• 🍋‍🟩Lime Essential oil

    ...น้ำมันหอมระเหย Lime มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น..
    • ช่วยรักษาสุขภาพช่องปาก ดับกลิ่นปาก ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
    • ช่วยเรื่องลดฝ้า ริ้วรอย บรรเทาอาการปวดแสบของแผล และลดอาการติดเชื้อได้
    • ช่วยทำความสะอาดร่างกายและต่อต้านเชื้อโรค
    • ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ เวียนหัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์
    • ช่วยย่อยอาหาร ท้องผูก บรรเทาอาการไอ

    และอีกมากมาย

    ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %...

    #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ#thaitmies
    🍋‍🟩Lime Essential oil ...น้ำมันหอมระเหย Lime มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น.. • ช่วยรักษาสุขภาพช่องปาก ดับกลิ่นปาก ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา • ช่วยเรื่องลดฝ้า ริ้วรอย บรรเทาอาการปวดแสบของแผล และลดอาการติดเชื้อได้ • ช่วยทำความสะอาดร่างกายและต่อต้านเชื้อโรค • ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ เวียนหัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ • ช่วยย่อยอาหาร ท้องผูก บรรเทาอาการไอ และอีกมากมาย ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %... #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ゚ #thaitmies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/lS89y7EeVyg?si=m0hMTdQvGp_HLY35
    ทำไมเรียกว่าแก้มลิงในหลวงรัชกาลที่ 9
    https://youtube.com/shorts/lS89y7EeVyg?si=m0hMTdQvGp_HLY35 ทำไมเรียกว่าแก้มลิงในหลวงรัชกาลที่ 9
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลขู่สนามบินเบรุต ขัดขวางไม่ให้เครื่องบินอิหร่านลงจอด

    เครื่องบินลำดังกล่าวถูกขัดขวางไม่ให้ลงจอด ท่ามกลางปฏิบัติการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ของอิสราเอลโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และเป้าหมายพลเรือนในเขตชานเมืองเบรุตที่อยู่ใกล้เคียง
    .
    Israel threats against Beirut airport prevent Iranian plane from landing

    The plane was prevented from landing amid Israel's massive bombing campaign against Hezbollah and civilian targets in the nearby Beirut suburbs

    https://thecradle.co/articles-id/27061
    .
    7:51 PM · Sep 28, 2024 · 3,029 Views
    https://x.com/TheCradleMedia/status/1840011491480641860
    อิสราเอลขู่สนามบินเบรุต ขัดขวางไม่ให้เครื่องบินอิหร่านลงจอด เครื่องบินลำดังกล่าวถูกขัดขวางไม่ให้ลงจอด ท่ามกลางปฏิบัติการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ของอิสราเอลโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และเป้าหมายพลเรือนในเขตชานเมืองเบรุตที่อยู่ใกล้เคียง . Israel threats against Beirut airport prevent Iranian plane from landing The plane was prevented from landing amid Israel's massive bombing campaign against Hezbollah and civilian targets in the nearby Beirut suburbs https://thecradle.co/articles-id/27061 . 7:51 PM · Sep 28, 2024 · 3,029 Views https://x.com/TheCradleMedia/status/1840011491480641860
    THECRADLE.CO
    Israel threats against Beirut airport prevent Iranian plane from landing
    The plane was prevented from landing amid Israel's massive bombing campaign against Hezbollah and civilian targets in the nearby Beirut suburbs
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉันอาจไม่อยู่ท่ามกลางพวกคุณเป็นเวลานาน ขั้นตอนต่างๆได้ถูกออกแบบขึ้น เพื่อให้เราเตรียมพร้อม
    แม้ว่าเราทุกคนจะต้องพลีชีพ, แม้ว่าบ้านของเราจะพังทลายลงมาเหนือศีรษะเรา, เราก็จะไม่ละทิ้งทางเลือกในการต่อต้านของอิสลาม

    ซัยยิด ฮัสซัน นาสรัลลอฮ์ ในสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายของเขา
    .
    I may not stay among you for a long time. Procedures have been devised so that we are prepared.
    Even if we are all martyred, even if our homes are destroyed over our heads, we will never abandon the option of Islamic resistance.

    Sayyed Hassan Nasrallah in his last speech
    .
    6:47 PM · Sep 28, 2024 · 130.6K Views
    https://x.com/SH_NasrallahEng/status/1839995375090053594
    ฉันอาจไม่อยู่ท่ามกลางพวกคุณเป็นเวลานาน ขั้นตอนต่างๆได้ถูกออกแบบขึ้น เพื่อให้เราเตรียมพร้อม แม้ว่าเราทุกคนจะต้องพลีชีพ, แม้ว่าบ้านของเราจะพังทลายลงมาเหนือศีรษะเรา, เราก็จะไม่ละทิ้งทางเลือกในการต่อต้านของอิสลาม ซัยยิด ฮัสซัน นาสรัลลอฮ์ ในสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายของเขา . I may not stay among you for a long time. Procedures have been devised so that we are prepared. Even if we are all martyred, even if our homes are destroyed over our heads, we will never abandon the option of Islamic resistance. Sayyed Hassan Nasrallah in his last speech . 6:47 PM · Sep 28, 2024 · 130.6K Views https://x.com/SH_NasrallahEng/status/1839995375090053594
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • research & develop
    คิดค้นวิธีขยายเชื้อ #เห็ดเยื่อไผ่ ที่ง่ายและได้ผลดีขึ้น Dictyophora indusiata
    #เห็ดเป็นยา
    research & develop คิดค้นวิธีขยายเชื้อ #เห็ดเยื่อไผ่ ที่ง่ายและได้ผลดีขึ้น Dictyophora indusiata #เห็ดเป็นยา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 65 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/y-zcWiZy0bs?si=q4VPuEVJFhY0FcVM
    https://youtube.com/shorts/y-zcWiZy0bs?si=q4VPuEVJFhY0FcVM
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการสอบ Cambridge International A Level คะแนนรวมสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย รับรางวัล Best Across Awards เป็นรางวัลสูงสุดด้านการศึกษาของระบบการศึกษาประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ยังได้คะแนนสูงสุดของวิชาเคมี Top in Thailand อีก 1 รางวัล จากทาง Cambridge Assessment International Education
    https://youtu.be/Xb-HCMPk48Y?si=4u5ZSbVMdh_rZm7t
    ผลการสอบ Cambridge International A Level คะแนนรวมสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย รับรางวัล Best Across Awards เป็นรางวัลสูงสุดด้านการศึกษาของระบบการศึกษาประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ยังได้คะแนนสูงสุดของวิชาเคมี Top in Thailand อีก 1 รางวัล จากทาง Cambridge Assessment International Education https://youtu.be/Xb-HCMPk48Y?si=4u5ZSbVMdh_rZm7t
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • คลังอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียตามข้อเท็จจริงและตัวเลข

    ประธานาธิบดีปูตินเสนอแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียในสัปดาห์นี้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น, รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากกลยุทธ์สงครามลูกผสมของนาโต้ นี่คือสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับคลังอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียที่ยิงจากพื้นดิน, ทางทะเล และทางอากาศเพื่อป้องกันการรุกราน:

    ◻️ อย่างเป็นทางการ, จำนวนและประเภทของอาวุธนิวเคลียร์ที่รัสเซียครอบครองเป็นความลับของรัฐที่ปกปิดไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม, การประมาณการโดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้, รวมถึงวารสารนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์, สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม, สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน, และข้อมูลที่รวบรวมโดยสื่อของรัสเซีย ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและกระทรวงกลาโหม, ทำให้ทราบถึงศักยภาพของประเทศอย่างคร่าวๆ

    ◻️ รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๑,๗๑๐ หัวที่ติดตั้งในเรือบรรทุกเครื่องบินต่างๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง, โดยมีอีก ๒,๖๗๐ หัวที่อยู่ในคลังเก็บ, และอีก ๑,๒๐๐ หัวที่ปลดระวางและอยู่ระหว่างการรื้อถอน, ทำให้มีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมด ๕,๕๘๐ หัว, ตามข้อมูลของ FAS ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา START ใหม่ปี ๒๐๑๐ ซึ่งถูกระงับไปแล้ว โดยอนุญาตให้มหาอำนาจนิวเคลียร์สามารถเก็บขีปนาวุธและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ติดตั้งแล้ว ๗๐๐ ลูก, หัวรบนิวเคลียร์ที่ติดตั้งแล้ว ๑,๕๕๐ หัว (รวมถึงหัวรบขีปนาวุธที่มีหลายหัวรบ ซึ่งเรียกว่า MIRV) และเครื่องบินทิ้งระเบิด, และเครื่องยิงที่ติดตั้งแล้วและไม่ได้ติดตั้งอีก ๘๐๐ เครื่อง (ในรูปแบบท่อขีปนาวุธ และเครื่องบินทิ้งระเบิด)

    คลังอาวุธยุทธศาสตร์ของรัสเซีย (กล่าวคือ อาวุธนิวเคลียร์ที่มุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลของการก่อการร้ายแบบ "ทำลายล้างซึ่งกันและกัน" ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีหรือในสนามรบ, ซึ่งไม่ได้นำมาพิจารณาที่นี่) สามารถแบ่งแยกได้โดยระบบยิงบนพื้นดิน, เรือดำน้ำ, และเครื่องบิน

    ขีปนาวุธนิวเคลียร์จากภาคพื้นดิน

    ◻️ RS-24 Yars: ขีปนาวุธที่เคลื่อนที่บนถนนหรือติดตั้งในไซโล, โดยแต่ละลูกสามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้ ๓ หัว โดยสามารถยิงได้ ๒๐๐ นอต รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๗๗๒ ลูกสำหรับขีปนาวุธเหล่านี้

    ◻️ Topol-M: ขีปนาวุธที่เคลื่อนที่บนถนน/ติดตั้งในไซโลอีกชนิดหนึ่ง, ซึ่งบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ ๘๐๐ นอตได้ ๑ หัว รัสเซียมี ๗๘ หัวในคลังอาวุธ

    ◻️ R-36M2/RS-20B Voevoda: ICBM จากภาคพื้นดินที่บรรทุกหัวรบได้ ๕๕๐-๗๕๐ นอต โดยบรรจุหัวรบนิวเคลียร์หรือตัวล่อได้ ๑๐ หัว รัสเซียมีขีปนาวุธ Voevodas ๔๖ ลูก พร้อมหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๓๔๐ ลูก

    ◻️ RS-28 Sarmat: ขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดใหม่ที่สามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้มากถึง ๑๖ ลูก โดยแต่ละลูกสามารถยิงได้ ๗๕๐ นอต คาดว่าจะมีขีปนาวุธ Sarmats ทั้งหมด ๔๖ ลูก โดยลูกแรกจะนำไปใช้งานในปี ๒๐๒๓

    ◻️ Avangard: ยานร่อนความเร็วเหนือเสียงที่ยิงจากขีปนาวุธ Voevoda หรือ Sarmat ซึ่งออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันขีปนาวุธ โดยคาดว่าสามารถยิงได้ ๘๐๐ นอตถึง ๒ เมกะตัน ปัจจุบันรัสเซียมีระบบ Avangard อยู่ ๗ ระบบ

    ขีปนาวุธนิวเคลียร์จากทะเล

    ◾️ RSM-56 Bulava: ขีปนาวุธปล่อยใต้พื้นดินนี้เป็นกระดูกสันหลังของส่วนประกอบทางเรือของอาวุธนิวเคลียร์สามชนิดของรัสเซีย ขีปนาวุธแต่ละลูกบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ ๖-๑๐ ลูก โดยสามารถยิงได้ ๑๐๐-๑๕๐ นอต (รวมหัวรบนิวเคลียร์ ๕๗๖ หัว) เรือดำน้ำติดอาวุธ Bulavas ลาดตระเวนในทะเลเหนือ มหาสมุทรแอตแลนติก และแปซิฟิก รอการโจมตีตอบโต้

    ◾️ R-29RMU2 Sineva/R-29RMU2 Layner: SLBM ที่มีหัวรบนิวเคลียร์ ๔x๕๐๐ kt หรือ ๑๐-๑๒x๑๐๐ kt คลังอาวุธทั้งหมดมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๓๒๐ หัว

    การส่งอาวุธนิวเคลียร์จากอากาศ

    🔹 Tu-95MS: เครื่องบินทิ้งระเบิดเทอร์โบพร็อพความเร็วต่ำกว่าเสียงซึ่งบรรทุกขีปนาวุธร่อนนิวเคลียร์ Kh-55 หรือ Kh-102 โดย Kh-55 มีแรงส่ง ๒๐๐-๕๐๐ kt ส่วน Kh-102 มีระยะยิงตั้งแต่ ๒๕๐ kt ถึง ๑ เมกะตัน เครื่องบินทิ้งระเบิดแต่ละลำสามารถบรรทุก Kh-55 ได้สูงสุด ๖ ลูก หรือ Kh-102 ได้สูงสุด ๘ ลูก คลังอาวุธทั้งหมดโดยประมาณ: หัวรบนิวเคลียร์ ๔๔๘ หัว

    🔹 Tu-160: เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ความเร็วเหนือเสียง โดยแต่ละลำสามารถบรรทุกขีปนาวุธร่อน Kh-55/102 ได้สูงสุด ๖ ลูก รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๑๓๒ ลูกที่ประจำการอยู่ในกองเรือทิ้งระเบิดนี้
    .
    RUSSIA’S ARSENAL OF STRATEGIC NUCLEAR WARHEADS IN FACTS AND FIGURES

    President Putin proposed amendments to Russia’s nuclear doctrine this week to account for emerging threats, including risks posed by NATO’s hybrid warfare strategy. Here’s what to know about Russia’s aggression-deterring arsenal of land, sea and air-launched strategic nuclear warheads:

    ◻️ Officially, the number and type of nuclear weapons possessed by Russia are closely-guarded state secret. However, estimates based on respected sources, including the Bulletin of the Atomic Scientists, the Stockholm International Peace Research Institute, the Federation of American Scientists, and information pieced together by Russian media based on official and MoD statements, give a rough idea of the country’s potential.

    ◻️ Russia has an estimated 1,710 warheads deployed in various carriers at any given time, with another 2,670 in storage, and 1,200 more retired and in the process of being dismantled, for a total of 5,580, according to FAS. That’s well within the limits set out by the now-suspended 2010 New START Treaty, which allows the nuclear superpowers to keep 700 deployed missiles and bombers, 1,550 deployed warheads (including missile payloads containing multiple warheads – known as MIRVs) and bombers, and 800 deployed and non-deployed launchers (in missile tube and bomber form).

    Russia’s strategic arsenal (i.e. nuclear weapons aimed at maintaining the ‘mutually assured destruction’ balance of terror, not tactical or battlefield nukes, which are not accounted for here) can be broken down by their ground, submarine and aircraft-based launch systems.

    Ground-Based Nuclear Missiles

    ◻️ RS-24 Yars: Road-mobile or silo-based, each missile carries up to three warheads with a 200-kt yield. Russia has about 772 warheads for these missiles.

    ◻️ Topol-M: Another road-mobile/silo-based missile, it carries a single 800-kt warhead. Russia has 78 in its arsenal.

    ◻️ R-36M2/RS-20B Voevoda: Ground-based ICBM with a 550-750 kt payload, carrying up to 10 warheads or decoys. Russia has 46 Voevodas, with about 340 warheads.

    ◻️ RS-28 Sarmat: New ICBM capable of carrying up to 16 warheads, each with a 750-kt yield. Total of 46 Sarmats expected, with the first deployed in 2023.

    ◻️ Avangard: Hypersonic glide vehicles launched from Voevoda or Sarmat ICBMs, designed to evade missile defenses. Yield estimated between 800 kt and 2 megatons. Russia currently has seven Avangard systems.

    Sea-Based Nuclear Missiles

    ◾️ RSM-56 Bulava: This sub-launched missile is the backbone of the naval component of Russia's nuclear triad. Each missile carries 6-10 warheads with a 100-150 kt yield (576 warheads total). Subs armed with Bulavas patrol the North Sea, the Atlantic and Pacific Oceans, waiting for a counterstrike.

    ◾️ R-29RMU2 Sineva/R-29RMU2 Layner: SLBMs with either 4x500 kt or 10-12x100 kt warheads. Total arsenal includes about 320 warheads.

    Air-Based Nuclear Delivery

    🔹 Tu-95MS: Subsonic turboprop bombers carrying Kh-55 or Kh-102 nuclear cruise missiles. Kh-55s have a 200-500 kt yield, while Kh-102s range from 250 kt to 1 megaton. Each bomber can carry up to six Kh-55s or eight Kh-102s. Estimated total arsenal: 448 warheads.

    🔹 Tu-160: Supersonic strategic bombers, each capable of carrying up to six Kh-55/102 cruise missiles. Russia has around 132 warheads assigned to this bomber fleet.
    .
    Last edited 12:06 AM · Sep 28, 2024 · 7,582 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839713179682910420
    คลังอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียตามข้อเท็จจริงและตัวเลข ประธานาธิบดีปูตินเสนอแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียในสัปดาห์นี้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้น, รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากกลยุทธ์สงครามลูกผสมของนาโต้ นี่คือสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับคลังอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียที่ยิงจากพื้นดิน, ทางทะเล และทางอากาศเพื่อป้องกันการรุกราน: ◻️ อย่างเป็นทางการ, จำนวนและประเภทของอาวุธนิวเคลียร์ที่รัสเซียครอบครองเป็นความลับของรัฐที่ปกปิดไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม, การประมาณการโดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้, รวมถึงวารสารนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์, สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม, สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน, และข้อมูลที่รวบรวมโดยสื่อของรัสเซีย ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและกระทรวงกลาโหม, ทำให้ทราบถึงศักยภาพของประเทศอย่างคร่าวๆ ◻️ รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๑,๗๑๐ หัวที่ติดตั้งในเรือบรรทุกเครื่องบินต่างๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง, โดยมีอีก ๒,๖๗๐ หัวที่อยู่ในคลังเก็บ, และอีก ๑,๒๐๐ หัวที่ปลดระวางและอยู่ระหว่างการรื้อถอน, ทำให้มีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมด ๕,๕๘๐ หัว, ตามข้อมูลของ FAS ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา START ใหม่ปี ๒๐๑๐ ซึ่งถูกระงับไปแล้ว โดยอนุญาตให้มหาอำนาจนิวเคลียร์สามารถเก็บขีปนาวุธและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ติดตั้งแล้ว ๗๐๐ ลูก, หัวรบนิวเคลียร์ที่ติดตั้งแล้ว ๑,๕๕๐ หัว (รวมถึงหัวรบขีปนาวุธที่มีหลายหัวรบ ซึ่งเรียกว่า MIRV) และเครื่องบินทิ้งระเบิด, และเครื่องยิงที่ติดตั้งแล้วและไม่ได้ติดตั้งอีก ๘๐๐ เครื่อง (ในรูปแบบท่อขีปนาวุธ และเครื่องบินทิ้งระเบิด) คลังอาวุธยุทธศาสตร์ของรัสเซีย (กล่าวคือ อาวุธนิวเคลียร์ที่มุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลของการก่อการร้ายแบบ "ทำลายล้างซึ่งกันและกัน" ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีหรือในสนามรบ, ซึ่งไม่ได้นำมาพิจารณาที่นี่) สามารถแบ่งแยกได้โดยระบบยิงบนพื้นดิน, เรือดำน้ำ, และเครื่องบิน ขีปนาวุธนิวเคลียร์จากภาคพื้นดิน ◻️ RS-24 Yars: ขีปนาวุธที่เคลื่อนที่บนถนนหรือติดตั้งในไซโล, โดยแต่ละลูกสามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้ ๓ หัว โดยสามารถยิงได้ ๒๐๐ นอต รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๗๗๒ ลูกสำหรับขีปนาวุธเหล่านี้ ◻️ Topol-M: ขีปนาวุธที่เคลื่อนที่บนถนน/ติดตั้งในไซโลอีกชนิดหนึ่ง, ซึ่งบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ ๘๐๐ นอตได้ ๑ หัว รัสเซียมี ๗๘ หัวในคลังอาวุธ ◻️ R-36M2/RS-20B Voevoda: ICBM จากภาคพื้นดินที่บรรทุกหัวรบได้ ๕๕๐-๗๕๐ นอต โดยบรรจุหัวรบนิวเคลียร์หรือตัวล่อได้ ๑๐ หัว รัสเซียมีขีปนาวุธ Voevodas ๔๖ ลูก พร้อมหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๓๔๐ ลูก ◻️ RS-28 Sarmat: ขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดใหม่ที่สามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้มากถึง ๑๖ ลูก โดยแต่ละลูกสามารถยิงได้ ๗๕๐ นอต คาดว่าจะมีขีปนาวุธ Sarmats ทั้งหมด ๔๖ ลูก โดยลูกแรกจะนำไปใช้งานในปี ๒๐๒๓ ◻️ Avangard: ยานร่อนความเร็วเหนือเสียงที่ยิงจากขีปนาวุธ Voevoda หรือ Sarmat ซึ่งออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันขีปนาวุธ โดยคาดว่าสามารถยิงได้ ๘๐๐ นอตถึง ๒ เมกะตัน ปัจจุบันรัสเซียมีระบบ Avangard อยู่ ๗ ระบบ ขีปนาวุธนิวเคลียร์จากทะเล ◾️ RSM-56 Bulava: ขีปนาวุธปล่อยใต้พื้นดินนี้เป็นกระดูกสันหลังของส่วนประกอบทางเรือของอาวุธนิวเคลียร์สามชนิดของรัสเซีย ขีปนาวุธแต่ละลูกบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ ๖-๑๐ ลูก โดยสามารถยิงได้ ๑๐๐-๑๕๐ นอต (รวมหัวรบนิวเคลียร์ ๕๗๖ หัว) เรือดำน้ำติดอาวุธ Bulavas ลาดตระเวนในทะเลเหนือ มหาสมุทรแอตแลนติก และแปซิฟิก รอการโจมตีตอบโต้ ◾️ R-29RMU2 Sineva/R-29RMU2 Layner: SLBM ที่มีหัวรบนิวเคลียร์ ๔x๕๐๐ kt หรือ ๑๐-๑๒x๑๐๐ kt คลังอาวุธทั้งหมดมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๓๒๐ หัว การส่งอาวุธนิวเคลียร์จากอากาศ 🔹 Tu-95MS: เครื่องบินทิ้งระเบิดเทอร์โบพร็อพความเร็วต่ำกว่าเสียงซึ่งบรรทุกขีปนาวุธร่อนนิวเคลียร์ Kh-55 หรือ Kh-102 โดย Kh-55 มีแรงส่ง ๒๐๐-๕๐๐ kt ส่วน Kh-102 มีระยะยิงตั้งแต่ ๒๕๐ kt ถึง ๑ เมกะตัน เครื่องบินทิ้งระเบิดแต่ละลำสามารถบรรทุก Kh-55 ได้สูงสุด ๖ ลูก หรือ Kh-102 ได้สูงสุด ๘ ลูก คลังอาวุธทั้งหมดโดยประมาณ: หัวรบนิวเคลียร์ ๔๔๘ หัว 🔹 Tu-160: เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ความเร็วเหนือเสียง โดยแต่ละลำสามารถบรรทุกขีปนาวุธร่อน Kh-55/102 ได้สูงสุด ๖ ลูก รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ ๑๓๒ ลูกที่ประจำการอยู่ในกองเรือทิ้งระเบิดนี้ . RUSSIA’S ARSENAL OF STRATEGIC NUCLEAR WARHEADS IN FACTS AND FIGURES President Putin proposed amendments to Russia’s nuclear doctrine this week to account for emerging threats, including risks posed by NATO’s hybrid warfare strategy. Here’s what to know about Russia’s aggression-deterring arsenal of land, sea and air-launched strategic nuclear warheads: ◻️ Officially, the number and type of nuclear weapons possessed by Russia are closely-guarded state secret. However, estimates based on respected sources, including the Bulletin of the Atomic Scientists, the Stockholm International Peace Research Institute, the Federation of American Scientists, and information pieced together by Russian media based on official and MoD statements, give a rough idea of the country’s potential. ◻️ Russia has an estimated 1,710 warheads deployed in various carriers at any given time, with another 2,670 in storage, and 1,200 more retired and in the process of being dismantled, for a total of 5,580, according to FAS. That’s well within the limits set out by the now-suspended 2010 New START Treaty, which allows the nuclear superpowers to keep 700 deployed missiles and bombers, 1,550 deployed warheads (including missile payloads containing multiple warheads – known as MIRVs) and bombers, and 800 deployed and non-deployed launchers (in missile tube and bomber form). Russia’s strategic arsenal (i.e. nuclear weapons aimed at maintaining the ‘mutually assured destruction’ balance of terror, not tactical or battlefield nukes, which are not accounted for here) can be broken down by their ground, submarine and aircraft-based launch systems. Ground-Based Nuclear Missiles ◻️ RS-24 Yars: Road-mobile or silo-based, each missile carries up to three warheads with a 200-kt yield. Russia has about 772 warheads for these missiles. ◻️ Topol-M: Another road-mobile/silo-based missile, it carries a single 800-kt warhead. Russia has 78 in its arsenal. ◻️ R-36M2/RS-20B Voevoda: Ground-based ICBM with a 550-750 kt payload, carrying up to 10 warheads or decoys. Russia has 46 Voevodas, with about 340 warheads. ◻️ RS-28 Sarmat: New ICBM capable of carrying up to 16 warheads, each with a 750-kt yield. Total of 46 Sarmats expected, with the first deployed in 2023. ◻️ Avangard: Hypersonic glide vehicles launched from Voevoda or Sarmat ICBMs, designed to evade missile defenses. Yield estimated between 800 kt and 2 megatons. Russia currently has seven Avangard systems. Sea-Based Nuclear Missiles ◾️ RSM-56 Bulava: This sub-launched missile is the backbone of the naval component of Russia's nuclear triad. Each missile carries 6-10 warheads with a 100-150 kt yield (576 warheads total). Subs armed with Bulavas patrol the North Sea, the Atlantic and Pacific Oceans, waiting for a counterstrike. ◾️ R-29RMU2 Sineva/R-29RMU2 Layner: SLBMs with either 4x500 kt or 10-12x100 kt warheads. Total arsenal includes about 320 warheads. Air-Based Nuclear Delivery 🔹 Tu-95MS: Subsonic turboprop bombers carrying Kh-55 or Kh-102 nuclear cruise missiles. Kh-55s have a 200-500 kt yield, while Kh-102s range from 250 kt to 1 megaton. Each bomber can carry up to six Kh-55s or eight Kh-102s. Estimated total arsenal: 448 warheads. 🔹 Tu-160: Supersonic strategic bombers, each capable of carrying up to six Kh-55/102 cruise missiles. Russia has around 132 warheads assigned to this bomber fleet. . Last edited 12:06 AM · Sep 28, 2024 · 7,582 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839713179682910420
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕

    การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก

    สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น

    นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ

    ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก

    จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣

    วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ
    .
    Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025

    The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg.

    At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year.

    That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated.

    Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West.

    Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home.

    The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border.
    .
    11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕ การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣 วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ . Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025 The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg. At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year. That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated. Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West. Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home. The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border. . 11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะผู้แทนหลายคณะออกจากห้องประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อประท้วงในช่วงเริ่มต้นการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู
    .
    Several delegations left the UN General Assembly hall in protest at the start of Israeli Prime Minister Netanyahu's speech.
    .
    9:24 PM · Sep 27, 2024 · 7,690 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839672522846982338
    คณะผู้แทนหลายคณะออกจากห้องประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อประท้วงในช่วงเริ่มต้นการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู . Several delegations left the UN General Assembly hall in protest at the start of Israeli Prime Minister Netanyahu's speech. . 9:24 PM · Sep 27, 2024 · 7,690 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839672522846982338
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 62 0 รีวิว
  • Tire Pressure Monitoring System #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai ผมเติมลมที่ 35 psi บนจอตรวจวัดได้ตามนี้ ตำแหน่งของล้อไม่ตรงตามจริงแล้วนะครับ สลับยางทุก 1 หมื่นโลไม่ได้สนใจส่าตำแหน่ง sensor ต้องตรงตามหน้าจอแสดงผลลมยาง คิดเสียว่าถ้าลงมาดูลมยางก็จะดูทั้ง 4 ล้อแหละครับ
    Tire Pressure Monitoring System #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai ผมเติมลมที่ 35 psi บนจอตรวจวัดได้ตามนี้ ตำแหน่งของล้อไม่ตรงตามจริงแล้วนะครับ สลับยางทุก 1 หมื่นโลไม่ได้สนใจส่าตำแหน่ง sensor ต้องตรงตามหน้าจอแสดงผลลมยาง คิดเสียว่าถ้าลงมาดูลมยางก็จะดูทั้ง 4 ล้อแหละครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 653 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้

    การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว

    ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว

    น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น

    ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568

    ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้

    ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม

    #Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่าย
    ไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้ การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม #Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่าย
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz
    การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    https://youtu.be/cnHZ46oeFho?si=OeOf4XHQqiSD1eVz การปล่อยวางอย่างแท้จริง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimesข่าวกิจกรรม
    🗓️ Date: วันที่ 29 ก.ย. 67
    🕔 Time: 17.00 - 19.00 น.
    》》กลับมาแล้วงาน
    Yaowarat Swing Dance 2024 Runway Edition!
    》》เนรมิตถนนเยาวราชให้กลายเป็นรันเวย์พรมแดงสุดเก๋! 🔥
    ☆The Hop Bangkok จับมือ ททท. และพันธมิตร ชวนทุกคนมาร้องเล่น เต้นรำใจกลางเยาวราช 💃🏼🕺🏻 พร้อมปูรันเวย์พรมแดงให้ทุกคนหยิบเสื้อผ้าวินเทจสีสันสดใสในยุค 80s 🪩 มาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเพลงแจ๊สจากศิลปินส่งตรงจากเบอร์ลินไปกับวง David Hermlin Trio 🎙️ พร้อมทัพนักเต้นนานาชาติกว่า 20 ประเทศ ที่มาร่วมสร้างสรรค์สีสันกลางรันเวย์เยาวราชให้น่าจดจำไม่รู้ลืม
    💫 ไฮไลท์ภายในงาน
    💃สอนเต้นสวิงแดนซ์ มาเดี่ยวมาคู่มากลุ่มก็สนุกได้
    👗หยิบเสื้อผ้ายุค 80s สีสดใสพร้อมเฉิดฉายบนรันเวย์
    🎶ดื่มด่ำกับวงทรีโอหนุ่มหล่อส่งตรงเบอร์ลิน David Hermlin Trio
    🎉กิจกรรมสนุก ๆ เพียบ
    📣 งานนี้เปิดสาธารณะไม่เสียค่าใช้จ่าย
    📍 Location: หน้าโรงแรมเซี่ยงไฮ้ แมนชั่น กรุงเทพฯ
    ☆ข้อมูลจาก
    ข่าวสารท่องเที่ยว ททท.
    ☆เพจ
    》》
    https://www.facebook.com/share/s29PSCXsb9nvEJhV/?mibextid=qi2Omg
    ■■■■■■■■■■■
    #สวิงไปทุกที่ #Everywhereisrunway #Yaowaratswingdance2024
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    #thaitimesข่าวกิจกรรม 🗓️ Date: วันที่ 29 ก.ย. 67 🕔 Time: 17.00 - 19.00 น. 》》กลับมาแล้วงาน Yaowarat Swing Dance 2024 Runway Edition! 》》เนรมิตถนนเยาวราชให้กลายเป็นรันเวย์พรมแดงสุดเก๋! 🔥 ☆The Hop Bangkok จับมือ ททท. และพันธมิตร ชวนทุกคนมาร้องเล่น เต้นรำใจกลางเยาวราช 💃🏼🕺🏻 พร้อมปูรันเวย์พรมแดงให้ทุกคนหยิบเสื้อผ้าวินเทจสีสันสดใสในยุค 80s 🪩 มาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเพลงแจ๊สจากศิลปินส่งตรงจากเบอร์ลินไปกับวง David Hermlin Trio 🎙️ พร้อมทัพนักเต้นนานาชาติกว่า 20 ประเทศ ที่มาร่วมสร้างสรรค์สีสันกลางรันเวย์เยาวราชให้น่าจดจำไม่รู้ลืม 💫 ไฮไลท์ภายในงาน 💃สอนเต้นสวิงแดนซ์ มาเดี่ยวมาคู่มากลุ่มก็สนุกได้ 👗หยิบเสื้อผ้ายุค 80s สีสดใสพร้อมเฉิดฉายบนรันเวย์ 🎶ดื่มด่ำกับวงทรีโอหนุ่มหล่อส่งตรงเบอร์ลิน David Hermlin Trio 🎉กิจกรรมสนุก ๆ เพียบ 📣 งานนี้เปิดสาธารณะไม่เสียค่าใช้จ่าย 📍 Location: หน้าโรงแรมเซี่ยงไฮ้ แมนชั่น กรุงเทพฯ ☆ข้อมูลจาก ข่าวสารท่องเที่ยว ททท. ☆เพจ 》》 https://www.facebook.com/share/s29PSCXsb9nvEJhV/?mibextid=qi2Omg ■■■■■■■■■■■ #สวิงไปทุกที่ #Everywhereisrunway #Yaowaratswingdance2024 #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/vAP1JocjD4s?si=kvMG-MxEvsVaJMvP
    ภาวนาตลอดวัน
    https://youtube.com/shorts/vAP1JocjD4s?si=kvMG-MxEvsVaJMvP ภาวนาตลอดวัน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • Friday trip report 20240927. #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai
    Friday trip report 20240927. #ThaiTimes #EV #ThaiEV #EVThai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • Do'BahtDiaw
    สหายที่ไร้วิญญาณ แต่ไม่ไร้ความรู้สึก สื่อสัมผัสที่ได้รับ จากสหายผู้บึกบึน
    .
    Do'BahtDiaw
    แห่งที่มาของชื่อ ... นั้นมีที่มา
    ยานพาหนะสี่ล้อสีดำ ที่เห็นโคลนเป็นไม่ได้
    พร้อมที่จะโผนกระโจนเข้าใส่อย่างไร้ความลังเลในทุกที่ ... ที่มีทาง
    จุดหมายข้างหน้าจะเละ จะเลอะ พร้อมเสมอมา แม้ว่าบางครั้งจะไปไม่ถึงก็ตาม
    .
    Do คือ Colorado
    BahtDiaw คือ ราคาบาทเดียว
    ว่ากันง่ายๆ คือ Chevrolet Colorado ราคาบาทเดียว
    ทำไมถึงชื่อนี้กันละ นั้นสิ ชื่อคือตัวแทนที่อยากเรียกขาน ที่รู้กันในกลุ่ม
    .
    นับจากที่ออกป้ายแดงเดิมๆ
    ชีวิตเกษตรที่ต้องใช้งานเข้าสวนในทาง Off Road
    เส้นทาง ๑๐ กิโลเมตรกว่าปลายๆ เป็นทางที่ชาวบ้านใช้รถไถ
    หน้าแล้ง คือ ฝุ่น หินลอย หน้าฝน คือ โคลน น้ำ และดินกึ่งหนังหมู
    แต่จริงๆ หน้าไหนก็โคลนเละ ป้ายแดงกับถนนเละๆ ไม่ค่อยได้ล้างคราบโคลน
    '
    เช้าเข้าตลาดเช้า ... ซื้ออาหารกินเที่ยงในสวน
    เย็นเข้าตลาดเย็น ... ซื้ออาหารกินมื้อเย็นกลับที่พักพิง
    ดูแปลกตา แปลกใจ ของคนในตลาด จนมีคำพูดของคนในตลาดที่ได้ยินเข้าหู
    '
    #ใช้รถยังกะซื้อมาบาทเดียว
    จะตั้งชื่อ #รถบาทเดียว มันดูธรรมด๊า ธรรมดา
    รถรุ่นโคโลราโด ในกลุ่มจะพูดกันง่ายๆ เราเหล่าชาว #โด้
    #โด้บาทเดียว ดูจะเหมาะสม และดูเท่จัดภาษาประกิตทับศัพท์กันเลย

    Do’BahtDiaw
    Do'BahtDiaw สหายที่ไร้วิญญาณ แต่ไม่ไร้ความรู้สึก สื่อสัมผัสที่ได้รับ จากสหายผู้บึกบึน . Do'BahtDiaw แห่งที่มาของชื่อ ... นั้นมีที่มา ยานพาหนะสี่ล้อสีดำ ที่เห็นโคลนเป็นไม่ได้ พร้อมที่จะโผนกระโจนเข้าใส่อย่างไร้ความลังเลในทุกที่ ... ที่มีทาง จุดหมายข้างหน้าจะเละ จะเลอะ พร้อมเสมอมา แม้ว่าบางครั้งจะไปไม่ถึงก็ตาม . Do คือ Colorado BahtDiaw คือ ราคาบาทเดียว ว่ากันง่ายๆ คือ Chevrolet Colorado ราคาบาทเดียว ทำไมถึงชื่อนี้กันละ นั้นสิ ชื่อคือตัวแทนที่อยากเรียกขาน ที่รู้กันในกลุ่ม . นับจากที่ออกป้ายแดงเดิมๆ ชีวิตเกษตรที่ต้องใช้งานเข้าสวนในทาง Off Road เส้นทาง ๑๐ กิโลเมตรกว่าปลายๆ เป็นทางที่ชาวบ้านใช้รถไถ หน้าแล้ง คือ ฝุ่น หินลอย หน้าฝน คือ โคลน น้ำ และดินกึ่งหนังหมู แต่จริงๆ หน้าไหนก็โคลนเละ ป้ายแดงกับถนนเละๆ ไม่ค่อยได้ล้างคราบโคลน ' เช้าเข้าตลาดเช้า ... ซื้ออาหารกินเที่ยงในสวน เย็นเข้าตลาดเย็น ... ซื้ออาหารกินมื้อเย็นกลับที่พักพิง ดูแปลกตา แปลกใจ ของคนในตลาด จนมีคำพูดของคนในตลาดที่ได้ยินเข้าหู ' #ใช้รถยังกะซื้อมาบาทเดียว จะตั้งชื่อ #รถบาทเดียว มันดูธรรมด๊า ธรรมดา รถรุ่นโคโลราโด ในกลุ่มจะพูดกันง่ายๆ เราเหล่าชาว #โด้ #โด้บาทเดียว ดูจะเหมาะสม และดูเท่จัดภาษาประกิตทับศัพท์กันเลย Do’BahtDiaw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด๋ว...เดือนหน้า จะมาอัพเดทข่าวและรุ่นรถให้แบบอิ่มๆ เรยยนะครับ วันนี้เอาข่าวแบตเตอรี่อีวี..มาฝากแบบเบาๆก่อน...ขอบพระคุุณพี่น้องผองเพื่อนทุกท่านที่เข้ามากดไลท์กดติดตามกันทุกท่านนะครับ // ขออนุญาตเคลียร์งานเดือนนี้ให้จบก่อนครับ

    นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้าอีกก้าวหนึ่ง! หมดกังวลเรื่องรอเวลาในการชาร์จสำหรับคนเร่งรีบ

    โดย SAIC-GM และ CATL ร่วมกันเปิดตัวแบตเตอรี่ EV พร้อมการชาร์จที่เร็วที่สุดจนถึงปัจจุบันโดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปีหน้าโดยใช้สถาปัตยกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูง Autoneng quasi-900V ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกประสบการณ์การชาร์จที่รวดเร็วที่มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น

    ตามรายงาน แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟตที่ชาร์จเร็วเป็นพิเศษ 6C ตัวแรกในอุตสาหกรรม จะชาร์จเพียง 5 นาที วิ่งได้ไกลถึง 200 กม. ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทรถยนต์ในประเทศหลายแห่งได้เปิดตัวแบตเตอรี่ซูเปอร์ชาร์จ 5C อย่างต่อเนื่อง แต่มีบริษัทรถยนต์เพียงไม่กี่บริษัทที่ได้ประกาศแผนผลิตภัณฑ์สำหรับแบตเตอรี่ซูเปอร์ชาร์จ 6C ที่เร็วกว่า

    cr.12365auto.com

    #FOCmag reports #FOCDRIVE #SAICGM #CATL #Autonengquasi900V #ชาร์จเร็ว6C
    เด๋ว...เดือนหน้า จะมาอัพเดทข่าวและรุ่นรถให้แบบอิ่มๆ เรยยนะครับ วันนี้เอาข่าวแบตเตอรี่อีวี..มาฝากแบบเบาๆก่อน...ขอบพระคุุณพี่น้องผองเพื่อนทุกท่านที่เข้ามากดไลท์กดติดตามกันทุกท่านนะครับ // ขออนุญาตเคลียร์งานเดือนนี้ให้จบก่อนครับ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้าอีกก้าวหนึ่ง! หมดกังวลเรื่องรอเวลาในการชาร์จสำหรับคนเร่งรีบ โดย SAIC-GM และ CATL ร่วมกันเปิดตัวแบตเตอรี่ EV พร้อมการชาร์จที่เร็วที่สุดจนถึงปัจจุบันโดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปีหน้าโดยใช้สถาปัตยกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูง Autoneng quasi-900V ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกประสบการณ์การชาร์จที่รวดเร็วที่มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ตามรายงาน แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟตที่ชาร์จเร็วเป็นพิเศษ 6C ตัวแรกในอุตสาหกรรม จะชาร์จเพียง 5 นาที วิ่งได้ไกลถึง 200 กม. ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทรถยนต์ในประเทศหลายแห่งได้เปิดตัวแบตเตอรี่ซูเปอร์ชาร์จ 5C อย่างต่อเนื่อง แต่มีบริษัทรถยนต์เพียงไม่กี่บริษัทที่ได้ประกาศแผนผลิตภัณฑ์สำหรับแบตเตอรี่ซูเปอร์ชาร์จ 6C ที่เร็วกว่า cr.12365auto.com #FOCmag reports #FOCDRIVE #SAICGM #CATL #Autonengquasi900V #ชาร์จเร็ว6C
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Create Atmosphere & Mood In Your Writing To Engage Your Readers

    Hill House, not sane, stood by itself against its hills, holding darkness within; it had stood so for eighty years and might stand for eighty more. Within, walls continued upright, bricks met neatly, floors were firm, and doors were sensibly shut; silence lay steadily against the wood and stone of Hill House, and whatever walked there, walked alone…
    —The Haunting of Hill House (1959), Shirley Jackson

    After reading that opening, we bet you’re wondering what happens next. The best authors and writers always find a way to draw their readers in, get them invested in the work, and leave them desperate to read the next sentence, the next paragraph, the next page.

    How do they do this?

    Writers have many tools in their toolboxes to make their work compelling, but a huge part of what draws us into stories is atmosphere and mood. Authors like Shirley Jackson use language, descriptions, and other devices to pull readers into a different world. Through atmosphere and mood, authors establish a tone for their work, create ambience, and evoke emotions. Keep reading to learn how the pros establish atmosphere and mood in their work, and to get some tried and true strategies for creating this magic in your own writing.

    What are atmosphere and mood?

    Atmosphere is “the dominant mood or emotional tone of a work of art, as of a play or novel.” If you think of your story, essay or other writing as a room, what does your reader feel upon walking into that room? That’s an easy way to consider the overall atmosphere of your piece. While the importance of atmosphere is commonly associated with poetry and fiction, it is also vital to adding depth to personal essays and other types of nonfiction writing as well.

    Mood is a part and parcel of atmosphere, but they aren’t necessarily the same thing or always in lock step. Mood describes “a state or quality of feeling at a particular time,” and the mood of a story, poem, or essay can shift depending on the events, characters, setting, or changing information.

    Atmosphere and mood work together, but they aren’t always in agreement. A story may have a suffocating or foreboding atmosphere, but within that atmosphere, readers can still experience feelings of joy, wonder, sadness, or hope.

    Examples of atmosphere and mood

    Now that you understand the basics of what mood and atmosphere are, let’s look at a few examples to see how atmosphere and mood work in action.

    1. “The Raven” by Edgar Allen Poe

    Once upon a midnight dreary, while I pondered, weak and weary,
    Over many a quaint and curious volume of forgotten lore –
    While I nodded, nearly napping, suddenly there came a tapping,
    As of someone gently rapping, rapping at my chamber door …

    Why it works

    In just a few lines, Poe creates an atmosphere of suspense for the reader. It’s late at night, there’s a strange knocking at the door, and it’s reasonable to suspect something mysterious or even dangerous is waiting on the other side. In this example, the atmosphere is created not only by the setting, but also by the language used. Words like dreary, weary, curious, and lore help to create an atmosphere that feels spooky and mystical. And the rhythm of the poetry also gives the lines an intriguing musicality. The end result is the reader wants to know who is knocking just as much as the main character does.

    2. “Shipping Out” by David Foster Wallace

    “I have now seen sucrose beaches and water a very bright blue. I have seen an all-red leisure suit with flared lapels. I have smelled suntan lotion spread over 2,100 pounds of hot flesh. I have been addressed as ‘Mon’ in three different nations. I have seen 500 upscale Americans dance Electric Slide. I have seen sunsets that looked computer-enhanced. I have (very briefly) joined a conga line.”

    Why it works

    In this non-fiction travelogue, David Foster Wallace is talking about his experiences on luxury cruises. He opens by placing the reader directly onto a cruise ship. In the span of a paragraph, the reader experiences awe, curiosity, amusement, disgust, wonder, and excitement. Yet Wallace uses formal language (“I have seen”) and repetition (there’s that anaphora for you) to ironic effect. This creates an interesting juxtaposition of the elements of a tall tale with a bit of anthropological distance. This example, in particular, shows how mood can function independently from the atmosphere, and how both can change abruptly with the use of language.

    Why atmosphere and mood matter

    Atmosphere and mood are important because crafting an engaging story or essay involves more than just retelling events or facts in order. In order to draw readers in and get them invested in your writing, your work needs dimension. Atmosphere and mood work together to create that by:

    - Communicating important details that place the reader in a scene.
    - Making characters feel more real.
    - Reinforcing themes and tone.
    - Communicating genre elements.
    - Solidifying world-building, or the fictional universe in which a story or poem takes place.

    And, perhaps most important, atmosphere and mood are both tools for getting readers invested in the plot or details of a piece of writing. Mood helps them identify with characters in fiction, and atmosphere helps them become immersed in the narrative or information. Both are essential to writing something people want to read.

    Tips for establishing and creating atmosphere in your writing

    When you sit down to write, here are some important things to consider to help you easily add mood and atmosphere to your piece.

    Choose your words carefully.
    Think about how you want readers to feel when they read your work. What language and descriptions can you include to evoke those emotions? While you’re in the process of examining your language, try your best to avoid clichés. “It was a dark and stormy night” has been used so many times that it won’t do much to draw your reader into a scene. In fact, cliché phrases can sometimes even pull the reader out of the work and distract them. That’s not what you want!

    Deploy strong imagery.

    “Show, don’t tell” is probably among the most repeated pieces of writing advice, but that’s because it works. If you just say a house looks old, that may not pull the reader into the house. Instead, talk about the mossy, rotting floorboards and the peeling wallpaper. Use imagery to build a world around the person reading.

    Be detailed.

    If you’re writing a story or poem, offer specific details about the setting and time period. Drop careful hints about what is coming to build tension and anticipation. If you’re working on an essay, make sure each detail is thorough and succinct. Most importantly, make sure any main component of your story or argument is thoroughly fleshed out to paint the clearest picture possible for the reader.

    Incorporate literary devices.

    Similes, metaphors, alliteration, hyperbole, and other literary devices can be especially helpful in developing atmosphere and mood. Of course, if you’re writing a more formal essay, you should use your judgment as to whether or not literary devices are a good fit for the piece, but a well-placed metaphor can go far in helping you make an important point.

    Make use of your characters and dialogue.

    Atmosphere and mood aren’t only created in descriptions of the setting. You can also use character descriptions, their words, and their actions to add to the mood or atmosphere you’re trying to create. For example, if you’re writing a horror story, you might describe your character’s shaky dialogue and uneven breathing. Perhaps they’re even pale with fright or have wide eyes. Readers can easily experience the atmosphere through characters.

    Good spelling counts, too

    Now that you know more about crafting mood and atmosphere in your writing, you’re ready to get started. But those aren’t the only elements of good writing to consider. Work on your next story, poem, or essay using Thesaurus.com’ Grammar Coach™. It will help you spot spelling errors and overused words and help you take your writing to the next level in real time.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    How To Create Atmosphere & Mood In Your Writing To Engage Your Readers Hill House, not sane, stood by itself against its hills, holding darkness within; it had stood so for eighty years and might stand for eighty more. Within, walls continued upright, bricks met neatly, floors were firm, and doors were sensibly shut; silence lay steadily against the wood and stone of Hill House, and whatever walked there, walked alone… —The Haunting of Hill House (1959), Shirley Jackson After reading that opening, we bet you’re wondering what happens next. The best authors and writers always find a way to draw their readers in, get them invested in the work, and leave them desperate to read the next sentence, the next paragraph, the next page. How do they do this? Writers have many tools in their toolboxes to make their work compelling, but a huge part of what draws us into stories is atmosphere and mood. Authors like Shirley Jackson use language, descriptions, and other devices to pull readers into a different world. Through atmosphere and mood, authors establish a tone for their work, create ambience, and evoke emotions. Keep reading to learn how the pros establish atmosphere and mood in their work, and to get some tried and true strategies for creating this magic in your own writing. What are atmosphere and mood? Atmosphere is “the dominant mood or emotional tone of a work of art, as of a play or novel.” If you think of your story, essay or other writing as a room, what does your reader feel upon walking into that room? That’s an easy way to consider the overall atmosphere of your piece. While the importance of atmosphere is commonly associated with poetry and fiction, it is also vital to adding depth to personal essays and other types of nonfiction writing as well. Mood is a part and parcel of atmosphere, but they aren’t necessarily the same thing or always in lock step. Mood describes “a state or quality of feeling at a particular time,” and the mood of a story, poem, or essay can shift depending on the events, characters, setting, or changing information. Atmosphere and mood work together, but they aren’t always in agreement. A story may have a suffocating or foreboding atmosphere, but within that atmosphere, readers can still experience feelings of joy, wonder, sadness, or hope. Examples of atmosphere and mood Now that you understand the basics of what mood and atmosphere are, let’s look at a few examples to see how atmosphere and mood work in action. 1. “The Raven” by Edgar Allen Poe Once upon a midnight dreary, while I pondered, weak and weary, Over many a quaint and curious volume of forgotten lore – While I nodded, nearly napping, suddenly there came a tapping, As of someone gently rapping, rapping at my chamber door … Why it works In just a few lines, Poe creates an atmosphere of suspense for the reader. It’s late at night, there’s a strange knocking at the door, and it’s reasonable to suspect something mysterious or even dangerous is waiting on the other side. In this example, the atmosphere is created not only by the setting, but also by the language used. Words like dreary, weary, curious, and lore help to create an atmosphere that feels spooky and mystical. And the rhythm of the poetry also gives the lines an intriguing musicality. The end result is the reader wants to know who is knocking just as much as the main character does. 2. “Shipping Out” by David Foster Wallace “I have now seen sucrose beaches and water a very bright blue. I have seen an all-red leisure suit with flared lapels. I have smelled suntan lotion spread over 2,100 pounds of hot flesh. I have been addressed as ‘Mon’ in three different nations. I have seen 500 upscale Americans dance Electric Slide. I have seen sunsets that looked computer-enhanced. I have (very briefly) joined a conga line.” Why it works In this non-fiction travelogue, David Foster Wallace is talking about his experiences on luxury cruises. He opens by placing the reader directly onto a cruise ship. In the span of a paragraph, the reader experiences awe, curiosity, amusement, disgust, wonder, and excitement. Yet Wallace uses formal language (“I have seen”) and repetition (there’s that anaphora for you) to ironic effect. This creates an interesting juxtaposition of the elements of a tall tale with a bit of anthropological distance. This example, in particular, shows how mood can function independently from the atmosphere, and how both can change abruptly with the use of language. Why atmosphere and mood matter Atmosphere and mood are important because crafting an engaging story or essay involves more than just retelling events or facts in order. In order to draw readers in and get them invested in your writing, your work needs dimension. Atmosphere and mood work together to create that by: - Communicating important details that place the reader in a scene. - Making characters feel more real. - Reinforcing themes and tone. - Communicating genre elements. - Solidifying world-building, or the fictional universe in which a story or poem takes place. And, perhaps most important, atmosphere and mood are both tools for getting readers invested in the plot or details of a piece of writing. Mood helps them identify with characters in fiction, and atmosphere helps them become immersed in the narrative or information. Both are essential to writing something people want to read. Tips for establishing and creating atmosphere in your writing When you sit down to write, here are some important things to consider to help you easily add mood and atmosphere to your piece. Choose your words carefully. Think about how you want readers to feel when they read your work. What language and descriptions can you include to evoke those emotions? While you’re in the process of examining your language, try your best to avoid clichés. “It was a dark and stormy night” has been used so many times that it won’t do much to draw your reader into a scene. In fact, cliché phrases can sometimes even pull the reader out of the work and distract them. That’s not what you want! Deploy strong imagery. “Show, don’t tell” is probably among the most repeated pieces of writing advice, but that’s because it works. If you just say a house looks old, that may not pull the reader into the house. Instead, talk about the mossy, rotting floorboards and the peeling wallpaper. Use imagery to build a world around the person reading. Be detailed. If you’re writing a story or poem, offer specific details about the setting and time period. Drop careful hints about what is coming to build tension and anticipation. If you’re working on an essay, make sure each detail is thorough and succinct. Most importantly, make sure any main component of your story or argument is thoroughly fleshed out to paint the clearest picture possible for the reader. Incorporate literary devices. Similes, metaphors, alliteration, hyperbole, and other literary devices can be especially helpful in developing atmosphere and mood. Of course, if you’re writing a more formal essay, you should use your judgment as to whether or not literary devices are a good fit for the piece, but a well-placed metaphor can go far in helping you make an important point. Make use of your characters and dialogue. Atmosphere and mood aren’t only created in descriptions of the setting. You can also use character descriptions, their words, and their actions to add to the mood or atmosphere you’re trying to create. For example, if you’re writing a horror story, you might describe your character’s shaky dialogue and uneven breathing. Perhaps they’re even pale with fright or have wide eyes. Readers can easily experience the atmosphere through characters. Good spelling counts, too Now that you know more about crafting mood and atmosphere in your writing, you’re ready to get started. But those aren’t the only elements of good writing to consider. Work on your next story, poem, or essay using Thesaurus.com’ Grammar Coach™. It will help you spot spelling errors and overused words and help you take your writing to the next level in real time. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use?

    There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language.

    Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity.

    In this article, we’ll:

    Define person-first language and identity-first language in detail.
    Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences.
    Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences.
    Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people.


    Quick summary

    Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized.

    Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves.

    First, a note about disabled and disability

    First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on).

    When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.)

    What is person-first language?

    The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.)

    Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others.

    The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way.

    Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today).

    Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language.

    What is identity-first language?

    The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person.

    Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term.

    By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people.

    This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference.

    Examples of person-first and identity-first language

    In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms.

    Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities.

    Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below.

    Disability

    In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal.

    person-first example: person with a disability
    identity-first example: disabled person

    person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability
    identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some.

    The autism spectrum

    In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language.

    person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum
    identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others.

    Deafness

    Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language.

    person-first example: a person who is deaf
    identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community

    Blindness

    Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired.

    person-first example: a person who is blind
    identity-first examples: blind person; blind adult

    Dwarfism and short stature

    Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary.

    person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature
    identity-first examples: dwarf; little person

    Additional medical and mental health contexts

    Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes.

    person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language.

    person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders

    Other contexts

    As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic.

    person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders

    For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic.

    person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide

    Collective terms

    Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals.

    Should I use person-first or identity-first language?

    The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations.

    In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity.

    Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community.

    Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each.

    Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses.

    Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.”

    You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use? There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language. Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity. In this article, we’ll: Define person-first language and identity-first language in detail. Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences. Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences. Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people. Quick summary Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized. Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves. First, a note about disabled and disability First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on). When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.) What is person-first language? The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.) Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others. The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way. Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today). Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language. What is identity-first language? The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person. Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term. By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people. This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference. Examples of person-first and identity-first language In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms. Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities. Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below. Disability In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal. person-first example: person with a disability identity-first example: disabled person person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some. The autism spectrum In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language. person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others. Deafness Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language. person-first example: a person who is deaf identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community Blindness Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired. person-first example: a person who is blind identity-first examples: blind person; blind adult Dwarfism and short stature Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary. person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature identity-first examples: dwarf; little person Additional medical and mental health contexts Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes. person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language. person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders Other contexts As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic. person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic. person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide Collective terms Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals. Should I use person-first or identity-first language? The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations. In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity. Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community. Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each. Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses. Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.” You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • Words That Capture The Beauty And Charm Of English

    What makes a word beautiful? Often, it’s a combination of factors. It might be that the word is especially fun to say, or maybe it evokes a feeling or image that is particularly pleasing. The meaning of the word itself might also be beautiful, or it could refer to a beautiful idea. And, of course, sometimes you just really like a word for reasons that can’t be entirely explained.

    The author Henry James once said that summer afternoon was the most beautiful phrase in the English language. Ray Bradbury liked the word cinnamon. Tessa Hadley has expressed admiration for cochineal. Which words strike your fancy? Keep reading to learn more about 15 of the most beautiful words in English. Who knows? You might even find a new favorite.

    ephemeral
    Ephemeral means “lasting a very short time; short-lived; transitory.” It’s both a lovely sounding word and one that’s frequently used to describe things that are beautiful or wonderful, but short lived.

    The painter tried to capture the ephemeral beauty of the autumn leaves.
    The word comes from the Greek word ephḗmeros, meaning “short-lived, lasting but a day.” Lucky for us, the word itself has lasted much longer than that. It’s been in use in English since the late 1500s.


    idyllic
    If you need a word for something beautiful and quaint, idyllic is here for you. Idyllic means “suitable for or suggestive of an idyll; charmingly simple or rustic.” An idyll is a poem or prose describing pastoral or appealingly simple scenes.

    She returned home to the idyllic small town where she grew up.
    The word was first recorded in English in the late 1800s, though the noun form, idyll, has been in use since the 1590s. They derive from Greek eidýllion, or “a short pastoral poem.”


    serendipity
    How fortunate that serendipity just happens to be on this list. Serendipity is “an aptitude for making desirable discoveries by accident.”

    The pirate knew that finding the treasure would require hard work and a bit of serendipity.
    This word was coined by author Horace Walpole. Serendipity is the ability possessed by the heroes of The Three Princes of Serendip, a fairytale he published in 1754. Fun fact: one of Walpole’s other stories, The Castle of Otranto, is believed to be the first Gothic novel. Seems Walpole was working with a bit of serendipity himself.


    gossamer
    Gossamer has a lovely sound and is used to describe lovely things. It means “something extremely light, flimsy, or delicate.”

    The butterfly fluttered on gossamer wings.
    Gossamer was first recorded in English in the late 1200s from the Middle English gos(s)esomer or gossummer, which means “a filmy substance made of cobwebs; fine filament; something trivial.” It’s still frequently used to describe delicate spider webs, like those seen covered in dew on a crisp fall morning.


    incandescent
    Incandescent means “intensely bright; brilliant,” and it’s been lighting up the English language since at least 1785.

    The night sky glittered with incandescent stars.
    Incandescent comes from the Latin incandēscere, or “to glow.” Of course, incandescent doesn’t have to something literally glows or is intensely bright. It can also be used to describe someone or something that has a brilliant, electrifying presence.


    diaphanous
    With its bright long i- sound and its soft ph-, diaphanous is one of those words that just feels nice to say. Diaphanous means “very sheer and light; almost completely transparent or translucent.”

    The morning sunrise glowed through the diaphanous curtains.
    The word has been in use since the 17th century, and it works especially well for describing fabric or textures that are so thin and sheer they almost seem to glow with the light passing through them.


    sibilance
    Sibilance is one of the more pleasant-sounding words to say, and it’s used to describe sound. It means “a hissing quality of sound, or the hissing sound itself.”

    I dozed in the hammock to the ocean’s gentle sibilance.
    You could use this word to describe unpleasant hissing sounds, like malfunctioning electronics, or for something more beautiful, like in the example above. Plus, the word itself has a gentle hissing quality. Say it with us three times: sibilance, sibilance, sibilance. Ah, so soft and soothing.


    gloaming
    Gloaming is another word for “twilight; dusk,” and not only does it describe one of the most beautiful times of the day, but the word itself is also nice to say. It sounds very similar to glowing, and it has a magical quality.

    We walked through the forest and watched fireflies twinkle in the gloaming.
    The magical quality might have something to do with its age and origin. The word has been in use since before the year 1000, and it’s believed to be related to Old Norse glāmr, meaning “moon.”


    halcyon
    If you’re gazing out over a tranquil lake, halcyon might be the word that comes to mind. It means “calm; peaceful; tranquil,” and this word has a fascinating origin story.

    The halcyon weather made for a perfect day at the beach.
    Halcyon can be traced back to the Greek halkyṓn, a variant of alkyṓn, or “kingfisher.” In Greek mythology, Alkyone, or Alcyone, is the daughter of the God of the winds, Aeolus, and she was transformed into a kingfisher after throwing herself into the sea.


    ebullient
    Some things are just too wonderful to be contained. Ebullient is an adjective that means “overflowing with fervor, enthusiasm, or excitement; high-spirited,” and it’s a word that practically sounds as joyful as its meaning.

    The ebullient young scientist couldn’t wait to share their latest discovery.
    Ebullient was first recorded in English in the late 1590s. It is associated with happiness and optimism. What’s not to love about a happy word like that?


    quixotic
    Quixotic is a charming word that means “extravagantly chivalrous or romantic; visionary, impractical, or impracticable.” It comes from Miguel de Cervantes’ novel Don Quixote about a noble from La Mancha, Spain, who reads so many heroic romances that he becomes obsessed with the idea of being a knight.

    Her actions may seem quixotic, but they also speak to her courage and passion.
    By 1644, Quixote was used to describe “a person inspired by lofty and chivalrous but impractical ideals.” By the 18th century, the derivative adjective quixotic, which applies to both persons and actions, appeared.


    vivacity
    It’s infectious when someone has great enthusiasm and a zest for life. The word vivacity is similarly attractive. It means “liveliness; animation; sprightliness.”

    The legendary Julie Andrews may be best known for her inexhaustible vivacity.
    Vivacity is also a word English speakers have enjoyed for a very long time. It was first recorded in English in the 1400s.


    scintilla
    Scintilla doesn’t have the most beautiful meaning, but it’s certainly a satisfying and pretty word to say. The beginning syllable makes a hissing sound that is both soft and soothing, and the rest of the word seems to roll off the tongue.

    We don’t have a scintilla of doubt that words are powerful.
    Scintilla means “a minute particle, spark, trace.” It is a loan word from Latin, in which it means “spark.” It was first recorded in English in the late 1600s.


    lilt
    A lilt is a “rhythmic swing or cadence,” and the word has a soft, musical quality that matches its meaning. The origins of this word are unclear. It’s thought to come from the Middle English lulte, perhaps akin to the Dutch lul, meaning “pipe,” or lullen, “to lull.”

    She spoke with a soft Southern lilt that put me at ease.
    Lilt first appeared in English as early as 1300, and we’ve been swaying along ever since.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Words That Capture The Beauty And Charm Of English What makes a word beautiful? Often, it’s a combination of factors. It might be that the word is especially fun to say, or maybe it evokes a feeling or image that is particularly pleasing. The meaning of the word itself might also be beautiful, or it could refer to a beautiful idea. And, of course, sometimes you just really like a word for reasons that can’t be entirely explained. The author Henry James once said that summer afternoon was the most beautiful phrase in the English language. Ray Bradbury liked the word cinnamon. Tessa Hadley has expressed admiration for cochineal. Which words strike your fancy? Keep reading to learn more about 15 of the most beautiful words in English. Who knows? You might even find a new favorite. ephemeral Ephemeral means “lasting a very short time; short-lived; transitory.” It’s both a lovely sounding word and one that’s frequently used to describe things that are beautiful or wonderful, but short lived. The painter tried to capture the ephemeral beauty of the autumn leaves. The word comes from the Greek word ephḗmeros, meaning “short-lived, lasting but a day.” Lucky for us, the word itself has lasted much longer than that. It’s been in use in English since the late 1500s. idyllic If you need a word for something beautiful and quaint, idyllic is here for you. Idyllic means “suitable for or suggestive of an idyll; charmingly simple or rustic.” An idyll is a poem or prose describing pastoral or appealingly simple scenes. She returned home to the idyllic small town where she grew up. The word was first recorded in English in the late 1800s, though the noun form, idyll, has been in use since the 1590s. They derive from Greek eidýllion, or “a short pastoral poem.” serendipity How fortunate that serendipity just happens to be on this list. Serendipity is “an aptitude for making desirable discoveries by accident.” The pirate knew that finding the treasure would require hard work and a bit of serendipity. This word was coined by author Horace Walpole. Serendipity is the ability possessed by the heroes of The Three Princes of Serendip, a fairytale he published in 1754. Fun fact: one of Walpole’s other stories, The Castle of Otranto, is believed to be the first Gothic novel. Seems Walpole was working with a bit of serendipity himself. gossamer Gossamer has a lovely sound and is used to describe lovely things. It means “something extremely light, flimsy, or delicate.” The butterfly fluttered on gossamer wings. Gossamer was first recorded in English in the late 1200s from the Middle English gos(s)esomer or gossummer, which means “a filmy substance made of cobwebs; fine filament; something trivial.” It’s still frequently used to describe delicate spider webs, like those seen covered in dew on a crisp fall morning. incandescent Incandescent means “intensely bright; brilliant,” and it’s been lighting up the English language since at least 1785. The night sky glittered with incandescent stars. Incandescent comes from the Latin incandēscere, or “to glow.” Of course, incandescent doesn’t have to something literally glows or is intensely bright. It can also be used to describe someone or something that has a brilliant, electrifying presence. diaphanous With its bright long i- sound and its soft ph-, diaphanous is one of those words that just feels nice to say. Diaphanous means “very sheer and light; almost completely transparent or translucent.” The morning sunrise glowed through the diaphanous curtains. The word has been in use since the 17th century, and it works especially well for describing fabric or textures that are so thin and sheer they almost seem to glow with the light passing through them. sibilance Sibilance is one of the more pleasant-sounding words to say, and it’s used to describe sound. It means “a hissing quality of sound, or the hissing sound itself.” I dozed in the hammock to the ocean’s gentle sibilance. You could use this word to describe unpleasant hissing sounds, like malfunctioning electronics, or for something more beautiful, like in the example above. Plus, the word itself has a gentle hissing quality. Say it with us three times: sibilance, sibilance, sibilance. Ah, so soft and soothing. gloaming Gloaming is another word for “twilight; dusk,” and not only does it describe one of the most beautiful times of the day, but the word itself is also nice to say. It sounds very similar to glowing, and it has a magical quality. We walked through the forest and watched fireflies twinkle in the gloaming. The magical quality might have something to do with its age and origin. The word has been in use since before the year 1000, and it’s believed to be related to Old Norse glāmr, meaning “moon.” halcyon If you’re gazing out over a tranquil lake, halcyon might be the word that comes to mind. It means “calm; peaceful; tranquil,” and this word has a fascinating origin story. The halcyon weather made for a perfect day at the beach. Halcyon can be traced back to the Greek halkyṓn, a variant of alkyṓn, or “kingfisher.” In Greek mythology, Alkyone, or Alcyone, is the daughter of the God of the winds, Aeolus, and she was transformed into a kingfisher after throwing herself into the sea. ebullient Some things are just too wonderful to be contained. Ebullient is an adjective that means “overflowing with fervor, enthusiasm, or excitement; high-spirited,” and it’s a word that practically sounds as joyful as its meaning. The ebullient young scientist couldn’t wait to share their latest discovery. Ebullient was first recorded in English in the late 1590s. It is associated with happiness and optimism. What’s not to love about a happy word like that? quixotic Quixotic is a charming word that means “extravagantly chivalrous or romantic; visionary, impractical, or impracticable.” It comes from Miguel de Cervantes’ novel Don Quixote about a noble from La Mancha, Spain, who reads so many heroic romances that he becomes obsessed with the idea of being a knight. Her actions may seem quixotic, but they also speak to her courage and passion. By 1644, Quixote was used to describe “a person inspired by lofty and chivalrous but impractical ideals.” By the 18th century, the derivative adjective quixotic, which applies to both persons and actions, appeared. vivacity It’s infectious when someone has great enthusiasm and a zest for life. The word vivacity is similarly attractive. It means “liveliness; animation; sprightliness.” The legendary Julie Andrews may be best known for her inexhaustible vivacity. Vivacity is also a word English speakers have enjoyed for a very long time. It was first recorded in English in the 1400s. scintilla Scintilla doesn’t have the most beautiful meaning, but it’s certainly a satisfying and pretty word to say. The beginning syllable makes a hissing sound that is both soft and soothing, and the rest of the word seems to roll off the tongue. We don’t have a scintilla of doubt that words are powerful. Scintilla means “a minute particle, spark, trace.” It is a loan word from Latin, in which it means “spark.” It was first recorded in English in the late 1600s. lilt A lilt is a “rhythmic swing or cadence,” and the word has a soft, musical quality that matches its meaning. The origins of this word are unclear. It’s thought to come from the Middle English lulte, perhaps akin to the Dutch lul, meaning “pipe,” or lullen, “to lull.” She spoke with a soft Southern lilt that put me at ease. Lilt first appeared in English as early as 1300, and we’ve been swaying along ever since. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27-09-67/01 : หมี CNN / "ROCK N ROLL" EP.86 ชื่อตอน "FIRST COME FIRST SERVE ไอ้สัส!" มาก่อนตายห่าก่อน เสี้ยนหนัก จัดให้ อย่าถอยสิ ดีออก? เพิ่งจะเริ่มปารี้ตี้กันอย่างเมามันส์ อียิวหางโผล่ สันดานสตรอเบอแหลไม่เลิก ดูทรงถูกลงแขกยับ ชิงเปิดโต๊ะเจรจา เชิญมรึงไปเจรจากับยมบาลก่อนก็แล้วกัน กูใส่อย่างเดียว! ยิวไม่ตายโลกไม่สงบ โลกตกผลึกแล้ว! ฮาแตก! โลกการละคร "หมูเด้ง" แซงหน้าโพลเลือกตั้งอีทรัมปป์กะอีกมลาบัดซบ ซะงั้น ควายเบื่อดูเหี้ย ดูฮิปโป มันส์กว่าสิน่ะ? เชิญมรึงเล่นละครหลอกควายไปเหอะ แผนเจรจาหยุดยิง มีแต่ควายที่เชื่อ เพราะโลกอาหรับ มุสลิม เค้าไม่มารอมรึงเห่าดอกน่ะ ฆ่าอย่างเดียว ถล่มไม่หยุด ใส่ยับ จนลืมหายใจ สู้กับอียิวเหี้ยสัดนรก ไม่มีคำว่า "พัก" ฆ่ามันจนกว่าจะหมดโลกเท่านั้น อิสราเอล สหรัฐ อังกฤษ NATO มรึงไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ต่อรอง มรึงมันแพ้ยับ ไอ้ขี้แพ้ ไอ้กระจอก ไม่มีสิทธิ์ ตั้งธงเปิดโต๊ะเจรจา สงครามจะหยุดหรือไม่ จะหยุดยิงหรือไม่ "อำนาจอยู่ที่ขั้วใหม่หมดทั้งสิ้น" ควายยังโง่ดักดานไม่เลิก! อียิวช็อค! ขั้วใหม่รู้ทัน ดักทางเกลี้ยง กดเหี้ยก่อสงครามเฉพาะจุด คุมพื้นที่ เล่นแค่ระดับภูมิภาค แผนแตกยุโรป แตกตะวันออกลาง กลายเป็นแตกเยรูซาเล็ม แตกยูเครนแทน เหตุเพราะกำลังพลในพื้นที่มีไม่พอ อาวุธไม่ถึง กระแสไม่ได้ โลกเอือมเหี้ยสุดขีด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อเมริกาต้องขายแผ่นดินชดใช้หนี้ อังกฤษต้องแตก เพราะอีสก็อต กับอีไอร์เหนือ ไม่อยู่แบกหนี้ที่มรึงก่อ ส่วนเยรูซาเล็มกลายเป็นสุสานยิวพันธุ์สัดนรก สงครามนุ๊ก ใช้ไม่ได้จริง ได้แต่ขู่ แต่อีกฝ่ายเค้าล้ำหน้าไปไกลแล้ว ยอมรับสภาพไม่ได้ ก็ยื้อกันไปแบบนี้ เข้าทางตรีนขั้วใหม่ เพราะ "เวลา" คืออาวุธชั้นดีที่จะเปลี่ยนโลก ดูภาพให้ชัด ปูติน สีจิ้นผิง ใช้เวลา ถอดหน้ากาก เผยธาตุแท้เหี้ยจนหมดเปลือก จนโลกเทเหี้ยย้ายขั้วกันหมด ศรีธนญชัย 2024 ก็เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันคือภาพเดียวกับที่โลกประสบอยู่ นี่คือการแก้เกมส์ที่ไม่ต้องเอาชีวิตคนทั้งโลกมาเป็นตัวประกัน ขั้วใหม่รอแค่ให้เหี้ยหมดหนทาง บีบให้ใช้นุ๊กก่อน เพื่อที่จะปิดบัญชียาวไป สงครามเป็นแค่เครื่องมือใช้พิสูจน์ผู้ชนะเท่านั้น แต่ผู้ชนะที่แท้จริงคือโลกตามใครต่างหาก? ดังนั้น โลกการละครที่ดูกันอยู่ อียิวเหี้ยได้ใจ อีส้มเน่า อีแดง เหี้ยได้ควาย มันก็แค่ภาพมายา บทถูกล้างบางมันจะมาเร็วกว่าที่คิด จบพศ.นี้ชัวร์! เพราะเหี้ยมันไม่เหลืออะไรจะสู้ได้อีกแล้ว หมดสภาพของจริง สุดท้าย แตกอเมริกา แตกอังกฤษ แตกเยรูซาเล็ม โลกก็กลับคืนสู่ภาวะปกติทันที แล้วสร้างโลกใหม่ขึ้นมา จับตาดูเครือข่ายโซเชี่ยลโลกที่เหี้ย C ควบคุมให้ดีดี ตอนนี้ แสงทำงานได้ผล สื่อเหี้ยตายราบคาบ โซเชี่ยลที่ปั่นเจอตอกหน้าหงาย เพราะผู้คนเริ่มรู้ทัน ส่วนควายก็ยังเป็นควายเหมือนเดิม เปลี่ยนโลกใหม่ ควายก็ยังไม่ตื่น เพราะมัน BORN TO BE กรรมเก่ามันเยอะ ผีบังตา อาร์คติคเริ่มขยับแล้ว ดูทรง ปูตินต้องการชวนเหี้ยกระจายกำลังไม่สิ้นสุด เมื่อกองกำลังมรึงถูกหั่น ถูกแบ่ง ต้องไปทำหน้าที่หลายพื้นที่ มันยังจะเหลือความแข็งแกร่งต่อมุย? นี่แหละ ที่เค้าเรียกว่า "สอนมวย" สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล ถังแตก หมดสภาพ เพราะดอลล่าร์ไม่ทำงาน เดินเกมส์ฆ่า ก็แพ้ยับ เดินเกมส์มั่ว ก็ถูกตบหน้าหงาย คำถามคือ "จุดจบมันอยู่ตรงไหน?" มันเริ่มไปแล้ว ตั้งแต่ BRICS ก่อตั้งสำเร็จ และโลกเทหมดหน้าตัก BRICS ฆ่าดอลล่าร์ ในขณะที่กองทัพรัสเซีย อิหร่าน จีน และชาติพันธมิตรอาหรับ มุสลิม ฆ่าตัวเหี้ย ตัวเป็นๆ เกลื่อนโลก เงินหมด ก็คือหมาไงจ๊ะ? ฝ่ายการเมืองเลบานอนหลบไป ดอกนี้ เฮซบอเลาะห์เข้าควบคุมประเทศเบ็ดเสร็จ ประกาศสงครามโดยตรงกับอิสราเอล ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประกาศพร้อมรบเต็มอัตราศึก โดยมีขั้วใหม่ให้ตราประทับ การันตี ชนะชัวร์! รูปแบบการศึกยุคใหม่ ทำให้เหี้ยไปไม่เป็น ยังชักปินยิงแบบหนังคาวบอยอยู่ ขณะที่ขั้วใหม่เน้นส่งยมฑูตบนฟ้ามาเยี่ยม มรึงจะไปชนะเค้าได้ยังไง? ภาพรวมตอนนี้ กองกำลังนับแสนเข้าทางเลบานอน แล้วออกไปไล่ฆ่าอียิวกับขี้ข้า ยึดพื้นที่ ทะลวงด่านเพื่อเชื่อมต่อกับ 3 ฮอ เชื่อมได้เมื่อไหร่คือ "GAME OVER" อียิวถึงได้สู้ตาย แต่ฝีมือมันห่างชั้นกันมากจนเกินไป อาวุธเทียบไม่ติด กระจอกเกินห้ามใจ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น โลกเค้าลงแขกมรึงแล้ว จะเหลือเหรอ? ทำไมอีทรัมปป์ ถึงได้กล้าประกาศล้างเผ่าพันธุ์ยิว คำตอบคือ "หากจะขึ้นเป็น KING แล้วยิวยังอยู่ มรึงจะได้แตกแผ่นดินมั้ยล่ะ?" ตอนนี้ ชื่ออียิวเหี้ยไซออนนิสต์ขายดี เป็นเทน้ำ เทท่า แค่เอ่ยชื่อมา "พร้อมตายโหงได้ทุกเมื่อ" มีแต่คนอยากจะลงแขกมันกันทั้งโลก อีทรัมปป์มันหัวไว ถามว่ามันกลับใจเหรอ? นายทุนเหี้ยสามานย์มีเหรอจะกลับใจ? กูจะเป็น KING จบน่ะ? แสงทำงาน จี้ปมในใจให้เหี้ยกำราบเหี้ย คนดีดีไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ อเมริกาไม่แตก อีทรัมปป์ก็ตายห่าชัวร์! โดนยัดข้อหาไป 200 กว่าคดี ต่างกรรม ต่างวาระ มรึงคิดว่าหากมันจะขึ้นเป็นผู้นำ สิ่งแรกที่มันต้องจัดการก่อนคืออะไรล่ะ? ดึงอำนาจเข้าหาตัวเอง เปลี่ยนกฎหมาย ใช้กฎกูแทนไงล่ะ? อเมริกาถูกกำหนดให้แตก โดยอีทรัมปป์นี่แหละ สวรรค์เขียนบทมาเช่นนั้น! ภายในอีทรัมปป์จัดการ ภายนอก ขั้วใหม่จัดอยู่ ชดใช้หนี้ ใครจะจ่าย เอาแผ่นดินไปล่ะกัน จบน่ะ?

    ปล.คุณยายหมุด ออกมาตบไอ้อีตระกละทั้งหลาย หน้าหงาย เงินแผ่นดิน ไม่ใช่เงินมรึง อยากจะแดร๊กกันตัวสั่น 10000 ได้ไป ชีวิตสั้นลงไปอีก 10 ปี ยมบาลจองคิวรอ สะท้อนภาพชัด คนกับควาย หมาหิว กับหมาเฝ้าบ้าน มันคนละสเปซี่จริงหนอ? อเมริกา ยุโรป จะอยู่ต่อยังไง? เมื่อมรึงจำเป็นต้องใช้พลังงาน อาหาร แหล่งแร่ สินค้าอุปโภค บริโภค อะไรที่มรึงผลิตเองไม่ได้ ต้องสั่งนำเข้า แต่เค้าไม่รับดอลล่าร์ ยูโร มรึงต้องจ่ายเป็นหยวน รูเบิล แทน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ภาคการเงิน การธนาคาร ตายสนิท เพราะเงินที่พวกมรึงเอามาใช้ล่วงหน้ามันถูกมัดตราสังข์เอาไว้ด้วยหนี้ก้อนมหาศาล ย้อนมาดูคลังไทยกันบ้าง เงินบาทแข็งไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลก มันควรจะแข็งโป๊กมานานแล้ว เพราะความเป็นจริง คลังไทยมีเงินเก็บมหาศาล ทองคำล้นทะลักคลัง แล้วมรึงจะเอาไปเปรียบเทียบกับคลังเน่า ที่ไม่เหลือแม้แต่เศษกรวดเนี่ยน่ะ ใครกำหนดล่ะ 1 USD=35THB กติกาเหี้ยไงล่ะ แค่มรึงตื่น แล้วดูข้อเท็จจริง คลังไทยรวยกว่าคลังอเมริกาเป็น 100 เท่า ความเป็นจริงที่ถูกต้องมันควรจะเป็น 1 THB = 35USD หมายังรู้? แต่นักวิชาเกิน นักเศรษฐกิจเกิน มันแกล้งโง่ไม่รู้ซะงั้น กลัวมันฆ่าเหรอจ๊ะ? ปูติน สีจิ้นผิง ออกตัวอุ้มซะขนาดนี้ มรึงยังต้องกลัวไอ้อีหน้าไหนอีกล่ะ? กองทัพไทยไม่ใช่ขี้ตรีน ธรรมดาซะที่ไหน? หากเอาจริง เหี้ย C ในไทย ตายห่าไปหมดแล้ว แต่เพราะนี่คือ AMAZING THAILAND ศรีธนญชัย 2024 เล่นบทมีแต่ได้ ไม่มีเสียไงล่ะ จะไปงัดกับเหี้ย ต้องดูก่อนว่ามันล้มชัวร์แล้ว มรึงจะได้เห็นยามที่เหี้ยสิ้นเนื้อประดาตัว หมายังไม่แล? ฮาแตก! นี่ไงปชต.ควาย ควายชอบ ฉลองเงิน 10000 เมาปลิ้น ตกคลองเกือบสิ้นชื่อ มรึงเข้าใจยัง? เงิน 10000 อยู่กับคนใช้เป็น จะสร้าง 100000 เงิน 10000 อยู่กับควาย จะเหลือ -10000 สติไม่มี จะเอาปัญญาที่ไหนคิด? กูเห็นเต็ม 2 ตา ในซอยบ้านกูเนี่ย แม่งนั่งทะเลาะกันเองในครอบครัว คนนึงได้ คนนึงไม่ได้ คนนึงได้ก่อน อีกคนได้ทีหลัง ตีกันยับ ด่ากันเละ มรึงคอยดูเหอะ กูพูดไม่มีผิดดอก เมื่อวังวนควาย มันเอาแต่ได้ มันเห็นแก่ตัว ไม่พ้นเรื่องกิเลส ตัณหา ราคะ สนองตัวมัน ได้วันนี้ ก็หมดวันนี้ ไหนล่ะ ต่อยอด กระตุ้นเศรษฐกิจ มรึงรู้ กูก็รู้ ว่าแผนนี้มันชงมาจากเยรูซาเล็ม เป้าหมายเดียวคือ บั่นทองเสถียรภาพแผ่นดินไทย อ้าว..แล้วทหารไม่รู้เหรอ? รู้ยิ่งกว่ารู้ เค้าคำนวณ ควบคุม และมองเกมส์ตลอด กูไบ้ไปแล้วน่ะ คลังไทยมีเงินมหาศาล มากกว่าที่มรึงคิดหลาย 100 เท่า การที่จะทำให้ควายทั้งแผ่นดินตาย และตื่นขึ้นมาได้นั้น มันต้องโดนกับตัวเอง อย่ากังวล เค้ามีตัวเลขรับได้ ทั้งหมดเพื่อแลกกับดอกเดียว "เชือดเหี้ยทั้งแผ่นดิน" ยึดทรัพย์เหี้ยทั้งแผ่นดิน ล้างบางการเมืองเหี้ยทั้งแผ่นดิน เงินแสนล้าน เค้ามีไว้พร้อมแล้ว แต่ใครบอกล่ะว่า จะให้มรึงผลาญง่ายๆ ไม่อยากจะชี้โพรงให้กระรอก เงินที่แจกคือเงินภาษีประชาชน คนเซ็นต์ คนรับผิดชอบ คนอนุมัติ คนเสนอโครงการ โดนหมด ทั้งแพ่ง อาญา มรึงลองนับดูสิ ทั้งพรรคมีกี่ตัว เอามาหาร 2 แสนล้าน ขาดเหลือเท่าไหร่ ตามเก็บกับอีเหลี่ยมเหี้ย ส่วนเงินชดใช้ต้องคืน ดอกนี้ วังจะเข้ามาแบกเอง ประชากรควายมันไม่มีปัญญาเอาเงินมาคืนดอก แค่จะแดร๊กให้รอดไปวันวันยังยาก เรื่องนี้ ทหารเค้าอ่านขาดหมดนานแล้ว ระดับเกจิ กุนซือแผ่นดิน คำว่า "เสียหาย" มันมีหลายระดับ พอรับได้ พอทน ไม่กระทบกระเทือนแผ่นดินระยะยาว คนชนชั้นกลาง ปัญญาชนทั้งหลาย มรึงแบกหนี้แผ่นดินนี้มาช้านานแล้ว เพราะเป็นกลุ่มกำลังสร้างเงินช่วยแผ่นดินจริง มรึงจะได้บุญกุศลคืนแน่ กูการันตี ทำดีย่อมได้ดี ย่อมเหี้ยย่อมต้องได้เหี้ย สัจธรรมตลอดกาล INFINITY+ เชื่อมั่นในหลวงก็พอ ปัญญากูมีเท่านี้ ยังรู้ แล้วเบื้องบนเค้าวางหมากหลายชั้นกว่านั้นเยอะ มรึงคิดว่า "จะเทวดาซะแค่ไหน" ไม่มีดอก เสียเปรียบ แค่ทุกอย่างอยู่ในสายพระเนตรของพ่อท่าน ก็อุ่นใจแล้ว เชื่อกูสิ! กูพูดหลายครั้งแล้วว่า แผ่นดินนี้ คือแผ่นดินทอง มีผู้ดูแล มีคนกำกับ แถมยังมีเทวดา นางฟ้า สิงสถิตอยู่ จะกลัวเหี้ยอะไรอีก? แสงอยู่เต็มพื้นที่ สว่างไสวด้วยพระบารมี!

    หมี CNN(เกมส์สงคราม อย่าดูปลีกย่อย ให้ดูภาพใหญ่ ภาพหลัก ภาพรวม แล้วจะไม่หลงทาง เหี้ยมันสร้างประเด็นได้ทุกวันอยู่แล้ว งานถนัดมัน สงครามไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ขั้วใหม่เค้าพร้อมจริง ถึงกล้าสั่งลุย เพราะประเมินแล้วว่า "ชนะชัวร์ 100%" ระดับปูติน สีจิ้นผิง ใช่เพื่อนเล่นมรึงเหรอ? ไทยและอาเซียน รวมทั้งโลก ก็จะชนะชัวร์เช่นกัน สภาโลกมาแน่ กองทัพโลกโผล่แน่ ไปยิงกันในอวกาศต่อเลย กูชอบ กูจะไปหาเพื่อน E.T นอกโลกซะหน่อย)
    27 กย. 67
    11.30 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172741109996921670

