• เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก

    ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain

    USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด

    สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์

    แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin

    ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT
    มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1
    โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร
    ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด

    การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
    อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ
    ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน
    ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด

    เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT
    TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง
    BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน

    การใช้งานในฝั่งบริษัท
    ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ
    จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น
    ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย

    https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin ✅ ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT ➡️ มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 ➡️ โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร ➡️ ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด ✅ การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ➡️ อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ➡️ ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน ➡️ ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด ✅ เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT ➡️ TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง ➡️ BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน ✅ การใช้งานในฝั่งบริษัท ➡️ ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น ➡️ ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    HACKREAD.COM
    Why Users and Businesses Are Choosing to Get Paid in USDT Instead of Local Currency
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • PromptLock — เมื่อ AI กลายเป็นสมองของแรนซัมแวร์

    ในอดีต แรนซัมแวร์มักใช้โค้ดที่เขียนไว้ล่วงหน้าเพื่อโจมตีเหยื่อ แต่ PromptLock เปลี่ยนเกมทั้งหมด ด้วยการใช้โมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์ส gpt-oss:20b จาก OpenAI ที่รันแบบ local ผ่าน Ollama API เพื่อสร้างสคริปต์อันตรายแบบสด ๆ บนเครื่องเหยื่อ

    มัลแวร์ตัวนี้ใช้ Lua ซึ่งเป็นภาษาที่เบาและข้ามแพลตฟอร์มได้ดี โดยสามารถทำงานบน Windows, macOS และ Linux ได้อย่างลื่นไหล มันจะสแกนไฟล์ในเครื่อง ตรวจสอบข้อมูลสำคัญ และเลือกว่าจะขโมย เข้ารหัส หรือแม้แต่ทำลายข้อมูล — แม้ว่าฟีเจอร์ทำลายข้อมูลยังไม่ถูกเปิดใช้งานในเวอร์ชันปัจจุบัน

    สิ่งที่ทำให้ PromptLock น่ากลัวคือความสามารถในการเปลี่ยนพฤติกรรมทุกครั้งที่รัน แม้จะใช้ prompt เดิมก็ตาม เพราะ LLM เป็นระบบ non-deterministic ซึ่งทำให้เครื่องมือป้องกันไม่สามารถจับรูปแบบได้ง่าย

    นอกจากนี้ การรันโมเดล AI แบบ local ยังช่วยให้แฮกเกอร์ไม่ต้องเรียก API ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ซึ่งหมายความว่าไม่มีการบันทึกหรือแจ้งเตือนจากฝั่งผู้ให้บริการ AI

    ESET พบมัลแวร์นี้จากตัวอย่างที่ถูกอัปโหลดใน VirusTotal และเชื่อว่าเป็น proof-of-concept หรือโค้ดต้นแบบที่ยังไม่ถูกใช้โจมตีจริง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า “ยุคของแรนซัมแวร์ที่มีสมอง” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ESET ค้นพบมัลแวร์ PromptLock ซึ่งเป็นแรนซัมแวร์ตัวแรกที่ใช้ AI สร้างโค้ดแบบสด
    ใช้โมเดล gpt-oss:20b จาก OpenAI ผ่าน Ollama API บนเครื่องเหยื่อโดยตรง
    สร้าง Lua script เพื่อสแกนไฟล์ ขโมยข้อมูล เข้ารหัส และอาจทำลายข้อมูล
    รองรับทุกระบบปฏิบัติการหลัก: Windows, macOS และ Linux
    ใช้การเข้ารหัสแบบ SPECK 128-bit ซึ่งเบาและเร็ว
    โค้ดมี prompt ฝังไว้ล่วงหน้าเพื่อสั่งให้ LLM สร้างสคริปต์ตามสถานการณ์
    มีการฝัง Bitcoin address สำหรับเรียกค่าไถ่ (ใช้ของ Satoshi Nakamoto เป็น placeholder)
    พบตัวอย่างใน VirusTotal แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าใช้โจมตีจริง
    ESET เชื่อว่าเป็น proof-of-concept ที่แสดงศักยภาพของ AI ในการสร้างมัลแวร์
    OpenAI ระบุว่ากำลังพัฒนาระบบป้องกันและขอบคุณนักวิจัยที่แจ้งเตือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Lua เป็นภาษาที่นิยมในเกมและปลั๊กอิน แต่มีประสิทธิภาพสูงและฝังง่ายในมัลแวร์
    Golang ถูกใช้เป็นโครงสร้างหลักของมัลแวร์ เพราะข้ามแพลตฟอร์มและคอมไพล์ง่าย
    Ollama API เป็นช่องทางที่ช่วยให้โมเดล AI ทำงานแบบ local โดยไม่ต้องเรียกเซิร์ฟเวอร์
    Internal Proxy (MITRE ATT&CK T1090.001) เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกอย่างลับ
    AI ถูกใช้ในมัลแวร์มากขึ้น เช่น การสร้าง phishing message และ deepfake

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/the-first-ai-powered-ransomware-has-been-discovered-promptlock-uses-local-ai-to-foil-heuristic-detection-and-evade-api-tracking
    🧠 PromptLock — เมื่อ AI กลายเป็นสมองของแรนซัมแวร์ ในอดีต แรนซัมแวร์มักใช้โค้ดที่เขียนไว้ล่วงหน้าเพื่อโจมตีเหยื่อ แต่ PromptLock เปลี่ยนเกมทั้งหมด ด้วยการใช้โมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์ส gpt-oss:20b จาก OpenAI ที่รันแบบ local ผ่าน Ollama API เพื่อสร้างสคริปต์อันตรายแบบสด ๆ บนเครื่องเหยื่อ มัลแวร์ตัวนี้ใช้ Lua ซึ่งเป็นภาษาที่เบาและข้ามแพลตฟอร์มได้ดี โดยสามารถทำงานบน Windows, macOS และ Linux ได้อย่างลื่นไหล มันจะสแกนไฟล์ในเครื่อง ตรวจสอบข้อมูลสำคัญ และเลือกว่าจะขโมย เข้ารหัส หรือแม้แต่ทำลายข้อมูล — แม้ว่าฟีเจอร์ทำลายข้อมูลยังไม่ถูกเปิดใช้งานในเวอร์ชันปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ PromptLock น่ากลัวคือความสามารถในการเปลี่ยนพฤติกรรมทุกครั้งที่รัน แม้จะใช้ prompt เดิมก็ตาม เพราะ LLM เป็นระบบ non-deterministic ซึ่งทำให้เครื่องมือป้องกันไม่สามารถจับรูปแบบได้ง่าย นอกจากนี้ การรันโมเดล AI แบบ local ยังช่วยให้แฮกเกอร์ไม่ต้องเรียก API ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ซึ่งหมายความว่าไม่มีการบันทึกหรือแจ้งเตือนจากฝั่งผู้ให้บริการ AI ESET พบมัลแวร์นี้จากตัวอย่างที่ถูกอัปโหลดใน VirusTotal และเชื่อว่าเป็น proof-of-concept หรือโค้ดต้นแบบที่ยังไม่ถูกใช้โจมตีจริง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า “ยุคของแรนซัมแวร์ที่มีสมอง” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ESET ค้นพบมัลแวร์ PromptLock ซึ่งเป็นแรนซัมแวร์ตัวแรกที่ใช้ AI สร้างโค้ดแบบสด ➡️ ใช้โมเดล gpt-oss:20b จาก OpenAI ผ่าน Ollama API บนเครื่องเหยื่อโดยตรง ➡️ สร้าง Lua script เพื่อสแกนไฟล์ ขโมยข้อมูล เข้ารหัส และอาจทำลายข้อมูล ➡️ รองรับทุกระบบปฏิบัติการหลัก: Windows, macOS และ Linux ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ SPECK 128-bit ซึ่งเบาและเร็ว ➡️ โค้ดมี prompt ฝังไว้ล่วงหน้าเพื่อสั่งให้ LLM สร้างสคริปต์ตามสถานการณ์ ➡️ มีการฝัง Bitcoin address สำหรับเรียกค่าไถ่ (ใช้ของ Satoshi Nakamoto เป็น placeholder) ➡️ พบตัวอย่างใน VirusTotal แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าใช้โจมตีจริง ➡️ ESET เชื่อว่าเป็น proof-of-concept ที่แสดงศักยภาพของ AI ในการสร้างมัลแวร์ ➡️ OpenAI ระบุว่ากำลังพัฒนาระบบป้องกันและขอบคุณนักวิจัยที่แจ้งเตือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Lua เป็นภาษาที่นิยมในเกมและปลั๊กอิน แต่มีประสิทธิภาพสูงและฝังง่ายในมัลแวร์ ➡️ Golang ถูกใช้เป็นโครงสร้างหลักของมัลแวร์ เพราะข้ามแพลตฟอร์มและคอมไพล์ง่าย ➡️ Ollama API เป็นช่องทางที่ช่วยให้โมเดล AI ทำงานแบบ local โดยไม่ต้องเรียกเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Internal Proxy (MITRE ATT&CK T1090.001) เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกอย่างลับ ➡️ AI ถูกใช้ในมัลแวร์มากขึ้น เช่น การสร้าง phishing message และ deepfake https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/the-first-ai-powered-ransomware-has-been-discovered-promptlock-uses-local-ai-to-foil-heuristic-detection-and-evade-api-tracking
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย

    ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต

    โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

    นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ

    เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025

    นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet
    ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox
    หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว
    นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน
    จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท
    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ
    เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน
    ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว
    รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน
    รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com
    Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ
    ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ
    มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    🎙️ TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet ➡️ ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว ➡️ นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน ➡️ จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท ➡️ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ ➡️ เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ➡️ ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว ➡️ รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ➡️ รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว ➡️ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com ➡️ Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ ➡️ ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ ➡️ มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด

    ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ

    แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว

    CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้

    เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน

    Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin
    เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า

    CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง
    กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020
    คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230

    ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน
    แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง

    Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด
    Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน

    CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล
    ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว

    FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก

    Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง
    เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่

    Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว
    แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด

    นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี
    เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง

    https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    🎭💸 เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้ เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน ✅ Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin ➡️ เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า ✅ CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง ➡️ กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ ✅ Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020 ➡️ คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ✅ ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน ➡️ แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง ✅ Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด ➡️ Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน ✅ CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล ➡️ ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว ✅ FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน ➡️ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก ✅ Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง ➡️ เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่ ✅ Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว ➡️ แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด ✅ นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี ➡️ เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    WCCFTECH.COM
    CBS Unmasks Bitcoin Scams Using Deepfake Steve Wozniak, Accidentally Showcases Disney Animatronic, Exposing the Growing Digital Identity Fraud Threat
    Steve Wozniak shared about internet scammers and deepfakes on CBS only to have the news outlet feature a fake image of him.
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • ⚡️ เรื่องเล่าจากโลกธุรกิจเทคโนโลยี: เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Core Scientific ขัดขวางดีล 9 พันล้านกับ CoreWeave

    ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดแรงสั่นสะเทือนในวงการ AI และคริปโต เมื่อ Two Seas Capital ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Core Scientific ประกาศว่าจะ “โหวตไม่เห็นด้วย” กับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับ CoreWeave มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าดีลนี้ “ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำเกินไป” และ “เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นโดยไม่จำเป็น”

    CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใช้ชิป Nvidia ต้องการซื้อ Core Scientific เพื่อขยายศักยภาพด้าน data center รองรับความต้องการฝึกโมเดล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเสนอซื้อแบบ all-stock deal ที่ไม่มีการป้องกันความผันผวนของราคาหุ้น

    แม้ Two Seas จะไม่คัดค้านการควบรวมโดยหลักการ และยังเป็นผู้ลงทุนใน CoreWeave ด้วย แต่พวกเขาเชื่อว่าดีลนี้ “เอื้อประโยชน์ให้ CoreWeave มากเกินไป” และไม่สะท้อนคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของ Core Scientific ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการล้มละลายในปี 2024 และกำลังเปลี่ยนโฟกัสจากการขุด Bitcoin ไปสู่การให้บริการพลังงานแก่ระบบ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/core-scientific039s-largest-shareholder-to-vote-against-sale-to-coreweave
    🏢⚡️ เรื่องเล่าจากโลกธุรกิจเทคโนโลยี: เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Core Scientific ขัดขวางดีล 9 พันล้านกับ CoreWeave ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดแรงสั่นสะเทือนในวงการ AI และคริปโต เมื่อ Two Seas Capital ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Core Scientific ประกาศว่าจะ “โหวตไม่เห็นด้วย” กับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับ CoreWeave มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าดีลนี้ “ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำเกินไป” และ “เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นโดยไม่จำเป็น” CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใช้ชิป Nvidia ต้องการซื้อ Core Scientific เพื่อขยายศักยภาพด้าน data center รองรับความต้องการฝึกโมเดล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเสนอซื้อแบบ all-stock deal ที่ไม่มีการป้องกันความผันผวนของราคาหุ้น แม้ Two Seas จะไม่คัดค้านการควบรวมโดยหลักการ และยังเป็นผู้ลงทุนใน CoreWeave ด้วย แต่พวกเขาเชื่อว่าดีลนี้ “เอื้อประโยชน์ให้ CoreWeave มากเกินไป” และไม่สะท้อนคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของ Core Scientific ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการล้มละลายในปี 2024 และกำลังเปลี่ยนโฟกัสจากการขุด Bitcoin ไปสู่การให้บริการพลังงานแก่ระบบ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/core-scientific039s-largest-shareholder-to-vote-against-sale-to-coreweave
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Core Scientific's largest shareholder to vote against sale to CoreWeave
    (Reuters) -Two Seas Capital, the largest shareholder of Core Scientific, issued an open letter on Thursday saying it would vote against the company's proposed sale to CoreWeave, in a potential blow to the $9 billion deal.
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Google ถูกหลอกด้วยเสียง และข้อมูลลูกค้าก็หลุดไป

    ในเดือนมิถุนายน 2025 Google ได้ยืนยันว่าเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลจากระบบ Salesforce ภายในของบริษัท ซึ่งใช้เก็บข้อมูลลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง ShinyHunters (หรือ UNC6040) ใช้เทคนิค “vishing” หรือการหลอกลวงผ่านเสียงโทรศัพท์ เพื่อหลอกพนักงานให้อนุมัติแอปปลอมที่แฝงตัวเป็นเครื่องมือ Salesforce Data Loader

    เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงแล้ว แฮกเกอร์สามารถดูดข้อมูลออกจากระบบได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ Google จะตรวจพบและตัดการเข้าถึง โดยข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ซึ่ง Google ระบุว่าเป็นข้อมูลที่ “ส่วนใหญ่เปิดเผยอยู่แล้ว”

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่พึ่งพามนุษย์เป็นด่านแรก และเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโจมตีที่กว้างขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทที่ใช้ Salesforce เช่น Chanel, Dior, Pandora, Qantas และ Allianz โดยกลุ่ม UNC6240 ซึ่งเชื่อว่าเป็นแขนงของ ShinyHunters จะตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ “Data Leak Site”

    Google ยืนยันว่าระบบ Salesforce ภายในถูกเจาะข้อมูล
    เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกลุ่ม UNC6040

    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าธุรกิจ SMB
    เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค vishing หลอกพนักงานผ่านโทรศัพท์
    โดยปลอมตัวเป็นฝ่าย IT และให้ติดตั้งแอปปลอม

    แอปปลอมถูกระบุว่าเป็น Salesforce Data Loader หรือชื่อหลอกเช่น “My Ticket Portal”
    ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Google ตัดการเข้าถึงได้ภายใน “ช่วงเวลาสั้น ๆ”
    และแจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทันที

    กลุ่ม UNC6240 ตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่
    โดยส่งอีเมลหรือโทรศัพท์เรียกเงินในรูปแบบ Bitcoin ภายใน 72 ชั่วโมง

    ShinyHunters เคยโจมตี Snowflake, AT&T, PowerSchool และ Oracle Cloud
    เป็นกลุ่มที่มีประวัติการเจาะระบบระดับสูง

    Salesforce ยืนยันว่าแพลตฟอร์มไม่มีช่องโหว่
    ปัญหาเกิดจากการหลอกลวงผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบ

    การเชื่อมต่อแอปภายนอกใน Salesforce ใช้รหัส 8 หลัก
    เป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลอกให้เชื่อมต่อกับแอปปลอม

    บริษัทที่ตกเป็นเหยื่อมีทั้งแบรนด์หรูและสายการบิน
    เช่น Chanel, Dior, Louis Vuitton, Qantas และ Allianz

    Google แนะนำให้ใช้ MFA, จำกัดสิทธิ์ และฝึกอบรมพนักงาน
    เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ social engineering

    https://hackread.com/google-salesforce-data-breach-shinyhunters-vishing-scam/
    📞🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Google ถูกหลอกด้วยเสียง และข้อมูลลูกค้าก็หลุดไป ในเดือนมิถุนายน 2025 Google ได้ยืนยันว่าเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลจากระบบ Salesforce ภายในของบริษัท ซึ่งใช้เก็บข้อมูลลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง ShinyHunters (หรือ UNC6040) ใช้เทคนิค “vishing” หรือการหลอกลวงผ่านเสียงโทรศัพท์ เพื่อหลอกพนักงานให้อนุมัติแอปปลอมที่แฝงตัวเป็นเครื่องมือ Salesforce Data Loader เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงแล้ว แฮกเกอร์สามารถดูดข้อมูลออกจากระบบได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ Google จะตรวจพบและตัดการเข้าถึง โดยข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ซึ่ง Google ระบุว่าเป็นข้อมูลที่ “ส่วนใหญ่เปิดเผยอยู่แล้ว” อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่พึ่งพามนุษย์เป็นด่านแรก และเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโจมตีที่กว้างขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทที่ใช้ Salesforce เช่น Chanel, Dior, Pandora, Qantas และ Allianz โดยกลุ่ม UNC6240 ซึ่งเชื่อว่าเป็นแขนงของ ShinyHunters จะตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ “Data Leak Site” ✅ Google ยืนยันว่าระบบ Salesforce ภายในถูกเจาะข้อมูล ➡️ เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกลุ่ม UNC6040 ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าธุรกิจ SMB ➡️ เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ✅ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค vishing หลอกพนักงานผ่านโทรศัพท์ ➡️ โดยปลอมตัวเป็นฝ่าย IT และให้ติดตั้งแอปปลอม ✅ แอปปลอมถูกระบุว่าเป็น Salesforce Data Loader หรือชื่อหลอกเช่น “My Ticket Portal” ➡️ ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจจับ ✅ Google ตัดการเข้าถึงได้ภายใน “ช่วงเวลาสั้น ๆ” ➡️ และแจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทันที ✅ กลุ่ม UNC6240 ตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ ➡️ โดยส่งอีเมลหรือโทรศัพท์เรียกเงินในรูปแบบ Bitcoin ภายใน 72 ชั่วโมง ✅ ShinyHunters เคยโจมตี Snowflake, AT&T, PowerSchool และ Oracle Cloud ➡️ เป็นกลุ่มที่มีประวัติการเจาะระบบระดับสูง ✅ Salesforce ยืนยันว่าแพลตฟอร์มไม่มีช่องโหว่ ➡️ ปัญหาเกิดจากการหลอกลวงผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบ ✅ การเชื่อมต่อแอปภายนอกใน Salesforce ใช้รหัส 8 หลัก ➡️ เป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลอกให้เชื่อมต่อกับแอปปลอม ✅ บริษัทที่ตกเป็นเหยื่อมีทั้งแบรนด์หรูและสายการบิน ➡️ เช่น Chanel, Dior, Louis Vuitton, Qantas และ Allianz ✅ Google แนะนำให้ใช้ MFA, จำกัดสิทธิ์ และฝึกอบรมพนักงาน ➡️ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ social engineering https://hackread.com/google-salesforce-data-breach-shinyhunters-vishing-scam/
    HACKREAD.COM
    Google Confirms Salesforce Data Breach by ShinyHunters via Vishing Scam
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin

    ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ

    Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate”

    กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ

    FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos
    ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส
    ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ

    Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม
    มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล
    ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่

    ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล
    หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง

    หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ
    สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ
    หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS

    Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้
    ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว
    มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger

    การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง

    การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม
    Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS
    ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร

    การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป
    FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน
    การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม

    กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม
    Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti
    การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate” กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ✅ FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos ➡️ ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส ➡️ ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม ➡️ มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่ ✅ ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล ➡️ หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ➡️ ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง ✅ หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ ➡️ สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ ➡️ หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS ✅ Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้ ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger ‼️ การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ⛔ Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง ‼️ การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม ⛔ Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS ⛔ ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร ‼️ การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป ⛔ FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน ⛔ การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม ‼️ กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม ⛔ Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti ⛔ การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    0 Comments 0 Shares 360 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง

    Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า:
    - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux
    - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ

    เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น:
    - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client
    - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ

    เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ:
    - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ
    - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์
    - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock
    - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน
    - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง

    FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย
    - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด
    - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด
    - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย
    - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup)

    FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล

    Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix

    ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง
    เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ

    หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล
    รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์

    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock
    โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor

    หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable
    พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware

    https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า: - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น: - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ: - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์ - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup) ✅ FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ➡️ ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ✅ Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix ✅ ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง ➡️ เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ ✅ หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล ➡️ รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์ ✅ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock ➡️ โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor ✅ หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable ➡️ พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    HACKREAD.COM
    FBI and CISA Warn of Interlock Ransomware Targeting Critical Infrastructure
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 349 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคนดัง: เมื่อ Keanu ต้องจ่ายเงินเพื่อปกป้อง “ตัวตนดิจิทัล” ของตัวเอง

    ในบทความจาก The Hollywood Reporter มีนักข่าวทดลองพูดคุยกับบัญชีปลอมชื่อ “Keanu_Reeves68667” ที่พยายามชวนให้ซื้อ “บัตรสมาชิกแฟนคลับ 600 ดอลลาร์” เพื่อแลกกับโอกาสเจอนักแสดงตัวจริง — ทั้งที่ Keanu อยู่บนพรมแดงกับ Alexandra Grant ในงานเปิดตัวหนัง Ballerina อยู่เลย

    ระบบปลอมเหล่านี้ใช้ภาพ Getty เดิมของเขา พร้อมแต่งให้ถือป้ายข้อความสนับสนุน Donald Trump หรือเรียกร้องสิทธิให้ชาวพื้นเมืองแคนาดา แสดงให้เห็นว่า “ไม่ใช่แค่ romance scam แต่รวมถึงการปลุกปั่นทางการเมืองด้วย”

    Keanu จึงว่าจ้างบริษัท Loti AI ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน “likeness protection” มาคอยค้นหาและส่งคำสั่งลบบัญชีปลอมให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยตลอดปีที่ผ่านมา Loti ออกคำสั่งลบกว่า 40,000 บัญชี บน TikTok, Meta และอื่น ๆ — แต่ถึงแม้จะลบภายใน 48 ชั่วโมง แฮกเกอร์ก็สามารถ “ทำลาย” ได้มากในเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่โดนหลอกให้โอนเงิน

    เช่นในคดีของหญิงวัย 73 ที่ถูกปลอมเป็น Kevin Costner ล่อลวงให้โอน bitcoin ทุกสัปดาห์รวมกว่า $100,000 ด้วยข้อความหวานว่า “ผมรักคุณ...แล้วเจอกันเร็ว ๆ นี้”

    Loti AI ใช้ระบบ “likeness protection” ค้นหาภาพและข้อความปลอมที่ใช้คนดัง
    โดย Keanu ลงทุนหลายพันดอลลาร์ต่อเดือนเพื่อบริการนี้

    FBI รายงานว่าในปี 2024 คนอเมริกันสูญเงินรวมจาก romance scam กว่า $672 ล้าน
    โดยเป้าหมายหลักคือผู้สูงวัยที่เหงาและไม่มีคนดูแลใกล้ตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/keanu-reeves-pays-ai-firm-thousands-a-month-to-stop-online-imitators-report
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกคนดัง: เมื่อ Keanu ต้องจ่ายเงินเพื่อปกป้อง “ตัวตนดิจิทัล” ของตัวเอง ในบทความจาก The Hollywood Reporter มีนักข่าวทดลองพูดคุยกับบัญชีปลอมชื่อ “Keanu_Reeves68667” ที่พยายามชวนให้ซื้อ “บัตรสมาชิกแฟนคลับ 600 ดอลลาร์” เพื่อแลกกับโอกาสเจอนักแสดงตัวจริง — ทั้งที่ Keanu อยู่บนพรมแดงกับ Alexandra Grant ในงานเปิดตัวหนัง Ballerina อยู่เลย ระบบปลอมเหล่านี้ใช้ภาพ Getty เดิมของเขา พร้อมแต่งให้ถือป้ายข้อความสนับสนุน Donald Trump หรือเรียกร้องสิทธิให้ชาวพื้นเมืองแคนาดา แสดงให้เห็นว่า “ไม่ใช่แค่ romance scam แต่รวมถึงการปลุกปั่นทางการเมืองด้วย” Keanu จึงว่าจ้างบริษัท Loti AI ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน “likeness protection” มาคอยค้นหาและส่งคำสั่งลบบัญชีปลอมให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยตลอดปีที่ผ่านมา Loti ออกคำสั่งลบกว่า 40,000 บัญชี บน TikTok, Meta และอื่น ๆ — แต่ถึงแม้จะลบภายใน 48 ชั่วโมง แฮกเกอร์ก็สามารถ “ทำลาย” ได้มากในเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่โดนหลอกให้โอนเงิน เช่นในคดีของหญิงวัย 73 ที่ถูกปลอมเป็น Kevin Costner ล่อลวงให้โอน bitcoin ทุกสัปดาห์รวมกว่า $100,000 ด้วยข้อความหวานว่า “ผมรักคุณ...แล้วเจอกันเร็ว ๆ นี้” ✅ Loti AI ใช้ระบบ “likeness protection” ค้นหาภาพและข้อความปลอมที่ใช้คนดัง ➡️ โดย Keanu ลงทุนหลายพันดอลลาร์ต่อเดือนเพื่อบริการนี้ ✅ FBI รายงานว่าในปี 2024 คนอเมริกันสูญเงินรวมจาก romance scam กว่า $672 ล้าน ➡️ โดยเป้าหมายหลักคือผู้สูงวัยที่เหงาและไม่มีคนดูแลใกล้ตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/keanu-reeves-pays-ai-firm-thousands-a-month-to-stop-online-imitators-report
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Keanu Reeves pays AI firm thousands a month to stop online imitators: report
    According to the latest data from the FBI, Americans reported US$672mil (RM2.bil) in losses to confidence and romance scams in 2024.
    0 Comments 0 Shares 369 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin

    ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว

    เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์

    แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก

    นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer

    LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc
    - ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF)
    - รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi)
    - แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์

    ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker

    จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8)

    LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice
    - มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office
    - เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings

    ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า

    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน

    การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft

    https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/
    เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์ แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer ✅ LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc - ✅ ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF) - ✅ รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi) - ✅ แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์ ✅ ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker ✅ จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8) ✅ LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice - ✅ มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office - ✅ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings ‼️ ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า ‼️ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน ‼️ การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/
    WWW.NEOWIN.NET
    Another blow for MS Office? LibreOffice brings feature MS Office has had for almost 10 years
    LibreOffice, the popular MS Office alternative, has added another feature that brings it closer to full feature parity with Microsoft Office.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจไม่รู้ว่า Bitcoin ATM ไม่ได้เหมือน ATM ธนาคารนะครับ มันคือ “ตู้แลกเงิน” ที่คุณเอาเงินสดเข้าไป แล้วระบบจะโอน Bitcoin เข้า wallet ของคุณ — เงินสดที่ใส่เข้าไปก็จะเป็นของบริษัทเจ้าของเครื่องทันที เพราะเค้าได้โอนคริปโตให้เราไปแล้ว

    แต่ที่ Jasper County, รัฐเท็กซัส ตำรวจกลับใช้เลื่อยเปิดตู้ของบริษัท Bitcoin Depot เพื่อ “เอาเงิน $25,000 คืนให้เหยื่อ” ที่ถูกหลอกให้ฝากเงินสดเข้าไปส่งไปยัง wallet ของมิจฉาชีพ

    บริษัท Bitcoin Depot โวยว่าการกระทำแบบนี้คือ “สร้างเหยื่อเพิ่ม” เพราะ:
    - เงินสดข้างในเป็นของบริษัทแล้วตามกฎหมาย
    - ทางบริษัทพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้วหากมีหมายค้น
    - แต่แทนที่จะให้บริษัทเปิดให้ กลับเลื่อยเครื่องที่ราคาตั้ง $14,000 ทิ้งไปเลย

    พวกเขาเตรียมเรียกค่าเสียหายและดำเนินคดีทางกฎหมายกับหน่วยงานท้องถิ่นดังกล่าว โดยระบุว่าเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดถึง 20 ครั้ง/ปีจากทั่วสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-firm-says-police-shouldnt-saw-open-bitcoin-atms-to-seize-cash-for-scammed-customers-will-seek-damages-for-destroyed-machines-firm-claims-seizures-are-criminal-and-victimize-the-company
    หลายคนอาจไม่รู้ว่า Bitcoin ATM ไม่ได้เหมือน ATM ธนาคารนะครับ มันคือ “ตู้แลกเงิน” ที่คุณเอาเงินสดเข้าไป แล้วระบบจะโอน Bitcoin เข้า wallet ของคุณ — เงินสดที่ใส่เข้าไปก็จะเป็นของบริษัทเจ้าของเครื่องทันที เพราะเค้าได้โอนคริปโตให้เราไปแล้ว แต่ที่ Jasper County, รัฐเท็กซัส ตำรวจกลับใช้เลื่อยเปิดตู้ของบริษัท Bitcoin Depot เพื่อ “เอาเงิน $25,000 คืนให้เหยื่อ” ที่ถูกหลอกให้ฝากเงินสดเข้าไปส่งไปยัง wallet ของมิจฉาชีพ บริษัท Bitcoin Depot โวยว่าการกระทำแบบนี้คือ “สร้างเหยื่อเพิ่ม” เพราะ: - เงินสดข้างในเป็นของบริษัทแล้วตามกฎหมาย - ทางบริษัทพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้วหากมีหมายค้น - แต่แทนที่จะให้บริษัทเปิดให้ กลับเลื่อยเครื่องที่ราคาตั้ง $14,000 ทิ้งไปเลย พวกเขาเตรียมเรียกค่าเสียหายและดำเนินคดีทางกฎหมายกับหน่วยงานท้องถิ่นดังกล่าว โดยระบุว่าเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดถึง 20 ครั้ง/ปีจากทั่วสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-firm-says-police-shouldnt-saw-open-bitcoin-atms-to-seize-cash-for-scammed-customers-will-seek-damages-for-destroyed-machines-firm-claims-seizures-are-criminal-and-victimize-the-company
    0 Comments 0 Shares 299 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!)

    จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ

    และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน

    ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน

    ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก

    ข้อมูลจากข่าว:
    Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024  
    • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง

    หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย  
    • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง

    พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง  
    • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน

    FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน  
    • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน

    Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน  
    • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ  
    • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ

    พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!) จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก ✅ ข้อมูลจากข่าว: ✅ Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024   • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง ✅ หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย   • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง ✅ พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง   • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน ✅ FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน   • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน ✅ Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน   • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ   • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ✅ พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Man behind $245m Bitcoin theft has bizarre tale that includes kidnapped parents, fraud, and money laundering — suspect now faces up to 24 years in prison, half-million-dollar fine, and possible deportation to India
    Connecticut man’s parents were kidnapped shortly after the BTC theft. The father allegedly lost his job at Morgan Stanley due to his son’s nefarious activities.
    0 Comments 0 Shares 584 Views 0 Reviews
  • Bitcoin Winter เกือบ 2 ปี ช่วง 2569-2570 ก็ยังมีเวลา DCA เก็บ Bitcoin ยาวๆ ก่อน Halving รอบหน้า

    ตอนนี้ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะ ATH อีกรอบ ตุลาคมนี้ ก็แค่มองดูห่างๆก่อนก็ได้

    https://youtu.be/S8_OjOF726A?si=z5YWCDkUwMp1yIqG
    Bitcoin Winter เกือบ 2 ปี ช่วง 2569-2570 ก็ยังมีเวลา DCA เก็บ Bitcoin ยาวๆ ก่อน Halving รอบหน้า ตอนนี้ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะ ATH อีกรอบ ตุลาคมนี้ ก็แค่มองดูห่างๆก่อนก็ได้ https://youtu.be/S8_OjOF726A?si=z5YWCDkUwMp1yIqG
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้เครื่องขุด Bitcoin ส่วนใหญ่ในโลก — ไม่ต่ำกว่า 90% — ผลิตโดยบริษัทจีนสามเจ้าหลักคือ Bitmain, Canaan และ MicroBT แต่ตอนนี้ ทั้งหมดเริ่ม “ย้ายฐานการผลิต” มาในสหรัฐฯ โดย Bitmain เริ่มก่อนใครตั้งแต่ปลายปี 2024 หลัง Trump ชนะเลือกตั้ง ส่วน Canaan และ MicroBT กำลังเร่งตั้งโรงงานท้องถิ่นตามมา

    สาเหตุไม่ใช่แค่ภาษีนำเข้า 30% ที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกังวลด้านความมั่นคงด้วย เพราะมีเครื่องขุดของจีนหลายแสนเครื่องที่ต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าในสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน”

    ขณะเดียวกัน มีบางรุ่นของ ASIC (ชิปเฉพาะทางสำหรับขุดคริปโต) โดนลูกหลงจากมาตรการคว่ำบาตร เพราะมีการใช้งานชิปจากบริษัทจีนที่อยู่ในรายชื่อดำ ทำให้บริษัทต้องพยายาม “un-China” ตัวเอง โดยการย้ายโลจิสติกส์ – ผลิต – ซัพพลายเชน เข้ามาอยู่ในสหรัฐให้มากที่สุด

    ประเด็นนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุน แต่เป็นการวางตำแหน่งให้แบรนด์ “กลายเป็นฮาร์ดแวร์ที่อเมริการับได้” — ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในโครงสร้างอุตสาหกรรมคริปโต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-manufacturers-of-bitcoin-mining-rigs-are-moving-production-to-the-u-s-to-sidestep-tariffs-and-sanctions-this-goes-beyond-tariffs-its-a-strategic-pivot-toward-politically-acceptable-hardware-sources
    ก่อนหน้านี้เครื่องขุด Bitcoin ส่วนใหญ่ในโลก — ไม่ต่ำกว่า 90% — ผลิตโดยบริษัทจีนสามเจ้าหลักคือ Bitmain, Canaan และ MicroBT แต่ตอนนี้ ทั้งหมดเริ่ม “ย้ายฐานการผลิต” มาในสหรัฐฯ โดย Bitmain เริ่มก่อนใครตั้งแต่ปลายปี 2024 หลัง Trump ชนะเลือกตั้ง ส่วน Canaan และ MicroBT กำลังเร่งตั้งโรงงานท้องถิ่นตามมา สาเหตุไม่ใช่แค่ภาษีนำเข้า 30% ที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกังวลด้านความมั่นคงด้วย เพราะมีเครื่องขุดของจีนหลายแสนเครื่องที่ต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าในสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน” ขณะเดียวกัน มีบางรุ่นของ ASIC (ชิปเฉพาะทางสำหรับขุดคริปโต) โดนลูกหลงจากมาตรการคว่ำบาตร เพราะมีการใช้งานชิปจากบริษัทจีนที่อยู่ในรายชื่อดำ ทำให้บริษัทต้องพยายาม “un-China” ตัวเอง โดยการย้ายโลจิสติกส์ – ผลิต – ซัพพลายเชน เข้ามาอยู่ในสหรัฐให้มากที่สุด ประเด็นนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุน แต่เป็นการวางตำแหน่งให้แบรนด์ “กลายเป็นฮาร์ดแวร์ที่อเมริการับได้” — ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในโครงสร้างอุตสาหกรรมคริปโต https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-manufacturers-of-bitcoin-mining-rigs-are-moving-production-to-the-u-s-to-sidestep-tariffs-and-sanctions-this-goes-beyond-tariffs-its-a-strategic-pivot-toward-politically-acceptable-hardware-sources
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน
    Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้

    วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ
    มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด
    - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร
    - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร
    - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM

    Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี
    - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้
    - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา

    มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
    - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน
    Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง
    - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้

    การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
    - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง

    กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง

    แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
    - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน

    หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง
    - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้

    ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่
    - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    ⚠️ กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้ 🔍 วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ ✅ มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM ✅ Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา ✅ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 🔥 ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน ‼️ Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้ ‼️ การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง ‼️ กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง 🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM ✅ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน ✅ หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ ✅ ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่ - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    She got a phone call to deposit her money. The terrifying scam inside bitcoin ATMs in the US
    Bitcoin ATMs – generally found at convenience stores, gas stations and other high-traffic areas – have increasingly become the latest tool to separate people from their money.
    0 Comments 0 Shares 468 Views 0 Reviews
  • กองทุนคริปโตทำสถิติสูงสุด นักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
    สินทรัพย์ที่ถือครองโดย กองทุนคริปโต ทำสถิติสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมี เงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ทำให้ มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์

    เหตุผลที่นักลงทุนหันมาใช้คริปโต
    การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง และนักลงทุนบางส่วน ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด รวมถึง กระจายพอร์ตการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในสหรัฐฯ

    ข้อมูลจากข่าว
    - กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม
    - มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์
    - Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 15% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
    - Bitcoin มีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI World (+3.6%) และทองคำ (+13.3%)
    - การอนุมัติ ETF ของ Bitcoin และ Ether ในสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มการลงทุนจากสถาบัน

    การเปลี่ยนแปลงในพอร์ตการลงทุน
    ในขณะที่กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้า กองทุนหุ้นทั่วโลกมีเงินไหลออกสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์ และ กองทุนทองคำมีเงินไหลออกครั้งแรกในรอบ 15 เดือน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Bitcoin จะมีผลตอบแทนสูง แต่ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
    - การลดลงของเงินไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นและทองคำ อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาด
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนในคริปโตจะยังคงแข็งแกร่งหรือไม่ หลังจากกระแส ETF เริ่มนิ่ง
    - นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของคริปโตในระยะยาว แม้ว่าจะมีการใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/crypto-funds039-assets-hit-record-high-as-investors-hedge-and-diversify
    📈 กองทุนคริปโตทำสถิติสูงสุด นักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง สินทรัพย์ที่ถือครองโดย กองทุนคริปโต ทำสถิติสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมี เงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ทำให้ มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์ 🔍 เหตุผลที่นักลงทุนหันมาใช้คริปโต การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง และนักลงทุนบางส่วน ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด รวมถึง กระจายพอร์ตการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลจากข่าว - กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม - มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์ - Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 15% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา - Bitcoin มีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI World (+3.6%) และทองคำ (+13.3%) - การอนุมัติ ETF ของ Bitcoin และ Ether ในสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มการลงทุนจากสถาบัน 🔥 การเปลี่ยนแปลงในพอร์ตการลงทุน ในขณะที่กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้า กองทุนหุ้นทั่วโลกมีเงินไหลออกสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์ และ กองทุนทองคำมีเงินไหลออกครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Bitcoin จะมีผลตอบแทนสูง แต่ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง - การลดลงของเงินไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นและทองคำ อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาด - ต้องติดตามว่าการลงทุนในคริปโตจะยังคงแข็งแกร่งหรือไม่ หลังจากกระแส ETF เริ่มนิ่ง - นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของคริปโตในระยะยาว แม้ว่าจะมีการใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/crypto-funds039-assets-hit-record-high-as-investors-hedge-and-diversify
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Crypto funds' assets hit record high as investors hedge and diversify
    (Reuters) -Assets held in crypto funds hit a record high in May as easing trade tensions lifted risk appetite and some investors used the digital currencies to hedge against market volatility and diversify from their U.S. holdings.
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025

    การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI

    ข้อมูลจากข่าว
    - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า
    - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย
    - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์
    - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี
    - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI
    - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน
    - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

    การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม

    https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    ⚡ AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์ - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI could soon consume more electricity than Bitcoin mining and entire countries
    The rapid expansion of generative AI has triggered a boom in data center construction and hardware production. As AI applications become more complex and are more widely...
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
  • Meliuz เปิดขายหุ้นเพื่อซื้อ Bitcoin
    บริษัทฟินเทค Meliuz จากบราซิลได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin โดยมีการกำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025

    Meliuz เป็นบริษัทที่ให้บริการ แคชแบ็กและโซลูชันทางการเงิน ในบราซิล และการลงทุนใน Bitcoin ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มของบริษัทฟินเทคที่หันมาใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงิน

    นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Meliuz ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin
    - กำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025
    - การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก
    - มูลค่าการเสนอขายหุ้นเริ่มต้นอยู่ที่ 150 ล้านเรียลบราซิล (ประมาณ 26.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
    - อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 5.6704 เรียลบราซิล

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การลงทุนใน Bitcoin มีความผันผวนสูง และอาจส่งผลต่อมูลค่าของหุ้น Meliuz
    - ต้องติดตามว่าการเสนอขายหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากน้อยเพียงใด
    - ตลาดคริปโตยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบในหลายประเทศ
    - Meliuz อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล

    การที่ Meliuz หันมาลงทุนใน Bitcoin อาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทฟินเทคในละตินอเมริกากำลังให้ความสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/brazil039s-meliuz-launches-share-offering-for-bitcoin-purchase
    💰 Meliuz เปิดขายหุ้นเพื่อซื้อ Bitcoin บริษัทฟินเทค Meliuz จากบราซิลได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin โดยมีการกำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 Meliuz เป็นบริษัทที่ให้บริการ แคชแบ็กและโซลูชันทางการเงิน ในบราซิล และการลงทุนใน Bitcoin ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มของบริษัทฟินเทคที่หันมาใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงิน นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Meliuz ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin - กำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 - การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก - มูลค่าการเสนอขายหุ้นเริ่มต้นอยู่ที่ 150 ล้านเรียลบราซิล (ประมาณ 26.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) - อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 5.6704 เรียลบราซิล ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การลงทุนใน Bitcoin มีความผันผวนสูง และอาจส่งผลต่อมูลค่าของหุ้น Meliuz - ต้องติดตามว่าการเสนอขายหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากน้อยเพียงใด - ตลาดคริปโตยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบในหลายประเทศ - Meliuz อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล การที่ Meliuz หันมาลงทุนใน Bitcoin อาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทฟินเทคในละตินอเมริกากำลังให้ความสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/brazil039s-meliuz-launches-share-offering-for-bitcoin-purchase
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Brazil's Meliuz launches share offering for bitcoin purchase
    SAO PAULO (Reuters) - Brazilian fintech Meliuz said it has filed for a primary offering of shares with the aim of raising funds for the acquisition of bitcoin, with pricing scheduled for June 12.
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • GameStop บริษัทค้าปลีกวิดีโอเกมที่เคยเป็นกระแสจากปรากฏการณ์หุ้นมีมในปี 2021 ได้ลงทุนซื้อ Bitcoin มูลค่า 513 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก โดยบริษัทซื้อ Bitcoin จำนวน 4,710 เหรียญ แม้ว่าจะไม่ได้เปิดเผยช่วงเวลาที่ทำการซื้อก็ตาม

    GameStop ดำเนินกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับบริษัท Strategy ของ Michael Saylor ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด และราคาหุ้นของ Strategy มักจะปรับตัวขึ้นตามราคาของ Bitcoin ทำให้นักลงทุนบางรายสนใจลงทุนในบริษัทนี้แทนการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง

    การลงทุนใน Bitcoin ของ GameStop อาจช่วยกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนและฟื้นฟูธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ หุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วงก่อนเปิดตลาด ซึ่งสะท้อนถึงความหวังของนักลงทุนที่อาจมองว่าการเข้าสู่ตลาดคริปโตเป็นโอกาสใหม่

    สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ข้อมูลจากข่าว
    - GameStop ซื้อ Bitcoin มูลค่า 513 ล้านเหรียญ
    - ซื้อ Bitcoin จำนวน 4,710 เหรียญ
    - ราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 108,903 เหรียญ ณ เวลา 7:00 น. ET
    - เป็นการซื้อ Bitcoin ครั้งแรกของบริษัทหลังประกาศแผนลงทุนในเดือนมีนาคม
    - หุ้นของ GameStop เพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วงก่อนเปิดตลาด
    - บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์มูลค่า 4.78 พันล้านเหรียญ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การลงทุนใน Bitcoin มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนอย่างมาก
    - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน เนื่องจาก Bitcoin อาจมีแนวโน้มลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - เกมสต็อปกำลังเผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และการซื้อ Bitcoin อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ชั่วคราว
    - นักลงทุนที่สนใจหุ้น GameStop ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ศักยภาพในการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนใน Bitcoin

    GameStop อาจพยายามใช้กลยุทธ์นี้เพื่อสร้างความสนใจจากตลาดและนักลงทุน แต่ก็ยังคงต้องพิสูจน์ว่าการลงทุนใน Bitcoin จะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้จริงหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/28/gamestop-buys-bitcoin-worth-513-million-in-crypto-push
    GameStop บริษัทค้าปลีกวิดีโอเกมที่เคยเป็นกระแสจากปรากฏการณ์หุ้นมีมในปี 2021 ได้ลงทุนซื้อ Bitcoin มูลค่า 513 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก โดยบริษัทซื้อ Bitcoin จำนวน 4,710 เหรียญ แม้ว่าจะไม่ได้เปิดเผยช่วงเวลาที่ทำการซื้อก็ตาม GameStop ดำเนินกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับบริษัท Strategy ของ Michael Saylor ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด และราคาหุ้นของ Strategy มักจะปรับตัวขึ้นตามราคาของ Bitcoin ทำให้นักลงทุนบางรายสนใจลงทุนในบริษัทนี้แทนการลงทุนใน Bitcoin โดยตรง การลงทุนใน Bitcoin ของ GameStop อาจช่วยกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนและฟื้นฟูธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ หุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วงก่อนเปิดตลาด ซึ่งสะท้อนถึงความหวังของนักลงทุนที่อาจมองว่าการเข้าสู่ตลาดคริปโตเป็นโอกาสใหม่ 🔍 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - GameStop ซื้อ Bitcoin มูลค่า 513 ล้านเหรียญ - ซื้อ Bitcoin จำนวน 4,710 เหรียญ - ราคาของ Bitcoin อยู่ที่ 108,903 เหรียญ ณ เวลา 7:00 น. ET - เป็นการซื้อ Bitcoin ครั้งแรกของบริษัทหลังประกาศแผนลงทุนในเดือนมีนาคม - หุ้นของ GameStop เพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วงก่อนเปิดตลาด - บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์มูลค่า 4.78 พันล้านเหรียญ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การลงทุนใน Bitcoin มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนอย่างมาก - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน เนื่องจาก Bitcoin อาจมีแนวโน้มลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - เกมสต็อปกำลังเผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และการซื้อ Bitcoin อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ชั่วคราว - นักลงทุนที่สนใจหุ้น GameStop ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ศักยภาพในการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนใน Bitcoin GameStop อาจพยายามใช้กลยุทธ์นี้เพื่อสร้างความสนใจจากตลาดและนักลงทุน แต่ก็ยังคงต้องพิสูจน์ว่าการลงทุนใน Bitcoin จะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/28/gamestop-buys-bitcoin-worth-513-million-in-crypto-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    GameStop buys bitcoin worth $513 million in crypto push
    (Reuters) -GameStop has purchased bitcoin worth about $513 million, the company said on Wednesday as the ailing video game retailer looks to capitalize on the growing adoption of cryptocurrencies globally.
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • ชายชาวสหรัฐฯ สูญเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ หลังถูกหลอกผ่าน Instagram

    ชายคนหนึ่งในเมือง Trenton สหรัฐฯ ถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 850,099 บาท) หลังจากกดไลก์รูปของ Angelina Jolie บน Instagram โดยเขาเชื่อว่า กำลังพูดคุยกับนักแสดงชื่อดังผ่านข้อความ แต่แท้จริงแล้ว เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้กลยุทธ์หลอกลวงทางออนไลน์

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกงนี้
    เหยื่อเริ่มพูดคุยกับมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็น Angelina Jolie ตั้งแต่เดือนกันยายน 2023
    - มิจฉาชีพ แนะนำให้เขาลงทุนใน Bitcoin โดยอ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยได้

    เหยื่อซื้อบัตร Apple Gift Card และส่งรูปให้มิจฉาชีพ รวมมูลค่ากว่า 150,000 ดอลลาร์
    - มิจฉาชีพ ใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    เมื่อเหยื่อเริ่มสงสัยว่าถูกหลอก เขาติดต่อบุคคลที่อ้างว่าเป็นนักข่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ
    - นักข่าวปลอม แนะนำให้เขาติดต่อทนายความ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นมิจฉาชีพอีกคนหนึ่ง

    ทนายความปลอมส่งรูปตัวเองพร้อมใบขับขี่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    - จากนั้น เรียกร้องให้เหยื่อจ่ายค่าบริการเป็น Bitcoin และออกใบเสร็จปลอม

    เหยื่อพบว่ามีการพยายามถอนเงิน 31,000 ดอลลาร์จากบัญชีของเขา
    - เขาสามารถ ยับยั้งการทำธุรกรรมได้ทัน และยื่นเรื่องร้องเรียนกับธนาคาร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/man-taken-for-us200000-after-liking-instagram-picture-of-angelina-jolie
    ชายชาวสหรัฐฯ สูญเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ หลังถูกหลอกผ่าน Instagram ชายคนหนึ่งในเมือง Trenton สหรัฐฯ ถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 850,099 บาท) หลังจากกดไลก์รูปของ Angelina Jolie บน Instagram โดยเขาเชื่อว่า กำลังพูดคุยกับนักแสดงชื่อดังผ่านข้อความ แต่แท้จริงแล้ว เป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้กลยุทธ์หลอกลวงทางออนไลน์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกลโกงนี้ ✅ เหยื่อเริ่มพูดคุยกับมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็น Angelina Jolie ตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 - มิจฉาชีพ แนะนำให้เขาลงทุนใน Bitcoin โดยอ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยได้ ✅ เหยื่อซื้อบัตร Apple Gift Card และส่งรูปให้มิจฉาชีพ รวมมูลค่ากว่า 150,000 ดอลลาร์ - มิจฉาชีพ ใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ✅ เมื่อเหยื่อเริ่มสงสัยว่าถูกหลอก เขาติดต่อบุคคลที่อ้างว่าเป็นนักข่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ - นักข่าวปลอม แนะนำให้เขาติดต่อทนายความ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นมิจฉาชีพอีกคนหนึ่ง ✅ ทนายความปลอมส่งรูปตัวเองพร้อมใบขับขี่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ - จากนั้น เรียกร้องให้เหยื่อจ่ายค่าบริการเป็น Bitcoin และออกใบเสร็จปลอม ✅ เหยื่อพบว่ามีการพยายามถอนเงิน 31,000 ดอลลาร์จากบัญชีของเขา - เขาสามารถ ยับยั้งการทำธุรกรรมได้ทัน และยื่นเรื่องร้องเรียนกับธนาคาร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/man-taken-for-us200000-after-liking-instagram-picture-of-angelina-jolie
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Man taken for US$200,000 after liking Instagram picture of Angelina Jolie
    According to a police report, the man first conversed via text message with a woman he thought was Jolie back in September 2023.
    0 Comments 0 Shares 520 Views 0 Reviews
  • Bitcoin ทำสถิติใหม่ ทะลุระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม

    Bitcoin พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $109,481.83 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นการฟื้นตัวหลังจากการเทขายครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้วที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของ Bitcoin
    Bitcoin ทำสถิติใหม่ แซงระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม
    - เพิ่มขึ้น 2% ในวันเดียว

    นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากตลาดฟื้นตัวจากการเทขายครั้งใหญ่
    - การปรับขึ้นของ Bitcoin สะท้อนถึงแนวโน้มบวกในตลาดคริปโต

    ตลาดคริปโตโดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก โดย Ethereum และ Solana ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
    - Ethereum แตะระดับ $4,200 และ Solana เพิ่มขึ้น 3%

    นักวิเคราะห์คาดว่า Bitcoin อาจแตะระดับ $120,000 ภายในสิ้นปีนี้
    - ปัจจัยที่สนับสนุนคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและการยอมรับคริปโตที่เพิ่มขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/bitcoin-rises-to-new-record-high-eclipses-january-top
    Bitcoin ทำสถิติใหม่ ทะลุระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม Bitcoin พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $109,481.83 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นการฟื้นตัวหลังจากการเทขายครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้วที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของ Bitcoin ✅ Bitcoin ทำสถิติใหม่ แซงระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม - เพิ่มขึ้น 2% ในวันเดียว ✅ นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากตลาดฟื้นตัวจากการเทขายครั้งใหญ่ - การปรับขึ้นของ Bitcoin สะท้อนถึงแนวโน้มบวกในตลาดคริปโต ✅ ตลาดคริปโตโดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก โดย Ethereum และ Solana ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน - Ethereum แตะระดับ $4,200 และ Solana เพิ่มขึ้น 3% ✅ นักวิเคราะห์คาดว่า Bitcoin อาจแตะระดับ $120,000 ภายในสิ้นปีนี้ - ปัจจัยที่สนับสนุนคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและการยอมรับคริปโตที่เพิ่มขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/bitcoin-rises-to-new-record-high-eclipses-january-top
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin rises to new record high, eclipses January top
    LONDON (Reuters) -The price of Bitcoin rose to its highest level on record on Wednesday, eclipsing the previous high from January, as risk sentiment continues to improve after last month's tariff-induced sell-off.
    0 Comments 0 Shares 445 Views 0 Reviews
  • JPMorgan Chase เปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin แต่ยังไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

    JPMorgan Chase ประกาศในงาน Investor Day ว่าจะเปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin ได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของธนาคารที่เคยมีท่าทีต่อต้านคริปโต อย่างไรก็ตาม CEO Jamie Dimon ยังคงสงสัยในความน่าเชื่อถือของ Bitcoin และยืนยันว่าธนาคารจะไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุน Bitcoin ของ JPMorgan Chase
    ลูกค้าสามารถซื้อ Bitcoin และดูรายการธุรกรรมในบัญชีของตน
    - แต่ JPMorgan จะไม่รับฝาก Bitcoin หรือให้บริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล

    CEO Jamie Dimon ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี
    - เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin "ไร้ค่า" และหากมีอำนาจ เขาจะปิดอุตสาหกรรมคริปโต

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก FDIC ปรับแนวทางให้สถาบันการเงินสามารถทำธุรกรรมคริปโตได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า
    - ทำให้ ธนาคารสามารถให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น

    JPMorgan Chase ตามรอย Morgan Stanley และธนาคารอื่น ๆ ที่เริ่มสนับสนุน Bitcoin
    - แสดงให้เห็นว่า การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินกำลังเพิ่มขึ้น

    Bitcoin มีมูลค่ามากกว่า $105,000 ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในปี 2022 ที่ประมาณ $16,000
    - แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเล็กน้อย

    https://www.techradar.com/pro/jpmorgan-will-now-let-clients-buy-bitcoin
    JPMorgan Chase เปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin แต่ยังไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล JPMorgan Chase ประกาศในงาน Investor Day ว่าจะเปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin ได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของธนาคารที่เคยมีท่าทีต่อต้านคริปโต อย่างไรก็ตาม CEO Jamie Dimon ยังคงสงสัยในความน่าเชื่อถือของ Bitcoin และยืนยันว่าธนาคารจะไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุน Bitcoin ของ JPMorgan Chase ✅ ลูกค้าสามารถซื้อ Bitcoin และดูรายการธุรกรรมในบัญชีของตน - แต่ JPMorgan จะไม่รับฝาก Bitcoin หรือให้บริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ✅ CEO Jamie Dimon ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี - เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin "ไร้ค่า" และหากมีอำนาจ เขาจะปิดอุตสาหกรรมคริปโต ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก FDIC ปรับแนวทางให้สถาบันการเงินสามารถทำธุรกรรมคริปโตได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า - ทำให้ ธนาคารสามารถให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ✅ JPMorgan Chase ตามรอย Morgan Stanley และธนาคารอื่น ๆ ที่เริ่มสนับสนุน Bitcoin - แสดงให้เห็นว่า การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินกำลังเพิ่มขึ้น ✅ Bitcoin มีมูลค่ามากกว่า $105,000 ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในปี 2022 ที่ประมาณ $16,000 - แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเล็กน้อย https://www.techradar.com/pro/jpmorgan-will-now-let-clients-buy-bitcoin
    WWW.TECHRADAR.COM
    JPMorgan will now let clients buy Bitcoin
    JPMorgan Chase will let clients buy Bitcoin
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • Procolored แจกซอฟต์แวร์ที่มีมัลแวร์มานานหลายเดือน ก่อนยอมรับปัญหา

    หากคุณใช้ เครื่องพิมพ์ Procolored โดยเฉพาะรุ่น UV inkjet คุณอาจต้องตรวจสอบระบบของคุณ เนื่องจาก ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่องถูกพบว่ามีมัลแวร์ ซึ่งถูกแจกจ่ายผ่าน USB drive และเว็บไซต์ของบริษัท

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ของ Procolored
    Cameron Coward ค้นพบมัลแวร์ขณะรีวิวเครื่องพิมพ์ UV มูลค่า $6,000
    - ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่อง ถูกตรวจพบว่ามี USB-spreading worm และ Floxif file infector

    Procolored ปฏิเสธข้อกล่าวหาในตอนแรก โดยอ้างว่าเป็น "false positives"
    - แต่ Coward ไม่เชื่อ และโพสต์เรื่องนี้บน Reddit เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

    G Data ตรวจสอบซอฟต์แวร์ของ Procolored และพบมัลแวร์ในไฟล์ดาวน์โหลดบนเว็บไซต์
    - พบ Win32.Backdoor.XRedRAT.A และ MSIL.Trojan-Stealer.CoinStealer.H

    CoinStealer หรือ "SnipVex" เป็นมัลแวร์ที่ขโมยที่อยู่ Bitcoin และแทนที่ด้วยของแฮกเกอร์
    - บัญชี Bitcoin ที่เกี่ยวข้อง ได้รับเงินกว่า 9.3 BTC (~$100,000) ก่อนหยุดทำงานในเดือนมีนาคม 2024

    Procolored ยอมรับปัญหาและลบซอฟต์แวร์ทั้งหมดออกจากเว็บไซต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2024
    - บริษัท ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต

    ผู้ใช้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของ Procolored อาจต้องตรวจสอบระบบของตนเอง
    - ควร ตรวจสอบว่ามีการตั้งค่า antivirus exclusions สำหรับซอฟต์แวร์ของ Procolored หรือไม่

    มัลแวร์ SnipVex สามารถติดไฟล์อื่น ๆ ในระบบ ทำให้การลบออกเป็นเรื่องยาก
    - G Data แนะนำให้ฟอร์แมตไดรฟ์ทั้งหมดและติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่

    https://www.neowin.net/news/this-printer-company-served-you-malware-for-months-and-dismissed-it-as-false-positives/
    Procolored แจกซอฟต์แวร์ที่มีมัลแวร์มานานหลายเดือน ก่อนยอมรับปัญหา หากคุณใช้ เครื่องพิมพ์ Procolored โดยเฉพาะรุ่น UV inkjet คุณอาจต้องตรวจสอบระบบของคุณ เนื่องจาก ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่องถูกพบว่ามีมัลแวร์ ซึ่งถูกแจกจ่ายผ่าน USB drive และเว็บไซต์ของบริษัท 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ของ Procolored ✅ Cameron Coward ค้นพบมัลแวร์ขณะรีวิวเครื่องพิมพ์ UV มูลค่า $6,000 - ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่อง ถูกตรวจพบว่ามี USB-spreading worm และ Floxif file infector ✅ Procolored ปฏิเสธข้อกล่าวหาในตอนแรก โดยอ้างว่าเป็น "false positives" - แต่ Coward ไม่เชื่อ และโพสต์เรื่องนี้บน Reddit เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ G Data ตรวจสอบซอฟต์แวร์ของ Procolored และพบมัลแวร์ในไฟล์ดาวน์โหลดบนเว็บไซต์ - พบ Win32.Backdoor.XRedRAT.A และ MSIL.Trojan-Stealer.CoinStealer.H ✅ CoinStealer หรือ "SnipVex" เป็นมัลแวร์ที่ขโมยที่อยู่ Bitcoin และแทนที่ด้วยของแฮกเกอร์ - บัญชี Bitcoin ที่เกี่ยวข้อง ได้รับเงินกว่า 9.3 BTC (~$100,000) ก่อนหยุดทำงานในเดือนมีนาคม 2024 ✅ Procolored ยอมรับปัญหาและลบซอฟต์แวร์ทั้งหมดออกจากเว็บไซต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2024 - บริษัท ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของ Procolored อาจต้องตรวจสอบระบบของตนเอง - ควร ตรวจสอบว่ามีการตั้งค่า antivirus exclusions สำหรับซอฟต์แวร์ของ Procolored หรือไม่ ‼️ มัลแวร์ SnipVex สามารถติดไฟล์อื่น ๆ ในระบบ ทำให้การลบออกเป็นเรื่องยาก - G Data แนะนำให้ฟอร์แมตไดรฟ์ทั้งหมดและติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ https://www.neowin.net/news/this-printer-company-served-you-malware-for-months-and-dismissed-it-as-false-positives/
    WWW.NEOWIN.NET
    This printer company served you malware for months and dismissed it as false positives
    A printer company distributed malware-infected files for months. Analysts have now dissected the code and revealed what the malware does once it infects a computer.
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • นักลงทุนสถาบันปรับพอร์ต Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12%

    ในไตรมาสแรกของปี 2025 นักลงทุนสถาบันหลายราย ลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังจากราคาคริปโตลดลง 12% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนมักเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ประเภทนี้

    นักลงทุนสถาบันลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12%
    - Hedge funds และกองทุนความมั่งคั่งบางแห่ง ลดสัดส่วนการลงทุน ขณะที่บางแห่งเพิ่มหรือปรับพอร์ตใหม่

    Millennium Management LLC ลดการถือครอง iShares Bitcoin Trust ETF ลง 41%
    - ขายหุ้นออกไป 17.6 ล้านหุ้น และถอนตัวจาก Invesco Galaxy Bitcoin ETF

    Brevan Howard ลดสัดส่วนการถือครอง iShares ETF ลง 15.6%
    - เป็นหนึ่งในกองทุนที่ ปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง

    กองทุนจาก Abu Dhabi เพิ่มการถือครอง iShares ETF เป็น 8.72 ล้านหุ้น มูลค่า $408.5 ล้าน
    - แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนบางส่วนยังคงเชื่อมั่นใน Bitcoin ETF

    Brown University เข้าสู่ตลาดคริปโต ETF เป็นครั้งแรก
    - ซื้อหุ้น iShares Bitcoin Trust ETF มูลค่า $4.9 ล้าน

    การลดการถือครองของนักลงทุนสถาบันอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต
    - ต้องติดตามว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/institutional-investors-juggle-bitcoin-etf-holdings-us-filings-show
    นักลงทุนสถาบันปรับพอร์ต Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12% ในไตรมาสแรกของปี 2025 นักลงทุนสถาบันหลายราย ลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังจากราคาคริปโตลดลง 12% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนมักเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ประเภทนี้ ✅ นักลงทุนสถาบันลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12% - Hedge funds และกองทุนความมั่งคั่งบางแห่ง ลดสัดส่วนการลงทุน ขณะที่บางแห่งเพิ่มหรือปรับพอร์ตใหม่ ✅ Millennium Management LLC ลดการถือครอง iShares Bitcoin Trust ETF ลง 41% - ขายหุ้นออกไป 17.6 ล้านหุ้น และถอนตัวจาก Invesco Galaxy Bitcoin ETF ✅ Brevan Howard ลดสัดส่วนการถือครอง iShares ETF ลง 15.6% - เป็นหนึ่งในกองทุนที่ ปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง ✅ กองทุนจาก Abu Dhabi เพิ่มการถือครอง iShares ETF เป็น 8.72 ล้านหุ้น มูลค่า $408.5 ล้าน - แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนบางส่วนยังคงเชื่อมั่นใน Bitcoin ETF ✅ Brown University เข้าสู่ตลาดคริปโต ETF เป็นครั้งแรก - ซื้อหุ้น iShares Bitcoin Trust ETF มูลค่า $4.9 ล้าน ‼️ การลดการถือครองของนักลงทุนสถาบันอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต - ต้องติดตามว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/institutional-investors-juggle-bitcoin-etf-holdings-us-filings-show
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Institutional investors juggle bitcoin ETF holdings, US filings show
    (Reuters) -A number of high-profile asset managers cut their stakes in spot bitcoin exchange-traded funds amid a 12% drop in the cryptocurrency's price in the first quarter of 2025, according to recent regulatory filings.
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
More Results