• อวสานหมอบุญ ฮีโร่ของคนไทย

    การออกหมายจับ นพ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมด้วยนางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 2534 หลังร่วมกับพวกรวม 9 คน หลอกลวงผู้เสียหายระดับนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมลงทุน แล้วไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ มีผู้เสียหาย 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,564 ล้านบาท

    นับเป็นการปิดฉากหน้ากากคนดี ฮีโร่ของคนไทย อัศวินม้าขาวที่นักการเมืองบางพรรค สื่อกระแสหลักบางค่าย และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในไทย ต่างยกย่องในฐานะที่ประกาศตนว่าจะจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ ชนิด mRNA ที่สังคมไทยส่วนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด จำนวน 20 ล้านโดส และด้อยค่ารัฐบาลขณะนั้นที่กำลังจัดการปัญหาโควิด-19 แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีการลงนามในสัญญานำเข้าวัคซีนตามที่กล่าวอ้าง การออกข่าวส่งผลต่อราคาหุ้น บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG)

    กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2565 สำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง นพ.บุญ ในอัตราสูงสุด คือ 2 ล้านบาท ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด 2,348,834 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ 42 เดือน จึงได้ให้ภรรยาเป็นประธานกรรมการบริษัท

    แต่คณะกรรมการตรวจสอบภายในพบรายการธุรกรรมน่าสงสัย 3 รายการ 210 ล้านบาท ทำให้กลุ่มวนาสินยอมเปิดทางให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่งตั้ง นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม โดยลดบทบาท นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ คนใกล้ชิด นพ.บุญ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานกลุ่มโรงพยาบาลในเครือที่ 1 ส่วน น.ส.นลิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่ความยั่งยืน แต่นางจารุวรรณยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท

    สำหรับพฤติการณ์พบว่า นพ.บุญสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ อ้างการลงทุนที่น่าสนใจ 5 โครงการ ให้ตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ระดมเงินลงทุนให้ นพ.บุญ และครอบครัว รวมทั้ง นพ.บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยและได้จ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยล่วงหน้า เซ็นสลักหลังนางจารุวรรณ และอดีตลูกสะใภ้ในเช็คทุกใบของ นพ.บุญ มอบให้แก่ผู้ให้กู้ ช่วงแรกให้ดอกเบี้ย ช่วงหลังไม่มีการจ่าย และเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าเช็คเด้ง

    นพ.บุญออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เที่ยวบินที่ CX712 ไปยังฮ่องกง

    #Newskit
    อวสานหมอบุญ ฮีโร่ของคนไทย การออกหมายจับ นพ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมด้วยนางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 2534 หลังร่วมกับพวกรวม 9 คน หลอกลวงผู้เสียหายระดับนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมลงทุน แล้วไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ มีผู้เสียหาย 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,564 ล้านบาท นับเป็นการปิดฉากหน้ากากคนดี ฮีโร่ของคนไทย อัศวินม้าขาวที่นักการเมืองบางพรรค สื่อกระแสหลักบางค่าย และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในไทย ต่างยกย่องในฐานะที่ประกาศตนว่าจะจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ ชนิด mRNA ที่สังคมไทยส่วนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด จำนวน 20 ล้านโดส และด้อยค่ารัฐบาลขณะนั้นที่กำลังจัดการปัญหาโควิด-19 แต่สุดท้ายนอกจากไม่มีการลงนามในสัญญานำเข้าวัคซีนตามที่กล่าวอ้าง การออกข่าวส่งผลต่อราคาหุ้น บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) กระทั่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2565 สำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง นพ.บุญ ในอัตราสูงสุด คือ 2 ล้านบาท ชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด 2,348,834 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ 42 เดือน จึงได้ให้ภรรยาเป็นประธานกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการตรวจสอบภายในพบรายการธุรกรรมน่าสงสัย 3 รายการ 210 ล้านบาท ทำให้กลุ่มวนาสินยอมเปิดทางให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง แต่งตั้ง นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม โดยลดบทบาท นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ คนใกล้ชิด นพ.บุญ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานกลุ่มโรงพยาบาลในเครือที่ 1 ส่วน น.ส.นลิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่ความยั่งยืน แต่นางจารุวรรณยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท สำหรับพฤติการณ์พบว่า นพ.บุญสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกสื่อ อ้างการลงทุนที่น่าสนใจ 5 โครงการ ให้ตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ระดมเงินลงทุนให้ นพ.บุญ และครอบครัว รวมทั้ง นพ.บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยและได้จ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยล่วงหน้า เซ็นสลักหลังนางจารุวรรณ และอดีตลูกสะใภ้ในเช็คทุกใบของ นพ.บุญ มอบให้แก่ผู้ให้กู้ ช่วงแรกให้ดอกเบี้ย ช่วงหลังไม่มีการจ่าย และเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าเช็คเด้ง นพ.บุญออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เที่ยวบินที่ CX712 ไปยังฮ่องกง #Newskit
    Like
    9
    0 Comments 0 Shares 417 Views 0 Reviews
  • เหยื่อเมทานอล 6 ศพ จากเหล้าเถื่อนที่วังเวียง

    สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า น.ส.ฮอลลี่ โบว์ลส์ นักท่องเที่ยวหญิงชาวออสเตรเลียวัย 19 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2567 หลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยภาวะเป็นพิษจากเมทานอล (Methanol) มานาน 1 สัปดาห์ ขณะที่ น.ส.บิอังกา โจนส์ วัย 19 ปี ชาวออสเตรเลีย และ น.ส.ซิโมน ไวท์ ทนายความชาวอังกฤษวัย 28 ปี เสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย. 2567 รวมทั้ง นายเจมส์ ฮัตสัน วัย 57 ปี ชาวอเมริกัน น.ส.แอนน์-โซฟี คอยแมน วัย 20 ปี และ น.ส.เฟรยา โซเรนเซน อายุ 21 ปี ชาวเดนมาร์ค ทั้งหมดมีสาเหตุมาจากดื่มสุราเถื่อนที่มีสารเมทานอลปนอยู่ในวังเวียง เมืองท่องเที่ยวของประเทศลาว

    ผู้ประสบภัยหลายรายเข้าพักที่ Nana Backpacker Hostel พนักงานได้รับแจ้งว่ามีผู้เข้าพักล้มป่วยหลังจากที่ไม่ได้เช็คเอาต์เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 ก่อนหน้านี้ทางที่พักได้แจกเครื่องดื่มสุราช็อตฟรีให้กับแขกประมาณ 100 คน แต่ผู้จัดการโฮสเทลเปิดเผยต่อสำนักข่าว Associated Press ว่า ไม่มีผู้เข้าพักคนอื่นป่วยแต่อย่างใด ขณะนี้ถูกตำรวจท้องถิ่นเรียกตัวไปสอบปากคำ ส่วนผู้ให้บริการจองที่พักโฮสเทล Hostelworld ได้ลบชื่อ Nana Backpacker Hostel ออกจากแพลตฟอร์ม พร้อมแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ และซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากผู้ขายที่มีชื่อเสียงเท่านั้น

    บางประเทศออกคำเตือนพลเมืองของตนให้ระวังพิษจากเมทานอล เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในประเทศลาว โดยทางการออสเตรเลียเตือนให้ระวังความเสี่ยง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เช่น ค็อกเทล เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์ ส่วนสหราชอาณาจักร เตือนให้ระวังการซื้อสุราพื้นเมือง เครื่องดื่มผสมจากสุรา เช่น ค็อกเทล และสุราปลอมในร้านค้าหรือหลังบาร์ โดยแนะนำให้ซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตเท่านั้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำเอง ตรวจสอบซีลและฉลากว่าสมบูรณ์หรือไม่

    สำหรับเมทานอลเป็นสารอันตรายที่พบได้ในสุราเถื่อน แพร่ระบาดอย่างมากในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากราคาถูก มีการบังคับใช้กฎหมายต่ำ แทบไม่มีการควบคุมในอุตสาหกรรมอาหารและบริการ และเนื่องจากไม่มีรสและไม่มีสี จึงสังเกตได้ยากในเครื่องดื่ม กว่าจะแสดงอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจใช้เวลามากถึง 24 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากสุราเถื่อนในอินเดีย 57 ราย สำหรับประเทศไทยเคยเกิดคลัสเตอร์ยาดอง ที่เขตคลองสามวา มีนบุรี และหนองจอก กรุงเทพฯ เสียชีวิต 10 ราย ตำรวจได้ดำเนินคดีผู้ผสมยาดอง ผู้ผลิตสุราเถื่อน และผู้จำหน่ายสารเอทานอล รวม 4 ราย

    #Newskit
    เหยื่อเมทานอล 6 ศพ จากเหล้าเถื่อนที่วังเวียง สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า น.ส.ฮอลลี่ โบว์ลส์ นักท่องเที่ยวหญิงชาวออสเตรเลียวัย 19 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2567 หลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยภาวะเป็นพิษจากเมทานอล (Methanol) มานาน 1 สัปดาห์ ขณะที่ น.ส.บิอังกา โจนส์ วัย 19 ปี ชาวออสเตรเลีย และ น.ส.ซิโมน ไวท์ ทนายความชาวอังกฤษวัย 28 ปี เสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย. 2567 รวมทั้ง นายเจมส์ ฮัตสัน วัย 57 ปี ชาวอเมริกัน น.ส.แอนน์-โซฟี คอยแมน วัย 20 ปี และ น.ส.เฟรยา โซเรนเซน อายุ 21 ปี ชาวเดนมาร์ค ทั้งหมดมีสาเหตุมาจากดื่มสุราเถื่อนที่มีสารเมทานอลปนอยู่ในวังเวียง เมืองท่องเที่ยวของประเทศลาว ผู้ประสบภัยหลายรายเข้าพักที่ Nana Backpacker Hostel พนักงานได้รับแจ้งว่ามีผู้เข้าพักล้มป่วยหลังจากที่ไม่ได้เช็คเอาต์เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 ก่อนหน้านี้ทางที่พักได้แจกเครื่องดื่มสุราช็อตฟรีให้กับแขกประมาณ 100 คน แต่ผู้จัดการโฮสเทลเปิดเผยต่อสำนักข่าว Associated Press ว่า ไม่มีผู้เข้าพักคนอื่นป่วยแต่อย่างใด ขณะนี้ถูกตำรวจท้องถิ่นเรียกตัวไปสอบปากคำ ส่วนผู้ให้บริการจองที่พักโฮสเทล Hostelworld ได้ลบชื่อ Nana Backpacker Hostel ออกจากแพลตฟอร์ม พร้อมแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ และซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากผู้ขายที่มีชื่อเสียงเท่านั้น บางประเทศออกคำเตือนพลเมืองของตนให้ระวังพิษจากเมทานอล เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในประเทศลาว โดยทางการออสเตรเลียเตือนให้ระวังความเสี่ยง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เช่น ค็อกเทล เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์ ส่วนสหราชอาณาจักร เตือนให้ระวังการซื้อสุราพื้นเมือง เครื่องดื่มผสมจากสุรา เช่น ค็อกเทล และสุราปลอมในร้านค้าหรือหลังบาร์ โดยแนะนำให้ซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตเท่านั้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำเอง ตรวจสอบซีลและฉลากว่าสมบูรณ์หรือไม่ สำหรับเมทานอลเป็นสารอันตรายที่พบได้ในสุราเถื่อน แพร่ระบาดอย่างมากในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากราคาถูก มีการบังคับใช้กฎหมายต่ำ แทบไม่มีการควบคุมในอุตสาหกรรมอาหารและบริการ และเนื่องจากไม่มีรสและไม่มีสี จึงสังเกตได้ยากในเครื่องดื่ม กว่าจะแสดงอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจใช้เวลามากถึง 24 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากสุราเถื่อนในอินเดีย 57 ราย สำหรับประเทศไทยเคยเกิดคลัสเตอร์ยาดอง ที่เขตคลองสามวา มีนบุรี และหนองจอก กรุงเทพฯ เสียชีวิต 10 ราย ตำรวจได้ดำเนินคดีผู้ผสมยาดอง ผู้ผลิตสุราเถื่อน และผู้จำหน่ายสารเอทานอล รวม 4 ราย #Newskit
    Like
    Sad
    Angry
    8
    0 Comments 0 Shares 495 Views 0 Reviews
  • แจ้งเพื่อทราบ Newskit งดตีพิมพ์ วันอาทิตย์ที่ 24 ถึงวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ขออภัยในความไม่สะดวก
    แจ้งเพื่อทราบ Newskit งดตีพิมพ์ วันอาทิตย์ที่ 24 ถึงวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ขออภัยในความไม่สะดวก
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • ฟื้นทางรถไฟ สุไหงโก-ลกไปมาเลเซีย

    เมื่อวันก่อน นายฮัสบิ ฮาบิโบลเลาะห์ รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะศึกษาความต้องการในการฟื้นฟูทางรถไฟ ช่วงระหว่างด่านรันเตาปันจัง กับสถานีปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร และศึกษาความเป็นไปได้ในการกลับมาให้บริการรถไฟ จากสถานีรันเตาปันจัง ไปยังสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประเทศไทย โดยต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย

    สำหรับทางรถไฟที่เชื่อมต่อมาเลเซียกับไทย หยุดให้บริการผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2525 และหยุดให้บริการขนส่งสินค้าเมื่อปี 2549 เนื่องจากปัญหาความปลอดภัยและผลกระทบจากอุทกภัย นับแต่นั้นเป็นต้นมาเส้นทางรถไฟถูกปิดตาย โครงสร้างพื้นฐานรวมถึงสถานีรถไฟรันเตาปันจังอยู่ในสภาพทรุดโทรม จำเป็นต้องได้รับการบูรณะ บำรุงรักษา และยกระดับก่อนจะสามารถเปิดให้บริการอีกครั้ง

    ส่วนข้อเสนอของนางซาอิลาห์ โมห์ด ยูซอฟฟ์ ส.ส.เมืองรันเตาปันจัง เกี่ยวกับความจำเป็นในการฟื้นฟูทางรถไฟและการกลับมาให้บริการรถไฟจากรันเตาปันจังไปยังสุไหงโก-ลก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างมาเลเซียและไทย เติมเต็มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนนั้น รัฐบาลรับทราบข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นหนทางที่จะปรับปรุงการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและไทย หากโครงการนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเพิ่มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย

    นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งทะเลตะวันออก (ECRL) ไปยังสถานีปาซีร์มัส ของการรถไฟมาลายา (KTMB) ซึ่งจะทำให้ทางรถไฟ ECRL มีประสิทธิภาพที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจกับชายฝั่งทะเลตะวันตก นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกสำหรับขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างมาเลเซียกับไทยอีกด้วย

    เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 แหล่งข่าวจากตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทยรายหนึ่งเปิดเผยว่า การรถไฟฯ มีความพร้อมที่จะพัฒนาทางรถไฟเชื่อมไปยังฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยได้มีการพูดคุยกับการรถไฟมาลายา (KTMB) เป็นระยะ แต่โครงการจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมานับตั้งแต่หยุดการเดินรถ และฝั่งประเทศมาเลเซียเคยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ถึงบัดนี้ ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบสภาพทางรถไฟฝั่งประเทศมาเลเซียในปัจจุบันได้

    #Newskit
    ฟื้นทางรถไฟ สุไหงโก-ลกไปมาเลเซีย เมื่อวันก่อน นายฮัสบิ ฮาบิโบลเลาะห์ รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะศึกษาความต้องการในการฟื้นฟูทางรถไฟ ช่วงระหว่างด่านรันเตาปันจัง กับสถานีปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร และศึกษาความเป็นไปได้ในการกลับมาให้บริการรถไฟ จากสถานีรันเตาปันจัง ไปยังสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประเทศไทย โดยต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย สำหรับทางรถไฟที่เชื่อมต่อมาเลเซียกับไทย หยุดให้บริการผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2525 และหยุดให้บริการขนส่งสินค้าเมื่อปี 2549 เนื่องจากปัญหาความปลอดภัยและผลกระทบจากอุทกภัย นับแต่นั้นเป็นต้นมาเส้นทางรถไฟถูกปิดตาย โครงสร้างพื้นฐานรวมถึงสถานีรถไฟรันเตาปันจังอยู่ในสภาพทรุดโทรม จำเป็นต้องได้รับการบูรณะ บำรุงรักษา และยกระดับก่อนจะสามารถเปิดให้บริการอีกครั้ง ส่วนข้อเสนอของนางซาอิลาห์ โมห์ด ยูซอฟฟ์ ส.ส.เมืองรันเตาปันจัง เกี่ยวกับความจำเป็นในการฟื้นฟูทางรถไฟและการกลับมาให้บริการรถไฟจากรันเตาปันจังไปยังสุไหงโก-ลก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างมาเลเซียและไทย เติมเต็มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนนั้น รัฐบาลรับทราบข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นหนทางที่จะปรับปรุงการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและไทย หากโครงการนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเพิ่มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งทะเลตะวันออก (ECRL) ไปยังสถานีปาซีร์มัส ของการรถไฟมาลายา (KTMB) ซึ่งจะทำให้ทางรถไฟ ECRL มีประสิทธิภาพที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจกับชายฝั่งทะเลตะวันตก นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกสำหรับขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างมาเลเซียกับไทยอีกด้วย เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 แหล่งข่าวจากตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทยรายหนึ่งเปิดเผยว่า การรถไฟฯ มีความพร้อมที่จะพัฒนาทางรถไฟเชื่อมไปยังฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยได้มีการพูดคุยกับการรถไฟมาลายา (KTMB) เป็นระยะ แต่โครงการจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมานับตั้งแต่หยุดการเดินรถ และฝั่งประเทศมาเลเซียเคยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ถึงบัดนี้ ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบสภาพทางรถไฟฝั่งประเทศมาเลเซียในปัจจุบันได้ #Newskit
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 588 Views 0 Reviews
  • สุไหงโก-ลกวุ่น มาเลย์เข้มข้ามแดน

    ปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ระหว่าง จ.นราธิวาส กับรัฐกลันตัน ที่พบปัญหาชาวไทยและมาเลเซียใช้ช่องทางธรรมชาติเข้า-ออกผ่านแม่น้ำโกลก โดยไม่ใช้หนังสือเดินทางหรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ไปถึงการจับกุมยาเสพติด อาวุธปืน สินค้าผิดกฎหมาย ทำให้นับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป ทางการมาเลเซียประกาศให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ต้องเข้า-ออกพรมแดนผ่านทางช่องทางที่ถูกต้องเท่านั้น

    กองกำลังปฏิบัติการทั่วไป (GOF) หรือ ตชด.มาเลเซีย ติดป้ายเตือนริมแม่น้ำโกลกที่ท่าเรือข้ามแม่น้ำผิดกฎหมายหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อเตือนประชาชนไม่ให้ข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย โดยระบุว่า "บุคคลใดก็ตามที่เข้าออกจากชายแดนมาเลเซียและประเทศไทยผ่านช่องทางที่ไม่ได้รับอนุญาต จะถูกจับกุมดำเนินคดีตามมาตรา 5 (2) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมืองมาเลเซีย 1959/1963 มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ"

    นายไซฟุดดิน นาซูติออน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย ยืนยันว่ามีทางเข้า-ออกรัฐกลันตันและไทยอย่างเป็นทางการเพียง 3 จุดเท่านั้น ได้แก่ ศูนย์ ICQS รันเตาปันจัง (ตรงข้ามด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส) ด่านบูกิตบุหงา (ตรงข้ามด่านศุลกากรบูเก๊ะตา อ.แว้ง) และด่านเป็งกาลันกูโบ (ตรงข้ามด่านตากใบ อ.ตากใบ) นอกนั้นเป็นช่องทางผิดกฎหมาย

    ขณะที่ดาโต๊ะ โมฮ้มหมัด ซูซอฟ มามัต ผู้บัญชาการตำรวจรัฐกลันตัน ระบุว่า ได้กำชับตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกนาย จับกุมชาวมาเลเซียที่มาจากไทยโดยใช้ช่องทางผิดกฎหมาย พร้อมเตือนทุกคนที่ต้องการเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายว่าจะจับกุมตลอดเวลา เช่นเดียวกับคนไทยที่เข้าประเทศมาเลเซียอย่างผิดกฎหมายก็จะถูกจับกุมเช่นกัน

    ที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าการเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งยังลักลอบขนยาเสพติด อาวุธปืนพก และสินค้าหนีภาษีอย่างเสรี ย้ำว่าจำเป็นต้องเข้าประเทศผ่านศูนย์ ICQS เพื่อช่วยลดปัญหาการลักลอบเข้าเมือง เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบยานพาหนะและควบคุมการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีได้ ส่วนการควบคุมความปลอดภัยตามแนวชายแดนจะมีความเข้มงวดมากขึ้น

    อีกด้านหนึ่ง มาตรการเข้มงวดในการข้ามแดนของทางการมาเลเซีย ส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรมพบว่าผู้เข้าพักช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ลดลงจากเดิม 100-200 ห้องเหลือ 15-20 ห้องต่อคืน ขณะที่มาตรการของทางการมาเลเซีย ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศวิตกกังวล ไม่กล้าเข้า-ออกประเทศ อาจทำให้เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว งานบริการในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก

    #Newskit
    สุไหงโก-ลกวุ่น มาเลย์เข้มข้ามแดน ปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ระหว่าง จ.นราธิวาส กับรัฐกลันตัน ที่พบปัญหาชาวไทยและมาเลเซียใช้ช่องทางธรรมชาติเข้า-ออกผ่านแม่น้ำโกลก โดยไม่ใช้หนังสือเดินทางหรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ไปถึงการจับกุมยาเสพติด อาวุธปืน สินค้าผิดกฎหมาย ทำให้นับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป ทางการมาเลเซียประกาศให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ต้องเข้า-ออกพรมแดนผ่านทางช่องทางที่ถูกต้องเท่านั้น กองกำลังปฏิบัติการทั่วไป (GOF) หรือ ตชด.มาเลเซีย ติดป้ายเตือนริมแม่น้ำโกลกที่ท่าเรือข้ามแม่น้ำผิดกฎหมายหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อเตือนประชาชนไม่ให้ข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย โดยระบุว่า "บุคคลใดก็ตามที่เข้าออกจากชายแดนมาเลเซียและประเทศไทยผ่านช่องทางที่ไม่ได้รับอนุญาต จะถูกจับกุมดำเนินคดีตามมาตรา 5 (2) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมืองมาเลเซีย 1959/1963 มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ" นายไซฟุดดิน นาซูติออน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย ยืนยันว่ามีทางเข้า-ออกรัฐกลันตันและไทยอย่างเป็นทางการเพียง 3 จุดเท่านั้น ได้แก่ ศูนย์ ICQS รันเตาปันจัง (ตรงข้ามด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส) ด่านบูกิตบุหงา (ตรงข้ามด่านศุลกากรบูเก๊ะตา อ.แว้ง) และด่านเป็งกาลันกูโบ (ตรงข้ามด่านตากใบ อ.ตากใบ) นอกนั้นเป็นช่องทางผิดกฎหมาย ขณะที่ดาโต๊ะ โมฮ้มหมัด ซูซอฟ มามัต ผู้บัญชาการตำรวจรัฐกลันตัน ระบุว่า ได้กำชับตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกนาย จับกุมชาวมาเลเซียที่มาจากไทยโดยใช้ช่องทางผิดกฎหมาย พร้อมเตือนทุกคนที่ต้องการเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายว่าจะจับกุมตลอดเวลา เช่นเดียวกับคนไทยที่เข้าประเทศมาเลเซียอย่างผิดกฎหมายก็จะถูกจับกุมเช่นกัน ที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าการเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งยังลักลอบขนยาเสพติด อาวุธปืนพก และสินค้าหนีภาษีอย่างเสรี ย้ำว่าจำเป็นต้องเข้าประเทศผ่านศูนย์ ICQS เพื่อช่วยลดปัญหาการลักลอบเข้าเมือง เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบยานพาหนะและควบคุมการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีได้ ส่วนการควบคุมความปลอดภัยตามแนวชายแดนจะมีความเข้มงวดมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง มาตรการเข้มงวดในการข้ามแดนของทางการมาเลเซีย ส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรมพบว่าผู้เข้าพักช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ลดลงจากเดิม 100-200 ห้องเหลือ 15-20 ห้องต่อคืน ขณะที่มาตรการของทางการมาเลเซีย ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศวิตกกังวล ไม่กล้าเข้า-ออกประเทศ อาจทำให้เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว งานบริการในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก #Newskit
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 439 Views 0 Reviews
  • บึ้มขวางกวนอิมเทพา ทำลายพหุวัฒนธรรม

    6 โมงเช้า วันที่ 20 พ.ย. คนร้ายลอบวางระเบิดใส่แคมป์คนงานก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม บ้านปากบางสะกอม หมู่ 1 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ต่อมาเวลา 10.30 น และ 10.40 น. เกิดระเบิดลูกที่ 3 และลูกที่4 บริเวณเส้นทางเข้าที่เกิดเหตุห่างจากที่เกิดเหตุจุดแรกประมาณ 400 เมตร แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทยและเมียนมา ระบุว่า "ถ้าใครที่ทำงานในโครงการนี้ที่นี่และในสามจังหวัดชายแดนใต้ เราขอเตือนจงหยุด ไม่งั้นเราจะไม่รับรองชีวิตของท่าน"

    พ.อ.ปองพล สุทธิเบญจกุล รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามทำลายรูปเคารพทางศาสนา ซึ่งเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของความเป็นพหุวัฒนธรรม พยายามสร้างสังคมเชิงเดี่ยวที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักของศาสนาอันดีงาม เชื่อว่าพยายามหยิบความขัดแย้งทางศาสนามาเป็นปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ แต่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย แกนนำคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่าไม่ใช่การวางระเบิดแบบปกติ ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่พยายามคัดค้านการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมฯ แต่ก็แผ่วลง และเห็นว่าเป็นสิทธิ์ของนายทุน กระทั่งเริ่มลงเสาขนาดใหญ่ในพื้นที่

    เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และครอบครัว ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกเจดีย์สัมฤทธิ์ผลคุ้มลูกกันภัย ณ สถานที่ก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. หรือ 6 วันก่อนเกิดเหตุ โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และได้เชิญพระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส แสดงธรรมเทศนา โดยยืนยันว่าจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามตามธรรมชาติ หาดสวย ทะเลน้ำใส มีเสน่ห์เฉพาะตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

    สำหรับโครงการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เกิดขึ้นเมื่อปี 2565 โดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อที่ดิน 65 ไร่ เพื่อก่อสร้าง เช่นเดียวกับเจ้าแม่กวนอิมในต่างประเทศ แต่ต่อมาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลานำชาวมุสลิมกว่า 4,000 คน ละหมาดฮายัตเพื่อคัดค้านการก่อสร้าง อ้างว่ามีโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะอยู่เบื้องหลัง และอ้างว่าล้อมรอบด้วยชุมชนชาวมุสลิม ทั้งที่ความจริงที่ดินอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก ส่วนใหญ่เป็นรีสอร์ต สวนยางพารา และสวนมะพร้าวเท่านั้น

    #Newskit #เจ้าแม่กวนอิม #เทพา
    บึ้มขวางกวนอิมเทพา ทำลายพหุวัฒนธรรม 6 โมงเช้า วันที่ 20 พ.ย. คนร้ายลอบวางระเบิดใส่แคมป์คนงานก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม บ้านปากบางสะกอม หมู่ 1 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ต่อมาเวลา 10.30 น และ 10.40 น. เกิดระเบิดลูกที่ 3 และลูกที่4 บริเวณเส้นทางเข้าที่เกิดเหตุห่างจากที่เกิดเหตุจุดแรกประมาณ 400 เมตร แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทยและเมียนมา ระบุว่า "ถ้าใครที่ทำงานในโครงการนี้ที่นี่และในสามจังหวัดชายแดนใต้ เราขอเตือนจงหยุด ไม่งั้นเราจะไม่รับรองชีวิตของท่าน" พ.อ.ปองพล สุทธิเบญจกุล รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามทำลายรูปเคารพทางศาสนา ซึ่งเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของความเป็นพหุวัฒนธรรม พยายามสร้างสังคมเชิงเดี่ยวที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักของศาสนาอันดีงาม เชื่อว่าพยายามหยิบความขัดแย้งทางศาสนามาเป็นปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ แต่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย แกนนำคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่าไม่ใช่การวางระเบิดแบบปกติ ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่พยายามคัดค้านการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมฯ แต่ก็แผ่วลง และเห็นว่าเป็นสิทธิ์ของนายทุน กระทั่งเริ่มลงเสาขนาดใหญ่ในพื้นที่ เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และครอบครัว ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกเจดีย์สัมฤทธิ์ผลคุ้มลูกกันภัย ณ สถานที่ก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. หรือ 6 วันก่อนเกิดเหตุ โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และได้เชิญพระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส แสดงธรรมเทศนา โดยยืนยันว่าจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามตามธรรมชาติ หาดสวย ทะเลน้ำใส มีเสน่ห์เฉพาะตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สำหรับโครงการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เกิดขึ้นเมื่อปี 2565 โดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อที่ดิน 65 ไร่ เพื่อก่อสร้าง เช่นเดียวกับเจ้าแม่กวนอิมในต่างประเทศ แต่ต่อมาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลานำชาวมุสลิมกว่า 4,000 คน ละหมาดฮายัตเพื่อคัดค้านการก่อสร้าง อ้างว่ามีโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะอยู่เบื้องหลัง และอ้างว่าล้อมรอบด้วยชุมชนชาวมุสลิม ทั้งที่ความจริงที่ดินอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก ส่วนใหญ่เป็นรีสอร์ต สวนยางพารา และสวนมะพร้าวเท่านั้น #Newskit #เจ้าแม่กวนอิม #เทพา
    Like
    Sad
    4
    1 Comments 0 Shares 543 Views 0 Reviews
  • ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win

    CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย

    ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน

    เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50%

    ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง

    เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น

    ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

    #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    ชาจีน CHAGEE ฉาว ทุจริตรางวัล Tear & Win CHAGEE (ชาจี) ร้านเครื่องดื่มชาจีนระดับพรีเมียมที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีสาขาในบางประเทศ หนึ่งในนั้นคือมาเลเซีย กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 7 ปี จัดโปรโมชัน Tear & Win ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. เมื่อลูกค้าซื้อชาอู่หลงพีชขาวแก้วใหญ่ หรือชานมมะลิแก้วใหญ่ แกะตามรอยปรุที่กระดาษครอบแก้วเครื่องดื่มเพื่อลุ้นรับรางวัลทั้งแมคบุ๊ก ไอแพด ไอโฟน แอปเปิ้ลวอตซ์ สินค้าลักชัวรีอย่างกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติก น้ำหอม และของรางวัลอีกมากมาย ปรากฎว่ามีชาวเน็ตมาเลเซียรายหนึ่ง ถ่ายวีดีโอคลิปขณะที่พนักงานร้านรายหนึ่ง กำลังแยกแก้วโดยการเขย่ากระดาษครอบแก้ว เพื่อดูว่ามีสิ่งของอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นของรางวัลชิ้นเล็ก เช่น ลิปสติก น้ำหอม ฯลฯ หรือไม่ และถอดกระดาษครอบแก้วออกจากแก้วเครื่องดื่มเพื่อส่องดูคูปองว่าเป็นรางวัลอะไร ก่อนจะนำแก้วที่คัดแยกแล้วไปไว้ด้านหลังร้าน เมื่อมีการโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์ม X ชื่อ naquib กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ได้รับของรางวัลมูลค่าสูงมีแต่อินฟลูเอนเซอร์ และคาดว่าอาจมีแต่ครอบครัวและเพื่อนพนักงานเท่านั้นที่ได้รับรางวัล ส่วนลูกค้าตัวจริงที่รอคิวนานเป็นชั่วโมงกลับได้รางวัลมูลค่าต่ำที่สุด เช่น คูปองซื้อ 1 แถม 1 คูปองฟรีชาผลไม้ 1 แก้ว หรือคูปองส่วนลด 50% ต่อมาบริษัทชาจี มาเลเซีย ทักเข้ามาในกล่องข้อความของ naquib ร้องขอให้ลบวีดีโอคลิปดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อ้างว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ทำให้จำต้องลบวีดีโอคลิปทิ้ง แต่ไม่พ้นชาวเน็ตมาเลเซียคนอื่นๆ ก็อปปี้แล้วอัปโหลดวีดีโอคลิปนี้ต่อ มองว่าการที่ชาจี มาเลเซียข่มขู่ให้ลบคลิปไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เมื่อกระแสคว่ำบาตรชาจีในมาเลเซียเริ่มเกิดขึ้น ในที่สุด ชาจี มาเลเซีย ก็ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ขออภัยสำหรับความผิดหวังหรือความกังวลที่เกิดจากวีดีโอดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์เชิงลบกับทางร้าน ขณะนี้กำลังสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม อีกทั้งตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 ทางร้านจะเปลี่ยนจากสินค้าจริงเป็นสลิปรหัส QR เพื่อดูผลการจับสลากรางวัลได้อย่างสะดวกและราบรื่น ขณะเดียวกัน มีลูกค้าเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรม @my.chagee ว่า แม้จะเปลี่ยนเป็นรหัส QR ปัญหาเดียวกันจะยังคงเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสามารถเข้าถึงคูปองได้โดยการถอดแก้วออก แล้วแอบสแกน QR ได้เหมือนกัน พร้อมเสนอว่าให้ลองปิดผนึกแก้วแทน หรือทำเป็นสติกเกอร์ ทำเป็นขูดแก้วแล้วรับรางวัลจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า #Newskit #Chagee #CHAGEEMY
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 466 Views 0 Reviews
  • ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน

    สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

    เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

    ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว

    เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

    กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา

    อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

    ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้

    #Newskit
    ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้ #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ

    การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้

    เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม

    นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย

    ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน

    นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย

    ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ

    ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล

    นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ

    #Newskit
    สกัดกั้นอาชญากรรม สองสัญชาติไทย-มาเลย์ฯ การก่อเหตุอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งทางการไทยจับกุม 6 ผู้ต้องหาชาวมาเลเซียพร้อมยาบ้า 6,000 เม็ด หรือทางการมาเลเซียจับกุมและสกัดกั้นน้ำตาลทราย 13,000 กิโลกรัม น้ำมันพืช 300 กล่อง ลักลอบขนไปยังประเทศไทย ทำให้ทางการไทยและมาเลเซียต่างหาทางป้องกันอาชญากรรมเหล่านี้ เริ่มจากปัญหาการลักลอบข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ผ่านแม่น้ำโกลก รัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตันประกาศว่า จะเสนอรัฐบาลกลางมาเลเซีย ก่อสร้างกำแพงยาวประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและปัญหาน้ำท่วม นายโมฮัมเหม็ด ฟาดซิล ฮัสซัน รองมุขมนตรีรัฐกลันตัน กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นจะให้ความร่วมมือรัฐบาลกลางหารือเรื่องนี้ เพราะพรมแดนระหว่างรัฐกลันตันกับไทยเป็นพรมแดนของประเทศ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง การสร้างกำแพงนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเมืองชายแดน เช่น รันเตาปันจัง และเปงกาลันกุบอร์ด้วย ด้าน ตันศรี ราซารุดดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียที่วางแผนเดินทางไปยังสุไหงโก-ลก ประเทศไทย ให้ใช้จุดเข้า-ออกที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แม้การที่ชาวมาเลเซียใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นการเปิดช่องให้เกิดการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีและการก่ออาชญากรรมข้ามแดน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซียอาจมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนไทย กับบัตร MyKad ของมาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการถือสองสัญชาติ เมื่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไล่ล่า ผู้ต้องสงสัยมักจะหลบหนีไปยังมาเลเซียหรือไทย ทำให้นายไซฟุดดิน นาซูเตียน อิสมาอิล รมว.มหาดไทยมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขอรายชื่อจากทางการไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมทะเบียนราษฎร์ (NRD) หลังจากตำรวจไทยระบุว่าอาชญากรข้ามแดนอาจมีบัตรประจำตัวประชาชนหรือการถือสองสัญชาติ ยืนยันว่ามาเลเซียไม่รับรองบุคคลที่มีสองสัญชาติ ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย แลกเปลี่ยนข้อมูลบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม อำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้งสองประเทศ และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูล หากทางการไทยส่งรายชื่อมา จะตรวจสอบกับฐานข้อมูล NRD เพื่อยืนยันสถานะบุคคล นอกจากนี้ ในประเทศไทยได้แสดงใบหน้าบุคคลที่ต้องการตัวเพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสจับกุม ดังนั้นตำรวจมาเลเซียและไทยจึงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจัดการผู้ต้องสงสัยเป็นที่ต้องการตัวของทั้งสองประเทศ #Newskit
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 394 Views 0 Reviews
  • แจ้งเพื่อทราบ Newskit งดตีพิมพ์ วันเสาร์ที่ 16 และ วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ขออภัยในความไม่สะดวก
    แจ้งเพื่อทราบ Newskit งดตีพิมพ์ วันเสาร์ที่ 16 และ วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ขออภัยในความไม่สะดวก
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • อาหารไทยเฉิดฉาย มิชลินไกด์มาเลย์ฯ

    การประกาศรางวัลร้านอาหารมิชลินไกด์ กัวลาลัมเปอร์และปีนัง ปี 2025 (MICHELIN Guide Kuala Lumpur & Penang 2025) ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2567 มีร้านอาหารในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรัฐปีนังได้รับการคัดเลือก 143 แห่ง โดยมี 25 แห่ง ได้รับการคัดเลือกเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดตัวร้านที่ได้รับรางวัล Green Star หรือรางวัลดาวมิชลินรักษ์โลกแห่งแรกในประเทศมาเลเซีย คือ ร้านเดวากาน (Dewakan) ที่นอกจากจะรักษารางวัลมิชลิน 2 ดาวด้วยเมนูอาหารที่โดดเด่นแล้ว ยังพยายามจัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่นและใช้เป็นส่วนผสมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเสริมรสชาติแบบดั้งเดิมของมาเลเซีย วัตถุดิบส่วนเกินยังนำไปหมักเป็นซอสโฮมเมดเพื่อลดขยะ ถือเป็นแรงบันดาลใจให้ร้านอาหารอื่นนำแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้

    ร้านใหม่ 2 แห่งได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ได้แก่ ชิมบายเชฟหนุ่ม (Chim By Chef Noom) ร้านอาหารไทยร่วมสมัย สืบทอดอาหารไทยดั้งเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนเมนูที่สร้างสรรค์และการจัดจานอย่างมีสไตล์ อีกทั้งเชฟอัซมี อาหมัด กามาล ยังได้รับรางวัล Service Award อีกรางวัลหนึ่ง ส่วนอีกร้านหนึ่งคือ โมลินา (Molina) ที่มีเมนูสร้างสรรค์ที่ผสมผสานเทคนิคแบบฝรั่งเศส กลิ่นอายแบบนอร์ดิก และกลิ่นอายแบบเอเชียอย่างลงตัว โดยเชฟกีโยม เดอปูร์แตร์ ได้รับรางวัล Opening of the Year Award

    รางวัลบิบกรูมองด์ (Bib Gourmand) ร้านอาหารอร่อยและราคาสมเหตุสมผล มีร้านใหม่ 12 แห่ง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ 5 แห่ง และปีนัง 7 แห่ง หนึ่งในนั้นคือร้าน BM Yam Rice ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม ที่เลื่อนระดับขึ้นจาก MICHELIN Selected เมนูเด่นคือซุปหมูและเครื่องในหมูรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวแยมไรซ์ (Yam Rice) เป็นหนึ่งในร้านอาหารราคาจับต้องได้ที่โดดเด่นที่สุดในมาเลเซีย ส่วนร้านอาหารหมวดหมู่ MICHELIN Selected มีร้านใหม่เพิ่มเติม 10 ร้าน รวมเป็น 80 ร้าน

    สำหรับร้านชิมบายเชฟหนุ่ม ตั้งอยู่ในอาคาร TSLAW Tower ย่านตุน ราซัก เอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange) เจ้าของร้านคือเชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ แห่งร้านชิมบายสยามวิสดอม (Chim by Siam Wisdom) ย่านสามเสน กรุงเทพฯ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากญี่ปุ่น ร่วมกับเครื่องเทศ ผลไม้ และผักในท้องถิ่น เมนูเด่นของร้านคือ The Lost Recipe ต้มยำสูตรโบราณกว่า 200 ปี ที่มีรสชาติกลมกล่อมลงตัว

    อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมีการจัดทำคู่มือมิชลินไกด์แล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์เริ่มจากฉบับปี 2016 ประเทศไทยเริ่มจากฉบับปี 2018 มาเลเซียและและเวียดนาม เริ่มจากฉบับปี 2023

    #Newskit #MICHELINGuideMY #ChimbyChefNoom
    อาหารไทยเฉิดฉาย มิชลินไกด์มาเลย์ฯ การประกาศรางวัลร้านอาหารมิชลินไกด์ กัวลาลัมเปอร์และปีนัง ปี 2025 (MICHELIN Guide Kuala Lumpur & Penang 2025) ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2567 มีร้านอาหารในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรัฐปีนังได้รับการคัดเลือก 143 แห่ง โดยมี 25 แห่ง ได้รับการคัดเลือกเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดตัวร้านที่ได้รับรางวัล Green Star หรือรางวัลดาวมิชลินรักษ์โลกแห่งแรกในประเทศมาเลเซีย คือ ร้านเดวากาน (Dewakan) ที่นอกจากจะรักษารางวัลมิชลิน 2 ดาวด้วยเมนูอาหารที่โดดเด่นแล้ว ยังพยายามจัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่นและใช้เป็นส่วนผสมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเสริมรสชาติแบบดั้งเดิมของมาเลเซีย วัตถุดิบส่วนเกินยังนำไปหมักเป็นซอสโฮมเมดเพื่อลดขยะ ถือเป็นแรงบันดาลใจให้ร้านอาหารอื่นนำแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ร้านใหม่ 2 แห่งได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ได้แก่ ชิมบายเชฟหนุ่ม (Chim By Chef Noom) ร้านอาหารไทยร่วมสมัย สืบทอดอาหารไทยดั้งเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนเมนูที่สร้างสรรค์และการจัดจานอย่างมีสไตล์ อีกทั้งเชฟอัซมี อาหมัด กามาล ยังได้รับรางวัล Service Award อีกรางวัลหนึ่ง ส่วนอีกร้านหนึ่งคือ โมลินา (Molina) ที่มีเมนูสร้างสรรค์ที่ผสมผสานเทคนิคแบบฝรั่งเศส กลิ่นอายแบบนอร์ดิก และกลิ่นอายแบบเอเชียอย่างลงตัว โดยเชฟกีโยม เดอปูร์แตร์ ได้รับรางวัล Opening of the Year Award รางวัลบิบกรูมองด์ (Bib Gourmand) ร้านอาหารอร่อยและราคาสมเหตุสมผล มีร้านใหม่ 12 แห่ง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ 5 แห่ง และปีนัง 7 แห่ง หนึ่งในนั้นคือร้าน BM Yam Rice ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม ที่เลื่อนระดับขึ้นจาก MICHELIN Selected เมนูเด่นคือซุปหมูและเครื่องในหมูรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวแยมไรซ์ (Yam Rice) เป็นหนึ่งในร้านอาหารราคาจับต้องได้ที่โดดเด่นที่สุดในมาเลเซีย ส่วนร้านอาหารหมวดหมู่ MICHELIN Selected มีร้านใหม่เพิ่มเติม 10 ร้าน รวมเป็น 80 ร้าน สำหรับร้านชิมบายเชฟหนุ่ม ตั้งอยู่ในอาคาร TSLAW Tower ย่านตุน ราซัก เอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange) เจ้าของร้านคือเชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ แห่งร้านชิมบายสยามวิสดอม (Chim by Siam Wisdom) ย่านสามเสน กรุงเทพฯ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากญี่ปุ่น ร่วมกับเครื่องเทศ ผลไม้ และผักในท้องถิ่น เมนูเด่นของร้านคือ The Lost Recipe ต้มยำสูตรโบราณกว่า 200 ปี ที่มีรสชาติกลมกล่อมลงตัว อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมีการจัดทำคู่มือมิชลินไกด์แล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์เริ่มจากฉบับปี 2016 ประเทศไทยเริ่มจากฉบับปี 2018 มาเลเซียและและเวียดนาม เริ่มจากฉบับปี 2023 #Newskit #MICHELINGuideMY #ChimbyChefNoom
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 706 Views 0 Reviews
  • สื่ออังกฤษปลดแอก เลิกใช้แพลตฟอร์ม X

    แม้โซเชียลมีเดียจะทำให้พฤติกรรมการบริโภคสื่อของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป สื่อดั้งเดิมต่างพึ่งพาโซเชียลมีเดียเผยแพร่ผลงาน แต่สำหรับเดอะการ์เดียน (The Guardian) สื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่ยึดมั่นในแนวทางเสรีนิยม ตัดสินใจประกาศเลิกเผยแพร่เนื้อหาข่าวผ่านแพลตฟอร์ม X (หรือ Twitter เดิม) เช่น บัญชีหลัก @guardian มีผู้ติดตามกว่า 10.8 ล้านบัญชี โดยให้เหตุผลว่า จากแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ เน้นย้ำว่า X คือแพลตฟอร์มสื่อที่เป็นพิษ

    "เราอยากให้ผู้อ่านทราบว่า เราจะไม่โพสต์เนื้อหาในบัญชีทางการของ The Guardian บน X อีกต่อไป เราคิดว่าข้อดีของการอยู่ใน X นั้นถูกชดเชยด้วยข้อเสียไปแล้ว และทรัพยากรต่างๆ สามารถนำมาใช้ส่งเสริมการสื่อสารมวลชนของเราในทางอื่นได้ดีกว่า"

    "นี่เป็นสิ่งที่เราพิจารณามาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องมาจากเนื้อหาที่มักจะสร้างความรำคาญใจ ที่ได้รับการส่งเสริมหรือพบเห็นบนแพลตฟอร์ม รวมถึงทฤษฎีสมคบคิดของฝ่ายขวาจัด และการเหยียดเชื้อชาติ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เน้นย้ำถึงสิ่งที่พิจารณามาเป็นเวลานาน นั่นคือ X เป็นแพลตฟอร์มสื่อที่เป็นพิษ และเจ้าของแพลตฟอร์มอย่างอีลอน มัสก์ สามารถใช้อิทธิพลของแพลตฟอร์มนี้เพื่อกำหนดทิศทางทางการเมืองได้"

    เดอะการ์เดียน ยังกล่าวอีกว่า โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรข่าว และช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้ แต่ในขณะนี้ X มีบทบาทน้อยลงในการส่งเสริมผลงาน ข่าวสารต่างๆ สามารถเข้าถึงได้จากเว็บไซต์ อยากให้ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ theguardian.com และสนับสนุนผลงานที่นั่น ซึ่งรูปแบบธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาไวรัลที่ปรับแต่งตามอัลกอริทึม (Algorithm) ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ แต่ได้รับเงินทุนโดยตรงจากผู้อ่าน

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ X ยังสามารถแชร์บทความจากเว็บไซต์ได้ และกองบรรณาธิการจะฝังเนื้อหาจาก X ไว้ในบทความเป็นครั้งคราว รวมทั้งผู้สื่อข่าวสามารถรวบรวมข่าวได้เช่นเดียวกันกับเครือข่ายโซเชียลอื่นๆ ที่องค์กรไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ

    พร้อมกันนี้ ข้อความโฆษณาที่ให้ผู้อ่านสนับสนุนเริ่มต้นที่ 1 ปอนด์ หรือ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ระบุว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ คือ ระบบนิเวศสื่อที่ถูกครอบงำโดยเจ้าของมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางออนไลน์เพื่อปลุกปั่นความไม่ยอมรับผู้อื่น ทีมทนายความจากเหล่าคนรวยและผู้ทรงอิทธิพล พยายามหยุดยั้งไม่ให้เผยแพร่เรื่องราวที่พวกเขาไม่อยากให้ผู้อ่านเห็น กลุ่มล็อบบี้ที่ได้รับเงินทุนไม่โปร่งใส และรัฐเผด็จการที่ไม่คำนึงถึงเสรีภาพของสื่อมวลชน

    #Newskit #X #TheGuardian
    สื่ออังกฤษปลดแอก เลิกใช้แพลตฟอร์ม X แม้โซเชียลมีเดียจะทำให้พฤติกรรมการบริโภคสื่อของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป สื่อดั้งเดิมต่างพึ่งพาโซเชียลมีเดียเผยแพร่ผลงาน แต่สำหรับเดอะการ์เดียน (The Guardian) สื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่ยึดมั่นในแนวทางเสรีนิยม ตัดสินใจประกาศเลิกเผยแพร่เนื้อหาข่าวผ่านแพลตฟอร์ม X (หรือ Twitter เดิม) เช่น บัญชีหลัก @guardian มีผู้ติดตามกว่า 10.8 ล้านบัญชี โดยให้เหตุผลว่า จากแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ เน้นย้ำว่า X คือแพลตฟอร์มสื่อที่เป็นพิษ "เราอยากให้ผู้อ่านทราบว่า เราจะไม่โพสต์เนื้อหาในบัญชีทางการของ The Guardian บน X อีกต่อไป เราคิดว่าข้อดีของการอยู่ใน X นั้นถูกชดเชยด้วยข้อเสียไปแล้ว และทรัพยากรต่างๆ สามารถนำมาใช้ส่งเสริมการสื่อสารมวลชนของเราในทางอื่นได้ดีกว่า" "นี่เป็นสิ่งที่เราพิจารณามาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องมาจากเนื้อหาที่มักจะสร้างความรำคาญใจ ที่ได้รับการส่งเสริมหรือพบเห็นบนแพลตฟอร์ม รวมถึงทฤษฎีสมคบคิดของฝ่ายขวาจัด และการเหยียดเชื้อชาติ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เน้นย้ำถึงสิ่งที่พิจารณามาเป็นเวลานาน นั่นคือ X เป็นแพลตฟอร์มสื่อที่เป็นพิษ และเจ้าของแพลตฟอร์มอย่างอีลอน มัสก์ สามารถใช้อิทธิพลของแพลตฟอร์มนี้เพื่อกำหนดทิศทางทางการเมืองได้" เดอะการ์เดียน ยังกล่าวอีกว่า โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรข่าว และช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้ แต่ในขณะนี้ X มีบทบาทน้อยลงในการส่งเสริมผลงาน ข่าวสารต่างๆ สามารถเข้าถึงได้จากเว็บไซต์ อยากให้ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ theguardian.com และสนับสนุนผลงานที่นั่น ซึ่งรูปแบบธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาไวรัลที่ปรับแต่งตามอัลกอริทึม (Algorithm) ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ แต่ได้รับเงินทุนโดยตรงจากผู้อ่าน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ X ยังสามารถแชร์บทความจากเว็บไซต์ได้ และกองบรรณาธิการจะฝังเนื้อหาจาก X ไว้ในบทความเป็นครั้งคราว รวมทั้งผู้สื่อข่าวสามารถรวบรวมข่าวได้เช่นเดียวกันกับเครือข่ายโซเชียลอื่นๆ ที่องค์กรไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ พร้อมกันนี้ ข้อความโฆษณาที่ให้ผู้อ่านสนับสนุนเริ่มต้นที่ 1 ปอนด์ หรือ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ระบุว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ คือ ระบบนิเวศสื่อที่ถูกครอบงำโดยเจ้าของมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางออนไลน์เพื่อปลุกปั่นความไม่ยอมรับผู้อื่น ทีมทนายความจากเหล่าคนรวยและผู้ทรงอิทธิพล พยายามหยุดยั้งไม่ให้เผยแพร่เรื่องราวที่พวกเขาไม่อยากให้ผู้อ่านเห็น กลุ่มล็อบบี้ที่ได้รับเงินทุนไม่โปร่งใส และรัฐเผด็จการที่ไม่คำนึงถึงเสรีภาพของสื่อมวลชน #Newskit #X #TheGuardian
    Like
    6
    0 Comments 2 Shares 747 Views 0 Reviews
  • คมนาคมทุบโต๊ะ รถเมล์ร้อนหมดไป

    การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการเดินรถโดยสารประจำทางสายที่ 2-38 (สาย 8 เดิม) ที่มีนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นโยบายลดจำนวนรถธรรมดา หรือรถร้อน เปลี่ยนเป็นรถปรับอากาศ หรือรถแอร์ทั้งหมด ภายในปี 2568 คาดหวังว่ารถร้อนจะหายไปจากถนน นายสุรพงษ์กล่าวว่า ต้นทุนของรถร้อนและรถแอร์ไม่ต่างกัน แต่การจัดเก็บค่าโดยสารค่อนข้างสูงเกินไป จึงมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกไปศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมใหม่ โดยเบื้องต้นพบว่า ต้นทุนเฉลี่ยรถแอร์ของเอกชนอยู่ที่ประมาณ 18 บาทต่อคน

    นอกจากนี้ ยังต้องการให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้บริการรถเมล์ของเอกชนได้ เช่นเดียวกับรถเมล์ ขสมก. จึงได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง และเอกชนผู้เดินรถ เชื่อมต่อเข้ากับระบบเคลียร์ริ่งเฮ้าส์ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยืนยันว่าไม่มีใครอยากนั่งรถร้อนแต่อยู่ที่ราคา ประชาชนอยากนั่งรถที่ดีและราคาถูกเท่านั้นเอง ซึ่งรัฐต้องดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างเต็มที่ โดยตัวแทนจากบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ผู้ประกอบการเดินรถ 124 เส้นทาง รับปากว่าไม่เกินต้นปี 2568 จะปรับระบบสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในกรุงเทพฯ ที่มีอยู่ในระบบประมาณ 6-7 แสนคน

    ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ได้รับงบผูกพัน 7 ปี (2568-2575) ในโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน ด้วยวิธีการเช่า ประมูลแบบ e-bidding วงเงิน 15,355 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา ตามแผนงานหากเสนอ ครม.ได้ภายในปีนี้ กระบวนการประมูลแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเริ่มรับมอบได้ภายในเดือน ก.ค. ถึง ส.ค. 2568 ส่วนระยะที่ 2 จำนวน 1,520 คัน จะเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) อยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลังบรรจุลงใน Project Pipeline

    โดยหลักการเบื้องต้น ขสมก.จะให้เอกชนผู้จัดหารถโดยสาร ขสมก.ดำเนินการเรื่องคนขับและบริหารจัดการเอง พร้อมร่วมลงทุนโดยนำพื้นที่อู่จอดรถเมล์บางเขน มาพัฒนาเชิงพาณิชย์ เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ ซึ่งหาก ขสมก. มีรถ EV ใหม่เข้ามาทั้งหมด 3,040 คัน จะช่วยลดภาระค่าเหมาซ่อมจากปีละ 1,700 ล้านบาทเหลือ 1,000 ล้านบาท ลดค่าพลังงานจากปีละ 2,000 ล้านบาทเหลือ 700 ล้านบาท รวมแล้วลดค่าใช้จ่ายได้ 2,500 ล้านบาทต่อปี

    อนึ่ง รายงานประจำปี 2566 ระบุว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีรถโดยสารรวม 2,885 คัน แยกเป็นรถธรรมดา 1,520 คัน และรถปรับอากาศ 1,365 คัน

    #Newskit #ขสมก #รถเมล์แอร์
    คมนาคมทุบโต๊ะ รถเมล์ร้อนหมดไป การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการเดินรถโดยสารประจำทางสายที่ 2-38 (สาย 8 เดิม) ที่มีนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นโยบายลดจำนวนรถธรรมดา หรือรถร้อน เปลี่ยนเป็นรถปรับอากาศ หรือรถแอร์ทั้งหมด ภายในปี 2568 คาดหวังว่ารถร้อนจะหายไปจากถนน นายสุรพงษ์กล่าวว่า ต้นทุนของรถร้อนและรถแอร์ไม่ต่างกัน แต่การจัดเก็บค่าโดยสารค่อนข้างสูงเกินไป จึงมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกไปศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมใหม่ โดยเบื้องต้นพบว่า ต้นทุนเฉลี่ยรถแอร์ของเอกชนอยู่ที่ประมาณ 18 บาทต่อคน นอกจากนี้ ยังต้องการให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้บริการรถเมล์ของเอกชนได้ เช่นเดียวกับรถเมล์ ขสมก. จึงได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง และเอกชนผู้เดินรถ เชื่อมต่อเข้ากับระบบเคลียร์ริ่งเฮ้าส์ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยืนยันว่าไม่มีใครอยากนั่งรถร้อนแต่อยู่ที่ราคา ประชาชนอยากนั่งรถที่ดีและราคาถูกเท่านั้นเอง ซึ่งรัฐต้องดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างเต็มที่ โดยตัวแทนจากบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ผู้ประกอบการเดินรถ 124 เส้นทาง รับปากว่าไม่เกินต้นปี 2568 จะปรับระบบสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในกรุงเทพฯ ที่มีอยู่ในระบบประมาณ 6-7 แสนคน ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ได้รับงบผูกพัน 7 ปี (2568-2575) ในโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน ด้วยวิธีการเช่า ประมูลแบบ e-bidding วงเงิน 15,355 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา ตามแผนงานหากเสนอ ครม.ได้ภายในปีนี้ กระบวนการประมูลแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเริ่มรับมอบได้ภายในเดือน ก.ค. ถึง ส.ค. 2568 ส่วนระยะที่ 2 จำนวน 1,520 คัน จะเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) อยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลังบรรจุลงใน Project Pipeline โดยหลักการเบื้องต้น ขสมก.จะให้เอกชนผู้จัดหารถโดยสาร ขสมก.ดำเนินการเรื่องคนขับและบริหารจัดการเอง พร้อมร่วมลงทุนโดยนำพื้นที่อู่จอดรถเมล์บางเขน มาพัฒนาเชิงพาณิชย์ เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ ซึ่งหาก ขสมก. มีรถ EV ใหม่เข้ามาทั้งหมด 3,040 คัน จะช่วยลดภาระค่าเหมาซ่อมจากปีละ 1,700 ล้านบาทเหลือ 1,000 ล้านบาท ลดค่าพลังงานจากปีละ 2,000 ล้านบาทเหลือ 700 ล้านบาท รวมแล้วลดค่าใช้จ่ายได้ 2,500 ล้านบาทต่อปี อนึ่ง รายงานประจำปี 2566 ระบุว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีรถโดยสารรวม 2,885 คัน แยกเป็นรถธรรมดา 1,520 คัน และรถปรับอากาศ 1,365 คัน #Newskit #ขสมก #รถเมล์แอร์
    Like
    Love
    Angry
    5
    1 Comments 0 Shares 636 Views 0 Reviews
  • ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 674 Views 0 Reviews
  • โรคเลื่อนรถไฟทางคู่ เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู

    โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project) หรือ Gemas-JB EDTP ประเทศมาเลเซีย ระยะทาง 192 กิโลเมตร แม้มีความคืบหน้าการก่อสร้าง แต่การขยายเส้นทางบริการรถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส หรือสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง ถึงสถานีเซกามัส (Segamat) ซึ่งเป็นสถานีแรกของรัฐยะโฮร์ ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นครั้งที่สอง

    เดิมการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) มีแผนที่จะขยายบริการรถไฟ ETS ไปยังสถานีเซกามัสในวันที่ 1 ก.ค. 2567 แต่ต้องเลื่อนออกไป คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2567 แต่แล้วก็เลื่อนออกไปอีก ตามรายงานข่าวของสำนักข่าวเดอะสเตรทไทมส์ของมาเลเซีย ระบุแหล่งข่าวจากรัฐบาลมาเลเซียว่า เกิดจากบริษัท YTL Construction ผู้รับจ้างก่อสร้าง ไม่สามารถดำเนินการด้านเทคนิคของสายจ่ายกระแสไฟฟ้าที่สถานีควบคุมการเดินรถเกนวง (Genuang Operating Station) ส่งผลทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับระบบสายส่งไฟฟ้าเหนือศีรษะได้

    แม้ว่าการวางรางรถไฟช่วงสถานีเกอมัส ถึงรัฐยะโฮร์จะคืบหน้ากว่า 95% แต่งานด้านอื่นที่ยังดำเนินการอยู่ ได้แก่ การทดสอบเดินรถไฟฟ้า โดยที่ผ่านมาโครงการนี้ประสบปัญหาล่าช้ากว่า 3 ปี จากสถานการณ์โควิด 19 และการเวนคืนที่ดิน นอกจากนี้ ยังมีความล่าช้าในการส่งมอบขบวนรถโดยสารรุ่น KTM Class 94 หรือ ETS3 ขนาด 312 ที่นั่ง จำนวน 10 คัน จากบริษัท CRRC Zhuzhou Locomotive ประเทศจีน ซึ่งนายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย คาดว่าขบวนรถจะส่งมอบทั้งหมดภายในวันที่ 12 ส.ค. 2568

    อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือน เม.ย. 2568 และเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 ขณะที่การก่อสร้างสถานี Genuang, Segamat, Labis, Bekok และ Paloh เปิดให้ประชาชนใช้บริการได้แล้ว

    โครงการ Gemas-JB EDTP เริ่มต้นจากสถานีเกอมัส รัฐเนกรีเซมบีลัน เชื่อมกับรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 ถึงสถานีเจบีเซ็นทรัล (JB Sentral) รัฐยะโฮร์ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จาก 7 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง 30 นาที คาดว่าจะให้บริการผู้โดยสารได้ 3,000 คนต่อวัน รวมทั้งยังใกล้กับโครงการรถไฟ RTS Link ไปยังประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการภายในเดือน ม.ค. 2570

    ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้ใช้บริการรถไฟดีเซลราง KTM Intercity เส้นทางระหว่างเกอมัสถึงยะโฮร์บาห์รู จำนวน 63,607 คน

    #Newskit #Gemas #KTMB
    โรคเลื่อนรถไฟทางคู่ เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project) หรือ Gemas-JB EDTP ประเทศมาเลเซีย ระยะทาง 192 กิโลเมตร แม้มีความคืบหน้าการก่อสร้าง แต่การขยายเส้นทางบริการรถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส หรือสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง ถึงสถานีเซกามัส (Segamat) ซึ่งเป็นสถานีแรกของรัฐยะโฮร์ ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นครั้งที่สอง เดิมการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) มีแผนที่จะขยายบริการรถไฟ ETS ไปยังสถานีเซกามัสในวันที่ 1 ก.ค. 2567 แต่ต้องเลื่อนออกไป คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2567 แต่แล้วก็เลื่อนออกไปอีก ตามรายงานข่าวของสำนักข่าวเดอะสเตรทไทมส์ของมาเลเซีย ระบุแหล่งข่าวจากรัฐบาลมาเลเซียว่า เกิดจากบริษัท YTL Construction ผู้รับจ้างก่อสร้าง ไม่สามารถดำเนินการด้านเทคนิคของสายจ่ายกระแสไฟฟ้าที่สถานีควบคุมการเดินรถเกนวง (Genuang Operating Station) ส่งผลทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับระบบสายส่งไฟฟ้าเหนือศีรษะได้ แม้ว่าการวางรางรถไฟช่วงสถานีเกอมัส ถึงรัฐยะโฮร์จะคืบหน้ากว่า 95% แต่งานด้านอื่นที่ยังดำเนินการอยู่ ได้แก่ การทดสอบเดินรถไฟฟ้า โดยที่ผ่านมาโครงการนี้ประสบปัญหาล่าช้ากว่า 3 ปี จากสถานการณ์โควิด 19 และการเวนคืนที่ดิน นอกจากนี้ ยังมีความล่าช้าในการส่งมอบขบวนรถโดยสารรุ่น KTM Class 94 หรือ ETS3 ขนาด 312 ที่นั่ง จำนวน 10 คัน จากบริษัท CRRC Zhuzhou Locomotive ประเทศจีน ซึ่งนายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย คาดว่าขบวนรถจะส่งมอบทั้งหมดภายในวันที่ 12 ส.ค. 2568 อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือน เม.ย. 2568 และเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 ขณะที่การก่อสร้างสถานี Genuang, Segamat, Labis, Bekok และ Paloh เปิดให้ประชาชนใช้บริการได้แล้ว โครงการ Gemas-JB EDTP เริ่มต้นจากสถานีเกอมัส รัฐเนกรีเซมบีลัน เชื่อมกับรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 ถึงสถานีเจบีเซ็นทรัล (JB Sentral) รัฐยะโฮร์ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จาก 7 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง 30 นาที คาดว่าจะให้บริการผู้โดยสารได้ 3,000 คนต่อวัน รวมทั้งยังใกล้กับโครงการรถไฟ RTS Link ไปยังประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการภายในเดือน ม.ค. 2570 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้ใช้บริการรถไฟดีเซลราง KTM Intercity เส้นทางระหว่างเกอมัสถึงยะโฮร์บาห์รู จำนวน 63,607 คน #Newskit #Gemas #KTMB
    Like
    Sad
    5
    0 Comments 0 Shares 595 Views 0 Reviews
  • MONOMAX เรือธง ยิงสดพรีเมียร์ลีก

    การแถลงข่าวเพิ่มเติมของนายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ถึงกรณีที่บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป คิดเป็นเงิน 549 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18,791.88 ล้านบาท ซึ่งเชิญเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์และสื่อมวลชนสายฟุตบอล มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงช่องทางการรับชมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

    นายโสรัชย์ กล่าวว่า ช่องทางการรับชมเบื้องต้นเป็นสตรีมมิงแพลตฟอร์ม MONOMAX โดยมีแนวทางจัดจำหน่ายทุกเครือข่ายและผู้ให้บริการมือถือ เช่น เอไอเอส และทรู เพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด โดยค่าบริการยืนยันว่าไม่แพงกว่าราคาปัจจุบัน และอาจทำให้ต่ำกว่า ไม่ให้เกิน 400 บาทต่อเดือน และมีนโยบายราคาเดียว คุณภาพการถ่ายทอด ภาพคมชัดระดับ Full-HD โดยปรับ Auto bit rate ตามความเร็วของอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์รับสัญญาณ บางคู่อาจถ่ายทอดระดับ 4K

    นอกจากนี้ ยังจะนำการแข่งขันบางคู่ ถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 โดยยืนยันว่าไม่ปิดกั้นทีวีดิจิทัลช่องอื่น ถ้าสนใจก็สามารถเจรจาเป็นช่องพันธมิตรได้ รวมทั้งทรูวิชั่นส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เดิม ในอนาคตถ้าสนใจก็มาเจรจาได้

    ระหว่างการแถลงข่าว นายโสรัชย์ ยังได้นำ MONOMAX PLAY TV STICK อุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ ผ่านอินเทอร์เน็ตระบบแอนดรอยด์มาแสดง ซึ่งใช้เสียบเข้ากับช่อง HDMI ของเครื่องรับโทรทัศน์ และต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไว-ไฟในบ้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่มีกล่องทีวีแอนดรอยด์ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MONOMAX ได้ที่เมนู Google Play Store โดยการสมัครสมาชิก ชำระเงินผ่านบิลโทรศัพท์มือถือรายเดือน พร้อมเพย์ บัตรเครดิตหรือเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล และพาร์ทเนอร์

    ด้านนายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าได้เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2025-2028 โดยได้ยื่นข้อเสนอแข่งขันไปในราคาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากมีผู้ร่วมประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่า จึงได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสำหรับฤดูกาลหน้าไป ซึ่งผลจากการประมูลครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น หรือความพึงพอใจของลูกค้าสมาชิก

    สำหรับสมาชิกทรูวิชั่นส์ ยังคงสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ถึงเดือน พ.ค. 2568 รวมทั้งคอนเทนท์กีฬาฟุตบอลอื่นๆ และฟุตบอลไทยลีก

    #Newskit #Monomax #PremierLeague
    MONOMAX เรือธง ยิงสดพรีเมียร์ลีก การแถลงข่าวเพิ่มเติมของนายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ถึงกรณีที่บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป คิดเป็นเงิน 549 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18,791.88 ล้านบาท ซึ่งเชิญเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์และสื่อมวลชนสายฟุตบอล มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงช่องทางการรับชมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นายโสรัชย์ กล่าวว่า ช่องทางการรับชมเบื้องต้นเป็นสตรีมมิงแพลตฟอร์ม MONOMAX โดยมีแนวทางจัดจำหน่ายทุกเครือข่ายและผู้ให้บริการมือถือ เช่น เอไอเอส และทรู เพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด โดยค่าบริการยืนยันว่าไม่แพงกว่าราคาปัจจุบัน และอาจทำให้ต่ำกว่า ไม่ให้เกิน 400 บาทต่อเดือน และมีนโยบายราคาเดียว คุณภาพการถ่ายทอด ภาพคมชัดระดับ Full-HD โดยปรับ Auto bit rate ตามความเร็วของอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์รับสัญญาณ บางคู่อาจถ่ายทอดระดับ 4K นอกจากนี้ ยังจะนำการแข่งขันบางคู่ ถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 โดยยืนยันว่าไม่ปิดกั้นทีวีดิจิทัลช่องอื่น ถ้าสนใจก็สามารถเจรจาเป็นช่องพันธมิตรได้ รวมทั้งทรูวิชั่นส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เดิม ในอนาคตถ้าสนใจก็มาเจรจาได้ ระหว่างการแถลงข่าว นายโสรัชย์ ยังได้นำ MONOMAX PLAY TV STICK อุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ ผ่านอินเทอร์เน็ตระบบแอนดรอยด์มาแสดง ซึ่งใช้เสียบเข้ากับช่อง HDMI ของเครื่องรับโทรทัศน์ และต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไว-ไฟในบ้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่มีกล่องทีวีแอนดรอยด์ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MONOMAX ได้ที่เมนู Google Play Store โดยการสมัครสมาชิก ชำระเงินผ่านบิลโทรศัพท์มือถือรายเดือน พร้อมเพย์ บัตรเครดิตหรือเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล และพาร์ทเนอร์ ด้านนายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าได้เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2025-2028 โดยได้ยื่นข้อเสนอแข่งขันไปในราคาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากมีผู้ร่วมประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่า จึงได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสำหรับฤดูกาลหน้าไป ซึ่งผลจากการประมูลครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น หรือความพึงพอใจของลูกค้าสมาชิก สำหรับสมาชิกทรูวิชั่นส์ ยังคงสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ถึงเดือน พ.ค. 2568 รวมทั้งคอนเทนท์กีฬาฟุตบอลอื่นๆ และฟุตบอลไทยลีก #Newskit #Monomax #PremierLeague
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 725 Views 0 Reviews
  • JAS เบียดทรู ยิงสดพรีเมียร์ลีก

    คอกีฬาแบบถูกลิขสิทธิ์คงได้ปรับตัวกันอีกครั้ง เมื่อบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ประกาศว่า ได้บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพบนอินเทอร์เน็ตทีวีและดิจิทัลทีวี รวมถึงชุดวีดีโอสั้น (Clips Package) ในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ทั้งหมด 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025/26 ถึง 2030/31 หรือยาวไปถึงปี 2574 ด้วยมูลค่ารวม 559.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 19,167 ล้านบาท นับเป็นการเปลี่ยนมือผู้ถือลิขสิทธิ์อีกครั้ง

    หลังจากที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอยู่คู่กับทรูวิชั่นส์มานาน ตั้งแต่สมัยไอบีซีเคเบิลทีวี ยูทีวี แต่ครั้งหนึ่งเคยตกเป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ในฤดูกาล 2013/14 ถึง 2015/16 แต่ด้วยต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่สูง ยังมีต้นทุนช่องรายการอื่นและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน สุดท้ายไปต่อไม่ไหว ในฤดูกาล 2016/17 ช่องบีอินสปอร์ตของสำนักข่าวอัลจาซีราจึงได้ลิขสิทธิ์ไป 3 ฤดูกาล โดยให้ทรูวิชั่นส์เผยแพร่สัญญาณ กระทั่งฤดูกาล 2022/23 ทรูวิชั่นส์ได้ลิขสิทธิ์ไป 3 ฤดูกาล ยาวไปถึงฤดูกาลล่าสุด 2024/25

    สำหรับกลุ่มจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อตั้งโดยตระกูลโพธารามิก ที่มีนายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ ปัจจุบันมีนายพิชญ์ โพธารามิก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีบริษัทย่อยประกอบธุรกิจอินเทอร์เน็ตทีวี ได้แก่ แจส ทีวี ที่มีกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี 3BB GIGATV มีฐานลูกค้า 600,000 ราย และยังมีบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ประกอบธุรกิจหลักคือทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 ที่เน้นรายการภาพยนตร์และซีรีย์ และ MONOMAX ผู้ให้บริการคอนเทนต์แบบบอกรับสมาชิก

    โดยกลุ่มจัสมินตั้งเป้าหมายถ่ายทอดคอนเทนต์ให้เข้าถึงมากกว่า 25 ล้านครัวเรือนใน 3 ประเทศ ตั้งเป้าสมาชิก 3 ล้านบัญชีในปีแรก จากจำนวนประชากร 96 ล้านคน ซึ่งกลุ่มบริษัทโมโน อาทิ MONOMAX และช่อง MONO29 เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำการตลาดและจัดจำหน่าย โดยมีความพร้อมด้านเงินทุนภายหลังการขายธุรกิจ 3BB ให้กับเอไอเอส (AIS) ซึ่งพบว่าแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ประมาณ 4,678.47 ล้านบาท และกำลังเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง

    ในยุคที่เทคโนโลยี OTT (Over-The-Top) เข้ามามีอิทธิพลแทนโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกแบบเดิม คาดว่ากลุ่มจัสมินจะอาศัยกล่อง 3BB GIGATV เป็นหลัก ส่วนจะขยายไปยังพันธมิตรอย่างเอไอเอส ที่มีฐานลูกค้ามือถือกว่า 45.7 ล้านราย และมีผู้ใช้งานกล่อง AIS PLAYBOX มากกว่า 1 ล้านราย หรือจะถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี นอกจากช่อง MONO29 หรือไม่ ยังเป็นเรื่องของอนาคต

    #Newskit #JAS #PremierLeague
    JAS เบียดทรู ยิงสดพรีเมียร์ลีก คอกีฬาแบบถูกลิขสิทธิ์คงได้ปรับตัวกันอีกครั้ง เมื่อบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ประกาศว่า ได้บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพบนอินเทอร์เน็ตทีวีและดิจิทัลทีวี รวมถึงชุดวีดีโอสั้น (Clips Package) ในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ทั้งหมด 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025/26 ถึง 2030/31 หรือยาวไปถึงปี 2574 ด้วยมูลค่ารวม 559.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 19,167 ล้านบาท นับเป็นการเปลี่ยนมือผู้ถือลิขสิทธิ์อีกครั้ง หลังจากที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอยู่คู่กับทรูวิชั่นส์มานาน ตั้งแต่สมัยไอบีซีเคเบิลทีวี ยูทีวี แต่ครั้งหนึ่งเคยตกเป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ในฤดูกาล 2013/14 ถึง 2015/16 แต่ด้วยต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่สูง ยังมีต้นทุนช่องรายการอื่นและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน สุดท้ายไปต่อไม่ไหว ในฤดูกาล 2016/17 ช่องบีอินสปอร์ตของสำนักข่าวอัลจาซีราจึงได้ลิขสิทธิ์ไป 3 ฤดูกาล โดยให้ทรูวิชั่นส์เผยแพร่สัญญาณ กระทั่งฤดูกาล 2022/23 ทรูวิชั่นส์ได้ลิขสิทธิ์ไป 3 ฤดูกาล ยาวไปถึงฤดูกาลล่าสุด 2024/25 สำหรับกลุ่มจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อตั้งโดยตระกูลโพธารามิก ที่มีนายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ ปัจจุบันมีนายพิชญ์ โพธารามิก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีบริษัทย่อยประกอบธุรกิจอินเทอร์เน็ตทีวี ได้แก่ แจส ทีวี ที่มีกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี 3BB GIGATV มีฐานลูกค้า 600,000 ราย และยังมีบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ประกอบธุรกิจหลักคือทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 ที่เน้นรายการภาพยนตร์และซีรีย์ และ MONOMAX ผู้ให้บริการคอนเทนต์แบบบอกรับสมาชิก โดยกลุ่มจัสมินตั้งเป้าหมายถ่ายทอดคอนเทนต์ให้เข้าถึงมากกว่า 25 ล้านครัวเรือนใน 3 ประเทศ ตั้งเป้าสมาชิก 3 ล้านบัญชีในปีแรก จากจำนวนประชากร 96 ล้านคน ซึ่งกลุ่มบริษัทโมโน อาทิ MONOMAX และช่อง MONO29 เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำการตลาดและจัดจำหน่าย โดยมีความพร้อมด้านเงินทุนภายหลังการขายธุรกิจ 3BB ให้กับเอไอเอส (AIS) ซึ่งพบว่าแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ประมาณ 4,678.47 ล้านบาท และกำลังเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ในยุคที่เทคโนโลยี OTT (Over-The-Top) เข้ามามีอิทธิพลแทนโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกแบบเดิม คาดว่ากลุ่มจัสมินจะอาศัยกล่อง 3BB GIGATV เป็นหลัก ส่วนจะขยายไปยังพันธมิตรอย่างเอไอเอส ที่มีฐานลูกค้ามือถือกว่า 45.7 ล้านราย และมีผู้ใช้งานกล่อง AIS PLAYBOX มากกว่า 1 ล้านราย หรือจะถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี นอกจากช่อง MONO29 หรือไม่ ยังเป็นเรื่องของอนาคต #Newskit #JAS #PremierLeague
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 498 Views 0 Reviews
  • ยาวไปไม่อ่าน ให้มันจบที่ 2,200 ตัวอักษร

    ติดตาม Newskit แบบไม่ถูกปิดกั้นการมองเห็น ที่ Thaitimes
    ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ที่ App Store และ Google Play Store

    #Newskit #Thaitimes
    ยาวไปไม่อ่าน ให้มันจบที่ 2,200 ตัวอักษร ติดตาม Newskit แบบไม่ถูกปิดกั้นการมองเห็น ที่ Thaitimes ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ที่ App Store และ Google Play Store #Newskit #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 427 Views 0 Reviews
  • คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย

    กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท

    และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท

    ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566

    ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ

    #Newskit
    คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ #Newskit
    Like
    9
    0 Comments 1 Shares 579 Views 0 Reviews
  • ประกาศขออภัย.jpg สูตรสำเร็จแก้วิกฤต

    บ่อยครั้งที่เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นกับแบรนด์ อินโฟกราฟิก "ประกาศขออภัย" มักจะถูกนำมาใช้สื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย ตามหลักบริหารจัดการ การสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Management) เมื่อเกิดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร พนักงาน โดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และอาจรวมไปถึงผู้มีส่วนได้เสีย กรณีที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ถือหุ้น

    แต่บ่อยครั้งที่พบว่า ประกาศขออภัยมักจะไม่ระบุข้อความที่เป็นตัวหนังสือ หรือแคปชัน (Caption) กำกับลงไปด้วย แม้จะอ้างได้ว่าเพื่อให้สามารถกระจายได้หลายแพลตฟอร์ม และลดความซ้ำซ้อน แต่การไม่กำกับข้อความ อีกนัยยะหนึ่งคือการไม่พึงปรารถนาที่จะให้ข้อความดังกล่าว ถูกปรากฎและบันทึกเป็นร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) ในอนาคต แม้อาจจะไม่ได้ผลเมื่อมีเทคโนโลยี แปลงภาพเป็นข้อความ และสำนักข่าวต่างๆ นำเนื้อหาประกาศขออภัยไปเผยแพร่ต่อ

    แถลงการณ์จากช่องวัน 31 ขอโทษกรณีความไม่เหมาะสมของฉากที่ใช้แมวร่วมแสดงในซีรีย์แม่หยัว ลงวันที่ 10 พ.ย. 2567 ก็เช่นกัน ระบุแคปชันว่า "แถลงการณ์จากช่องวัน31" แต่เนื้อหาของแถลงการณ์อยู่ในอินโฟกราฟิกทั้งหมด

    ระบุว่า "ตามที่มีกระแสข่าวถึงความไม่เหมาะสมของฉากที่ใช้แมวร่วมแสดง ในซีรีส์ “แม่หยั่ว” จนเกิดความไม่สบายใจของผู้ชมนั้น ช่องวัน 31 ขอชี้แจงว่า ทางเราคํานึงถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัย ของสัตว์เป็นสําคัญ โดยแมวที่นํามาถ่ายทํานั้นมาจากบริษัทโมเดลลิ่งสัตว์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนําสัตว์ร่วมถ่ายทําละครและภาพยนตร์โดยเฉพาะ มากว่า 10 ปี และเป็นเจ้าของแมวตัวดังกล่าว รวมถึงเป็นผู้ดูแลแมวตลอด ระยะเวลาการถ่ายท่าในทุกขั้นตอน

    ช่องวัน 31 รู้สึกเสียใจและขอโทษกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ทําให้ผู้ชม เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจ เราจะนําข้อชี้แนะ ความคิดเห็น กลับไปพิจารณา ในการทํางานร่วมกับสัตว์ และระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ช่องวัน 31 ขอน้อมรับ และขอขอบคุณทุกความคิดเห็นมา ณ ที่นี้"

    ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ "ประกาศขออภัย.jpg" แบบไม่ระบุแคปชัน ที่กลายเป็นสูตรสำเร็จในการจัดการกับภาวะวิกฤต ในหลายองค์กร ซึ่งในสายตาของผู้รับสารอาจตีความได้หลากหลาย ส่วนจะเป็นการขอโทษอย่างจริงใจหรือไม่ ผู้รับสารจะเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ เช่น การตอบสนองต่อเหตุการณ์ในภาวะวิกฤตว่า ใช้เวลาชี้แจงกับสังคมนานเพียงใด ความคืบหน้าในการจัดการกับปัญหาโดยที่ผู้รับสารเห็นภาพ การแก้ไขปัญหาและการป้องกันในอนาคตที่ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญา เป็นต้น

    #Newskit #ประกาศขออภัย
    ประกาศขออภัย.jpg สูตรสำเร็จแก้วิกฤต บ่อยครั้งที่เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นกับแบรนด์ อินโฟกราฟิก "ประกาศขออภัย" มักจะถูกนำมาใช้สื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย ตามหลักบริหารจัดการ การสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Management) เมื่อเกิดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร พนักงาน โดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และอาจรวมไปถึงผู้มีส่วนได้เสีย กรณีที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ถือหุ้น แต่บ่อยครั้งที่พบว่า ประกาศขออภัยมักจะไม่ระบุข้อความที่เป็นตัวหนังสือ หรือแคปชัน (Caption) กำกับลงไปด้วย แม้จะอ้างได้ว่าเพื่อให้สามารถกระจายได้หลายแพลตฟอร์ม และลดความซ้ำซ้อน แต่การไม่กำกับข้อความ อีกนัยยะหนึ่งคือการไม่พึงปรารถนาที่จะให้ข้อความดังกล่าว ถูกปรากฎและบันทึกเป็นร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) ในอนาคต แม้อาจจะไม่ได้ผลเมื่อมีเทคโนโลยี แปลงภาพเป็นข้อความ และสำนักข่าวต่างๆ นำเนื้อหาประกาศขออภัยไปเผยแพร่ต่อ แถลงการณ์จากช่องวัน 31 ขอโทษกรณีความไม่เหมาะสมของฉากที่ใช้แมวร่วมแสดงในซีรีย์แม่หยัว ลงวันที่ 10 พ.ย. 2567 ก็เช่นกัน ระบุแคปชันว่า "แถลงการณ์จากช่องวัน31" แต่เนื้อหาของแถลงการณ์อยู่ในอินโฟกราฟิกทั้งหมด ระบุว่า "ตามที่มีกระแสข่าวถึงความไม่เหมาะสมของฉากที่ใช้แมวร่วมแสดง ในซีรีส์ “แม่หยั่ว” จนเกิดความไม่สบายใจของผู้ชมนั้น ช่องวัน 31 ขอชี้แจงว่า ทางเราคํานึงถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัย ของสัตว์เป็นสําคัญ โดยแมวที่นํามาถ่ายทํานั้นมาจากบริษัทโมเดลลิ่งสัตว์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนําสัตว์ร่วมถ่ายทําละครและภาพยนตร์โดยเฉพาะ มากว่า 10 ปี และเป็นเจ้าของแมวตัวดังกล่าว รวมถึงเป็นผู้ดูแลแมวตลอด ระยะเวลาการถ่ายท่าในทุกขั้นตอน ช่องวัน 31 รู้สึกเสียใจและขอโทษกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ทําให้ผู้ชม เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจ เราจะนําข้อชี้แนะ ความคิดเห็น กลับไปพิจารณา ในการทํางานร่วมกับสัตว์ และระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ช่องวัน 31 ขอน้อมรับ และขอขอบคุณทุกความคิดเห็นมา ณ ที่นี้" ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ "ประกาศขออภัย.jpg" แบบไม่ระบุแคปชัน ที่กลายเป็นสูตรสำเร็จในการจัดการกับภาวะวิกฤต ในหลายองค์กร ซึ่งในสายตาของผู้รับสารอาจตีความได้หลากหลาย ส่วนจะเป็นการขอโทษอย่างจริงใจหรือไม่ ผู้รับสารจะเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ เช่น การตอบสนองต่อเหตุการณ์ในภาวะวิกฤตว่า ใช้เวลาชี้แจงกับสังคมนานเพียงใด ความคืบหน้าในการจัดการกับปัญหาโดยที่ผู้รับสารเห็นภาพ การแก้ไขปัญหาและการป้องกันในอนาคตที่ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญา เป็นต้น #Newskit #ประกาศขออภัย
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 487 Views 0 Reviews
  • โออาร์สเปซ ปั๊มไม่มีน้ำมัน

    จากเดิมที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เป็นผู้บริหารสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และธุรกิจนอยออยล์แขนงต่างๆ ล่าสุดหันมาเอาดีกับการทำคอมมูนิตีมอลล์ที่ชื่อว่า "โออาร์สเปซ" (OR Space) สาขาแรกเปิดเมื่อเดือน ต.ค. ที่ถนนเณรแก้ว จ.สุพรรณบุรี ต่อด้วย รามคำแหง 129 กรุงเทพฯ โดยมีผู้เช่าหลักอย่างเซเว่นอีเลฟเว่น ยูนิโคล่ โรดไซด์สโตร์ มีร้านอาหาร ร้านค้า และร้านในเครือโออาร์ ได้แก่ คาเฟ่อเมซอน พาคามาร่า ฟาวด์แอนด์ฟาวด์ อ๊อตเทริ

    โดยสาขารามคำแหง 129 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ใช้งบลงทุน 39 ล้านบาท มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ ขนาด 6 ช่องจอด ซึ่ง นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า เป็นการต่อยอดเครือข่ายพาร์ตเนอร์ที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน นำมาสู่ศูนย์การค้าแนวใหม่ รวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครอบคลุมทุกความต้องการ ร่วมกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ต้องเข้าออกสะดวก ใกล้บ้าน ปลอดภัย ถือเป็น New S-Curve และมั่นใจว่าที่นี่จะเป็นต้นแบบของแพลตฟอร์มค้าปลีกในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม นายดิษทัต กล่าวว่า อาจจะมีคอมมูนิตีมอลล์แบรนด์คล้ายกันออกมาอีก แต่ด้วยโออาร์ทำเร็วกว่า มีความเข้มแข็ง มีการกระจายความหลากหลาย (Diversify) มีอีโคซิสเตม (Ecosystem) ที่ดี และมีแบรนด์อื่นๆ เดินควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการมีต้นแบบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีการแข่งขัน โดยในปีนี้จะเปิด OR Space เพิ่มอีก 3 แห่ง หนึ่งในนั้นได้แก่ สาขาธรรมศาสตร์ รังสิต และในปี 2568 จะขยายสาขาอีก 10 สาขา โดยใช้ที่ดินขนาดตั้งแต่ 3-5 ไร่ขึ้นไป

    ส่วนการปิดตัวแบรนด์เท็กซัส ชิคเก้น หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ก่อนหน้านี้ นายดิษทัต เปิดเผยว่า ตอนนี้มีแผนสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทน อีกไม่เกิน 3 ถึง 4 เดือน คงได้เห็นแบรนด์ร้านอาหารน้องใหม่แน่นอน

    อย่างไรก็ตาม โออาร์รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าขาดทุนสุทธิ 1,609 ล้านบาท มีรายได้ขายและบริการ 176,131 ล้านบาท ลดลง 7,858 ล้านบาทในทุกกลุ่มธุรกิจ ขณะที่ราคาหุ้นเหลือ 14.50 บาท ต่ำกว่าราคาไอพีโอ 18 บาท เมื่อปี 2564 โดยนอกจากปิดตัวร้านไก่ทอด เท็กซัส ชิคเก้น ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ 442 ล้านบาทแล้ว ยังถอนการลงทุนธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น Kouen, Ono Sushi และแบรนด์อื่นๆ ที่ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อย 25% คิดเป็น 110 ล้านบาท

    อนึ่ง การลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ โดยขนาดพื้นที่ 2 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท 3 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และ 5 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

    #Newskit #OR #ORSpace
    โออาร์สเปซ ปั๊มไม่มีน้ำมัน จากเดิมที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เป็นผู้บริหารสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และธุรกิจนอยออยล์แขนงต่างๆ ล่าสุดหันมาเอาดีกับการทำคอมมูนิตีมอลล์ที่ชื่อว่า "โออาร์สเปซ" (OR Space) สาขาแรกเปิดเมื่อเดือน ต.ค. ที่ถนนเณรแก้ว จ.สุพรรณบุรี ต่อด้วย รามคำแหง 129 กรุงเทพฯ โดยมีผู้เช่าหลักอย่างเซเว่นอีเลฟเว่น ยูนิโคล่ โรดไซด์สโตร์ มีร้านอาหาร ร้านค้า และร้านในเครือโออาร์ ได้แก่ คาเฟ่อเมซอน พาคามาร่า ฟาวด์แอนด์ฟาวด์ อ๊อตเทริ โดยสาขารามคำแหง 129 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ใช้งบลงทุน 39 ล้านบาท มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ ขนาด 6 ช่องจอด ซึ่ง นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า เป็นการต่อยอดเครือข่ายพาร์ตเนอร์ที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน นำมาสู่ศูนย์การค้าแนวใหม่ รวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครอบคลุมทุกความต้องการ ร่วมกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ต้องเข้าออกสะดวก ใกล้บ้าน ปลอดภัย ถือเป็น New S-Curve และมั่นใจว่าที่นี่จะเป็นต้นแบบของแพลตฟอร์มค้าปลีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม นายดิษทัต กล่าวว่า อาจจะมีคอมมูนิตีมอลล์แบรนด์คล้ายกันออกมาอีก แต่ด้วยโออาร์ทำเร็วกว่า มีความเข้มแข็ง มีการกระจายความหลากหลาย (Diversify) มีอีโคซิสเตม (Ecosystem) ที่ดี และมีแบรนด์อื่นๆ เดินควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการมีต้นแบบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีการแข่งขัน โดยในปีนี้จะเปิด OR Space เพิ่มอีก 3 แห่ง หนึ่งในนั้นได้แก่ สาขาธรรมศาสตร์ รังสิต และในปี 2568 จะขยายสาขาอีก 10 สาขา โดยใช้ที่ดินขนาดตั้งแต่ 3-5 ไร่ขึ้นไป ส่วนการปิดตัวแบรนด์เท็กซัส ชิคเก้น หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ก่อนหน้านี้ นายดิษทัต เปิดเผยว่า ตอนนี้มีแผนสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทน อีกไม่เกิน 3 ถึง 4 เดือน คงได้เห็นแบรนด์ร้านอาหารน้องใหม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม โออาร์รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าขาดทุนสุทธิ 1,609 ล้านบาท มีรายได้ขายและบริการ 176,131 ล้านบาท ลดลง 7,858 ล้านบาทในทุกกลุ่มธุรกิจ ขณะที่ราคาหุ้นเหลือ 14.50 บาท ต่ำกว่าราคาไอพีโอ 18 บาท เมื่อปี 2564 โดยนอกจากปิดตัวร้านไก่ทอด เท็กซัส ชิคเก้น ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ 442 ล้านบาทแล้ว ยังถอนการลงทุนธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น Kouen, Ono Sushi และแบรนด์อื่นๆ ที่ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อย 25% คิดเป็น 110 ล้านบาท อนึ่ง การลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ โดยขนาดพื้นที่ 2 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท 3 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และ 5 ไร่ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท #Newskit #OR #ORSpace
    Like
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 516 Views 0 Reviews
  • ภาพยนตร์ 2475 จากหนังสู่การ์ตูน

    แม้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมียอดผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง หลังเผยแพร่ในยูทูบเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 แต่ความตั้งใจที่ต้องการทำให้ผลงานสมบูรณ์แบบมากขึ้น นำมาซึ่งหนังสือการ์ตูนหนา 488 หน้า ปกแข็ง พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม โดยได้จัดงานเปิดตัวที่คลิคเอ็กซ์ สามย่าน ศูนย์การค้าแอมพาร์ค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

    ซัง วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวถึงที่มาของหนังสือการ์ตูนว่า ต้องการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีในภาพยนตร์ ด้วยข้อจำกัดที่หลายฉากไม่ได้ใส่เข้าไป หรือหาทางแก้ไขยาก อีกทั้งเห็นว่าหนังสืออยู่ได้นับร้อยปีในห้องสมุดโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ แม้จะมีผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมาก แต่รายได้จากยูทูบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะเป็นรายได้ให้ผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงาน

    "ระหว่างทำแอนิเมชัน เราเคยคิดเรื่องการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน แต่ภาพยังไม่ค่อยชัดมาก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเอาแอนิเมชันให้จบก่อน พอจบแล้วเสียงตอบรับดี เนื้อหาของเรื่องมันได้ บทที่ใส่ไปในเรื่องมันพร้อมที่จะทำ คิดว่าถ้ามันประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเป็นรายได้ให้กับพวกเราด้วย แต่ผมก็ไม่อยากที่จะให้หนังสือมันแพงมาก ผมต้องการให้หนังสือมีคุณค่า ผมจึงทำเป็นปกแข็งและทำสี่สีทั้งเล่ม"

    หนังสือการ์ตูนดังกล่าวใช้เวลาจัดทำ 4 เดือน ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับการวาดการ์ตูนใหม่ทั้งหมด ฉากไหนไม่สมบูรณ์ก็นำมาวาดเพิ่ม โดยได้ เก่ง สุทธิ บุญมนัส วาดการ์ตูนและวางโครงเรื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัยโดยเฉพาะเด็ก เป็นอีกสื่อการสอนแก่ครูสอนวิชาประวัติศาตร์และสังคมศึกษา ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต

    สิ่งที่ซัง วิวัธน์ภูมิใจมากที่สุด คือ เด็กอ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านแล้วสนุก มีผู้ปกครองรายหนึ่งส่งรูปมาให้ดูว่าลูกชาย ป.5 นั่งอ่านการ์ตูนโดยที่วางไม่ลง รู้สึกหายเหนื่อยในสิ่งที่ทำมาได้ประโยชน์จริง ซึ่งความตั้งใจก็คือทำให้ผลงานมีประโยชน์กับสังคม สามารถคลี่คลายความขัดแย้ง ตั้งใจว่ายังมีหลายเรื่องที่เด็กๆ ควรรู้ว่าบูรพกษัตริย์ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างไร ทำไมประเทศไทยต้องมีสถาบันฯ ถ้าเด็กๆ รู้รากที่มาที่ไป จะเป็นคนที่รากแข็งแรงและหยัดยืนเติบโตได้

    สำหรับหนังสือการ์ตูน 2475 Dawn of Revolution ราคาเล่มละ 555 บาท สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊ก 2475 Dawn of Revolution

    #Newskit #2475animation #24มิถุนา
    ภาพยนตร์ 2475 จากหนังสู่การ์ตูน แม้ว่าภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จะมียอดผู้ชมกว่า 1.2 ล้านครั้ง หลังเผยแพร่ในยูทูบเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 แต่ความตั้งใจที่ต้องการทำให้ผลงานสมบูรณ์แบบมากขึ้น นำมาซึ่งหนังสือการ์ตูนหนา 488 หน้า ปกแข็ง พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม โดยได้จัดงานเปิดตัวที่คลิคเอ็กซ์ สามย่าน ศูนย์การค้าแอมพาร์ค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซัง วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวถึงที่มาของหนังสือการ์ตูนว่า ต้องการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีในภาพยนตร์ ด้วยข้อจำกัดที่หลายฉากไม่ได้ใส่เข้าไป หรือหาทางแก้ไขยาก อีกทั้งเห็นว่าหนังสืออยู่ได้นับร้อยปีในห้องสมุดโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ แม้จะมีผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมาก แต่รายได้จากยูทูบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะเป็นรายได้ให้ผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงาน "ระหว่างทำแอนิเมชัน เราเคยคิดเรื่องการดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน แต่ภาพยังไม่ค่อยชัดมาก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเอาแอนิเมชันให้จบก่อน พอจบแล้วเสียงตอบรับดี เนื้อหาของเรื่องมันได้ บทที่ใส่ไปในเรื่องมันพร้อมที่จะทำ คิดว่าถ้ามันประสบผลสำเร็จ ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเป็นรายได้ให้กับพวกเราด้วย แต่ผมก็ไม่อยากที่จะให้หนังสือมันแพงมาก ผมต้องการให้หนังสือมีคุณค่า ผมจึงทำเป็นปกแข็งและทำสี่สีทั้งเล่ม" หนังสือการ์ตูนดังกล่าวใช้เวลาจัดทำ 4 เดือน ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับการวาดการ์ตูนใหม่ทั้งหมด ฉากไหนไม่สมบูรณ์ก็นำมาวาดเพิ่ม โดยได้ เก่ง สุทธิ บุญมนัส วาดการ์ตูนและวางโครงเรื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัยโดยเฉพาะเด็ก เป็นอีกสื่อการสอนแก่ครูสอนวิชาประวัติศาตร์และสังคมศึกษา ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต สิ่งที่ซัง วิวัธน์ภูมิใจมากที่สุด คือ เด็กอ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านแล้วสนุก มีผู้ปกครองรายหนึ่งส่งรูปมาให้ดูว่าลูกชาย ป.5 นั่งอ่านการ์ตูนโดยที่วางไม่ลง รู้สึกหายเหนื่อยในสิ่งที่ทำมาได้ประโยชน์จริง ซึ่งความตั้งใจก็คือทำให้ผลงานมีประโยชน์กับสังคม สามารถคลี่คลายความขัดแย้ง ตั้งใจว่ายังมีหลายเรื่องที่เด็กๆ ควรรู้ว่าบูรพกษัตริย์ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างไร ทำไมประเทศไทยต้องมีสถาบันฯ ถ้าเด็กๆ รู้รากที่มาที่ไป จะเป็นคนที่รากแข็งแรงและหยัดยืนเติบโตได้ สำหรับหนังสือการ์ตูน 2475 Dawn of Revolution ราคาเล่มละ 555 บาท สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊ก 2475 Dawn of Revolution #Newskit #2475animation #24มิถุนา
    Like
    Love
    16
    0 Comments 3 Shares 647 Views 0 Reviews
  • เบื่อหาดใหญ่ ไปอลอร์สตาร์

    ในขณะที่ชาวมาเลเซียนิยมเข้ามาท่องเที่ยวที่หาดใหญ่ จ.สงขลาอย่างคึกคัก ในทางกลับกันยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวหาดใหญ่ นิยมไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือ อลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเคดะห์ (Kedah) หากขับรถไปเองโดยใช้ทางด่วนเหนือ-ใต้ E1 จากด่านบูกิตกายูฮิตัม ตรงข้าม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร

    แต่ส่วนมากนิยมเดินทางโดยรถไฟ KTM Komuter จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ค่าโดยสาร 5.70 ริงกิตต่อเที่ยว (ประมาณ 45 บาท) หากเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ นิยมจอดรถที่ด่านปาดังเบซาร์ฝั่งไทย ก่อนไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 05.00-21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย กับศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์

    ชาวหาดใหญ่นิยมมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าอะมาน เซ็นทรัล (Aman Central) เนื่องจากมีร้านค้าที่ไม่มีในหาดใหญ่ เช่น ร้าน CHAGEE, ร้าน Krispy Kreme ที่มีโดนัทไซส์เล็ก, ไอศกรีม Llaollao (เหยาเหยา) นอกนั้นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งน้ำหอม สกินแคร์ และวิตามินต่างๆ บางรายการถูกกว่าประเทศไทย

    อะมาน เซ็นทรัล เป็นศูนย์การค้าขนาด 8 ชั้นของกลุ่มเบลล์วิลล์กรุ๊ป เปิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 มีร้านค้าเช่ารวม 420 ร้าน แมกเนตหลักประกอบด้วย โลตัส (Lotus's) ห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน (Parkson) และโรงภาพยนตร์โกลเด้นสกรีนซีนีม่าส์ (GSC)

    ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประกอบด้วย Menara Alor Setar หอโทรคมนาคม สูง 4 ชั้น ยาว 165.5 เมตร (543 ฟุต) อันดับสามในมาเลเซีย เปิดเมื่อปี 2540 ราคาเข้าชมจุดชมวิวเริ่มต้นที่ 8 ริงกิต, มัสยิดซาฮีร์ (Zahir Mosque) ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย นอกนั้นก็จะมี Kedah State Art Gallery หอศิลป์แห่งรัฐเคดาห์ ห่างออกไปจะเป็น Kedah Paddy Museum พิพิธภัณฑ์ข้าว

    เคดะห์เป็นรัฐ 5 อันดับแรกในมาเลเซียที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงสุด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกาะลังกาวี โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6.45 ล้านคน โดยเมืองอลอร์สตาร์มีโรงแรมให้บริการรวม 2,552 ห้อง ส่วนสนามบินอลอร์สตาร์ (AOR) มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 588,771 คน มีเที่ยวบินจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) 23 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สนามบินซูบัง (SZB) 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และสนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

    ล่าสุด สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) ประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ กัวลาลัมเปอร์-อลอร์สตาร์ ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2567 ให้บริการ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

    #Newskit #AlorSetar #Kedah
    เบื่อหาดใหญ่ ไปอลอร์สตาร์ ในขณะที่ชาวมาเลเซียนิยมเข้ามาท่องเที่ยวที่หาดใหญ่ จ.สงขลาอย่างคึกคัก ในทางกลับกันยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวหาดใหญ่ นิยมไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือ อลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเคดะห์ (Kedah) หากขับรถไปเองโดยใช้ทางด่วนเหนือ-ใต้ E1 จากด่านบูกิตกายูฮิตัม ตรงข้าม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร แต่ส่วนมากนิยมเดินทางโดยรถไฟ KTM Komuter จากสถานีปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ค่าโดยสาร 5.70 ริงกิตต่อเที่ยว (ประมาณ 45 บาท) หากเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ นิยมจอดรถที่ด่านปาดังเบซาร์ฝั่งไทย ก่อนไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 05.00-21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย กับศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ชาวหาดใหญ่นิยมมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าอะมาน เซ็นทรัล (Aman Central) เนื่องจากมีร้านค้าที่ไม่มีในหาดใหญ่ เช่น ร้าน CHAGEE, ร้าน Krispy Kreme ที่มีโดนัทไซส์เล็ก, ไอศกรีม Llaollao (เหยาเหยา) นอกนั้นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งน้ำหอม สกินแคร์ และวิตามินต่างๆ บางรายการถูกกว่าประเทศไทย อะมาน เซ็นทรัล เป็นศูนย์การค้าขนาด 8 ชั้นของกลุ่มเบลล์วิลล์กรุ๊ป เปิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 มีร้านค้าเช่ารวม 420 ร้าน แมกเนตหลักประกอบด้วย โลตัส (Lotus's) ห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน (Parkson) และโรงภาพยนตร์โกลเด้นสกรีนซีนีม่าส์ (GSC) ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประกอบด้วย Menara Alor Setar หอโทรคมนาคม สูง 4 ชั้น ยาว 165.5 เมตร (543 ฟุต) อันดับสามในมาเลเซีย เปิดเมื่อปี 2540 ราคาเข้าชมจุดชมวิวเริ่มต้นที่ 8 ริงกิต, มัสยิดซาฮีร์ (Zahir Mosque) ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย นอกนั้นก็จะมี Kedah State Art Gallery หอศิลป์แห่งรัฐเคดาห์ ห่างออกไปจะเป็น Kedah Paddy Museum พิพิธภัณฑ์ข้าว เคดะห์เป็นรัฐ 5 อันดับแรกในมาเลเซียที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงสุด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกาะลังกาวี โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6.45 ล้านคน โดยเมืองอลอร์สตาร์มีโรงแรมให้บริการรวม 2,552 ห้อง ส่วนสนามบินอลอร์สตาร์ (AOR) มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 588,771 คน มีเที่ยวบินจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) 23 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สนามบินซูบัง (SZB) 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และสนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ล่าสุด สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) ประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ กัวลาลัมเปอร์-อลอร์สตาร์ ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2567 ให้บริการ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ #Newskit #AlorSetar #Kedah
    Like
    Love
    9
    1 Comments 0 Shares 581 Views 0 Reviews
  • แอปเปิ้ลสู้กลับ ลงทุนโรงงานในอินโดฯ

    หลังกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ หลังไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% ตามใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ หรือ TKDN ซึ่งพบว่าแอปเปิ้ลเลือกก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม แต่เม็ดเงินลงทุนเพียงแค่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้ากับแอปเปิ้ล คิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท

    ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิ้ลเตรียมเสนอการลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยการลงทุนเกือบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าลงทุนโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา ร่วมกับซัพพลายเออร์รายหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้สามารถจำหน่ายไอโฟน 16 ในประเทศได้ โดยจะผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์เสริมและชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์แอปเปิ้ล โดยแอปเปิ้ลได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ แต่ทั้งแอปเปิ้ลและกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว

    ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย สั่งห้ามจำหน่ายสมาร์ทโฟน กูเกิล พิกเซล (Google Pixel) ที่ผลิตโดย กูเกิล บริษัทลูกของอัลฟาเบต (Alphabet) ด้วยเหตุผลเดียวกับแอปเปิ้ล คือ ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการลงทุนในประเทศ โฆษกกระทรวงฯ ยืนยันว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้ แต่ผู้บริโภคสามารถซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจากต่างประเทศได้ หากชำระภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งในปี 2567 มีสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวนำเข้ามาแล้ว 22,000 เครื่อง

    อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ที่ผ่านมารัฐบาลปราโบโว สุเบียนโต กดดันให้บริษัทต่างชาติเร่งรัดการผลิตในประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจมีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องดูว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้

    #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    แอปเปิ้ลสู้กลับ ลงทุนโรงงานในอินโดฯ หลังกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ หลังไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% ตามใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ หรือ TKDN ซึ่งพบว่าแอปเปิ้ลเลือกก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม แต่เม็ดเงินลงทุนเพียงแค่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้ากับแอปเปิ้ล คิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิ้ลเตรียมเสนอการลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยการลงทุนเกือบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าลงทุนโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา ร่วมกับซัพพลายเออร์รายหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้สามารถจำหน่ายไอโฟน 16 ในประเทศได้ โดยจะผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์เสริมและชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์แอปเปิ้ล โดยแอปเปิ้ลได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ แต่ทั้งแอปเปิ้ลและกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย สั่งห้ามจำหน่ายสมาร์ทโฟน กูเกิล พิกเซล (Google Pixel) ที่ผลิตโดย กูเกิล บริษัทลูกของอัลฟาเบต (Alphabet) ด้วยเหตุผลเดียวกับแอปเปิ้ล คือ ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการลงทุนในประเทศ โฆษกกระทรวงฯ ยืนยันว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้ แต่ผู้บริโภคสามารถซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจากต่างประเทศได้ หากชำระภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งในปี 2567 มีสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวนำเข้ามาแล้ว 22,000 เครื่อง อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ที่ผ่านมารัฐบาลปราโบโว สุเบียนโต กดดันให้บริษัทต่างชาติเร่งรัดการผลิตในประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจมีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องดูว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้ #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    Like
    5
    0 Comments 1 Shares 541 Views 0 Reviews
  • เราจะทรัมป์ตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน

    แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2024 ยังไม่เสร็จสิ้น แต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะ หลังคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมีมากกว่า 270 เสียง เกินกึ่งหนึ่้งจากทั้งหมด 538 คน ทิ้งห่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นับเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนายทรัมป์ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แพ้ให้กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 306 ต่อ 232 เสียง

    นายทรัมป์ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ระบุว่า การได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองจะนำไปสู่ยุคทองของอเมริกา (Golden Age of America) โดยย้ำนโยบายหาเสียงเน้นไปที่การกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะล้มเหลว ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งนายทรัมป์สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาพรมแดน และแก้ไขทุกอย่างที่เกี่ยวกับสหรัฐฯ

    “หากร่วมมือกัน เราจะสามารถทำให้สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง สำหรับชาวอเมริกันทุกคน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง อนาคตของอเมริกาจะยิ่งใหญ่ขึ้น ดีขึ้น กล้าหาญขึ้น ร่ำรวยขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา” นายทรัมป์กล่าวกับผู้สนับสนุน

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีต่อนายทรัมป์ พร้อมทำงานร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า พร้อมดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ได้วางเป้าหมายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการทำธุรกิจแล้ว

    ประเทศในอาเซียน นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ มั่นใจว่าสหรัฐฯ จะเติบโตเป็นผู้นำในระดับโลกต่อไป และยกระดับความร่วมมือกับสิงคโปร์ให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานาธิบดีมาเลเซีย แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ของมาเลเซีย พร้อมก้าวไปข้างหน้าและทำงานร่วมกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นชาติที่มีนักลงทุนใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ช่วยยุติความรุนแรงในปาเลสไตน์และยูเครน

    ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) พร้อมรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ หลังเกิดความกังวลว่าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้มีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว

    #Newskit #USElection2024 #DonaldTrump
    เราจะทรัมป์ตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2024 ยังไม่เสร็จสิ้น แต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะ หลังคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมีมากกว่า 270 เสียง เกินกึ่งหนึ่้งจากทั้งหมด 538 คน ทิ้งห่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นับเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนายทรัมป์ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แพ้ให้กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 306 ต่อ 232 เสียง นายทรัมป์ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ระบุว่า การได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองจะนำไปสู่ยุคทองของอเมริกา (Golden Age of America) โดยย้ำนโยบายหาเสียงเน้นไปที่การกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะล้มเหลว ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งนายทรัมป์สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาพรมแดน และแก้ไขทุกอย่างที่เกี่ยวกับสหรัฐฯ “หากร่วมมือกัน เราจะสามารถทำให้สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง สำหรับชาวอเมริกันทุกคน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง อนาคตของอเมริกาจะยิ่งใหญ่ขึ้น ดีขึ้น กล้าหาญขึ้น ร่ำรวยขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา” นายทรัมป์กล่าวกับผู้สนับสนุน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีต่อนายทรัมป์ พร้อมทำงานร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า พร้อมดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ได้วางเป้าหมายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการทำธุรกิจแล้ว ประเทศในอาเซียน นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ มั่นใจว่าสหรัฐฯ จะเติบโตเป็นผู้นำในระดับโลกต่อไป และยกระดับความร่วมมือกับสิงคโปร์ให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานาธิบดีมาเลเซีย แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ของมาเลเซีย พร้อมก้าวไปข้างหน้าและทำงานร่วมกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นชาติที่มีนักลงทุนใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ช่วยยุติความรุนแรงในปาเลสไตน์และยูเครน ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) พร้อมรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ หลังเกิดความกังวลว่าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้มีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว #Newskit #USElection2024 #DonaldTrump
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 597 Views 0 Reviews
More Results