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    27-09-67/01 : หมี CNN / "ROCK N ROLL" EP.86 ชื่อตอน "FIRST COME FIRST SERVE ไอ้สัส!" มาก่อนตายห่าก่อน เสี้ยนหนัก จัดให้ อย่าถอยสิ ดีออก? เพิ่งจะเริ่มปารี้ตี้กันอย่างเมามันส์ อียิวหางโผล่ สันดานสตรอเบอแหลไม่เลิก ดูทรงถูกลงแขกยับ ชิงเปิดโต๊ะเจรจา เชิญมรึงไปเจรจากับยมบาลก่อนก็แล้วกัน กูใส่อย่างเดียว! ยิวไม่ตายโลกไม่สงบ โลกตกผลึกแล้ว! ฮาแตก! โลกการละคร "หมูเด้ง" แซงหน้าโพลเลือกตั้งอีทรัมปป์กะอีกมลาบัดซบ ซะงั้น ควายเบื่อดูเหี้ย ดูฮิปโป มันส์กว่าสิน่ะ? เชิญมรึงเล่นละครหลอกควายไปเหอะ แผนเจรจาหยุดยิง มีแต่ควายที่เชื่อ เพราะโลกอาหรับ มุสลิม เค้าไม่มารอมรึงเห่าดอกน่ะ ฆ่าอย่างเดียว ถล่มไม่หยุด ใส่ยับ จนลืมหายใจ สู้กับอียิวเหี้ยสัดนรก ไม่มีคำว่า "พัก" ฆ่ามันจนกว่าจะหมดโลกเท่านั้น อิสราเอล สหรัฐ อังกฤษ NATO มรึงไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ต่อรอง มรึงมันแพ้ยับ ไอ้ขี้แพ้ ไอ้กระจอก ไม่มีสิทธิ์ ตั้งธงเปิดโต๊ะเจรจา สงครามจะหยุดหรือไม่ จะหยุดยิงหรือไม่ "อำนาจอยู่ที่ขั้วใหม่หมดทั้งสิ้น" ควายยังโง่ดักดานไม่เลิก! อียิวช็อค! ขั้วใหม่รู้ทัน ดักทางเกลี้ยง กดเหี้ยก่อสงครามเฉพาะจุด คุมพื้นที่ เล่นแค่ระดับภูมิภาค แผนแตกยุโรป แตกตะวันออกลาง กลายเป็นแตกเยรูซาเล็ม แตกยูเครนแทน เหตุเพราะกำลังพลในพื้นที่มีไม่พอ อาวุธไม่ถึง กระแสไม่ได้ โลกเอือมเหี้ยสุดขีด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อเมริกาต้องขายแผ่นดินชดใช้หนี้ อังกฤษต้องแตก เพราะอีสก็อต กับอีไอร์เหนือ ไม่อยู่แบกหนี้ที่มรึงก่อ ส่วนเยรูซาเล็มกลายเป็นสุสานยิวพันธุ์สัดนรก สงครามนุ๊ก ใช้ไม่ได้จริง ได้แต่ขู่ แต่อีกฝ่ายเค้าล้ำหน้าไปไกลแล้ว ยอมรับสภาพไม่ได้ ก็ยื้อกันไปแบบนี้ เข้าทางตรีนขั้วใหม่ เพราะ "เวลา" คืออาวุธชั้นดีที่จะเปลี่ยนโลก ดูภาพให้ชัด ปูติน สีจิ้นผิง ใช้เวลา ถอดหน้ากาก เผยธาตุแท้เหี้ยจนหมดเปลือก จนโลกเทเหี้ยย้ายขั้วกันหมด ศรีธนญชัย 2024 ก็เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันคือภาพเดียวกับที่โลกประสบอยู่ นี่คือการแก้เกมส์ที่ไม่ต้องเอาชีวิตคนทั้งโลกมาเป็นตัวประกัน ขั้วใหม่รอแค่ให้เหี้ยหมดหนทาง บีบให้ใช้นุ๊กก่อน เพื่อที่จะปิดบัญชียาวไป สงครามเป็นแค่เครื่องมือใช้พิสูจน์ผู้ชนะเท่านั้น แต่ผู้ชนะที่แท้จริงคือโลกตามใครต่างหาก? ดังนั้น โลกการละครที่ดูกันอยู่ อียิวเหี้ยได้ใจ อีส้มเน่า อีแดง เหี้ยได้ควาย มันก็แค่ภาพมายา บทถูกล้างบางมันจะมาเร็วกว่าที่คิด จบพศ.นี้ชัวร์! เพราะเหี้ยมันไม่เหลืออะไรจะสู้ได้อีกแล้ว หมดสภาพของจริง สุดท้าย แตกอเมริกา แตกอังกฤษ แตกเยรูซาเล็ม โลกก็กลับคืนสู่ภาวะปกติทันที แล้วสร้างโลกใหม่ขึ้นมา จับตาดูเครือข่ายโซเชี่ยลโลกที่เหี้ย C ควบคุมให้ดีดี ตอนนี้ แสงทำงานได้ผล สื่อเหี้ยตายราบคาบ โซเชี่ยลที่ปั่นเจอตอกหน้าหงาย เพราะผู้คนเริ่มรู้ทัน ส่วนควายก็ยังเป็นควายเหมือนเดิม เปลี่ยนโลกใหม่ ควายก็ยังไม่ตื่น เพราะมัน BORN TO BE กรรมเก่ามันเยอะ ผีบังตา อาร์คติคเริ่มขยับแล้ว ดูทรง ปูตินต้องการชวนเหี้ยกระจายกำลังไม่สิ้นสุด เมื่อกองกำลังมรึงถูกหั่น ถูกแบ่ง ต้องไปทำหน้าที่หลายพื้นที่ มันยังจะเหลือความแข็งแกร่งต่อมุย? นี่แหละ ที่เค้าเรียกว่า "สอนมวย" สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล ถังแตก หมดสภาพ เพราะดอลล่าร์ไม่ทำงาน เดินเกมส์ฆ่า ก็แพ้ยับ เดินเกมส์มั่ว ก็ถูกตบหน้าหงาย คำถามคือ "จุดจบมันอยู่ตรงไหน?" มันเริ่มไปแล้ว ตั้งแต่ BRICS ก่อตั้งสำเร็จ และโลกเทหมดหน้าตัก BRICS ฆ่าดอลล่าร์ ในขณะที่กองทัพรัสเซีย อิหร่าน จีน และชาติพันธมิตรอาหรับ มุสลิม ฆ่าตัวเหี้ย ตัวเป็นๆ เกลื่อนโลก เงินหมด ก็คือหมาไงจ๊ะ? ฝ่ายการเมืองเลบานอนหลบไป ดอกนี้ เฮซบอเลาะห์เข้าควบคุมประเทศเบ็ดเสร็จ ประกาศสงครามโดยตรงกับอิสราเอล ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประกาศพร้อมรบเต็มอัตราศึก โดยมีขั้วใหม่ให้ตราประทับ การันตี ชนะชัวร์! รูปแบบการศึกยุคใหม่ ทำให้เหี้ยไปไม่เป็น ยังชักปินยิงแบบหนังคาวบอยอยู่ ขณะที่ขั้วใหม่เน้นส่งยมฑูตบนฟ้ามาเยี่ยม มรึงจะไปชนะเค้าได้ยังไง? ภาพรวมตอนนี้ กองกำลังนับแสนเข้าทางเลบานอน แล้วออกไปไล่ฆ่าอียิวกับขี้ข้า ยึดพื้นที่ ทะลวงด่านเพื่อเชื่อมต่อกับ 3 ฮอ เชื่อมได้เมื่อไหร่คือ "GAME OVER" อียิวถึงได้สู้ตาย แต่ฝีมือมันห่างชั้นกันมากจนเกินไป อาวุธเทียบไม่ติด กระจอกเกินห้ามใจ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น โลกเค้าลงแขกมรึงแล้ว จะเหลือเหรอ? ทำไมอีทรัมปป์ ถึงได้กล้าประกาศล้างเผ่าพันธุ์ยิว คำตอบคือ "หากจะขึ้นเป็น KING แล้วยิวยังอยู่ มรึงจะได้แตกแผ่นดินมั้ยล่ะ?" ตอนนี้ ชื่ออียิวเหี้ยไซออนนิสต์ขายดี เป็นเทน้ำ เทท่า แค่เอ่ยชื่อมา "พร้อมตายโหงได้ทุกเมื่อ" มีแต่คนอยากจะลงแขกมันกันทั้งโลก อีทรัมปป์มันหัวไว ถามว่ามันกลับใจเหรอ? นายทุนเหี้ยสามานย์มีเหรอจะกลับใจ? กูจะเป็น KING จบน่ะ? แสงทำงาน จี้ปมในใจให้เหี้ยกำราบเหี้ย คนดีดีไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ อเมริกาไม่แตก อีทรัมปป์ก็ตายห่าชัวร์! โดนยัดข้อหาไป 200 กว่าคดี ต่างกรรม ต่างวาระ มรึงคิดว่าหากมันจะขึ้นเป็นผู้นำ สิ่งแรกที่มันต้องจัดการก่อนคืออะไรล่ะ? ดึงอำนาจเข้าหาตัวเอง เปลี่ยนกฎหมาย ใช้กฎกูแทนไงล่ะ? อเมริกาถูกกำหนดให้แตก โดยอีทรัมปป์นี่แหละ สวรรค์เขียนบทมาเช่นนั้น! ภายในอีทรัมปป์จัดการ ภายนอก ขั้วใหม่จัดอยู่ ชดใช้หนี้ ใครจะจ่าย เอาแผ่นดินไปล่ะกัน จบน่ะ? ปล.คุณยายหมุด ออกมาตบไอ้อีตระกละทั้งหลาย หน้าหงาย เงินแผ่นดิน ไม่ใช่เงินมรึง อยากจะแดร๊กกันตัวสั่น 10000 ได้ไป ชีวิตสั้นลงไปอีก 10 ปี ยมบาลจองคิวรอ สะท้อนภาพชัด คนกับควาย หมาหิว กับหมาเฝ้าบ้าน มันคนละสเปซี่จริงหนอ? อเมริกา ยุโรป จะอยู่ต่อยังไง? เมื่อมรึงจำเป็นต้องใช้พลังงาน อาหาร แหล่งแร่ สินค้าอุปโภค บริโภค อะไรที่มรึงผลิตเองไม่ได้ ต้องสั่งนำเข้า แต่เค้าไม่รับดอลล่าร์ ยูโร มรึงต้องจ่ายเป็นหยวน รูเบิล แทน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ภาคการเงิน การธนาคาร ตายสนิท เพราะเงินที่พวกมรึงเอามาใช้ล่วงหน้ามันถูกมัดตราสังข์เอาไว้ด้วยหนี้ก้อนมหาศาล ย้อนมาดูคลังไทยกันบ้าง เงินบาทแข็งไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลก มันควรจะแข็งโป๊กมานานแล้ว เพราะความเป็นจริง คลังไทยมีเงินเก็บมหาศาล ทองคำล้นทะลักคลัง แล้วมรึงจะเอาไปเปรียบเทียบกับคลังเน่า ที่ไม่เหลือแม้แต่เศษกรวดเนี่ยน่ะ ใครกำหนดล่ะ 1 USD=35THB กติกาเหี้ยไงล่ะ แค่มรึงตื่น แล้วดูข้อเท็จจริง คลังไทยรวยกว่าคลังอเมริกาเป็น 100 เท่า ความเป็นจริงที่ถูกต้องมันควรจะเป็น 1 THB = 35USD หมายังรู้? แต่นักวิชาเกิน นักเศรษฐกิจเกิน มันแกล้งโง่ไม่รู้ซะงั้น กลัวมันฆ่าเหรอจ๊ะ? ปูติน สีจิ้นผิง ออกตัวอุ้มซะขนาดนี้ มรึงยังต้องกลัวไอ้อีหน้าไหนอีกล่ะ? กองทัพไทยไม่ใช่ขี้ตรีน ธรรมดาซะที่ไหน? หากเอาจริง เหี้ย C ในไทย ตายห่าไปหมดแล้ว แต่เพราะนี่คือ AMAZING THAILAND ศรีธนญชัย 2024 เล่นบทมีแต่ได้ ไม่มีเสียไงล่ะ จะไปงัดกับเหี้ย ต้องดูก่อนว่ามันล้มชัวร์แล้ว มรึงจะได้เห็นยามที่เหี้ยสิ้นเนื้อประดาตัว หมายังไม่แล? ฮาแตก! นี่ไงปชต.ควาย ควายชอบ ฉลองเงิน 10000 เมาปลิ้น ตกคลองเกือบสิ้นชื่อ มรึงเข้าใจยัง? เงิน 10000 อยู่กับคนใช้เป็น จะสร้าง 100000 เงิน 10000 อยู่กับควาย จะเหลือ -10000 สติไม่มี จะเอาปัญญาที่ไหนคิด? กูเห็นเต็ม 2 ตา ในซอยบ้านกูเนี่ย แม่งนั่งทะเลาะกันเองในครอบครัว คนนึงได้ คนนึงไม่ได้ คนนึงได้ก่อน อีกคนได้ทีหลัง ตีกันยับ ด่ากันเละ มรึงคอยดูเหอะ กูพูดไม่มีผิดดอก เมื่อวังวนควาย มันเอาแต่ได้ มันเห็นแก่ตัว ไม่พ้นเรื่องกิเลส ตัณหา ราคะ สนองตัวมัน ได้วันนี้ ก็หมดวันนี้ ไหนล่ะ ต่อยอด กระตุ้นเศรษฐกิจ มรึงรู้ กูก็รู้ ว่าแผนนี้มันชงมาจากเยรูซาเล็ม เป้าหมายเดียวคือ บั่นทองเสถียรภาพแผ่นดินไทย อ้าว..แล้วทหารไม่รู้เหรอ? รู้ยิ่งกว่ารู้ เค้าคำนวณ ควบคุม และมองเกมส์ตลอด กูไบ้ไปแล้วน่ะ คลังไทยมีเงินมหาศาล มากกว่าที่มรึงคิดหลาย 100 เท่า การที่จะทำให้ควายทั้งแผ่นดินตาย และตื่นขึ้นมาได้นั้น มันต้องโดนกับตัวเอง อย่ากังวล เค้ามีตัวเลขรับได้ ทั้งหมดเพื่อแลกกับดอกเดียว "เชือดเหี้ยทั้งแผ่นดิน" ยึดทรัพย์เหี้ยทั้งแผ่นดิน ล้างบางการเมืองเหี้ยทั้งแผ่นดิน เงินแสนล้าน เค้ามีไว้พร้อมแล้ว แต่ใครบอกล่ะว่า จะให้มรึงผลาญง่ายๆ ไม่อยากจะชี้โพรงให้กระรอก เงินที่แจกคือเงินภาษีประชาชน คนเซ็นต์ คนรับผิดชอบ คนอนุมัติ คนเสนอโครงการ โดนหมด ทั้งแพ่ง อาญา มรึงลองนับดูสิ ทั้งพรรคมีกี่ตัว เอามาหาร 2 แสนล้าน ขาดเหลือเท่าไหร่ ตามเก็บกับอีเหลี่ยมเหี้ย ส่วนเงินชดใช้ต้องคืน ดอกนี้ วังจะเข้ามาแบกเอง ประชากรควายมันไม่มีปัญญาเอาเงินมาคืนดอก แค่จะแดร๊กให้รอดไปวันวันยังยาก เรื่องนี้ ทหารเค้าอ่านขาดหมดนานแล้ว ระดับเกจิ กุนซือแผ่นดิน คำว่า "เสียหาย" มันมีหลายระดับ พอรับได้ พอทน ไม่กระทบกระเทือนแผ่นดินระยะยาว คนชนชั้นกลาง ปัญญาชนทั้งหลาย มรึงแบกหนี้แผ่นดินนี้มาช้านานแล้ว เพราะเป็นกลุ่มกำลังสร้างเงินช่วยแผ่นดินจริง มรึงจะได้บุญกุศลคืนแน่ กูการันตี ทำดีย่อมได้ดี ย่อมเหี้ยย่อมต้องได้เหี้ย สัจธรรมตลอดกาล INFINITY+ เชื่อมั่นในหลวงก็พอ ปัญญากูมีเท่านี้ ยังรู้ แล้วเบื้องบนเค้าวางหมากหลายชั้นกว่านั้นเยอะ มรึงคิดว่า "จะเทวดาซะแค่ไหน" ไม่มีดอก เสียเปรียบ แค่ทุกอย่างอยู่ในสายพระเนตรของพ่อท่าน ก็อุ่นใจแล้ว เชื่อกูสิ! กูพูดหลายครั้งแล้วว่า แผ่นดินนี้ คือแผ่นดินทอง มีผู้ดูแล มีคนกำกับ แถมยังมีเทวดา นางฟ้า สิงสถิตอยู่ จะกลัวเหี้ยอะไรอีก? แสงอยู่เต็มพื้นที่ สว่างไสวด้วยพระบารมี! หมี CNN(เกมส์สงคราม อย่าดูปลีกย่อย ให้ดูภาพใหญ่ ภาพหลัก ภาพรวม แล้วจะไม่หลงทาง เหี้ยมันสร้างประเด็นได้ทุกวันอยู่แล้ว งานถนัดมัน สงครามไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ขั้วใหม่เค้าพร้อมจริง ถึงกล้าสั่งลุย เพราะประเมินแล้วว่า "ชนะชัวร์ 100%" ระดับปูติน สีจิ้นผิง ใช่เพื่อนเล่นมรึงเหรอ? ไทยและอาเซียน รวมทั้งโลก ก็จะชนะชัวร์เช่นกัน สภาโลกมาแน่ กองทัพโลกโผล่แน่ ไปยิงกันในอวกาศต่อเลย กูชอบ กูจะไปหาเพื่อน E.T นอกโลกซะหน่อย) 27 กย. 67 11.30 น. https://linevoom.line.me/post/1172741109996921670 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีปูตินระบุถึงการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนเรื่องนิวเคลียร์ของรัสเซีย เป็นคำเตือนครั้งใหม่ต่อโลกตะวันตก
    .
    President Putin outlines changes to Russia’s nuclear doctrine in a new warning to the West.

    🔗 Full transcript: http://en.kremlin.ru/events/president/news/75182
    .
    12:55 PM · Sep 27, 2024 · 3,116 Views
    https://x.com/PutinDirect/status/1839544351816556560
    ประธานาธิบดีปูตินระบุถึงการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนเรื่องนิวเคลียร์ของรัสเซีย เป็นคำเตือนครั้งใหม่ต่อโลกตะวันตก . President Putin outlines changes to Russia’s nuclear doctrine in a new warning to the West. 🔗 Full transcript: http://en.kremlin.ru/events/president/news/75182 . 12:55 PM · Sep 27, 2024 · 3,116 Views https://x.com/PutinDirect/status/1839544351816556560
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 107 0 รีวิว
  • 😱 ฮ่องกงแซงหน้าสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงิน!

    เป็นไปได้อย่างไร? สื่ออเมริกันและอังกฤษต่างก็ร้องโวยวายว่า "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ได้ทำลายเสรีภาพในฮ่องกง, ซึ่งตอนนี้ไม่มีอนาคตแล้ว?

    🤣พวกจักรวรรดินิยมมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับจีนอยู่เสมอ, แต่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้เลย🤣
    .
    😱 Hong Kong surpasses Singapore as a financial center!

    How’s that possible? All the American and British media cried that China’s “CCP” had destroyed the freeeeedom in HK, which now has no future?

    Imperialists are wrong about China all the time, but they never learn.
    .
    10:09 AM · Sep 27, 2024 · 2,512 Views
    https://x.com/Kanthan2030/status/1839502595624214605
    😱 ฮ่องกงแซงหน้าสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงิน! เป็นไปได้อย่างไร? สื่ออเมริกันและอังกฤษต่างก็ร้องโวยวายว่า "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ได้ทำลายเสรีภาพในฮ่องกง, ซึ่งตอนนี้ไม่มีอนาคตแล้ว? 🤣พวกจักรวรรดินิยมมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับจีนอยู่เสมอ, แต่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้เลย🤣 . 😱 Hong Kong surpasses Singapore as a financial center! How’s that possible? All the American and British media cried that China’s “CCP” had destroyed the freeeeedom in HK, which now has no future? Imperialists are wrong about China all the time, but they never learn. . 10:09 AM · Sep 27, 2024 · 2,512 Views https://x.com/Kanthan2030/status/1839502595624214605
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪵 Rosewood Essential oil

    .. Rosewood เป็นน้ำมันหอมระเหยหายาก ที่มี % ของ Linalool สูงกว่ากันชา และลาเวนเดอร์ ถึง 2 เท่า

    ..มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น..
    • ช่วยอาการนอนไม่หลับ
    • ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวล
    • ช่วยบรรเทาอาการปวด
    • ช่วยแก้สิว ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย แก้ผิวมัน และแผลเป็น

    และอีกมากมาย

    ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %...

    #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ#thaitimes
    🪵 Rosewood Essential oil .. Rosewood เป็นน้ำมันหอมระเหยหายาก ที่มี % ของ Linalool สูงกว่ากันชา และลาเวนเดอร์ ถึง 2 เท่า ..มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น.. • ช่วยอาการนอนไม่หลับ • ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวล • ช่วยบรรเทาอาการปวด • ช่วยแก้สิว ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย แก้ผิวมัน และแผลเป็น และอีกมากมาย ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %... #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ゚ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 829 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇷🇺💥🇺🇦🇺🇲🇬🇧🇪🇺🏴‍☠️‼️ รัสเซียทำลายกองบัญชาการปฏิบัติการลับของนาโต้ในเคียฟด้วยขีปนาวุธคาลิบาร์‼️

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมา, สื่อทั่วโลก, โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ด้านการทหาร, ให้ความสนใจกับการโจมตีทางทหารของรัสเซียในเป้าหมายต่างๆทั่วยูเครน 👇
    .
    🇷🇺💥🇺🇦🇺🇲🇬🇧🇪🇺🏴‍☠️‼️The Russians destroyed the secret NATO headquarters in Kiev with Kalibar missiles‼️

    In the past week, the attention of the world's media, and especially military analysts, has been focused on large-scale Russian military attacks on targets across Ukraine. 👇
    .
    7:21 PM · Sep 26, 2024 · 164.5K Views
    https://x.com/onlydjole/status/1839279188710236629
    .
    กองบัญชาการปฏิบัติการลับของนาโต้ ถูกทำลายในเคียฟ

    ที่มา: Confidential Sources และ Hal Turner

    NATO secret operations headquarters destroyed in Kiev

    Source: Confidential Sources and Hal Turner

    https://www.coreinsightsintl.com/post/nato-secret-operations-headquarters-destroyed-in-kiev
    🇷🇺💥🇺🇦🇺🇲🇬🇧🇪🇺🏴‍☠️‼️ รัสเซียทำลายกองบัญชาการปฏิบัติการลับของนาโต้ในเคียฟด้วยขีปนาวุธคาลิบาร์‼️ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา, สื่อทั่วโลก, โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ด้านการทหาร, ให้ความสนใจกับการโจมตีทางทหารของรัสเซียในเป้าหมายต่างๆทั่วยูเครน 👇 . 🇷🇺💥🇺🇦🇺🇲🇬🇧🇪🇺🏴‍☠️‼️The Russians destroyed the secret NATO headquarters in Kiev with Kalibar missiles‼️ In the past week, the attention of the world's media, and especially military analysts, has been focused on large-scale Russian military attacks on targets across Ukraine. 👇 . 7:21 PM · Sep 26, 2024 · 164.5K Views https://x.com/onlydjole/status/1839279188710236629 . กองบัญชาการปฏิบัติการลับของนาโต้ ถูกทำลายในเคียฟ ที่มา: Confidential Sources และ Hal Turner NATO secret operations headquarters destroyed in Kiev Source: Confidential Sources and Hal Turner https://www.coreinsightsintl.com/post/nato-secret-operations-headquarters-destroyed-in-kiev
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก

    ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น

    นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่

    ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก

    นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

    ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น

    สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค

    #Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซีย
    มาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค #Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซีย
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • Goodnight everyone 😴
    Goodnight everyone 😴
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 63 0 รีวิว
  • ออกบทความวิจัย หลอกลวง บอกว่ากินยา HCQ แล้วมีคนตายไป 17,000 คน
    แต่มันคือ ข่าวเท็จ เลยถูกถอนบทวิจัยออกจาก NIH

    แต่ ... พอค้นอากู๋ กลับยังมีข่าวหลอกลวง ตามหลอกหลอน
    เพราะบรรดาสื่อสามานย์ไม่เอาออก ยังแปะไว้อยู่แบบนั้นแหละ
    ให้มันยังคงปล่อยข่าวลวง ไปเรื่อยๆ มีไรป่าว ? (devil smile)

    https://childrenshealthdefense.org/defender/deaths-hydroxychloroquine-propaganda/

    ถอนบทวิจัย หลอกลวงไปแล้ว แต่ ... พอค้นอากู๋ กลับยังเจอข่าวเพียบ
    ออกบทความวิจัย หลอกลวง บอกว่ากินยา HCQ แล้วมีคนตายไป 17,000 คน แต่มันคือ ข่าวเท็จ เลยถูกถอนบทวิจัยออกจาก NIH แต่ ... พอค้นอากู๋ กลับยังมีข่าวหลอกลวง ตามหลอกหลอน เพราะบรรดาสื่อสามานย์ไม่เอาออก ยังแปะไว้อยู่แบบนั้นแหละ ให้มันยังคงปล่อยข่าวลวง ไปเรื่อยๆ มีไรป่าว ? (devil smile) https://childrenshealthdefense.org/defender/deaths-hydroxychloroquine-propaganda/ ถอนบทวิจัย หลอกลวงไปแล้ว แต่ ... พอค้นอากู๋ กลับยังเจอข่าวเพียบ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!!

    หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004)

    ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว
    ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU
    (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย)
    เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU
    Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค
    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา
    พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว
    วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา
    ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน

    การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม
    แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน
    ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน
    เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ
    สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor)
    พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร)
    นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน

    แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย
    ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้
    และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า………
    นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย

    ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง
    เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน
    แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน
    ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้

    ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา
    ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย
    ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ
    ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป
    การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้
    นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ……

    ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย
    Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze
    เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง
    ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003
    เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน
    และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili
    (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง)
    เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง
    ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง
    แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด
    ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ

    ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน
    ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน
    อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก

    แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988
    ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า
    ขอบเขตแดน
    ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย
    ในปี 1954
    ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

    ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี)
    ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์,
    สตาลิน และ รูสเวลส์)
    ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย
    ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!!
    และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!!
    ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว

    มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ
    รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom
    จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี
    คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland)
    ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน……

    เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา
    เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา
    การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว
    ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน

    การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น
    มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน
    ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน

    ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY)
    ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย
    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก
    บุช หรือ ปูติน
    ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ?
    ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน
    ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น

    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ
    ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46%
    แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง
    กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง
    ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ
    ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…;
    เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู
    แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!!

    สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้
    จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
    VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk

    วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์
    ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!!

    ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44%
    ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต
    ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้
    และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!!

    ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!! หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004) ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย) เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor) พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร) นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า……… นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ…… ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003 เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง) เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988 ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า ขอบเขตแดน ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย ในปี 1954 ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี) ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์, สตาลิน และ รูสเวลส์) ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!! และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!! ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland) ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน…… เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY) ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก บุช หรือ ปูติน ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ? ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46% แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…; เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!! สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้ จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์ ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!! ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44% ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้ และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!! ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☘️My violet shining in Thursday Evening (Sep-26, 2024)☘️
    ☘️My violet shining in Thursday Evening (Sep-26, 2024)☘️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีใคร
    ทำให้เรารู้สึกต้อยต่ำได้
    ถ้าเราไม่ยินยอม

    จากหนังสือ | This is My Story, Eleanor Roosevelt

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes
    ไม่มีใคร ทำให้เรารู้สึกต้อยต่ำได้ ถ้าเราไม่ยินยอม จากหนังสือ | This is My Story, Eleanor Roosevelt #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #การใช้ชีวิต #ทัศนคติ #Thaitimes
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 793 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chicky or Helene :


    My Yorkie Chicky was born in 2012 - she just turned 12 years last week. If you were living in France, I would give you the name of "Helene", my name in French.

    Indeed, you may (or may not) know that in France and probably in other countries like Belgium, for all the dogs with pedigree, each year of birth is associated to a particular alphabet : in 2012 to "H"(and 2024 to "V").

    This regulation dates back to 1926. All the dogs with pedigree and registered at the "Livre des Origins Francais" (LOF) in France will be given a name following this specific rule to easily their DOB identification.

    Nevertheless, since some alphabets may cause difficulties to name the dog (French names), especially the letters K, Q, W, X, Y and Z, do names are limited to 20 letters. "V" is for the year 2024, therefore all the dogs born in 2025, will be given a name beginning with "A".
    Chicky or Helene : My Yorkie Chicky was born in 2012 - she just turned 12 years last week. If you were living in France, I would give you the name of "Helene", my name in French. Indeed, you may (or may not) know that in France and probably in other countries like Belgium, for all the dogs with pedigree, each year of birth is associated to a particular alphabet : in 2012 to "H"(and 2024 to "V"). This regulation dates back to 1926. All the dogs with pedigree and registered at the "Livre des Origins Francais" (LOF) in France will be given a name following this specific rule to easily their DOB identification. Nevertheless, since some alphabets may cause difficulties to name the dog (French names), especially the letters K, Q, W, X, Y and Z, do names are limited to 20 letters. "V" is for the year 2024, therefore all the dogs born in 2025, will be given a name beginning with "A".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠

    🤯สาม การพลิกกลับ🤯

    สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม

    เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด

    ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก

    ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก

    สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม

    แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต

    เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้

    อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้

    เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง

    ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น

    แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี

    ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก

    🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯

    อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน

    ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้

    บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา

    ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้

    ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน

    😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎

    เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน

    ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง

    สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง

    ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠 🤯สาม การพลิกกลับ🤯 สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้ เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก 🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯 อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้ บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้ ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน 😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎 เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • Owning rural property comes with its unique charms, but the burden of property taxes can quickly turn the dream into a financial challenge. If you're tired of dealing with tax hassles and seeking a swift solution, John Everett, your trusted land buyer, is ready to offer quick cash for your rural property. In this blog, discover how John Everett can streamline the process, providing immediate relief from tax concerns and transforming your property into liquid assets without the usual hassles.
    http://www.landbuyer.org
    Owning rural property comes with its unique charms, but the burden of property taxes can quickly turn the dream into a financial challenge. If you're tired of dealing with tax hassles and seeking a swift solution, John Everett, your trusted land buyer, is ready to offer quick cash for your rural property. In this blog, discover how John Everett can streamline the process, providing immediate relief from tax concerns and transforming your property into liquid assets without the usual hassles. http://www.landbuyer.org
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 26-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.9 ตอน "KILL THEM(FCUK JEWS BASTARD) ALL" ล่อกันเมามันส์ เปิดฉากแลกกันแบบลืมหายใจ เสี้ยนอยากตาย จัดให้! เฮซบอเลาะห์ถล่มใส่ฐานบัญชาการ "อีมดสัด" แตกกระจุย กลางกรุงเทลอาวีฟ ช็อคแดร๊ก! สื่อตี 40000 เข้าช่วยเลบานอน ของจริงมาเป็นแสนไอ้สัส มาจากไหนไม่รู้? เลบานอนช่วงโปรไฟไหม้ คึกคักสัด อย่างกะปลากระดี่ได้น้ำ ดาหน้ายกพลเตรียมขึ้นบก เอาส้นตรีนไปขยี้หน้าทหารยิวเหี้ยนอนตายเกลื่อน ตอนเหนือแค่ป่าช้า! หลังจีนประกาศอุ้มเลบานอนเต็มเหนี่ยว ของก็ถึงมือทันที อะไรน่ะเหรอ? "โดรน AI" MADE IN CHINA เยเมนกลัวเหงาจัด ไอ้สัส! ทะเลแดงเงียบกริบ เหี้ยมันหายหัวไปไหนหมดฟ่ะ? ขอร่วมแจมเลบานอน ส่งมือดี เพชรฆาตรัตติกาล เข้าไปช่วยซ้อมเป้า อีเหี้ยมะกันเห็นลวกเพ่ยิวขี้แตก หวังจะเข้าไปช่วย โดนลูกยาวขู่ มรึงเข้าคือตายโหง! ตอนนี้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว ปิดช่องทางหลบหนี เปิดให้แลกซึ่งหน้าอย่างเดียว แบบนี้ อียิวก็ตายโหงตายห่าชัวร์ จะเอาเหี้ยอะไรไปสู้ได้ล่ะ? สื่อหลอกควาย ควายก็โง่บัดซบ แค่ใช้สติ ไม่ต้องเสพข่าว ยังรู้ ว่าใครได้เปรียบ เสียเปรียบยังไง? โลกน่ะมรึง! มรึงสู้กับทั้งโลกไหวเหรอ ดีออก? คำว่า "ลงแขก" ไม่ใช่เอาแค่มรึงแพ้ หรือตาย งานนี้ ใบสั่งมุสลิมทั้งโลก "เอาให้สูญพันธุ์ยิว" ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ทั้งหลาย เชิญกลับขุมนรกตามพ่อเหี้ยลูซิเฟอร์มรึงไปซ่ะน่ะ! ถล่มฐานลับอีมดสัดได้ มรึงไม่ต้องไปหาข่าวกรองที่ไหนอีกแล้ว แบบว่ารั่วสุดขีด เกลือเป็นหนอนทั้งนั้น! ไม่ทันไร รัสเซียเพิ่งจะออกอาวุธใหม่อีกดอก เหี้ยจะอยู่ต่อไหวเหรอ? แผนปูตินหลายชั้น ก่อนเปิดยูเครน ล่อยูเครนจนคลังอาวุธเก่าสมัยโซเวียตหมดเกลี้ยง ทำให้อี NATO ต้องส่งทหารนาโต้เข้ามาประจำการ เหตุเพราะทหารยูเครน มันใช้อาวุธตะวันตกไม่เป็นน่ะสิ เมื่ออาวุธมาพร้อมกับคนใช้เป็น คำตอบคือ ตายโหงทั้งอาวุธและคนใช้ เมื่อตายไปเยอะ ก็ยิ่งแค้นจัด ส่งเพิ่มเข้ามา ส่งเติมเข้ามา ก็ถูกกับดักที่มารีโอโพสตายห่าในถ้ำใต้ดินเป็นพันตัว ลูกยาวลงหัวทุกวัน ทหารพิการทั้งกองทัพ ทั้งหมดมันคือภาพที่รัสเซียวางไว้ก่อนแล้ว นี่ไง อัจฉริยะตัวจริง! อาร์คติคระอุเดือด รัสเซียขยายฐานพื้นที่ในอาร์คติค ขยันสำรวจอลาสก้าเพิ่ม จนบินรบเหี้ยต้องตามประกบบินสำรวจรัสเซียเช้าเย็น หากวัดกันจริง ระยะห่างระหว่างสหรัฐ และรัสเซียในขั้วโลกเหนือห่างกันแค่ 4 กิโลเมตรเอง ไม่แปลก หากเหี้ยจะแตกแผ่นดิน ไม่ต้องถามว่า อลาสก้าจะยังอยู่มุย? รัสเซียปักป้ายจองคืนไว้นานแล้ว แค่จะจ่าย หรือของฟรี เท่านั้นเอง! ฐานทัพอาร์คติคของรัสเซียขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเยอะ ผู้คนเข้าอาร์คติคมากขึ้นจากการขยายฐานนั่นเอง ส่งผลให้ความมั่นคง แข็งแกร่งของรัสเซีย ในอาร์คติคเด่นชัดยิ่งขึ้น ฐานทัพเหี้ย ในนาม NATO ทางขั้วโลกเหนือ ไม่สามารถต่อกรกับรัสเซียได้เลย เพราะแค่เรือตัดน้ำแข็งยังไม่มี ไม่พังก็ซ่อม เพราะไม่ได้ใช้นานแล้ว แต่รัสเซียผลิตเพิ่ม ใช้เยอะ ใช้ทุกวัน ภาพมันฟ้อง "อาร์คติค" เป็นของใครเบ็ดเสร็จ ไม่แปลกที่จีนเข้ามาร่วมด้วย ขอมีเอี่ยว เพราะมันคือแหล่งแก็สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดใน 3 โลก ดังนั้น ตามรัสเซีย โลกจะไม่มีวันหมดพลังงานใช้เด็ดขาด มีเยอะ มีเกินกว่าที่มรึงจะคาดคิด สั้นๆ "กว้างใหญ่ไพศาลมโหฬารบานตะบือ" ข้ามวิกแป๊บ : ไอ้สัส! ดีใจแค่วันเดียว 25 กำลังจะไล่แจก ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง เอาหมด ฝ่ายกฎหมายยิ้มแก้มปริ มรึงหาเรื่องไร้แผ่นดินอยู่ ไม่ทันไร ข้อกฎหมายออกมาจ่อหัวเพี๊ยบ เหี้ยมันรู้ อีนายกปลอมก็รู้ ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะทำลายแผ่นดินไทยได้อย่างไร? กูบอกแล้วชิมิ? นโยบายไม่มีดอก รับงานอีเยรูซาเล็มมาเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานบ้านพ่อกู ดอก 10000 คุกยังไม่พอ ยังซ้ำดาบสองด้วยขึ้นค่าแรง 400 คนไทยไม่ได้ พม่า ลาว ขะแมร์เอาไปแดร๊กหมด นี่ไง ปชต.โคตรพ่องที่พวกมรึงใฝ่ฝัน เมื่อมรึงไม่แคร์ชาติและแผ่นดิน กูก็ไม่ต้องไว้หน้าไอ้พวกเสนียดเกาะกินแผ่นดินเช่นกัน ทำไปเหอะ ทุกอย่าง เอาอีก เอาให้เหี้ยกว่านี้ เอาให้สุดโต่ง ขายชาติ แบ่งขายกันไปเลย แล้วมรึงรอดูวันที่ศาลไคฟงลงดาบน่ะมรึง หายหมดเกลี้ยง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ นี่คือเกมส์ "เค้าเล่นกันไว้แบบนี้" ปล่อยทหารเค้าเดินหมากของเค้าไป มรึงอย่าอิน อย่าเครียดกันมาก ไม่มีดอกน่ะ ทำเหี้ยได้ดี ทำชั่วได้ดี มันมีแต่ในการ์ตูนหลอกควายเท่านั้น โลกความจริง ทุกอย่างย่อมต้องชดใช้! ตอนนี้ มรึงควรจะเชียร์ แจกให้ครบ จบทุกขบวนความ ใครรับ ก็เตรียมถูกฟ้องเรียกเงินคืน ไม่มีจ่าย ก็ต้องชดใช้คืน ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง เงินแจกฟรี มันมีแต่เฉพาะชาติที่เป็นง่อยเท่านั้น ไม่ทำมาหาแดร๊ก แบมือขอท่าเดียว! มรึงดูอีเมสซี่แลนด์ก็พอ ป่านนี้ ยังเป็นหนี้หัวบานกับ IMF ต้องทะยอยขายทรัพย์สินแผ่นดินเรื่อยไป งานนี้ พูดจริง คุกจริง ตายจริง เผ่นจริง ราบคาบ เบ็ดเสร็จ สงครามเค้าไม่ได้ดูกันที่วันแรก เค้าดูกันตอนจบ ถึงค่อยนับศพทหาร? ไม่ว่ามรึงจะเล่นแร่แปรวิญญาน ตอแหล แถไปเรื่อยยังไง สุดท้าย จบที่คุกเท่านั้น ปัญหาจะตามมาทันที ใครไม่ได้เงิน ใครได้ไม่ครบ ใครยังไม่ได้รับสิทธิ์ งานนี้ โดมิโน่ แอฟเฟคมาเต็ม ไม่อยากจะเดาว่าเละเทะแค่ไหน? ไปหมดเกลี้ยงทั้งอีแดง อีส้มเน่า แล้วยังจะเหลือใครอีกล่ะ? ก็เปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันใหม่ไงล่ะ ทุกอย่างมันเดินมาทรงนี้หมดแล้ว! รอดูดาบอาจารย์ฮันโซ ที่เสธ.แดงถือเอาไว้ให้ดีดี จะบั่นหัวไอ้เนรคุณขายชาติได้กี่ตัว? งานนี้ อาจไม่จบที่ศาล แต่ไปสุสานแทนซะก่อน?

    ปล.ดูภาพใหญ่เข้าไว้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว รัสเซียลงแขกอี NATO แล้ว เหลือจีน โสมแดง กำลังจะลงแขกใครเอ่ย? เดาดูจิ? ด้านจีนคือทำลายรากฐานความมั่นคงด้านการเงินยิวเหี้ย จัดการกระทืบดอลล่าร์ตายคาตรีน จนเงินหยวนขึ้นมาแซงเป็นอันดับ 1 ตอนนี้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะต้องทำให้มันกลายเป็น 0 จนโลกลืมไปว่า อดีตเคยมีดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก ที่มาว่าทำไม จีนรุกหนักอุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV แหล่งแร่ พลังงาน ตลาดย่อยออนไลน์ โลจิสติค อาหาร ตลาดหุ้น ด้านการเงิน การธนาคาร แหล่งเงินทุน จีนไล่ทุบเส้นเลือดเหี้ยรายวัน นั่นคือแผนที่ขั้วใหม่เค้าวางเอาไว้ จีนเล่นบทบุ๋น รัสเซียเล่นบทบู๊ อิหร่านแฮปปี้ ได้ขย่มอียิวสัดนรกตายคาตรีนอย่างเอร็ดอร่อย โสมแดงรอเล่นบท "พระเอก" ปักธงโสมแดงบนยอดทำเนียบขาว ขยี้ปชต.หลอกแดร๊กโลกให้สิ้นซาก ช่วงนี้ จะเป็นช่วงเวลาโชว์ของหนัก อาวุธลับกันแล้ว สิ่งที่เหี้ยหนักใจที่สุดกำลังจะมา ไอ้ที่มรึงโดนมาตลอด 2 ปีกว่าเนี่ย นั่นแค่ออเดิร์ฟ ไอ้สัส! จีนยิงโชว์แล้ว ขีปนาวุธข้ามทวีป ส่งสัญญานตรงถึงวอชิงตัน อย่าห้าวเป้ง! กระจอกก็หลบไป ไอ้น้อง! อยู่ดีดี เรือเติมน้ำมันพัง เรือบรรทุกเครื่องบินจอดสนิท ถามจริงเหอะ! พิการซะขนาดนี้ ยังจะเสี้ยนตายโหงต่ออีกมุย? จะทำให้เหนื่อยไปทำไม? ไอ้อีอเมริกันควายในแผ่นดิน มันมีปัญญาจะทำอะไรมรึงได้ สร้างสตอรี่มาซะขนาดนี้ ประกาศไปเลย อเมริกาจะยกแผ่นดินให้อิสราเอลมาอยู่แทน ปรับชาวอเมริกันเป็นประชาชนชั้น 2 คือจบทันที ยิวได้แผ่นดินใหม่ มรึงไม่ต้องตายห่าสูญพันธุ์ โลกไม่ต้องการมรึง ต่างคนต่างอยู่ ที่ทำไปทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่ออียิวตอแหลสลัดหมาเหรอ? ยิ่งนานวัน มรึงยิ่งจะเสียหมามากขึ้นเรื่อยๆ หมดสภาพ สุดท้ายถูกหั่น แตกยับ ตอนโซเวียตแตก ทุกอย่างยังอยู่ครบ แค่ใช้ชื่อใหม่ และปูตินตามมาเก็บกลับคืนแผ่นดินแม่ได้หมด ต่างจากอเมริกา ที่จะสูญพันธุ์ไปตลอดกาล ไม่เหลือเรื่องราวให้เล่าขานอีกต่อไป นอกจากเรื่องเหยียบดวงจันทร์ตอแหลนั่นแหละ โลกจะล้อมรึงไปอีก 1000 ปี เกมส์เพิ่งจะเริ่ม จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรมันมักจะไปไวมาไวเสมอ ยามสิ้นกลียุค ถูกปูพรมหายเรียบวุธ! กระแสโลกมันเดินมาทางเดียวหมดแล้ว ใครดี ใครเหี้ย รู้แจ้งจางปางหมดเกลี้ยง?

    หมี CNN(ยุคคาวบอยกำลังจะสิ้นสุด เข้าสู่ยุคปัญญา ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องขู่ บีบปากท้องก็ตายห่าแล้ว นุ๊กไร้น้ำยา ขู่หมายังไม่ได้ จะเปิดเกมส์ใหญ่ แต่ปัญญาไม่มี ถังแตก หมดตูด จะเอาเหี้ยอะไรแดร๊ก อย่าว่าจะเปิดศึกเลย อเมริกาคือหมา(รับใช้) อังกฤษคือหมา(รับใช้) ส่วนอิสราเอลคือเหี้ย(ตัวบงการใหญ่) ส่วนอีเรปทีเรี่ยนคือเหี้ยกว่า(ตัวสั่งตัวบงการอีกที) สุดท้ายแสงพาลงทัวร์ขุมนรกกันหมด มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น ไฟนรกเหมาะกับมรึง วันพิพากษาใกล้เข้ามาแล้ว WWIII แค่ชื่อเรียก นรกบนดินผุดขึ้นมา
    26 กย. 67
    12.35 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172732901793834377
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    26-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.9 ตอน "KILL THEM(FCUK JEWS BASTARD) ALL" ล่อกันเมามันส์ เปิดฉากแลกกันแบบลืมหายใจ เสี้ยนอยากตาย จัดให้! เฮซบอเลาะห์ถล่มใส่ฐานบัญชาการ "อีมดสัด" แตกกระจุย กลางกรุงเทลอาวีฟ ช็อคแดร๊ก! สื่อตี 40000 เข้าช่วยเลบานอน ของจริงมาเป็นแสนไอ้สัส มาจากไหนไม่รู้? เลบานอนช่วงโปรไฟไหม้ คึกคักสัด อย่างกะปลากระดี่ได้น้ำ ดาหน้ายกพลเตรียมขึ้นบก เอาส้นตรีนไปขยี้หน้าทหารยิวเหี้ยนอนตายเกลื่อน ตอนเหนือแค่ป่าช้า! หลังจีนประกาศอุ้มเลบานอนเต็มเหนี่ยว ของก็ถึงมือทันที อะไรน่ะเหรอ? "โดรน AI" MADE IN CHINA เยเมนกลัวเหงาจัด ไอ้สัส! ทะเลแดงเงียบกริบ เหี้ยมันหายหัวไปไหนหมดฟ่ะ? ขอร่วมแจมเลบานอน ส่งมือดี เพชรฆาตรัตติกาล เข้าไปช่วยซ้อมเป้า อีเหี้ยมะกันเห็นลวกเพ่ยิวขี้แตก หวังจะเข้าไปช่วย โดนลูกยาวขู่ มรึงเข้าคือตายโหง! ตอนนี้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว ปิดช่องทางหลบหนี เปิดให้แลกซึ่งหน้าอย่างเดียว แบบนี้ อียิวก็ตายโหงตายห่าชัวร์ จะเอาเหี้ยอะไรไปสู้ได้ล่ะ? สื่อหลอกควาย ควายก็โง่บัดซบ แค่ใช้สติ ไม่ต้องเสพข่าว ยังรู้ ว่าใครได้เปรียบ เสียเปรียบยังไง? โลกน่ะมรึง! มรึงสู้กับทั้งโลกไหวเหรอ ดีออก? คำว่า "ลงแขก" ไม่ใช่เอาแค่มรึงแพ้ หรือตาย งานนี้ ใบสั่งมุสลิมทั้งโลก "เอาให้สูญพันธุ์ยิว" ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ทั้งหลาย เชิญกลับขุมนรกตามพ่อเหี้ยลูซิเฟอร์มรึงไปซ่ะน่ะ! ถล่มฐานลับอีมดสัดได้ มรึงไม่ต้องไปหาข่าวกรองที่ไหนอีกแล้ว แบบว่ารั่วสุดขีด เกลือเป็นหนอนทั้งนั้น! ไม่ทันไร รัสเซียเพิ่งจะออกอาวุธใหม่อีกดอก เหี้ยจะอยู่ต่อไหวเหรอ? แผนปูตินหลายชั้น ก่อนเปิดยูเครน ล่อยูเครนจนคลังอาวุธเก่าสมัยโซเวียตหมดเกลี้ยง ทำให้อี NATO ต้องส่งทหารนาโต้เข้ามาประจำการ เหตุเพราะทหารยูเครน มันใช้อาวุธตะวันตกไม่เป็นน่ะสิ เมื่ออาวุธมาพร้อมกับคนใช้เป็น คำตอบคือ ตายโหงทั้งอาวุธและคนใช้ เมื่อตายไปเยอะ ก็ยิ่งแค้นจัด ส่งเพิ่มเข้ามา ส่งเติมเข้ามา ก็ถูกกับดักที่มารีโอโพสตายห่าในถ้ำใต้ดินเป็นพันตัว ลูกยาวลงหัวทุกวัน ทหารพิการทั้งกองทัพ ทั้งหมดมันคือภาพที่รัสเซียวางไว้ก่อนแล้ว นี่ไง อัจฉริยะตัวจริง! อาร์คติคระอุเดือด รัสเซียขยายฐานพื้นที่ในอาร์คติค ขยันสำรวจอลาสก้าเพิ่ม จนบินรบเหี้ยต้องตามประกบบินสำรวจรัสเซียเช้าเย็น หากวัดกันจริง ระยะห่างระหว่างสหรัฐ และรัสเซียในขั้วโลกเหนือห่างกันแค่ 4 กิโลเมตรเอง ไม่แปลก หากเหี้ยจะแตกแผ่นดิน ไม่ต้องถามว่า อลาสก้าจะยังอยู่มุย? รัสเซียปักป้ายจองคืนไว้นานแล้ว แค่จะจ่าย หรือของฟรี เท่านั้นเอง! ฐานทัพอาร์คติคของรัสเซียขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเยอะ ผู้คนเข้าอาร์คติคมากขึ้นจากการขยายฐานนั่นเอง ส่งผลให้ความมั่นคง แข็งแกร่งของรัสเซีย ในอาร์คติคเด่นชัดยิ่งขึ้น ฐานทัพเหี้ย ในนาม NATO ทางขั้วโลกเหนือ ไม่สามารถต่อกรกับรัสเซียได้เลย เพราะแค่เรือตัดน้ำแข็งยังไม่มี ไม่พังก็ซ่อม เพราะไม่ได้ใช้นานแล้ว แต่รัสเซียผลิตเพิ่ม ใช้เยอะ ใช้ทุกวัน ภาพมันฟ้อง "อาร์คติค" เป็นของใครเบ็ดเสร็จ ไม่แปลกที่จีนเข้ามาร่วมด้วย ขอมีเอี่ยว เพราะมันคือแหล่งแก็สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดใน 3 โลก ดังนั้น ตามรัสเซีย โลกจะไม่มีวันหมดพลังงานใช้เด็ดขาด มีเยอะ มีเกินกว่าที่มรึงจะคาดคิด สั้นๆ "กว้างใหญ่ไพศาลมโหฬารบานตะบือ" ข้ามวิกแป๊บ : ไอ้สัส! ดีใจแค่วันเดียว 25 กำลังจะไล่แจก ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง เอาหมด ฝ่ายกฎหมายยิ้มแก้มปริ มรึงหาเรื่องไร้แผ่นดินอยู่ ไม่ทันไร ข้อกฎหมายออกมาจ่อหัวเพี๊ยบ เหี้ยมันรู้ อีนายกปลอมก็รู้ ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะทำลายแผ่นดินไทยได้อย่างไร? กูบอกแล้วชิมิ? นโยบายไม่มีดอก รับงานอีเยรูซาเล็มมาเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานบ้านพ่อกู ดอก 10000 คุกยังไม่พอ ยังซ้ำดาบสองด้วยขึ้นค่าแรง 400 คนไทยไม่ได้ พม่า ลาว ขะแมร์เอาไปแดร๊กหมด นี่ไง ปชต.โคตรพ่องที่พวกมรึงใฝ่ฝัน เมื่อมรึงไม่แคร์ชาติและแผ่นดิน กูก็ไม่ต้องไว้หน้าไอ้พวกเสนียดเกาะกินแผ่นดินเช่นกัน ทำไปเหอะ ทุกอย่าง เอาอีก เอาให้เหี้ยกว่านี้ เอาให้สุดโต่ง ขายชาติ แบ่งขายกันไปเลย แล้วมรึงรอดูวันที่ศาลไคฟงลงดาบน่ะมรึง หายหมดเกลี้ยง ใครจะโง่อยู่รอโดนเชือดกันล่ะ นี่คือเกมส์ "เค้าเล่นกันไว้แบบนี้" ปล่อยทหารเค้าเดินหมากของเค้าไป มรึงอย่าอิน อย่าเครียดกันมาก ไม่มีดอกน่ะ ทำเหี้ยได้ดี ทำชั่วได้ดี มันมีแต่ในการ์ตูนหลอกควายเท่านั้น โลกความจริง ทุกอย่างย่อมต้องชดใช้! ตอนนี้ มรึงควรจะเชียร์ แจกให้ครบ จบทุกขบวนความ ใครรับ ก็เตรียมถูกฟ้องเรียกเงินคืน ไม่มีจ่าย ก็ต้องชดใช้คืน ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง เงินแจกฟรี มันมีแต่เฉพาะชาติที่เป็นง่อยเท่านั้น ไม่ทำมาหาแดร๊ก แบมือขอท่าเดียว! มรึงดูอีเมสซี่แลนด์ก็พอ ป่านนี้ ยังเป็นหนี้หัวบานกับ IMF ต้องทะยอยขายทรัพย์สินแผ่นดินเรื่อยไป งานนี้ พูดจริง คุกจริง ตายจริง เผ่นจริง ราบคาบ เบ็ดเสร็จ สงครามเค้าไม่ได้ดูกันที่วันแรก เค้าดูกันตอนจบ ถึงค่อยนับศพทหาร? ไม่ว่ามรึงจะเล่นแร่แปรวิญญาน ตอแหล แถไปเรื่อยยังไง สุดท้าย จบที่คุกเท่านั้น ปัญหาจะตามมาทันที ใครไม่ได้เงิน ใครได้ไม่ครบ ใครยังไม่ได้รับสิทธิ์ งานนี้ โดมิโน่ แอฟเฟคมาเต็ม ไม่อยากจะเดาว่าเละเทะแค่ไหน? ไปหมดเกลี้ยงทั้งอีแดง อีส้มเน่า แล้วยังจะเหลือใครอีกล่ะ? ก็เปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันใหม่ไงล่ะ ทุกอย่างมันเดินมาทรงนี้หมดแล้ว! รอดูดาบอาจารย์ฮันโซ ที่เสธ.แดงถือเอาไว้ให้ดีดี จะบั่นหัวไอ้เนรคุณขายชาติได้กี่ตัว? งานนี้ อาจไม่จบที่ศาล แต่ไปสุสานแทนซะก่อน? ปล.ดูภาพใหญ่เข้าไว้ โลกอาหรับ มุสลิม ลงแขกอียิวแล้ว รัสเซียลงแขกอี NATO แล้ว เหลือจีน โสมแดง กำลังจะลงแขกใครเอ่ย? เดาดูจิ? ด้านจีนคือทำลายรากฐานความมั่นคงด้านการเงินยิวเหี้ย จัดการกระทืบดอลล่าร์ตายคาตรีน จนเงินหยวนขึ้นมาแซงเป็นอันดับ 1 ตอนนี้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะต้องทำให้มันกลายเป็น 0 จนโลกลืมไปว่า อดีตเคยมีดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก ที่มาว่าทำไม จีนรุกหนักอุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV แหล่งแร่ พลังงาน ตลาดย่อยออนไลน์ โลจิสติค อาหาร ตลาดหุ้น ด้านการเงิน การธนาคาร แหล่งเงินทุน จีนไล่ทุบเส้นเลือดเหี้ยรายวัน นั่นคือแผนที่ขั้วใหม่เค้าวางเอาไว้ จีนเล่นบทบุ๋น รัสเซียเล่นบทบู๊ อิหร่านแฮปปี้ ได้ขย่มอียิวสัดนรกตายคาตรีนอย่างเอร็ดอร่อย โสมแดงรอเล่นบท "พระเอก" ปักธงโสมแดงบนยอดทำเนียบขาว ขยี้ปชต.หลอกแดร๊กโลกให้สิ้นซาก ช่วงนี้ จะเป็นช่วงเวลาโชว์ของหนัก อาวุธลับกันแล้ว สิ่งที่เหี้ยหนักใจที่สุดกำลังจะมา ไอ้ที่มรึงโดนมาตลอด 2 ปีกว่าเนี่ย นั่นแค่ออเดิร์ฟ ไอ้สัส! จีนยิงโชว์แล้ว ขีปนาวุธข้ามทวีป ส่งสัญญานตรงถึงวอชิงตัน อย่าห้าวเป้ง! กระจอกก็หลบไป ไอ้น้อง! อยู่ดีดี เรือเติมน้ำมันพัง เรือบรรทุกเครื่องบินจอดสนิท ถามจริงเหอะ! พิการซะขนาดนี้ ยังจะเสี้ยนตายโหงต่ออีกมุย? จะทำให้เหนื่อยไปทำไม? ไอ้อีอเมริกันควายในแผ่นดิน มันมีปัญญาจะทำอะไรมรึงได้ สร้างสตอรี่มาซะขนาดนี้ ประกาศไปเลย อเมริกาจะยกแผ่นดินให้อิสราเอลมาอยู่แทน ปรับชาวอเมริกันเป็นประชาชนชั้น 2 คือจบทันที ยิวได้แผ่นดินใหม่ มรึงไม่ต้องตายห่าสูญพันธุ์ โลกไม่ต้องการมรึง ต่างคนต่างอยู่ ที่ทำไปทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่ออียิวตอแหลสลัดหมาเหรอ? ยิ่งนานวัน มรึงยิ่งจะเสียหมามากขึ้นเรื่อยๆ หมดสภาพ สุดท้ายถูกหั่น แตกยับ ตอนโซเวียตแตก ทุกอย่างยังอยู่ครบ แค่ใช้ชื่อใหม่ และปูตินตามมาเก็บกลับคืนแผ่นดินแม่ได้หมด ต่างจากอเมริกา ที่จะสูญพันธุ์ไปตลอดกาล ไม่เหลือเรื่องราวให้เล่าขานอีกต่อไป นอกจากเรื่องเหยียบดวงจันทร์ตอแหลนั่นแหละ โลกจะล้อมรึงไปอีก 1000 ปี เกมส์เพิ่งจะเริ่ม จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรมันมักจะไปไวมาไวเสมอ ยามสิ้นกลียุค ถูกปูพรมหายเรียบวุธ! กระแสโลกมันเดินมาทางเดียวหมดแล้ว ใครดี ใครเหี้ย รู้แจ้งจางปางหมดเกลี้ยง? หมี CNN(ยุคคาวบอยกำลังจะสิ้นสุด เข้าสู่ยุคปัญญา ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องขู่ บีบปากท้องก็ตายห่าแล้ว นุ๊กไร้น้ำยา ขู่หมายังไม่ได้ จะเปิดเกมส์ใหญ่ แต่ปัญญาไม่มี ถังแตก หมดตูด จะเอาเหี้ยอะไรแดร๊ก อย่าว่าจะเปิดศึกเลย อเมริกาคือหมา(รับใช้) อังกฤษคือหมา(รับใช้) ส่วนอิสราเอลคือเหี้ย(ตัวบงการใหญ่) ส่วนอีเรปทีเรี่ยนคือเหี้ยกว่า(ตัวสั่งตัวบงการอีกที) สุดท้ายแสงพาลงทัวร์ขุมนรกกันหมด มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น ไฟนรกเหมาะกับมรึง วันพิพากษาใกล้เข้ามาแล้ว WWIII แค่ชื่อเรียก นรกบนดินผุดขึ้นมา 26 กย. 67 12.35 น. https://linevoom.line.me/post/1172732901793834377 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍊 Sweet Orange Essential oil

    ...น้ำมันหอมระเหย Sweet Orange มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น..
    • ช่วยอาการนอนไม่หลับ
    • ช่วยบรรเทาความเครียด วิตกกังวล กังวลใจ กลัว
    • ช่วยลดหวัด
    • ช่วยปรับความสมดุลทางอารมณ์วัยหมดประจำเดือน

    และอีกมากมาย

    ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %...

    #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ#thaitimes
    🍊 Sweet Orange Essential oil ...น้ำมันหอมระเหย Sweet Orange มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น.. • ช่วยอาการนอนไม่หลับ • ช่วยบรรเทาความเครียด วิตกกังวล กังวลใจ กลัว • ช่วยลดหวัด • ช่วยปรับความสมดุลทางอารมณ์วัยหมดประจำเดือน และอีกมากมาย ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %... #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ゚ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 741 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เทคโนโลยี
    "สมรรถภาพ​ของ​แบตเตอรี่​ไม่ใช่​สาระสำคัญ​"
    สิ่ง​ที่​ช่วย​ตัดสินใจ​ให้​ซื้อ​รถ​ EREV​ คือ​ ระบบ​ขับ​เคลื่อน​อัจฉริยะ​ (ADAS
    : Advanced Driver – Assistance Systems) ตั้งแต่​ระดับ​ ๔ ที่​มี​ Valet Parking​ เป็น​ขั้นต่ำ​ อีก​ทั้ง​สมรรถนะ​ของ​รถยนต์​ต้อง​สามารถ​รองรับ​ควอนตัม​คอมพิวเตอร์​ ที่​กำลัง​จะ​เริ่ม​ใช้งาน​เร็ว​ๆ​ นี้​ และ​ระบบ​ดาวเทียม​ได้​ด้วย​
    ดังนั้น​ รถยนต์​ของ​จีน​จึง​ดูเหมือนเข้าใกล้​เป้าหมาย​มาก​ที่สุด​ ด้วย​สนนราคา​ที่​น่าสนใจ
    #เทคโนโลยี "สมรรถภาพ​ของ​แบตเตอรี่​ไม่ใช่​สาระสำคัญ​" สิ่ง​ที่​ช่วย​ตัดสินใจ​ให้​ซื้อ​รถ​ EREV​ คือ​ ระบบ​ขับ​เคลื่อน​อัจฉริยะ​ (ADAS : Advanced Driver – Assistance Systems) ตั้งแต่​ระดับ​ ๔ ที่​มี​ Valet Parking​ เป็น​ขั้นต่ำ​ อีก​ทั้ง​สมรรถนะ​ของ​รถยนต์​ต้อง​สามารถ​รองรับ​ควอนตัม​คอมพิวเตอร์​ ที่​กำลัง​จะ​เริ่ม​ใช้งาน​เร็ว​ๆ​ นี้​ และ​ระบบ​ดาวเทียม​ได้​ด้วย​ ดังนั้น​ รถยนต์​ของ​จีน​จึง​ดูเหมือนเข้าใกล้​เป้าหมาย​มาก​ที่สุด​ ด้วย​สนนราคา​ที่​น่าสนใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • PCB EP 3 ( link คุยกัน https://line.me/ti/g2/marK9LFwFRzO3nnM-w48SIuF46Eudg8_jE6gbA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=defaultEverything PCBแนะนำ และ เรียนรู้ เกี่ยวกับ PCB )
    PCB EP 3 ( link คุยกัน https://line.me/ti/g2/marK9LFwFRzO3nnM-w48SIuF46Eudg8_jE6gbA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=defaultEverything PCBแนะนำ และ เรียนรู้ เกี่ยวกับ PCB )
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา
    “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย

    ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว

    เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก

    เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้

    แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย

    แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว)

    เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด

    เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ

    ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ

    ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น

    ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards

    เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police)

    ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น

    ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด

    นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ

    และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้

    ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี

    ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ

    ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร

    ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก

    แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น

    เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย

    นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง

    ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ

    ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่

    แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่

    เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู

    หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น

    - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม

    - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์

    - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน

    - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี'

    คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา

    วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส

    เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์

    เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน

    เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน

    และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก

    และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน

    - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก

    - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่

    - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์

    - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ"

    เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก

    โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน

    สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน

    เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้

    หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs

    ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน

    แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น

    นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

    รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย

    สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน

    แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่

    สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้

    หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ

    โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

    มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า

    ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด

    สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว

    และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป

    บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที”

    ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E
    ภาพ

    #Thaitimes
    รีโพสต์เรื่องอื้อฉาวโสมมของDiddyเจ้าพ่อบันเทิงคนดังของอเมริกา “ปรากฏการณ์ดิ๊ดดี้ (Diddy) สะเทือนสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เพราะมีเซเลบริตี้เข้าไปข้องเกี่ยวมากมาย ก่อนจะเกิดเรื่องฉาว ดิ๊ดดี้ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับ นักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่ในวันนี้ทุกคนตัดความสัมพันธ์ทิ้งหมดแล้ว เลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลผู้โด่งดัง สนิทสนมกับดิ๊ดดี้ เป็นการส่วนตัว ลูกชายคนเล็กของเขาชื่อ บรีซ เคยไปเที่ยวกับ เจสซี่ และ ดีลีล่า ลูกสาวแฝดของดิ๊ดดี้ และเคยถ่ายคลิปเต้นด้วยกันอีกต่างหาก เลอบรอน เคยพูดอินสตาแกรมไลฟ์ ว่า "ทุกคนรู้ว่า ไม่มีปาร์ตี้ไหน จะเหมือนปาร์ตี้ของดิ๊ดดี้" กลายเป็นประโยคไวรัล ที่จะถูกใช้ไปอีกนานต่อจากนี้ แต่จากความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ล่าสุดเลอบรอน อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ไปแล้วเรียบร้อย ตัดขาดกันไปเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ ด้วย แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กจากแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ไล่ลบทวีต ที่เคยแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ดิ๊ดดี้ พยายามไม่ให้เหลือหลักฐานว่าเคยสนิทกัน (แต่โดนคนแคปเก็บไว้แล้ว) เช่นเดียวกับ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็อันฟอลโลว์ดิ๊ดดี้ ในโซเชียลมีเดียไปแล้วทั้งหมด เรื่องราวของดิ๊ดดี้เป็นอย่างไร ทำไมนักกีฬาต้องเลิกติดตามเขา เราจะไปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก อย่างเข้าใจง่ายนะครับ ดิ๊ดดี้ มีชื่อจริงว่า ฌอน คอมบ์ส เขาเป็นคนนิวยอร์ก และเข้าสู่วงการดนตรีตั้งแต่วัยรุ่น และอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 3 ทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในเลเจนด์ของวงการเพลงแร็พ ฌอน คอมบ์ส มีชื่อในวงการหลายชื่อ เช่น Diddy, P.Diddy, Puff Daddy เป็นต้น ดิ๊ดดี้ ได้รางวัลใหญ่ๆ ในด้านดนตรีมาแล้ว แทบทุกสถาบัน เช่นแกรมมี่ อวอร์ดส และ MTV Music Awards เขามีซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด ถึง 3 เพลง โดยหนึ่งในเพลงคลาสสิคที่สุด ที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินแน่นอน คือเพลงชื่อ I'll be missing you แค่อินโทรดังขึ้นมา ก็ติดหูแล้ว (แต่จริงๆ ไปเอาทำนองมาจากเพลงชื่อ Every Breath You Take ของ Police) ในปี 1993 ดิ๊ดดี้ เปิดค่ายเพลงชื่อ แบด บอย เรคคอร์ดส และเป็นโปรดิวเซอร์ให้สตาร์ของวงการมาแล้วหลายคน เช่น The Notorious B.I.G. ที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนในยุคปัจจุบันก็มี MGK ศิลปินที่ทำเพลงร้อยล้านวิวเป็นว่าเล่น ดิ๊ดดี้ ไม่ใช่แค่ทำเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีหัวธุรกิจในระดับสุดยอดอีกด้วย พอมีชื่อเสียงจากฮิปฮอป เขาต่อยอดไปทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ ฌอน จอห์น ตามด้วยเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับว็อดก้ายี่ห้อซิร็อค ได้รับส่วนแบ่งยอดขายต่อขวด นอกจากนั้น เขายังก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ชื่อ Revolt TV เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมและดนตรี ของกลุ่มแอฟริกัน อเมริกัน โดยเฉพาะ และในที่สุด ปี 2022 ดิ๊ดดี้ ก็มีสินทรัพย์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) กลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแค่ไม่กี่คนบนโลก ที่มีรายได้มหาศาลในเลเวลนี้ ไม่ใช่แค่ความรวย แต่ดิ๊ดดี้ ยังสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา รวมถึงสร้างเครือข่ายของกลุ่มเซเลบริตี้ ที่คอยซัพพอร์ทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้ดิ๊ดดี้ ถูกสื่อมวลชน ใช้คำว่า Mogul (ผู้มีอำนาจ, เจ้าพ่อ) ในวงการดนตรี ดิ๊ดดี้นั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องการจัดงานปาร์ตี้ ในช่วงปี 1998-2009 เขาจัดงานชื่อ "ไวท์ปาร์ตี้" สังสรรค์เฉพาะกลุ่มคนรวย คนดัง ใส่เสื้อขาวทั้งงาน เป็นปาร์ตี้ที่พวกเซเล็บอยากไปร่วมกันมากๆ ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดี อย่างในปี 2022 เขาจัดงานปาร์ตี้ ฉลองวันเกิดอายุ 53 ปี ที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์ คนดังๆ ทั้ง เจย์ซี, ทราวิส สกอตต์, แมรี่ เจ ไบล์ และ คริส บราวน์ ก็มาร่วมงานด้วย ดูแล้ว ชีวิตก็สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ในอดีต เขาโดนคดีต่างๆ มาบ้าง เช่น พกพาอาวุธปืน หรือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ก็รอดมาได้ตลอด ไม่เคยต้องติดคุกสักครั้ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิ๊ดดี้ ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 เมื่อคาซานดร้า เวนทูร่า หรือ แคสซี่ อดีตแฟนสาวของของเขา ที่เลิกรากันไปแล้ว ไปแจ้งความที่นิวยอร์ก แคสซี่ ระบายความในใจทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าช่วงเวลาที่เธอคบหากับดิ๊ดดี้ มีแต่ความทรมาน และโดนทำร้ายร่างกายเป็นว่าเล่น เธอบอกว่าเคยโดนดิ๊ดดี้ ทั้งเตะ ทั้งต่อย จนตาเขียวช้ำ เลือดออก และมีแผลทั่วร่างกาย ครั้งหนึ่งเคยโดนต่อยท้องต่อหน้าเพื่อนๆ ของดิ๊ดดี้ด้วย นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจในการบังคับ และล่อลวง ให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดยที่ดิ๊ดดี้จะนั่งดูอย่างสนุกสนาน เหมือนกิจกรรมบันเทิง ตลอดช่วงที่คบกัน แคสซี่ โดนกระทำมากมาย เช่นบีบคอ ผลักรุนแรงจนกระแทกกำแพง เคยโดนปาไข่ใส่หน้ามาแล้ว เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกาย หรือ บังคับเรื่องเพศ แต่ดิ๊ดดี้ ยังมีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการจ้างคนไปเผารถยนต์ ของแรพเปอร์ชื่อ คิด คูดี้ ที่มีข่าวว่าปลื้มแคสซี่ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเธอโดน แต่แคสซี่ แฉมากกว่านั้น บอกว่า มีปาร์ตี้พิสดาร ที่ดิ๊ดดี้เป็นเจ้าภาพ มีชื่อว่า "freak offs" (ปาร์ตี้หลุดโลก) โดยในงานมีเหล้า มียา สารผิดกฎหมาย และมีการจ้างเด็กเอ็น ทั้งชายและหญิง มามีเซ็กส์กันแบบมั่วสุดๆ และยังมีการถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย โดยไม่สนใจว่า คนในงานจะเต็มใจหรือไม่ เมื่อโดนแจ้งความใส่ยับแบบนี้ ดิ๊ดดี้ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาว่าจ้างทนายให้มาสู้คดีกับแคสซี่บนศาล คุณมีหลักฐานอะไรก็งัดกันออกมาดู หลังจากที่แคสซี่ ทำการแฉดิ๊ดดี้นั้น ในจังหวะใกล้ๆ กัน มีคนออกมาแจ้งความใส่ดิ๊ดดี้รัวๆ แบบต่างกรรมต่างวาระ เช่น - จอย ดิกเกอร์สัน-นีล เธออ้างว่า ในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอโดนดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิประหว่างใช้กำลังมีเซ็กส์กับเธอ จ่ายนั้นเอาไปส่งต่อให้คนอื่น โดยที่เธอไม่ได้ยินยอม - ลิซ่า การ์ดเนอร์ บอกว่าเธอกับเพื่อนถูกชวนไปปาร์ตี้ตอนอายุ 16 และโดนดิ๊ดดี้ กับ เพื่อน ล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วย ทั้งๆ ที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ - ผู้หญิงอีกคนที่ไม่เอ่ยนาม บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้ กับ ประธานบริษัทแบดบอย เรคคอร์ด ชื่อ ฮาร์ฟ ปิแอร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ทำการลงแขก ตอนเธออายุ 17 ปี โดยหลอกล่อว่าจะให้โอกาสทางหน้าที่การงาน - ร็อดนีย์ โจนส์ โปรดิวเซอร์ผู้ชาย ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนกดดันให้ไปมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในงานปาร์ตี้ โดยอ้างว่า 'นี่เป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมดนตรี' คดีแล้ว คดีเล่า ที่ค่อยๆ แดงออกมาเรื่อยๆ แต่ดิ๊ดดี้ ไม่ยอมจำนน เขาตั้งใจจะสู้ทุกคดี เพราะแค่พูด ใครก็พูดได้ ไว้มีหลักฐานจะจะ ค่อยคิดจะมาโค่นเขา วันที่ 17 พฤษภาคม 2024 สถานี CNN ก็ได้หลักฐานเด็ดในคดี แคสซี่-ดิ๊ดดี้ นั่นคือกล้องวงจรปิด จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล ในลอสแองเจลิส เป็นจังหวะที่แคสซี่ เดินออกจากห้องพัก เพื่อลงลิฟต์เตรียมจะกลับบ้าน แต่ดิ๊ดดี้ ตื่นขึ้นมาพอดี และเห็นแคสซี่ไม่อยู่ จึงวิ่งใส่ผ้าเช็ดตัว ออกมาตามทางเดินแล้วมาเจอเธอที่ลิฟต์ เขาต่อยเธอด้วยหมัดขวา ถีบไปอีก 2 ที แล้วเอาแจกันแก้วที่โรงแรมวางประดับเอาไว้ ขว้างใส่ ก่อนจะลากคอกลับเข้าห้องนอน เมื่อมีหลักฐานจะแจ้งขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดิ๊ดดี้ก็ต้องออกมายอมรับ และกล่าวคำขอโทษต่อมวลชน และจากจุดนั้นเอง ทำให้เซเล็บหลายๆ คน เริ่มอันฟอลโลว์เขา ไม่มีใครอยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนที่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ คือภาพที่ออกไป มันแย่มาก และจากจุดนั้น ก็มีคดีใหม่ๆ ที่ถูกเปิดเผยเรื่อยๆ ประเดประดังเข้ามาใส่ดิ๊ดดี้ จนตั้งตัวไม่ทัน - คริสตัล แม็คเคนนีย์ นางแบบสาว อ้างว่าโดนดิ๊ดดี้ ใช้กำลังลากเธอเข้าไปในห้องนำแล้วบังคับให้ทำออรัลเซ็กส์ให้ ในสตูดิโอที่ใช้อัดเพลงในนิวยอร์ก - เอพริล แลมพรอส นักศึกษาสถาบันแฟชั่น บอกว่าเธอโดนดิ๊ดดี้บังคับให้ทำการเซ็กส์หมู่ - อาเดรีย อิงลิช นักแสดงหนังโป๊ บอกว่าเธอโดนล่อหลอกให้แสดงกิจกรรมทางเพศ ระหว่างงานปาร์ตี้ โจมตีดิ๊ดดี้ว่าทำการค้ามนุษย์ - ดอว์น ริชาร์ดส นักร้องจากวงดานิตี้ เคน ที่เคยร่วมงานกับดิ๊ดดี้ บอกว่า โดนดิ๊ดดี้แอบจับหน้าอก และจับก้นหลายครั้ง ทำแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อของดอว์น ริชาร์ดส ขับรถจากบัลติมอร์ มานิวยอร์กเพื่อมาคุยกับดิ๊ดดี้ แต่โดนขู่ว่า "คิดถึงครอบครัวของแกให้ดีเถอะ" เมื่อคดียาวเป็นหางว่าวแบบนี้ ทำให้วันที่ 16 กันยายน 2024 ดิ๊ดดี้ โดนตำรวจจับกุมตัว ที่โรงแรมพาร์กไฮแอต ในนิวยอร์ก โดยคดีที่ตำรวจให้ความสนใจคือ การจัดปาร์ตี้เบื้องหน้า แต่เบื้องหลังคือขบวนการค้ากาม ค้ามนุษย์ รวมถึงพรากผู้เยาว์ รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองอยู่ คือดิ๊ดดี้ อาจทำเรื่องผิดกฎหมายที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก เช่น การสร้างองค์กรอาชญากรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วมีส่วนในการลักลอบวางเพลิง, การลักพาตัว, การใช้แรงงานทาส, การค้าสารเสพติด และ การติดสินบนเจ้าพนักงาน เขาอาจจะไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงฮิปฮอปเฉยๆ แต่อาจเป็นผู้มีอิทธิพลของจริงเลยก็ได้ หลังจากดิ๊ดดี้โดนจับ มีข้อมูลน่าสนใจ ที่ตำรวจค้นพบ ระหว่างการค้นบ้านของดิ๊ดดี้ ที่ลอสแองเจลิส กับ ไมอามี่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ freak offs ตำรวจพบว่า มีขวดเบบี้ออยล์ มากถึง 1,000 ขวด อยู่ในบ้าน แน่นอน คนก็เชื่อมโยงว่า คุณจะซื้อเบบี้ออยล์มาเยอะขนาดนั้นทำไม เหตุผลน่าจะมีอย่างเดียวคือ คงเอาไปใช้ในกิจกรรมทางเพศอย่างบ้าคลั่ง เช่นงาน ปาร์ตี้เซ็กส์ เป็นต้น นับจนถึงเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) มีคนแจ้งความดิ๊ดดี้ ทั้งหมด 11 คน และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นอีกเรื่อยๆ รวมถึงบางคดี ที่น่าสนใจเหมือนกัน เช่น จากัวร์ ไรท์ นักร้องสาวชาวอเมริกัน อ้างว่า ดิ๊ดดี้ ถ่ายคลิปของเซเลบริตี้หลายคนเอาไว้ แล้วไปปล่อยในดาร์กเว็บ ได้เงินมา 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกสารพัด ว่าเขาเคยล่วงละเมิด ศิลปินทั้งชาย และ หญิง มาแล้วหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ในปัจจุบันด้วย สถานการณ์ล่าสุด ดิ๊ดดี้ต้องไปอยู่ในห้องขัง โดยเขายื่นข้อเสนอประกันตัว 50 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งติด GPS เพื่อการันตีว่าจะไม่หลบหนี แต่ศาลไม่อนุมัติ ทำให้ตอนนี้ดิ๊ดดี้ต้องอยู่ในเรือนจำที่บรู๊คลิน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สเต็ปต่อไปทนายของดิ๊ดดี้ กำลังเตรียมสู้คดีอย่างเต็มที่ คือมีบางเคสที่ดิ๊ดดี้โดนแน่ๆ เช่นทำร้ายร่างกายแคสซี่ เพราะมีกล้องวงจรปิดชัดเจน แต่กับคดีอื่นๆ ที่เขาโดนกล่าวหาว่ากระทำ ก็ต้องมาพิสูจน์กันต่อไป ว่าทำจริงหรือไม่ สำหรับในวงการกีฬานั้น เรื่องนี้ก็สั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะศิลปินฮิปฮ็อป กับนักกีฬาอีลีท มักจะสนิทสนมกัน เช่น เคนดริค ลามาร์ กับ เดมาร์ เดโรซาน สนิทกันถึงขั้นเดโรซานไปเล่นในเอ็มวีให้ หรือตอนรัสเซลล์ เวสต์บรู๊ก นำทริปเปิ้ลดับเบิ้ลในตำนาน (20 แต้ม, 20 รีบาวด์, 20 แอสซิสต์) เขาอุทิศผลงานนี้ ให้กับแรพเปอร์ ชื่อ นิปซีย์ ผู้ล่วงลับ โดยดิ๊ดดี้ อยู่ในวงการมาเกิน 30 ปี รู้จักคนมากมาย และสนิทสนมกับนักกีฬาหลายคน ไปร่วมกิจกรรมกับ NBA ก็บ่อย แต่ถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่ซัพพอร์ทเขา เพราะไม่อยากติดร่างแหไปด้วย มีคนย้อนไปดูคลิปงานปาร์ตี้ freak offs ที่เผยแพร่ออกมา พบว่า มีนักกีฬาบางคนไปร่วมงานด้วย เช่น เลียวนาร์ด โฟร์เนตต์ รันนิ่งแบ็กชุดแชมป์ NFL ของแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ซึ่งโฟร์เนตต์ก็โดนสังคมจับจ้องทันทีว่า ไปมั่วยา มั่วเซ็กส์ หรือทำอะไรผิดกฎหมายหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่นักกีฬาทำตอนนี้คือ เอาตัวออกห่างจากดิ๊ดดี้ให้ไกลที่สุด ไม่ให้เชื่อมโยงกันได้ อะไรที่เคยโพสต์ถึงก็ไล่ลบจนเกลี้ยงทั้งหมด สิ่งที่เราเห็นจากเรื่องนี้ คือในวันที่ยิ่งใหญ่ ทำอะไรก็ราบรื่น ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ในวันนี้ ที่ความผิดเริ่มแดงออกมาเรื่อยๆ ดิ๊ดดี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะร่วม "ปาร์ตี้" ของเขาอีกแล้ว และแน่นอน ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษทางกฎหมายกันไป บางคนบอกว่า ถ้าทีมทนายไม่เก่งระดับเทพล่ะก็ อิสรภาพวันสุดท้ายของดิ๊ดดี้ อาจจะหมดลงแล้ว และอาจติดคุกในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิต แม้จะมีเงินในบัญชีถึง 1 พันล้านดอลลาร์ก็ตามที” ที่มา : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง https://www.facebook.com/share/5f8x3Zx1WzpUs8b5/?mibextid=CTbP7E ภาพ #Thaitimes
    Like
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสนาธิการทหารอิสราเอลแจ้งข่าวการรุกรานเลบานอน

    "เพื่อบรรลุเป้าหมาย, เราจึงเตรียมการบุกโจมตีภาคพื้นดิน ซึ่งหมายความว่ารองเท้าทหารของคุณจะเข้าสู่ดินแดนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์"
    .
    ⚡️JUST IN

    Israeli Chief of Staff informs military about Lebanon invasion

    "To achieve our goal, we are preparing a ground offensive. This means that your military boots will enter Hezbollah territory"
    .
    11:11 PM · Sep 25, 2024 · 117.8K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1838974557207617835
    เสนาธิการทหารอิสราเอลแจ้งข่าวการรุกรานเลบานอน "เพื่อบรรลุเป้าหมาย, เราจึงเตรียมการบุกโจมตีภาคพื้นดิน ซึ่งหมายความว่ารองเท้าทหารของคุณจะเข้าสู่ดินแดนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์" . ⚡️JUST IN Israeli Chief of Staff informs military about Lebanon invasion "To achieve our goal, we are preparing a ground offensive. This means that your military boots will enter Hezbollah territory" . 11:11 PM · Sep 25, 2024 · 117.8K Views https://x.com/IranObserver0/status/1838974557207617835
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25-09-67/04 : หมี CNN / "หมีตะมุตะมิ มุ้งมิ้ง จรรโลงโลก" ตอนที่ 42 ชื่อตอน "D-DAY NO MORE WAIT LONGER" อเมริกันห้าวเป้ง สั่งบุกแล้วเฟ้ย! มาตามนัด มาตามแผน พรมแดนเลบานอน-อิสราเอล ปะทะดุเดือด ซีเรียกวักมือเพ่น้องชาวเลบานอนตามพรมแดน อพยพมาได้เลย พร้อมรับไม่อั้น! อีเหี้ยขี้ข้ามะกันส่ง 5000 แต่ซีเรียส่ง 20000 อิรักส่งอีก 20000 ยกพลขึ้นบกแล้วจ๊ะ ไม่วัดให้ตายกันไปข้าง เหี้ยคงนอนตายตาไม่หลับ! สุดท้าย อิหร่านวางแผนมาดี มองขาด ขี้ข้าเหี้ยยิวต้องบูชายันต์ตัวเอง ทหารสหรัฐตัวเป็นๆ กำลังจะกลายเป็นเป้าขีปนาวุธให้ถล่มเล่น เมื่อติดบ่วงสงครามครูเสด เยรูซาเล็ม ทหารประจำการสหรัฐทั่วโลกถูกเรียกใช้บริการ แห่มาตายห่าเป็นหมู่คณะในตะวันออกกลางเพี๊ยบ หลังเพิ่งจะตายห่าไปเป็นหมื่นในศึกยูเครน พิการอีกหลายหมื่น ดอกนี้ ไปไม่สุด หากมรึงแน่จริง ยกมาให้หมดทั้งวอชิงตันสิฟ่ะ ใครก็ดูออก? ห่วงหลังบ้านเหรอจ๊ะ ยังไงก็ไม่รอดดอก! ขณะที่มรึงมั่วแต่ไปเป็นเป้าล่อให้ 3 ฮอ และพันธมิตรโลกอาหรับลงแขก แผ่นดินอเมริกาก็ยังระอุเดือดภายในอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิเดือดปรอทแตกเข้าไปอีก ยามเมื่อเรือรบ เรือดำน้ำ พาเหรดกันเข้ามาเยี่ยมเยียนหลังบ้านมรึง ภาพมันชัด ภาพมันฟ้อง ซ้อมรบเสร็จไม่ได้กลับบ้านน่ะจ๊ะ นอนอาบแดดแถวลาตินเพี๊ยบ ไม่ต้องนับหมู่เกาะแคริบเบี้ยนเลย ที่รัสเซียแอบไปซุกอาวุธลับไว้เยอะ ไซเรนดังเมื่อไหร่ โผล่มาแล้วมรึงจะช็อค! สรุปโลกล้อมเหี้ยเข้าให้! โดมิโน่ แอฟเฟคตามมาทันที ฐานทัพเรือสหรัฐ กองเรือที่ 5 ในบาห์เรน ถูกจับตายแล้วจ๊ะ อิหร่านเตรียมปิดช่องแคบเฮอร์มูซ ทันที ที่มรึงเคลื่อนกำลังออกมาช่วย ใครจะตายห่าก่อนกันล่ะ? ดอกนี้ สาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก เหี้ยอูฐ จำต้องโชว์ผลงาน จะมานอนตีกินต่อไปไม่ได้ เมื่ออิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ เปิดหน้าแลกอียิวเหี้ย โดยมีเหี้ยมะกันตามเข้ามาเล่นในเกมส์นี้ ซาอุจำเป็นต้องส่งทหาร และความช่วยเหลือตามมติสันนิบาตอาหรับ ปิดกั้นไม่ให้กองกำลังต่างชาติ เข้ามาในพื้นที่ หรือให้ใช้ฐานในแผ่นดินซาอุ นั่นคือการวัดใจ MBS พูดชัด เมื่อเทดอลล่าร์ เมื่อจับมือปูตินแล้ว ถึงเวลาก็ต้องแสดงความกล้าหาญ จงรักภักดีต่อกลุ่มเช่นกัน อีซาอุ ไม่ได้มาตัวเดียว จะมากับเป็นโขยง เพื่อรักษาพื้นที่ตะวันออกกลางไม่ให้ศึกลามกระจายไปทั่ว ก่อความเสียหายได้ พูดง่ายๆ คือ เชิญฆ่ากันในดินแดนอิสราเอลเท่านั้น มรึงอย่าล้ำเส้น ใครโผล่หัวออกมา กูตามเชือดทันที! เมื่อกองเรือรบสหรัฐ เข้าพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่ได้ บีบให้ต้องใช้ลูกยาวช่วยเข้าสกัด คำถามคือ มรึงเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ แล้วอีกฝ่ายมีเป็นล้านลูก ราคาถูกกว่ามรึงเยอะ แถมแม่นยำกว่าเหี้ยๆ ยิ่งทำให้คลังแสงสหรัฐเกลี้ยงก็งานนี้ แล้วใครล่ะ กำลังรอยกพลขึ้นบกยึดวอชิงตันตามคุณยายละม่อม เพราะมรึงไม่เหลือเหี้ยอะไรจะสกัดได้อีกแล้ว ทุกอย่างมันมาตามสเตป แผนรีดอาวุธ เขี้ยวเล็บเหี้ย ถังแตกมาชัวร์ ขี้แตกมาแน่! อย่าลืมว่า ทันที ที่ 3 ฮอ จับมือกองกำลังยกพลขึ้นบกได้เมื่อไหร่ จุดจบเยรูซาเล็มมาทันที เพราะมรึงจะไม่สามารถควบคุมพื้นที่อะไรได้อีกแล้ว ทุกพื้นที่กลายเป็นสมรภูมิรบเต็มอัตราศึก ยังไม่นับชาติมุสลิมทั้งโลกที่อาสาจะส่งกองกำลังเข้ามาเต็มไม่อั้น หวังได้กระทืบอียิวซักครั้งก่อนตาย ทั้งแอฟริกา ทั้งอัฟกานิสถาน รอไฟเขียวอยู่ ศึกนี้ อียิวจะลากอเมริกันมาตายห่าเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ดอลล่าร์เกิดที่นี่ แล้วกำลังจะตายห่าที่นี่เช่นกัน! หันไปทะเลจีนใต้ ไอ้สัส! จีนจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ท้าทายเหี้ย กวักมือเรียก อย่าลีลาเยอะ เข้ามาตายคาตรีนกูซะที อย่าให้รอนาน เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ เรือรบนับ 100 ลำ โชว์แสนยานุภาพจนเหี้ยเยี่ยวแตก อยากจะเปิดศึกหลายด้านมิใช่เหรอ? ช่วยตอบคำถามทีว่า มรึงสู้กับอิหร่าน เค้ามีโลกมุสลิม สันนิบาตอาหรับ ลงแขกมรึง มรึงสู้กับจีน เค้ามีกองเรือรบนับร้อย พันธมิตรนับสิบ รอสอยมรึงเช้าเย็น มรึงจะลุยรัสเซีย ใช้ยูเครนเป็นสนามรบ แพ้ยับ ตายห่าคาที่ ทั้ง NATO 40 ชาติหมา ยังเอารัสเซียไม่อยู่ แพ้ราบคาบ แล้วมรึงยังจะเหลือเหี้ยอะไรมางัดกับทั้งโลกไหว ดูความจริง ดูสิ่งที่จะเป็นไปได้ อย่ามโน? เอาตามจริง รัสเซีย จีน เค้าจะเก็บมรึงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ใช้เวงลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ใช้เวลาทำให้ขี้ข้ามรึงย้ายขั้ว ใช้เวลาทำให้โลกประจักษ์ว่า "ตัวเหี้ยหน้าตามันเป็นยังไง" ใช้เวลาทำให้เศรษฐกิจพวกมรึงเจ๊ง พังยับเยิน ใช้เวลาทำให้โลกรวมตัวต่อกันติดเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อสุกงอม ก็ถึงเวลา "เด็ดผล" และนี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดในพศ.นี้ จีน โสมแดง ยังไม่ได้ออกโรงเลยน่ะ มรึงก็แพ้ราบคาบหมดเกลี้ยงทั้งยุทธวิธี และการทหาร อย่าให้ต้องออก เพราะออกมาแล้ว มันต้องจบที่วอชิงตันเท่านั้น ธงโสมแดง จะปักอยู่บนตึกทำเนียบขาว ให้ควายโลกรู้เต็มตา โลกฮอลีวู๊ดที่มรึงดู กับโลกความเป็นจริง แม่งคนละเรื่อง! สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล NATO กระจอกกว่าที่มรึงคิดไว้เยอะ หลอกควายได้ แต่หลอกความจริงไม่ได้ ว่ามรึงมัน "อ่อนหัด" กระดูกคนละเบอร์ ขั้วใหม่เค้ามาพร้อม มาแรง มาเต็มพิกัด โลกถึงได้เดินตามอยู่ทุกวันนี้ ประเด็น "ไต้หวัน" กลายเป็นแค่น้ำจิ้มทันที ยามเมื่อจีน ปักธงไว้ที่อเมริกาสำเร็จ! ถามประชาชนชาติตะวันตกทั้งหลาย "มรึงยอมโง่ ยอมตายห่าฟรีมั้ย?" สงครามมรึงเหรอ? สงครามที่มรึงก่อเองเหรอ? ทั้งหมด เป็นเพราะนักการเมืองขี้ข้ายิว สนองตัณหาให้ยิว โดยเอาพวกมรึงที่หน้าโง่เลือกเหี้ยเข้ามา พาพวกมรึงไปตายห่าทั้งโคตร สิ้นชาติ สูญพันธุ์ เชิญแดร๊กปชต.กันให้อร่อยในขุมนรกน่ะจ๊ะ อีเอ๋อ ทิ้งทวน ก่อนตกเก้าอี้ เตรียมสั่งแบนรถ EV จีน ทั้งหมด เข้าทางตรีนจีนทันที เพราะอะไร? มรึงแบนเค้าได้ เค้าก็แบนมรึงกลับได้ แล้วอะไรขายดีในจีนล่ะ ก็อีเทสล่า ของอีลอน มัสก์ไง? EV จีนไม่ได้ขายอเมริกาไม่ตาย เพราะทั้งโลกต้องการสูง แต่อีเทสล่าไม่ได้ขายในจีน ตายคาตรีนทันที! ทั้งหมด เป็นแผนอีพรรคลา โยนขี้ให้รัฐบาลใหม่สานต่อ ไม่รู้ยังจะมีรัฐบาลใหม่เหลือต่อไปมั้ย? อเมริกาอาจแตกไปซะก่อนน่ะสิ สงครามหน้ามืดที่มรึงกำลังจะเปิดกับตะวันออกกลางเพื่อช่วยอียิวเหี้ยนายใหญ่ กำลังจะทำให้ระบบทั้งหมดที่มรึงเคยมี จะหายสาบสูญไปทันที เพราะทั้งโลกเค้าจะแบนมรึงหมดแล้ว ไม่ส่ง ไม่ขาย ไม่รับดอลล่าร์ ใครฉิบหายก่อนล่ะ? ส่วนอีทรัมปป์ถูกอียิวเหี้ยไซออนนิสต์หมายหัว เป็นขี้ข้ากู เสือกริจะขึ้นมาเทียบชั้นกู ใครทำให้มรึงเปลี่ยนไป? ก็แสงไงล่ะ?

    ปล.มันส์ล่ะมรึง? อีแดงเสียวตูด หาช่องหลบกฎหมาย เอาเงินโปรยแจกควาย หวังซื้อคะแนนเสียงกลับมา ฝ่ายกฎหมาย ตาวิเศษ จ้องทุกดอก เอาทุกเม็ด ยังไงก็ไม่รอด? ยิ่งดิ้น ยิ่งต่างกรรม ต่างวาระ ผูกกันจนชาติหน้าไม่พอขัง แจกเลยวันนี้ แจกจริงซักที คนรอเชือดกระดิกตรีนรอนานแล้วน่ะ ลงชื่อถ่วงเวลาทำไม? ไม่ว่าจะพลิกลิ้น ดิ้นไปทางไหน สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น เงินเอามาจากไหน? ใช้ผิดวัตถุประสงค์ ใช้ผิดกฎระเบียบการคลัง ใช้เพื่อหาเสียง ใช้เพื่อบ่อนทำลายชาติ แค่ดันทุรังจะเอาให้ผ่าน จะเอาให้ได้ เที่ยวประกาศลงชื่อ ลงทะเบียน ยังไม่ผ่านประชุมสภา ยังไม่ผ่านมือศาล เข้าข่ายอะไรเอ่ย? ควายรอคอยด้วยความหวัง 10000 ไม่มา ระวังจะกลายเป็นโดมิโน แอฟเฟค สาปแช่งทั้งแผ่นดินกลับน่ะ เตือนแล้ว! ประชากรควายไทยวันวันตั้งหน้าจะแบมือขอเศษเงินท่าเดียว แค่มรึงคิดจะทำมาหาแดร๊กจริงจัง ไม่ขี้เกียจ และสู้ชีวิต ดำรงตนในความพอเพียง มรึงแทบจะไม่ต้องแบมือขอใครแดร๊กได้สบาย สันดาน เอาแต่ได้ คิดแค่ตัวเอง ควายก็คือควาย! ล่าสุด จีนประกาศหนุนเลบานอนแล้ว เพราะรู้ดีว่า เหี้ยมันแพ้ชัวร์ แล้วจะหันหัวเรือเข้าแปซิฟิคแน่ ดังนั้น ต้องล่อตั้งแต่หัวขบวน จีน รัสเซีย อิหร่าน หนุนใคร ไม่มีคำว่า "แพ้" ชนะเห็นๆ ชนะแบเบอร์ มรึงดูเยเมน เป็นตัวอย่าง NATO เสียหมาทั้งคณะเพราะใคร? อีไก่งวงซ่าส์! งวดนี้ ขอร่วมวงกระทืบเหี้ยด้วย ในฐานะชาติมสุลิม ซัดเหี้ยมะกัน ปากเจรจาสันติภาพ แต่เสือกส่งอาวุธให้ยิว ส่งกองกำลังเสริมเข้าไป นี่มันตั้งใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชัดเจน ก็ดี "นัดล้างตาโลก" ใครเกลียดไอ้อีพวกชาติชั่ว อยากจะไล่ฆ่าล้างโคตรเหี้ยให้หมดโลก ก็ขอเชิญมาที่เยรูซาเล็มได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวมรึงได้เห็นฤทธิ์กองกำลังเติร์ก ขุนศึกออตโตมานแน่ ทะเลดำ ช่องแคบบอสฟอรัส ไอ้อีหน้าไหนก็ผ่านไม่ได้ หากกูไม่ปลื้ม รัสเซียสั่งปิดตายไปแล้ว เรือรบเหี้ยไม่กล้าเข้ามาในรัศมีขีปนาวุธร่อน ดูเกมส์โลกตอนนี้ยิ่งชัด เหี้ยเทหมดหน้าตัก แก้ผ้าล่อนจ้อน เหี้ยแท้ ตัวจริง เสียงจริง เอาให้โลกสุมหัวกันเข้ามา จะเปลี่ยนโลก ไม่สูญเสียก็ไม่มีวันเปลี่ยน ด้านอาเซียนพร้อมรับมือ ใครเป็นใคร ขั้วไหน ตอนนี้ต้องเลือกให้ชัดเจน ปากบอกเป็นกลาง แต่การกระทำมันชัดไปนานแล้วว่า อยู่ฝ่ายไหน? มีแค่ 2 ฝ่าย ฝ่ายโลก กับฝ่ายเหี้ย แม้แต่เกมส์ในบ้านศรีธนญชัยก็เช่นกัน เหี้ยสั่งลุย เร่งเครื่องเต็มกำลัง บีบให้อีแดงที่มีแผลเวอะหวะ เตรียมต้องบูชายันต์ตายห่ายกแก๊งค์เหี้ย แพแตกชัวร์

    หมี CNN(ระฆังดังแล้ว สัญญานชัดเจน ROUND 1 เหี้ยกล้าบุก ก็ต้องกล้าตาย สันนิบาตอาหรับจะล้างอสรพิษ ใครอีแอบ ใครหนอนบ่อนไส้ ถึงเวลาเดี๋ยวรู้ ชาติอาหรับมติเดียว ใครยังจะแถต่อ ถีบส่งทันที วัดใจอีซาอุ UAE ถึงเวลากล้าจับปืนฆ่ายิวมุย? แต่ขั้วใหม่เค้าไม่รอมรึงแล้วน่ะ ใส่หมดแม็ก ตายคาที่เกลื่อน อะไรที่ไม่เคยเห็น จะได้เห็น ย้ายขั้ว ย้ายข้างกันเมามันส์ ไม่มีใครอยากจะยืนอยู่ข้างผู้แพ้ดอกน่ะ สัจธรรมโลก เพราะนี่คือ "มนุษย์")
    25 กย. 67
    14.49 น.
    https://linevoom.line.me/post/1172725073690929512
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    25-09-67/04 : หมี CNN / "หมีตะมุตะมิ มุ้งมิ้ง จรรโลงโลก" ตอนที่ 42 ชื่อตอน "D-DAY NO MORE WAIT LONGER" อเมริกันห้าวเป้ง สั่งบุกแล้วเฟ้ย! มาตามนัด มาตามแผน พรมแดนเลบานอน-อิสราเอล ปะทะดุเดือด ซีเรียกวักมือเพ่น้องชาวเลบานอนตามพรมแดน อพยพมาได้เลย พร้อมรับไม่อั้น! อีเหี้ยขี้ข้ามะกันส่ง 5000 แต่ซีเรียส่ง 20000 อิรักส่งอีก 20000 ยกพลขึ้นบกแล้วจ๊ะ ไม่วัดให้ตายกันไปข้าง เหี้ยคงนอนตายตาไม่หลับ! สุดท้าย อิหร่านวางแผนมาดี มองขาด ขี้ข้าเหี้ยยิวต้องบูชายันต์ตัวเอง ทหารสหรัฐตัวเป็นๆ กำลังจะกลายเป็นเป้าขีปนาวุธให้ถล่มเล่น เมื่อติดบ่วงสงครามครูเสด เยรูซาเล็ม ทหารประจำการสหรัฐทั่วโลกถูกเรียกใช้บริการ แห่มาตายห่าเป็นหมู่คณะในตะวันออกกลางเพี๊ยบ หลังเพิ่งจะตายห่าไปเป็นหมื่นในศึกยูเครน พิการอีกหลายหมื่น ดอกนี้ ไปไม่สุด หากมรึงแน่จริง ยกมาให้หมดทั้งวอชิงตันสิฟ่ะ ใครก็ดูออก? ห่วงหลังบ้านเหรอจ๊ะ ยังไงก็ไม่รอดดอก! ขณะที่มรึงมั่วแต่ไปเป็นเป้าล่อให้ 3 ฮอ และพันธมิตรโลกอาหรับลงแขก แผ่นดินอเมริกาก็ยังระอุเดือดภายในอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิเดือดปรอทแตกเข้าไปอีก ยามเมื่อเรือรบ เรือดำน้ำ พาเหรดกันเข้ามาเยี่ยมเยียนหลังบ้านมรึง ภาพมันชัด ภาพมันฟ้อง ซ้อมรบเสร็จไม่ได้กลับบ้านน่ะจ๊ะ นอนอาบแดดแถวลาตินเพี๊ยบ ไม่ต้องนับหมู่เกาะแคริบเบี้ยนเลย ที่รัสเซียแอบไปซุกอาวุธลับไว้เยอะ ไซเรนดังเมื่อไหร่ โผล่มาแล้วมรึงจะช็อค! สรุปโลกล้อมเหี้ยเข้าให้! โดมิโน่ แอฟเฟคตามมาทันที ฐานทัพเรือสหรัฐ กองเรือที่ 5 ในบาห์เรน ถูกจับตายแล้วจ๊ะ อิหร่านเตรียมปิดช่องแคบเฮอร์มูซ ทันที ที่มรึงเคลื่อนกำลังออกมาช่วย ใครจะตายห่าก่อนกันล่ะ? ดอกนี้ สาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก เหี้ยอูฐ จำต้องโชว์ผลงาน จะมานอนตีกินต่อไปไม่ได้ เมื่ออิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ เปิดหน้าแลกอียิวเหี้ย โดยมีเหี้ยมะกันตามเข้ามาเล่นในเกมส์นี้ ซาอุจำเป็นต้องส่งทหาร และความช่วยเหลือตามมติสันนิบาตอาหรับ ปิดกั้นไม่ให้กองกำลังต่างชาติ เข้ามาในพื้นที่ หรือให้ใช้ฐานในแผ่นดินซาอุ นั่นคือการวัดใจ MBS พูดชัด เมื่อเทดอลล่าร์ เมื่อจับมือปูตินแล้ว ถึงเวลาก็ต้องแสดงความกล้าหาญ จงรักภักดีต่อกลุ่มเช่นกัน อีซาอุ ไม่ได้มาตัวเดียว จะมากับเป็นโขยง เพื่อรักษาพื้นที่ตะวันออกกลางไม่ให้ศึกลามกระจายไปทั่ว ก่อความเสียหายได้ พูดง่ายๆ คือ เชิญฆ่ากันในดินแดนอิสราเอลเท่านั้น มรึงอย่าล้ำเส้น ใครโผล่หัวออกมา กูตามเชือดทันที! เมื่อกองเรือรบสหรัฐ เข้าพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่ได้ บีบให้ต้องใช้ลูกยาวช่วยเข้าสกัด คำถามคือ มรึงเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ แล้วอีกฝ่ายมีเป็นล้านลูก ราคาถูกกว่ามรึงเยอะ แถมแม่นยำกว่าเหี้ยๆ ยิ่งทำให้คลังแสงสหรัฐเกลี้ยงก็งานนี้ แล้วใครล่ะ กำลังรอยกพลขึ้นบกยึดวอชิงตันตามคุณยายละม่อม เพราะมรึงไม่เหลือเหี้ยอะไรจะสกัดได้อีกแล้ว ทุกอย่างมันมาตามสเตป แผนรีดอาวุธ เขี้ยวเล็บเหี้ย ถังแตกมาชัวร์ ขี้แตกมาแน่! อย่าลืมว่า ทันที ที่ 3 ฮอ จับมือกองกำลังยกพลขึ้นบกได้เมื่อไหร่ จุดจบเยรูซาเล็มมาทันที เพราะมรึงจะไม่สามารถควบคุมพื้นที่อะไรได้อีกแล้ว ทุกพื้นที่กลายเป็นสมรภูมิรบเต็มอัตราศึก ยังไม่นับชาติมุสลิมทั้งโลกที่อาสาจะส่งกองกำลังเข้ามาเต็มไม่อั้น หวังได้กระทืบอียิวซักครั้งก่อนตาย ทั้งแอฟริกา ทั้งอัฟกานิสถาน รอไฟเขียวอยู่ ศึกนี้ อียิวจะลากอเมริกันมาตายห่าเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ดอลล่าร์เกิดที่นี่ แล้วกำลังจะตายห่าที่นี่เช่นกัน! หันไปทะเลจีนใต้ ไอ้สัส! จีนจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ท้าทายเหี้ย กวักมือเรียก อย่าลีลาเยอะ เข้ามาตายคาตรีนกูซะที อย่าให้รอนาน เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ เรือรบนับ 100 ลำ โชว์แสนยานุภาพจนเหี้ยเยี่ยวแตก อยากจะเปิดศึกหลายด้านมิใช่เหรอ? ช่วยตอบคำถามทีว่า มรึงสู้กับอิหร่าน เค้ามีโลกมุสลิม สันนิบาตอาหรับ ลงแขกมรึง มรึงสู้กับจีน เค้ามีกองเรือรบนับร้อย พันธมิตรนับสิบ รอสอยมรึงเช้าเย็น มรึงจะลุยรัสเซีย ใช้ยูเครนเป็นสนามรบ แพ้ยับ ตายห่าคาที่ ทั้ง NATO 40 ชาติหมา ยังเอารัสเซียไม่อยู่ แพ้ราบคาบ แล้วมรึงยังจะเหลือเหี้ยอะไรมางัดกับทั้งโลกไหว ดูความจริง ดูสิ่งที่จะเป็นไปได้ อย่ามโน? เอาตามจริง รัสเซีย จีน เค้าจะเก็บมรึงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ใช้เวงลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ใช้เวลาทำให้ขี้ข้ามรึงย้ายขั้ว ใช้เวลาทำให้โลกประจักษ์ว่า "ตัวเหี้ยหน้าตามันเป็นยังไง" ใช้เวลาทำให้เศรษฐกิจพวกมรึงเจ๊ง พังยับเยิน ใช้เวลาทำให้โลกรวมตัวต่อกันติดเร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อสุกงอม ก็ถึงเวลา "เด็ดผล" และนี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดในพศ.นี้ จีน โสมแดง ยังไม่ได้ออกโรงเลยน่ะ มรึงก็แพ้ราบคาบหมดเกลี้ยงทั้งยุทธวิธี และการทหาร อย่าให้ต้องออก เพราะออกมาแล้ว มันต้องจบที่วอชิงตันเท่านั้น ธงโสมแดง จะปักอยู่บนตึกทำเนียบขาว ให้ควายโลกรู้เต็มตา โลกฮอลีวู๊ดที่มรึงดู กับโลกความเป็นจริง แม่งคนละเรื่อง! สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล NATO กระจอกกว่าที่มรึงคิดไว้เยอะ หลอกควายได้ แต่หลอกความจริงไม่ได้ ว่ามรึงมัน "อ่อนหัด" กระดูกคนละเบอร์ ขั้วใหม่เค้ามาพร้อม มาแรง มาเต็มพิกัด โลกถึงได้เดินตามอยู่ทุกวันนี้ ประเด็น "ไต้หวัน" กลายเป็นแค่น้ำจิ้มทันที ยามเมื่อจีน ปักธงไว้ที่อเมริกาสำเร็จ! ถามประชาชนชาติตะวันตกทั้งหลาย "มรึงยอมโง่ ยอมตายห่าฟรีมั้ย?" สงครามมรึงเหรอ? สงครามที่มรึงก่อเองเหรอ? ทั้งหมด เป็นเพราะนักการเมืองขี้ข้ายิว สนองตัณหาให้ยิว โดยเอาพวกมรึงที่หน้าโง่เลือกเหี้ยเข้ามา พาพวกมรึงไปตายห่าทั้งโคตร สิ้นชาติ สูญพันธุ์ เชิญแดร๊กปชต.กันให้อร่อยในขุมนรกน่ะจ๊ะ อีเอ๋อ ทิ้งทวน ก่อนตกเก้าอี้ เตรียมสั่งแบนรถ EV จีน ทั้งหมด เข้าทางตรีนจีนทันที เพราะอะไร? มรึงแบนเค้าได้ เค้าก็แบนมรึงกลับได้ แล้วอะไรขายดีในจีนล่ะ ก็อีเทสล่า ของอีลอน มัสก์ไง? EV จีนไม่ได้ขายอเมริกาไม่ตาย เพราะทั้งโลกต้องการสูง แต่อีเทสล่าไม่ได้ขายในจีน ตายคาตรีนทันที! ทั้งหมด เป็นแผนอีพรรคลา โยนขี้ให้รัฐบาลใหม่สานต่อ ไม่รู้ยังจะมีรัฐบาลใหม่เหลือต่อไปมั้ย? อเมริกาอาจแตกไปซะก่อนน่ะสิ สงครามหน้ามืดที่มรึงกำลังจะเปิดกับตะวันออกกลางเพื่อช่วยอียิวเหี้ยนายใหญ่ กำลังจะทำให้ระบบทั้งหมดที่มรึงเคยมี จะหายสาบสูญไปทันที เพราะทั้งโลกเค้าจะแบนมรึงหมดแล้ว ไม่ส่ง ไม่ขาย ไม่รับดอลล่าร์ ใครฉิบหายก่อนล่ะ? ส่วนอีทรัมปป์ถูกอียิวเหี้ยไซออนนิสต์หมายหัว เป็นขี้ข้ากู เสือกริจะขึ้นมาเทียบชั้นกู ใครทำให้มรึงเปลี่ยนไป? ก็แสงไงล่ะ? ปล.มันส์ล่ะมรึง? อีแดงเสียวตูด หาช่องหลบกฎหมาย เอาเงินโปรยแจกควาย หวังซื้อคะแนนเสียงกลับมา ฝ่ายกฎหมาย ตาวิเศษ จ้องทุกดอก เอาทุกเม็ด ยังไงก็ไม่รอด? ยิ่งดิ้น ยิ่งต่างกรรม ต่างวาระ ผูกกันจนชาติหน้าไม่พอขัง แจกเลยวันนี้ แจกจริงซักที คนรอเชือดกระดิกตรีนรอนานแล้วน่ะ ลงชื่อถ่วงเวลาทำไม? ไม่ว่าจะพลิกลิ้น ดิ้นไปทางไหน สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น เงินเอามาจากไหน? ใช้ผิดวัตถุประสงค์ ใช้ผิดกฎระเบียบการคลัง ใช้เพื่อหาเสียง ใช้เพื่อบ่อนทำลายชาติ แค่ดันทุรังจะเอาให้ผ่าน จะเอาให้ได้ เที่ยวประกาศลงชื่อ ลงทะเบียน ยังไม่ผ่านประชุมสภา ยังไม่ผ่านมือศาล เข้าข่ายอะไรเอ่ย? ควายรอคอยด้วยความหวัง 10000 ไม่มา ระวังจะกลายเป็นโดมิโน แอฟเฟค สาปแช่งทั้งแผ่นดินกลับน่ะ เตือนแล้ว! ประชากรควายไทยวันวันตั้งหน้าจะแบมือขอเศษเงินท่าเดียว แค่มรึงคิดจะทำมาหาแดร๊กจริงจัง ไม่ขี้เกียจ และสู้ชีวิต ดำรงตนในความพอเพียง มรึงแทบจะไม่ต้องแบมือขอใครแดร๊กได้สบาย สันดาน เอาแต่ได้ คิดแค่ตัวเอง ควายก็คือควาย! ล่าสุด จีนประกาศหนุนเลบานอนแล้ว เพราะรู้ดีว่า เหี้ยมันแพ้ชัวร์ แล้วจะหันหัวเรือเข้าแปซิฟิคแน่ ดังนั้น ต้องล่อตั้งแต่หัวขบวน จีน รัสเซีย อิหร่าน หนุนใคร ไม่มีคำว่า "แพ้" ชนะเห็นๆ ชนะแบเบอร์ มรึงดูเยเมน เป็นตัวอย่าง NATO เสียหมาทั้งคณะเพราะใคร? อีไก่งวงซ่าส์! งวดนี้ ขอร่วมวงกระทืบเหี้ยด้วย ในฐานะชาติมสุลิม ซัดเหี้ยมะกัน ปากเจรจาสันติภาพ แต่เสือกส่งอาวุธให้ยิว ส่งกองกำลังเสริมเข้าไป นี่มันตั้งใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชัดเจน ก็ดี "นัดล้างตาโลก" ใครเกลียดไอ้อีพวกชาติชั่ว อยากจะไล่ฆ่าล้างโคตรเหี้ยให้หมดโลก ก็ขอเชิญมาที่เยรูซาเล็มได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวมรึงได้เห็นฤทธิ์กองกำลังเติร์ก ขุนศึกออตโตมานแน่ ทะเลดำ ช่องแคบบอสฟอรัส ไอ้อีหน้าไหนก็ผ่านไม่ได้ หากกูไม่ปลื้ม รัสเซียสั่งปิดตายไปแล้ว เรือรบเหี้ยไม่กล้าเข้ามาในรัศมีขีปนาวุธร่อน ดูเกมส์โลกตอนนี้ยิ่งชัด เหี้ยเทหมดหน้าตัก แก้ผ้าล่อนจ้อน เหี้ยแท้ ตัวจริง เสียงจริง เอาให้โลกสุมหัวกันเข้ามา จะเปลี่ยนโลก ไม่สูญเสียก็ไม่มีวันเปลี่ยน ด้านอาเซียนพร้อมรับมือ ใครเป็นใคร ขั้วไหน ตอนนี้ต้องเลือกให้ชัดเจน ปากบอกเป็นกลาง แต่การกระทำมันชัดไปนานแล้วว่า อยู่ฝ่ายไหน? มีแค่ 2 ฝ่าย ฝ่ายโลก กับฝ่ายเหี้ย แม้แต่เกมส์ในบ้านศรีธนญชัยก็เช่นกัน เหี้ยสั่งลุย เร่งเครื่องเต็มกำลัง บีบให้อีแดงที่มีแผลเวอะหวะ เตรียมต้องบูชายันต์ตายห่ายกแก๊งค์เหี้ย แพแตกชัวร์ หมี CNN(ระฆังดังแล้ว สัญญานชัดเจน ROUND 1 เหี้ยกล้าบุก ก็ต้องกล้าตาย สันนิบาตอาหรับจะล้างอสรพิษ ใครอีแอบ ใครหนอนบ่อนไส้ ถึงเวลาเดี๋ยวรู้ ชาติอาหรับมติเดียว ใครยังจะแถต่อ ถีบส่งทันที วัดใจอีซาอุ UAE ถึงเวลากล้าจับปืนฆ่ายิวมุย? แต่ขั้วใหม่เค้าไม่รอมรึงแล้วน่ะ ใส่หมดแม็ก ตายคาที่เกลื่อน อะไรที่ไม่เคยเห็น จะได้เห็น ย้ายขั้ว ย้ายข้างกันเมามันส์ ไม่มีใครอยากจะยืนอยู่ข้างผู้แพ้ดอกน่ะ สัจธรรมโลก เพราะนี่คือ "มนุษย์") 25 กย. 67 14.49 น. https://linevoom.line.me/post/1172725073690929512 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!!

    ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!!

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
    หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน
    ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall
    โดยเริ่มต้นว่า……
    “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน……
    ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป
    แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย
    ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร…
    ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…”

    ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008)
    ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft
    ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว
    มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ

    ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้…
    ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้)
    ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ

    มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง
    ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ
    (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน)
    คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย

    ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา
    เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ
    ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้
    และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์
    เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน
    เขายังร่ายยาวต่อไป
    ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว

    ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์
    พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่
    ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า
    “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!”
    เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย
    ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด

    เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

    ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย
    ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน
    หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย
    ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม
    โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง
    ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า
    “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…”
    แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง

    ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา
    นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า
    อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง
    ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!!

    อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps,
    AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon
    ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย

    ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ
    MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค
    จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว
    ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!!
    MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!!

    ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK)
    ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร
    กับใคร และเมื่อไหร่
    ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK)
    ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว
    ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ
    วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว
    วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์

    การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว
    แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย
    พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป…

    ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต
    นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล

    คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท
    ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์
    สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง

    ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า
    “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……”

    ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak
    ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น
    ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก
    อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000
    แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
    เสียชีวิต……
    ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ….
    และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    มาแล้วค่าาาา……มาช้าดีกว่าไม่มา เรื่องพี่ปูเขาเยอะ คนเขียนต้องใช้เวลาเรียบเรียง……นี๊ดดดดดดดดนึงนะคะ……!!! ตอนสิบสาม….…ถ้าไม่แน่จริง……อย่ามาขวางทาง เพราะจะเลี้ยงไม่โต……!!!! วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2003 เรื่องสำคัญที่ปูตินได้เตรียมพร้อมที่จะลงดาบ……นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ได้คุยกันไปในรอบแรกถึงนโยบายเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เมื่อมาถึงตอนนี้……หลังจากที่เฝ้าจับตาดูมานานกว่าสองปี เขาเรียกประชุมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่หอประชุม Catherine Hall โดยเริ่มต้นว่า…… “เงินและทรัพย์สินที่พวกคุณที่หามาได้ จะมากมายแค่ไหน…… ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง คุณก็ทำมาหากินของคุณไป แต่มีข้อแม้อย่างเดียว คือ อย่าใช้เงินของคุณ มาเกี่ยวข้องหรือมาเล่นการเมืองโดยเด็ดขาด……และเรื่องสัมปทานทั้งหลาย ถ้ามีการฟอกเงินไม่ว่าสกุลไหน หรือถ่ายเทออกไปให้ใคร… ผมจะยึดคืนเข้ารัฐ…” ประกาสิตของปูตินที่ออกมา ได้กระทบกันระนาว คนหนึ่งในนั้นนั่นคือ Roman Abramovich มหาเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐ Chukotka (ที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่ง 2000-2008) ซึ่งได้มีการพูดคุยกับปูติน ว่า..ตำแหน่งผู้ว่าที่ได้มานั้น มาจากการที่เขาบริจาคทรัพย์สินที่มีมากมายมหาศาลในการสร้างเมืองที่แสนยากจนให้มาอยู่ดีกินดี เขาคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในรัสเซียที่สร้างตัวมาได้จากการขายเศษเหล็ก จนเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมัน Sibneft ในกลุ่มของเขา มีเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่รวมกลุ่มกัน คือ Badri Patarkatsishvili, Boris Berezovsky, Mikhail Fridman และ Mikhail Khodorkovsky และคนอื่นๆกว่ายี่สิบ ที่มีทรัพย์สินรวมกันแล้ว มากกว่างบประมาณประจำปีของหลายประเทศ ทุกคน(ส่วนใหญ่คือยิว)เริ่มหวั่นไหว เพราะปูตินได้กล่าวว่า ผมมีทางเลือกให้สองทาง จะเล่นการเมือง หรือ จะค้าขาย พวกคุณจะทำทั้งสองอย่างไม่ได้… ว่าแล้ว……ปูตินก็กางบัญชีเก็บภาษีย้อนหลัง (ที่ตรียมไว้) ซึ่งทุกคนต้องจ่าย และขอให้เริ่มต้นทำบัญชีให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะจากนี้ไป… รัฐบาลจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจสอบ มีคนเดียว…ที่ตกลงตามคำสั่งทุกประการ นั่นคือ Roman Abramovich….พร้อมจ่าย พร้อมให้ตรวจสอบทุกสิ่ง ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ……เงียบ (แต่หอบเงินหนีไปต่างประเทศ และไปตั้งตัวเป็นศัตรูของปูติน) คนที่เสียงดังที่สุด คือ Mikhail Khodorkovsky (หรือจะเรียกว่า MK) คนนี้ เป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีอายุเพียง 39 ปี เป็นคนหัวทันสมัย ชื่นชอบนโยบายตะวันตก และมีเส้นสายกับกลุ่มยิวอเมริกันอย่างเปิดเผย เขาเปรียบเสมือน บิล เกตต์ แห่งรัสเซีย ระหว่าง MK มหาเศรษฐีสมัยใหม่ พูดจาผ่าซาก กับ ปูติน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในรัสเซีย จึงเกิดการศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่นั้นมา เพราะ MK เริ่มพูดถึงการคอรัปชั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคกอร์บาเชฟ ที่ทำให้พวกเขาได้ร่ำรวยกันทุกวันนี้ และการคอรัปชั่นนั้น มันมีมาตั้งแต่การสอบเข้ารับราชการที่ต้องมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพราะใครๆก็อยากเข้ามาทำราชการ ช่องทางหากินเยอะแยะ รวมทั้งเรื่องการเข้าประมูลสัมปทานน้ำมันที่อาร์คติก ที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านดอลล่าร์ เพราะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้คนของรัฐหลายหน่วยงาน เขายังร่ายยาวต่อไป ความหมายคือ เขาไม่เชื่อว่าปูตินจะมาปราบโกง ในเมื่อมันได้หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่ครั้งที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ปูตินเดือดจนแทบระเบิด ……แต่เขาพยายามสกัดอารมณ์ พร้อมกับส่งบัญชีภาษีย้อนหลังให้กับ MK ในรายการธุรกิจน้ำมัน บริษัท Yukos ที่ MK เป็นเจ้าของอยู่ ผู้รับ……ไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน ซ้ำยังพูดเปรยๆว่า “ฝ่ายบัญชีท่าจะว่างจัด..!!!” เหล่ามหาเศรษฐีกลุ่มนี้ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งในเรื่องยอดภาษีจำนวนมหาศาลที่หมกเม็ดไว้นานแสนนานได้ และเห็นว่าทำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เลยเทหุ้นขาย หรือ ไม่จ่าย ต่างหนีออกไปอยู่สบายๆที่ยุโรปกันแทบทั้งหมด เท่ากับว่า…รัฐบาลของปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของในอุตสาหกรรมที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศตามเจตนารมณ์ของปูติน ที่ต้องการใช้ทรัพยากรทั้งหมดสร้างเม็ดเงินเพื่อพัฒนาประเทศ ในช่วงขณะที่มีการประชุมกับกลุ่มมหาเศรษฐีนั้น คือช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าบุกอิรัค ที่ปูตินไม่เห็นด้วย ปธน. บุชได้ชวนรัสเซียเข้ามาร่วมด้วยในการกำจัด ซัดดัม ฮุสเซน แต่ในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่ผูกพันกับอิรัคมายาวนาน หรือแม้ในช่วง 1991 ที่มีสงครามอ่าว รัสเซียก็ยังช่วยซื้อน้ำมันจากอิรัค ในขณะที่ UN ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย ทำให้บุชรู้สึกไม่พอใจในรัสเซีย เพราะ……เห็นว่ารัสเซียเข้าข้างซัดดัม โดยเบื้องหลังแล้ว……ปูตินได้แอบส่ง Primakov ไปที่กรุงแบกแดดไปเจรจากับซัดดัมให้ลาออกจากตำแหน่ง ซัดดัมรับฟังเงียบๆ แล้วก็เรียกคณะมนตรีเข้ามา พร้อมกับประกาศว่า “ฟังนะ ทุกคน……ตอนนี้รัสเซียได้กลายเป็นลูกจ๊อกของอเมริกาไปแล้ว…” แต่ลูกจ๊อกคนนี้ คือผู้ที่ส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องสกัดขีปนาวุธให้กับอิรักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครรู้ว่า ในสองปีที่ปูตินได้พยายามเป็นญาติดีกับอเมริกา นั้น……มันเปล่าประโยชน์จริงๆ และเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่า อเมริกา…ไม่ต้องการเป็นมิตร……แต่ต้องการที่จะครอบครอง ทั้งโลกแต่ผู้เดียว……!!! อเมริกาที่เข้าไปแทรกแซงทุกแห่งหนในโลก ทั้งทางตรง (รุกราน) และทางอ้อม (soft power) แม้แต่ในรัสเซียที่มีทุนของอเมริกาไหลบ่ามาอย่างมากมาย เช่นกลุ่ม Peace Corps, AFL-CIO (สหภาพแรงงาน), Chevron, Exxon ปูตินสั่งการให้เข้าคุมเข้ม และตรวจสอบแบบไม่ให้กระดิกกระเดี้ย ในปี 2003 ที่เขารีบทำการตอกหมุดเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเตรียมตัวเลือกตั้งในสมัยต่อไป (2004) ที่เขามีศัตรูเพิ่มขึ้น คือ MK ที่ได้ใช้เงินซื้อทุกพรรค จนต้องเรียกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว ปูตินได้บอกกับ MK ว่า……เลิกทำตัวเป็นสปอนด์เซ่อร์ใหญ่ของฝ่ายค้านเสียที……!! MK ตอบอย่างยะโสว่า……ด๊ายยย เลิกก็ได้ แต่ผมห้ามคนอื่นๆในองค์กรของผมไม่ได้นะ เขาจะสนับสนุนพรรคไหนก็เป็นสิทธิของเขา……!!! ได้เลย…ถ้าต้องการแบบนั้น เดือนมิถุนายน ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทน้ำมัน Yukos (ของ MK) ด้วยข้อหาเกี่ยวพันกับคดีอาชญากรรม…ที่ต่อมามีการซัดทอดกันไปมาในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (ยังไม่เกี่ยวกับ MK) ในการซัดทอดนี้ ได้เป็นข่าวสนุกรายวัน เพราะมีการแฉเรื่องความเป็นมาของแต่ละคนว่า มีตำหนิตรงไหน ด้วยเรื่องอะไร กับใคร และเมื่อไหร่ ซึ่งนำเข้าสู่การจับกุม Platon Lebedev (หุ้นส่วนใหญ่ของ MK) ที่ทำให้สองวันต่อมา หุ้นของ Yukos มูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ (เทียบเท่า) ตกดิ่งลงเหว ส่วน MK ยังทำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เกี่ยว ยังเดินทางไปโน่นมานี่อย่างปรกติ วันที่ 23 ตุลาคม ศาลได้ส่งหมายเรียกให้ MK ไปเข้าให้การในเรื่องภาษี แต่……เขาไม่ปรากฎตัว วันที่ 25 ขณะที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และแวะเติมน้ำมันที่ Novosibirsk เขาได้ถูกจับที่สนามบิน และถูกควบคุมตัวกลับสู่มอสโคว์ การควบคุมตัวของ MK ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นตก นักลงทุนหวั่นไหว แต่สองเดือนก่อนหน้านี้ปูตินได้ออกหนังสือขึ้นมาจ่ายแจกกับประชาชนในเรื่องของ “กลุ่มทุนที่บั่นทอนประเทศ” โดยอธิบายความเป็นมาที่สร้างความเสียหาย พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ปูตินได้ออกรายการทีวี เอาเหตุการณ์ของ Yukos นี้มาเป็นตัวอย่างที่เห็นจริง……และให้สัญญากับประชาชนว่า สัมปทานในเรื่องน้ำมันและพลังงานจะต้องไม่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะต้องเป็นของประชาชนทั่วไป… ปัญหาต่อมาของปูติน คือ การก่อความไม่สงบในเชเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในระบบใหม่ นั่นคือ ระเบิดฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ ทำให้เกิดความโกลาหลและสูญเสีย และเป็นผลเสียกับรัฐบาล ที่อาจจะเป็นข้อเสียในการโหวต นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง เขานอนไม่หลับ ตื่นไปหยอดบัตรแต่เช้า ซึ่งในวันนั้น Koni สุนัขแสนรักได้ออกลูกมา แปดตัว ข่าวของลูกสุนัขแปดตัวของปูตินดังกลบข่าวเลือกตั้งของฝ่ายค้านไปสนิท ในที่สุด พรรค United Russia ของปูตินได้รับคะแนนเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านร่วงไปกว่าคราวที่แล้วกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ พรรคที่สนับสนุนโดย MK ได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ สรุปว่า พรรคของปูตินได้แบบแลนด์สไลด์ 300 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภา 450 ที่นั่ง ที่ปูตินประกาศถึงชัยชนะในครั้งนี้ว่า “เป็นการสิ้นสุดของการเมืองในระบบเก่าๆ จากนี้ไปเราจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ การเมืองใหม่……” ~~~พูดถึงการเลือกตั้ง ดิฉันลืมเล่าถึง Anatoly Sobchak ผู้ที่มีพระคุณของปูติน ที่ต้องหลบหนีไปยังฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของปูตินในปี 1997 นั้น ในปี 1999 ที่ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากเยลซินให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ทำการนิรโทษกรรมให้อนาโตลีกลับคืนสู่รัสเซียอย่างไร้มลทิน ปูตินไปรอรับที่สนามบินที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก อนาโตลีได้พยายามช่วยงานปูตินในการหาเสียงสู่ประธานาธิบดีในปี 2000 แต่ในดือนกุมภาพันธ์ เขาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิต…… ปูตินได้เข้าไปช่วยในพิธีงานศพตั้งแต่ต้นจนจบ โดยถือเสมอว่า อนาโตลีคือผู้มีพระคุณ…. และนั่นคือ ครั้งแรก….ที่คนได้เห็นน้ำตาของปูติน….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24-09-67/01 : หมี CNN / สัพเพเหระ เม้าท์มอย สังขยา ปลาปิ้ง EP.49 THE DAY AFTER 2MORROW มรึงโดนกูแน่! วัดกันไปเลย วันต่อวัน จะมีปัญญาจุดไฟโหมโรง WWIII หรือไม่ อยู่ที่ ขี้ข้าเหี้ย ใจกล้าพอแค่ไหน? พร้อมตายยัง? ทะเลาะกันวงแตก หามติไม่ได้ ทั้ง NATO EU ต่างชิ่งหนีเอาตัวรอด ใครจะยอมโง่ไปตายห่าฟรี เพื่อบูชายันต์สนองตัณหาให้อียิวสลัดหมากันล่ะ? เสี้ยมกันจังน่ะมรึง! ช่องอีอ่ำ ดันสุดฤทธิ์ ห่มเหลืองบูชาเยซูคริสต์เจ้า แค่ไม่ใช่ควาย มีสติ หมายังมองออก ทำลายแก้ว 3 ประการ 1 ในนั้นคือพุทธศาสนา คนเราหากมีสติ มีเหรอ? จะดูไม่ออก ว่าเหี้ยต้องการอะไร? ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ศาสนาไหนก็ดีหมด หากมรึงศรัทธาด้วยสติ ไอ้ที่ทะเลาะกันเนี่ย เพราะเหี้ยมันเสี้ยม มรึงดูอิรัก-อิหร่าน เป็นตัวอย่าง สุนี่-ชิอะห์ ไม่เผาผี แล้วเป็นยังไง วันนี้ รักกันปานจะกลืนกิน เพ่น้องร่วมโลกมุสลิม ใครเสี้ยมให้มรึงเข่นฆ่ากันเอง หันปากกระบอกปืนไปไล่ฆ่าอียูดาส อีชั่วทรยศพระเจ้าจะดีกว่ามุย? มีแต่สัดนรกเท่านั้นแหละ ที่ไม่อยากเห็นมวลมนุษยชาติรักใคร่กัน เพราะมันจะหาแดร๊กลำบาก ธุรกิจของอียิวทุกอย่าง มีไว้เพื่อทำลายมวลมนุษยชาติโดยตรง ใครออกแบบล่ะ ก็อีนายใหญ่สัดนรกเลื้อยคลานเรปทีเรี่ยนไงล่ะ? เมื่อเข้าใจโลกดีแล้วว่า ความชั่วบัดซบ มาจากพวกมัน แล้วมรึงจะรออะไรอยู่ล่ะ "ฆ่าล้างโคตรแม่งซะ โลกสงบสุขทันที" ที่มาว่าแสงทำงานดีเกิน ตาสว่างไสวไปทั่วโลก แค่ตั้งสติ ปัญญามาทันที! รัสเซียจ๋า มรึงจะรีบคึกไปไหน ของเหลือเยอะชิมิ? ล่อชุดใหญ่ 900 ลูก ปูพรมแบบ NON STOP อียูเครนมันเหลือแต่ซากศพแล้ว จะขยี้ไปถึงไหน? ไอ้สัส! บร๊าไปแล้ว แค่ 7 NANO ชิปเทพ อีฝรั่งหัวทองเห็นยังอึ้ง ยังช็อค! นี่เผลอแป๊บเดียว มรึงจะไปถึง 8 NANO อีกแล้วเหรอ? สัส..ชาติหน้า เมื่อไหร่จะตามทัน โครงการอวกาศจีน แม่งไปถึงดาวอันโดรเมด้าแล้ว มรึงยังจะเพิ่งหาทางไปเหยียบดวงจันทร์อยู่ แม่งคนละสเปซี่เลย จีนยุคใหม่ แม่ง GENIUS ชัดๆ แล้วเสี้ยนจะทำสงครามกับจีน มีปัญญาเหรอ ไอ้ควาย? สาแก่ใจอีช้อยทั้งตะวันออกกลาง IRGC จับสายลับอีมดเหี้ยยิว 12 ตัว ไม่ต้องถามสภาพจะเหลือมุย? ตายเร็วสบายไป งานนี้ ร้องขอความตายสถานเดียว! นี่กลายเป็นว่า "อียิว" กลายเป็นเหยื่อ ให้นายพรานจากโลกมุสลิมไล่ล่าฆ่ากันอย่างเมามันส์ เอาให้สูญพันธุ์เหี้ยกันไปเลย จับได้ รีดข้อมูล จับขึงก่อน ทรมานซัก 15 วัน แล้วค่อยเชือด อยากกลับขุมนรก กูจัดให้! มันส์ล่ะมรึง! สัญญานแรง 6G จีนและชาวโลก สั่งแห่อพยพคนของตนออกจากอิสราเอลทั้งหมดแล้ว นัยยะคือ "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่างมาเต็มตรีน" สถานฑูตไม่เหลือใครอยู่เฝ้าแล้วจ๊ะ ทะยอยออกกันเกือบหมดแล้ว อีเนรคุณแพะ หนีก็ไม่ได้ สู้ก็ตายคาที่ กวักมือเรียกขี้ข้ามะกันมา มาได้แต่นอกรัศมีระยะยิงเยเมน ไอ้สัส! ปอดแหกซะขนาดนี้ อย่าริเปิดเกมส์ใหญ่ ไม่คู่ควร! ล่าสุด XIAOMI ทำยอดขายทะลุแซง อีไอโฟนเน่าเรียบร้อย โลกไม่ใช่ของอียิวอีกแล้ว ระเบิดตายหลักสิบ แต่มูลค่าการตลาดมรึงเสียหายหลายแสนล้านเหรียญ ไม่ใช่โง่ดอก แต่มันจนตรอกขั้นสูงสุด สิ้นเนื้อประดาตัวหมดแล้ว ยังให้ตายห่าง่ายๆ ไม่สาแก่ใจ โลกรู้ ว่ามรึงแอบส่ง HAARP ไปทำลายสิ่งแวดล้อมคู่ปรปักษ์ แต่จีนล้ำกว่ามรึงเยอะ สิ่งที่จีนทำ สิ่งที่จีนมี คือส่งผลสะท้อนคลื่นแม่เหล็กกลับใส่มรึงไงล่ะ? จีนทำได้เนียนตากว่าเยอะ ยิ่งรัสเซียไม่ต้องถาม แจมสัญญานสื่อสาร ทำให้ GPS มรึงเสียการควบคุม ระบบมรึงรวนทั้งระบบ ทำไปแล้ว ตั้งแต่สัญญานอินเตอร์เน็ตล่ม โรงงานไฟฟ้าดับ โรงงานนิวเคลียร์ไม่ทำงาน วงในเค้ารู้กันว่าฝีมือใคร ที่มีเทคโนโลยีล้ำซะขนาดนี้ ขนาดนอกโลก มรึงยังต้องแบมือกราบของแรงช่วยส่งนักบินกลับโลก หมาซะยิ่งกว่าหมา? แบบนี้ ยังจะหน้าด้านมาท้าสู้อีก แค่ใต้ตรีนเค้า อย่าริเสนอหน้า มรึงไม่คู่ควร! เมืองท่าไฮฟาทรุด โดน 200 ลูก พังยับเยิน โลจิสติคเละเทะ ความช่วยเหลือไม่มา สภาพมรึงตอนนี้ ดูแล้วโคตรน่าสมเพช "พิการซะขนาดนี้" ยังเสี้ยนจะก่อสงคราม อยากให้มวลมนุษยชาติตายห่ามากสิท่า แต่ดูทรงแล้ว จะเป็นอียิวพันธุ์สัดนรกมากกว่าที่จะตายห่าสูญพันธุ์ สิ้นชาติ ได้แต่ยื้อ ทำอะไรเค้าไม่ได้เลย! โจมตีปาหี่ แตะต้องหัวใจสำคัญไม่ได้เลย อาวุธมรึงที่คิดว่าจะขายออก แป๊กสิจ๊ะ เพราะทั้งโลก หันไปหารัสเซีย จีน อิหร่าน แม้แต่โสมแดง หมดเกลี้ยง ของดีจริง พิสูจน์แล้วเต็มตา สนามรบงวดนี้ กลายเป็น SHOW ROOM ให้ขั้วใหม่ประกาศศักดาชัดเจน!

    ปล.บ้านศรีธนญชัย 2024 การเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ กองทัพตบเท้าเข้าวังหมด สายสัมพันธ์ลุงตู่ยกคณะ ทหารแตงโมหลุดทั้งยวง ปลดประจำการทั้งคณะ นายพลเหี้ยร่วงระนาว ส่งดาบแรง วังไม่ไว้หน้า คิดคดทรยศแผ่นดิน ตะบัดสัตย์ ใครจะเก็บไว้ทำพ่อง? การเมืองปาหี่ขายไม่ออก อีส้มเน่าแพ้ราบ อีแดงถูกล้างแค้น มรึงยังจะเอา ปชต. ควายไปถึงไหน เลือกตั้งมาทั้งชีวิต มีเหี้ยอะไรดีขึ้นบ้าง ไอ้สัส! สุดท้าย พ่อหลวงก็ต้องออกโรงช่วยเสมอมา ปิดทองหลังพระควายมองไม่เห็น แต่คนเห็น ลูกพ่อตัวจริงเห็นทุกอย่าง! คีย์สำคัญ จำเอาไว้ "ศรีธนญชัย รอขั้วใหม่นำโลก" ไม่ต้องลงมือเอง ตามน้ำอย่างเดียว เดินตามอย่างเดียว รอดชัวร์! อาเซียนทั้งหมด ก็ใช้แผนเดียวกัน ไม่ยุ่ง ไม่ล้ำเส้น ไม่เสือก จะรอด! ปล่อยขั้วใหม่ไล่กระทืบขั้วเก่าให้เมามันส์ไปก่อน แล้วค่อยออกโรงตอนจบ แบบตำรวจหนังไทยไงล่ะ ไอ้สัส! จีนก้าวกระโดด ใช้เวลา 24 ปี จากประเทศยากจน กลายเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกล่าสุด เหตุผลเดียวคือ "พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ" น้ำ ไฟ ถนน อินเตอร์เน็ต โลจิสติค ครอบจักรวาล ถึงกันหมด ไม่มีช่องว่าง พื้นที่เคยขาดแคลนน้ำ ก็ผันน้ำจากแหล่งใหญ่สุดตีขึ้นเหนือ ตะวันตก จนมีน้ำใช้เหลือเฟือ เพราะก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เพราะส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานหลักอย่างมั่นคงต่อเนื่อง ทำให้จีนเติบโตทั้งแผ่นดิน แบบที่เหี้ยตะวันตก ยังทำไม่ได้ในระยะเวลาสั้นแค่นี้ พอจีนไปอุ้มใคร ทั้งแอฟริกา ทั้งอาเซียน ก็จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ก่อนอันดับแลก คนต้องไปถึง น้ำ ไฟ ต้องมีใช้ โลจิสติคต้องเชื่อมต่อ เมื่อเทคโนโลยีเข้าสู่ทุกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาก็จะเป็นแบบก้าวกระโดด จับตาดูให้ดีดี ใครที่จีนดีด้วย จะได้เปรียบในเชิงการค้าเสมอ เพราะจีนจะป้อนตลาดเข้าหากัน ใครมีอะไร ใครขาดอะไร จับมาจูบปากคือจบ ไม่มีกั๊ก? แต่เหี้ยตะวันตกเอาทุกอย่างผูกไว้กับตัวเอง ไม่แบ่งปัน ไม่เชื่อมต่อ เพราะต้องการกุมอำนาจในมือฝ่ายเดียว นี่คือจุดอ่อนของเหี้ยที่ผ่านมา BRICS ถึงเกิดได้รวดฟ้าผ่าอย่างที่เห็น! ไอ้สัส! ไม่จริงชิมิ วิ โครโมโซม Y กำลังจะหายไป หมดโลกเหรอ? ผู้ชายกำลังจะสูญพันธุ์ เพราะโครโมโซม Y เพศผู้ สั้นลงไปเรื่อยๆ จากความยาวที่เคยเป็น เพราะความอ่อนแอด้านพันธุ์กรรม จึงทำให้โครโมโซม X ที่ยาวกว่า แข็งแกร่งกว่าเขมือบนั่นเอง แปลว่าอะไร "โลกอนาคต ผู้ชายเหลือน้อย โปรดใช้สอยอย่างปราณี" อีกหน่อย มรึงอาจจะได้เห็นทั้งโลก ประกาศรับสมัครผู้ชายมาเป็นพ่อพันธุ์ โอนสัญชาติ ดูแลฟรีทั้งชีวิต อยู่ให้ถึงน่ะ ตอนนั้น มรึงได้กลายเป็น "ชายเหนือชาย" แน่ เพราะโลกจะเหลือแค่ ผู้หญิง กับตุ๊ดหวานแหววแต๋วแตก ชายจริงจะเหลือซักกี่ตัวกันเนี่ย? เห็นแล้วเศร้า! ว่าแล้วไปลงหม้อสุกี้ดีก่า? 555+

    หมี CNN(ศุกร์เมา เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จันทร์ลา อังคารแฮงค์ ฝนตกหนักช่วงนี้ รักษาสุขภาพด้วย เหล้า ยา ปลาปิ้ง ลดได้ลด ไปออกกำลังกายบ้าง อะไรน่ะ ฝนตกทั้งวัน จะให้กูไปออกที่ไหน ไอ้สัส! ก็กีฬาในร่มก็มี เพชรบุรีตัดใหม่ก็เยอะ รัชดาก็แยะ ไปสิ ไปเสริมแกร่งโครโมโซม Y ก่อนเสื่อม อั๊ยยะ จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรเอ่ย มาไว ไปไว เร็วฟ้าผ่า ยังไม่ทันตั้งตัว อุ๊ปส์ หายวับทันตาเห็น เกมส์มาสุดทางแล้ว แค่รอเปิดพิธีเท่านั้นเอง ไทยยังชิลด์!)
    24 กย. 67
    11.45 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172717524688184772
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    24-09-67/01 : หมี CNN / สัพเพเหระ เม้าท์มอย สังขยา ปลาปิ้ง EP.49 THE DAY AFTER 2MORROW มรึงโดนกูแน่! วัดกันไปเลย วันต่อวัน จะมีปัญญาจุดไฟโหมโรง WWIII หรือไม่ อยู่ที่ ขี้ข้าเหี้ย ใจกล้าพอแค่ไหน? พร้อมตายยัง? ทะเลาะกันวงแตก หามติไม่ได้ ทั้ง NATO EU ต่างชิ่งหนีเอาตัวรอด ใครจะยอมโง่ไปตายห่าฟรี เพื่อบูชายันต์สนองตัณหาให้อียิวสลัดหมากันล่ะ? เสี้ยมกันจังน่ะมรึง! ช่องอีอ่ำ ดันสุดฤทธิ์ ห่มเหลืองบูชาเยซูคริสต์เจ้า แค่ไม่ใช่ควาย มีสติ หมายังมองออก ทำลายแก้ว 3 ประการ 1 ในนั้นคือพุทธศาสนา คนเราหากมีสติ มีเหรอ? จะดูไม่ออก ว่าเหี้ยต้องการอะไร? ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ศาสนาไหนก็ดีหมด หากมรึงศรัทธาด้วยสติ ไอ้ที่ทะเลาะกันเนี่ย เพราะเหี้ยมันเสี้ยม มรึงดูอิรัก-อิหร่าน เป็นตัวอย่าง สุนี่-ชิอะห์ ไม่เผาผี แล้วเป็นยังไง วันนี้ รักกันปานจะกลืนกิน เพ่น้องร่วมโลกมุสลิม ใครเสี้ยมให้มรึงเข่นฆ่ากันเอง หันปากกระบอกปืนไปไล่ฆ่าอียูดาส อีชั่วทรยศพระเจ้าจะดีกว่ามุย? มีแต่สัดนรกเท่านั้นแหละ ที่ไม่อยากเห็นมวลมนุษยชาติรักใคร่กัน เพราะมันจะหาแดร๊กลำบาก ธุรกิจของอียิวทุกอย่าง มีไว้เพื่อทำลายมวลมนุษยชาติโดยตรง ใครออกแบบล่ะ ก็อีนายใหญ่สัดนรกเลื้อยคลานเรปทีเรี่ยนไงล่ะ? เมื่อเข้าใจโลกดีแล้วว่า ความชั่วบัดซบ มาจากพวกมัน แล้วมรึงจะรออะไรอยู่ล่ะ "ฆ่าล้างโคตรแม่งซะ โลกสงบสุขทันที" ที่มาว่าแสงทำงานดีเกิน ตาสว่างไสวไปทั่วโลก แค่ตั้งสติ ปัญญามาทันที! รัสเซียจ๋า มรึงจะรีบคึกไปไหน ของเหลือเยอะชิมิ? ล่อชุดใหญ่ 900 ลูก ปูพรมแบบ NON STOP อียูเครนมันเหลือแต่ซากศพแล้ว จะขยี้ไปถึงไหน? ไอ้สัส! บร๊าไปแล้ว แค่ 7 NANO ชิปเทพ อีฝรั่งหัวทองเห็นยังอึ้ง ยังช็อค! นี่เผลอแป๊บเดียว มรึงจะไปถึง 8 NANO อีกแล้วเหรอ? สัส..ชาติหน้า เมื่อไหร่จะตามทัน โครงการอวกาศจีน แม่งไปถึงดาวอันโดรเมด้าแล้ว มรึงยังจะเพิ่งหาทางไปเหยียบดวงจันทร์อยู่ แม่งคนละสเปซี่เลย จีนยุคใหม่ แม่ง GENIUS ชัดๆ แล้วเสี้ยนจะทำสงครามกับจีน มีปัญญาเหรอ ไอ้ควาย? สาแก่ใจอีช้อยทั้งตะวันออกกลาง IRGC จับสายลับอีมดเหี้ยยิว 12 ตัว ไม่ต้องถามสภาพจะเหลือมุย? ตายเร็วสบายไป งานนี้ ร้องขอความตายสถานเดียว! นี่กลายเป็นว่า "อียิว" กลายเป็นเหยื่อ ให้นายพรานจากโลกมุสลิมไล่ล่าฆ่ากันอย่างเมามันส์ เอาให้สูญพันธุ์เหี้ยกันไปเลย จับได้ รีดข้อมูล จับขึงก่อน ทรมานซัก 15 วัน แล้วค่อยเชือด อยากกลับขุมนรก กูจัดให้! มันส์ล่ะมรึง! สัญญานแรง 6G จีนและชาวโลก สั่งแห่อพยพคนของตนออกจากอิสราเอลทั้งหมดแล้ว นัยยะคือ "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่างมาเต็มตรีน" สถานฑูตไม่เหลือใครอยู่เฝ้าแล้วจ๊ะ ทะยอยออกกันเกือบหมดแล้ว อีเนรคุณแพะ หนีก็ไม่ได้ สู้ก็ตายคาที่ กวักมือเรียกขี้ข้ามะกันมา มาได้แต่นอกรัศมีระยะยิงเยเมน ไอ้สัส! ปอดแหกซะขนาดนี้ อย่าริเปิดเกมส์ใหญ่ ไม่คู่ควร! ล่าสุด XIAOMI ทำยอดขายทะลุแซง อีไอโฟนเน่าเรียบร้อย โลกไม่ใช่ของอียิวอีกแล้ว ระเบิดตายหลักสิบ แต่มูลค่าการตลาดมรึงเสียหายหลายแสนล้านเหรียญ ไม่ใช่โง่ดอก แต่มันจนตรอกขั้นสูงสุด สิ้นเนื้อประดาตัวหมดแล้ว ยังให้ตายห่าง่ายๆ ไม่สาแก่ใจ โลกรู้ ว่ามรึงแอบส่ง HAARP ไปทำลายสิ่งแวดล้อมคู่ปรปักษ์ แต่จีนล้ำกว่ามรึงเยอะ สิ่งที่จีนทำ สิ่งที่จีนมี คือส่งผลสะท้อนคลื่นแม่เหล็กกลับใส่มรึงไงล่ะ? จีนทำได้เนียนตากว่าเยอะ ยิ่งรัสเซียไม่ต้องถาม แจมสัญญานสื่อสาร ทำให้ GPS มรึงเสียการควบคุม ระบบมรึงรวนทั้งระบบ ทำไปแล้ว ตั้งแต่สัญญานอินเตอร์เน็ตล่ม โรงงานไฟฟ้าดับ โรงงานนิวเคลียร์ไม่ทำงาน วงในเค้ารู้กันว่าฝีมือใคร ที่มีเทคโนโลยีล้ำซะขนาดนี้ ขนาดนอกโลก มรึงยังต้องแบมือกราบของแรงช่วยส่งนักบินกลับโลก หมาซะยิ่งกว่าหมา? แบบนี้ ยังจะหน้าด้านมาท้าสู้อีก แค่ใต้ตรีนเค้า อย่าริเสนอหน้า มรึงไม่คู่ควร! เมืองท่าไฮฟาทรุด โดน 200 ลูก พังยับเยิน โลจิสติคเละเทะ ความช่วยเหลือไม่มา สภาพมรึงตอนนี้ ดูแล้วโคตรน่าสมเพช "พิการซะขนาดนี้" ยังเสี้ยนจะก่อสงคราม อยากให้มวลมนุษยชาติตายห่ามากสิท่า แต่ดูทรงแล้ว จะเป็นอียิวพันธุ์สัดนรกมากกว่าที่จะตายห่าสูญพันธุ์ สิ้นชาติ ได้แต่ยื้อ ทำอะไรเค้าไม่ได้เลย! โจมตีปาหี่ แตะต้องหัวใจสำคัญไม่ได้เลย อาวุธมรึงที่คิดว่าจะขายออก แป๊กสิจ๊ะ เพราะทั้งโลก หันไปหารัสเซีย จีน อิหร่าน แม้แต่โสมแดง หมดเกลี้ยง ของดีจริง พิสูจน์แล้วเต็มตา สนามรบงวดนี้ กลายเป็น SHOW ROOM ให้ขั้วใหม่ประกาศศักดาชัดเจน! ปล.บ้านศรีธนญชัย 2024 การเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ กองทัพตบเท้าเข้าวังหมด สายสัมพันธ์ลุงตู่ยกคณะ ทหารแตงโมหลุดทั้งยวง ปลดประจำการทั้งคณะ นายพลเหี้ยร่วงระนาว ส่งดาบแรง วังไม่ไว้หน้า คิดคดทรยศแผ่นดิน ตะบัดสัตย์ ใครจะเก็บไว้ทำพ่อง? การเมืองปาหี่ขายไม่ออก อีส้มเน่าแพ้ราบ อีแดงถูกล้างแค้น มรึงยังจะเอา ปชต. ควายไปถึงไหน เลือกตั้งมาทั้งชีวิต มีเหี้ยอะไรดีขึ้นบ้าง ไอ้สัส! สุดท้าย พ่อหลวงก็ต้องออกโรงช่วยเสมอมา ปิดทองหลังพระควายมองไม่เห็น แต่คนเห็น ลูกพ่อตัวจริงเห็นทุกอย่าง! คีย์สำคัญ จำเอาไว้ "ศรีธนญชัย รอขั้วใหม่นำโลก" ไม่ต้องลงมือเอง ตามน้ำอย่างเดียว เดินตามอย่างเดียว รอดชัวร์! อาเซียนทั้งหมด ก็ใช้แผนเดียวกัน ไม่ยุ่ง ไม่ล้ำเส้น ไม่เสือก จะรอด! ปล่อยขั้วใหม่ไล่กระทืบขั้วเก่าให้เมามันส์ไปก่อน แล้วค่อยออกโรงตอนจบ แบบตำรวจหนังไทยไงล่ะ ไอ้สัส! จีนก้าวกระโดด ใช้เวลา 24 ปี จากประเทศยากจน กลายเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกล่าสุด เหตุผลเดียวคือ "พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ" น้ำ ไฟ ถนน อินเตอร์เน็ต โลจิสติค ครอบจักรวาล ถึงกันหมด ไม่มีช่องว่าง พื้นที่เคยขาดแคลนน้ำ ก็ผันน้ำจากแหล่งใหญ่สุดตีขึ้นเหนือ ตะวันตก จนมีน้ำใช้เหลือเฟือ เพราะก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เพราะส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานหลักอย่างมั่นคงต่อเนื่อง ทำให้จีนเติบโตทั้งแผ่นดิน แบบที่เหี้ยตะวันตก ยังทำไม่ได้ในระยะเวลาสั้นแค่นี้ พอจีนไปอุ้มใคร ทั้งแอฟริกา ทั้งอาเซียน ก็จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ก่อนอันดับแลก คนต้องไปถึง น้ำ ไฟ ต้องมีใช้ โลจิสติคต้องเชื่อมต่อ เมื่อเทคโนโลยีเข้าสู่ทุกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาก็จะเป็นแบบก้าวกระโดด จับตาดูให้ดีดี ใครที่จีนดีด้วย จะได้เปรียบในเชิงการค้าเสมอ เพราะจีนจะป้อนตลาดเข้าหากัน ใครมีอะไร ใครขาดอะไร จับมาจูบปากคือจบ ไม่มีกั๊ก? แต่เหี้ยตะวันตกเอาทุกอย่างผูกไว้กับตัวเอง ไม่แบ่งปัน ไม่เชื่อมต่อ เพราะต้องการกุมอำนาจในมือฝ่ายเดียว นี่คือจุดอ่อนของเหี้ยที่ผ่านมา BRICS ถึงเกิดได้รวดฟ้าผ่าอย่างที่เห็น! ไอ้สัส! ไม่จริงชิมิ วิ โครโมโซม Y กำลังจะหายไป หมดโลกเหรอ? ผู้ชายกำลังจะสูญพันธุ์ เพราะโครโมโซม Y เพศผู้ สั้นลงไปเรื่อยๆ จากความยาวที่เคยเป็น เพราะความอ่อนแอด้านพันธุ์กรรม จึงทำให้โครโมโซม X ที่ยาวกว่า แข็งแกร่งกว่าเขมือบนั่นเอง แปลว่าอะไร "โลกอนาคต ผู้ชายเหลือน้อย โปรดใช้สอยอย่างปราณี" อีกหน่อย มรึงอาจจะได้เห็นทั้งโลก ประกาศรับสมัครผู้ชายมาเป็นพ่อพันธุ์ โอนสัญชาติ ดูแลฟรีทั้งชีวิต อยู่ให้ถึงน่ะ ตอนนั้น มรึงได้กลายเป็น "ชายเหนือชาย" แน่ เพราะโลกจะเหลือแค่ ผู้หญิง กับตุ๊ดหวานแหววแต๋วแตก ชายจริงจะเหลือซักกี่ตัวกันเนี่ย? เห็นแล้วเศร้า! ว่าแล้วไปลงหม้อสุกี้ดีก่า? 555+ หมี CNN(ศุกร์เมา เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จันทร์ลา อังคารแฮงค์ ฝนตกหนักช่วงนี้ รักษาสุขภาพด้วย เหล้า ยา ปลาปิ้ง ลดได้ลด ไปออกกำลังกายบ้าง อะไรน่ะ ฝนตกทั้งวัน จะให้กูไปออกที่ไหน ไอ้สัส! ก็กีฬาในร่มก็มี เพชรบุรีตัดใหม่ก็เยอะ รัชดาก็แยะ ไปสิ ไปเสริมแกร่งโครโมโซม Y ก่อนเสื่อม อั๊ยยะ จับตาดูโลกให้ดีดี อะไรเอ่ย มาไว ไปไว เร็วฟ้าผ่า ยังไม่ทันตั้งตัว อุ๊ปส์ หายวับทันตาเห็น เกมส์มาสุดทางแล้ว แค่รอเปิดพิธีเท่านั้นเอง ไทยยังชิลด์!) 24 กย. 67 11.45 น. https://linevoom.line.me/post/1172717524688184772 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 1 รีวิว
  • 🌿 Bay Leaf Essential oil

    ...น้ำมันหอมระเหย Bay Leaf มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น..
    • ช่วยทำความสะอาดหนังศรีษะ และขจัดรังแค
    • ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากผมใหม่
    • ใช้นวดเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ตึงช้ำ
    • ช่วยบรรเทาอาการหวัด ทำให้หายใจโล่ง และลดอาการไอ
    • ช่วยผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และกังวล

    และอีกมากมาย

    ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %...

    #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ#thaitimes
    🌿 Bay Leaf Essential oil ...น้ำมันหอมระเหย Bay Leaf มีสรรพคุณหลากหลาย อาทิเช่น.. • ช่วยทำความสะอาดหนังศรีษะ และขจัดรังแค • ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากผมใหม่ • ใช้นวดเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ตึงช้ำ • ช่วยบรรเทาอาการหวัด ทำให้หายใจโล่ง และลดอาการไอ • ช่วยผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และกังวล และอีกมากมาย ... น้ำมันหอมระเหยของร้าน Telvada เป็นน้ำมันเกรดบำบัด ออแกนิค 100 %... #telvada #essentialoils #everydayuse #น้ำมันหอมระเหย #สังคมต้องรู้ #tiktokuni #tiktokuni_th #aromatherapy #รู้หรือไม่ #tiktokแนะแนว #fyp #viral #tiktokthailand #foryourpage #fypシ゚ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates...

    Metabolic problems are very normal for people with modern diet...

    Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic.

    At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist

    Obesity an indicator of fatty liver disease

    But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups.

    “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi.

    But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity.

    But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease.

    Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates... Metabolic problems are very normal for people with modern diet... Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic. At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist Obesity an indicator of fatty liver disease But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups. “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi. But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity. But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease. Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates...

    Metabolic problems are very normal for people with modern diet...

    Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic.

    At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist

    Obesity an indicator of fatty liver disease

    But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups.

    “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi.

    But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity.

    But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease.

    Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates... Metabolic problems are very normal for people with modern diet... Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic. At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist Obesity an indicator of fatty liver disease But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups. “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi. But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity. But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease. Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts