• ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีกลุ่ม BRICS 100% : Sondhitalk EP271 VDO

    โลกเปลี่ยนไป อเมริกาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
    ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีกลุ่ม BRICS 100%

    #sondhitalk #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #อเมริกาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง #โดนัลด์ทรัมป์ #กลุ่มBRICS #ขู่ขึ้นภาษีกลุ่มBRICS
    ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีกลุ่ม BRICS 100% : Sondhitalk EP271 VDO โลกเปลี่ยนไป อเมริกาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีกลุ่ม BRICS 100% #sondhitalk #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #อเมริกาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง #โดนัลด์ทรัมป์ #กลุ่มBRICS #ขู่ขึ้นภาษีกลุ่มBRICS
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4770 มุมมอง 211 1 รีวิว
  • ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS

    BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้:

    1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก:

    - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น

    - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี

    2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ

    3.โครงการริเริ่มใหม่:

    - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

    -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

    -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม”

    องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear

    - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์

    - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว
    คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด"

    4.การขยายความร่วมมือ:

    - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป

    และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน
    กระบวนการระดับโลก

    5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน:

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก

    -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด

    -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา

    - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ

    -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567

    -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน

    -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง

    -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้

    -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา

    ที่มา สำนักข่าว Sputnik
    https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA

    #Thaitimes
    ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้: 1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก: - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี 2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ 3.โครงการริเริ่มใหม่: - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21 -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม” องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์ - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด" 4.การขยายความร่วมมือ: - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน กระบวนการระดับโลก 5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน: -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567 -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้ -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา ที่มา สำนักข่าว Sputnik https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 831 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาครงมาแปลก เรียกร้องให้ปฏิรูประบบโลกในปัจจุบันที่ไม่ยุติธรรม

    ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้มีการปฏิรูประเบียบโลกที่ “ไม่ยุติธรรม” ในปัจจุบัน เพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติมากขึ้น

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาในงานประชุมนานาชาติ “Imagining Peace” ที่กรุงปารีส ซึ่งนำบุคคลสำคัญทางการเมืองและศาสนามารวมตัวกัน

    ในการกล่าวต่อหน้าชุมชนคาทอลิกแห่งซานต์เอจิดิโอ มาครงกล่าวว่า “เราต้องมีจินตนาการมากพอที่จะคิดถึงสันติภาพของวันพรุ่งนี้ สันติภาพในยุโรปในรูปแบบใหม่”

    หากทวีปยุโรปต้องการมีเสถียรภาพมากขึ้น ทุกคนควรยอมรับว่า “ไม่ใช่สหภาพยุโรปหรือ NATO อย่างเด็ดขาด” เขากล่าว “เราจะต้องคิดรูปแบบใหม่ขององค์กรยุโรปและคิดทบทวนความสัมพันธ์ของเรากับรัสเซีย” หลังจากความขัดแย้งในยูเครนสิ้นสุดลง

    ในสุนทรพจน์ของเขา มาครงกล่าวอ้างว่าระบบโลกที่สร้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น “ไม่สมบูรณ์และไม่ยุติธรรม” เนื่องจากประเทศที่เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากยังไม่มีอยู่จริงในเวลานั้น และไม่มีส่วนร่วมในโต๊ะเจรจา

    เขากล่าวว่าองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ควรได้รับการปฏิรูป

    สิ่งที่มาครงนำเสนอก็เพียงแต่คำพูด เพราะว่าผู้ที่จะปฏิรูปโครงสร้างระบบโลกได้ก็คือสหรัฐและอังกฤษ ซึ่งไม่ต้องการทำสิ่งนั้่นอยู่แล้ว เพราะว่าต้องการรักษาสถานภาพของอำนาจที่มีอยู่
    ผ่านมาตรการแซงชั่น การเมือง และการทหาร

    แต่ในขณะเดียวกัน จีนและรัสเซียเป็นผู้นำของประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการปฏิรูประบบโลกผ่านความร่วมมือของกลุ่มBRICS เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกใหม่

    มาครงอ้างว่าต้องการสันติภาพ แต่ในทางปฏิบัติเขาเป็นพวกสายเหยี่ยวที่ต้องการให้นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย เท่ากับว่าเขาสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้เกิดขึ้น ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศนาโต้ที่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขันในการทำสงครามกับรัสเซียผ่านการเงินและการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้มีทหารฝรั่งเศสเดินทางเข้ายูเครน พร้อมกับทหารนาโต้ชาติอื่นๆเพื่อรบกับรัสเซียโดยตรงอีกด้วย

    มาครงต้องการประกาศส่งทหารฝรั่งเศสเข้าช่วยยูเครนรบกับรัสเซียอย่างเป็นทางการ และเรียกร้องให้นาโต้กระทำตาม โดยอ้างว่ายุโรปและนาโต้จะสูญเสียความน่าเชื่อถือถ้าหากปล่อยให้รัสเซียมีชัยชนะเหนือยูเครน แต่คำประกาศที่เป็นทางการไม่เกิดขึ้น หลังจากรัสเซียขู่ว่าจะตอบโต้ด้วยสงครามนิวเคลียร์กับนาโต้

    ผู้นำยุโรปที่เรียกร้องสันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่มาครง แต่เป็นวิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีของฮังการี และโรเบิร์ต ฟิโก้ ผู้นำของสโลวาเนีย ซึ่งถูกลอบสังหารแต่รอดชีวิตมาได้ เพราะว่าแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับสงครามยูเครน

    คำปราศรัยของมาครงเกิดขึ้นในขณะที่นายวลาดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเตรียมพบกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อนำเสนอแผนที่เรียกว่า "ชัยชนะ" ซึ่งเป็นแผนงานในการกดดันให้รัสเซียยอมรับความพ่ายแพ้ เซเลนสกี้ต้องการคำอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของตะวันตกเพื่อโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย

    ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่บริจาคฮาร์ดแวร์ทางทหารดังกล่าวให้กับยูเครนในรูปแบบของขีปนาวุธร่อน SCALP/Storm Shadow ซึ่งฝรั่งเศสผลิตร่วมกับสหราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่อังกฤษสนับสนุนคำขอของเคียฟในการโจมตีรัสเซีย แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนั้นเข้าใจกันว่าอยู่ในมือของวอชิงตัน

    มาครงไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงในยุโรป หรือนาโต้ เพราะว่าเขาเป็นเพียงแค่เชียร์ลีดเดอร์

    มาครงมาแปลก เรียกร้องให้ปฏิรูประบบโลกในปัจจุบันที่ไม่ยุติธรรม ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้มีการปฏิรูประเบียบโลกที่ “ไม่ยุติธรรม” ในปัจจุบัน เพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติมากขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาในงานประชุมนานาชาติ “Imagining Peace” ที่กรุงปารีส ซึ่งนำบุคคลสำคัญทางการเมืองและศาสนามารวมตัวกัน ในการกล่าวต่อหน้าชุมชนคาทอลิกแห่งซานต์เอจิดิโอ มาครงกล่าวว่า “เราต้องมีจินตนาการมากพอที่จะคิดถึงสันติภาพของวันพรุ่งนี้ สันติภาพในยุโรปในรูปแบบใหม่” หากทวีปยุโรปต้องการมีเสถียรภาพมากขึ้น ทุกคนควรยอมรับว่า “ไม่ใช่สหภาพยุโรปหรือ NATO อย่างเด็ดขาด” เขากล่าว “เราจะต้องคิดรูปแบบใหม่ขององค์กรยุโรปและคิดทบทวนความสัมพันธ์ของเรากับรัสเซีย” หลังจากความขัดแย้งในยูเครนสิ้นสุดลง ในสุนทรพจน์ของเขา มาครงกล่าวอ้างว่าระบบโลกที่สร้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น “ไม่สมบูรณ์และไม่ยุติธรรม” เนื่องจากประเทศที่เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากยังไม่มีอยู่จริงในเวลานั้น และไม่มีส่วนร่วมในโต๊ะเจรจา เขากล่าวว่าองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ควรได้รับการปฏิรูป สิ่งที่มาครงนำเสนอก็เพียงแต่คำพูด เพราะว่าผู้ที่จะปฏิรูปโครงสร้างระบบโลกได้ก็คือสหรัฐและอังกฤษ ซึ่งไม่ต้องการทำสิ่งนั้่นอยู่แล้ว เพราะว่าต้องการรักษาสถานภาพของอำนาจที่มีอยู่ ผ่านมาตรการแซงชั่น การเมือง และการทหาร แต่ในขณะเดียวกัน จีนและรัสเซียเป็นผู้นำของประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการปฏิรูประบบโลกผ่านความร่วมมือของกลุ่มBRICS เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกใหม่ มาครงอ้างว่าต้องการสันติภาพ แต่ในทางปฏิบัติเขาเป็นพวกสายเหยี่ยวที่ต้องการให้นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย เท่ากับว่าเขาสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้เกิดขึ้น ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศนาโต้ที่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขันในการทำสงครามกับรัสเซียผ่านการเงินและการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้มีทหารฝรั่งเศสเดินทางเข้ายูเครน พร้อมกับทหารนาโต้ชาติอื่นๆเพื่อรบกับรัสเซียโดยตรงอีกด้วย มาครงต้องการประกาศส่งทหารฝรั่งเศสเข้าช่วยยูเครนรบกับรัสเซียอย่างเป็นทางการ และเรียกร้องให้นาโต้กระทำตาม โดยอ้างว่ายุโรปและนาโต้จะสูญเสียความน่าเชื่อถือถ้าหากปล่อยให้รัสเซียมีชัยชนะเหนือยูเครน แต่คำประกาศที่เป็นทางการไม่เกิดขึ้น หลังจากรัสเซียขู่ว่าจะตอบโต้ด้วยสงครามนิวเคลียร์กับนาโต้ ผู้นำยุโรปที่เรียกร้องสันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่มาครง แต่เป็นวิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีของฮังการี และโรเบิร์ต ฟิโก้ ผู้นำของสโลวาเนีย ซึ่งถูกลอบสังหารแต่รอดชีวิตมาได้ เพราะว่าแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับสงครามยูเครน คำปราศรัยของมาครงเกิดขึ้นในขณะที่นายวลาดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเตรียมพบกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อนำเสนอแผนที่เรียกว่า "ชัยชนะ" ซึ่งเป็นแผนงานในการกดดันให้รัสเซียยอมรับความพ่ายแพ้ เซเลนสกี้ต้องการคำอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของตะวันตกเพื่อโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่บริจาคฮาร์ดแวร์ทางทหารดังกล่าวให้กับยูเครนในรูปแบบของขีปนาวุธร่อน SCALP/Storm Shadow ซึ่งฝรั่งเศสผลิตร่วมกับสหราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่อังกฤษสนับสนุนคำขอของเคียฟในการโจมตีรัสเซีย แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนั้นเข้าใจกันว่าอยู่ในมือของวอชิงตัน มาครงไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริงในยุโรป หรือนาโต้ เพราะว่าเขาเป็นเพียงแค่เชียร์ลีดเดอร์
    Like
    Haha
    Wow
    22
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1706 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027

    Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี

    การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป

    หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย

    อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ

    ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน
    ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน

    หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350%

    งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน

    การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว

    ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง

    กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง

    อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974

    สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350% งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974
    Like
    30
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1663 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซาอุฯแอบซื้อทอง160ตันจากสวิตเซอปร์แลนดืตั้งแต่ปี2022

    ซาอุดิ อาระเบียได้เข้าร่วมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียในการมองข้ามความอ่อนไหวต่อราคาทองคำในระยะยาว Jan Nieuwenhuijs แห่งMoney Metals Exchangeรายงานว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าธนาคารกลางซาอุดิอาระเบียแอบซื้อทองคำจำนวน 160 ตันในสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ต้นปี 2565 ซึ่งมีส่วนสนับสนุนตลาดกระทิงของทองคำในปัจจุบัน

    แม้ว่าซาอุดิ อาระเบียจะมีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิดมาตรฐานดอลลาร์โลกในช่วงต้นทศวรรษ 1970 แต่คราวนี้พวกเขาอาจกลายเป็นแกนหลักในการยกเลิกเปโตรดอลล่าร์ หรือการขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์อย่างเดียว อันเห็นได้จากการที่ซาอุดิ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับกลุ่มBRICSซึ่งมีนโยบายต้องการออกจากระบบดอลล่าร์ (de-dollarization)

    จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ความต้องการทองคำของซาอุดิอาระเบียจะลดลงเมื่อราคาทองคำสูงขึ้นและความต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อราคาลง ทำให้สร้างความผันผวนในตลาดทองคำ ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกมานานหลายทศวรรษ

    นับตั้งแต่ตะวันตกยึดทรัพย์สินดอลลาร์ของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ผู้ที่มีความขัดแย้งทางการทูตกับชาติตะวันตกก็เริ่มแลกเปลี่ยนดอลลาร์ของตนเป็นทองคำมากขึ้น

    ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศล่าสุด รองจากจีนและไทย ซึ่งมีสถิติการค้าข้ามพรมแดนที่แสดงว่าซาอุดีอาระเบียเปลี่ยนจากปัจจัยความอ่อนไหวด้านราคามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคา


    Trading Economicsรายงานว่า ทองคำสำรองในซาอุดีอาระเบียยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 323.07 ตันในไตรมาสแรกของปี 2024 จาก 323.07 ตันในไตรมาสที่สี่ของปี 2023 ทองคำสำรองในซาอุดิอาระเบียเฉลี่ย 263.59 ตันในช่วงปี 2000 ถึงปี 2024 ซึ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 323.07 ตันในไตรมาสแรกของปี 2016 และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 142.95 ตันในไตรมาสที่สองของปี 2000

    อย่างไรก็ตาม Nieuwenhuijsเชื่อว่า ซาอุดิ อาราเบียมีทองคำสำรองมากกว่าที่ประกาศอย่างเป็นทางการ

    ที่มา https://www.linkedin.com/pulse/saudi-central-bank-caught-secretly-buying-160-tonnes-gold-bv3ue
    ซาอุฯแอบซื้อทอง160ตันจากสวิตเซอปร์แลนดืตั้งแต่ปี2022 ซาอุดิ อาระเบียได้เข้าร่วมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียในการมองข้ามความอ่อนไหวต่อราคาทองคำในระยะยาว Jan Nieuwenhuijs แห่งMoney Metals Exchangeรายงานว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าธนาคารกลางซาอุดิอาระเบียแอบซื้อทองคำจำนวน 160 ตันในสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ต้นปี 2565 ซึ่งมีส่วนสนับสนุนตลาดกระทิงของทองคำในปัจจุบัน แม้ว่าซาอุดิ อาระเบียจะมีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิดมาตรฐานดอลลาร์โลกในช่วงต้นทศวรรษ 1970 แต่คราวนี้พวกเขาอาจกลายเป็นแกนหลักในการยกเลิกเปโตรดอลล่าร์ หรือการขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์อย่างเดียว อันเห็นได้จากการที่ซาอุดิ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับกลุ่มBRICSซึ่งมีนโยบายต้องการออกจากระบบดอลล่าร์ (de-dollarization) จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ความต้องการทองคำของซาอุดิอาระเบียจะลดลงเมื่อราคาทองคำสูงขึ้นและความต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อราคาลง ทำให้สร้างความผันผวนในตลาดทองคำ ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกมานานหลายทศวรรษ นับตั้งแต่ตะวันตกยึดทรัพย์สินดอลลาร์ของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ผู้ที่มีความขัดแย้งทางการทูตกับชาติตะวันตกก็เริ่มแลกเปลี่ยนดอลลาร์ของตนเป็นทองคำมากขึ้น ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศล่าสุด รองจากจีนและไทย ซึ่งมีสถิติการค้าข้ามพรมแดนที่แสดงว่าซาอุดีอาระเบียเปลี่ยนจากปัจจัยความอ่อนไหวด้านราคามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคา Trading Economicsรายงานว่า ทองคำสำรองในซาอุดีอาระเบียยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 323.07 ตันในไตรมาสแรกของปี 2024 จาก 323.07 ตันในไตรมาสที่สี่ของปี 2023 ทองคำสำรองในซาอุดิอาระเบียเฉลี่ย 263.59 ตันในช่วงปี 2000 ถึงปี 2024 ซึ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 323.07 ตันในไตรมาสแรกของปี 2016 และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 142.95 ตันในไตรมาสที่สองของปี 2000 อย่างไรก็ตาม Nieuwenhuijsเชื่อว่า ซาอุดิ อาราเบียมีทองคำสำรองมากกว่าที่ประกาศอย่างเป็นทางการ ที่มา https://www.linkedin.com/pulse/saudi-central-bank-caught-secretly-buying-160-tonnes-gold-bv3ue
    WWW.LINKEDIN.COM
    Saudi Central Bank Caught Secretly Buying 160 Tonnes of Gold in Switzerland
    Money Metals Exchange By Jan Nieuwenhuijs The Saudis have joined other Asian countries in ditching their long-term sensitivity to the gold price. Evidence suggests the Saudi central bank has been covertly buying 160 tonnes of gold in Switzerland since early 2022, contributing to the current gold bul
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1422 มุมมอง 0 รีวิว