มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี
แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว
ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว
ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก
นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี
ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท
เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง
ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ
#แรงดลใจแห่งชีวิต
โดย #โสภณสุภาพงษ์
#บทความ
#ข้อคิด
#แง่คิด
#thaitimes
#การพัฒนาตนเอง
#หนังสือ
#แนะนำหนังสือ
#ฮาวทู
แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว
ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว
ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก
นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี
ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท
เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง
ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ
#แรงดลใจแห่งชีวิต
โดย #โสภณสุภาพงษ์
#บทความ
#ข้อคิด
#แง่คิด
#thaitimes
#การพัฒนาตนเอง
#หนังสือ
#แนะนำหนังสือ
#ฮาวทู
มีหลายครั้งที่เห็นโพสต์ของเด็กรุ่นใหม่หลายคน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นวัยรุ่นวันเรียน หรือวัยทำงานได้ไม่นาน มักถามเกี่ยวกับให้ช่วยแนะนำหนังสือแนวการพัฒนาตัวเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต การบริหารอะไรเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่มาแนะนำก็มักจะแนะเล่มที่ตนเคยอ่านแล้วชอบ โดยมากหรือเรียกได้ว่าเกิน 90 % ก็จะเป็นหนังสือจากทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นแนวฮาวทู ก็อาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วคือแนวคิดของทางตะวันตกนั้นอิงอยู่กับระบบธุรกิจทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และเขาก็ไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคือความไม่ดี มองว่าคือความยุติธรรมที่ให้แข่งขันกันโดยเสรี
แต่แท้จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าทุนนิยมนั้นพาโลกและพลเมืองชาวมนุษย์ไปผิดทางมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และปัจจุบันเริ่มส่งผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าได้ทำลายหลายสิ่งหลายอย่าง รวมทั้งจิตใจให้ตกต่ำลง จึงมองว่าหากเราศึกษาทัศนจากผู้รู้ที่เป็นปราชญ์หรือบัณฑิต ที่ไม่ได้หมายรวมเฉพาะว่าจำต้องเรียนจบสูงมากจากสถาบันมีชื่อเสียงเฉพาะด้าน หรือมีตำแหน่งสถานะทางสังคมเป็นดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นักวิชาการอะไรเยอะแยะยืดยาว
ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเรื่องทางโลกและทางธรรมอยู่บ้าง คือมีความสมดุลในสองด้าน อีกทั้งมองโลกอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง หาใช่มองโลกในแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว เช่นคนมองโลกแง่บวกก็มองสิ่งใดบวกไปหมด หรือคนมองโลกแง่ลบก็เห็นอะไรเป็นลบไปหมด ซึ่งนั้นผิดธรรมชาติและผิดไปจากความจริง นี่ก็น่าสนใจพอที่จะลองเรียนรู้ถึงความคิดของคนคนนั้นแล้ว
ซึ่งที่ผ่านมามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่หนามาก ร้อยกว่าหน้า อ่านไม่ถึงครึ่งวันก็จบ แต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรอง พิจารณาตามอย่างลึกซึ้ง แล้วจะพบขุมทรัพย์อันมีค่า ที่ไม่ด้อยกว่าหนังสือแนวพัฒนาตนเอง จิตวิทยาการดำเนินชีวิต หรือการบริหารของนักเขียน นักคิดมีชื่อฝั่งตะวันตก ที่มียอดขายดิบขายดีมายาวนานเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา ที่ได้มาจากการตกผลึกของการทำงานหลายสิบปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บวกกับทัศนคติที่ดีงามในแนวทางความเชื่ออย่างคนฝั่งตะวันออกทางแถบประเทศที่นับถือพุทธโดยเฉพาะ น่าจะเหมาะสมกับคนไทยด้วยกันอย่างมาก
นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมา ผู้เขียนยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตในหลักที่ตรงข้ามกับทุนนิยม คือมองเห็นความสำคัญของอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งเล็ก ๆ คนตัวน้อย ๆ ในสังคม แม้นเล่มนี้จะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นศัพท์แสงวิชาการเข้าใจยาก หรือหมวดธรรมในหลักศาสนาเลย แต่เมื่อผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับเนื้อหาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น ที่กลั่นกรองออกมาจากการปฏิบัติจริงในชีวิตของผู้เขียน กลับทำให้รู้สึกได้ว่าลึก ๆ แล้วเจ้าของคำแนะนำคนนี้ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาที่ตนยึดถือไม่ธรรมดา และสามารถนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี
ผมอ่านครั้งแรกหลังจบระดับอุดมศึกษาหมาด ๆ ซึ่งก็ตรงกับปีที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก คือ พ.ศ.2542 ได้รับแจกจากอาจารย์ประจำคณะที่เคารพรักท่านหนึ่ง ประทับใจตั้งแต่หน้าปก และยิ่งได้อ่านเนื้อใน ความประทับใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายครั้งที่เท่าใดและปี พ.ศ.ไหน แต่น่าจะเกินสิบครั้ง จัดพิมพ์โดยกองทุนวุฒิธรรม จัดจำหน่ายโดยเคล็ดไทย กับราคาในยุคนั้นแค่เล่มละ 60 บาท
เมื่อหยิบมาเปิดอ่านคราใด ก็ให้พลังใจในการดำเนินชีวิต อ่านแล้วอยากทำอะไรดี ๆ ไม่ใช่แค่ต่อตนเองหรือครอบครัว แต่อยากทำตนให้เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับสังคม กับโลกนี้บ้าง
ช่างเป็นหนังสือที่มีชื่อทรงพลังยิ่งนัก อ่านแล้วพบว่า ชื่อนี้เหมาะสมจริง ๆ
#แรงดลใจแห่งชีวิต
โดย #โสภณสุภาพงษ์
#บทความ
#ข้อคิด
#แง่คิด
#thaitimes
#การพัฒนาตนเอง
#หนังสือ
#แนะนำหนังสือ
#ฮาวทู
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
1002 มุมมอง
0 รีวิว