP เช่นเดียวกับ iPhone 16e และอาจไม่มีฟีเจอร์อย่าง MagSafe หรือ Camera Control ที่มีในรุ่นหลัก ส่วนกล้องหน้าอาจอัปเกรดเป็น 18MP แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด

    ด้านชิปเซ็ต iPhone 17e จะใช้ A19 เช่นเดียวกับ iPhone 17 แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรุ่น “binned” ที่มี GPU น้อยกว่า ซึ่งเป็นแนวทางที่ Apple เคยใช้กับ iPhone 16e มาก่อน ส่วนโมเด็มอาจใช้ C1X ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานกว่าเดิม

    ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Apple ตั้งใจสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นประหยัดกับรุ่นหลักให้ชัดเจนขึ้น เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เลือกซื้อรุ่นแพงมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มมองหาความคุ้มค่าและฟีเจอร์ที่ครบถ้วน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    iPhone 17e คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2026
    ใช้หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว แบบ 60Hz ต่างจาก iPhone 17 ที่ใช้ 120Hz
    ดีไซน์ใหม่ใช้ Dynamic Island แทน notch แบบเดิม
    กล้องหลังยังคงเป็นเลนส์เดียว 48MP เช่นเดียวกับ iPhone 16e
    กล้องหน้าอาจอัปเกรดเป็น 18MP จากเดิม 12MP
    ใช้ชิป A19 เหมือน iPhone 17 แต่คาดว่าจะมี GPU น้อยกว่า
    โมเด็มอาจใช้ C1X ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานกว่า C1
    ไม่มีฟีเจอร์ MagSafe และ Camera Control เพื่อแยกรุ่นประหยัดออกจากรุ่นหลัก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    A19 เป็นชิปที่รองรับการประมวลผล AI และการใช้งานระยะยาวได้ดี
    Dynamic Island เริ่มใช้ใน iPhone 14 Pro และขยายสู่รุ่นทั่วไปใน iPhone 15
    C1X โมเด็มใหม่มีความเร็วสูงขึ้น 2 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 30%
    Apple เคยใช้ชิปรุ่น “binned” ใน iPhone SE และรุ่น “e” เพื่อควบคุมต้นทุน
    iPhone 17 มีหน้าจอ 6.3 นิ้ว และกล้องคู่ ทำให้แตกต่างจากรุ่น 17e อย่างชัดเจน

    https://www.techradar.com/phones/iphone/the-iphone-17e-might-not-be-worth-waiting-for-heres-why
    📱 “iPhone 17e: รุ่นประหยัดที่อาจไม่คุ้มค่าการรอ — เมื่อ Apple ตั้งใจให้คุณเลือกตัวแพง” แม้ iPhone 17 จะเปิดตัวไปแล้ว แต่ยังมีรุ่นหนึ่งที่หลายคนรอคอยคือ iPhone 17e ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2026 โดยเป็นรุ่นประหยัดในซีรีส์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจากนักวิเคราะห์ชื่อดัง Mark Gurman และข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ว่า iPhone 17e อาจไม่คุ้มค่าการรอเท่าไรนัก สิ่งที่น่าผิดหวังคือหน้าจอของ iPhone 17e จะยังคงเป็น OLED ขนาด 6.1 นิ้วแบบ 60Hz ซึ่งต่างจาก iPhone 17 ที่ใช้ 120Hz ทำให้การแสดงผลไม่ลื่นไหลเท่ารุ่นหลัก แม้จะมีการปรับดีไซน์ให้ใช้ Dynamic Island แทน notch แบบเดิม แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ระดับสูง กล้องหลังยังคงเป็นเลนส์เดียว 48MP เช่นเดียวกับ iPhone 16e และอาจไม่มีฟีเจอร์อย่าง MagSafe หรือ Camera Control ที่มีในรุ่นหลัก ส่วนกล้องหน้าอาจอัปเกรดเป็น 18MP แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด ด้านชิปเซ็ต iPhone 17e จะใช้ A19 เช่นเดียวกับ iPhone 17 แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรุ่น “binned” ที่มี GPU น้อยกว่า ซึ่งเป็นแนวทางที่ Apple เคยใช้กับ iPhone 16e มาก่อน ส่วนโมเด็มอาจใช้ C1X ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานกว่าเดิม ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Apple ตั้งใจสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นประหยัดกับรุ่นหลักให้ชัดเจนขึ้น เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เลือกซื้อรุ่นแพงมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มมองหาความคุ้มค่าและฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ iPhone 17e คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2026 ➡️ ใช้หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว แบบ 60Hz ต่างจาก iPhone 17 ที่ใช้ 120Hz ➡️ ดีไซน์ใหม่ใช้ Dynamic Island แทน notch แบบเดิม ➡️ กล้องหลังยังคงเป็นเลนส์เดียว 48MP เช่นเดียวกับ iPhone 16e ➡️ กล้องหน้าอาจอัปเกรดเป็น 18MP จากเดิม 12MP ➡️ ใช้ชิป A19 เหมือน iPhone 17 แต่คาดว่าจะมี GPU น้อยกว่า ➡️ โมเด็มอาจใช้ C1X ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานกว่า C1 ➡️ ไม่มีฟีเจอร์ MagSafe และ Camera Control เพื่อแยกรุ่นประหยัดออกจากรุ่นหลัก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ A19 เป็นชิปที่รองรับการประมวลผล AI และการใช้งานระยะยาวได้ดี ➡️ Dynamic Island เริ่มใช้ใน iPhone 14 Pro และขยายสู่รุ่นทั่วไปใน iPhone 15 ➡️ C1X โมเด็มใหม่มีความเร็วสูงขึ้น 2 เท่า และใช้พลังงานน้อยลง 30% ➡️ Apple เคยใช้ชิปรุ่น “binned” ใน iPhone SE และรุ่น “e” เพื่อควบคุมต้นทุน ➡️ iPhone 17 มีหน้าจอ 6.3 นิ้ว และกล้องคู่ ทำให้แตกต่างจากรุ่น 17e อย่างชัดเจน https://www.techradar.com/phones/iphone/the-iphone-17e-might-not-be-worth-waiting-for-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชวนเปิดกล่องค่าาาาา หมึกกะตอยเรือไดร์ … สะอาด อร่อย ถูกหลักอนามัย…ทานง่าย ทอดแล้วได้ทานเลย ไวมาก… จะทานข้าว จะทานข้าวเหนียว ข้าวสวย ข้าวต้มได้หมดเลยค่ะ …ราคาดีอย่าบอกใคร ซื้อแล้วไม่มีผิดหวังค่ะ …เค็มน้อยอร่อยมาก …มาก กอไก่ 1,000,000 ตัว… ลองดูสักครั้งแล้วจะติดใจกดสั่งเลยจ้า

    เราใช้น้องหมึกสด 5-6 กิโล กว่าจะได้น้องหมึกกะตอยแห้ง 1 กิโลค่ะ

    เราตากให้น้องหมึกแห้งสนิท เพื่อการเก็บรักษาไว้ได้นาน … น้ำหนักตัวเบาๆ ทำให้ลูกค้าได้จำนวนตัวเยอะ คุ้มค่า คุ้มราคาค่ะ

    ⭕️🫶🏻🩷

    น้องหมึกเรา เป็นออแกนิค ไม่มีสารเคมี ไม่ฉีดยา ฟอร์มาลีน ใดๆเลยค่ะ
    ลูกค้ามั่นใจในความสะอาดได้เลย… ความเค็มของน้องหมึก เป็นความเค็มโดยธรรมชาติของอาหารทะเล… ลูกค้าจะสัมผัสลิ้มรสความหนึบๆ ความนัวๆ แซ่บๆ จากเนื้อน้องปลาหมึกล้วนๆเลยค่ะ

    อ่านมาถึงตรงนี้… ลูกค้ากดสั่งไปลองชิมก่อนค่อยเชื่อเรานะคะ

    ทุกถุงบรรจุซีลแน่นไปอย่างดีค่ะ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิปกติได้นาน
    หยิบน้องหมึกแห้งออกมาทานเมื่อไหร่ก็อร่อยเหาะ

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ

    ⭕️ น่าทานมากกกกกกค่าาา

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMBnKhbd/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 ใน Shopee
    https://th.shp.ee/o2Uw2jX

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMjD54vQ/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 ใน Shopee
    https://th.shp.ee/pckadhH

    หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMYV5Nsx/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล ใน Shopee
    https://th.shp.ee/2Xf6uxx

    ลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง
    1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop
    2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1

    เลือกช้อปได้ตามความชอบ และคูปองความคุ้มของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #หมึกกะตอย #หมึกกะตอยแห้ง #หมึกฉาบสามรส
    ชวนเปิดกล่องค่าาาาา หมึกกะตอยเรือไดร์ … สะอาด อร่อย ถูกหลักอนามัย…ทานง่าย ทอดแล้วได้ทานเลย ไวมาก… จะทานข้าว จะทานข้าวเหนียว ข้าวสวย ข้าวต้มได้หมดเลยค่ะ …ราคาดีอย่าบอกใคร ซื้อแล้วไม่มีผิดหวังค่ะ …เค็มน้อยอร่อยมาก …มาก กอไก่ 1,000,000 ตัว… ลองดูสักครั้งแล้วจะติดใจกดสั่งเลยจ้า เราใช้น้องหมึกสด 5-6 กิโล กว่าจะได้น้องหมึกกะตอยแห้ง 1 กิโลค่ะ เราตากให้น้องหมึกแห้งสนิท เพื่อการเก็บรักษาไว้ได้นาน … น้ำหนักตัวเบาๆ ทำให้ลูกค้าได้จำนวนตัวเยอะ คุ้มค่า คุ้มราคาค่ะ 🐠🐟🤭😍♨️🌶️⭕️✅🐠🐟🫶🏻💋🩷 น้องหมึกเรา เป็นออแกนิค ไม่มีสารเคมี ไม่ฉีดยา ฟอร์มาลีน ใดๆเลยค่ะ ลูกค้ามั่นใจในความสะอาดได้เลย… ความเค็มของน้องหมึก เป็นความเค็มโดยธรรมชาติของอาหารทะเล… ลูกค้าจะสัมผัสลิ้มรสความหนึบๆ ความนัวๆ แซ่บๆ จากเนื้อน้องปลาหมึกล้วนๆเลยค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้… ลูกค้ากดสั่งไปลองชิมก่อนค่อยเชื่อเรานะคะ ทุกถุงบรรจุซีลแน่นไปอย่างดีค่ะ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิปกติได้นาน หยิบน้องหมึกแห้งออกมาทานเมื่อไหร่ก็อร่อยเหาะ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ 🌶️♨️⭕️ น่าทานมากกกกกกค่าาา หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMBnKhbd/ หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/o2Uw2jX หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMjD54vQ/ หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/pckadhH หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMYV5Nsx/ หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/2Xf6uxx ❤️ ลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง 1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop 2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1 เลือกช้อปได้ตามความชอบ และคูปองความคุ้มของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #หมึกกะตอย #หมึกกะตอยแห้ง #หมึกฉาบสามรส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น

    งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่

    แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น

    ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019
    Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี
    Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่
    รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์
    Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก
    ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง
    ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000
    ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024
    คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า
    EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย
    แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น
    การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก
    EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง

    https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    🔋 “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019 ➡️ Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี ➡️ Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ ➡️ รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ ➡️ Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก ➡️ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง ➡️ ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000 ➡️ ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024 ➡️ คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า ➡️ EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย ➡️ แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น ➡️ การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก ➡️ EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Long Do Electric Vehicle Batteries Last Vs. Gas Cars? - SlashGear
    One common question that EV skeptics may have is how long do the batteries last when compared to a gas car. Scientific studies show that they last quite a bit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม”

    ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป

    กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

    การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม

    พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี
    เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก
    ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที
    ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล
    พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
    ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด
    นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
    การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
    EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส
    การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก
    การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    🌬️ “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม” ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี ➡️ เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก ➡️ ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที ➡️ ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล ➡️ พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ➡️ ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด ➡️ นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ➡️ EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส ➡️ การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก ➡️ การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New York's First Wind Farm Has Been Torn Down, And It's Easy To Understand Why - SlashGear
    The seven wind turbines that made up New York's first wind farm were demolished because maintenance of those early units had become too costly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.3
    เรื่องสาธารณสถาน

    ในทุกตรอกซอกซอยของเมืองใหญ่และหมู่บ้านเล็กๆ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เปิดประตูต้อนรับผู้คนจากทุกสารทิศ สถานที่ที่ไม่ได้มีเจ้าของเป็นคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน สถานที่ที่เรียกว่าสาธารณสถาน สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น หรือแม้แต่ศาลาพักร้อนริมทาง สิ่งเหล่านี้คือพื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวมตัวและพักผ่อนหย่อนใจ เป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้คนได้หลบหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน เข้ามาหายใจในอากาศที่บริสุทธิ์ ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกับเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ได้นั่งพักผ่อนเงียบๆ คนเดียวเพื่อทบทวนความคิด พื้นที่เหล่านี้เปรียบเสมือนสถานีความสุขที่คอยเติมพลังให้แก่ทุกคนในสังคม เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผู้คน สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และเป็นเครื่องสะท้อนความเจริญของสังคมนั้นๆ

    สาธารณสถานไม่ใช่แค่พื้นที่ทางกายภาพ แต่คือหัวใจของชุมชน ที่ซึ่งเรื่องราวชีวิตนับร้อยพันได้ถูกบอกเล่า ที่ซึ่งความทรงจำดีๆ ถูกสร้างขึ้นมา ที่ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์และดูแลรักษา ความสำคัญของพื้นที่เหล่านี้จึงไม่ได้อยู่แค่ที่การใช้งาน แต่คือการที่มันช่วยหล่อหลอมจิตใจของผู้คนให้มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากขึ้น เมื่อเราได้ใช้ประโยชน์จากมัน เราย่อมรู้สึกหวงแหนและอยากจะรักษามันให้คงอยู่ตลอดไป การดูแลรักษาสวนสาธารณะให้สะอาด สนามเด็กเล่นให้ปลอดภัย จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานใดๆ เพียงเพราะเราทุกคนคือเจ้าของพื้นที่เหล่านี้อย่างแท้จริง และมันคือมรดกที่ควรส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง

    สาธารณสถานจึงเป็นมากกว่าเพียงแค่พื้นที่ว่างๆ แต่มันคือลมหายใจของเมือง เป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพชีวิตและจิตสำนึกของคนในสังคมนั้นๆ การให้ความสำคัญและร่วมกันดูแลรักษาพื้นที่เหล่านี้ จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับทุกคน เพราะเมื่อสาธารณสถานมีชีวิตชีวา สังคมของเราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสัมพันธ์ที่ดี และความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
    บทความกฎหมาย EP.3 เรื่องสาธารณสถาน ในทุกตรอกซอกซอยของเมืองใหญ่และหมู่บ้านเล็กๆ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เปิดประตูต้อนรับผู้คนจากทุกสารทิศ สถานที่ที่ไม่ได้มีเจ้าของเป็นคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน สถานที่ที่เรียกว่าสาธารณสถาน สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น หรือแม้แต่ศาลาพักร้อนริมทาง สิ่งเหล่านี้คือพื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวมตัวและพักผ่อนหย่อนใจ เป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้คนได้หลบหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน เข้ามาหายใจในอากาศที่บริสุทธิ์ ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกับเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ได้นั่งพักผ่อนเงียบๆ คนเดียวเพื่อทบทวนความคิด พื้นที่เหล่านี้เปรียบเสมือนสถานีความสุขที่คอยเติมพลังให้แก่ทุกคนในสังคม เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผู้คน สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และเป็นเครื่องสะท้อนความเจริญของสังคมนั้นๆ สาธารณสถานไม่ใช่แค่พื้นที่ทางกายภาพ แต่คือหัวใจของชุมชน ที่ซึ่งเรื่องราวชีวิตนับร้อยพันได้ถูกบอกเล่า ที่ซึ่งความทรงจำดีๆ ถูกสร้างขึ้นมา ที่ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์และดูแลรักษา ความสำคัญของพื้นที่เหล่านี้จึงไม่ได้อยู่แค่ที่การใช้งาน แต่คือการที่มันช่วยหล่อหลอมจิตใจของผู้คนให้มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากขึ้น เมื่อเราได้ใช้ประโยชน์จากมัน เราย่อมรู้สึกหวงแหนและอยากจะรักษามันให้คงอยู่ตลอดไป การดูแลรักษาสวนสาธารณะให้สะอาด สนามเด็กเล่นให้ปลอดภัย จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานใดๆ เพียงเพราะเราทุกคนคือเจ้าของพื้นที่เหล่านี้อย่างแท้จริง และมันคือมรดกที่ควรส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง สาธารณสถานจึงเป็นมากกว่าเพียงแค่พื้นที่ว่างๆ แต่มันคือลมหายใจของเมือง เป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพชีวิตและจิตสำนึกของคนในสังคมนั้นๆ การให้ความสำคัญและร่วมกันดูแลรักษาพื้นที่เหล่านี้ จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับทุกคน เพราะเมื่อสาธารณสถานมีชีวิตชีวา สังคมของเราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสัมพันธ์ที่ดี และความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Feiniu NAS รุ่นใหม่จุเกิน 180TB พร้อม UPS และช่อง SD — แต่ราคายังเป็นปริศนา”

    Feiniu ผู้ผลิต NAS จากจีนเปิดตัวรุ่นใหม่ที่สร้างความสนใจในวงการเก็บข้อมูล ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา ทั้งความจุเกิน 180TB, ระบบสำรองไฟ (UPS) ในตัว และช่องเสียบ SD card สำหรับการเชื่อมต่อแบบพกพา โดยรุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในช่วงปลายปีนี้

    จุดเด่นที่สุดคือการรวม UPS เข้ากับตัว NAS ซึ่งช่วยป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับแบบฉับพลัน โดยระบบจะยังคงทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟตก เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์สามารถปิดตัวอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ NAS ระดับ enterprise ยังไม่ค่อยมีให้เห็น

    ดีไซน์ของรุ่น 6-bay มาในรูปทรงแนวนอน สีเทาด้านข้าง ดำด้านหน้า พร้อมโลโก้ “fn” และปุ่มพลังงานสีแดง ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อมีทั้ง USB-C, USB-A และ SD card slot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนข้อมูลจากกล้องหรืออุปกรณ์พกพาได้สะดวกขึ้น

    Feiniu ยังระบุว่ารุ่นนี้จะมีทั้งเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro โดยใช้คำว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสเปกภายใน เช่น CPU, RAM, ระบบไฟล์ หรือประสิทธิภาพพลังงาน

    แม้จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ราคายังไม่เปิดเผย ทำให้ผู้บริโภคยังไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าได้ และต้องรอดูว่า Feiniu จะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์นี้ในตลาดระดับไหน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Feiniu เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ที่รองรับความจุเกิน 180TB
    มีระบบ UPS ในตัวเพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับ
    รุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในปลายปี
    มีพอร์ต USB-C, USB-A และ SD card slot สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก

    จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน
    ดีไซน์แนวนอน สีเทา-ดำ พร้อมปุ่มพลังงานสีแดง
    UPS ช่วยให้ระบบยังทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟดับ เพื่อปิดฮาร์ดดิสก์อย่างปลอดภัย
    SD card slot เพิ่มความสะดวกในการโอนข้อมูลจากอุปกรณ์พกพา
    มีเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro พร้อมคำโปรยว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NAS ระดับ enterprise บางรุ่นมีความจุเกิน 1PB แต่ยังไม่มี UPS ในตัว
    ระบบ UPS ใน NAS ยังเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ไม่แพร่หลาย
    fnOS ของ Feiniu เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY NAS
    การรวม UPS กับ NAS อาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ UPS แยกต่างหาก

    https://www.techradar.com/pro/this-nas-has-an-integrated-ups-and-can-accommodate-more-than-180tb-of-storage-as-well-as-a-memory-card-but-i-wonder-how-much-it-will-cost
    🗄️ “Feiniu NAS รุ่นใหม่จุเกิน 180TB พร้อม UPS และช่อง SD — แต่ราคายังเป็นปริศนา” Feiniu ผู้ผลิต NAS จากจีนเปิดตัวรุ่นใหม่ที่สร้างความสนใจในวงการเก็บข้อมูล ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา ทั้งความจุเกิน 180TB, ระบบสำรองไฟ (UPS) ในตัว และช่องเสียบ SD card สำหรับการเชื่อมต่อแบบพกพา โดยรุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในช่วงปลายปีนี้ จุดเด่นที่สุดคือการรวม UPS เข้ากับตัว NAS ซึ่งช่วยป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับแบบฉับพลัน โดยระบบจะยังคงทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟตก เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์สามารถปิดตัวอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ NAS ระดับ enterprise ยังไม่ค่อยมีให้เห็น ดีไซน์ของรุ่น 6-bay มาในรูปทรงแนวนอน สีเทาด้านข้าง ดำด้านหน้า พร้อมโลโก้ “fn” และปุ่มพลังงานสีแดง ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อมีทั้ง USB-C, USB-A และ SD card slot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนข้อมูลจากกล้องหรืออุปกรณ์พกพาได้สะดวกขึ้น Feiniu ยังระบุว่ารุ่นนี้จะมีทั้งเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro โดยใช้คำว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสเปกภายใน เช่น CPU, RAM, ระบบไฟล์ หรือประสิทธิภาพพลังงาน แม้จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ราคายังไม่เปิดเผย ทำให้ผู้บริโภคยังไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าได้ และต้องรอดูว่า Feiniu จะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์นี้ในตลาดระดับไหน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Feiniu เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ที่รองรับความจุเกิน 180TB ➡️ มีระบบ UPS ในตัวเพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับ ➡️ รุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในปลายปี ➡️ มีพอร์ต USB-C, USB-A และ SD card slot สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก ✅ จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน ➡️ ดีไซน์แนวนอน สีเทา-ดำ พร้อมปุ่มพลังงานสีแดง ➡️ UPS ช่วยให้ระบบยังทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟดับ เพื่อปิดฮาร์ดดิสก์อย่างปลอดภัย ➡️ SD card slot เพิ่มความสะดวกในการโอนข้อมูลจากอุปกรณ์พกพา ➡️ มีเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro พร้อมคำโปรยว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NAS ระดับ enterprise บางรุ่นมีความจุเกิน 1PB แต่ยังไม่มี UPS ในตัว ➡️ ระบบ UPS ใน NAS ยังเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ไม่แพร่หลาย ➡️ fnOS ของ Feiniu เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY NAS ➡️ การรวม UPS กับ NAS อาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ UPS แยกต่างหาก https://www.techradar.com/pro/this-nas-has-an-integrated-ups-and-can-accommodate-more-than-180tb-of-storage-as-well-as-a-memory-card-but-i-wonder-how-much-it-will-cost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jeff Geerling เสียใจที่สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi มูลค่า $3,000 — บทเรียนจากความฝันสู่ความจริงที่ไม่คุ้มค่า”

    Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายฮาร์ดแวร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความในเดือนกันยายน 2025 เล่าถึงประสบการณ์การสร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi Compute Module 5 (CM5) จำนวน 10 ตัว รวม RAM ทั้งหมด 160 GB โดยใช้ Compute Blade ซึ่งเป็นบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการคลัสเตอร์ขนาดเล็กโดยเฉพาะ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ $3,000

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้น แต่ Jeff ยอมรับว่าเขา “เสียใจ” กับการลงทุนครั้งนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 ที่เขาเคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้

    ในด้าน HPC (High Performance Computing) คลัสเตอร์ Pi สามารถทำความเร็วได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า Pi เดี่ยวถึง 10 เท่า แต่ยังช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 4 เท่า แม้จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย

    ส่วนด้าน AI กลับน่าผิดหวังยิ่งกว่า เพราะ Pi 5 ยังไม่สามารถใช้ Vulkan กับ llama.cpp ได้ ทำให้ inference ต้องพึ่ง CPU เท่านั้น ผลคือการรันโมเดล Llama 3.3:70B ได้เพียง 0.28 tokens/sec และแม้จะใช้ distributed-llama ก็ยังได้แค่ 0.85 tokens/sec ซึ่งช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 5 เท่า

    Jeff สรุปว่า คลัสเตอร์ Pi อาจเหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น CI jobs, edge computing ที่ต้องการความปลอดภัยสูง หรือการเรียนรู้เชิงทดลอง แต่ไม่เหมาะกับงาน AI หรือ HPC ที่จริงจัง และเขายังแซวตัวเองว่า “นี่คือคลัสเตอร์ที่แย่ — ยกเว้น blade หมายเลข 9 ที่ตายทุกครั้งที่รัน benchmark”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Geerling สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi CM5 จำนวน 10 ตัว รวม RAM 160 GB
    ใช้ Compute Blade และอุปกรณ์เสริม รวมค่าใช้จ่ายประมาณ $3,000
    คลัสเตอร์ทำความเร็ว HPC ได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน
    ด้าน AI ทำความเร็วได้เพียง 0.28–0.85 tokens/sec เมื่อรันโมเดล Llama 3.3:70B

    การเปรียบเทียบกับคลัสเตอร์ Framework
    คลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 เร็วกว่าคลัสเตอร์ Pi ถึง 4–5 เท่า
    Framework ใช้ APU และ Vulkan ทำให้ inference เร็วกว่าอย่างชัดเจน
    Pi cluster มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย แต่ไม่คุ้มค่าในภาพรวม
    การรัน distributed-llama บน Pi cluster มีข้อจำกัดด้านจำนวน node และความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Raspberry Pi CM5 ใช้ CPU Cortex-A76 และมีแบนด์วิดธ์หน่วยความจำประมาณ 10 GB/sec
    Compute Blade ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พัฒนา แต่ยังไม่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่
    UC Santa Barbara เคยสร้างคลัสเตอร์ Pi ขนาด 1,050 node ซึ่งยังถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก
    บริษัท Unredacted Labs ใช้ Pi cluster สำหรับ Tor exit relays เพราะมีความปลอดภัยสูง

    https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-regret-building-3000-pi-ai-cluster
    🧠 “Jeff Geerling เสียใจที่สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi มูลค่า $3,000 — บทเรียนจากความฝันสู่ความจริงที่ไม่คุ้มค่า” Jeff Geerling นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายฮาร์ดแวร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความในเดือนกันยายน 2025 เล่าถึงประสบการณ์การสร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi Compute Module 5 (CM5) จำนวน 10 ตัว รวม RAM ทั้งหมด 160 GB โดยใช้ Compute Blade ซึ่งเป็นบอร์ดที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการคลัสเตอร์ขนาดเล็กโดยเฉพาะ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ $3,000 แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้น แต่ Jeff ยอมรับว่าเขา “เสียใจ” กับการลงทุนครั้งนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่คุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 ที่เขาเคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ในด้าน HPC (High Performance Computing) คลัสเตอร์ Pi สามารถทำความเร็วได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า Pi เดี่ยวถึง 10 เท่า แต่ยังช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 4 เท่า แม้จะมีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย ส่วนด้าน AI กลับน่าผิดหวังยิ่งกว่า เพราะ Pi 5 ยังไม่สามารถใช้ Vulkan กับ llama.cpp ได้ ทำให้ inference ต้องพึ่ง CPU เท่านั้น ผลคือการรันโมเดล Llama 3.3:70B ได้เพียง 0.28 tokens/sec และแม้จะใช้ distributed-llama ก็ยังได้แค่ 0.85 tokens/sec ซึ่งช้ากว่าคลัสเตอร์ Framework ถึง 5 เท่า Jeff สรุปว่า คลัสเตอร์ Pi อาจเหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น CI jobs, edge computing ที่ต้องการความปลอดภัยสูง หรือการเรียนรู้เชิงทดลอง แต่ไม่เหมาะกับงาน AI หรือ HPC ที่จริงจัง และเขายังแซวตัวเองว่า “นี่คือคลัสเตอร์ที่แย่ — ยกเว้น blade หมายเลข 9 ที่ตายทุกครั้งที่รัน benchmark” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Geerling สร้างคลัสเตอร์ AI ด้วย Raspberry Pi CM5 จำนวน 10 ตัว รวม RAM 160 GB ➡️ ใช้ Compute Blade และอุปกรณ์เสริม รวมค่าใช้จ่ายประมาณ $3,000 ➡️ คลัสเตอร์ทำความเร็ว HPC ได้ 325 Gflops หลังปรับปรุงระบบระบายความร้อน ➡️ ด้าน AI ทำความเร็วได้เพียง 0.28–0.85 tokens/sec เมื่อรันโมเดล Llama 3.3:70B ✅ การเปรียบเทียบกับคลัสเตอร์ Framework ➡️ คลัสเตอร์ Framework Desktop มูลค่า $8,000 เร็วกว่าคลัสเตอร์ Pi ถึง 4–5 เท่า ➡️ Framework ใช้ APU และ Vulkan ทำให้ inference เร็วกว่าอย่างชัดเจน ➡️ Pi cluster มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเล็กน้อย แต่ไม่คุ้มค่าในภาพรวม ➡️ การรัน distributed-llama บน Pi cluster มีข้อจำกัดด้านจำนวน node และความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Raspberry Pi CM5 ใช้ CPU Cortex-A76 และมีแบนด์วิดธ์หน่วยความจำประมาณ 10 GB/sec ➡️ Compute Blade ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้พัฒนา แต่ยังไม่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ UC Santa Barbara เคยสร้างคลัสเตอร์ Pi ขนาด 1,050 node ซึ่งยังถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ บริษัท Unredacted Labs ใช้ Pi cluster สำหรับ Tor exit relays เพราะมีความปลอดภัยสูง https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/i-regret-building-3000-pi-ai-cluster
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าปล่อยให้เศษปลาแซลมอนกลายเป็นของเหลือทิ้ง!

    ในทุกชิ้นส่วนของปลาแซลมอนยังมีเนื้อคุณภาพซ่อนอยู่มากมาย ทั้งก้าง หัว และหนัง... เครื่องแยกก้างปลา Fish Deboner คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณดึงเนื้อปลาแซลมอนออกมาใช้ได้คุ้มค่าที่สุด!

    เครื่องนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่แปรรูปปลาแซลมอน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น โรงงานทำแซลมอนรมควัน หรือผู้ค้าส่งปลา เพราะช่วยคุณ:
    เพิ่มกำไร: เปลี่ยน "เศษเหลือ" ให้กลายเป็นวัตถุดิบเนื้อปลาแซลมอนคุณภาพสูง เพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการสูญเสีย
    ผลิตง่าย: ได้เนื้อแซลมอนบดพร้อมใช้งานทันที สำหรับทำแซลมอนเบอร์เกอร์ ไส้เกี๊ยว หรือใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย
    ทำงานรวดเร็ว: ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กก./ชม. ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนแรงงานได้อย่างมหาศาล

    รายละเอียดเครื่อง:

    มอเตอร์: 3 แรงม้า, ไฟ 380V
    กำลังการผลิต: 100-300 กก./ชม.
    ขนาด: 800 x 650 x 900 มม.
    น้ำหนัก: 250 กก.

    ให้ BONNY เป็นตัวช่วยสำคัญในธุรกิจคุณ!

    แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง
    #เครื่องแยกก้างปลา #เครื่องจักรอาหาร #ปลาแซลมอน #แซลมอน #ธุรกิจอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #ฟู้ดโปรเซสซิ่ง #ร้านอาหารญี่ปุ่น #แซลมอนบด #เพิ่มมูลค่า #FishDeboner #SalmonProcessing #FoodMachinery #FoodProduction #Salmon #Seafood #ProcessedFood #FrozenFood #SMEไทย #ผู้ประกอบการ #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #เครื่องครัวร้านอาหาร #เมนูปลา #แซลมอนเบอร์เกอร์ #ไส้เกี๊ยวปลา #เครื่องจักรแปรรูป #ย่งฮะเฮง #BONNY

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    อย่าปล่อยให้เศษปลาแซลมอนกลายเป็นของเหลือทิ้ง! 😩 ในทุกชิ้นส่วนของปลาแซลมอนยังมีเนื้อคุณภาพซ่อนอยู่มากมาย ทั้งก้าง หัว และหนัง... เครื่องแยกก้างปลา Fish Deboner คือคำตอบที่จะช่วยให้คุณดึงเนื้อปลาแซลมอนออกมาใช้ได้คุ้มค่าที่สุด! 💯 เครื่องนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่แปรรูปปลาแซลมอน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น โรงงานทำแซลมอนรมควัน หรือผู้ค้าส่งปลา เพราะช่วยคุณ: เพิ่มกำไร: 📈 เปลี่ยน "เศษเหลือ" ให้กลายเป็นวัตถุดิบเนื้อปลาแซลมอนคุณภาพสูง เพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการสูญเสีย ผลิตง่าย: ✨ ได้เนื้อแซลมอนบดพร้อมใช้งานทันที สำหรับทำแซลมอนเบอร์เกอร์ 🍔 ไส้เกี๊ยว 🥟 หรือใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย ทำงานรวดเร็ว: ⏱️ ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กก./ชม. ช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนแรงงานได้อย่างมหาศาล รายละเอียดเครื่อง: มอเตอร์: 3 แรงม้า, ไฟ 380V 💪 กำลังการผลิต: 100-300 กก./ชม. ⚡ ขนาด: 800 x 650 x 900 มม. น้ำหนัก: 250 กก. ให้ BONNY เป็นตัวช่วยสำคัญในธุรกิจคุณ! 👍 แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง #เครื่องแยกก้างปลา #เครื่องจักรอาหาร #ปลาแซลมอน #แซลมอน #ธุรกิจอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #ฟู้ดโปรเซสซิ่ง #ร้านอาหารญี่ปุ่น #แซลมอนบด #เพิ่มมูลค่า #FishDeboner #SalmonProcessing #FoodMachinery #FoodProduction #Salmon #Seafood #ProcessedFood #FrozenFood #SMEไทย #ผู้ประกอบการ #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #เครื่องครัวร้านอาหาร #เมนูปลา #แซลมอนเบอร์เกอร์ #ไส้เกี๊ยวปลา #เครื่องจักรแปรรูป #ย่งฮะเฮง #BONNY 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริหารสินทรัพย์ถาวรยังไงให้คุ้มค่า ?
    บริหารสินทรัพย์ถาวรยังไงให้คุ้มค่า ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 7 รวมพวกชั่ว

    การปฏิวัติหลากสีเกิดขึ้น ในบริเวณที่สามารถจะล้อมรัสเซีย และตัดเส้นเลือดใหญ่ของรัสเซียให้ขาดจากท่อส่งออกน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย ประมาณ 60% ของรายได้ที่เป็นเงินดอลล่าร์ของรัสเซีย มาจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซ ถ้ารายได้นี้หายไป รัสเซียก็คงหายใจระรวย เสียงท่านหัวหน้าใหญ่ NATO ที่กำลังถูกอเมริกาบีบคอ พึมพำกับตนเอง งานเรายังไม่จบง่ายๆ ไม่ต้องกลัวตกงานนะพวก

    การปฏิวัติหลากสี ที่เกิดขึ้นที่ Republic of Georgia และการพยายามนำ Georgia เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของ NATO โดยประธานาธิบดี Mikheil Saakashvili เด็กสร้างของอเมริกา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการหาเส้นทางวางท่อน้ำมันเส้นใหม่ เพื่อเข้าไปเอาน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijan (ท่านที่อ่านนิทานมายากลยุทธ คงจำชื่อ Baku นี้ ได้นะครับ แหล่งน้ำมันใหญ่ของรัสเซียที่ทั้ง อังกฤษและอเมริกา พยายามจะทึ้ง พยายามจะขะโมยมาเป็น 100 ปี แล้ว มันก็เรื่องเดิม ความอยากความแค้นค้างคา ยังจบกันไม่สำเร็จ เรื่องยุ่งมันถึงได้เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนถึงตอนนี้ ถ้ายังไม่ได้อ่านก็อ่านกันหน่อยนะครับ จะได้ต่อภาพได้ใหญ่และลึกขึ้น)

    หลังสหภาพโซเวียต ล่มเมื่อช่วงต้น ค.ศ. 1990 British Petroleum ตั้งตัวเป็นหัวหน้าใหญ่ เรียกบริษัทผลิตน้ำมัน ต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อจะหาทางเข้าไปเจาะน้ำมันที่ Baku หลังจากฝันสลายมาหลายรอบ

    สมัยรัฐบาล Clinton เองก็หนุนโครงการของ BP หวังจะให้มีการวางท่อน้ำมันโดยไม่ต้องผ่านเข้าไปในรัสเซีย แต่เนื่องจากแถวนั้นมีแต่ภูเขา ถ้าไม่ทำท่อน้ำมันลอยฟ้า (ฮา ตลกเล่นครับ) เส้นทางเดียวที่จะมาจาก Baku โดยไม่ต้องไปวางท่อบนภูเขาหรือ ลอยฟ้า ก็คือต้องมาทาง Georgia ผ่าน Tbilisi ข้ามทะเลดำมาถึงตุรกี สมาชิกคนสำคัญของ NATO (ถ้าไม่ลืมเสีย จะต้องเล่าเรื่องตุรกี อาวุธลับของนักล่าเสียหน่อย มันหยด) ซึ่งจะมาต่อกับท่อน้ำมัน Mediterranean Turkish ที่ท่าเรือ Ceyhan
    ท่อน้ำมันสาย Baku-Ceyhan นี้ BP และพวก ประกาศก้องว่าจะเป็นโครงการแห่ง ศตวรรษ Project of the Century (หลังจากกินแห้วมานาน) นาย Zbigniew Brzezinsski (มาอีกแล้ว !) เป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ BP ในสมัยรัฐบาล Clinton (ดูวิธีมันเล่นละครลิงกัน) และเป็นผู้ lobby ให้รัฐบาล Clinton สนับสนุนโครงการ BP

    ปี ค.ศ. 1995 นาย Brzezinski เดินทางไป Baku อย่างไม่เป็นทางการ ในนามของตัวแทนประธานาธิบดี Clinton ไปพบกับประธานาธิบดี Haidar Aliyev ของ Azeri เพื่อเจรจาเกี่ยวกับเส้นทางใหม่ของท่อน้ำมัน Baku หวังจะให้เส้นทาง Baku-Tbilis-Ceyhan เกิดขึ้น

    นอกจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ ของ BP แล้ว นาย Brzezinski ยังเป็นกรรมการอยู่ในองค์กรที่ น่าสนใจมาก แต่มีคนรู้น้อยคือ US-Azerbaijan Chamber of Commerce (USACC) ประธานของ USACC คือ Tim Cejka เขาเป็นใครมาจากไหนหรือ ไม่ต้องเสียเวลาเดา เขาเป็นประธานของ Exxon Mobil Exploration คณะกรรมการของ USACC นอกจากมีนาย Brzezinski ตัวแสบนั้นแล้ว ยังมี นาย Brent Scowcroft และนาย Jame Baker III เรียกว่ารวมดารา ชนิดสวนสัตว์หลายแห่งยังหาพันธ์แบบนี้ไม่ได้

    สำหรับท่านที่ตกข่าวไปบ้าง Scowcroft เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงให้ กับประธานาธิบดี Nixon, Ford, Bush พ่อ และ Bush ลูก ส่วนนาย Baker เป็นคนเดินทางไป Tbililsi ในปี ค.ศ. 2003 เพื่อบอกกับนาย Shevardnadze เองว่า วอชิงตันต้องการให้รัสเซียถอยตัวห่างออกไป เพื่อให้เด็กสร้างของวอชิงตัน ชื่อ Shaakashvili เข้ามาเป็นประธานาธิบดีเข้าใจ ไหม นาย Baker นี้ ถ้ายังจำกันได้ ไอ้หมาไนโจรร้าย เชิญมาโชว์ตัว สมัยไอ้หมาไนเป็นนายกฯ มีใครไปเจออีกบ้าง จะให้บอกไหม คนดีที่ใคร ๆ ก็ยังชื่นชมอยู่ น่ะครับ ไม่รู้ว่าตอนเจอกัน กระซิบอะไรกันแบบที่กระซิบกับนาย Shevard-nadze บ้างหรือเปล่า ฮา !
    มันคงแทบจะเหลือเชื่อสำหรับพวกโลกสวยว่า เขาจะเล่นกันเต็มพิกัด ถึงขนาดคัดตัว เรียกรวมดารารุ่นใหญ่ เขี้ยวยาว มาเพื่อทำงานเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองสักชิ้นเชียวหรือ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องแสนจะธรรมดาสำหรับ นักล่า ถ้างานนั้นคุ้มค่าพอ เชื่อเถิดนักล่าทำมาตลอด

    ส่วนตัวประกอบที่เป็นองค์กร NGO รุ่นใหญ่นั่นก็เหมือนกัน Freedom House นี่ไม่ใช่ธรรมดา เป็นองค์กร NGO ที่ตั้งมานานแล้ว ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1940 ที่อเมริกาใช้ในการฟอกย้อมความคิดประชาชนของตน ในตอนที่คิดจะตั้ง NATO เพื่อเอาไว้คุมสหภาพโซเวียต วาดภาพโซเวียตเสีย เด็ก ๆ ได้ยินคำว่าโซเวียตอาจจะนอนฉี่ ราดฝันร้าย อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย สมัยผมเป็นหนุ่ม ใครชวนให้ไปเที่ยวรัสเซีย ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่วนประธาน Freedom House ชื่อ James Woolsey คุ้นหูกันไหม เขาเป็นอดีตหัวหน้า CIA คนที่พูดว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (ถล่มตึก World Trade) จะเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 4

    เอ ! นับผิดหรือไงคุณพี่ เปล่า คุณพี่บอก ผมนับสมัยสงครามเย็นเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 พวกคุณไม่รู้สึกหรือ งั้นลองไปถามพวกรัสเซียดูแล้วกัน ฮ่า ฮ่า

    ส่วนผู้อุปถัมภ์และผู้สนับสนุนของ Freedom House ก็ไม่ใช่ใครอื่น นาย Brzezinski ตัวแสบ และนาย Anthony Lake ที่ปรึกษาด้านนโยบายการต่างประเทศของประธานาธิบดี Carter, Clinton และ Obama ส่วนผู้ที่สนับสนุนการเงินแก่ Freedom House มีทั้งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา, USAID, USIS, Soros Open Society Foundations และแน่นอน NED (ผมขอตัวพัก ไปหายาแก้คลื่นไส้ก่อนนะครับ เห็นชื่อไอ้พวกนี้แล้วอาการออกทุกที!)

    ส่วน NED นั้น ก็เป็นตัวสำคัญในการกำกับฉากปฏิวัติ หลากสี ใน Eurasia ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 NED ตั้งขึ้นมาในสมัยรัฐบาล Reagan ทำหน้าที่เหมือน CIA ในกรณีที่ CIA ออกหน้าไม่ได้ นาย Allen Weinstein คนทำเอกสารการจัดตั้ง NED ให้สัมภาษณ์ เมื่อ ค.ศ. 1991 ว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ มันก็เหมือนกับที่ CIA ทำเมื่อ 25 ปี ก่อนนั้นนั่นแหละ”

    ประธานของ NED ตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1984 คือนาย Carl Gresham และมีนาย Wesley Clark อดีต ผอ.NATO ซึ่งเป็นผู้นำอเมริกาถล่ม Serbia ในปี ค.ศ. 1999 ก็นั่งอยู่ในคณะกรรมการของ NED ด้วย NED ร่วมปฎิบัติภาระกิจเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ที่มีนโยบายที่ขัดกับผลประโยชน์ของอเมริกามาหลายหนแล้ว ในปี ค.ศ. 2004 ถือเป็นผลงานสำคัญของ NED คือการปฏิวัติที่ Venezuela โค่นล้มประธานาธิบดี Hugo Chavez ส่วนคนที่เป็นหัวหอกในการโค่นล้ม คือ นาย Otto Juan Reich นก 2 หัว ได้รับรางวัล โดยนาย Bush แต่งตั้งให้เป็น ผช.รมต.ต่างประเทศของอเมริกา สนุกจัง โลกนี้อยู่ในกำมือของพวกไอจริงๆนะ สมันน้อยเชื่อเหอะ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 7 รวมพวกชั่ว การปฏิวัติหลากสีเกิดขึ้น ในบริเวณที่สามารถจะล้อมรัสเซีย และตัดเส้นเลือดใหญ่ของรัสเซียให้ขาดจากท่อส่งออกน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย ประมาณ 60% ของรายได้ที่เป็นเงินดอลล่าร์ของรัสเซีย มาจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซ ถ้ารายได้นี้หายไป รัสเซียก็คงหายใจระรวย เสียงท่านหัวหน้าใหญ่ NATO ที่กำลังถูกอเมริกาบีบคอ พึมพำกับตนเอง งานเรายังไม่จบง่ายๆ ไม่ต้องกลัวตกงานนะพวก การปฏิวัติหลากสี ที่เกิดขึ้นที่ Republic of Georgia และการพยายามนำ Georgia เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของ NATO โดยประธานาธิบดี Mikheil Saakashvili เด็กสร้างของอเมริกา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการหาเส้นทางวางท่อน้ำมันเส้นใหม่ เพื่อเข้าไปเอาน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijan (ท่านที่อ่านนิทานมายากลยุทธ คงจำชื่อ Baku นี้ ได้นะครับ แหล่งน้ำมันใหญ่ของรัสเซียที่ทั้ง อังกฤษและอเมริกา พยายามจะทึ้ง พยายามจะขะโมยมาเป็น 100 ปี แล้ว มันก็เรื่องเดิม ความอยากความแค้นค้างคา ยังจบกันไม่สำเร็จ เรื่องยุ่งมันถึงได้เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนถึงตอนนี้ ถ้ายังไม่ได้อ่านก็อ่านกันหน่อยนะครับ จะได้ต่อภาพได้ใหญ่และลึกขึ้น) หลังสหภาพโซเวียต ล่มเมื่อช่วงต้น ค.ศ. 1990 British Petroleum ตั้งตัวเป็นหัวหน้าใหญ่ เรียกบริษัทผลิตน้ำมัน ต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อจะหาทางเข้าไปเจาะน้ำมันที่ Baku หลังจากฝันสลายมาหลายรอบ สมัยรัฐบาล Clinton เองก็หนุนโครงการของ BP หวังจะให้มีการวางท่อน้ำมันโดยไม่ต้องผ่านเข้าไปในรัสเซีย แต่เนื่องจากแถวนั้นมีแต่ภูเขา ถ้าไม่ทำท่อน้ำมันลอยฟ้า (ฮา ตลกเล่นครับ) เส้นทางเดียวที่จะมาจาก Baku โดยไม่ต้องไปวางท่อบนภูเขาหรือ ลอยฟ้า ก็คือต้องมาทาง Georgia ผ่าน Tbilisi ข้ามทะเลดำมาถึงตุรกี สมาชิกคนสำคัญของ NATO (ถ้าไม่ลืมเสีย จะต้องเล่าเรื่องตุรกี อาวุธลับของนักล่าเสียหน่อย มันหยด) ซึ่งจะมาต่อกับท่อน้ำมัน Mediterranean Turkish ที่ท่าเรือ Ceyhan ท่อน้ำมันสาย Baku-Ceyhan นี้ BP และพวก ประกาศก้องว่าจะเป็นโครงการแห่ง ศตวรรษ Project of the Century (หลังจากกินแห้วมานาน) นาย Zbigniew Brzezinsski (มาอีกแล้ว !) เป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ BP ในสมัยรัฐบาล Clinton (ดูวิธีมันเล่นละครลิงกัน) และเป็นผู้ lobby ให้รัฐบาล Clinton สนับสนุนโครงการ BP ปี ค.ศ. 1995 นาย Brzezinski เดินทางไป Baku อย่างไม่เป็นทางการ ในนามของตัวแทนประธานาธิบดี Clinton ไปพบกับประธานาธิบดี Haidar Aliyev ของ Azeri เพื่อเจรจาเกี่ยวกับเส้นทางใหม่ของท่อน้ำมัน Baku หวังจะให้เส้นทาง Baku-Tbilis-Ceyhan เกิดขึ้น นอกจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ ของ BP แล้ว นาย Brzezinski ยังเป็นกรรมการอยู่ในองค์กรที่ น่าสนใจมาก แต่มีคนรู้น้อยคือ US-Azerbaijan Chamber of Commerce (USACC) ประธานของ USACC คือ Tim Cejka เขาเป็นใครมาจากไหนหรือ ไม่ต้องเสียเวลาเดา เขาเป็นประธานของ Exxon Mobil Exploration คณะกรรมการของ USACC นอกจากมีนาย Brzezinski ตัวแสบนั้นแล้ว ยังมี นาย Brent Scowcroft และนาย Jame Baker III เรียกว่ารวมดารา ชนิดสวนสัตว์หลายแห่งยังหาพันธ์แบบนี้ไม่ได้ สำหรับท่านที่ตกข่าวไปบ้าง Scowcroft เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงให้ กับประธานาธิบดี Nixon, Ford, Bush พ่อ และ Bush ลูก ส่วนนาย Baker เป็นคนเดินทางไป Tbililsi ในปี ค.ศ. 2003 เพื่อบอกกับนาย Shevardnadze เองว่า วอชิงตันต้องการให้รัสเซียถอยตัวห่างออกไป เพื่อให้เด็กสร้างของวอชิงตัน ชื่อ Shaakashvili เข้ามาเป็นประธานาธิบดีเข้าใจ ไหม นาย Baker นี้ ถ้ายังจำกันได้ ไอ้หมาไนโจรร้าย เชิญมาโชว์ตัว สมัยไอ้หมาไนเป็นนายกฯ มีใครไปเจออีกบ้าง จะให้บอกไหม คนดีที่ใคร ๆ ก็ยังชื่นชมอยู่ น่ะครับ ไม่รู้ว่าตอนเจอกัน กระซิบอะไรกันแบบที่กระซิบกับนาย Shevard-nadze บ้างหรือเปล่า ฮา ! มันคงแทบจะเหลือเชื่อสำหรับพวกโลกสวยว่า เขาจะเล่นกันเต็มพิกัด ถึงขนาดคัดตัว เรียกรวมดารารุ่นใหญ่ เขี้ยวยาว มาเพื่อทำงานเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองสักชิ้นเชียวหรือ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องแสนจะธรรมดาสำหรับ นักล่า ถ้างานนั้นคุ้มค่าพอ เชื่อเถิดนักล่าทำมาตลอด ส่วนตัวประกอบที่เป็นองค์กร NGO รุ่นใหญ่นั่นก็เหมือนกัน Freedom House นี่ไม่ใช่ธรรมดา เป็นองค์กร NGO ที่ตั้งมานานแล้ว ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1940 ที่อเมริกาใช้ในการฟอกย้อมความคิดประชาชนของตน ในตอนที่คิดจะตั้ง NATO เพื่อเอาไว้คุมสหภาพโซเวียต วาดภาพโซเวียตเสีย เด็ก ๆ ได้ยินคำว่าโซเวียตอาจจะนอนฉี่ ราดฝันร้าย อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย สมัยผมเป็นหนุ่ม ใครชวนให้ไปเที่ยวรัสเซีย ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่วนประธาน Freedom House ชื่อ James Woolsey คุ้นหูกันไหม เขาเป็นอดีตหัวหน้า CIA คนที่พูดว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (ถล่มตึก World Trade) จะเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 4 เอ ! นับผิดหรือไงคุณพี่ เปล่า คุณพี่บอก ผมนับสมัยสงครามเย็นเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 พวกคุณไม่รู้สึกหรือ งั้นลองไปถามพวกรัสเซียดูแล้วกัน ฮ่า ฮ่า ส่วนผู้อุปถัมภ์และผู้สนับสนุนของ Freedom House ก็ไม่ใช่ใครอื่น นาย Brzezinski ตัวแสบ และนาย Anthony Lake ที่ปรึกษาด้านนโยบายการต่างประเทศของประธานาธิบดี Carter, Clinton และ Obama ส่วนผู้ที่สนับสนุนการเงินแก่ Freedom House มีทั้งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา, USAID, USIS, Soros Open Society Foundations และแน่นอน NED (ผมขอตัวพัก ไปหายาแก้คลื่นไส้ก่อนนะครับ เห็นชื่อไอ้พวกนี้แล้วอาการออกทุกที!) ส่วน NED นั้น ก็เป็นตัวสำคัญในการกำกับฉากปฏิวัติ หลากสี ใน Eurasia ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 NED ตั้งขึ้นมาในสมัยรัฐบาล Reagan ทำหน้าที่เหมือน CIA ในกรณีที่ CIA ออกหน้าไม่ได้ นาย Allen Weinstein คนทำเอกสารการจัดตั้ง NED ให้สัมภาษณ์ เมื่อ ค.ศ. 1991 ว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ มันก็เหมือนกับที่ CIA ทำเมื่อ 25 ปี ก่อนนั้นนั่นแหละ” ประธานของ NED ตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1984 คือนาย Carl Gresham และมีนาย Wesley Clark อดีต ผอ.NATO ซึ่งเป็นผู้นำอเมริกาถล่ม Serbia ในปี ค.ศ. 1999 ก็นั่งอยู่ในคณะกรรมการของ NED ด้วย NED ร่วมปฎิบัติภาระกิจเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ที่มีนโยบายที่ขัดกับผลประโยชน์ของอเมริกามาหลายหนแล้ว ในปี ค.ศ. 2004 ถือเป็นผลงานสำคัญของ NED คือการปฏิวัติที่ Venezuela โค่นล้มประธานาธิบดี Hugo Chavez ส่วนคนที่เป็นหัวหอกในการโค่นล้ม คือ นาย Otto Juan Reich นก 2 หัว ได้รับรางวัล โดยนาย Bush แต่งตั้งให้เป็น ผช.รมต.ต่างประเทศของอเมริกา สนุกจัง โลกนี้อยู่ในกำมือของพวกไอจริงๆนะ สมันน้อยเชื่อเหอะ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ

    Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น

    หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที

    ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10

    มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น

    Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor

    Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS
    มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์

    ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต
    เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที
    ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

    ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก
    เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console
    เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe

    อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว
    Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4
    KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8

    ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น
    ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ
    ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO

    เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB
    แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ
    เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร

    อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio)
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor
    มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0
    หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที
    เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น
    การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง
    การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่

    https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    📰 Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10 มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor ✅ Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ ✅ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต ➡️ เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที ➡️ ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ✅ ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก ➡️ เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console ➡️ เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe ✅ อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว ➡️ Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4 ➡️ KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8 ✅ ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น ➡️ ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ ➡️ ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO ✅ เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB ➡️ แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ ➡️ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร ✅ อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ➡️ ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor ➡️ มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0 ⛔ หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ⛔ เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น ⛔ การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง ⛔ การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่ https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    9TO5LINUX.COM
    Tails 7.0 Anonymous Linux OS Officially Released, Based on Debian 13 “Trixie” - 9to5Linux
    Tails 7.0 anonymous Linux OS is now available for download based on Debian 13 “Trixie” and featuring the GNOME 48 desktop environment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง

    หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่

    ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94%

    Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง
    ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่
    ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores

    ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4
    Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก
    Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่
    รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
    อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94%

    Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต
    คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD
    แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น

    https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    📰 Intel จับมือ NVIDIA สร้างชิป x86 พร้อม GPU RTX — แต่ยืนยันจะไม่ทิ้ง GPU ของตัวเอง หลังจาก Intel และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ที่รวม CPU ของ Intel เข้ากับ GPU RTX ของ NVIDIA หลายคนตั้งคำถามว่า Intel จะยังเดินหน้าพัฒนา GPU ของตัวเองอยู่หรือไม่ ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเองต่อไป” และข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นเพียงการเสริมแผนงานเดิม ไม่ใช่การแทนที่ ในงานแถลงข่าวร่วมระหว่าง Jensen Huang (CEO ของ NVIDIA) และ Lip-Bu Tan (CEO ของ Intel) ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่าชิปใหม่จะใช้สำหรับพีซีลูกค้าและงาน AI/HPC โดยมีการใช้เทคโนโลยี NVLink เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเริ่มเห็นในชิป Nova Lake รุ่นถัดไปของ Intel ที่จะเปิดตัวในปี 2026 อย่างไรก็ตาม Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา GPU สาย Arc สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ GPU สาย Gaudi กับ Shores สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นได้ยาก แต่ก็เริ่มมีจุดแข็งในด้านความคุ้มค่า และยังมีแผนเปิดตัว Xe3 “Celestial” และ Xe4 “Druid” ในชิป Panther Lake และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2025–2026 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก Arc B-Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน และอาจเป็นการตอบโต้การครองตลาด GPU แบบแยกของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 94% ✅ Intel ยืนยันจะยังคงมีผลิตภัณฑ์ GPU ของตัวเอง ➡️ ข้อตกลงกับ NVIDIA เป็นการเสริม ไม่ใช่การแทนที่ ➡️ ยังคงพัฒนา GPU สาย Arc, Gaudi และ Shores ✅ ชิป Panther Lake และ Nova Lake จะใช้ Xe3 และ Xe4 ➡️ Xe3 “Celestial” สำหรับกราฟิกหลัก ➡️ Xe4 “Druid” สำหรับงานแสดงผลและการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ ✅ มีข่าวลือว่า Intel เตรียมเปิดตัว Arc Battlemage รุ่นใหม่ ➡️ รหัส BMG-G31 สำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ➡️ อาจเป็นการตอบโต้การครองตลาดของ NVIDIA ที่มีส่วนแบ่ง 94% ✅ Intel ใช้เทคโนโลยี Foveros ในการออกแบบชิปแบบหลายชิปเล็ต ➡️ คล้ายกับ Kaby Lake-G ที่เคยใช้ GPU ของ AMD ➡️ แต่ครั้งนี้จะใช้ GPU ของ NVIDIA ในบางรุ่นเท่านั้น https://wccftech.com/intel-assures-will-continue-to-have-gpu-product-offerings-in-future-nvidia-deal-complimentary/
    WCCFTECH.COM
    Intel Assures They Will Continue To Have GPU Product Offerings In The Future, NVIDIA Deal Complimentary To Product Roadmap
    Intel has reassured that it will continue to have GPU products in the future despite the new NVIDIA deal, which was announced today.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts