• “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต”

    โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง

    เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ

    RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ

    นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ
    พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple
    ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก
    รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio
    เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ
    ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่
    RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26
    การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์
    Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย
    การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    🎮 “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต” โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ ➡️ พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple ➡️ ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก ➡️ รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio ➡️ เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ ➡️ ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่ ➡️ RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26 ➡️ การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์ ➡️ Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย ➡️ การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์”

    หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน

    เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch

    สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป

    ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด

    สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ

    สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง

    USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น
    สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk
    รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป
    Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ
    USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้
    พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม
    รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard
    สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์
    แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว
    แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น
    DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง
    ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube

    https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    🔌 “USB-C บนแท็บเล็ต Android: พอร์ตเล็กที่เปลี่ยนแท็บเล็ตธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์” หลายคนอาจมองว่า USB-C บนแท็บเล็ต Android มีไว้แค่ชาร์จแบตหรือถ่ายโอนไฟล์ แต่ในความเป็นจริง พอร์ตเล็ก ๆ นี้สามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ทั้งด้านเกม การทำงาน เสียง และการสร้างคอนเทนต์ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรซับซ้อน เริ่มจากสายเกมเมอร์ — เพียงเสียบจอยเกมผ่าน USB-C ก็สามารถเล่นเกมมือถือหรือเกมสตรีมจาก PC ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นจอย PS4, PS5, Xbox หรือจอยทั่วไปก็รองรับแทบทั้งหมด และบางรุ่นยังสามารถติดตั้งแบบ handheld ได้เหมือน Nintendo Switch สำหรับสายทำงาน USB-C สามารถเชื่อมต่อกับ dock หรือ hub เพื่อเปลี่ยนแท็บเล็ตให้กลายเป็นเครื่องทำงานเต็มรูปแบบ เช่น ต่อจอเสริม, เมาส์, คีย์บอร์ด, LAN และแม้แต่หูฟังแบบสาย โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Tab ที่รองรับโหมด DeX ซึ่งเปลี่ยนอินเทอร์เฟซให้เหมือนเดสก์ท็อป ด้านประสิทธิภาพ USB-C ยังสามารถจ่ายไฟให้กับพัดลมระบายความร้อนภายนอก ซึ่งช่วยลดการ throttle ของ CPU และเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ได้จริง โดยการติดตั้งพัดลมให้ตรงจุดที่ CPU อยู่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุด สายเสียงก็ไม่แพ้กัน — USB-C รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แท็บเล็ตกลายเป็นสตูดิโอพกพาได้ทันที แม้จะต้องระวังเรื่องการกินแบตที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อุปกรณ์เสียงระดับมืออาชีพ สุดท้าย สำหรับสายคอนเทนต์ USB-C ยังสามารถเชื่อมต่อไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอหรือประชุมออนไลน์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งไมค์ใหญ่หรืออุปกรณ์เสริมราคาแพง ➡️ USB-C บนแท็บเล็ต Android รองรับการเชื่อมต่อจอยเกมหลากหลายรุ่น ➡️ สามารถใช้แท็บเล็ตเป็นหน้าจอที่สองผ่านแอป spacedesk ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ dock/hub เพื่อใช้งานแท็บเล็ตแบบเดสก์ท็อป ➡️ Samsung Galaxy Tab รองรับโหมด DeX สำหรับการทำงานเต็มรูปแบบ ➡️ USB-C สามารถจ่ายไฟให้พัดลมระบายความร้อนภายนอกได้ ➡️ พัดลมช่วยลดการ throttle และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ DAC, audio interface และ MIDI keyboard ➡️ สามารถใช้ไมโครโฟนไร้สายผ่าน USB-C สำหรับการสร้างคอนเทนต์ ➡️ แท็บเล็ตสามารถเชื่อมต่อกับจอ, เมาส์, คีย์บอร์ด และ LAN ผ่าน hub ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ USB-C รองรับการส่งข้อมูล, พลังงาน และสัญญาณภาพในสายเดียว ➡️ แท็บเล็ต Android รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ พัดลมระบายความร้อนแบบติดหลังช่วยให้แท็บเล็ตทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น ➡️ DAC ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นสำหรับนักฟังเพลง ➡️ ไมโครโฟนไร้สายแบบ clip-on เป็นที่นิยมในวงการ TikTok และ YouTube https://www.slashgear.com/1974688/uses-for-android-tablet-usb-c-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Uses For Your Android Tablet's USB-C Port - SlashGear
    There are a number of unexpected ways to take advantage of your Android tablet's USB-C port.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ

    Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว

    แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows
    Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ
    ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม
    AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz
    รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s
    ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน
    ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ
    Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป
    ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน
    GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า
    ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    🖥️ “Snapdragon X2 Elite mini PC: เล็กเท่าจานรองแก้ว แต่แรงระดับเวิร์กสเตชัน — เย็นด้วย AirJet ไร้พัดลม” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ Maui, Qualcomm ได้เปิดตัวชิป Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows โดยมีการโชว์ reference design ที่น่าทึ่งที่สุดคือ mini PC ขนาดเล็กบางเฉียบ รูปทรงกลมคล้ายจานรองแก้ว และอีกแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมบางเท่าพอร์ต USB-C ซึ่งสามารถเสียบเข้าฐานจอภาพแบบ all-in-one ได้โดยตรง สิ่งที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามคือ “เครื่องบางขนาดนี้จะระบายความร้อนยังไง?” คำตอบคือ Frore AirJet — เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ solid-state ที่ใช้คลื่นอัลตราโซนิกแทนพัดลมในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้โดยไม่มีชิ้นส่วนหมุน ลดเสียงรบกวนและความเสี่ยงจากการสึกหรอ Snapdragon X2 Elite Extreme ที่ใช้ใน reference design นี้มีถึง 18 คอร์ และสามารถ boost ได้ถึง 5 GHz พร้อมรองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ซึ่งถือว่าแรงกว่ารุ่น X2 Elite ปกติ และสามารถรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การประมวลผล AI, และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวเครื่องถูกออกแบบด้วยวัสดุอะลูมิเนียมสีแดง Snapdragon มีพอร์ต USB-C สองช่อง, ช่องเสียบหูฟัง และพอร์ตพลังงานแบบ barrel jack โดยไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ แต่ Qualcomm ยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันอย่างน้อย 3 ราย เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X2 Elite และ Elite Extreme สำหรับพีซี Windows ➡️ Reference design mini PC มีสองรูปแบบ: ทรงกลมบางเฉียบ และแบบสี่เหลี่ยมเสียบฐานจอ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Frore AirJet ในการระบายความร้อนแบบไร้พัดลม ➡️ AirJet ใช้คลื่นอัลตราโซนิกในการผลักอากาศผ่านฮีตซิงก์ ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ และ boost ได้ถึง 5 GHz ➡️ รองรับแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 228 GB/s ➡️ ตัวเครื่องมีพอร์ต USB-C, ช่องหูฟัง และ barrel jack สำหรับพลังงาน ➡️ ดีไซน์บางเฉียบและเงียบ เหมาะสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ OEM จากไต้หวันเพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirJet เคยถูกใช้ใน Wi-Fi hotspot สำหรับหน่วยกู้ภัยของ AT&T ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี NPU 80 TOPS ซึ่งเป็น NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อป ➡️ ชิปนี้ใช้ CPU Qualcomm Oryon รุ่นที่ 3 ที่เร็วกว่า CPU คู่แข่งถึง 75% ที่พลังงานเท่ากัน ➡️ GPU Adreno ใหม่มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นถึง 2.3 เท่า ➡️ ดีไซน์แบบ modular all-in-one ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนประมวลผลได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/qualcomms-snapdragon-x2-elite-reference-mini-pc-looks-like-a-coaster-some-designs-are-cooled-by-frore-airjets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน”

    ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน

    Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม

    ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ)

    Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก

    Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป
    รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal
    ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ
    ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว
    มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน
    รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link
    มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา
    ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC
    วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง
    Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม
    ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง
    การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง
    การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    🔊 “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน” ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ) Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป ➡️ รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal ➡️ ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ ➡️ ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว ➡️ มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ➡️ มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา ➡️ ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC ➡️ วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง ➡️ Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม ➡️ ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง ➡️ การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง ➡️ การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย”

    ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ

    แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง

    AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด

    ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา

    แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่
    มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก
    การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง
    ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2
    ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น
    เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้
    รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส
    เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54
    ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น
    เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที
    ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50%
    การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra

    https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    🎧 “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย” ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่ ➡️ มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก ➡️ การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง ➡️ ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2 ➡️ ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้ ➡️ รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์ ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ➡️ เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54 ➡️ ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น ➡️ เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที ➡️ ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50% ➡️ การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple AirPods Never Quite Fit Me, But The New AirPods Pro 3 Changed That - SlashGear
    I was prepared to struggle with AirPods Pro 3, but they proved to fit my ears better than any previous iteration of Apple's earbuds. The smaller tips helped.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI”

    Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ

    เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ

    6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว

    Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้
    Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร
    อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์
    Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ
    Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028
    6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์
    เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง
    Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้
    การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
    6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล
    Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing

    https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    📡 “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI” Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ 6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้ ➡️ Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร ➡️ อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์ ➡️ Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ ➡️ Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ➡️ 6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์ ➡️ เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้ ➡️ การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ➡️ 6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ➡️ Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm's AI Revolution: The Future of the "AI as the UI" and 6G Connectivity
    Qualcomm unveils its vision for an "AI as the UI" future, with Agentic AI and a 2028 roadmap for commercial-ready 6G mobile network solutions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง”

    ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต

    FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น

    หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons

    FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส
    ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB
    รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization

    ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์
    รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก
    หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail
    กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP
    แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2
    พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons
    เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้
    ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls
    รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM
    ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ
    Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา

    https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    📱 “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง” ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส ➡️ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB ➡️ รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization ✅ ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก ➡️ หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail ➡️ กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 ➡️ พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons ➡️ เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้ ➡️ ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls ➡️ รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM ➡️ ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ ➡️ Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This $550 Linux Phone Has Kill Switches That Protect Your Privacy
    This smartphone has hardware switches for the microphone, cameras, and modem/GPS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง

    เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน

    แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ

    นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้

    นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ

    ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods
    รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC
    แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone
    ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป
    ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน
    จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง

    ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU
    ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU
    Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด

    https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้ นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ ✅ ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods ➡️ รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC ➡️ แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone ➡️ ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป ➡️ ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน ➡️ จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง ✅ ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU ➡️ ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU ➡️ Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    WWW.MACRUMORS.COM
    AirPods Live Translation Blocked for EU Users With EU Apple Accounts
    Apple's new Live Translation feature for AirPods will be off-limits to millions of European users when it arrives next week, with strict EU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน?

    นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก

    PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ

    ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น:
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ
    - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub)
    - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU

    นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

    พอร์ต USB บน PS5
    มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A)
    รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps)
    ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก

    การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub
    USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้
    ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้
    ตัวอย่างฮับยอดนิยม:   
    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)   
    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)   
    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99)
    ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์

    ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก
    Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5
    IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ
    StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps
    ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ

    คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub
    ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้
    ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง
    การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง
    ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน

    https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    🎮 “USB ไม่พอ? เพิ่มพอร์ตให้ PS5 ง่ายๆ ด้วยฮับที่เหมาะกับการเล่นเกมยุคใหม่!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเริ่มเล่นเกมบน PS5 ที่คุณรัก แต่พบว่า...พอร์ต USB ทั้ง 4 ช่องถูกใช้หมดแล้ว — ชาร์จจอย, ต่อกล้อง, เสียบหูฟังไร้สาย และเชื่อมต่อ PS VR2 แล้วจะเสียบฮาร์ดดิสก์เสริมตรงไหน? นั่นคือปัญหาที่ผู้ใช้ PS5 หลายคนเจอ และข่าวนี้มีคำตอบ: ใช้ “USB Hub” เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ตให้กับเครื่องของคุณ โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือเสียบสลับอุปกรณ์ไปมาให้ยุ่งยาก PS5 มีพอร์ต USB ทั้งหมด 4 ช่อง (2 ด้านหน้า, 2 ด้านหลัง) ซึ่งรองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps แต่เมื่อใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, จอยหลายตัว, กล้อง หรือ VR — พื้นที่ก็ไม่พอ ทางออกคือการเลือก USB Hub ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ เช่น: - ถ้าใช้กับอุปกรณ์เบาๆ อย่างคีย์บอร์ดหรือหูฟังไร้สาย: ฮับธรรมดา USB 2.0 ก็เพียงพอ - ถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2: ต้องใช้ฮับแบบมีไฟเลี้ยง (Powered USB Hub) - ถ้าอยากให้ฮับกลมกลืนกับดีไซน์เครื่อง: มีฮับที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ PS5 เช่น Megadream หรือ IQIKU นอกจากนี้ยังมีฮับที่รองรับ USB 3.0 หรือ 3.2 ซึ่งให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น เหมาะกับการเล่นเกมหรือโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ✅ พอร์ต USB บน PS5 ➡️ มีทั้งหมด 4 ช่อง: ด้านหน้า 2 (Type-C และ Type-A), ด้านหลัง 2 (Type-A) ➡️ รองรับความเร็ว Hi-Speed และ SuperSpeed (สูงสุด 10Gbps) ➡️ ใช้สำหรับชาร์จจอย, ต่อกล้อง, หูฟัง, PS VR2 และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ✅ การเพิ่มพอร์ตด้วย USB Hub ➡️ USB Hub คืออุปกรณ์ที่แปลง 1 พอร์ตให้กลายเป็นหลายพอร์ต ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ PS5 — ฮับทั่วไปก็ใช้ได้ ➡️ ตัวอย่างฮับยอดนิยม:    - Ugreen USB 3.0 Hub (4.7 ดาว, $9.99)    - Megadream 6-Port Hub (USB 2.0, $16.99)    - PowerA 4-Port Powered Hub (USB 3.0, $29.99) ➡️ ฮับแบบมีไฟเลี้ยงเหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจากภายนอก ➡️ Anker Ultra Slim 4-Port USB 3.0 Hub เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ PS5 ➡️ IQIKU PS5 USB Hub รองรับการชาร์จและเชื่อมต่ออุปกรณ์เบาๆ ➡️ StarTech และ UGREEN มีฮับที่รองรับ USB-C ความเร็วสูงถึง 10Gbps ➡️ ฮับบางรุ่นออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ PS5 โดยเฉพาะ ‼️ คำเตือนในการเลือกใช้งาน USB Hub ⛔ ฮับ USB 2.0 ไม่สามารถใช้กับฮาร์ดดิสก์หรือ PS VR2 ได้ ⛔ ฮับแบบไม่มีไฟเลี้ยงอาจไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง ⛔ การใช้ฮับที่ไม่รองรับความเร็วสูง อาจทำให้การโหลดเกมหรือส่งข้อมูลช้าลง ⛔ ฮับบางรุ่นอาจมีดีไซน์ไม่เข้ากับเครื่อง PS5 และเกะกะพื้นที่ใช้งาน https://www.slashgear.com/1959486/how-to-add-more-usb-ports-to-ps5/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Add More USB Ports To Your PS5 - SlashGear
    You can add more USB ports to your PS5 using a USB hub. Choose between basic splitters for low-power devices or powered hubs for external drives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กธรรมดาถึง MAX16: เมื่อผู้ผลิตจีนกล้าทำสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่กล้าขาย

    ผู้ผลิตจากจีนเปิดตัวแล็ปท็อปสามจอรุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกไม่แน่นอน—บางแห่งเรียกว่า MAX16 บางแห่งไม่มีชื่อเลย—โดยวางขายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Aliexpress และ Alibaba ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง $700 สำหรับรุ่น Core i7-1260P และสูงสุดประมาณ $1,200 สำหรับรุ่น Core i7-1270P

    ตัวเครื่องประกอบด้วยหน้าจอหลักขนาด 16 นิ้ว และจอเสริมสองข้างขนาด 10.5 นิ้ว ซึ่งพับเก็บได้ผ่านบานพับแบบฝัง ทำให้เมื่อกางออกจะได้พื้นที่ใช้งานเทียบเท่าจอขนาด 29.5 นิ้ว เหมาะกับงานที่ต้องเปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน เช่น coding, data analysis หรือการเทรดหุ้น

    แม้จะดูใหญ่ แต่ขนาดเมื่อพับเก็บอยู่ที่ 374 × 261 × 28 มม. และน้ำหนัก 2.6 กก.—หนักกว่าคอมทั่วไป แต่เบากว่าการพกโน้ตบุ๊กพร้อมจอเสริมสองตัว

    สเปกภายในถือว่า “กลาง ๆ” โดยใช้ Intel Core i7 Gen 12 (P-series), RAM DDR4 สูงสุด 64GB, SSD PCIe 4.0 และแบตเตอรี่ 77Wh พร้อมพอร์ตครบครัน เช่น USB-A, USB-C, HDMI, LAN และช่องหูฟัง 3.5 มม.

