• รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251204 #TechRadar

    Google Antigravity AI ลบข้อมูลนักพัฒนาแล้วขอโทษ
    เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อระบบ AI ของ Google ที่ชื่อว่า Antigravity ลบข้อมูลใน Google Drive ของนักพัฒนารายหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นระบบได้ส่งข้อความขอโทษกลับมาเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหาก AI สามารถทำผิดพลาดในระดับนี้ อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไปได้อย่างรุนแรง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/googles-antigravity-ai-deleted-a-developers-drive-and-then-apologized

    ความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันกฎหมาย AI ระดับชาติสะดุด
    เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในสภาอเมริกา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้กฎหมายควบคุม AI ถูกกำหนดในระดับรัฐบาลกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการมี “กฎหมาย 50 แบบ” จากแต่ละรัฐ เขาเชื่อว่าการรวมศูนย์จะช่วยให้สหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติหลายคน โดยเฉพาะรีพับลิกันเอง กลับไม่เห็นด้วย เพราะมองว่ารัฐมีความคล่องตัวในการออกกฎหมายที่ตอบโจทย์สถานการณ์ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ว่าการผลักดันนี้คือการเข้าข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี สุดท้ายข้อเสนอนี้ถูกโหวตคว่ำอย่างท่วมท้น และทำให้ทรัมป์ถูกโจมตีว่า “ยืนอยู่ข้าง Big Tech”
    https://www.techradar.com/pro/trumps-push-to-overrule-ai-regulation-falters-as-republicans-split

    AWS เปิดตัว Nova Forge ให้ธุรกิจสร้างโมเดล AI ของตัวเอง
    Amazon Web Services เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Nova Forge ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล AI ได้ตามต้องการ โดยเริ่มจากโมเดลพื้นฐานของ Amazon แล้วนำข้อมูลของบริษัทมาผสมเพื่อสร้างโมเดลเฉพาะกิจที่เรียกว่า “Novellas” จุดเด่นคือช่วยลดต้นทุนและเวลาในการฝึกโมเดลใหม่จากศูนย์ ซึ่งปกติอาจใช้เงินมหาศาลและทีมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Nova 2 ที่มาพร้อมโมเดลพื้นฐานใหม่หลายตัว รวมถึงความสามารถด้านการสนทนาแบบเสียงต่อเสียงที่ใกล้เคียงมนุษย์ ถือเป็นการขยายศักยภาพของ AWS ในตลาด AI อย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/aws-nova-forge-could-be-your-companys-cue-to-start-building-custom-ai-models

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือถูกจับตาแบบสด ๆ ระหว่างปฏิบัติการ
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยสามารถหลอกกลุ่ม Lazarus ของเกาหลีเหนือให้ใช้เครื่องที่พวกเขาคิดว่าเป็น “แล็ปท็อปจริง” แต่แท้จริงคือ sandbox ที่ควบคุมจากระยะไกล ทำให้สามารถเห็นการทำงานของแฮกเกอร์แบบสด ๆ แผนการนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง “คนงานปลอม” เพื่อสมัครงานในบริษัทใหญ่ แล้วใช้ตำแหน่งนั้นทำกิจกรรมโจมตีไซเบอร์ นักวิจัยพบว่าแฮกเกอร์ใช้เครื่องมืออย่าง OTP generator, AI automation และ Google Remote Desktop เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบสองชั้น เหตุการณ์นี้ช่วยเปิดเผยวิธีการทำงานของกลุ่ม Lazarus และเป็นข้อมูลสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-worker-scheme-caught-live-on-camera

    รีวิว Lenovo ThinkBook Plus Gen 6 Rollable โน้ตบุ๊คจอขยายได้
    Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊คที่เรียกว่า “Rollable” รุ่นแรกของโลก ThinkBook Plus Gen 6 ที่สามารถขยายหน้าจอจาก 14 นิ้วเป็น 16 นิ้วได้เพียงกดปุ่มเดียว ทำให้การทำงานนอกสถานที่สะดวกขึ้นมาก ตัวเครื่องมาพร้อมสเปกแรง เช่น Intel Core Ultra 7, RAM 32GB และ SSD 1TB จุดเด่นคือจอ OLED ที่ขยายได้อย่างลื่นไหลและใช้งานจริงได้ ไม่ใช่แค่ลูกเล่น ผู้รีวิวเล่าว่าทุกครั้งที่กางจอออก คนรอบข้างมักตื่นตาตื่นใจ ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อโน้ตบุ๊คสำหรับธุรกิจและการทำงานแบบพกพา
    https://www.techradar.com/pro/lenovo-thinkbook-plus-gen-6-rollable-business-laptop-review

    หลุดข้อมูล Xeon 6 เวิร์กสเตชันใหม่ของ Intel
    มีการพบเมนบอร์ด ADLINK ISB-W890 ที่เผยให้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel สำหรับเวิร์กสเตชัน Granite Rapids-WS จุดเด่นคือรองรับหน่วยความจำ ECC DDR5 ได้สูงสุดถึง 1TB และมีช่อง PCIe มากมายสำหรับงานประมวลผลหนัก ๆ รวมถึงการ์ดกราฟิกหลายตัว ซีพียู Xeon รุ่นใหม่คาดว่าจะมีสูงสุดถึง 86 คอร์ พร้อมความเร็วสูงถึง 4.8GHz ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD ThreadRipper รุ่นท็อป การรั่วไหลนี้ทำให้เห็นว่า Intel กำลังกลับมาท้าทายตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/pro/is-this-our-first-look-at-intels-xeon-6-workstation-hardware-leak-claims-to-show-w890-platform-ahead-of-granite-rapids-launch

    Qualcomm สู้กลับด้วย Snapdragon 8 Gen 5
    เรื่องนี้เริ่มจาก OnePlus เตรียมเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ OnePlus 15R ที่จะใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 เป็นครั้งแรก จุดที่น่าสนใจคือ Qualcomm เลือกใช้กลยุทธ์ “สองรุ่นเรือธง” คล้ายกับที่ Apple ทำกับชิป A-series โดยแบ่งเป็นรุ่น Elite และรุ่นปกติ เพื่อให้มือถือราคาย่อมเยาได้สัมผัสพลังระดับเรือธงเช่นกัน ผู้บริหาร OnePlus อธิบายว่า Apple เป็นแรงบันดาลใจ เพราะการแยกชิป Pro และชิปธรรมดาใน iPhone ทำให้ตลาดแตกต่างชัดเจน Qualcomm จึงต้องเดินตามแนวทางนี้เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ และผลลัพธ์คือผู้ใช้จะได้มือถือที่แรงขึ้นแม้ไม่ใช่รุ่นแพงสุด
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/qualcomm-knows-it-has-to-fight-back-oneplus-exec-explains-why-apple-is-partially-responsible-for-the-new-snapdragon-8-gen-5-chipset

    รื้อความเข้าใจผิดเรื่อง Passwordless Authentication
    หลายคนยังเชื่อว่าการเข้าสู่ระบบแบบไม่ใช้รหัสผ่านนั้นไม่ปลอดภัย แต่บทความนี้อธิบายชัดว่ามันคือการยกระดับความปลอดภัย เพราะใช้สิ่งที่คุณ “เป็น” เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า ร่วมกับ PIN ที่ทำงานเฉพาะบนอุปกรณ์ ไม่ถูกส่งออกไปเหมือนรหัสผ่านทั่วไป จึงยากต่อการโจมตี อีกทั้งยังช่วยลดภาระของทีม IT ที่ต้องคอยแก้ปัญหาการรีเซ็ตรหัสผ่านซ้ำๆ เทคโนโลยีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่ยุค Zero-Trust ที่องค์กรกำลังมุ่งไป
    https://www.techradar.com/pro/passwordless-authentication-isnt-the-problem-the-myths-around-the-technology-are

    โฆษณา Windows 11 “PC ที่พูดคุยได้” สร้างเสียงแตก
    Microsoft ปล่อยโฆษณาใหม่ช่วงเทศกาลที่โชว์ฟีเจอร์ “Hey Copilot” ให้ผู้ใช้พูดคุยกับคอมพิวเตอร์ได้เหมือนผู้ช่วยส่วนตัว โฆษณามีฉากสนุกๆ เช่นการให้ Copilot ซิงค์ไฟคริสต์มาสกับเพลง แต่ปัญหาคือฟีเจอร์จริงยังทำไม่ได้ ทำให้ผู้ชมบางส่วนมองว่า Microsoft กำลังสร้างความคาดหวังเกินจริง หลายคอมเมนต์ประชดประชัน เช่น “Hey Copilot – ช่วยติดตั้ง Linux ให้หน่อย” สะท้อนว่าผู้ใช้บางกลุ่มรู้สึกถูกยัดเยียด AI มากเกินไป
    https://www.techradar.com/computing/windows/new-windows-11-pc-you-can-talk-to-ad-pushing-copilot-is-proving-divisive-and-i-can-see-it-seriously-backfiring

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในยุค AI
    AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ปัญหาคือข้อมูลที่ใช้ฝึก AI มักเป็นข้อมูลลับและอ่อนไหว หากบริษัทไม่โปร่งใสในการจัดการข้อมูล ลูกค้าอาจหมดความเชื่อใจ ตัวอย่างเช่น OpenAI เคยถูกปรับเพราะใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ชัดเจน ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ผู้ให้บริการ AI จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร? คำตอบคือการเปิดเผยที่มาของข้อมูลและสถานที่จัดเก็บอย่างชัดเจน พร้อมเสริมระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและ MFA เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลของพวกเขาปลอดภัยจริง
    https://www.techradar.com/pro/the-search-for-transparency-and-reliability-in-the-ai-era

    Nvidia กับดีล 100 พันล้านดอลลาร์ที่ยังไม่เสร็จ
    แม้จะมีข่าวใหญ่เรื่อง Nvidia จับมือ OpenAI ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ความจริงคือดีลนี้ยังไม่ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอน “จดหมายแสดงเจตนา” เท่านั้น ความเสี่ยงคือการลงทุนระยะยาวอาจเจอปัญหาสินค้าล้นสต็อกหรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เร็วเกินไป นักลงทุนบางส่วนจึงกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” ที่พร้อมแตกได้ทุกเมื่อ ถึงแม้หุ้น Nvidia จะยังขึ้น แต่คำถามเรื่องความยั่งยืนยังคงอยู่
    https://www.techradar.com/pro/nvidia-admits-the-usd100bn-biggest-ai-infrastructure-project-in-history-openai-deal-still-isnt-finalized

    Character.ai ปรับกลยุทธ์ใหม่สำหรับวัยรุ่น
    แพลตฟอร์ม AI ชื่อดัง Character.ai เริ่มเปลี่ยนแนวทางการให้บริการ โดยลดการสนทนาแบบเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แล้วเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ “Stories” เพื่อดึงดูดวัยรุ่นให้ยังคงสนใจอยู่ จุดประสงค์คือสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยมากขึ้น และยังคงให้ผู้ใช้ได้สนุกกับการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ควบคุมได้มากกว่า การปรับนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังหาทางบาลานซ์ระหว่างความสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อผู้ใช้เยาวชน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/character-ai-launches-stories-to-keep-teens-engaged-as-it-scales-back-open-ended-chat-for-under-18s

    กลุ่มแฮ็กเกอร์อิหร่านใช้เกม Snake เป็นอาวุธ
    มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จากอิหร่านได้สร้างเกม Snake ปลอมขึ้นมาเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอียิปต์และอิสราเอล เกมนี้ถูกออกแบบให้ดูเหมือนเกมธรรมดา แต่จริงๆ แล้วแฝงมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบได้ การใช้วิธีที่ดู “ไร้เดียงสา” เช่นเกมยอดนิยม เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/security/iranian-hacker-group-deploys-malicious-snake-game-to-target-egyptian-and-israeli-critical-infrastructure

    รีวิว MSI Cubi NUC AI+ 2MG Mini PC
    บทความนี้รีวิวเครื่อง Mini PC รุ่นใหม่จาก MSI ที่ชื่อ Cubi NUC AI+ 2MG จุดเด่นคือขนาดเล็กแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับงานสำนักงานหรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่กินพื้นที่มาก ตัวเครื่องมาพร้อมการรองรับ AI workload และการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้ PC ขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงความแรงไว้ครบ
    https://www.techradar.com/pro/msi-cubi-nuc-ai-2mg-mini-pc-review

    ExpressVPN อัปเดตใหม่ เร็วขึ้นและปรับโฉมบน Mac
    ExpressVPN ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ และปรับปรุงแอปบน Mac ให้ใช้งานง่ายขึ้น ดีไซน์ใหม่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์หลักได้สะดวกกว่าเดิม พร้อมทั้งเสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพของการเชื่อมต่อ ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ใช้งาน VPN ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้ระดับมืออาชีพ
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/expressvpns-latest-update-boosts-connection-speeds-and-revamps-its-mac-app

    กฎหมาย Chat Control สร้างเสียงวิจารณ์ในวงการ Privacy Tech
    กฎหมายใหม่ที่ชื่อ Chat Control กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัว หลายคนมองว่ามันคือ “หายนะที่รอเกิดขึ้น” เพราะเปิดช่องให้มีการสอดส่องการสื่อสารส่วนตัวของผู้ใช้ แม้จะอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัวพังทลาย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-disaster-waiting-to-happen-the-privacy-tech-world-reacts-to-the-new-chat-control-bill

    Devolo WiFi 6 Router 3600 5G Review
    เรื่องนี้เล่าได้ว่าเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ทดสอบที่ได้ลองใช้เราเตอร์ Devolo WiFi 6 รุ่น 3600 ที่รองรับซิมการ์ด 5G LTE ตัวเครื่องออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก เพียงใส่ซิม เปิดไฟ และกดปุ่ม WPS ก็เชื่อมต่อได้ทันที จุดเด่นคือสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 100 เครื่องพร้อมกัน เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน เช่นออฟฟิศใหม่หรือการทำงานนอกสถานที่ ความเร็วขึ้นอยู่กับสัญญาณเครือข่าย แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี 5G แรง ๆ ก็เร็วและเสถียรกว่าการแชร์ฮอตสปอตจากมือถือมาก แม้ราคาจะสูงเกือบ £399 แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในสถานการณ์ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้
    https://www.techradar.com/computing/devolo-wifi-6-router-3600-5g-lte-review

    OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมของแถมพิเศษ
    OnePlus 15 ที่หลายคนรอคอยกำลังจะเปิดให้พรีออเดอร์ในสหรัฐฯ วันที่ 4 ธันวาคมนี้ หลังจากเลื่อนเปิดตัวเพราะติดปัญหาการรับรองจาก FCC ราคาจะเริ่มต้นที่ $899.99 สำหรับรุ่น RAM 12GB และ $999.99 สำหรับรุ่น RAM 16GB พร้อมของแถมให้เลือก เช่นนาฬิกา OnePlus Watch 3 มูลค่า $300 หรือหูฟัง Buds Pro 3 จุดเด่นของรุ่นนี้คือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,300mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานมาก รวมถึงกล้องและซอฟต์แวร์ที่ได้รับคำชมจนได้คะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาว ถือเป็นการกลับมาที่น่าตื่นเต้นของ OnePlus ในตลาดสหรัฐฯ
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-is-finally-heading-to-the-us-and-you-can-grab-a-major-pre-order-bonus

    รัสเซียเตรียมแบน WhatsApp ภายใต้ “ม่านเหล็กดิจิทัล”
    รัฐบาลรัสเซียโดยหน่วยงาน Roskomnadzor ขู่จะบล็อก WhatsApp แบบเต็มรูปแบบ โดยกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้เพื่อกิจกรรมก่อการร้าย และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ WhatsApp ในรัสเซียกว่า 97 ล้านคน หากถูกบล็อกจริงจะกระทบการสื่อสารอย่างรุนแรง โดยก่อนหน้านี้ Signal ก็ถูกบล็อกไปแล้ว ทำให้ผู้ใช้ถูกบังคับไปใช้แอปที่รัฐควบคุมอย่าง MAX ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการสอดส่องสูง WhatsApp ยืนยันว่าจะยังคงให้บริการการสื่อสารแบบเข้ารหัสเพื่อปกป้องสิทธิผู้ใช้ แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาล
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russias-digital-iron-curtain-whatsapp-next-on-the-chopping-block

    Amazon ทดลอง “AI Factories” ติดตั้งในองค์กรลูกค้า
    Amazon Web Services เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “AI Factories” คือการนำฮาร์ดแวร์และระบบ AI ไปติดตั้งในศูนย์ข้อมูลของลูกค้าเอง เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ลูกค้าไม่ต้องลงทุนสร้างระบบเอง แต่ AWS จะจัดการทุกอย่างให้ โดยใช้ชิป Nvidia Blackwell และ Trainium3 ของ Amazon จุดนี้ถือเป็นการกลับไปสู่แนวทาง on-premises อีกครั้ง หลังยุคที่ทุกอย่างย้ายขึ้นคลาวด์ เหมาะกับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการใช้ AI แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลออกนอกพื้นที่ได้
    https://www.techradar.com/pro/amazon-is-testing-out-private-on-premises-ai-factories

    Windows 11 มีบั๊กใหม่ใน Dark Mode ของ File Explorer
    Microsoft ปล่อยอัปเดตตัวล่าสุด KB5070311 ที่ตั้งใจจะปรับปรุง Dark Mode ให้สมบูรณ์ขึ้น แต่กลับทำให้เกิดบั๊กที่สร้างความรำคาญ เมื่อผู้ใช้เปิดโฟลเดอร์หรือแท็บใหม่ใน File Explorer จะมีแฟลชสีขาววาบขึ้นมา ซึ่งยิ่งรบกวนสายตาในสภาพแสงน้อย Microsoft ยอมรับปัญหาและกำลังแก้ไขก่อนที่จะปล่อยอัปเดตเต็มในสัปดาห์หน้า แม้จะเป็นเพียงเวอร์ชันทดลอง แต่หากไม่แก้ทันก็อาจกระทบผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดต
    https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-just-broke-file-explorer-dark-mode-some-windows-11-users-are-seeing-jarring-white-flashes-when-opening-folders

    Zettlab D6 NAS Review
    นี่เป็นรีวิวของ Zettlab D6 NAS อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยสูง จุดเด่นคือรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีพอร์ตหลากหลาย และระบบจัดการที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและผู้ใช้ที่ต้องการเก็บไฟล์จำนวนมากในบ้าน แม้ราคาจะสูง แต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถในการปกป้องและแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    https://www.techradar.com/computing/zettlab-d6-nas-device-review

    ทดสอบ ChatGPT, Gemini และ Claude ในโลกมัลติโหมด
    บทความนี้เล่าถึงการทดสอบ AI รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถทำงานแบบมัลติโหมดได้ เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude โดยเปรียบเทียบความสามารถในการเข้าใจข้อความ ภาพ และเสียง จุดที่น่าสนใจคือแต่ละระบบมีจุดแข็งต่างกัน เช่น ChatGPT เด่นด้านการสนทนาเชิงลึก Gemini เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลหลายรูปแบบ ส่วน Claude มีความแม่นยำในการตีความบริบท การทดสอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปสู่การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/testing-chatgpt-gemini-and-claude-in-the-multimodal-maze

    ยุคโฆษณาใน ChatGPT เริ่มต้นแล้ว
    ผู้ใช้ ChatGPT โดยเฉพาะกลุ่ม Pro ที่จ่ายถึง $200 ต่อเดือน กำลังไม่พอใจอย่างหนัก เพราะ OpenAI เริ่มแสดงโฆษณาและแนะนำแอปในระบบ แม้จะเป็นผู้ใช้แบบเสียเงินก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการหาทางสร้างรายได้ใหม่ของบริษัท แต่ก็ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการลดคุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/the-era-of-ads-in-chatgpt-begins-users-furious-as-even-usd200-a-month-pro-subscribers-hit-with-app-suggestions

    ออสเตรเลียสั่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้ VPN เพื่อเลี่ยงกฎหมายโซเชียล
    รัฐบาลออสเตรเลียออกมาตรการใหม่ บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการแบนโซเชียลมีเดีย กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสร้างภาระให้กับบริษัทเทคโนโลยี แต่รัฐบาลยืนยันว่าจำเป็นเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/australia-expects-platforms-to-stop-under-16s-from-using-vpns-to-evade-social-media-ban

    กว่า 2 ใน 3 ของร้านค้าปลีกใช้ AI Agent เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว
    รายงานล่าสุดเผยว่ามากกว่า 67% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มนำ AI Agent มาใช้ในการทำงาน เช่น การตอบลูกค้า การจัดการสต็อก และการวิเคราะห์ข้อมูล จุดนี้สะท้อนว่าการใช้ AI ไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำในการแข่งขัน
    https://www.techradar.com/pro/over-two-thirds-of-retailers-have-already-partially-deployed-ai-agents-for-efficiency



    📌📡🟠 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟠📡📌 #รวมข่าวIT #20251204 #TechRadar 🤖 Google Antigravity AI ลบข้อมูลนักพัฒนาแล้วขอโทษ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อระบบ AI ของ Google ที่ชื่อว่า Antigravity ลบข้อมูลใน Google Drive ของนักพัฒนารายหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นระบบได้ส่งข้อความขอโทษกลับมาเอง เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหาก AI สามารถทำผิดพลาดในระดับนี้ อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไปได้อย่างรุนแรง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/googles-antigravity-ai-deleted-a-developers-drive-and-then-apologized 🏛️ ความพยายามของทรัมป์ในการผลักดันกฎหมาย AI ระดับชาติสะดุด เรื่องนี้เป็นการถกเถียงใหญ่ในสภาอเมริกา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์พยายามผลักดันให้กฎหมายควบคุม AI ถูกกำหนดในระดับรัฐบาลกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการมี “กฎหมาย 50 แบบ” จากแต่ละรัฐ เขาเชื่อว่าการรวมศูนย์จะช่วยให้สหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติหลายคน โดยเฉพาะรีพับลิกันเอง กลับไม่เห็นด้วย เพราะมองว่ารัฐมีความคล่องตัวในการออกกฎหมายที่ตอบโจทย์สถานการณ์ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ว่าการผลักดันนี้คือการเข้าข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี สุดท้ายข้อเสนอนี้ถูกโหวตคว่ำอย่างท่วมท้น และทำให้ทรัมป์ถูกโจมตีว่า “ยืนอยู่ข้าง Big Tech” 🔗 https://www.techradar.com/pro/trumps-push-to-overrule-ai-regulation-falters-as-republicans-split ☁️ AWS เปิดตัว Nova Forge ให้ธุรกิจสร้างโมเดล AI ของตัวเอง Amazon Web Services เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Nova Forge ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล AI ได้ตามต้องการ โดยเริ่มจากโมเดลพื้นฐานของ Amazon แล้วนำข้อมูลของบริษัทมาผสมเพื่อสร้างโมเดลเฉพาะกิจที่เรียกว่า “Novellas” จุดเด่นคือช่วยลดต้นทุนและเวลาในการฝึกโมเดลใหม่จากศูนย์ ซึ่งปกติอาจใช้เงินมหาศาลและทีมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Nova 2 ที่มาพร้อมโมเดลพื้นฐานใหม่หลายตัว รวมถึงความสามารถด้านการสนทนาแบบเสียงต่อเสียงที่ใกล้เคียงมนุษย์ ถือเป็นการขยายศักยภาพของ AWS ในตลาด AI อย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/aws-nova-forge-could-be-your-companys-cue-to-start-building-custom-ai-models 🕵️ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือถูกจับตาแบบสด ๆ ระหว่างปฏิบัติการ นักวิจัยด้านความปลอดภัยสามารถหลอกกลุ่ม Lazarus ของเกาหลีเหนือให้ใช้เครื่องที่พวกเขาคิดว่าเป็น “แล็ปท็อปจริง” แต่แท้จริงคือ sandbox ที่ควบคุมจากระยะไกล ทำให้สามารถเห็นการทำงานของแฮกเกอร์แบบสด ๆ แผนการนี้เกี่ยวข้องกับการสร้าง “คนงานปลอม” เพื่อสมัครงานในบริษัทใหญ่ แล้วใช้ตำแหน่งนั้นทำกิจกรรมโจมตีไซเบอร์ นักวิจัยพบว่าแฮกเกอร์ใช้เครื่องมืออย่าง OTP generator, AI automation และ Google Remote Desktop เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบสองชั้น เหตุการณ์นี้ช่วยเปิดเผยวิธีการทำงานของกลุ่ม Lazarus และเป็นข้อมูลสำคัญในการป้องกันภัยไซเบอร์ในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-fake-worker-scheme-caught-live-on-camera 💻 รีวิว Lenovo ThinkBook Plus Gen 6 Rollable โน้ตบุ๊คจอขยายได้ Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊คที่เรียกว่า “Rollable” รุ่นแรกของโลก ThinkBook Plus Gen 6 ที่สามารถขยายหน้าจอจาก 14 นิ้วเป็น 16 นิ้วได้เพียงกดปุ่มเดียว ทำให้การทำงานนอกสถานที่สะดวกขึ้นมาก ตัวเครื่องมาพร้อมสเปกแรง เช่น Intel Core Ultra 7, RAM 32GB และ SSD 1TB จุดเด่นคือจอ OLED ที่ขยายได้อย่างลื่นไหลและใช้งานจริงได้ ไม่ใช่แค่ลูกเล่น ผู้รีวิวเล่าว่าทุกครั้งที่กางจอออก คนรอบข้างมักตื่นตาตื่นใจ ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อโน้ตบุ๊คสำหรับธุรกิจและการทำงานแบบพกพา 🔗 https://www.techradar.com/pro/lenovo-thinkbook-plus-gen-6-rollable-business-laptop-review ⚙️ หลุดข้อมูล Xeon 6 เวิร์กสเตชันใหม่ของ Intel มีการพบเมนบอร์ด ADLINK ISB-W890 ที่เผยให้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel สำหรับเวิร์กสเตชัน Granite Rapids-WS จุดเด่นคือรองรับหน่วยความจำ ECC DDR5 ได้สูงสุดถึง 1TB และมีช่อง PCIe มากมายสำหรับงานประมวลผลหนัก ๆ รวมถึงการ์ดกราฟิกหลายตัว ซีพียู Xeon รุ่นใหม่คาดว่าจะมีสูงสุดถึง 86 คอร์ พร้อมความเร็วสูงถึง 4.8GHz ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD ThreadRipper รุ่นท็อป การรั่วไหลนี้ทำให้เห็นว่า Intel กำลังกลับมาท้าทายตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-this-our-first-look-at-intels-xeon-6-workstation-hardware-leak-claims-to-show-w890-platform-ahead-of-granite-rapids-launch 📱 Qualcomm สู้กลับด้วย Snapdragon 8 Gen 5 เรื่องนี้เริ่มจาก OnePlus เตรียมเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ OnePlus 15R ที่จะใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 เป็นครั้งแรก จุดที่น่าสนใจคือ Qualcomm เลือกใช้กลยุทธ์ “สองรุ่นเรือธง” คล้ายกับที่ Apple ทำกับชิป A-series โดยแบ่งเป็นรุ่น Elite และรุ่นปกติ เพื่อให้มือถือราคาย่อมเยาได้สัมผัสพลังระดับเรือธงเช่นกัน ผู้บริหาร OnePlus อธิบายว่า Apple เป็นแรงบันดาลใจ เพราะการแยกชิป Pro และชิปธรรมดาใน iPhone ทำให้ตลาดแตกต่างชัดเจน Qualcomm จึงต้องเดินตามแนวทางนี้เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ และผลลัพธ์คือผู้ใช้จะได้มือถือที่แรงขึ้นแม้ไม่ใช่รุ่นแพงสุด 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/qualcomm-knows-it-has-to-fight-back-oneplus-exec-explains-why-apple-is-partially-responsible-for-the-new-snapdragon-8-gen-5-chipset 🔐 รื้อความเข้าใจผิดเรื่อง Passwordless Authentication หลายคนยังเชื่อว่าการเข้าสู่ระบบแบบไม่ใช้รหัสผ่านนั้นไม่ปลอดภัย แต่บทความนี้อธิบายชัดว่ามันคือการยกระดับความปลอดภัย เพราะใช้สิ่งที่คุณ “เป็น” เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า ร่วมกับ PIN ที่ทำงานเฉพาะบนอุปกรณ์ ไม่ถูกส่งออกไปเหมือนรหัสผ่านทั่วไป จึงยากต่อการโจมตี อีกทั้งยังช่วยลดภาระของทีม IT ที่ต้องคอยแก้ปัญหาการรีเซ็ตรหัสผ่านซ้ำๆ เทคโนโลยีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่ยุค Zero-Trust ที่องค์กรกำลังมุ่งไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/passwordless-authentication-isnt-the-problem-the-myths-around-the-technology-are 🎄 โฆษณา Windows 11 “PC ที่พูดคุยได้” สร้างเสียงแตก Microsoft ปล่อยโฆษณาใหม่ช่วงเทศกาลที่โชว์ฟีเจอร์ “Hey Copilot” ให้ผู้ใช้พูดคุยกับคอมพิวเตอร์ได้เหมือนผู้ช่วยส่วนตัว โฆษณามีฉากสนุกๆ เช่นการให้ Copilot ซิงค์ไฟคริสต์มาสกับเพลง แต่ปัญหาคือฟีเจอร์จริงยังทำไม่ได้ ทำให้ผู้ชมบางส่วนมองว่า Microsoft กำลังสร้างความคาดหวังเกินจริง หลายคอมเมนต์ประชดประชัน เช่น “Hey Copilot – ช่วยติดตั้ง Linux ให้หน่อย” สะท้อนว่าผู้ใช้บางกลุ่มรู้สึกถูกยัดเยียด AI มากเกินไป 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/new-windows-11-pc-you-can-talk-to-ad-pushing-copilot-is-proving-divisive-and-i-can-see-it-seriously-backfiring 🤖 ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในยุค AI AI กำลังเปลี่ยนโลกธุรกิจให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ปัญหาคือข้อมูลที่ใช้ฝึก AI มักเป็นข้อมูลลับและอ่อนไหว หากบริษัทไม่โปร่งใสในการจัดการข้อมูล ลูกค้าอาจหมดความเชื่อใจ ตัวอย่างเช่น OpenAI เคยถูกปรับเพราะใช้ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ชัดเจน ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ผู้ให้บริการ AI จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร? คำตอบคือการเปิดเผยที่มาของข้อมูลและสถานที่จัดเก็บอย่างชัดเจน พร้อมเสริมระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและ MFA เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลของพวกเขาปลอดภัยจริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-search-for-transparency-and-reliability-in-the-ai-era 💰 Nvidia กับดีล 100 พันล้านดอลลาร์ที่ยังไม่เสร็จ แม้จะมีข่าวใหญ่เรื่อง Nvidia จับมือ OpenAI ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ความจริงคือดีลนี้ยังไม่ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอน “จดหมายแสดงเจตนา” เท่านั้น ความเสี่ยงคือการลงทุนระยะยาวอาจเจอปัญหาสินค้าล้นสต็อกหรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เร็วเกินไป นักลงทุนบางส่วนจึงกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” ที่พร้อมแตกได้ทุกเมื่อ ถึงแม้หุ้น Nvidia จะยังขึ้น แต่คำถามเรื่องความยั่งยืนยังคงอยู่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/nvidia-admits-the-usd100bn-biggest-ai-infrastructure-project-in-history-openai-deal-still-isnt-finalized 📖 Character.ai ปรับกลยุทธ์ใหม่สำหรับวัยรุ่น แพลตฟอร์ม AI ชื่อดัง Character.ai เริ่มเปลี่ยนแนวทางการให้บริการ โดยลดการสนทนาแบบเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แล้วเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ “Stories” เพื่อดึงดูดวัยรุ่นให้ยังคงสนใจอยู่ จุดประสงค์คือสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยมากขึ้น และยังคงให้ผู้ใช้ได้สนุกกับการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ควบคุมได้มากกว่า การปรับนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังหาทางบาลานซ์ระหว่างความสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อผู้ใช้เยาวชน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/character-ai-launches-stories-to-keep-teens-engaged-as-it-scales-back-open-ended-chat-for-under-18s 🎮 กลุ่มแฮ็กเกอร์อิหร่านใช้เกม Snake เป็นอาวุธ มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จากอิหร่านได้สร้างเกม Snake ปลอมขึ้นมาเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอียิปต์และอิสราเอล เกมนี้ถูกออกแบบให้ดูเหมือนเกมธรรมดา แต่จริงๆ แล้วแฝงมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบได้ การใช้วิธีที่ดู “ไร้เดียงสา” เช่นเกมยอดนิยม เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/iranian-hacker-group-deploys-malicious-snake-game-to-target-egyptian-and-israeli-critical-infrastructure 💻 รีวิว MSI Cubi NUC AI+ 2MG Mini PC บทความนี้รีวิวเครื่อง Mini PC รุ่นใหม่จาก MSI ที่ชื่อ Cubi NUC AI+ 2MG จุดเด่นคือขนาดเล็กแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับงานสำนักงานหรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่กินพื้นที่มาก ตัวเครื่องมาพร้อมการรองรับ AI workload และการเชื่อมต่อที่ครบครัน ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้ PC ขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงความแรงไว้ครบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/msi-cubi-nuc-ai-2mg-mini-pc-review 🌐 ExpressVPN อัปเดตใหม่ เร็วขึ้นและปรับโฉมบน Mac ExpressVPN ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ และปรับปรุงแอปบน Mac ให้ใช้งานง่ายขึ้น ดีไซน์ใหม่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์หลักได้สะดวกกว่าเดิม พร้อมทั้งเสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพของการเชื่อมต่อ ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ใช้งาน VPN ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้ระดับมืออาชีพ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/expressvpns-latest-update-boosts-connection-speeds-and-revamps-its-mac-app ⚖️ กฎหมาย Chat Control สร้างเสียงวิจารณ์ในวงการ Privacy Tech กฎหมายใหม่ที่ชื่อ Chat Control กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัว หลายคนมองว่ามันคือ “หายนะที่รอเกิดขึ้น” เพราะเปิดช่องให้มีการสอดส่องการสื่อสารส่วนตัวของผู้ใช้ แม้จะอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัวพังทลาย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-disaster-waiting-to-happen-the-privacy-tech-world-reacts-to-the-new-chat-control-bill 📡 Devolo WiFi 6 Router 3600 5G Review เรื่องนี้เล่าได้ว่าเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ทดสอบที่ได้ลองใช้เราเตอร์ Devolo WiFi 6 รุ่น 3600 ที่รองรับซิมการ์ด 5G LTE ตัวเครื่องออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมาก เพียงใส่ซิม เปิดไฟ และกดปุ่ม WPS ก็เชื่อมต่อได้ทันที จุดเด่นคือสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 100 เครื่องพร้อมกัน เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน เช่นออฟฟิศใหม่หรือการทำงานนอกสถานที่ ความเร็วขึ้นอยู่กับสัญญาณเครือข่าย แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี 5G แรง ๆ ก็เร็วและเสถียรกว่าการแชร์ฮอตสปอตจากมือถือมาก แม้ราคาจะสูงเกือบ £399 แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในสถานการณ์ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ 🔗 https://www.techradar.com/computing/devolo-wifi-6-router-3600-5g-lte-review 📱 OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมของแถมพิเศษ OnePlus 15 ที่หลายคนรอคอยกำลังจะเปิดให้พรีออเดอร์ในสหรัฐฯ วันที่ 4 ธันวาคมนี้ หลังจากเลื่อนเปิดตัวเพราะติดปัญหาการรับรองจาก FCC ราคาจะเริ่มต้นที่ $899.99 สำหรับรุ่น RAM 12GB และ $999.99 สำหรับรุ่น RAM 16GB พร้อมของแถมให้เลือก เช่นนาฬิกา OnePlus Watch 3 มูลค่า $300 หรือหูฟัง Buds Pro 3 จุดเด่นของรุ่นนี้คือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,300mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานมาก รวมถึงกล้องและซอฟต์แวร์ที่ได้รับคำชมจนได้คะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาว ถือเป็นการกลับมาที่น่าตื่นเต้นของ OnePlus ในตลาดสหรัฐฯ 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-is-finally-heading-to-the-us-and-you-can-grab-a-major-pre-order-bonus 🚫 รัสเซียเตรียมแบน WhatsApp ภายใต้ “ม่านเหล็กดิจิทัล” รัฐบาลรัสเซียโดยหน่วยงาน Roskomnadzor ขู่จะบล็อก WhatsApp แบบเต็มรูปแบบ โดยกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้เพื่อกิจกรรมก่อการร้าย และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ WhatsApp ในรัสเซียกว่า 97 ล้านคน หากถูกบล็อกจริงจะกระทบการสื่อสารอย่างรุนแรง โดยก่อนหน้านี้ Signal ก็ถูกบล็อกไปแล้ว ทำให้ผู้ใช้ถูกบังคับไปใช้แอปที่รัฐควบคุมอย่าง MAX ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการสอดส่องสูง WhatsApp ยืนยันว่าจะยังคงให้บริการการสื่อสารแบบเข้ารหัสเพื่อปกป้องสิทธิผู้ใช้ แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาล 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russias-digital-iron-curtain-whatsapp-next-on-the-chopping-block 🤖 Amazon ทดลอง “AI Factories” ติดตั้งในองค์กรลูกค้า Amazon Web Services เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “AI Factories” คือการนำฮาร์ดแวร์และระบบ AI ไปติดตั้งในศูนย์ข้อมูลของลูกค้าเอง เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ลูกค้าไม่ต้องลงทุนสร้างระบบเอง แต่ AWS จะจัดการทุกอย่างให้ โดยใช้ชิป Nvidia Blackwell และ Trainium3 ของ Amazon จุดนี้ถือเป็นการกลับไปสู่แนวทาง on-premises อีกครั้ง หลังยุคที่ทุกอย่างย้ายขึ้นคลาวด์ เหมาะกับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการใช้ AI แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลออกนอกพื้นที่ได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/amazon-is-testing-out-private-on-premises-ai-factories 💻 Windows 11 มีบั๊กใหม่ใน Dark Mode ของ File Explorer Microsoft ปล่อยอัปเดตตัวล่าสุด KB5070311 ที่ตั้งใจจะปรับปรุง Dark Mode ให้สมบูรณ์ขึ้น แต่กลับทำให้เกิดบั๊กที่สร้างความรำคาญ เมื่อผู้ใช้เปิดโฟลเดอร์หรือแท็บใหม่ใน File Explorer จะมีแฟลชสีขาววาบขึ้นมา ซึ่งยิ่งรบกวนสายตาในสภาพแสงน้อย Microsoft ยอมรับปัญหาและกำลังแก้ไขก่อนที่จะปล่อยอัปเดตเต็มในสัปดาห์หน้า แม้จะเป็นเพียงเวอร์ชันทดลอง แต่หากไม่แก้ทันก็อาจกระทบผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดต 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-just-broke-file-explorer-dark-mode-some-windows-11-users-are-seeing-jarring-white-flashes-when-opening-folders 💾 Zettlab D6 NAS Review นี่เป็นรีวิวของ Zettlab D6 NAS อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยสูง จุดเด่นคือรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีพอร์ตหลากหลาย และระบบจัดการที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและผู้ใช้ที่ต้องการเก็บไฟล์จำนวนมากในบ้าน แม้ราคาจะสูง แต่ถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถในการปกป้องและแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔗 https://www.techradar.com/computing/zettlab-d6-nas-device-review 🧩 ทดสอบ ChatGPT, Gemini และ Claude ในโลกมัลติโหมด บทความนี้เล่าถึงการทดสอบ AI รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถทำงานแบบมัลติโหมดได้ เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude โดยเปรียบเทียบความสามารถในการเข้าใจข้อความ ภาพ และเสียง จุดที่น่าสนใจคือแต่ละระบบมีจุดแข็งต่างกัน เช่น ChatGPT เด่นด้านการสนทนาเชิงลึก Gemini เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลหลายรูปแบบ ส่วน Claude มีความแม่นยำในการตีความบริบท การทดสอบนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปสู่การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/testing-chatgpt-gemini-and-claude-in-the-multimodal-maze 📢 ยุคโฆษณาใน ChatGPT เริ่มต้นแล้ว ผู้ใช้ ChatGPT โดยเฉพาะกลุ่ม Pro ที่จ่ายถึง $200 ต่อเดือน กำลังไม่พอใจอย่างหนัก เพราะ OpenAI เริ่มแสดงโฆษณาและแนะนำแอปในระบบ แม้จะเป็นผู้ใช้แบบเสียเงินก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการหาทางสร้างรายได้ใหม่ของบริษัท แต่ก็ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการลดคุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/the-era-of-ads-in-chatgpt-begins-users-furious-as-even-usd200-a-month-pro-subscribers-hit-with-app-suggestions 🛡️ ออสเตรเลียสั่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้ VPN เพื่อเลี่ยงกฎหมายโซเชียล รัฐบาลออสเตรเลียออกมาตรการใหม่ บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการแบนโซเชียลมีเดีย กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสร้างภาระให้กับบริษัทเทคโนโลยี แต่รัฐบาลยืนยันว่าจำเป็นเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/australia-expects-platforms-to-stop-under-16s-from-using-vpns-to-evade-social-media-ban 🛍️ กว่า 2 ใน 3 ของร้านค้าปลีกใช้ AI Agent เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว รายงานล่าสุดเผยว่ามากกว่า 67% ของผู้ค้าปลีกได้เริ่มนำ AI Agent มาใช้ในการทำงาน เช่น การตอบลูกค้า การจัดการสต็อก และการวิเคราะห์ข้อมูล จุดนี้สะท้อนว่าการใช้ AI ไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำในการแข่งขัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/over-two-thirds-of-retailers-have-already-partially-deployed-ai-agents-for-efficiency
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: จีนออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากแบบใหม่

    รัฐบาลจีนได้ออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” ให้กับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ เช่น JL Mag Rare Earth, Ningbo Yunsheng และ Beijing Zhong Ke San Huan High-Tech การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า

    รายละเอียดของใบอนุญาต
    ใบอนุญาตใหม่นี้มีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้ผู้ผลิตสามารถส่งออกได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณีเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กรอบการควบคุมยังคงอยู่ เพียงแต่มีช่องทางที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    มาตรการนี้ช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ แต่ผลกระทบจะไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน เนื่องจากใบอนุญาตผูกกับลูกค้าเฉพาะราย บางบริษัทอาจได้ประโยชน์ทันที ขณะที่บางรายยังต้องรอการอนุมัติในอนาคต

    มุมมองในอนาคต
    แม้จะมีการผ่อนคลาย แต่จีนยังคงควบคุมอุตสาหกรรมแร่หายากอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในส่วนแม่เหล็กถาวรที่ใช้ใน มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเพียงการเปิดช่องทางใหม่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด

    สรุปสาระสำคัญ
    จีนออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” สำหรับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวร
    ครอบคลุม JL Mag, Ningbo Yunsheng และ Zhong Ke San Huan

    ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล
    ลดขั้นตอนการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณี

    ช่วยให้การส่งออกเร็วขึ้นและเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้า
    แต่ผลกระทบไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน

    กรอบการควบคุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัด
    ผู้ผลิตที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อยังต้องรอการอนุมัติ

    อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวรยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีน
    มีผลต่อเทคโนโลยีสำคัญ เช่น มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-issues-first-batch-of-general-rare-earth-export-licenses-to-magnet-makers
    🌏 ข่าวใหญ่: จีนออกใบอนุญาตส่งออกแร่หายากแบบใหม่ รัฐบาลจีนได้ออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” ให้กับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ เช่น JL Mag Rare Earth, Ningbo Yunsheng และ Beijing Zhong Ke San Huan High-Tech การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า 🔧 รายละเอียดของใบอนุญาต ใบอนุญาตใหม่นี้มีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้ผู้ผลิตสามารถส่งออกได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณีเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กรอบการควบคุมยังคงอยู่ เพียงแต่มีช่องทางที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติ 📉 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม มาตรการนี้ช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ แต่ผลกระทบจะไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน เนื่องจากใบอนุญาตผูกกับลูกค้าเฉพาะราย บางบริษัทอาจได้ประโยชน์ทันที ขณะที่บางรายยังต้องรอการอนุมัติในอนาคต 📊 มุมมองในอนาคต แม้จะมีการผ่อนคลาย แต่จีนยังคงควบคุมอุตสาหกรรมแร่หายากอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในส่วนแม่เหล็กถาวรที่ใช้ใน มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเพียงการเปิดช่องทางใหม่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จีนออกใบอนุญาตส่งออก “ทั่วไป” สำหรับผู้ผลิตแม่เหล็กถาวร ➡️ ครอบคลุม JL Mag, Ningbo Yunsheng และ Zhong Ke San Huan ✅ ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี และผูกกับลูกค้ารายบุคคล ➡️ ลดขั้นตอนการอนุมัติแบบกรณีต่อกรณี ✅ ช่วยให้การส่งออกเร็วขึ้นและเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้า ➡️ แต่ผลกระทบไม่เท่ากันในทุกภาคส่วน ‼️ กรอบการควบคุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การยกเลิกข้อจำกัด ⛔ ผู้ผลิตที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อยังต้องรอการอนุมัติ ‼️ อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวรยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีน ⛔ มีผลต่อเทคโนโลยีสำคัญ เช่น มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-issues-first-batch-of-general-rare-earth-export-licenses-to-magnet-makers
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: ตำรวจสากลยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer พร้อมเงินบิตคอยน์กว่า 28 ล้านดอลลาร์

    หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้เข้ายึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer ซึ่งเป็นบริการผสมบิตคอยน์ที่ถูกใช้เพื่อฟอกเงินและปกปิดเส้นทางการทำธุรกรรม โดยการปฏิบัติการครั้งนี้ยังสามารถยึดเงินบิตคอยน์ได้มากกว่า 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดในการปราบปรามบริการฟอกเงินดิจิทัล

    Cryptomixer ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์เพื่อซ่อนที่มาของเงินที่ได้จากการโจมตี ransomware, การฉ้อโกง และการค้ามนุษย์ดิจิทัล การบริการลักษณะนี้ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นไปได้ยาก และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลก

    การยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer ไม่เพียงแต่ทำให้บริการนี้หยุดชะงัก แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ให้บริการที่คล้ายกันว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด การปฏิบัติการครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลและอาชญากรรมทางไซเบอร์

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการปิดบริการหนึ่งอาจทำให้ผู้โจมตีย้ายไปใช้บริการอื่นที่ยังคงเปิดอยู่ การต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลจึงเป็นเกมแมวจับหนูที่ต้องอาศัยการพัฒนาเครื่องมือและความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง

    สรุปสาระสำคัญ
    การปฏิบัติการของตำรวจสากล
    ยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer
    ยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 28 ล้านดอลลาร์

    บทบาทของ Cryptomixer
    ใช้ฟอกเงินจาก ransomware และการฉ้อโกง
    ปกปิดเส้นทางการทำธุรกรรมดิจิทัล

    ผลกระทบจากการยึด
    ทำให้บริการหยุดชะงักและส่งสัญญาณเตือนผู้ให้บริการอื่น
    แสดงถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้โจมตีอาจย้ายไปใช้บริการฟอกเงินดิจิทัลอื่นที่ยังเปิดอยู่
    การต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลต้องอาศัยความร่วมมือและการพัฒนาเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง

    https://hackread.com/cryptomixer-domains-infrastructure-bitcoin-seized/
    💰 ข่าวใหญ่: ตำรวจสากลยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer พร้อมเงินบิตคอยน์กว่า 28 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้เข้ายึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer ซึ่งเป็นบริการผสมบิตคอยน์ที่ถูกใช้เพื่อฟอกเงินและปกปิดเส้นทางการทำธุรกรรม โดยการปฏิบัติการครั้งนี้ยังสามารถยึดเงินบิตคอยน์ได้มากกว่า 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดในการปราบปรามบริการฟอกเงินดิจิทัล Cryptomixer ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์เพื่อซ่อนที่มาของเงินที่ได้จากการโจมตี ransomware, การฉ้อโกง และการค้ามนุษย์ดิจิทัล การบริการลักษณะนี้ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นไปได้ยาก และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลก การยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer ไม่เพียงแต่ทำให้บริการนี้หยุดชะงัก แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ให้บริการที่คล้ายกันว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด การปฏิบัติการครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลและอาชญากรรมทางไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการปิดบริการหนึ่งอาจทำให้ผู้โจมตีย้ายไปใช้บริการอื่นที่ยังคงเปิดอยู่ การต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลจึงเป็นเกมแมวจับหนูที่ต้องอาศัยการพัฒนาเครื่องมือและความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปฏิบัติการของตำรวจสากล ➡️ ยึดโดเมนและโครงสร้างพื้นฐานของ Cryptomixer ➡️ ยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 28 ล้านดอลลาร์ ✅ บทบาทของ Cryptomixer ➡️ ใช้ฟอกเงินจาก ransomware และการฉ้อโกง ➡️ ปกปิดเส้นทางการทำธุรกรรมดิจิทัล ✅ ผลกระทบจากการยึด ➡️ ทำให้บริการหยุดชะงักและส่งสัญญาณเตือนผู้ให้บริการอื่น ➡️ แสดงถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้โจมตีอาจย้ายไปใช้บริการฟอกเงินดิจิทัลอื่นที่ยังเปิดอยู่ ⛔ การต่อสู้กับการฟอกเงินดิจิทัลต้องอาศัยความร่วมมือและการพัฒนาเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง https://hackread.com/cryptomixer-domains-infrastructure-bitcoin-seized/
    HACKREAD.COM
    Police Seize Cryptomixer Domains, Infrastructure and 28M Dollars in Bitcoin
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด Usecure เพื่อเร่งขยายตลาดในอเมริกาเหนือ

    การแต่งตั้ง Kevin Lancaster เป็นกรรมการอิสระของบริษัท Usecure ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทด้าน Human Risk Management สำหรับผู้ให้บริการ MSP (Managed Service Providers) โดย Lancaster มีประสบการณ์ยาวนานในวงการช่องทางการจัดจำหน่ายและการสร้างชุมชนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เขาเคยก่อตั้ง ID Agent ที่ถูกซื้อกิจการโดย Kaseya และยังดำรงตำแหน่ง CEO ของ Channel Program ซึ่งเป็นชุมชนที่ทรงอิทธิพลในตลาด MSP

    Usecure กำลังอยู่ในช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 500,000 รายทั่วโลก และพันธมิตร MSP กว่า 1,800 ราย การเข้ามาของ Lancaster จึงถูกมองว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยให้ Usecure ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด Human Risk Management โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือที่มีการแข่งขันสูง

    นอกจากการแต่งตั้งบุคลากรสำคัญแล้ว Usecure ยังได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรม โดยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Security Vendor of the Year และ Rising Star จาก CRN ซึ่งสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและนวัตกรรมที่บริษัทนำเสนอ ทั้งการจำลองการโจมตีแบบฟิชชิ่ง การฝึกอบรมสั้น ๆ การตรวจสอบ Dark Web และระบบการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ครบวงจร

    อย่างไรก็ตาม ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น Zero-Day Vulnerabilities และการโจมตีจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threats) บริษัทและผู้ใช้งานยังคงต้องระมัดระวังและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของ Usecure แม้จะเป็นสัญญาณบวก แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายที่ยังคงดำเนินอยู่ในแวดวงความปลอดภัยไซเบอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    การแต่งตั้งบุคลากรสำคัญ
    Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด Usecure ในตำแหน่ง Non-Executive Director
    มีประสบการณ์จาก ID Agent และ Channel Program

    การเติบโตของ Usecure
    ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 500,000 รายทั่วโลก
    มีพันธมิตร MSP มากกว่า 1,800 ราย

    การยอมรับในอุตสาหกรรม
    ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Security Vendor of the Year และ Rising Star
    โดดเด่นด้านนวัตกรรม Human Risk Management

    ความท้าทายด้านภัยไซเบอร์
    การโจมตีแบบ Zero-Day และ APT ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อองค์กร
    จำเป็นต้องพัฒนาการป้องกันและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/kevin-lancaster-joins-the-usecure-board-to-accelerate-north-american-channel-growth/
    📰 ข่าวใหญ่: Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด Usecure เพื่อเร่งขยายตลาดในอเมริกาเหนือ การแต่งตั้ง Kevin Lancaster เป็นกรรมการอิสระของบริษัท Usecure ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทด้าน Human Risk Management สำหรับผู้ให้บริการ MSP (Managed Service Providers) โดย Lancaster มีประสบการณ์ยาวนานในวงการช่องทางการจัดจำหน่ายและการสร้างชุมชนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เขาเคยก่อตั้ง ID Agent ที่ถูกซื้อกิจการโดย Kaseya และยังดำรงตำแหน่ง CEO ของ Channel Program ซึ่งเป็นชุมชนที่ทรงอิทธิพลในตลาด MSP Usecure กำลังอยู่ในช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 500,000 รายทั่วโลก และพันธมิตร MSP กว่า 1,800 ราย การเข้ามาของ Lancaster จึงถูกมองว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยให้ Usecure ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด Human Risk Management โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือที่มีการแข่งขันสูง นอกจากการแต่งตั้งบุคลากรสำคัญแล้ว Usecure ยังได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรม โดยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Security Vendor of the Year และ Rising Star จาก CRN ซึ่งสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและนวัตกรรมที่บริษัทนำเสนอ ทั้งการจำลองการโจมตีแบบฟิชชิ่ง การฝึกอบรมสั้น ๆ การตรวจสอบ Dark Web และระบบการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ครบวงจร อย่างไรก็ตาม ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น Zero-Day Vulnerabilities และการโจมตีจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threats) บริษัทและผู้ใช้งานยังคงต้องระมัดระวังและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของ Usecure แม้จะเป็นสัญญาณบวก แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายที่ยังคงดำเนินอยู่ในแวดวงความปลอดภัยไซเบอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การแต่งตั้งบุคลากรสำคัญ ➡️ Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด Usecure ในตำแหน่ง Non-Executive Director ➡️ มีประสบการณ์จาก ID Agent และ Channel Program ✅ การเติบโตของ Usecure ➡️ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 500,000 รายทั่วโลก ➡️ มีพันธมิตร MSP มากกว่า 1,800 ราย ✅ การยอมรับในอุตสาหกรรม ➡️ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Security Vendor of the Year และ Rising Star ➡️ โดดเด่นด้านนวัตกรรม Human Risk Management ‼️ ความท้าทายด้านภัยไซเบอร์ ⛔ การโจมตีแบบ Zero-Day และ APT ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อองค์กร ⛔ จำเป็นต้องพัฒนาการป้องกันและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/kevin-lancaster-joins-the-usecure-board-to-accelerate-north-american-channel-growth/
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Qualcomm เริ่มบีบ Arduino หลังการเข้าซื้อกิจการ

    เมื่อ Qualcomm ประกาศเข้าซื้อ Arduino ในเดือนตุลาคม 2025 ชุมชน maker และนักพัฒนาต่างจับตามองด้วยความกังวล เพราะการเข้าซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่มักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และล่าสุดสิ่งที่หลายคนกลัวก็เกิดขึ้นจริง

    Adafruit Industries ซึ่งเป็นผู้ผลิตบอร์ดพัฒนาและมีบทบาทสำคัญในวงการ open hardware ได้ออกมาเตือนว่า Qualcomm ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Arduino อย่างมาก โดยเฉพาะการให้สิทธิ์ถาวรแก่บริษัทในการใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด ไม่ว่าจะเป็นโค้ด โปรเจกต์ หรือโพสต์ในฟอรั่ม แม้ผู้ใช้งานจะลบแอคเคานต์ไปแล้วก็ตาม

    สิทธิ์ผู้ใช้ที่ถูกจำกัดและการเก็บข้อมูล
    ใน Section 7.1 ของ Terms of Service ระบุว่า Arduino มีสิทธิ์แบบถาวรและไม่สามารถเพิกถอนได้ต่อทุกสิ่งที่ผู้ใช้อัปโหลด โดยสิทธิ์นี้ยังเป็นแบบ royalty-free และสามารถนำไป sublicensing ต่อได้ ซึ่งหมายความว่า Qualcomm สามารถนำเนื้อหาของผู้ใช้ไปใช้ แจกจ่าย หรือแก้ไขได้ตามต้องการ

    นอกจากนี้ยังมีการห้ามไม่ให้ผู้ใช้ทำการ reverse-engineering หรือพยายามเข้าใจการทำงานของแพลตฟอร์มโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งขัดกับหลักการเปิดกว้างที่ทำให้ Arduino ได้รับความนิยมในหมู่นักวิจัยและนักการศึกษา

    ด้าน Privacy Policy ก็ระบุชัดว่า Arduino เป็นบริษัทในเครือ Qualcomm Technologies และข้อมูลผู้ใช้ รวมถึงข้อมูลของผู้เยาว์ จะถูกแชร์ไปยังบริษัทในเครือ Qualcomm อื่น ๆ

    ผลกระทบต่อชุมชนและอนาคตของ Arduino
    แม้ Qualcomm และ Arduino จะยืนยันว่าการเข้าซื้อครั้งนี้จะไม่กระทบต่อ “จิตวิญญาณหลัก” ของแพลตฟอร์ม และยังคงสนับสนุนบอร์ดที่ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ไม่ใช่ของ Qualcomm แต่ชุมชนผู้ใช้ยังคงกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ Arduino สูญเสียความโปร่งใสและความเปิดกว้างที่เคยเป็นจุดแข็ง

    ในระยะสั้น ฮาร์ดแวร์ของ Arduino ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในระยะยาว การตอบสนองของ Qualcomm ต่อเสียงวิจารณ์จากชุมชนจะเป็นตัวกำหนดว่า Arduino จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนารัก หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “enshittification” ที่เกิดขึ้นหลังการเข้าซื้อกิจการโดยบริษัทยักษ์ใหญ่

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลง Terms of Service
    Section 7.1 ให้สิทธิ์ถาวรแก่ Arduino/Qualcomm ในการใช้เนื้อหาผู้ใช้
    สิทธิ์เป็นแบบ royalty-free และสามารถ sublicensing ได้

    การจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้
    ห้าม reverse-engineering โดยไม่ได้รับอนุญาต
    ขัดกับหลักการ openness ที่ Arduino เคยยึดถือ

    การเก็บข้อมูลผู้ใช้
    ข้อมูลผู้ใช้ รวมถึงผู้เยาว์ ถูกแชร์ไปยังบริษัทในเครือ Qualcomm
    มีการเก็บข้อมูลระยะยาวและเชื่อมโยงกับ ecosystem ของ Qualcomm

    คำเตือนต่อชุมชนผู้ใช้
    เสี่ยงที่เนื้อหาของผู้ใช้จะถูกนำไปใช้โดยไม่สามารถควบคุมได้
    ความโปร่งใสและ openness ของ Arduino อาจถูกลดทอน
    การเข้าซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อาจนำไปสู่การ “enshittification” ของแพลตฟอร์ม

    https://itsfoss.com/news/enshittification-of-arduino-begins/
    ⚙️ ข่าวใหญ่: Qualcomm เริ่มบีบ Arduino หลังการเข้าซื้อกิจการ เมื่อ Qualcomm ประกาศเข้าซื้อ Arduino ในเดือนตุลาคม 2025 ชุมชน maker และนักพัฒนาต่างจับตามองด้วยความกังวล เพราะการเข้าซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่มักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และล่าสุดสิ่งที่หลายคนกลัวก็เกิดขึ้นจริง Adafruit Industries ซึ่งเป็นผู้ผลิตบอร์ดพัฒนาและมีบทบาทสำคัญในวงการ open hardware ได้ออกมาเตือนว่า Qualcomm ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Arduino อย่างมาก โดยเฉพาะการให้สิทธิ์ถาวรแก่บริษัทในการใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด ไม่ว่าจะเป็นโค้ด โปรเจกต์ หรือโพสต์ในฟอรั่ม แม้ผู้ใช้งานจะลบแอคเคานต์ไปแล้วก็ตาม 🔒 สิทธิ์ผู้ใช้ที่ถูกจำกัดและการเก็บข้อมูล ใน Section 7.1 ของ Terms of Service ระบุว่า Arduino มีสิทธิ์แบบถาวรและไม่สามารถเพิกถอนได้ต่อทุกสิ่งที่ผู้ใช้อัปโหลด โดยสิทธิ์นี้ยังเป็นแบบ royalty-free และสามารถนำไป sublicensing ต่อได้ ซึ่งหมายความว่า Qualcomm สามารถนำเนื้อหาของผู้ใช้ไปใช้ แจกจ่าย หรือแก้ไขได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีการห้ามไม่ให้ผู้ใช้ทำการ reverse-engineering หรือพยายามเข้าใจการทำงานของแพลตฟอร์มโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งขัดกับหลักการเปิดกว้างที่ทำให้ Arduino ได้รับความนิยมในหมู่นักวิจัยและนักการศึกษา ด้าน Privacy Policy ก็ระบุชัดว่า Arduino เป็นบริษัทในเครือ Qualcomm Technologies และข้อมูลผู้ใช้ รวมถึงข้อมูลของผู้เยาว์ จะถูกแชร์ไปยังบริษัทในเครือ Qualcomm อื่น ๆ 🌍 ผลกระทบต่อชุมชนและอนาคตของ Arduino แม้ Qualcomm และ Arduino จะยืนยันว่าการเข้าซื้อครั้งนี้จะไม่กระทบต่อ “จิตวิญญาณหลัก” ของแพลตฟอร์ม และยังคงสนับสนุนบอร์ดที่ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ไม่ใช่ของ Qualcomm แต่ชุมชนผู้ใช้ยังคงกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ Arduino สูญเสียความโปร่งใสและความเปิดกว้างที่เคยเป็นจุดแข็ง ในระยะสั้น ฮาร์ดแวร์ของ Arduino ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในระยะยาว การตอบสนองของ Qualcomm ต่อเสียงวิจารณ์จากชุมชนจะเป็นตัวกำหนดว่า Arduino จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนารัก หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “enshittification” ที่เกิดขึ้นหลังการเข้าซื้อกิจการโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลง Terms of Service ➡️ Section 7.1 ให้สิทธิ์ถาวรแก่ Arduino/Qualcomm ในการใช้เนื้อหาผู้ใช้ ➡️ สิทธิ์เป็นแบบ royalty-free และสามารถ sublicensing ได้ ✅ การจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ห้าม reverse-engineering โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ขัดกับหลักการ openness ที่ Arduino เคยยึดถือ ✅ การเก็บข้อมูลผู้ใช้ ➡️ ข้อมูลผู้ใช้ รวมถึงผู้เยาว์ ถูกแชร์ไปยังบริษัทในเครือ Qualcomm ➡️ มีการเก็บข้อมูลระยะยาวและเชื่อมโยงกับ ecosystem ของ Qualcomm ‼️ คำเตือนต่อชุมชนผู้ใช้ ⛔ เสี่ยงที่เนื้อหาของผู้ใช้จะถูกนำไปใช้โดยไม่สามารถควบคุมได้ ⛔ ความโปร่งใสและ openness ของ Arduino อาจถูกลดทอน ⛔ การเข้าซื้อโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อาจนำไปสู่การ “enshittification” ของแพลตฟอร์ม https://itsfoss.com/news/enshittification-of-arduino-begins/
    ITSFOSS.COM
    Enshittification of Arduino Begins? Qualcomm Starts Clamping Down
    New Terms of Service introduce perpetual content licenses, reverse-engineering bans, and widespread data collection.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Proton Pass แอปรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านฟรีบนมือถือ

    Proton ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นส่วนตัวและ VPN ได้เปิดตัว Proton Pass แอปจัดการรหัสผ่านฟรีสำหรับผู้ใช้ Android และ iOS โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่แข็งแรงได้โดยไม่ต้องจำเองทั้งหมด แอปนี้รองรับการทำงานร่วมกับระบบ autofill ของ Android ทำให้การเข้าสู่ระบบเว็บไซต์และแอปต่าง ๆ สะดวกขึ้นมาก

    นอกจากการจัดการรหัสผ่านแล้ว Proton Pass ยังรองรับ passkeys ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยลดการพึ่งพารหัสผ่านแบบเดิม แม้การย้าย passkeys จากผู้จัดการรหัสผ่านอื่นจะยุ่งยาก แต่ Proton Pass ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างใหม่สำหรับบัญชีสำคัญได้ง่ายขึ้น

    ฟีเจอร์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือการสร้าง alias อีเมล ซึ่งเป็นอีเมลปลอมที่ยังคงส่งต่อไปยังกล่องหลักของผู้ใช้ ช่วยป้องกันการถูกสแปมและการเปิดเผยอีเมลจริง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ เช่น ใบขับขี่หรือพาสปอร์ต และโน้ตเข้ารหัสได้อย่างปลอดภัย

    แม้ Proton Pass จะมีเวอร์ชันฟรีที่ครอบคลุมฟีเจอร์หลัก แต่ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) และการเก็บข้อมูลบัตรเครดิต จะต้องสมัครแพ็กเกจแบบเสียเงินในราคา $5 ต่อเดือน หรือเลือกใช้ Proton Unlimited Plan ที่รวมบริการอื่น ๆ เช่น Proton VPN และ Proton Mail

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์หลักของ Proton Pass
    จัดการรหัสผ่านและ passkeys
    รองรับ autofill บน Android และ iOS
    สร้าง alias อีเมลเพื่อป้องกันสแปม

    การเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
    บัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ
    โน้ตเข้ารหัสสำหรับข้อมูลส่วนตัว

    ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี
    ไม่รองรับ 2FA และการเก็บบัตรเครดิต
    จำกัด alias อีเมลสูงสุด 10 รายการ

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ต้องย้าย passkeys ด้วยการสร้างใหม่ ไม่สามารถนำเข้าทั้งหมดได้ง่าย
    ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องสมัครแพ็กเกจเสียเงิน

    https://www.slashgear.com/2028333/free-android-app-proton-pass-password-manager-install-on-new-phone/
    🔐 ข่าวใหญ่: Proton Pass แอปรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านฟรีบนมือถือ Proton ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นส่วนตัวและ VPN ได้เปิดตัว Proton Pass แอปจัดการรหัสผ่านฟรีสำหรับผู้ใช้ Android และ iOS โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่แข็งแรงได้โดยไม่ต้องจำเองทั้งหมด แอปนี้รองรับการทำงานร่วมกับระบบ autofill ของ Android ทำให้การเข้าสู่ระบบเว็บไซต์และแอปต่าง ๆ สะดวกขึ้นมาก นอกจากการจัดการรหัสผ่านแล้ว Proton Pass ยังรองรับ passkeys ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยลดการพึ่งพารหัสผ่านแบบเดิม แม้การย้าย passkeys จากผู้จัดการรหัสผ่านอื่นจะยุ่งยาก แต่ Proton Pass ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างใหม่สำหรับบัญชีสำคัญได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือการสร้าง alias อีเมล ซึ่งเป็นอีเมลปลอมที่ยังคงส่งต่อไปยังกล่องหลักของผู้ใช้ ช่วยป้องกันการถูกสแปมและการเปิดเผยอีเมลจริง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ เช่น ใบขับขี่หรือพาสปอร์ต และโน้ตเข้ารหัสได้อย่างปลอดภัย แม้ Proton Pass จะมีเวอร์ชันฟรีที่ครอบคลุมฟีเจอร์หลัก แต่ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) และการเก็บข้อมูลบัตรเครดิต จะต้องสมัครแพ็กเกจแบบเสียเงินในราคา $5 ต่อเดือน หรือเลือกใช้ Proton Unlimited Plan ที่รวมบริการอื่น ๆ เช่น Proton VPN และ Proton Mail 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์หลักของ Proton Pass ➡️ จัดการรหัสผ่านและ passkeys ➡️ รองรับ autofill บน Android และ iOS ➡️ สร้าง alias อีเมลเพื่อป้องกันสแปม ✅ การเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ บัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ ➡️ โน้ตเข้ารหัสสำหรับข้อมูลส่วนตัว ‼️ ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี ⛔ ไม่รองรับ 2FA และการเก็บบัตรเครดิต ⛔ จำกัด alias อีเมลสูงสุด 10 รายการ ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ต้องย้าย passkeys ด้วยการสร้างใหม่ ไม่สามารถนำเข้าทั้งหมดได้ง่าย ⛔ ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องสมัครแพ็กเกจเสียเงิน https://www.slashgear.com/2028333/free-android-app-proton-pass-password-manager-install-on-new-phone/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Free Android Password App Should Be One Of The First Installed On Your New Phone - Here's Why - SlashGear
    Proton Pass is one of the smartest early installs on a new Android device because it offers passkeys, encrypted notes, secure autofill, and aliases.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: SonicWall เตือนช่องโหว่ SSLVPN ใหม่ CVE-2025-40601

    SonicWall ได้เผยแพร่คำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับช่องโหว่ Pre-authentication Stack-based Buffer Overflow ในบริการ SSLVPN ของ SonicOS โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้ไฟร์วอลล์ที่เปิดใช้งาน SSLVPN ล่มทันที (Denial of Service) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบหรือมีสิทธิ์ใด ๆ

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทั้ง Gen7 และ Gen8 Firewalls รวมถึงรุ่น Virtual (NSv) ที่ทำงานบน ESX, KVM, Hyper-V, AWS และ Azure โดยมีเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ เช่น 7.3.0-7012 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen7) และ 8.0.2-8011 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen8) ขณะที่สาขา 7.0.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    เพื่อแก้ไขปัญหา SonicWall ได้ออกแพตช์สำหรับทุกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันชั่วคราว เช่น จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือ ปิดการใช้งาน SSLVPN จากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย โดยปรับแต่งกฎการเข้าถึงใน SonicOS

    การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญ เนื่องจาก SSLVPN เป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อระยะไกล หากถูกโจมตีจนไฟร์วอลล์ล่ม อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่สำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-40601
    เป็น Pre-authentication Buffer Overflow ใน SonicOS SSLVPN
    คะแนน CVSS 7.5 (High Severity)

    ระบบที่ได้รับผลกระทบ
    Gen7 Firewalls (TZ270, TZ370, TZ470, TZ570, TZ670, NSa series, NSsp series)
    Gen8 Firewalls (TZ80–TZ680, NSa 2800–5800)
    Gen7 Virtual Firewalls (NSv270, NSv470, NSv870 บน ESX, KVM, Hyper-V, AWS, Azure)

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ผู้โจมตีสามารถทำให้ไฟร์วอลล์ล่มโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเชื่อมต่อเครือข่ายสำคัญ

    ข้อควรระวังและการป้องกัน
    รีบอัปเดตแพตช์ที่ SonicWall ปล่อยออกมา
    จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือปิดการใช้งานจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย

    https://securityonline.info/sonicwall-warns-of-new-sonicos-sslvpn-pre-auth-buffer-overflow-vulnerability-cve-2025-40601/
    🔐 ข่าวใหญ่: SonicWall เตือนช่องโหว่ SSLVPN ใหม่ CVE-2025-40601 SonicWall ได้เผยแพร่คำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับช่องโหว่ Pre-authentication Stack-based Buffer Overflow ในบริการ SSLVPN ของ SonicOS โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้ไฟร์วอลล์ที่เปิดใช้งาน SSLVPN ล่มทันที (Denial of Service) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบหรือมีสิทธิ์ใด ๆ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทั้ง Gen7 และ Gen8 Firewalls รวมถึงรุ่น Virtual (NSv) ที่ทำงานบน ESX, KVM, Hyper-V, AWS และ Azure โดยมีเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ เช่น 7.3.0-7012 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen7) และ 8.0.2-8011 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen8) ขณะที่สาขา 7.0.1 ไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อแก้ไขปัญหา SonicWall ได้ออกแพตช์สำหรับทุกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันชั่วคราว เช่น จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือ ปิดการใช้งาน SSLVPN จากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย โดยปรับแต่งกฎการเข้าถึงใน SonicOS การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญ เนื่องจาก SSLVPN เป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อระยะไกล หากถูกโจมตีจนไฟร์วอลล์ล่ม อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่สำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-40601 ➡️ เป็น Pre-authentication Buffer Overflow ใน SonicOS SSLVPN ➡️ คะแนน CVSS 7.5 (High Severity) ✅ ระบบที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Gen7 Firewalls (TZ270, TZ370, TZ470, TZ570, TZ670, NSa series, NSsp series) ➡️ Gen8 Firewalls (TZ80–TZ680, NSa 2800–5800) ➡️ Gen7 Virtual Firewalls (NSv270, NSv470, NSv870 บน ESX, KVM, Hyper-V, AWS, Azure) ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ผู้โจมตีสามารถทำให้ไฟร์วอลล์ล่มโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ⛔ อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเชื่อมต่อเครือข่ายสำคัญ ‼️ ข้อควรระวังและการป้องกัน ⛔ รีบอัปเดตแพตช์ที่ SonicWall ปล่อยออกมา ⛔ จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือปิดการใช้งานจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย https://securityonline.info/sonicwall-warns-of-new-sonicos-sslvpn-pre-auth-buffer-overflow-vulnerability-cve-2025-40601/
    SECURITYONLINE.INFO
    SonicWall Warns of New SonicOS SSLVPN Pre-Auth Buffer Overflow Vulnerability (CVE-2025-40601)
    SonicWall reports a pre-auth stack-based buffer overflow flaw (CVE-2025-40601) in SonicOS SSLVPN, allowing remote DoS attacks. Patches and mitigation are available.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น

    Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้

    Agent Mode ในแอป Office
    Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น
    Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน
    Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier)
    Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน

    Sora 2 และการสร้างวิดีโอ
    Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย

    Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย
    ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป
    Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook
    ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย
    เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents
    เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME

    คำเตือนจากข่าว
    การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้
    การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล

    https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    🧠 ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้ 📊 Agent Mode ในแอป Office Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น 🎗️ Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน 🎗️ Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier) 🎗️ Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน 🎥 Sora 2 และการสร้างวิดีโอ Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย 🛡️ Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป ➡️ Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook ➡️ ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย ➡️ เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents ➡️ เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้ ⛔ การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    SECURITYONLINE.INFO
    Copilot Gets Brains: Microsoft Unveils 'Work IQ' & Agent Mode Integration with GPT-5 and Anthropic
    Microsoft unveiled Work IQ for Copilot, a cognitive upgrade for proactive assistance. New Agent Mode integrates GPT-5, Sora 2, and Anthropic models across M365 apps.
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Cloudflare ล่มทั่วโลก กระทบหลายบริการออนไลน์

    ในช่วงค่ำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 มีรายงานว่า Cloudflare ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตระดับโลกประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ส่งผลให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ อย่าง X (Twitter เดิม), Canva, Gemini, Perplexity รวมถึงเว็บไซต์ติดตามสถานะการล่มอย่าง Downdetector ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกต่างพากันรายงานปัญหาในเวลาใกล้เคียงกัน

    Cloudflare ยืนยันว่ากำลังตรวจสอบสาเหตุและเร่งแก้ไข โดยเบื้องต้นพบว่าเกิด HTTP 500 errors และระบบ Dashboard รวมถึง API ของ Cloudflare เองก็ไม่สามารถใช้งานได้ ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ Cloudflare ที่เป็นเสมือน “โครงสร้างพื้นฐานหลัก” ของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ เพราะเว็บไซต์จำนวนมหาศาลพึ่งพาบริการของบริษัทนี้ในการป้องกัน DDoS, การจัดการทราฟฟิก และการกระจายคอนเทนต์

    ผลกระทบครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังลามไปถึง บริการธุรกิจออนไลน์และเว็บส่วนตัว ที่ใช้ระบบของ Cloudflare ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากไม่สามารถเข้าสู่ระบบหรือทำธุรกรรมได้ตามปกติ นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่าปัญหานี้อาจเกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาระบบที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในโครงสร้างเครือข่าย แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเสี่ยงของการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า เมื่อเกิดการล่มเพียงครั้งเดียวสามารถสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก คล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มในอดีตที่ทำให้หลายบริการหยุดชะงักไปหลายชั่วโมง
    ====================
    update 22:30

    สาเหตุเบื้องต้นที่ Cloudflare เปิดเผยคือ การพุ่งขึ้นผิดปกติของทราฟฟิก (unusual traffic spike) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 11:20 UTC ทำให้บางส่วนของเครือข่ายไม่สามารถจัดการทราฟฟิกได้ และส่งผลให้เกิด HTTP 500 errors ในหลายบริการ ขณะนี้ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    สิ่งที่น่าสนใจคือผลกระทบครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังลามไปถึง ธุรกิจและบริการสาธารณะ เช่น ระบบตรวจสอบบุคคลเข้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (PADS) ที่ไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงศูนย์เด็กเล็กที่ต้องกลับไปใช้วิธีบันทึกข้อมูลด้วยมือแทนการใช้แอปพลิเคชันออนไลน์

    นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ เนื่องจาก Cloudflare เคยถูกโจมตีด้วยทราฟฟิกมหาศาลมาก่อน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากบริษัท

    ====================
    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cloudflare ยืนยันการล่มทั่วโลก
    ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมาก เช่น X, Canva, Gemini, Perplexity

    เกิด HTTP 500 errors และ Dashboard ใช้งานไม่ได้
    ผู้ดูแลเว็บไซต์ไม่สามารถเข้าถึงระบบเพื่อแก้ไขหรือจัดการบริการได้

    Downdetector และบริการติดตามสถานะก็ล่มไปด้วย
    ผู้ใช้งานไม่สามารถตรวจสอบสถานะการล่มได้ตามปกติ

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วโลก
    ทั้งเว็บไซต์ใหญ่และบล็อกส่วนตัวที่ใช้ Cloudflare ต่างหยุดชะงัก

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานรายใหญ่เพียงเจ้าเดียว
    หากเกิดการล่มจะกระทบเป็นวงกว้างทั่วโลกทันที

    ความไม่แน่นอนของสาเหตุที่แท้จริง
    อาจเกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาระบบ แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด

    https://www.tomshardware.com/news/live/cloudflare-outage-under-investigation-as-twitter-downdetector-go-down-company-confirms-global-network-issue-clone
    🌐 ข่าวใหญ่: Cloudflare ล่มทั่วโลก กระทบหลายบริการออนไลน์ ในช่วงค่ำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 มีรายงานว่า Cloudflare ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตระดับโลกประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ส่งผลให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ อย่าง X (Twitter เดิม), Canva, Gemini, Perplexity รวมถึงเว็บไซต์ติดตามสถานะการล่มอย่าง Downdetector ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกต่างพากันรายงานปัญหาในเวลาใกล้เคียงกัน Cloudflare ยืนยันว่ากำลังตรวจสอบสาเหตุและเร่งแก้ไข โดยเบื้องต้นพบว่าเกิด HTTP 500 errors และระบบ Dashboard รวมถึง API ของ Cloudflare เองก็ไม่สามารถใช้งานได้ ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ Cloudflare ที่เป็นเสมือน “โครงสร้างพื้นฐานหลัก” ของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ เพราะเว็บไซต์จำนวนมหาศาลพึ่งพาบริการของบริษัทนี้ในการป้องกัน DDoS, การจัดการทราฟฟิก และการกระจายคอนเทนต์ ผลกระทบครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังลามไปถึง บริการธุรกิจออนไลน์และเว็บส่วนตัว ที่ใช้ระบบของ Cloudflare ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากไม่สามารถเข้าสู่ระบบหรือทำธุรกรรมได้ตามปกติ นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่าปัญหานี้อาจเกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาระบบที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในโครงสร้างเครือข่าย แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเสี่ยงของการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า เมื่อเกิดการล่มเพียงครั้งเดียวสามารถสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก คล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มในอดีตที่ทำให้หลายบริการหยุดชะงักไปหลายชั่วโมง ==================== ‼️‼️‼️‼️ update 22:30 ‼️‼️‼️‼️ สาเหตุเบื้องต้นที่ Cloudflare เปิดเผยคือ การพุ่งขึ้นผิดปกติของทราฟฟิก (unusual traffic spike) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 11:20 UTC ทำให้บางส่วนของเครือข่ายไม่สามารถจัดการทราฟฟิกได้ และส่งผลให้เกิด HTTP 500 errors ในหลายบริการ ขณะนี้ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สิ่งที่น่าสนใจคือผลกระทบครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังลามไปถึง ธุรกิจและบริการสาธารณะ เช่น ระบบตรวจสอบบุคคลเข้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (PADS) ที่ไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงศูนย์เด็กเล็กที่ต้องกลับไปใช้วิธีบันทึกข้อมูลด้วยมือแทนการใช้แอปพลิเคชันออนไลน์ นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ เนื่องจาก Cloudflare เคยถูกโจมตีด้วยทราฟฟิกมหาศาลมาก่อน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากบริษัท ==================== 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cloudflare ยืนยันการล่มทั่วโลก ➡️ ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมาก เช่น X, Canva, Gemini, Perplexity ✅ เกิด HTTP 500 errors และ Dashboard ใช้งานไม่ได้ ➡️ ผู้ดูแลเว็บไซต์ไม่สามารถเข้าถึงระบบเพื่อแก้ไขหรือจัดการบริการได้ ✅ Downdetector และบริการติดตามสถานะก็ล่มไปด้วย ➡️ ผู้ใช้งานไม่สามารถตรวจสอบสถานะการล่มได้ตามปกติ ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วโลก ➡️ ทั้งเว็บไซต์ใหญ่และบล็อกส่วนตัวที่ใช้ Cloudflare ต่างหยุดชะงัก ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานรายใหญ่เพียงเจ้าเดียว ⛔ หากเกิดการล่มจะกระทบเป็นวงกว้างทั่วโลกทันที ‼️ ความไม่แน่นอนของสาเหตุที่แท้จริง ⛔ อาจเกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาระบบ แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด https://www.tomshardware.com/news/live/cloudflare-outage-under-investigation-as-twitter-downdetector-go-down-company-confirms-global-network-issue-clone
    0 Comments 0 Shares 394 Views 0 Reviews
  • วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ

    17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป

    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์

    ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท

    ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์

    คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา

    #Newskit
    วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ 17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ EP.157 : เบื้องหลัง ‘สตาร์บัคส์’ พ่ายแพ้ในจีน
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ คือ สตาร์บัคส์ในประเทศจีน ได้ขายหุ้น 60% ให้กับบริษัทการลงทุนสัญชาติจีน โดยบริษัทแม่ที่อเมริกาจะเหลือหุ้นแค่ 40% เท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ร้านสตาร์บัคส์ในจีนตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในมืออเมริกาอีกต่อไป แต่กลายเป็น แบรนด์กาแฟระดับโลก ที่ขับเคลื่อนโดยทุนจีนอย่างเต็มตัว
    .
    “พอดแคส บูรพาไม่แพ้” ในตอนนี้ เราจะมาคุยเรื่องของสตาร์บัคส์ในประเทศจีน และลองค้นหาสาเหตุกันว่า ทำไมสตาร์บัคส์ถึงพ่ายแพ้ในประเทศจีน ? กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาซื้อกิจการเป็นใครมาจากไหน? และอนาคตของร้านสตาร์บัคส์ ในประเทศจีนจะเป็นยังไงต่อไป ....
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=xdcTq3e6Vm4
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #สตาร์บัคส์ในจีน #Starbucks

    บูรพาไม่แพ้ EP.157 : เบื้องหลัง ‘สตาร์บัคส์’ พ่ายแพ้ในจีน . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ คือ สตาร์บัคส์ในประเทศจีน ได้ขายหุ้น 60% ให้กับบริษัทการลงทุนสัญชาติจีน โดยบริษัทแม่ที่อเมริกาจะเหลือหุ้นแค่ 40% เท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ร้านสตาร์บัคส์ในจีนตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในมืออเมริกาอีกต่อไป แต่กลายเป็น แบรนด์กาแฟระดับโลก ที่ขับเคลื่อนโดยทุนจีนอย่างเต็มตัว . “พอดแคส บูรพาไม่แพ้” ในตอนนี้ เราจะมาคุยเรื่องของสตาร์บัคส์ในประเทศจีน และลองค้นหาสาเหตุกันว่า ทำไมสตาร์บัคส์ถึงพ่ายแพ้ในประเทศจีน ? กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาซื้อกิจการเป็นใครมาจากไหน? และอนาคตของร้านสตาร์บัคส์ ในประเทศจีนจะเป็นยังไงต่อไป .... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=xdcTq3e6Vm4 . #บูรพาไม่แพ้ #สตาร์บัคส์ในจีน #Starbucks
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม

    การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร

    สรุปประเด็น
    Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี
    ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin
    ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ
    เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน
    การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    💰 คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร 📌 สรุปประเด็น ✅ Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี ➡️ ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ ✅ ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ➡️ ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ ➡️ เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ‼️ ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน ⛔ การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    0 Comments 0 Shares 431 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation

    รายละเอียดช่องโหว่
    NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่

    CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้

    CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี

    ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข
    ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0
    แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI

    ความสำคัญต่อวงการ AI
    การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ
    CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์
    อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0
    NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0

    แนวทางแก้ไข
    รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0
    ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม
    การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ

    https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation 🧩 รายละเอียดช่องโหว่ NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่ 🪲 CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้ 🪲 CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล 🔥 ความรุนแรงและผลกระทบ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล 🛠️ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข 🪛 ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0 🪛 แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI 🌐 ความสำคัญต่อวงการ AI การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ ➡️ CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์ ➡️ อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0 ➡️ NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0 ➡️ ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม ⛔ การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity NVIDIA NeMo Framework Flaws Allow Code Injection and Privilege Escalation in AI Pipelines
    NVIDIA patched two High-severity flaws in its NeMo Framework. CVE-2025-23361 and CVE-2025-33178 allow local code injection and privilege escalation in AI training environments. Update to v2.5.0.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรง Zoho Analytics Plus (CVE-2025-8324) เปิดทางโจมตี SQL Injection โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    Zoho Corporation ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-8324 ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 (Critical) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในระบบ Analytics Plus (on-premise) ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง SQL ที่ crafted ขึ้นมาเองเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีหรือสิทธิ์ใด ๆ

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ภายในองค์กรได้ รวมถึงอาจทำการแก้ไข ลบ หรือขโมยข้อมูลสำคัญ และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การ ยึดบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover) ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อองค์กรที่ใช้ Zoho Analytics Plus ในการจัดการข้อมูลเชิงธุรกิจและ BI Dashboard

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข
    ช่องโหว่นี้ส่งผลต่อ Analytics Plus on-premise ทุก build ที่ต่ำกว่า 6170 โดย Zoho ได้ออกแพตช์แก้ไขใน Build 6171 ซึ่งได้ปรับปรุงการตรวจสอบอินพุตและลบส่วนประกอบที่มีปัญหาออกไป องค์กรที่ใช้งานควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ความสำคัญต่อองค์กร
    เนื่องจาก Analytics Plus ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้าง BI Dashboard ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลสำคัญขององค์กร การปล่อยให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยไม่อัปเดต อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจอย่างรุนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-8324
    เป็น SQL Injection ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน
    คะแนน CVSS 9.8 (Critical Severity)

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    อาจนำไปสู่การยึดบัญชีผู้ใช้และการรั่วไหลข้อมูลสำคัญ

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุก build ของ Analytics Plus ที่ต่ำกว่า 6170
    Zoho ได้แก้ไขแล้วใน Build 6171

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Build 6171 ทันที
    ตรวจสอบการตั้งค่าและการเข้าถึงฐานข้อมูลอย่างเข้มงวด

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหล
    การโจมตี SQL Injection สามารถใช้เพื่อขโมยหรือแก้ไขข้อมูลเชิงธุรกิจได้

    https://securityonline.info/critical-zoho-analytics-plus-flaw-cve-2025-8324-cvss-9-8-allows-unauthenticated-sql-injection-and-data-takeover/
    🚨 ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรง Zoho Analytics Plus (CVE-2025-8324) เปิดทางโจมตี SQL Injection โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน Zoho Corporation ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-8324 ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 (Critical) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในระบบ Analytics Plus (on-premise) ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง SQL ที่ crafted ขึ้นมาเองเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีหรือสิทธิ์ใด ๆ ⚠️ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ภายในองค์กรได้ รวมถึงอาจทำการแก้ไข ลบ หรือขโมยข้อมูลสำคัญ และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การ ยึดบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover) ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อองค์กรที่ใช้ Zoho Analytics Plus ในการจัดการข้อมูลเชิงธุรกิจและ BI Dashboard 🔧 เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข ช่องโหว่นี้ส่งผลต่อ Analytics Plus on-premise ทุก build ที่ต่ำกว่า 6170 โดย Zoho ได้ออกแพตช์แก้ไขใน Build 6171 ซึ่งได้ปรับปรุงการตรวจสอบอินพุตและลบส่วนประกอบที่มีปัญหาออกไป องค์กรที่ใช้งานควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี 🌐 ความสำคัญต่อองค์กร เนื่องจาก Analytics Plus ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้าง BI Dashboard ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลสำคัญขององค์กร การปล่อยให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยไม่อัปเดต อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจอย่างรุนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-8324 ➡️ เป็น SQL Injection ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ คะแนน CVSS 9.8 (Critical Severity) ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ อาจนำไปสู่การยึดบัญชีผู้ใช้และการรั่วไหลข้อมูลสำคัญ ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุก build ของ Analytics Plus ที่ต่ำกว่า 6170 ➡️ Zoho ได้แก้ไขแล้วใน Build 6171 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Build 6171 ทันที ➡️ ตรวจสอบการตั้งค่าและการเข้าถึงฐานข้อมูลอย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหล ⛔ การโจมตี SQL Injection สามารถใช้เพื่อขโมยหรือแก้ไขข้อมูลเชิงธุรกิจได้ https://securityonline.info/critical-zoho-analytics-plus-flaw-cve-2025-8324-cvss-9-8-allows-unauthenticated-sql-injection-and-data-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Zoho Analytics Plus Flaw (CVE-2025-8324, CVSS 9.8) Allows Unauthenticated SQL Injection and Data Takeover
    Zoho issued an urgent patch for a Critical (CVSS 9.8) Unauthenticated SQL Injection flaw (CVE-2025-8324) in Analytics Plus. The bug risks remote query execution and account takeover. Update to Build 6171.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง
    Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID

    วิธีการใช้งานและข้อจำกัด
    การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

    ความปลอดภัยและการรองรับ
    Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน

    วิสัยทัศน์ในอนาคต
    Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple Wallet รองรับ Digital Passport
    ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch
    ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ

    วิธีการตั้งค่าและใช้งาน
    ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ
    ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย

    ข้อจำกัดของระบบ
    ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ
    สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน

    แผนการในอนาคตของ Apple
    ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ
    มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร
    ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ

    https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    📱 ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว ✈️ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID 🔧 วิธีการใช้งานและข้อจำกัด การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง 🛡️ ความปลอดภัยและการรองรับ Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน 🌐 วิสัยทัศน์ในอนาคต Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple Wallet รองรับ Digital Passport ➡️ ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch ➡️ ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ✅ วิธีการตั้งค่าและใช้งาน ➡️ ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ ➡️ ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อจำกัดของระบบ ➡️ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ ➡️ สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน ✅ แผนการในอนาคตของ Apple ➡️ ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ ➡️ มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร ⛔ ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apple Wallet Now Stores Digital Passports for TSA Checkpoints
    Apple Wallet now supports digital US Passports for TSA identity checks on domestic flights, eliminating the need for a physical passport or Real ID-compliant license.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง”

    ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน

    เล่าเรื่องให้ฟัง
    องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก

    แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน
    องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้
    หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing

    การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์
    องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด
    ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่

    เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน
    FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา)
    แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

    กลยุทธ์การนำไปใช้
    เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร
    ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่
    Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน
    การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์

    https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    🔐 ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง” ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน 📖 เล่าเรื่องให้ฟัง องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน 🔰 องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้ 🔰 หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing ✅ การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด ➡️ ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน ➡️ FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา) ➡️ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ✅ กลยุทธ์การนำไปใช้ ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร ➡️ ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่ ⛔ Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน ⛔ การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์ https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your passwordless future may never fully arrive
    As a concept, passwordless authentication has all but been universally embraced. In practice, though, CISOs find it difficult to deploy — especially that last 15%. Fortunately, creative workarounds are arising.
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์

    Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต

    Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ:
    แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
    บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ
    ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์
    ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที

    ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน
    หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที
    เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา

    Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่
    ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์

    เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ
    แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา

    การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร
    NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest

    รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม
    หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์

    https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    🎙️ ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์ Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ: 🔰 แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต 🔰 บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ 🔰 ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์ 🔰 ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 💠 Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน 💠 หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที 💠 เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา ✅ Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่ ➡️ ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ ✅ เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ ➡️ แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา ✅ การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร ➡️ NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ✅ รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม ⛔ หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom & CAMB.AI Developing AI Chip for Real-Time On-Device Dubbing
    Broadcom partnered with CAMB.AI to develop an AI chip for real-time, on-device audio translation and dubbing in 150+ languages, promising ultra-low latency.
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager

    Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน

    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ:
    อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด
    แก้ไขข้อมูลผู้ใช้
    ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin

    ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ

    Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ
    ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่
    CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด
    แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager
    ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API

    ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT
    อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน

    แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42
    Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก
    ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน

    https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ: 🪲 อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด 🪲 แก้ไขข้อมูลผู้ใช้ 🪲 ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ 💠 ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่ 💠 CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด 💠 แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager ➡️ ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API ✅ ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT ➡️ อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน ✅ แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 ➡️ Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก ⛔ ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    SECURITYONLINE.INFO
    Rockwell Automation Fixes Critical Privilege Escalation Flaw in Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9)
    Rockwell patched a critical API flaw (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) in Verve Asset Manager, allowing read-only users to escalate privileges and fully compromise OT systems.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร

    Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026

    Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่

    หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock"
    ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store

    Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน
    ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ
    การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา
    มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น

    Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock
    ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น

    เกณฑ์การตรวจสอบ
    หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์
    หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน

    ข้อยกเว้นบางกรณี
    แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์

    วันบังคับใช้
    เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป
    แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store
    อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก

    https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    🔋 ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026 Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่ 🔰 หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock" 🔰 ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน 💠 ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ 💠 การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา 💠 มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น ✅ Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock ➡️ ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น ✅ เกณฑ์การตรวจสอบ ➡️ หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ ➡️ หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน ✅ ข้อยกเว้นบางกรณี ➡️ แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์ ✅ วันบังคับใช้ ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป ⛔ แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store ⛔ อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Android Rule: Google to Flag Battery-Draining Apps on Play Store Listings
    Google launches the "Excessive Wake Lock" metric. Apps that overuse wake locks (over 2 hours in 24 hrs) will get a red battery drain warning on the Play Store starting Mar 2026.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Wikipedia เปิดตัว Paid API สู้กระแส AI แย่งผู้เข้าชม

    Wikipedia เปิดตัว Paid API เพื่อรับมือกับการที่ AI ดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ให้เครดิต จนทำให้ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% และอาจกระทบต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และผู้บริจาคในอนาคต

    ในยุคที่ AI กำลังครองโลกข้อมูล เว็บไซต์อย่าง Wikipedia ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สาธารณะก็เริ่มได้รับผลกระทบหนัก เพราะ AI หลายระบบใช้ข้อมูลจาก Wikipedia ไปตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านที่ต้นทางอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คือ ทราฟฟิกจากผู้ใช้จริงลดลงกว่า 8% ในช่วงกลางปี 2025 ขณะที่ AI crawler หลายตัวถึงขั้นปลอมตัวเป็นผู้ใช้มนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Wikipedia

    เพื่อแก้ปัญหาและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน Wikipedia จึงเปิดตัว บริการ Paid API สำหรับบริษัท AI โดยมีเป้าหมายสองด้าน:
    1️⃣ สร้างรายได้เพื่อคงการดำเนินงานของ Wikipedia
    2️⃣ ให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องและมีโครงสร้าง

    นอกจากนี้ Wikipedia ยังเน้นย้ำว่า นักพัฒนา AI ควรให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ เพราะหากไม่มีผู้เขียนและผู้แก้ไขอาสา เนื้อหาก็จะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพต่อไป

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Paid API ของ Wikipedia คล้ายกับโมเดลที่หลายแพลตฟอร์มใช้ เช่น Twitter และ Reddit ที่เริ่มคิดค่าบริการสำหรับการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก
    หาก Wikipedia สูญเสียผู้ใช้และผู้บริจาคไปเรื่อย ๆ อาจเกิดปัญหาขาดแคลนผู้แก้ไข ทำให้คุณภาพข้อมูลลดลง และสุดท้าย AI เองก็จะขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
    นักวิชาการบางคนมองว่า นี่คือการ ปรับสมดุลระหว่างโลก AI และโลกมนุษย์ เพราะข้อมูลที่ AI ใช้ควรมีการสนับสนุนต้นทาง มิฉะนั้นระบบนิเวศความรู้จะไม่ยั่งยืน

    Wikipedia เปิดตัว Paid API สำหรับบริษัท AI
    เพื่อสร้างรายได้และให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง

    ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8%
    เกิดจาก AI ตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่เข้า Wikipedia

    AI crawler ปลอมตัวเป็นมนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับ
    Wikipedia ต้องอัปเกรดระบบ bot-detection

    Wikipedia ย้ำให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ
    หากไม่มีผู้เขียนอาสา เนื้อหาจะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ

    คำเตือนต่ออนาคตของ Wikipedia และ AI
    หากผู้ใช้และผู้บริจาคลดลง อาจทำให้ Wikipedia ขาดแคลนผู้แก้ไข
    คุณภาพข้อมูลที่ลดลงจะกระทบต่อ AI เอง เพราะไม่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

    https://securityonline.info/wikipedia-fights-back-paid-api-launches-as-ai-traffic-steals-8-of-human-visitors/
    📚 ข่าวใหญ่: Wikipedia เปิดตัว Paid API สู้กระแส AI แย่งผู้เข้าชม Wikipedia เปิดตัว Paid API เพื่อรับมือกับการที่ AI ดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ให้เครดิต จนทำให้ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% และอาจกระทบต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และผู้บริจาคในอนาคต ในยุคที่ AI กำลังครองโลกข้อมูล เว็บไซต์อย่าง Wikipedia ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สาธารณะก็เริ่มได้รับผลกระทบหนัก เพราะ AI หลายระบบใช้ข้อมูลจาก Wikipedia ไปตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านที่ต้นทางอีกต่อไป ผลลัพธ์คือ ทราฟฟิกจากผู้ใช้จริงลดลงกว่า 8% ในช่วงกลางปี 2025 ขณะที่ AI crawler หลายตัวถึงขั้นปลอมตัวเป็นผู้ใช้มนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Wikipedia เพื่อแก้ปัญหาและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน Wikipedia จึงเปิดตัว บริการ Paid API สำหรับบริษัท AI โดยมีเป้าหมายสองด้าน: 1️⃣ สร้างรายได้เพื่อคงการดำเนินงานของ Wikipedia 2️⃣ ให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องและมีโครงสร้าง นอกจากนี้ Wikipedia ยังเน้นย้ำว่า นักพัฒนา AI ควรให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ เพราะหากไม่มีผู้เขียนและผู้แก้ไขอาสา เนื้อหาก็จะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพต่อไป 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Paid API ของ Wikipedia คล้ายกับโมเดลที่หลายแพลตฟอร์มใช้ เช่น Twitter และ Reddit ที่เริ่มคิดค่าบริการสำหรับการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก 🔰 หาก Wikipedia สูญเสียผู้ใช้และผู้บริจาคไปเรื่อย ๆ อาจเกิดปัญหาขาดแคลนผู้แก้ไข ทำให้คุณภาพข้อมูลลดลง และสุดท้าย AI เองก็จะขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ 🔰 นักวิชาการบางคนมองว่า นี่คือการ ปรับสมดุลระหว่างโลก AI และโลกมนุษย์ เพราะข้อมูลที่ AI ใช้ควรมีการสนับสนุนต้นทาง มิฉะนั้นระบบนิเวศความรู้จะไม่ยั่งยืน ✅ Wikipedia เปิดตัว Paid API สำหรับบริษัท AI ➡️ เพื่อสร้างรายได้และให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง ✅ ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% ➡️ เกิดจาก AI ตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่เข้า Wikipedia ✅ AI crawler ปลอมตัวเป็นมนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ Wikipedia ต้องอัปเกรดระบบ bot-detection ✅ Wikipedia ย้ำให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ ➡️ หากไม่มีผู้เขียนอาสา เนื้อหาจะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของ Wikipedia และ AI ⛔ หากผู้ใช้และผู้บริจาคลดลง อาจทำให้ Wikipedia ขาดแคลนผู้แก้ไข ⛔ คุณภาพข้อมูลที่ลดลงจะกระทบต่อ AI เอง เพราะไม่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ https://securityonline.info/wikipedia-fights-back-paid-api-launches-as-ai-traffic-steals-8-of-human-visitors/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wikipedia Fights Back: Paid API Launches as AI Traffic Steals 8% of Human Visitors
    Wikipedia launches a paid API for AI companies to stop web scraping and generate revenue after sophisticated AI crawlers caused an 8% drop in human traffic.
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยี: นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจับมือ HPE และอุตสาหกรรมชิป สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้งานจริง!

    เรื่องราวนี้เริ่มต้นจาก John M. Martinis นักฟิสิกส์ผู้คว้ารางวัลโนเบลปี 2025 จากผลงานด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ล่าสุดเขาได้ร่วมมือกับ HPE และบริษัทชิปหลายแห่ง เพื่อสร้าง “ควอนตัมซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ที่ไม่ใช่แค่ต้นแบบในห้องแล็บ แต่สามารถผลิตใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการแก้ปัญหาซับซ้อนในสาขาเคมี การแพทย์ และวัสดุศาสตร์ ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลานับพันปีในการประมวลผล ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำยุคให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในภาคธุรกิจและวิทยาศาสตร์

    John M. Martinis ผู้คว้ารางวัลโนเบลปี 2025
    ได้รับรางวัลจากผลงานด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง
    เป็นผู้นำในการผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมสู่การใช้งานจริง

    ความร่วมมือกับ HPE และบริษัทชิป
    เป้าหมายคือสร้างควอนตัมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ผลิตได้จริง
    รวมพลังจากภาคธุรกิจและวิทยาศาสตร์เพื่อเร่งการพัฒนา

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพมหาศาล
    สามารถแก้ปัญหาทางเคมีและการแพทย์ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปทำไม่ได้
    มีบทบาทสำคัญในการค้นคว้ายาใหม่ การออกแบบวัสดุ และการจำลองโมเลกุล

    การเปลี่ยนจากต้นแบบสู่การผลิตจริง
    ความท้าทายคือการทำให้ระบบควอนตัมมีเสถียรภาพและสามารถผลิตจำนวนมากได้
    ต้องอาศัยการออกแบบร่วมกันระหว่างนักฟิสิกส์ วิศวกร และผู้ผลิตชิป

    คำเตือน: ควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังไม่พร้อมใช้งานทั่วไป
    ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านการควบคุม qubit และการแก้ไขข้อผิดพลาด
    การใช้งานในระดับผู้บริโภคยังอยู่ห่างไกล ต้องรอการพัฒนาอีกหลายปี

    การลงทุนในเทคโนโลยีนี้มีความเสี่ยง
    ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทน
    บริษัทที่ลงทุนต้องมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและความเข้าใจในเทคโนโลยีขั้นสูง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/10/nobel-winner-hpe-and-chip-industry-firms-team-up-to-make-a-practical-quantum-supercomputer
    🧠 ข่าวใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยี: นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจับมือ HPE และอุตสาหกรรมชิป สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้งานจริง! เรื่องราวนี้เริ่มต้นจาก John M. Martinis นักฟิสิกส์ผู้คว้ารางวัลโนเบลปี 2025 จากผลงานด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ล่าสุดเขาได้ร่วมมือกับ HPE และบริษัทชิปหลายแห่ง เพื่อสร้าง “ควอนตัมซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ที่ไม่ใช่แค่ต้นแบบในห้องแล็บ แต่สามารถผลิตใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการแก้ปัญหาซับซ้อนในสาขาเคมี การแพทย์ และวัสดุศาสตร์ ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลานับพันปีในการประมวลผล ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำยุคให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในภาคธุรกิจและวิทยาศาสตร์ ✅ John M. Martinis ผู้คว้ารางวัลโนเบลปี 2025 ➡️ ได้รับรางวัลจากผลงานด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ เป็นผู้นำในการผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมสู่การใช้งานจริง ✅ ความร่วมมือกับ HPE และบริษัทชิป ➡️ เป้าหมายคือสร้างควอนตัมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ผลิตได้จริง ➡️ รวมพลังจากภาคธุรกิจและวิทยาศาสตร์เพื่อเร่งการพัฒนา ✅ ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพมหาศาล ➡️ สามารถแก้ปัญหาทางเคมีและการแพทย์ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปทำไม่ได้ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการค้นคว้ายาใหม่ การออกแบบวัสดุ และการจำลองโมเลกุล ✅ การเปลี่ยนจากต้นแบบสู่การผลิตจริง ➡️ ความท้าทายคือการทำให้ระบบควอนตัมมีเสถียรภาพและสามารถผลิตจำนวนมากได้ ➡️ ต้องอาศัยการออกแบบร่วมกันระหว่างนักฟิสิกส์ วิศวกร และผู้ผลิตชิป ‼️ คำเตือน: ควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังไม่พร้อมใช้งานทั่วไป ⛔ ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านการควบคุม qubit และการแก้ไขข้อผิดพลาด ⛔ การใช้งานในระดับผู้บริโภคยังอยู่ห่างไกล ต้องรอการพัฒนาอีกหลายปี ‼️ การลงทุนในเทคโนโลยีนี้มีความเสี่ยง ⛔ ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทน ⛔ บริษัทที่ลงทุนต้องมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและความเข้าใจในเทคโนโลยีขั้นสูง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/10/nobel-winner-hpe-and-chip-industry-firms-team-up-to-make-a-practical-quantum-supercomputer
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nobel winner, HPE and chip industry firms team up to make a practical quantum supercomputer
    SAN FRANCISCO (Reuters) -John M. Martinis, one of this year's winners of the Nobel Prize in physics for breakthroughs in quantum computing, on Monday formed an alliance with HPE and several chip firms to create a practical, mass-producible quantum supercomputer.
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่สายลินุกซ์: MX Linux 25 “Infinity” เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำ!

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายโอเพ่นซอร์สและผู้ใช้งานลินุกซ์ทั่วโลก เพราะ MX Linux 25 โค้ดเนม “Infinity” ได้เปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการแล้ว! เวอร์ชันนี้พัฒนาบนพื้นฐานของ Debian 13 “Trixie” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของ Debian ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย

    MX Linux ถือเป็นหนึ่งในดิสโทรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป เพราะมีความเบา เสถียร และใช้งานง่าย โดยในเวอร์ชัน 25 นี้มีการปรับปรุงหลายจุดที่น่าสนใจ ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้

    MX Linux 25 มาพร้อมกับเคอร์เนล Linux 6.12 LTS สำหรับรุ่นมาตรฐาน และ Linux 6.16 แบบ Liquorix สำหรับรุ่น KDE Plasma และ AHS (Advanced Hardware Support) ซึ่งเหมาะกับเครื่องใหม่ที่ต้องการไดรเวอร์ล่าสุด

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับระบบ Systemd และ SysVinit ให้ผู้ใช้เลือกได้ตามความถนัด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเครื่องมือ MX Tools ที่ถูกพอร์ตไปใช้ Qt 6 เพื่อรองรับการแสดงผลที่ทันสมัยขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การรองรับ systemd-cryptsetup สำหรับการเข้ารหัสพาร์ทิชัน /home และการติดตั้งแบบ UEFI Secure Boot สำหรับระบบ 64-bit

    ในด้าน UI ก็มีการอัปเดตธีมใหม่อย่าง mx-ease และ mx-matcha รวมถึงการปรับปรุงเมนู Whisker ใน Xfce และเพิ่มเมนู root actions ใน Dolphin สำหรับ KDE Plasma

    ฟีเจอร์ใหม่ใน MX Linux 25
    ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ
    รองรับ Linux Kernel 6.12 LTS และ 6.16 Liquorix
    มีทั้ง Systemd และ SysVinit ให้เลือก
    พอร์ต MX Tools ไปใช้ Qt 6
    เพิ่ม mx-updater แทน apt-notifier
    KDE Plasma ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น
    รองรับ UEFI Secure Boot สำหรับ 64-bit
    ปรับปรุงการเข้ารหัสด้วย systemd-cryptsetup
    เพิ่ม Conky config สำหรับแสดงเวลาแบบ 12h/24h
    อัปเดตธีม mx-ease และ mx-matcha
    ปรับปรุง Whisker Menu ใน Xfce
    เพิ่ม root actions ใน Dolphin สำหรับ KDE
    เปลี่ยน Audacious เป็นเครื่องเล่นเสียงหลักใน Fluxbox
    ปรับปรุง mx-updater ให้รองรับอัปเดตอัตโนมัติ
    Fluxbox ได้เมนูใหม่และ config ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่ใช้ TLP อาจพบปัญหาใน KDE Plasma เพราะถูกแทนที่ด้วย power-profiles-daemon
    การเปลี่ยนไปใช้ Wayland อาจมีผลกับบางแอปที่ยังไม่รองรับเต็มที่
    การติดตั้งแบบ “Replace” ต้องระวังข้อมูลเดิมอาจถูกลบ หากไม่สำรองไว้ก่อน
    ผู้ใช้ที่ใช้ NVIDIA ควรตรวจสอบ fallback mode ใหม่ใน ddm-mx เพื่อความเข้ากันได้กับ Wayland

    https://9to5linux.com/mx-linux-25-infinity-is-now-available-for-download-based-on-debian-13-trixie
    🧭 ข่าวใหญ่สายลินุกซ์: MX Linux 25 “Infinity” เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำ! วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายโอเพ่นซอร์สและผู้ใช้งานลินุกซ์ทั่วโลก เพราะ MX Linux 25 โค้ดเนม “Infinity” ได้เปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการแล้ว! เวอร์ชันนี้พัฒนาบนพื้นฐานของ Debian 13 “Trixie” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของ Debian ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย MX Linux ถือเป็นหนึ่งในดิสโทรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป เพราะมีความเบา เสถียร และใช้งานง่าย โดยในเวอร์ชัน 25 นี้มีการปรับปรุงหลายจุดที่น่าสนใจ ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้ MX Linux 25 มาพร้อมกับเคอร์เนล Linux 6.12 LTS สำหรับรุ่นมาตรฐาน และ Linux 6.16 แบบ Liquorix สำหรับรุ่น KDE Plasma และ AHS (Advanced Hardware Support) ซึ่งเหมาะกับเครื่องใหม่ที่ต้องการไดรเวอร์ล่าสุด หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับระบบ Systemd และ SysVinit ให้ผู้ใช้เลือกได้ตามความถนัด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเครื่องมือ MX Tools ที่ถูกพอร์ตไปใช้ Qt 6 เพื่อรองรับการแสดงผลที่ทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การรองรับ systemd-cryptsetup สำหรับการเข้ารหัสพาร์ทิชัน /home และการติดตั้งแบบ UEFI Secure Boot สำหรับระบบ 64-bit ในด้าน UI ก็มีการอัปเดตธีมใหม่อย่าง mx-ease และ mx-matcha รวมถึงการปรับปรุงเมนู Whisker ใน Xfce และเพิ่มเมนู root actions ใน Dolphin สำหรับ KDE Plasma ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน MX Linux 25 ➡️ ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ ➡️ รองรับ Linux Kernel 6.12 LTS และ 6.16 Liquorix ➡️ มีทั้ง Systemd และ SysVinit ให้เลือก ➡️ พอร์ต MX Tools ไปใช้ Qt 6 ➡️ เพิ่ม mx-updater แทน apt-notifier ➡️ KDE Plasma ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ รองรับ UEFI Secure Boot สำหรับ 64-bit ➡️ ปรับปรุงการเข้ารหัสด้วย systemd-cryptsetup ➡️ เพิ่ม Conky config สำหรับแสดงเวลาแบบ 12h/24h ➡️ อัปเดตธีม mx-ease และ mx-matcha ➡️ ปรับปรุง Whisker Menu ใน Xfce ➡️ เพิ่ม root actions ใน Dolphin สำหรับ KDE ➡️ เปลี่ยน Audacious เป็นเครื่องเล่นเสียงหลักใน Fluxbox ➡️ ปรับปรุง mx-updater ให้รองรับอัปเดตอัตโนมัติ ➡️ Fluxbox ได้เมนูใหม่และ config ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ TLP อาจพบปัญหาใน KDE Plasma เพราะถูกแทนที่ด้วย power-profiles-daemon ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ Wayland อาจมีผลกับบางแอปที่ยังไม่รองรับเต็มที่ ⛔ การติดตั้งแบบ “Replace” ต้องระวังข้อมูลเดิมอาจถูกลบ หากไม่สำรองไว้ก่อน ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ NVIDIA ควรตรวจสอบ fallback mode ใหม่ใน ddm-mx เพื่อความเข้ากันได้กับ Wayland https://9to5linux.com/mx-linux-25-infinity-is-now-available-for-download-based-on-debian-13-trixie
    9TO5LINUX.COM
    MX Linux 25 "Infinity" Is Now Available for Download, Based on Debian 13 "Trixie" - 9to5Linux
    MX Linux 25 distribution is now available for download based on the Debian 13 “Trixie” operating system series.
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • หายนะซ่อนอยู่ในคลาวด์: ช่องโหว่ใหม่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver

    วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ที่ไม่ควรมองข้าม! นักวิจัยจาก TyphoonPWN และทีม Windows PE Winner ร่วมกับ SSD Secure Disclosure ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ช่วยจัดการไฟล์ในบริการคลาวด์อย่าง OneDrive

    ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า CVE-2025-55680 และมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 7.8 ซึ่งถือว่า "ร้ายแรง" เพราะสามารถให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับผู้ใช้ทั่วไป (domain user) ยกระดับสิทธิ์ขึ้นไปถึงระดับ SYSTEM ได้เลย!

    เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่มันเป็นการ "ย้อนกลับ" หรือ Patch Bypass ของช่องโหว่เก่าในปี 2020 (CVE-2020-17136) ที่เคยถูก Google Project Zero รายงานไว้ Microsoft เคยพยายามแก้ไขด้วยการป้องกันการโจมตีแบบ symbolic link โดยห้ามใช้ backslash (\\) หรือ colon (:) ใน path แต่ปรากฏว่าการตรวจสอบ path นั้นยังอิงจากหน่วยความจำที่ผู้ใช้ควบคุมได้ ทำให้เกิดการโจมตีแบบ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) ได้อีกครั้ง

    นักวิจัยสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อเขียนไฟล์ใดก็ได้ในระบบ ซึ่งนำไปสู่การควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ!

    TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) คือการโจมตีที่เกิดจากช่องว่างระหว่างเวลาที่ระบบตรวจสอบเงื่อนไขบางอย่าง (เช่น ตรวจสอบว่าไฟล์ปลอดภัย) กับเวลาที่ระบบใช้งานข้อมูลนั้นจริงๆ หากผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในช่วงเวลานั้นได้ ก็สามารถหลอกระบบให้ทำงานผิดพลาดได้

    ช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-55680
    เป็นช่องโหว่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver
    มีคะแนน CVSS 7.8 ถือว่าร้ายแรง
    เปิดช่องให้ผู้ใช้ทั่วไปยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM

    เทคนิคการโจมตี
    ใช้ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) เพื่อหลอกระบบ
    อาศัยการควบคุมหน่วยความจำที่ใช้ตรวจสอบ path

    ความเกี่ยวข้องกับช่องโหว่เก่า
    เป็นการ bypass การแก้ไขของ CVE-2020-17136
    Microsoft เคยป้องกันด้วยการห้ามใช้ \\ และ : ใน path

    การแก้ไข
    Microsoft ออกแพตช์ในเดือนตุลาคม 2025
    แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที

    ความเสี่ยงต่อระบบ
    ผู้โจมตีสามารถเขียนไฟล์ใดก็ได้ในระบบ
    อาจนำไปสู่การควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ

    การละเลยแพตช์
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจากผู้ใช้ภายในองค์กร
    ช่องโหว่นี้สามารถใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อโจมตีขั้นสูง

    https://securityonline.info/poc-exploit-released-for-cve-2025-55680-windows-cloud-files-mini-filter-driver-elevation-of-privilege-flaw/
    🛡️ หายนะซ่อนอยู่ในคลาวด์: ช่องโหว่ใหม่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ที่ไม่ควรมองข้าม! นักวิจัยจาก TyphoonPWN และทีม Windows PE Winner ร่วมกับ SSD Secure Disclosure ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ช่วยจัดการไฟล์ในบริการคลาวด์อย่าง OneDrive ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า CVE-2025-55680 และมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 7.8 ซึ่งถือว่า "ร้ายแรง" เพราะสามารถให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับผู้ใช้ทั่วไป (domain user) ยกระดับสิทธิ์ขึ้นไปถึงระดับ SYSTEM ได้เลย! เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่มันเป็นการ "ย้อนกลับ" หรือ Patch Bypass ของช่องโหว่เก่าในปี 2020 (CVE-2020-17136) ที่เคยถูก Google Project Zero รายงานไว้ Microsoft เคยพยายามแก้ไขด้วยการป้องกันการโจมตีแบบ symbolic link โดยห้ามใช้ backslash (\\) หรือ colon (:) ใน path แต่ปรากฏว่าการตรวจสอบ path นั้นยังอิงจากหน่วยความจำที่ผู้ใช้ควบคุมได้ ทำให้เกิดการโจมตีแบบ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) ได้อีกครั้ง นักวิจัยสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อเขียนไฟล์ใดก็ได้ในระบบ ซึ่งนำไปสู่การควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ! TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) คือการโจมตีที่เกิดจากช่องว่างระหว่างเวลาที่ระบบตรวจสอบเงื่อนไขบางอย่าง (เช่น ตรวจสอบว่าไฟล์ปลอดภัย) กับเวลาที่ระบบใช้งานข้อมูลนั้นจริงๆ หากผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในช่วงเวลานั้นได้ ก็สามารถหลอกระบบให้ทำงานผิดพลาดได้ ✅ ช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-55680 ➡️ เป็นช่องโหว่ใน Windows Cloud Files Mini Filter Driver ➡️ มีคะแนน CVSS 7.8 ถือว่าร้ายแรง ➡️ เปิดช่องให้ผู้ใช้ทั่วไปยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ใช้ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) เพื่อหลอกระบบ ➡️ อาศัยการควบคุมหน่วยความจำที่ใช้ตรวจสอบ path ✅ ความเกี่ยวข้องกับช่องโหว่เก่า ➡️ เป็นการ bypass การแก้ไขของ CVE-2020-17136 ➡️ Microsoft เคยป้องกันด้วยการห้ามใช้ \\ และ : ใน path ✅ การแก้ไข ➡️ Microsoft ออกแพตช์ในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบ ⛔ ผู้โจมตีสามารถเขียนไฟล์ใดก็ได้ในระบบ ⛔ อาจนำไปสู่การควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ ‼️ การละเลยแพตช์ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจากผู้ใช้ภายในองค์กร ⛔ ช่องโหว่นี้สามารถใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อโจมตีขั้นสูง https://securityonline.info/poc-exploit-released-for-cve-2025-55680-windows-cloud-files-mini-filter-driver-elevation-of-privilege-flaw/
    SECURITYONLINE.INFO
    PoC Exploit Released for CVE-2025-55680 - Windows Cloud Files Mini Filter Driver Elevation of Privilege Flaw
    A High-severity LPE flaw (CVE-2025-55680) in the Windows Cloud Files Driver allows local users to gain SYSTEM privileges by exploiting a TOCTOU race condition. Patch immediately.
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025

    สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้

    ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด

    นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก

    ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP
    พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน
    ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849
    เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล

    ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล
    HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป

    ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์
    Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป

    ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own
    Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern

    ความสำคัญของงาน Pwn2Own
    เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP
    หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง
    ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย

    ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต
    อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้
    ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย

    หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง

    https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    🛡️ QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025 สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025 เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้ ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก ✅ ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP ➡️ พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849 ➡️ เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล ✅ ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล ➡️ HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป ✅ ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์ ➡️ Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป ✅ ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own ➡️ Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern ✅ ความสำคัญของงาน Pwn2Own ➡️ เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล ⛔ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง ⛔ ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต ⛔ อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้ ⛔ ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง 💻🔐 https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Warning: QNAP Patches Seven Zero-Days Exploited at Pwn2Own 2025
    QNAP patched 7 zero-day flaws in QTS/QuTS hero and apps (HBS 3, Malware Remover) after being hacked by researchers at Pwn2Own Ireland 2025. Update urgently.
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
More Results