    จุดที่น่าสนใจคือมีการระบุว่า “รองรับ eGPU” แต่ไม่มีพอร์ต Thunderbolt, USB4 หรือ OCuLink ทำให้การใช้งานจริงอาจต้องใช้ dock ผ่าน M.2 slot ซึ่งไม่สะดวกและอาจไม่เสถียรนัก

    นอกจากนี้ยังมีความคลุมเครือในข้อมูล เช่น บางหน้าระบุว่าใช้ Wi-Fi 6 แต่บางแห่งไม่ระบุเลย และชื่อรุ่นก็ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ซื้ออาจต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสินค้า

    สเปกและการออกแบบของแล็ปท็อปสามจอ
    หน้าจอหลัก 16 นิ้ว + จอเสริม 10.5 นิ้ว × 2 = พื้นที่ใช้งาน 29.5 นิ้ว
    ขนาดเมื่อพับ 374 × 261 × 28 มม. น้ำหนัก 2.6 กก.
    ใช้ Intel Core i7-1260P หรือ i7-1270P, RAM DDR4 สูงสุด 64GB

    ฟีเจอร์และการใช้งาน
    รองรับ PCIe 4.0 SSD ผ่าน M.2 2280 slot
    แบตเตอรี่ 77Wh ใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง
    มีพอร์ต USB-A × 3, USB-C × 1, HDMI, LAN, ช่องหูฟัง และ fingerprint scanner

    ความน่าสนใจด้านราคา
    เริ่มต้นที่ $700 สำหรับรุ่น i7-1260P
    รุ่นสูงสุด i7-1270P อยู่ที่ประมาณ $1,200
    ถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กที่มีจอเสริมในตัว

    https://www.techradar.com/pro/crazy-laptop-manufacturer-designed-the-best-3-screen-notebook-ever-and-it-is-far-cheaper-than-youd-expect-i-want-one
    🎙️ เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กธรรมดาถึง MAX16: เมื่อผู้ผลิตจีนกล้าทำสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่กล้าขาย ผู้ผลิตจากจีนเปิดตัวแล็ปท็อปสามจอรุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกไม่แน่นอน—บางแห่งเรียกว่า MAX16 บางแห่งไม่มีชื่อเลย—โดยวางขายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Aliexpress และ Alibaba ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง $700 สำหรับรุ่น Core i7-1260P และสูงสุดประมาณ $1,200 สำหรับรุ่น Core i7-1270P ตัวเครื่องประกอบด้วยหน้าจอหลักขนาด 16 นิ้ว และจอเสริมสองข้างขนาด 10.5 นิ้ว ซึ่งพับเก็บได้ผ่านบานพับแบบฝัง ทำให้เมื่อกางออกจะได้พื้นที่ใช้งานเทียบเท่าจอขนาด 29.5 นิ้ว เหมาะกับงานที่ต้องเปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน เช่น coding, data analysis หรือการเทรดหุ้น แม้จะดูใหญ่ แต่ขนาดเมื่อพับเก็บอยู่ที่ 374 × 261 × 28 มม. และน้ำหนัก 2.6 กก.—หนักกว่าคอมทั่วไป แต่เบากว่าการพกโน้ตบุ๊กพร้อมจอเสริมสองตัว สเปกภายในถือว่า “กลาง ๆ” โดยใช้ Intel Core i7 Gen 12 (P-series), RAM DDR4 สูงสุด 64GB, SSD PCIe 4.0 และแบตเตอรี่ 77Wh พร้อมพอร์ตครบครัน เช่น USB-A, USB-C, HDMI, LAN และช่องหูฟัง 3.5 มม. จุดที่น่าสนใจคือมีการระบุว่า “รองรับ eGPU” แต่ไม่มีพอร์ต Thunderbolt, USB4 หรือ OCuLink ทำให้การใช้งานจริงอาจต้องใช้ dock ผ่าน M.2 slot ซึ่งไม่สะดวกและอาจไม่เสถียรนัก นอกจากนี้ยังมีความคลุมเครือในข้อมูล เช่น บางหน้าระบุว่าใช้ Wi-Fi 6 แต่บางแห่งไม่ระบุเลย และชื่อรุ่นก็ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ซื้ออาจต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสินค้า ✅ สเปกและการออกแบบของแล็ปท็อปสามจอ ➡️ หน้าจอหลัก 16 นิ้ว + จอเสริม 10.5 นิ้ว × 2 = พื้นที่ใช้งาน 29.5 นิ้ว ➡️ ขนาดเมื่อพับ 374 × 261 × 28 มม. น้ำหนัก 2.6 กก. ➡️ ใช้ Intel Core i7-1260P หรือ i7-1270P, RAM DDR4 สูงสุด 64GB ✅ ฟีเจอร์และการใช้งาน ➡️ รองรับ PCIe 4.0 SSD ผ่าน M.2 2280 slot ➡️ แบตเตอรี่ 77Wh ใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง ➡️ มีพอร์ต USB-A × 3, USB-C × 1, HDMI, LAN, ช่องหูฟัง และ fingerprint scanner ✅ ความน่าสนใจด้านราคา ➡️ เริ่มต้นที่ $700 สำหรับรุ่น i7-1260P ➡️ รุ่นสูงสุด i7-1270P อยู่ที่ประมาณ $1,200 ➡️ ถือว่าราคาถูกมากเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กที่มีจอเสริมในตัว https://www.techradar.com/pro/crazy-laptop-manufacturer-designed-the-best-3-screen-notebook-ever-and-it-is-far-cheaper-than-youd-expect-i-want-one
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกไว้บรรยากาศการทำงานของลูกสาววันแรกที่ Pfizer (01-09-2025)
    เริ่มงานวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็น ASIA มาจากฮ่องกง กับ อินโดนีเซีย สังเกตุว่าที่ Pfizer ส่วนใหญ่มีแต่คนผิวขาว มีแค่เพื่อนร่วมงานAim ที่ชื่อโซมโทวที่เป็นหญิงผิวสี วันนี้เริ่มset ระบบ ตั้ง E-MAIL แนะนำสถานที่ทำงาน Pfizer แจก Laptop I-pad กับหูฟังให้ใช้ สามารถ work from home ได้สัปดาห์ละ 2 วัน แต่อู้งานไม่ได้นะ เพราะเขามีโปรแกรมตรวจจับว่าเราทำงานหรืออู้งาน ที่ Pfizer เราจะนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ค่าอาหารมีส่วนลดให้สำหรับพนักงาน เจอคนไทยด้วย 1 คน อายุประมาณ 40+ ตอนถ่ายรูปทำบัตรคนไทยคนนี้เป็นคนถ่ายรูปทำบัตรพนักงานให้ เขาบอกว่า หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม เป็นภาษาไทย เพราะเขาเห็นชื่อเราเป็นชื่อไทย ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าถ่ายรูปไม่สวย ถ่ายใหม่ได้พิเศษเฉพาะคนไทย ปีนี้ Pfizer รับเด็กเข้าทำงาน 76 คน และมีโปรแกรมจะรับกลุ่มนี้ เข้าทำงานหลังจากเรียนจบ 6 คน ถ้ามีผลงานดี บริษัทจะส่งไป conference ที่ อเมริกา หรือ สวิท เริ่มงาน 8.30 เลิกงาน 17.30 แต่ต้องออกจากที่พักเร็วหน่อย เพราะต้องไปขึ้นรถเมล์ให้ทัน รถเมล์มาเวลา 7.40 รอบเช้ารถเมล์ที่ดิวกับ Pfizer มีคันเดียว ใช้บัตรพนักงาน Pfizer แตะขึ้นรถได้ฟรี ถ้าพลาดต้องเรียก Uber แต่ห้ามพลาดเพราะ Uber แพงมาก ตอนเลิกงานสบายหน่อย เพราะมีรถเมล์ผ่าน 4 รอบ 15.30 16.30 17.30 และ 18.00 ถ้าเลิกงานแล้วไม่อู้ รีบเดิน จะทันรถเมล์รอบ 17.30 update ทำงานวันแรกมีเท่านี้
    บันทึกไว้บรรยากาศการทำงานของลูกสาววันแรกที่ Pfizer (01-09-2025) เริ่มงานวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็น ASIA มาจากฮ่องกง กับ อินโดนีเซีย สังเกตุว่าที่ Pfizer ส่วนใหญ่มีแต่คนผิวขาว มีแค่เพื่อนร่วมงานAim ที่ชื่อโซมโทวที่เป็นหญิงผิวสี วันนี้เริ่มset ระบบ ตั้ง E-MAIL แนะนำสถานที่ทำงาน Pfizer แจก Laptop I-pad กับหูฟังให้ใช้ สามารถ work from home ได้สัปดาห์ละ 2 วัน แต่อู้งานไม่ได้นะ เพราะเขามีโปรแกรมตรวจจับว่าเราทำงานหรืออู้งาน ที่ Pfizer เราจะนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ค่าอาหารมีส่วนลดให้สำหรับพนักงาน เจอคนไทยด้วย 1 คน อายุประมาณ 40+ ตอนถ่ายรูปทำบัตรคนไทยคนนี้เป็นคนถ่ายรูปทำบัตรพนักงานให้ เขาบอกว่า หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม เป็นภาษาไทย เพราะเขาเห็นชื่อเราเป็นชื่อไทย ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าถ่ายรูปไม่สวย ถ่ายใหม่ได้พิเศษเฉพาะคนไทย ปีนี้ Pfizer รับเด็กเข้าทำงาน 76 คน และมีโปรแกรมจะรับกลุ่มนี้ เข้าทำงานหลังจากเรียนจบ 6 คน ถ้ามีผลงานดี บริษัทจะส่งไป conference ที่ อเมริกา หรือ สวิท เริ่มงาน 8.30 เลิกงาน 17.30 แต่ต้องออกจากที่พักเร็วหน่อย เพราะต้องไปขึ้นรถเมล์ให้ทัน รถเมล์มาเวลา 7.40 รอบเช้ารถเมล์ที่ดิวกับ Pfizer มีคันเดียว ใช้บัตรพนักงาน Pfizer แตะขึ้นรถได้ฟรี ถ้าพลาดต้องเรียก Uber แต่ห้ามพลาดเพราะ Uber แพงมาก ตอนเลิกงานสบายหน่อย เพราะมีรถเมล์ผ่าน 4 รอบ 15.30 16.30 17.30 และ 18.00 ถ้าเลิกงานแล้วไม่อู้ รีบเดิน จะทันรถเมล์รอบ 17.30 update ทำงานวันแรกมีเท่านี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี

    ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ

    นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้

    อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile

    ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne
    ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต
    หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H
    กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต
    ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน
    ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ
    รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก
    เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI
    ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง
    รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี
    ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ
    ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว

    อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน
    เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh
    DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง
    เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว

    ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ
    การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ
    เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง
    ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่
    การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย

    https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    🧠 iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้ อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne ➡️ ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต ➡️ หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H ➡️ กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ✅ ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต ➡️ ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน ➡️ ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก ➡️ เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI ➡️ ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง ➡️ รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี ➡️ ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ ➡️ ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว ✅ อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน ➡️ เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh ➡️ DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง ➡️ เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ ⛔ เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่ ⛔ การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อมือ: สมาร์ตวอชต์ราคา £16 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องการชาร์จ

    Terence Eden นักเขียนบล็อกสายเทคโนโลยีมีภารกิจส่วนตัว—ทำให้ทุกอุปกรณ์พกพาของเขาใช้สาย USB-C ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หูฟัง แปรงสีฟัน หรือแม้แต่สมาร์ตวอชต์ เขาจึงตัดสินใจซื้อ Colmi P80 สมาร์ตวอชต์ราคาประหยัดจาก AliExpress เพียง £16 เพราะมันเป็นรุ่นเดียวที่มีพอร์ต USB-C

    แม้จะคาดหวังไว้ว่าจะ “แย่ตามราคา” แต่กลับพบว่าเจ้า P80 นี้ใช้งานได้ดีเกินคาด ทั้งการจับเวลา โทรศัพท์ผ่าน Bluetooth การแจ้งเตือนแบบสั่น และแม้แต่มีไฟฉายในตัว! ที่สำคัญคือมันชาร์จผ่าน USB-C ได้จริง และแบตเตอรี่ก็อึดอย่างไม่น่าเชื่อ—ใช้งานได้ถึง 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

    ในโลกที่สมาร์ตวอชต์ส่วนใหญ่ยังใช้สายชาร์จเฉพาะตัวแบบแม่เหล็กหรือแท่นวาง การมีพอร์ต USB-C กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ต้องการความสะดวกในการชาร์จระหว่างเดินทาง

    Terence Eden ซื้อ Colmi P80 เพราะเป็นสมาร์ตวอชต์ที่ใช้ USB-C
    ราคาเพียง £16 จาก AliExpress

    Colmi P80 ใช้งานได้ดีเกินคาดสำหรับราคานี้
    มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น โทรศัพท์, แจ้งเตือน, เกม, ไฟฉาย

    ชาร์จเต็มใน 90 นาที และใช้งานได้ถึง 5 วัน
    แบตเตอรี่ขนาด 280mAh ใช้พลังงานต่ำ

    ไม่รองรับ Power Delivery (PD) แต่ชาร์จได้กับ USB-C ธรรมดา
    PD charger ไม่สามารถลดกำลังไฟลงต่ำพอสำหรับอุปกรณ์นี้

    มีฝายางปิดพอร์ต USB-C เพื่อป้องกันฝุ่นและน้ำ
    แต่ฝาอาจหลวมเมื่อใช้สายที่หัวใหญ่

    https://shkspr.mobi/blog/2025/08/i-bought-a-16-smartwatch-just-because-it-used-usb-c/
    ⌚🔌 เรื่องเล่าจากข้อมือ: สมาร์ตวอชต์ราคา £16 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องการชาร์จ Terence Eden นักเขียนบล็อกสายเทคโนโลยีมีภารกิจส่วนตัว—ทำให้ทุกอุปกรณ์พกพาของเขาใช้สาย USB-C ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หูฟัง แปรงสีฟัน หรือแม้แต่สมาร์ตวอชต์ เขาจึงตัดสินใจซื้อ Colmi P80 สมาร์ตวอชต์ราคาประหยัดจาก AliExpress เพียง £16 เพราะมันเป็นรุ่นเดียวที่มีพอร์ต USB-C แม้จะคาดหวังไว้ว่าจะ “แย่ตามราคา” แต่กลับพบว่าเจ้า P80 นี้ใช้งานได้ดีเกินคาด ทั้งการจับเวลา โทรศัพท์ผ่าน Bluetooth การแจ้งเตือนแบบสั่น และแม้แต่มีไฟฉายในตัว! ที่สำคัญคือมันชาร์จผ่าน USB-C ได้จริง และแบตเตอรี่ก็อึดอย่างไม่น่าเชื่อ—ใช้งานได้ถึง 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ในโลกที่สมาร์ตวอชต์ส่วนใหญ่ยังใช้สายชาร์จเฉพาะตัวแบบแม่เหล็กหรือแท่นวาง การมีพอร์ต USB-C กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ต้องการความสะดวกในการชาร์จระหว่างเดินทาง ✅ Terence Eden ซื้อ Colmi P80 เพราะเป็นสมาร์ตวอชต์ที่ใช้ USB-C ➡️ ราคาเพียง £16 จาก AliExpress ✅ Colmi P80 ใช้งานได้ดีเกินคาดสำหรับราคานี้ ➡️ มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น โทรศัพท์, แจ้งเตือน, เกม, ไฟฉาย ✅ ชาร์จเต็มใน 90 นาที และใช้งานได้ถึง 5 วัน ➡️ แบตเตอรี่ขนาด 280mAh ใช้พลังงานต่ำ ✅ ไม่รองรับ Power Delivery (PD) แต่ชาร์จได้กับ USB-C ธรรมดา ➡️ PD charger ไม่สามารถลดกำลังไฟลงต่ำพอสำหรับอุปกรณ์นี้ ✅ มีฝายางปิดพอร์ต USB-C เพื่อป้องกันฝุ่นและน้ำ ➡️ แต่ฝาอาจหลวมเมื่อใช้สายที่หัวใหญ่ https://shkspr.mobi/blog/2025/08/i-bought-a-16-smartwatch-just-because-it-used-usb-c/
    SHKSPR.MOBI
    I bought a £16 smartwatch just because it used USB-C
    Look, I'm an idiot. I know that, you know that, and the man on the moon knows that. Let's not get into why I'm an idiot; let's just accept that I have my peculiarities and you have yours. My idiocy is a quest to make sure all my portable electronics can recharge using USB-C. Modern smartwatches are tiny and they do a lot. As a consequence, their battery life is generally poor. The industry's…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: Razer เปิดตัวอุปกรณ์ Thunderbolt 5 เพื่อเกมเมอร์สายโน้ตบุ๊ก

    หลังจาก Thunderbolt 5 เปิดตัวปลายปี 2024 หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์เสริมกราฟิก ล่าสุด Razer เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่:

    1. Razer Thunderbolt 5 Dock – ด็อกกิ้งสเตชันที่รองรับการชาร์จเร็ว, จอภาพหลายจอความละเอียดสูง และการเชื่อมต่อครบครัน 2. Razer Core X V2 (รุ่นปี 2025) – กล่อง eGPU สำหรับใส่การ์ดจอเดสก์ท็อป Nvidia หรือ AMD เพื่อใช้งานกับโน้ตบุ๊กหรือเครื่องเกมพกพา

    Thunderbolt 5 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 120 Gbps (upstream) และ 80 Gbps (bidirectional) ซึ่งช่วยลดปัญหาคอขวดที่เคยเกิดกับ Thunderbolt 4 หรือ OCuLink โดยเฉพาะเมื่อใช้ GPU ระดับสูงอย่าง RTX 4090

    อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกระดับเดสก์ท็อปแต่ยังคงความคล่องตัวของโน้ตบุ๊กหรือเครื่องพกพา

    Razer เปิดตัว Thunderbolt 5 Dock ราคาเริ่มต้น $389.99
    รองรับการชาร์จสูงสุด 140W, จอ 4K 3 จอที่ 144Hz, และ SSD M.2 สูงสุด 8TB

    มีพอร์ต Thunderbolt 5 downstream 3 ช่อง และ upstream 1 ช่อง
    รองรับ DisplayPort 2.1 และ USB 3.2 ความเร็ว 10Gbps

    มี SD card slot, Gigabit Ethernet, และช่องหูฟัง 7.1 surround
    ครบครันสำหรับงานกราฟิกและเกม

    Razer Core X V2 รุ่นปี 2025 รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 สล็อต
    ใช้กับ Thunderbolt 5, Thunderbolt 4 หรือ USB4 ได้

    Thunderbolt 5 มีแบนด์วิดท์สูงกว่า OCuLink และ Thunderbolt 4
    ลดการสูญเสียประสิทธิภาพของ GPU ได้มากถึง 23% ในบางกรณี

    Asus และ Gigabyte เปิดตัว eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 5 ไปก่อนหน้านี้
    เช่น RTX 5090 แบบพกพา และรุ่น water-cooled สำหรับเดสก์ท็อป

    https://www.techspot.com/news/108696-razer-introduces-new-thunderbolt-5-dock-egpu-enclosure.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: Razer เปิดตัวอุปกรณ์ Thunderbolt 5 เพื่อเกมเมอร์สายโน้ตบุ๊ก หลังจาก Thunderbolt 5 เปิดตัวปลายปี 2024 หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์เสริมกราฟิก ล่าสุด Razer เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่: 1. Razer Thunderbolt 5 Dock – ด็อกกิ้งสเตชันที่รองรับการชาร์จเร็ว, จอภาพหลายจอความละเอียดสูง และการเชื่อมต่อครบครัน 2. Razer Core X V2 (รุ่นปี 2025) – กล่อง eGPU สำหรับใส่การ์ดจอเดสก์ท็อป Nvidia หรือ AMD เพื่อใช้งานกับโน้ตบุ๊กหรือเครื่องเกมพกพา Thunderbolt 5 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 120 Gbps (upstream) และ 80 Gbps (bidirectional) ซึ่งช่วยลดปัญหาคอขวดที่เคยเกิดกับ Thunderbolt 4 หรือ OCuLink โดยเฉพาะเมื่อใช้ GPU ระดับสูงอย่าง RTX 4090 อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกระดับเดสก์ท็อปแต่ยังคงความคล่องตัวของโน้ตบุ๊กหรือเครื่องพกพา ✅ Razer เปิดตัว Thunderbolt 5 Dock ราคาเริ่มต้น $389.99 ➡️ รองรับการชาร์จสูงสุด 140W, จอ 4K 3 จอที่ 144Hz, และ SSD M.2 สูงสุด 8TB ✅ มีพอร์ต Thunderbolt 5 downstream 3 ช่อง และ upstream 1 ช่อง ➡️ รองรับ DisplayPort 2.1 และ USB 3.2 ความเร็ว 10Gbps ✅ มี SD card slot, Gigabit Ethernet, และช่องหูฟัง 7.1 surround ➡️ ครบครันสำหรับงานกราฟิกและเกม ✅ Razer Core X V2 รุ่นปี 2025 รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 สล็อต ➡️ ใช้กับ Thunderbolt 5, Thunderbolt 4 หรือ USB4 ได้ ✅ Thunderbolt 5 มีแบนด์วิดท์สูงกว่า OCuLink และ Thunderbolt 4 ➡️ ลดการสูญเสียประสิทธิภาพของ GPU ได้มากถึง 23% ในบางกรณี ✅ Asus และ Gigabyte เปิดตัว eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 5 ไปก่อนหน้านี้ ➡️ เช่น RTX 5090 แบบพกพา และรุ่น water-cooled สำหรับเดสก์ท็อป https://www.techspot.com/news/108696-razer-introduces-new-thunderbolt-5-dock-egpu-enclosure.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Razer introduces new Thunderbolt 5 dock and eGPU enclosure
    Razer recently unveiled its first Thunderbolt 5-compatible docking station and external graphics card enclosure. These accessories provide laptops and handheld gaming PCs with ample bandwidth for fast...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์

    Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025

    สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้

    ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม

    ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป

    Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn
    ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ

    Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox
    ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง

    ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น:
    โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า

    ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์
    บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ

    Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์
    โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก

    การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร
    โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก

    การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ
    โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์

    การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์
    เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด

    แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่
    ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffs
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์ Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025 สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้ ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป ✅ Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn ➡️ ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ ✅ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox ➡️ ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง ✅ ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น: ➡️ โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า ✅ ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ ➡️ บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ ✅ Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์ ➡️ โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก ‼️ การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร ⛔ โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก ‼️ การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ ‼️ การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ ⛔ เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด ‼️ แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่ ⛔ ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • MSI เปิดตัวเครื่องเกมพกพา Claw A8 พร้อมแล็ปท็อปเกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2025

    MSI เปิดตัวเครื่องเกมพกพา Claw A8 BZ2EM ที่ใช้ชิป AMD Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ MSI ใช้ชิป AMD ในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ยังเปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่งรุ่นใหม่ในซีรีส์ Crosshair และ Cyborg

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ MSI Claw A8 และแล็ปท็อปเกมมิ่งใหม่
    Claw A8 ใช้ชิป AMD Ryzen Z2 Extreme พร้อมกราฟิก Radeon แบบบูรณาการ
    - หน้าจอ 8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200, 120Hz พร้อม VRR

    ตัวเครื่องมีดีไซน์ใหม่ พร้อมจอยสติ๊ก Hall Effect ที่ช่วยลดปัญหา Stick Drift
    - ปุ่ม LT และ RT ใช้เซ็นเซอร์ Hall Effect เช่นกัน

    แบตเตอรี่ 80 WHr เทียบเท่ากับ ROG Ally X ของ ASUS
    - คาดว่า จะช่วยให้เล่นเกมได้นานขึ้น

    มีพอร์ต USB 4 Type-C สองพอร์ต, ช่องเสียบหูฟัง และเครื่องอ่าน microSD
    - รองรับ การอัปเกรด SSD M.2 2280

    MSI เปิดตัวแล็ปท็อป Crosshair และ Cyborg รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel และ AMD
    - Crosshair 18HX AI ใช้ Intel Core Ultra 200 HX
    - Crosshair A18HX ใช้ AMD Ryzen 8000
    - Cyborg 15 และ 17 มีตัวเลือก Intel และ AMD พร้อม RTX 5060 และ 5070

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/msis-brings-amd-based-gaming-handheld-updated-mid-range-gaming-laptops-to-computex
    MSI เปิดตัวเครื่องเกมพกพา Claw A8 พร้อมแล็ปท็อปเกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2025 MSI เปิดตัวเครื่องเกมพกพา Claw A8 BZ2EM ที่ใช้ชิป AMD Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ MSI ใช้ชิป AMD ในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ยังเปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่งรุ่นใหม่ในซีรีส์ Crosshair และ Cyborg 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ MSI Claw A8 และแล็ปท็อปเกมมิ่งใหม่ ✅ Claw A8 ใช้ชิป AMD Ryzen Z2 Extreme พร้อมกราฟิก Radeon แบบบูรณาการ - หน้าจอ 8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200, 120Hz พร้อม VRR ✅ ตัวเครื่องมีดีไซน์ใหม่ พร้อมจอยสติ๊ก Hall Effect ที่ช่วยลดปัญหา Stick Drift - ปุ่ม LT และ RT ใช้เซ็นเซอร์ Hall Effect เช่นกัน ✅ แบตเตอรี่ 80 WHr เทียบเท่ากับ ROG Ally X ของ ASUS - คาดว่า จะช่วยให้เล่นเกมได้นานขึ้น ✅ มีพอร์ต USB 4 Type-C สองพอร์ต, ช่องเสียบหูฟัง และเครื่องอ่าน microSD - รองรับ การอัปเกรด SSD M.2 2280 ✅ MSI เปิดตัวแล็ปท็อป Crosshair และ Cyborg รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel และ AMD - Crosshair 18HX AI ใช้ Intel Core Ultra 200 HX - Crosshair A18HX ใช้ AMD Ryzen 8000 - Cyborg 15 และ 17 มีตัวเลือก Intel และ AMD พร้อม RTX 5060 และ 5070 https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/msis-brings-amd-based-gaming-handheld-updated-mid-range-gaming-laptops-to-computex
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sony WH-1000XM6: หูฟังตัดเสียงรบกวนระดับเรือธงที่พัฒนาไปอีกขั้น

    Sony ได้เปิดตัว WH-1000XM6 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของหูฟังตัดเสียงรบกวนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการปรับปรุงทั้งด้านเสียง, การตัดเสียงรบกวน และการออกแบบให้พับเก็บได้อีกครั้ง

    Sony WH-1000XM6 มีการปรับปรุงด้านเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน
    - ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายที่ดีที่สุดในตลาด

    ดีไซน์พับเก็บได้กลับมาอีกครั้ง
    - ทำให้ พกพาสะดวกขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า

    สามารถชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างใช้งานได้
    - เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องหยุดชาร์จ

    รองรับการเปลี่ยน earpads ได้
    - เพิ่มความสะดวกในการ บำรุงรักษาและยืดอายุการใช้งานของหูฟัง

    แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมง
    - ทำให้ สามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ

    https://www.techspot.com/products/headphones/sony-wh-1000xm6.308500/
    Sony WH-1000XM6: หูฟังตัดเสียงรบกวนระดับเรือธงที่พัฒนาไปอีกขั้น Sony ได้เปิดตัว WH-1000XM6 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของหูฟังตัดเสียงรบกวนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการปรับปรุงทั้งด้านเสียง, การตัดเสียงรบกวน และการออกแบบให้พับเก็บได้อีกครั้ง ✅ Sony WH-1000XM6 มีการปรับปรุงด้านเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน - ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายที่ดีที่สุดในตลาด ✅ ดีไซน์พับเก็บได้กลับมาอีกครั้ง - ทำให้ พกพาสะดวกขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ✅ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างใช้งานได้ - เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องหยุดชาร์จ ✅ รองรับการเปลี่ยน earpads ได้ - เพิ่มความสะดวกในการ บำรุงรักษาและยืดอายุการใช้งานของหูฟัง ✅ แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมง - ทำให้ สามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ https://www.techspot.com/products/headphones/sony-wh-1000xm6.308500/
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sony WH-1000XM6
    Sony WH-1000XM6 reviews, pros and cons. Liked: Improved sound Class-leading noise cancellation Disliked: Price increase over previous model
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sony Xperia 1 VII: สมาร์ทโฟนเรือธงที่เน้น AI และกล้องระดับโปร

    Sony ได้เปิดตัว Xperia 1 VII ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่มาพร้อมกับ การอัปเกรดด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยเน้นไปที่ เทคโนโลยี AI และกล้องระดับมืออาชีพ Xperia 1 VII ใช้ Snapdragon 8 Elite, RAM 12GB, และพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB

    Sony Xperia 1 VII มาพร้อมกับกล้อง Ultra-Wide ใหม่
    - ใช้เซ็นเซอร์ 48MP ขนาด 1/1.56 นิ้ว ซึ่งใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อนที่มี 12MP ขนาด 1/2.5 นิ้ว

    Sony อ้างว่ากล้อง Ultra-Wide สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้เทียบเท่ากล้อง Full-Frame
    - แม้ว่าเซ็นเซอร์จะใหญ่ขึ้น แต่ ข้ออ้างนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการถ่ายภาพ

    ยังคงมีปุ่มชัตเตอร์แบบกดครึ่งเพื่อโฟกัส
    - เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า เพื่อให้การถ่ายภาพมีความแม่นยำมากขึ้น

    Sony Xperia 1 VII เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่ยังคงมีช่องเสียบหูฟัง
    - ใช้เทคโนโลยีจาก Walkman เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงแบบมีสาย

    เพิ่มเซ็นเซอร์วัดแสงที่ด้านหลังเพื่อช่วยปรับความสว่างและสีของหน้าจอ
    - ทำงานร่วมกับ เทคโนโลยี Bravia เพื่อให้การแสดงผลแม่นยำขึ้น

    เปิดตัว Xperia Intelligence ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือ AI สำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอ
    - รวมถึง AI Camera Work ที่ช่วยให้วิดีโอมีความนิ่ง และ AI Auto Framing ที่ช่วยจัดองค์ประกอบภาพ

    มี Google Gemini ติดตั้งมาพร้อมกับฟีเจอร์ Circle to Search
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้นผ่านการแตะหน้าจอ

    วางจำหน่ายในสามสี: Moss Green, Slate Black และ Orchid Purple
    - ราคา £1,399 ในสหราชอาณาจักร และยังไม่มีการวางจำหน่ายในสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/phones/sony-xperia-phones/the-new-sony-xperia-1-vii-brings-ai-and-camera-upgrades-to-the-photo-focused-flagship-phone
    Sony Xperia 1 VII: สมาร์ทโฟนเรือธงที่เน้น AI และกล้องระดับโปร Sony ได้เปิดตัว Xperia 1 VII ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่มาพร้อมกับ การอัปเกรดด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยเน้นไปที่ เทคโนโลยี AI และกล้องระดับมืออาชีพ Xperia 1 VII ใช้ Snapdragon 8 Elite, RAM 12GB, และพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB ✅ Sony Xperia 1 VII มาพร้อมกับกล้อง Ultra-Wide ใหม่ - ใช้เซ็นเซอร์ 48MP ขนาด 1/1.56 นิ้ว ซึ่งใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อนที่มี 12MP ขนาด 1/2.5 นิ้ว ✅ Sony อ้างว่ากล้อง Ultra-Wide สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้เทียบเท่ากล้อง Full-Frame - แม้ว่าเซ็นเซอร์จะใหญ่ขึ้น แต่ ข้ออ้างนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการถ่ายภาพ ✅ ยังคงมีปุ่มชัตเตอร์แบบกดครึ่งเพื่อโฟกัส - เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า เพื่อให้การถ่ายภาพมีความแม่นยำมากขึ้น ✅ Sony Xperia 1 VII เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่ยังคงมีช่องเสียบหูฟัง - ใช้เทคโนโลยีจาก Walkman เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงแบบมีสาย ✅ เพิ่มเซ็นเซอร์วัดแสงที่ด้านหลังเพื่อช่วยปรับความสว่างและสีของหน้าจอ - ทำงานร่วมกับ เทคโนโลยี Bravia เพื่อให้การแสดงผลแม่นยำขึ้น ✅ เปิดตัว Xperia Intelligence ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือ AI สำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอ - รวมถึง AI Camera Work ที่ช่วยให้วิดีโอมีความนิ่ง และ AI Auto Framing ที่ช่วยจัดองค์ประกอบภาพ ✅ มี Google Gemini ติดตั้งมาพร้อมกับฟีเจอร์ Circle to Search - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้นผ่านการแตะหน้าจอ ✅ วางจำหน่ายในสามสี: Moss Green, Slate Black และ Orchid Purple - ราคา £1,399 ในสหราชอาณาจักร และยังไม่มีการวางจำหน่ายในสหรัฐฯ https://www.techradar.com/phones/sony-xperia-phones/the-new-sony-xperia-1-vii-brings-ai-and-camera-upgrades-to-the-photo-focused-flagship-phone
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • SZBOX S9: แท็บเล็ต Windows 11 Pro ที่มีแบตเตอรี่เล็กแต่พอร์ตเยอะเกินคาด SZBOX S9 เป็นแท็บเล็ตที่ แตกต่างจากแท็บเล็ตทั่วไป ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 7 นิ้ว และแบตเตอรี่ 3400mAh ซึ่งถือว่าเล็กมากสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของมันคือ พอร์ตเชื่อมต่อที่มากถึง 8 พอร์ต ทำให้สามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย

    แท็บเล็ตนี้ใช้ Intel N200 ซึ่งเป็น ชิป 10nm แบบ 4 คอร์ พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และมี ขาตั้งด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการใช้งานบนโต๊ะ

    SZBOX S9 ใช้ Windows 11 Pro และสามารถเปลี่ยนไปใช้ Linux ได้
    - รองรับ การใช้งานที่หลากหลายสำหรับงานธุรกิจและอุตสาหกรรม

    มีพอร์ตเชื่อมต่อมากถึง 8 พอร์ต
    - รวมถึง USB-A 3.2 จำนวน 3 พอร์ต, USB-A 2.0, USB-C 2 พอร์ต, HDMI 2.0, Gigabit Ethernet และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

    ใช้ Intel N200 พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB
    - รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และการทำงานแบบมัลติทาสก์

    แบตเตอรี่ 3400mAh ออกแบบมาสำหรับการใช้งานระยะสั้นหรือการทำงานขณะเสียบปลั๊ก
    - ไม่เหมาะสำหรับ การใช้งานต่อเนื่องโดยไม่เสียบชาร์จ

    รองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย
    - ทำให้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริมได้อย่างรวดเร็ว

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-windows-tablet-youll-see-today-s9-has-a-tiny-battery-but-also-windows-11-pro-and-eight-yes-8-ports
    SZBOX S9: แท็บเล็ต Windows 11 Pro ที่มีแบตเตอรี่เล็กแต่พอร์ตเยอะเกินคาด SZBOX S9 เป็นแท็บเล็ตที่ แตกต่างจากแท็บเล็ตทั่วไป ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 7 นิ้ว และแบตเตอรี่ 3400mAh ซึ่งถือว่าเล็กมากสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของมันคือ พอร์ตเชื่อมต่อที่มากถึง 8 พอร์ต ทำให้สามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย แท็บเล็ตนี้ใช้ Intel N200 ซึ่งเป็น ชิป 10nm แบบ 4 คอร์ พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และมี ขาตั้งด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการใช้งานบนโต๊ะ ✅ SZBOX S9 ใช้ Windows 11 Pro และสามารถเปลี่ยนไปใช้ Linux ได้ - รองรับ การใช้งานที่หลากหลายสำหรับงานธุรกิจและอุตสาหกรรม ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อมากถึง 8 พอร์ต - รวมถึง USB-A 3.2 จำนวน 3 พอร์ต, USB-A 2.0, USB-C 2 พอร์ต, HDMI 2.0, Gigabit Ethernet และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ✅ ใช้ Intel N200 พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB - รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และการทำงานแบบมัลติทาสก์ ✅ แบตเตอรี่ 3400mAh ออกแบบมาสำหรับการใช้งานระยะสั้นหรือการทำงานขณะเสียบปลั๊ก - ไม่เหมาะสำหรับ การใช้งานต่อเนื่องโดยไม่เสียบชาร์จ ✅ รองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย - ทำให้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริมได้อย่างรวดเร็ว https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-windows-tablet-youll-see-today-s9-has-a-tiny-battery-but-also-windows-11-pro-and-eight-yes-8-ports
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung เข้าซื้อกิจการ Bowers & Wilkins, Denon, Marantz ด้วยมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ Samsung และบริษัทในเครือ Harman International ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าซื้อ ธุรกิจเครื่องเสียงของ Masimo Corporation ซึ่งรวมถึงแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, Polk Audio และ Definitive Technology

    การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็น ก้าวสำคัญของ Samsung ในตลาดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม โดยบริษัทคาดว่า ตลาดเครื่องเสียงทั่วโลกจะเติบโตเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029

    Samsung และ Harman International เข้าซื้อธุรกิจเครื่องเสียงของ Masimo Corporation
    - รวมถึงแบรนด์ Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, Polk Audio และ Definitive Technology

    การเข้าซื้อกิจการช่วยให้ Samsung ขยายตลาดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม
    - คาดว่าตลาดเครื่องเสียงทั่วโลกจะ เติบโตเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029

    Harman International เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอยู่แล้ว
    - เช่น JBL, Harman Kardon, AKG, Arcam, Mark Levinson และ Revel

    Samsung วางแผนรวมเทคโนโลยีจากแบรนด์เหล่านี้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน
    - เช่น สมาร์ทโฟน, ทีวี, ซาวด์บาร์ และหูฟังไร้สาย

    Masimo Corporation จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์
    - หลังจากแพ้คดีเกี่ยวกับเทคโนโลยีวัดออกซิเจนใน Apple Watch

    https://www.techspot.com/news/107850-samsung-acquires-bowers-wilkins-denon-marantz-350m-audio.html
    Samsung เข้าซื้อกิจการ Bowers & Wilkins, Denon, Marantz ด้วยมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ Samsung และบริษัทในเครือ Harman International ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าซื้อ ธุรกิจเครื่องเสียงของ Masimo Corporation ซึ่งรวมถึงแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, Polk Audio และ Definitive Technology การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็น ก้าวสำคัญของ Samsung ในตลาดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม โดยบริษัทคาดว่า ตลาดเครื่องเสียงทั่วโลกจะเติบโตเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 ✅ Samsung และ Harman International เข้าซื้อธุรกิจเครื่องเสียงของ Masimo Corporation - รวมถึงแบรนด์ Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, Polk Audio และ Definitive Technology ✅ การเข้าซื้อกิจการช่วยให้ Samsung ขยายตลาดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม - คาดว่าตลาดเครื่องเสียงทั่วโลกจะ เติบโตเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 ✅ Harman International เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอยู่แล้ว - เช่น JBL, Harman Kardon, AKG, Arcam, Mark Levinson และ Revel ✅ Samsung วางแผนรวมเทคโนโลยีจากแบรนด์เหล่านี้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของตน - เช่น สมาร์ทโฟน, ทีวี, ซาวด์บาร์ และหูฟังไร้สาย ✅ Masimo Corporation จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ - หลังจากแพ้คดีเกี่ยวกับเทคโนโลยีวัดออกซิเจนใน Apple Watch https://www.techspot.com/news/107850-samsung-acquires-bowers-wilkins-denon-marantz-350m-audio.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Samsung acquires Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, in $350M audio deal
    This move supercharges Samsung's ambitions in the premium audio space. Harman already owns a stable of respected audio brands, including JBL, Harman Kardon, AKG, Arcam, Mark Levinson,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • OneChipBook-12 เป็น ชุดพัฒนา FPGA แบบพกพา ที่ออกแบบมาเพื่อ นักพัฒนาฮาร์ดแวร์และผู้ที่สนใจคอมพิวเตอร์ย้อนยุค โดยมี หน้าจอในตัวและคีย์บอร์ดแบบกลไก

    อุปกรณ์นี้ใช้ ชิป Altera Cyclone EP1C12Q240 ซึ่งมี 12,000 logic elements และ RAM 240kbits พร้อม SDRAM 32MB และช่องใส่ SD Card รองรับ FAT16 ทำให้เหมาะสำหรับ

    OneChipBook-12 เป็นชุดพัฒนา FPGA แบบพกพา
    - มี หน้าจอในตัวและคีย์บอร์ดแบบกลไก
    - ออกแบบมาเพื่อ นักพัฒนาฮาร์ดแวร์และผู้ที่สนใจคอมพิวเตอร์ย้อนยุค

    ใช้ชิป Altera Cyclone EP1C12Q240
    - มี 12,000 logic elements และ RAM 240kbits
    - รองรับ SDRAM 32MB และช่องใส่ SD Card (FAT16)

    มีพอร์ต I/O หลากหลาย
    - รองรับ PS/2, DB9 joystick, USB Type-A, VGA, S-Video และ composite video
    - มี ลำโพงสเตอริโอ, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มปรับระดับเสียง

    สามารถซื้อได้ผ่าน Tindie, eBay และ AliExpress
    - ราคาอยู่ที่ $215–$235

    ไม่มีเฟิร์มแวร์ติดตั้งมาให้ แต่มี USB Blaster สำหรับโหลด FPGA cores
    - ผู้ใช้ต้อง แฟลชเฟิร์มแวร์เอง

    https://www.tomshardware.com/software/programming/the-onechipbook-12-is-a-retro-inspired-fpga-dev-kit-with-a-built-in-display-and-mechanical-keyboard
    OneChipBook-12 เป็น ชุดพัฒนา FPGA แบบพกพา ที่ออกแบบมาเพื่อ นักพัฒนาฮาร์ดแวร์และผู้ที่สนใจคอมพิวเตอร์ย้อนยุค โดยมี หน้าจอในตัวและคีย์บอร์ดแบบกลไก อุปกรณ์นี้ใช้ ชิป Altera Cyclone EP1C12Q240 ซึ่งมี 12,000 logic elements และ RAM 240kbits พร้อม SDRAM 32MB และช่องใส่ SD Card รองรับ FAT16 ทำให้เหมาะสำหรับ ✅ OneChipBook-12 เป็นชุดพัฒนา FPGA แบบพกพา - มี หน้าจอในตัวและคีย์บอร์ดแบบกลไก - ออกแบบมาเพื่อ นักพัฒนาฮาร์ดแวร์และผู้ที่สนใจคอมพิวเตอร์ย้อนยุค ✅ ใช้ชิป Altera Cyclone EP1C12Q240 - มี 12,000 logic elements และ RAM 240kbits - รองรับ SDRAM 32MB และช่องใส่ SD Card (FAT16) ✅ มีพอร์ต I/O หลากหลาย - รองรับ PS/2, DB9 joystick, USB Type-A, VGA, S-Video และ composite video - มี ลำโพงสเตอริโอ, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มปรับระดับเสียง ✅ สามารถซื้อได้ผ่าน Tindie, eBay และ AliExpress - ราคาอยู่ที่ $215–$235 ✅ ไม่มีเฟิร์มแวร์ติดตั้งมาให้ แต่มี USB Blaster สำหรับโหลด FPGA cores - ผู้ใช้ต้อง แฟลชเฟิร์มแวร์เอง https://www.tomshardware.com/software/programming/the-onechipbook-12-is-a-retro-inspired-fpga-dev-kit-with-a-built-in-display-and-mechanical-keyboard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เตรียมเปิดตัว Surface Pro 11 และ Surface Laptop 7 รุ่นใหม่ ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม โดยใช้ ชิป Snapdragon X Plus ซึ่งเป็นชิป Arm ที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ

    แม้ว่ารุ่นใหม่นี้จะไม่ใช่ เจเนอเรชันใหม่ แต่เป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เดิม โดย Surface Pro 11 จะมี รุ่น 12 นิ้ว และ Surface Laptop 7 จะมี รุ่น 13 นิ้ว ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้ PixelSense Flow LCD และมีหน่วยความจำ LPDDR5x 16GB

    Microsoft เปิดตัว Surface Pro 11 และ Surface Laptop 7 รุ่นกะทัดรัด
    - Surface Pro 11 รุ่นใหม่มี ขนาด 12 นิ้ว
    - Surface Laptop 7 รุ่นใหม่มี ขนาด 13 นิ้ว

    ใช้ชิป Snapdragon X Plus
    - มี 8 คอร์ Oryon และ NPU 45 TOPS
    - หน่วยความจำ LPDDR5x 16GB

    การออกแบบและพอร์ตเชื่อมต่อ
    - Surface Pro 11 มี 2 พอร์ต USB-C
    - Surface Laptop 7 มี USB 3.2 Type-C, USB Type-A และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

    ไม่มีอะแดปเตอร์ชาร์จแถมมาในกล่อง
    - ผู้ใช้ต้องใช้ PD-compliant charger ที่รองรับ 27W ขึ้นไป

    https://www.tomshardware.com/tablets/microsoft-surface/more-compact-arm-variants-of-microsoft-surface-pro-and-laptop-lines-leaked
    Microsoft เตรียมเปิดตัว Surface Pro 11 และ Surface Laptop 7 รุ่นใหม่ ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม โดยใช้ ชิป Snapdragon X Plus ซึ่งเป็นชิป Arm ที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ แม้ว่ารุ่นใหม่นี้จะไม่ใช่ เจเนอเรชันใหม่ แต่เป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เดิม โดย Surface Pro 11 จะมี รุ่น 12 นิ้ว และ Surface Laptop 7 จะมี รุ่น 13 นิ้ว ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้ PixelSense Flow LCD และมีหน่วยความจำ LPDDR5x 16GB ✅ Microsoft เปิดตัว Surface Pro 11 และ Surface Laptop 7 รุ่นกะทัดรัด - Surface Pro 11 รุ่นใหม่มี ขนาด 12 นิ้ว - Surface Laptop 7 รุ่นใหม่มี ขนาด 13 นิ้ว ✅ ใช้ชิป Snapdragon X Plus - มี 8 คอร์ Oryon และ NPU 45 TOPS - หน่วยความจำ LPDDR5x 16GB ✅ การออกแบบและพอร์ตเชื่อมต่อ - Surface Pro 11 มี 2 พอร์ต USB-C - Surface Laptop 7 มี USB 3.2 Type-C, USB Type-A และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ✅ ไม่มีอะแดปเตอร์ชาร์จแถมมาในกล่อง - ผู้ใช้ต้องใช้ PD-compliant charger ที่รองรับ 27W ขึ้นไป https://www.tomshardware.com/tablets/microsoft-surface/more-compact-arm-variants-of-microsoft-surface-pro-and-laptop-lines-leaked
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    More compact Arm variants of Microsoft Surface Pro and Laptop lines leaked
    These smaller Snapdragon X powered devices are expected to become official on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • Asus ได้เปิดตัว TUF Gaming T500 ซึ่งเป็นเดสก์ท็อปเกมมิ่งที่ใช้ CPU แบบโมบาย แทนที่จะเป็น CPU เดสก์ท็อปแบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดอุณหภูมิและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน

    TUF Gaming T500 ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งเป็น CPU แบบ 6+4 คอร์ พร้อม 16 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz โดย Asus อ้างว่า สามารถให้ประสิทธิภาพระดับเดสก์ท็อป แต่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่ามาก

    นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และมี VRAM 16GB รองรับการเล่นเกมที่ 1440p และ 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ใช้ CPU แบบโมบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    - ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งมี 6+4 คอร์ และ 16 เธรด
    - เร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz

    ระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
    - มี พัดลมขนาด 90mm, ฮีตซิงค์ และท่อระบายความร้อน 3 เส้น
    - ลดโอกาสที่ CPU จะเกิดการ Throttling

    รองรับ GPU ระดับสูง
    - สามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti (VRAM 16GB)
    - รองรับ DLSS สำหรับการเล่นเกมที่ 4K

    ดีไซน์และความทนทาน
    - ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก Mecha Anime
    - ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนต่อแรงกระแทกและอุณหภูมิสูง

    การเชื่อมต่อและพอร์ต
    - มี USB-C, USB-A, HDMI, Ethernet และช่องเสียบหูฟัง
    - รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.4

    https://www.techspot.com/news/107787-asus-tuf-gaming-t500-mobile-cpu-powered-desktop.html
    Asus ได้เปิดตัว TUF Gaming T500 ซึ่งเป็นเดสก์ท็อปเกมมิ่งที่ใช้ CPU แบบโมบาย แทนที่จะเป็น CPU เดสก์ท็อปแบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดอุณหภูมิและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน TUF Gaming T500 ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งเป็น CPU แบบ 6+4 คอร์ พร้อม 16 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz โดย Asus อ้างว่า สามารถให้ประสิทธิภาพระดับเดสก์ท็อป แต่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่ามาก นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และมี VRAM 16GB รองรับการเล่นเกมที่ 1440p และ 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ใช้ CPU แบบโมบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน - ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งมี 6+4 คอร์ และ 16 เธรด - เร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz ✅ ระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ - มี พัดลมขนาด 90mm, ฮีตซิงค์ และท่อระบายความร้อน 3 เส้น - ลดโอกาสที่ CPU จะเกิดการ Throttling ✅ รองรับ GPU ระดับสูง - สามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti (VRAM 16GB) - รองรับ DLSS สำหรับการเล่นเกมที่ 4K ✅ ดีไซน์และความทนทาน - ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก Mecha Anime - ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนต่อแรงกระแทกและอุณหภูมิสูง ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต - มี USB-C, USB-A, HDMI, Ethernet และช่องเสียบหูฟัง - รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.4 https://www.techspot.com/news/107787-asus-tuf-gaming-t500-mobile-cpu-powered-desktop.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The Asus TUF Gaming T500 is a mobile CPU-powered desktop for better thermals
    At the heart of the TUF Gaming T500 is up to an Intel Core i7-13620H processor. This is a 6+4 core CPU with 16 threads and boosted...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts