• เรื่อง : แผนรักกับดักหัวใจ จบเรื่อง
    เสียง : ไทย
    เรื่อง : แผนรักกับดักหัวใจ จบเรื่อง เสียง : ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • อย่าทำงานแบบหุ่นยนต์ที่ป้อน prompt แต่ทำงานแบบมนุษย์ด้วยกัน .สรุป Session พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง HOW TO EMPOWER PEOPLE IN FRAGMENTED WORLD โดยคุณเอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม Roundfinger ) ในงาน PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE 2025.🔸 พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง? .“โลกไร้ทิศทาง” ยุคสมัยนี้ เป็นยุคสมัยที่อยู่ยากมากที่สุดยุคหนึ่ง ท้าทายคนทำงานในทุกอาชีพ.เราควรตระหนักว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่ง่าย เราทุกคนที่ยังสามารถทำงานใช้ชีวิตประคองตัวเองในโลกทุกวันนี้ได้เป็นคนที่ ”เก่ง” มาก .“ความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร” คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่หลายคนรู้สึกยากที่จะตอบ มันไม่ง่ายที่เราถูกจู่โจมด้วยทุกสิ่ง แม้กายเราอยู่ที่นี่ แต่ใจเราอาจอยู่ในข่าว อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ อยู่ในกรุ๊ปที่ถูกตามงาน เราอยู่ห่างจากตัวเองมาก ขนาดคำถามง่าย ๆ อย่างเรารู้สึกอย่างไรยังตอบยาก .ในการพัฒนาคน พัฒนาองค์กร คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญ .โลกไร้ทิศทางจากการที่ทั้ง Tech การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม คุณค่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อคุณค่าที่มนุษย์ให้กับตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ลดความเร็ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย.🔸 แล้วโลกไร้ทิศทางนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?1️⃣ เรามีข้อมูลเยอะมาก แต่มีปัญญาน้อยลง : ปัญญาคือการ รู้จักตัวเอง รู้วิธีมีความสุข รู้ความหมายชีวิต รู้ถึงความจริงรู้ถึงสัจธรรม2️⃣ โลกไม่มีเป้าหมายร่วม : ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละประเทศจำเป็นต้องฟื้นฟู สงครามเย็นทำให้เกิดการแบ่งขั้ว จากนั้นก็ยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่พอมาถึงยุคนี้ เราเข้าสู่คำถามใหม่ว่า ตกลงแล้วเป้าหมายแต่ละประเทศ แต่ละคนคืออะไร? เมื่อโลกไร้เป้าหมาย ปัจเจกก็สับสน .3️⃣ ไม่มี ‘เรื่องเล่าใหญ่’ อีกต่อไป : สังคมขาดความเชื่อร่วมกัน เช่น ศาสนา ชาติ พระเจ้า ฯลฯ ถ้าเราไม่มี เรื่องเล่าใหญ่ เมื่อเราทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเหนื่อยไปเพื่ออะไร.4️⃣ พลังกำหนดอนาคตอยู่ในมือไม่กี่คน : ในโลกที่อยู่ในเงื้อมมือคนตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น big tech, big finance, big state เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ดูสิ้นเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้บ้าง? บางทีเราเลยรู้สึก lost ในการมีชีวิตอยู่.5️⃣ Speed ปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ : แต่ปฏิเสธไม่ได้นี่คือโลกที่พวกเราอยู่ .คนจึงเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่เหมาะกับโลกใบนี้” ฉันช้า แก่ เหนื่อย อยู่ผิดที่ ยอมแพ้ นำไปสู่ความหมดไฟไม่อยากทำงาน นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทำหน้าที่บริหารคน เรากำลังมุ่งหน้าไปข้างหน้าเหมือนรถที่วิ่งแบบจรวด แต่รถคันนั้นไม่ตอบคำถามว่า 'เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน' พอเราล้า ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากพัฒนาแล้ว.ดังนั้น “ทิศที่ถูก” จึงสำคัญกว่า “ความเร็ว” การตั้งต้นว่าเราจะไปทิศไหนจึงสำคัญกับการพัฒนาตน คน องค์กร.🔸จะพัฒนาคนยังไง?.การเรียนรู้ Design Thinking, Digital Mindset, Upskill, Reskill, Relearn ที่ศึกษากันอยู่นั้นพอไหม?.เราเรียนรู้ชุดความรู้หลายด้านมาก ไม่ว่าจะเป็นSkillset > learning ability Mindset > Growth Mindsetแต่เรามี Heartset หรือยัง? .🔸Heartset ชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คือสิ่งที่คุณเอ๋ อยากชวนมาเจาะลึกลงไป .ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่คนเก่งไม่พอ ไม่ใช่คนไม่อยากเก่ง แต่พอเก่งมากแล้วต้องวิ่งไล่ทุกสิ่ง คำถามคือ ฉันจะเก่งไปเพื่ออะไรดี ดังนั้นเราต้องการเข็มทิศที่ดี จะได้รู้ว่าจะไปทางไหน คุณเอ๋เลยอยากชวนคิดชวนคุยมุมนี้ว่า “ทำไมเราถึงอยากเก่ง” “ทำไมเราถึงอยากพัฒนาคน”.🔸 โลกกำลังอยู่ในยุค AI และ IA (Inner Awareness).เราต้องการ IA อย่างมาก เพราะยิ่งมันเร็ว เรายิ่งต้องเข้าใจตัวเอง AI ทำให้เราทำงานดีขึ้น แต่ IA คือตอบว่าเราทำงานดีไปทำไม และเราต้องอย่าลืมมีจิตใจที่มั่นคงยืดหยุ่น ไม่เปราะบาง ไม่งั้นการพัฒนาองค์กร คือการใช้คนแล้วทิ้ง มีคนเจ็บป่วยทางสุขภาพจิตแล้วเมื่อเขาอยู่ในระบบนี้ไม่ได้ก็ถูกปัดออก การพัฒนาคน องค์กรที่ดี ต้องรักษาคนและหัวใจคนด้วย.🔸 ทำยังไงให้ทีมรู้จักตัวเอง?.พลังที่แท้จริงเกิดจากการเข้าใจข้างใน เป็นสิ่งที่ทีมผู้บริหารองค์กรช่วยได้มากและเราควบคุมได้ คำตอบข้างใน เช่น การรักตัวเองในแบบที่เป็น ได้สร้างประโยชน์ เป็นต้น เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะเป็นคนที่ไม่เปรียบเทียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ตัดสินตัวเอง เมื่อ IA เกิดก็จะเกิดพร้อม EQ / Resilience / Creativity.แต่คนทำงานองค์กรรู้อยู่เสมอว่ามีคนประเมิน performance / KPI เราเสมอ แต่ถ้าเรา blend สิ่งเหล่านี้เข้าไปก็จะทำให้องค์กรมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น.🔸เราจะสร้าง IA ได้อย่างไร?.1️⃣ ให้สังเกตตัวเองโดยไม่ตัดสิน2️⃣ รับรู้ความรู้สึก ไม่ผลักไส3️⃣ เห็นแพทเทิร์นความคิดตัวเอง 4️⃣ ฟังร่างกาย5️⃣ มีความหมายของตัวเองที่ไม่ใช่ที่คนอื่นวางให้ .🔸 วิธีฝึกการสร้าง IA 1️⃣ สังเกตลมหายใจ2️⃣ สังเกตร่างกาย3️⃣ สังเกตอารมณ์ ความคิด4️⃣ เขียนระบายใส่กระดาษ5️⃣ ถามกัน ตอนนี้รู้สึกยังไง .🔸 หัวหน้า 2 คน เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ - นิ้วกลม.👉 หัวหน้าคนแรก คนที่เข้าไปคุยด้วยแล้วตัวลีบตัวสั่น👉 หัวหน้าคนที่สอง คนที่ป้วนเปี้ยนคุยงานไร้สาระได้ อธิบายไอเดียโง่ ๆ ได้ อย่างเช่นตอนเสนอไอเดีย พอหัวหน้าฟังแล้วช่วย develop งานได้ดีน้อยกว่าที่คุณเอ๋คิด คุณเอ๋เลยตระหนักได้ว่า เมื่อหัวหน้าโง่ได้ เราก็โง่กว่าหัวหน้าได้ วิธีการทำงานแบบนี้ทำให้ทีมคุณนิ้วกลมทำงานชนะได้หลายรางวัลมาก ตรงข้ามกับแบบแรกเพราะ ความโง่นั้นนำมาซึ่ง “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะเรากล้าคิดมันออกมา.องค์กรสามารถสร้างความปลอดภัยต่อการเป็นมนุษย์ได้ ไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองจะต้อง Perfect เผยความรู้ได้โดยไม่ต้องปิดบัง โลกที่หมุนไวผลักภาระมาให้มนุษย์จนเจ็บป่วย .ให้รางวัลคนที่รองรับความรู้สึกเพื่อนร่วมงาน การที่เขาหายไป ทีมอาจ collapse ได้ มองเห็นคนที่ชุบชูใจคนอื่น ไม่ใช่วัดแค่ประสิทธิภาพ แต่วัดสภาพจิตใจด้วย และนอกจาก performance ก็ต้องวัดความมั่นคงทางจิตใจด้วย เพราะถ้าทุกคนแกว่งหมดองค์กรก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงผู้นำที่ก็ต้องกล้าแสดงความรู้สึกออกมา .ปลอดภัย ช้าบางจังหวะ ฟังลึก ตั้งคำถามสะท้อนกัน ผู้นำเปลือยใจ “ทำงานในบรรยากาศของมนุษย์”.🔸 เราเกิดมาทำไม?.มนุษย์เราทำแค่ 3 เรื่องนี้ What How Why คุณเอ๋อยากให้เรามาตอบ How ให้ได้ อย่างคุณเอ๋ก็พบว่า How ของตัวเองคือการสื่อสารด้วยตัวหนังสือ บางคนอาจมีความสามารถต่างไป เราแค่เป็นเรา ส่งเสริมให้คนในทีมเป็นเขา และเชิดชูใน How ของเขา .เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม และรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร .ในโลก AI เราต้องการ IA : Inner Awareness is the NEW RICH ความรวยปัญญา ทำงานเพื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้จักตัวเอง ความหมายชีวิต และสัจธรรม ยอมรับความจริงข้อนี้แล้วคนจะอยากทำงานกับองค์กรที่ไม่ใช่ให้แค่เงินเดือน แต่ทำให้เขาได้รู้ตัวเองและรวยปัญญา รวยปัญญา = รวยความสุข..#Skooldio #PPC2025 #PEOPLEPERFORMANCEConference2025 #CREATIVETALK #QGEN #นิ้วกลม #AI #Selfawareness #selfdevelopment #พัฒนาตัวเอง #mentalhealth #books
    อย่าทำงานแบบหุ่นยนต์ที่ป้อน prompt แต่ทำงานแบบมนุษย์ด้วยกัน .สรุป Session พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง HOW TO EMPOWER PEOPLE IN FRAGMENTED WORLD โดยคุณเอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม Roundfinger ) ในงาน PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE 2025.🔸 พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง? .“โลกไร้ทิศทาง” ยุคสมัยนี้ เป็นยุคสมัยที่อยู่ยากมากที่สุดยุคหนึ่ง ท้าทายคนทำงานในทุกอาชีพ.เราควรตระหนักว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่ง่าย เราทุกคนที่ยังสามารถทำงานใช้ชีวิตประคองตัวเองในโลกทุกวันนี้ได้เป็นคนที่ ”เก่ง” มาก .“ความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร” คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่หลายคนรู้สึกยากที่จะตอบ มันไม่ง่ายที่เราถูกจู่โจมด้วยทุกสิ่ง แม้กายเราอยู่ที่นี่ แต่ใจเราอาจอยู่ในข่าว อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ อยู่ในกรุ๊ปที่ถูกตามงาน เราอยู่ห่างจากตัวเองมาก ขนาดคำถามง่าย ๆ อย่างเรารู้สึกอย่างไรยังตอบยาก .ในการพัฒนาคน พัฒนาองค์กร คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญ .โลกไร้ทิศทางจากการที่ทั้ง Tech การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม คุณค่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อคุณค่าที่มนุษย์ให้กับตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ลดความเร็ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย.🔸 แล้วโลกไร้ทิศทางนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?1️⃣ เรามีข้อมูลเยอะมาก แต่มีปัญญาน้อยลง : ปัญญาคือการ รู้จักตัวเอง รู้วิธีมีความสุข รู้ความหมายชีวิต รู้ถึงความจริงรู้ถึงสัจธรรม2️⃣ โลกไม่มีเป้าหมายร่วม : ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละประเทศจำเป็นต้องฟื้นฟู สงครามเย็นทำให้เกิดการแบ่งขั้ว จากนั้นก็ยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่พอมาถึงยุคนี้ เราเข้าสู่คำถามใหม่ว่า ตกลงแล้วเป้าหมายแต่ละประเทศ แต่ละคนคืออะไร? เมื่อโลกไร้เป้าหมาย ปัจเจกก็สับสน .3️⃣ ไม่มี ‘เรื่องเล่าใหญ่’ อีกต่อไป : สังคมขาดความเชื่อร่วมกัน เช่น ศาสนา ชาติ พระเจ้า ฯลฯ ถ้าเราไม่มี เรื่องเล่าใหญ่ เมื่อเราทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเหนื่อยไปเพื่ออะไร.4️⃣ พลังกำหนดอนาคตอยู่ในมือไม่กี่คน : ในโลกที่อยู่ในเงื้อมมือคนตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น big tech, big finance, big state เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ดูสิ้นเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้บ้าง? บางทีเราเลยรู้สึก lost ในการมีชีวิตอยู่.5️⃣ Speed ปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ : แต่ปฏิเสธไม่ได้นี่คือโลกที่พวกเราอยู่ .คนจึงเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่เหมาะกับโลกใบนี้” ฉันช้า แก่ เหนื่อย อยู่ผิดที่ ยอมแพ้ นำไปสู่ความหมดไฟไม่อยากทำงาน นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทำหน้าที่บริหารคน เรากำลังมุ่งหน้าไปข้างหน้าเหมือนรถที่วิ่งแบบจรวด แต่รถคันนั้นไม่ตอบคำถามว่า 'เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน' พอเราล้า ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากพัฒนาแล้ว.ดังนั้น “ทิศที่ถูก” จึงสำคัญกว่า “ความเร็ว” การตั้งต้นว่าเราจะไปทิศไหนจึงสำคัญกับการพัฒนาตน คน องค์กร.🔸จะพัฒนาคนยังไง?.การเรียนรู้ Design Thinking, Digital Mindset, Upskill, Reskill, Relearn ที่ศึกษากันอยู่นั้นพอไหม?.เราเรียนรู้ชุดความรู้หลายด้านมาก ไม่ว่าจะเป็นSkillset > learning ability Mindset > Growth Mindsetแต่เรามี Heartset หรือยัง? .🔸Heartset ชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คือสิ่งที่คุณเอ๋ อยากชวนมาเจาะลึกลงไป .ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่คนเก่งไม่พอ ไม่ใช่คนไม่อยากเก่ง แต่พอเก่งมากแล้วต้องวิ่งไล่ทุกสิ่ง คำถามคือ ฉันจะเก่งไปเพื่ออะไรดี ดังนั้นเราต้องการเข็มทิศที่ดี จะได้รู้ว่าจะไปทางไหน คุณเอ๋เลยอยากชวนคิดชวนคุยมุมนี้ว่า “ทำไมเราถึงอยากเก่ง” “ทำไมเราถึงอยากพัฒนาคน”.🔸 โลกกำลังอยู่ในยุค AI และ IA (Inner Awareness).เราต้องการ IA อย่างมาก เพราะยิ่งมันเร็ว เรายิ่งต้องเข้าใจตัวเอง AI ทำให้เราทำงานดีขึ้น แต่ IA คือตอบว่าเราทำงานดีไปทำไม และเราต้องอย่าลืมมีจิตใจที่มั่นคงยืดหยุ่น ไม่เปราะบาง ไม่งั้นการพัฒนาองค์กร คือการใช้คนแล้วทิ้ง มีคนเจ็บป่วยทางสุขภาพจิตแล้วเมื่อเขาอยู่ในระบบนี้ไม่ได้ก็ถูกปัดออก การพัฒนาคน องค์กรที่ดี ต้องรักษาคนและหัวใจคนด้วย.🔸 ทำยังไงให้ทีมรู้จักตัวเอง?.พลังที่แท้จริงเกิดจากการเข้าใจข้างใน เป็นสิ่งที่ทีมผู้บริหารองค์กรช่วยได้มากและเราควบคุมได้ คำตอบข้างใน เช่น การรักตัวเองในแบบที่เป็น ได้สร้างประโยชน์ เป็นต้น เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะเป็นคนที่ไม่เปรียบเทียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ตัดสินตัวเอง เมื่อ IA เกิดก็จะเกิดพร้อม EQ / Resilience / Creativity.แต่คนทำงานองค์กรรู้อยู่เสมอว่ามีคนประเมิน performance / KPI เราเสมอ แต่ถ้าเรา blend สิ่งเหล่านี้เข้าไปก็จะทำให้องค์กรมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น.🔸เราจะสร้าง IA ได้อย่างไร?.1️⃣ ให้สังเกตตัวเองโดยไม่ตัดสิน2️⃣ รับรู้ความรู้สึก ไม่ผลักไส3️⃣ เห็นแพทเทิร์นความคิดตัวเอง 4️⃣ ฟังร่างกาย5️⃣ มีความหมายของตัวเองที่ไม่ใช่ที่คนอื่นวางให้ .🔸 วิธีฝึกการสร้าง IA 1️⃣ สังเกตลมหายใจ2️⃣ สังเกตร่างกาย3️⃣ สังเกตอารมณ์ ความคิด4️⃣ เขียนระบายใส่กระดาษ5️⃣ ถามกัน ตอนนี้รู้สึกยังไง .🔸 หัวหน้า 2 คน เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ - นิ้วกลม.👉 หัวหน้าคนแรก คนที่เข้าไปคุยด้วยแล้วตัวลีบตัวสั่น👉 หัวหน้าคนที่สอง คนที่ป้วนเปี้ยนคุยงานไร้สาระได้ อธิบายไอเดียโง่ ๆ ได้ อย่างเช่นตอนเสนอไอเดีย พอหัวหน้าฟังแล้วช่วย develop งานได้ดีน้อยกว่าที่คุณเอ๋คิด คุณเอ๋เลยตระหนักได้ว่า เมื่อหัวหน้าโง่ได้ เราก็โง่กว่าหัวหน้าได้ วิธีการทำงานแบบนี้ทำให้ทีมคุณนิ้วกลมทำงานชนะได้หลายรางวัลมาก ตรงข้ามกับแบบแรกเพราะ ความโง่นั้นนำมาซึ่ง “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะเรากล้าคิดมันออกมา.องค์กรสามารถสร้างความปลอดภัยต่อการเป็นมนุษย์ได้ ไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองจะต้อง Perfect เผยความรู้ได้โดยไม่ต้องปิดบัง โลกที่หมุนไวผลักภาระมาให้มนุษย์จนเจ็บป่วย .ให้รางวัลคนที่รองรับความรู้สึกเพื่อนร่วมงาน การที่เขาหายไป ทีมอาจ collapse ได้ มองเห็นคนที่ชุบชูใจคนอื่น ไม่ใช่วัดแค่ประสิทธิภาพ แต่วัดสภาพจิตใจด้วย และนอกจาก performance ก็ต้องวัดความมั่นคงทางจิตใจด้วย เพราะถ้าทุกคนแกว่งหมดองค์กรก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงผู้นำที่ก็ต้องกล้าแสดงความรู้สึกออกมา .ปลอดภัย ช้าบางจังหวะ ฟังลึก ตั้งคำถามสะท้อนกัน ผู้นำเปลือยใจ “ทำงานในบรรยากาศของมนุษย์”.🔸 เราเกิดมาทำไม?.มนุษย์เราทำแค่ 3 เรื่องนี้ What How Why คุณเอ๋อยากให้เรามาตอบ How ให้ได้ อย่างคุณเอ๋ก็พบว่า How ของตัวเองคือการสื่อสารด้วยตัวหนังสือ บางคนอาจมีความสามารถต่างไป เราแค่เป็นเรา ส่งเสริมให้คนในทีมเป็นเขา และเชิดชูใน How ของเขา .เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม และรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร .ในโลก AI เราต้องการ IA : Inner Awareness is the NEW RICH ความรวยปัญญา ทำงานเพื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้จักตัวเอง ความหมายชีวิต และสัจธรรม ยอมรับความจริงข้อนี้แล้วคนจะอยากทำงานกับองค์กรที่ไม่ใช่ให้แค่เงินเดือน แต่ทำให้เขาได้รู้ตัวเองและรวยปัญญา รวยปัญญา = รวยความสุข..#Skooldio #PPC2025 #PEOPLEPERFORMANCEConference2025 #CREATIVETALK #QGEN #นิ้วกลม #AI #Selfawareness #selfdevelopment #พัฒนาตัวเอง #mentalhealth #books
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังผลักดันมาตรฐานความปลอดภัยใหม่สำหรับการเข้ารหัส HTTPS โดยมุ่งเน้นไปที่ TLS Certificates ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต ล่าสุดได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ Multi-Perspective Issuance Corroboration (MPIC) และระบบตรวจสอบอัตโนมัติ Linting เพื่อป้องกัน การออกใบรับรองปลอมและจุดอ่อนในการเข้ารหัสข้อมูล

    ✅ MPIC: เพิ่มการตรวจสอบก่อนออกใบรับรอง
    - MPIC ช่วยให้ระบบตรวจสอบ ความถูกต้องของโดเมน ก่อนออก TLS Certificate
    - ลดความเสี่ยงที่แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Domain Control Validation เพื่อขอใบรับรองปลอม

    ✅ Linting: ตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองก่อนใช้งาน
    - Linting ช่วยวิเคราะห์ X.509 Certificates เพื่อป้องกันปัญหาความเข้ากันไม่ได้
    - ตรวจจับ การเข้ารหัสที่ล้าสมัยและไม่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    ✅ Google ได้รับการสนับสนุนจาก CA/Browser Forum
    - องค์กรที่กำหนดมาตรฐาน TLS Certificates ลงมติรับรอง MPIC และ Linting
    - Linting กลายเป็นมาตรฐานบังคับสำหรับใบรับรองที่ออกตั้งแต่ 15 มีนาคม 2025

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเว็บ
    - Certificate Authorities (CAs) ต้องปรับระบบให้รองรับ MPIC และ Linting
    - ระบบเข้ารหัสเว็บจะมีความ น่าเชื่อถือมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากใบรับรองปลอม

    https://www.techspot.com/news/107378-google-promotes-new-security-requirements-https-encryption-providers.html
    Google กำลังผลักดันมาตรฐานความปลอดภัยใหม่สำหรับการเข้ารหัส HTTPS โดยมุ่งเน้นไปที่ TLS Certificates ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต ล่าสุดได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ Multi-Perspective Issuance Corroboration (MPIC) และระบบตรวจสอบอัตโนมัติ Linting เพื่อป้องกัน การออกใบรับรองปลอมและจุดอ่อนในการเข้ารหัสข้อมูล ✅ MPIC: เพิ่มการตรวจสอบก่อนออกใบรับรอง - MPIC ช่วยให้ระบบตรวจสอบ ความถูกต้องของโดเมน ก่อนออก TLS Certificate - ลดความเสี่ยงที่แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Domain Control Validation เพื่อขอใบรับรองปลอม ✅ Linting: ตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองก่อนใช้งาน - Linting ช่วยวิเคราะห์ X.509 Certificates เพื่อป้องกันปัญหาความเข้ากันไม่ได้ - ตรวจจับ การเข้ารหัสที่ล้าสมัยและไม่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ Google ได้รับการสนับสนุนจาก CA/Browser Forum - องค์กรที่กำหนดมาตรฐาน TLS Certificates ลงมติรับรอง MPIC และ Linting - Linting กลายเป็นมาตรฐานบังคับสำหรับใบรับรองที่ออกตั้งแต่ 15 มีนาคม 2025 ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเว็บ - Certificate Authorities (CAs) ต้องปรับระบบให้รองรับ MPIC และ Linting - ระบบเข้ารหัสเว็บจะมีความ น่าเชื่อถือมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากใบรับรองปลอม https://www.techspot.com/news/107378-google-promotes-new-security-requirements-https-encryption-providers.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google promotes new security requirements for HTTPS encryption providers
    Google recently announced two major initiatives aimed at enhancing web security, with the ultimate goal of making encryption and certificate management more reliable and resilient against cybercrime....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Garmin ประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ fēnix® ของบริษัทกำลังถูกใช้ในภารกิจ Fram2 ซึ่งเป็นการบินสู่อวกาศโดยลูกเรือพลเรือนเต็มรูปแบบที่นำโดย SpaceX ภารกิจนี้เป็นครั้งแรกที่สำรวจขั้วโลกของโลกจากวงโคจร และเน้นศึกษาผลกระทบของอวกาศต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์

    การติดตามข้อมูลด้านสุขภาพในสภาวะอวกาศ
    - สมาร์ทวอทช์ fēnix® กำลังติดตามค่าต่าง ๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox) และ ระดับพลังงานร่างกาย (Body Battery™)
    - ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าร่างกายมนุษย์ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในอวกาศ

    ความท้าทายของอุปกรณ์สวมใส่ในอวกาศ
    - Garmin อ้างว่าสมาร์ทวอทช์สามารถทำงานได้ตลอดภารกิจบน แบตเตอรี่เพียงหนึ่งก้อน
    - อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่าอุปกรณ์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้สภาวะสุดขั้วหรือไม่

    การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพอวกาศ
    - ภารกิจ Fram2 ได้รับการสนับสนุนจาก Translational Research Institute for Space Health (TRISH) ของมหาวิทยาลัย Baylor ซึ่งมุ่งเน้นการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่อวกาศในอนาคต

    ภารกิจสำคัญของ Fram2
    - นอกเหนือจากการศึกษาด้านสุขภาพ ทีมงานจะ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้วโลกของโลก ซึ่งอาจมีความสำคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

    https://www.neowin.net/news/garmin-tag-teams-with-elon-musks-spacex-to-study-crew-on-fram2-with-its-watches/
    Garmin ประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ fēnix® ของบริษัทกำลังถูกใช้ในภารกิจ Fram2 ซึ่งเป็นการบินสู่อวกาศโดยลูกเรือพลเรือนเต็มรูปแบบที่นำโดย SpaceX ภารกิจนี้เป็นครั้งแรกที่สำรวจขั้วโลกของโลกจากวงโคจร และเน้นศึกษาผลกระทบของอวกาศต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ การติดตามข้อมูลด้านสุขภาพในสภาวะอวกาศ - สมาร์ทวอทช์ fēnix® กำลังติดตามค่าต่าง ๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox) และ ระดับพลังงานร่างกาย (Body Battery™) - ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าร่างกายมนุษย์ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในอวกาศ ความท้าทายของอุปกรณ์สวมใส่ในอวกาศ - Garmin อ้างว่าสมาร์ทวอทช์สามารถทำงานได้ตลอดภารกิจบน แบตเตอรี่เพียงหนึ่งก้อน - อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่าอุปกรณ์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้สภาวะสุดขั้วหรือไม่ การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพอวกาศ - ภารกิจ Fram2 ได้รับการสนับสนุนจาก Translational Research Institute for Space Health (TRISH) ของมหาวิทยาลัย Baylor ซึ่งมุ่งเน้นการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่อวกาศในอนาคต ภารกิจสำคัญของ Fram2 - นอกเหนือจากการศึกษาด้านสุขภาพ ทีมงานจะ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้วโลกของโลก ซึ่งอาจมีความสำคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ https://www.neowin.net/news/garmin-tag-teams-with-elon-musks-spacex-to-study-crew-on-fram2-with-its-watches/
    WWW.NEOWIN.NET
    Garmin tag teams with Elon Musk's SpaceX to study crew on Fram2 with its watches
    Garmin is using its watches to help scientists understand human health in space better. It is on board with the crew on SpaceX's Fram2 mission.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดินชมสวน แล้วเจอดอกมะลิ ออกมาหลายช่อ เป็นอะไรที่ชุ่มชื่นหัวใจของคนให้น้ำ ให้ปุ๋ย 🥰🥰

    #มะลิฉัตรบัว
    เดินชมสวน แล้วเจอดอกมะลิ ออกมาหลายช่อ เป็นอะไรที่ชุ่มชื่นหัวใจของคนให้น้ำ ให้ปุ๋ย 🥰🥰 #มะลิฉัตรบัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29-03-68/01 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP3 (ไม่ต้องถาม..ซัดเลยล่ะกัน)

    มรึงโดนแน่ YELLOW STONE ไอ้สัส! อย่าคิดว่าเค้าไม่รู้? สะกายเหรอ? รอยเปลือกแยกอาเซียนเหรอ? มรึงตั้งใจจะล่ออาเซียนเพื่อสกัดจีนผนวก ล่อพม่า หวังกระทบทั้งอาเซียน หลายครั้งที่มรึงเลือกลงมือก่อนเมษายน เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว เม็ดเงินเข้าอาเซียนถล่มทลาย ทำลายเศรษฐกิจทั้งอาเซียน เพื่อดึงโลกเข้าสู่สงคราม เหตุผลง่ายๆ คือ มรึงแพ้ยับในสมรภูมิจริง ทั้งยูเครน แอฟริกา และเยรูซาเล็ม มรึงแพ้ยับทั้งสงครามการค้า เพราะโลกหันไปเข้า BRICS กันหมด จับมือจีน รัสเซีย ผู้นำโลกใหม่ มรึงแพ้ยับทั้งเวทีโลก และความเชื่อมั่นนักลงทุน มรึงไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย มุกเดิมเหี้ยจะทำอะไรได้อีก หากไม่ใช้ไวรัสระบาด หรือก่อเหตุอุทกภัยอย่างที่เคยทำมา หมายังเดาได้? ระดับหน่วยข่าวกรอง เค้ารู้ล่วงหน้าแล้ว โป๊ะมาแตก ศูนย์กลางแผ่นดินไหวใหญ่อยู่ที่พม่า แล้วอะไรอยู่ใกล้แถวนั้นล่ะ กงศุลใหญ่เหี้ยมะกันในเชียงใหม่ไงล่ะ ที่มาว่าทำไม มรึงถึงต้องขุดดินลึกลงไปกว่า 200 เมตร กงศุลบ้านพ่องดิ ต้องลึกขนาดนั้นเพื่อ? ไม่ต้องแถ ไม่ต้องอ้าง มรึงฝังเหี้ยอะไรเอาไว้กันล่ะ? ไม่ต้องมโน ไม่ต้องเดา มันผิดปกติอยู่แล้วที่สร้างกงศุลใหญ่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกจีนสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันที่เฉิงตู ทำให้มรึงหน้ามืด ตาบอดทันที ไม่รู้ข่าวสารจีนอะไรอีกเลย นับแต่นั้น ที่มาว่าพยายามสร้างกงศุลใหญ่ใหม่ใกล้จีน พม่า ไงล่ะ จีนยังสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยได้ ทำไม เราจะทำไม่ได้? กงศุลมรึงไม่ได้มีแค่ที่เชียงใหม่ กทม.ก็ยังอยู่ แก้ตรงจุด สั่งปิดกงศุลใหญ่ที่เชียงใหม่ปุ๊บ แผ่นดินไหวหายวับทันตาทันที กูท้ามรึงเลย? แต่อย่าหวังอีรัฐบาลเถื่อนขี้ข้าวอชิงตันชุดนี้เลย ถึงเวลายัง ที่กองทัพจะออกตัว ประชาชนตามติด วังนำหน้า แม่ทัพใหญ่ของกองทัพไทย เมื่อเลือกข้างแล้ว ก็ต้องเล่นบทให้สุดซอย ยุคพระเดชถึงจะมาเต็มตรีน ความเสียหายที่เห็นนี้ ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่อีกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันยังเสนอหน้าอยู่ที่เชียงใหม่ ขนาดกูยังรู้ หน่วยความมั่นคง หน่วยข่าวกรองทำไมไม่รู้ มันผิดสังเกตุมาตั้งแต่สร้างใหญ่อลังการ และควบคุมการสร้างเอง โดยไม่ให้ใครเสือก เจ้าหน้าที่คุมก่อสร้างก็ไม่ให้คนไทยยุ่ง มันชัดซะยิ่งกว่าชัด? ใครก็รู้ ว่ามรึงทำอะไร แต่ปล่อยให้มันทำ จนได้เห็นเต็มตาวันนี้ไงล่ะ กระทบแผ่นดิน มรึงจะให้มันอยู่ต่อมั้ยล่ะ จะเก็บไอ้อีเหี้ยไปอีกนานแค่ไหน คำตอบอยู่ที่ "ศรีธนญชัย" เพราะเค้าประสานกับกุนซือ เกจิ จีน รัสเซีย ไว้แล้ว สิ่งที่เห็น มันจะเทียบไม่ได้เลย ความเสียหายขั้นสูงสุด ที่เหี้ยจะเจอ หากล่อมันกลับที่ YELLOW STONE อเมริกาจะฉิบหายทั้งแผ่นดิน อะไรที่เกิดขึ้นทั่วโลก มรึงว่ามันปกติงั้นเหรอ? ใช้สติ ใช้ปัญญา ดูก็รู้ ว่ามันเกิดจากอะไร? ไฟ่ป่าเหรอ สึนามิเหรอ แผ่นดินไหวเหรอ โลกยุคดิจิตอล ที่เอาอาวุธร้ายแรงไปไว้บนอวกาศได้ มันทำได้หมดมากกว่าที่มรึงคิด รัสเซีย จีน มีเทคโนโลยีสูงกว่ามรึงเยอะ ทำได้รุนแรงกว่ามรึง 100 เท่า แต่ที่ไม่ทำ เพราะ "ศีลมันต่างกัน" คนตายเป็นล้านน่ะมรึง หากโดนเข้าเต็มตรีน เพราะนี่คือสิ่งที่ยิวเหี้ยมันต้องการ "WWIII" ไงล่ะ เห็นยังล่ะว่า เดินแต่ก้าวไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายมันจ้องจะทำลายล้างมนุษยชาติอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เกมส์จะมันส์สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย เมษาเลือดมาแน่ ไม่ว่าจะภายใน ภายนอก ระอุ ดุเดือด อุทกภัยที่มรึงไม่เคยเจอ จะดาหน้ามาหมด แบบบังเอิญอีกแล้วครับท่าน อาวุธเทคโนโลยี จะถูกงัดมาใช้เพื่องานนี้ และมรึงจะได้เห็นแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ของจีน รัสเซีย ในเวลานั้นแหละ เปิดที เหี้ยขี้แตก! กทม.ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดนี้มานานมากแล้ว ครั้งนี้ มันตั้งใจ นั่นคือสัญญานที่ดี ว่าไทยเราได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว เคยบอกไปแล้ว มรึงควรจะดีใจ เรายอมแลก ก็เพื่อดินแดนสุวรรณภูมิ อย่ากลัวเหี้ย นี่มันยุคสุดท้ายแล้ว เหี้ยต่างหากที่ต้องกลัวมรึง คนดี คนกล้า ไม่กลัวเหี้ย คนชั่วจะหดหัวเอง เพราะมันกลัวคนจริง มันกลัวหัวใจที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ศรัทธาเดียว สิ่งที่ซาตานกลัวที่สุด! จากนี้ รอดูการตอบโต้กลับบ้าง อย่ากระพริบตา เกมส์นี้ระดับโลก อย่ามาเสียเวลากับละครปาหี่ ขี้หมา การ์ตูนเล่มละบาทอีกต่อไป ชีวิตมรึงและกู และชาวอโยธยาทั้งหมด ขึ้นอยู่กับชัยชนะของขั้วใหม่เต็มตรีน รออะไรล่ะ ตามเค้าไป แล้วใส่ให้สุด วังนำ ชนะแน่ กองทัพเป็นของพระเจ้าอยู่หัว กูการันตี 1000000% เกมส์โลกต้องเด็ดขาด โลกสวยไม่ได้ อาเซียนคุยกันแน่ และจากนี้ จะรวมมือกันอย่างเสียมิได้ มรึงจ้องเล่นสะกายกูเหรอ เดี๋ยวกูก็ล่อหินเหลืองมรึงกลับบ้าง อย่าร้องขอชีวิตน่ะมรึง?

    หมี CNN(ไม่รีบ รอควันจาง มรึงจะเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดเอง ที่มา ที่ไป แล้วทำไมต้องสะกาย มันสอดคล้องกับหน่วยข่าวกรอง ความมั่นคง ใครที่มีอายุเกิน 40 ขึ้นไป มรึงจะรู้ดี ว่าไม่มีทางที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเองได้ดอก หากไม่มีคลื่นแม่เหล็กไปกระตุ้นแกนโลก และใช้พลังงานมหาศาล เป้าหมายคือพม่า และเส้นรอยแยกเปลือกสะกายผ่านอาเซียนเต็มตรีน ใครมันจะทำ หากไม่จนตรอกขั้นสูงสุดขนาดนี้ ตกผลึกแล้ว ถึงได้เอามาชี้เป้าให้มรึงดู เพราะคิดถึงความบังเอิญ 108 1009 แต่คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" การเมืองโลกมาเต็ม ทุกอย่างถูกวางแผนมานานแล้ว มันถึงต้องการกงศุลใหญ่ใหม่ ที่สามารถเข้าใกล้จีน พม่า ให้มากที่สุด ไส้ศึกมันมี สายลับก็มา รู้กันหมด)
    29 มีนาคม 68
    11.05 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    29-03-68/01 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP3 (ไม่ต้องถาม..ซัดเลยล่ะกัน) มรึงโดนแน่ YELLOW STONE ไอ้สัส! อย่าคิดว่าเค้าไม่รู้? สะกายเหรอ? รอยเปลือกแยกอาเซียนเหรอ? มรึงตั้งใจจะล่ออาเซียนเพื่อสกัดจีนผนวก ล่อพม่า หวังกระทบทั้งอาเซียน หลายครั้งที่มรึงเลือกลงมือก่อนเมษายน เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว เม็ดเงินเข้าอาเซียนถล่มทลาย ทำลายเศรษฐกิจทั้งอาเซียน เพื่อดึงโลกเข้าสู่สงคราม เหตุผลง่ายๆ คือ มรึงแพ้ยับในสมรภูมิจริง ทั้งยูเครน แอฟริกา และเยรูซาเล็ม มรึงแพ้ยับทั้งสงครามการค้า เพราะโลกหันไปเข้า BRICS กันหมด จับมือจีน รัสเซีย ผู้นำโลกใหม่ มรึงแพ้ยับทั้งเวทีโลก และความเชื่อมั่นนักลงทุน มรึงไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย มุกเดิมเหี้ยจะทำอะไรได้อีก หากไม่ใช้ไวรัสระบาด หรือก่อเหตุอุทกภัยอย่างที่เคยทำมา หมายังเดาได้? ระดับหน่วยข่าวกรอง เค้ารู้ล่วงหน้าแล้ว โป๊ะมาแตก ศูนย์กลางแผ่นดินไหวใหญ่อยู่ที่พม่า แล้วอะไรอยู่ใกล้แถวนั้นล่ะ กงศุลใหญ่เหี้ยมะกันในเชียงใหม่ไงล่ะ ที่มาว่าทำไม มรึงถึงต้องขุดดินลึกลงไปกว่า 200 เมตร กงศุลบ้านพ่องดิ ต้องลึกขนาดนั้นเพื่อ? ไม่ต้องแถ ไม่ต้องอ้าง มรึงฝังเหี้ยอะไรเอาไว้กันล่ะ? ไม่ต้องมโน ไม่ต้องเดา มันผิดปกติอยู่แล้วที่สร้างกงศุลใหญ่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกจีนสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันที่เฉิงตู ทำให้มรึงหน้ามืด ตาบอดทันที ไม่รู้ข่าวสารจีนอะไรอีกเลย นับแต่นั้น ที่มาว่าพยายามสร้างกงศุลใหญ่ใหม่ใกล้จีน พม่า ไงล่ะ จีนยังสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยได้ ทำไม เราจะทำไม่ได้? กงศุลมรึงไม่ได้มีแค่ที่เชียงใหม่ กทม.ก็ยังอยู่ แก้ตรงจุด สั่งปิดกงศุลใหญ่ที่เชียงใหม่ปุ๊บ แผ่นดินไหวหายวับทันตาทันที กูท้ามรึงเลย? แต่อย่าหวังอีรัฐบาลเถื่อนขี้ข้าวอชิงตันชุดนี้เลย ถึงเวลายัง ที่กองทัพจะออกตัว ประชาชนตามติด วังนำหน้า แม่ทัพใหญ่ของกองทัพไทย เมื่อเลือกข้างแล้ว ก็ต้องเล่นบทให้สุดซอย ยุคพระเดชถึงจะมาเต็มตรีน ความเสียหายที่เห็นนี้ ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่อีกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันยังเสนอหน้าอยู่ที่เชียงใหม่ ขนาดกูยังรู้ หน่วยความมั่นคง หน่วยข่าวกรองทำไมไม่รู้ มันผิดสังเกตุมาตั้งแต่สร้างใหญ่อลังการ และควบคุมการสร้างเอง โดยไม่ให้ใครเสือก เจ้าหน้าที่คุมก่อสร้างก็ไม่ให้คนไทยยุ่ง มันชัดซะยิ่งกว่าชัด? ใครก็รู้ ว่ามรึงทำอะไร แต่ปล่อยให้มันทำ จนได้เห็นเต็มตาวันนี้ไงล่ะ กระทบแผ่นดิน มรึงจะให้มันอยู่ต่อมั้ยล่ะ จะเก็บไอ้อีเหี้ยไปอีกนานแค่ไหน คำตอบอยู่ที่ "ศรีธนญชัย" เพราะเค้าประสานกับกุนซือ เกจิ จีน รัสเซีย ไว้แล้ว สิ่งที่เห็น มันจะเทียบไม่ได้เลย ความเสียหายขั้นสูงสุด ที่เหี้ยจะเจอ หากล่อมันกลับที่ YELLOW STONE อเมริกาจะฉิบหายทั้งแผ่นดิน อะไรที่เกิดขึ้นทั่วโลก มรึงว่ามันปกติงั้นเหรอ? ใช้สติ ใช้ปัญญา ดูก็รู้ ว่ามันเกิดจากอะไร? ไฟ่ป่าเหรอ สึนามิเหรอ แผ่นดินไหวเหรอ โลกยุคดิจิตอล ที่เอาอาวุธร้ายแรงไปไว้บนอวกาศได้ มันทำได้หมดมากกว่าที่มรึงคิด รัสเซีย จีน มีเทคโนโลยีสูงกว่ามรึงเยอะ ทำได้รุนแรงกว่ามรึง 100 เท่า แต่ที่ไม่ทำ เพราะ "ศีลมันต่างกัน" คนตายเป็นล้านน่ะมรึง หากโดนเข้าเต็มตรีน เพราะนี่คือสิ่งที่ยิวเหี้ยมันต้องการ "WWIII" ไงล่ะ เห็นยังล่ะว่า เดินแต่ก้าวไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายมันจ้องจะทำลายล้างมนุษยชาติอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เกมส์จะมันส์สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย เมษาเลือดมาแน่ ไม่ว่าจะภายใน ภายนอก ระอุ ดุเดือด อุทกภัยที่มรึงไม่เคยเจอ จะดาหน้ามาหมด แบบบังเอิญอีกแล้วครับท่าน อาวุธเทคโนโลยี จะถูกงัดมาใช้เพื่องานนี้ และมรึงจะได้เห็นแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ของจีน รัสเซีย ในเวลานั้นแหละ เปิดที เหี้ยขี้แตก! กทม.ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดนี้มานานมากแล้ว ครั้งนี้ มันตั้งใจ นั่นคือสัญญานที่ดี ว่าไทยเราได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว เคยบอกไปแล้ว มรึงควรจะดีใจ เรายอมแลก ก็เพื่อดินแดนสุวรรณภูมิ อย่ากลัวเหี้ย นี่มันยุคสุดท้ายแล้ว เหี้ยต่างหากที่ต้องกลัวมรึง คนดี คนกล้า ไม่กลัวเหี้ย คนชั่วจะหดหัวเอง เพราะมันกลัวคนจริง มันกลัวหัวใจที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ศรัทธาเดียว สิ่งที่ซาตานกลัวที่สุด! จากนี้ รอดูการตอบโต้กลับบ้าง อย่ากระพริบตา เกมส์นี้ระดับโลก อย่ามาเสียเวลากับละครปาหี่ ขี้หมา การ์ตูนเล่มละบาทอีกต่อไป ชีวิตมรึงและกู และชาวอโยธยาทั้งหมด ขึ้นอยู่กับชัยชนะของขั้วใหม่เต็มตรีน รออะไรล่ะ ตามเค้าไป แล้วใส่ให้สุด วังนำ ชนะแน่ กองทัพเป็นของพระเจ้าอยู่หัว กูการันตี 1000000% เกมส์โลกต้องเด็ดขาด โลกสวยไม่ได้ อาเซียนคุยกันแน่ และจากนี้ จะรวมมือกันอย่างเสียมิได้ มรึงจ้องเล่นสะกายกูเหรอ เดี๋ยวกูก็ล่อหินเหลืองมรึงกลับบ้าง อย่าร้องขอชีวิตน่ะมรึง? หมี CNN(ไม่รีบ รอควันจาง มรึงจะเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดเอง ที่มา ที่ไป แล้วทำไมต้องสะกาย มันสอดคล้องกับหน่วยข่าวกรอง ความมั่นคง ใครที่มีอายุเกิน 40 ขึ้นไป มรึงจะรู้ดี ว่าไม่มีทางที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเองได้ดอก หากไม่มีคลื่นแม่เหล็กไปกระตุ้นแกนโลก และใช้พลังงานมหาศาล เป้าหมายคือพม่า และเส้นรอยแยกเปลือกสะกายผ่านอาเซียนเต็มตรีน ใครมันจะทำ หากไม่จนตรอกขั้นสูงสุดขนาดนี้ ตกผลึกแล้ว ถึงได้เอามาชี้เป้าให้มรึงดู เพราะคิดถึงความบังเอิญ 108 1009 แต่คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" การเมืองโลกมาเต็ม ทุกอย่างถูกวางแผนมานานแล้ว มันถึงต้องการกงศุลใหญ่ใหม่ ที่สามารถเข้าใกล้จีน พม่า ให้มากที่สุด ไส้ศึกมันมี สายลับก็มา รู้กันหมด) 29 มีนาคม 68 11.05 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion

    ข้อดีของ Radiocarbon:
    - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ.

    การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
    - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน.

    แอปพลิเคชันที่หลากหลาย:
    - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ.

    ความท้าทายและอนาคต:
    - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion ข้อดีของ Radiocarbon: - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ. การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน. แอปพลิเคชันที่หลากหลาย: - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ. ความท้าทายและอนาคต: - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nuclear-powered battery could eliminate need for recharging
    A team led by Su-Il In, a professor at South Korea's Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology, is developing an innovative solution: radiocarbon-powered nuclear batteries that...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 แผ่นดินไหวเขย่าไทย รัฐไร้แผนฉุกเฉินรับมือ ถือโอกาสรีดเงิน เมินน้ำใจเพื่อนร่วมชาติ ขาดระบบขนส่งสาธารณะ รถเมล์ไม่เพียงพอ รอรถไฟฟ้า ประชาชนเดินเท้า ประชาชนรอความช่วยเหลือกลางถนน 🚷

    ✍️ เหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 95 ปี เผยให้เห็นการขาดแผนฉุกเฉินของรัฐ ขนส่งสาธารณะล่มทั่วกรุงเทพฯ ประชาชนไร้ทางเลือก ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ฝ่าวิกฤตกลางเมืองหลวง

    🧭 เมื่อภัยธรรมชาติกระชากหน้ากาก "ระบบที่ไร้หัวใจ" บ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกติจูด จุดศูนย์กลางอยู่ในเมียนมา แต่แรงสั่นสะเทือนไม่ได้หยุดที่พรมแดน 🇲🇲 มันพัดผ่านเข้ามาในไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และภาคเหนืออย่างรุนแรง อาคารสูงโยกเยก 🚨 ผู้คนแตกตื่น วิ่งอพยพลงจากตึก

    แต่อะไรคือสิ่งที่น่าตกใจที่สุด? ไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือน แต่คือ "ความไร้การเตรียมพร้อม" ของรัฐ และ "การล่มสลาย" ของระบบขนส่งสาธารณะ 🚆🛑

    📌 แผ่นดินไหวคือภัยธรรมชาติ แต่การไร้แผนคือภัยจากรัฐ ไม่มีแผนการ ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีทางเลือกในการเดินทาง
    คนจำนวนมากออกจากตึก กลับบ้านไม่ได้
    🚇 รถไฟฟ้าหยุด
    🚌 รถเมล์ไม่พอ
    🚕 แท็กซี่แพง 💸
    ประชาชน “เดินเท้า” เป็นกิโลๆ เพื่อหาความปลอดภัย

    “หยุดให้บริการโดยไม่มีแผน คือการทิ้งประชาชนไว้กลางสนามรบ” 🪖

    “นี่ไม่ใช่แค่ระบบขนส่งที่ล่ม แต่คือภาพสะท้อนของการบริหารจัดการ ที่ไม่มีหัวใจ” ❤️‍🩹

    📉 ระบบขนส่งที่ “หยุดก่อนจำเป็น” ทำให้แย่ยิ่งกว่าเดิม 🚆 รถไฟฟ้าหยุดเดินโดยไม่มีกรอบเวลา รถไฟฟ้าทุกสายหยุดเดินรถมากกว่า 10 ชั่วโมง แต่ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีการแจ้งเวลาชัดเจน ประชาชน “ไร้ทิศทาง” ผู้คนอพยพล่าช้า ช่วยเหลือทำไม่ได้

    นี่คือการแสดงให้เห็นว่า ระบบขนส่งในประเทศไทย ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิกฤต

    🚌 รถเมล์ไม่พอวิ่ง-ไม่พอคน ถึงรัฐบอกจะส่งรถเมล์เพิ่ม แต่ความเป็นจริงคือ... รถติดทำให้รถเข้าไม่ถึง จำนวนเที่ยวไม่พอ ไม่มีการบริหารจัดการแบบคล่องตัว

    🚖 ค่าโดยสารแพงเกินจริง
    🚦 วินมอเตอร์ไซค์
    🚘 แกร็บ
    🛻 แท็กซี่

    ต่างอัพราคาค่าโดยสารสูงกว่าปกติ 2-3 เท่า เพราะ "ดีมานด์พุ่ง" แต่ "ซัพพลายหาย"

    🏃‍♂️ เดินเท้าคือทางเลือกสุดท้าย ของคนไม่มีทางเลือก ในวันที่ขนส่งล่มทั้งเมือง คนหลายหมื่นต้องเดินเท้ากลับบ้าน ระยะทาง 5-10 กิโลเมตร 🚶‍♀️

    ภาพที่เห็น
    - ผู้สูงอายุเดินจับมือกับหลานเล็ก
    - คนทำงานเดินกลับบ้านกลางดึก
    - เด็กนักเรียนที่ตกค้าง ต้องขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า

    นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเดินทาง แต่มันคือการเอาชีวิตรอด ในเมืองหลวงที่ไร้แผน

    ❗ ประเทศไทย "ยังไม่มี" แผนขนส่งฉุกเฉินที่ตอบโจทย์ แม้จะมีกฎหมาย พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แต่สิ่งที่หายไปคือ

    ✅ ความเร็วในการตอบสนอง
    ✅ ความเข้าใจพฤติกรรมผู้คน
    ✅ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

    ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ไม่มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า รัฐต้องมี "แผนไว้ก่อน" ไม่ใช่ "แผนหลังเกิดเหตุ"

    📊 ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ ญี่ปุ่นทำอย่างไร? ญี่ปุ่น 🇯🇵 เผชิญแผ่นดินไหวบ่อย แต่ยังเดินรถไฟฟ้าได้
    เพราะอะไร?

    ✅ ญี่ปุ่นมีระบบเหล่านี้
    - เดินรถไฟด้วยความเร็วต่ำ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว
    - แจ้งเตือนล่วงหน้าผ่านแอป-SMS ภายในไม่กี่วินาที
    - วางแผนเส้นทางขนส่งสำรอง
    - ซักซ้อมแผนอพยพทุกปี
    - มีจุดรวมตัวปลอดภัยพร้อมน้ำ อาหาร แพทย์

    ในขณะที่ไทย... ยังใช้เวลามากกว่า 30 นาที ในการแจ้งเตือนจากกรมอุตุ และกว่า 5 ชั่วโมงกว่าข้อความ SMS จะส่งถึงมือถือประชาชน 😓📵

    🧭 แนวทางที่ไทยควรทำ และยังไม่ได้ทำ
    - สร้างระบบแจ้งเตือนภัยแบบ Real-time ไม่ใช่ให้คนไปรู้ข่าวจาก Facebook ก่อน

    - เตรียมเส้นทางขนส่งสำรอง พร้อมแผนขนย้ายมวลชน ไม่ใช่หยุดรถไฟฟ้าแล้วไม่บอกอะไรเลย

    - กำหนดเกณฑ์การปิดระบบขนส่งให้ชัดเจน และสมเหตุสมผล หยุดเดินรถได้ แต่ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา

    - ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรแบบ AI ให้รถฉุกเฉิน-รถช่วยเหลือเดินทางได้ง่ายขึ้น

    - สื่อสารแบบรวมศูนย์ ไม่ใช่หลายหน่วยงานพูดคนละทาง

    💬 เสียงประชาชน เหนื่อย ใจหาย และรู้สึกโดดเดี่ยว
    “ตอนแผ่นดินไหว ตึกสั่น เราวิ่งลงมา แต่พอถึงพื้นดิน กลับไม่มีทางกลับบ้าน”

    “แท็กซี่ไม่รับ รถเมล์ก็ไม่มี ต้องเดินจากอโศกไปบางนา”

    “ถ้ารัฐมีแผนที่ดีกว่านี้ เราคงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้”

    🔚 อย่าปล่อยให้ภัยธรรมชาติ กลายเป็นภัยมนุษย์ แผ่นดินไหวครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความรุนแรงทางธรรมชาติ แต่มันเปิดโปง “ความไร้ระบบ” ของรัฐในการรับมือวิกฤต

    ขนส่งล่ม = ความล้มเหลวของระบบราชการ

    ความเงียบของรัฐ = การทอดทิ้งประชาชน

    🎯 อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ครั้งหน้า เราต้องเตรียมพร้อมให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อ “ความสะดวก” แต่เพื่อ “ความอยู่รอด” ของคนไทยทุกคน 🛑🇹🇭

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291636 มี.ค. 2568

    📱 #แผ่นดินไหวเขย่าไทย #รัฐไร้แผน #ขนส่งล่ม #ไม่มีทางกลับบ้าน #รถไฟฟ้าหยุด #ภัยพิบัติ2025 #ต้องเดินเท้า #บริหารล้มเหลว #ข่าวปลอมภัยพิบัติ #ภัยธรรมชาติหรือมนุษย์
    🚨 แผ่นดินไหวเขย่าไทย รัฐไร้แผนฉุกเฉินรับมือ ถือโอกาสรีดเงิน เมินน้ำใจเพื่อนร่วมชาติ ขาดระบบขนส่งสาธารณะ รถเมล์ไม่เพียงพอ รอรถไฟฟ้า ประชาชนเดินเท้า ประชาชนรอความช่วยเหลือกลางถนน 🚷 ✍️ เหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 95 ปี เผยให้เห็นการขาดแผนฉุกเฉินของรัฐ ขนส่งสาธารณะล่มทั่วกรุงเทพฯ ประชาชนไร้ทางเลือก ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ฝ่าวิกฤตกลางเมืองหลวง 🧭 เมื่อภัยธรรมชาติกระชากหน้ากาก "ระบบที่ไร้หัวใจ" บ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกติจูด จุดศูนย์กลางอยู่ในเมียนมา แต่แรงสั่นสะเทือนไม่ได้หยุดที่พรมแดน 🇲🇲 มันพัดผ่านเข้ามาในไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และภาคเหนืออย่างรุนแรง อาคารสูงโยกเยก 🚨 ผู้คนแตกตื่น วิ่งอพยพลงจากตึก แต่อะไรคือสิ่งที่น่าตกใจที่สุด? ไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือน แต่คือ "ความไร้การเตรียมพร้อม" ของรัฐ และ "การล่มสลาย" ของระบบขนส่งสาธารณะ 🚆🛑 📌 แผ่นดินไหวคือภัยธรรมชาติ แต่การไร้แผนคือภัยจากรัฐ ไม่มีแผนการ ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีทางเลือกในการเดินทาง คนจำนวนมากออกจากตึก กลับบ้านไม่ได้ 🚇 รถไฟฟ้าหยุด 🚌 รถเมล์ไม่พอ 🚕 แท็กซี่แพง 💸 ประชาชน “เดินเท้า” เป็นกิโลๆ เพื่อหาความปลอดภัย “หยุดให้บริการโดยไม่มีแผน คือการทิ้งประชาชนไว้กลางสนามรบ” 🪖 “นี่ไม่ใช่แค่ระบบขนส่งที่ล่ม แต่คือภาพสะท้อนของการบริหารจัดการ ที่ไม่มีหัวใจ” ❤️‍🩹 📉 ระบบขนส่งที่ “หยุดก่อนจำเป็น” ทำให้แย่ยิ่งกว่าเดิม 🚆 รถไฟฟ้าหยุดเดินโดยไม่มีกรอบเวลา รถไฟฟ้าทุกสายหยุดเดินรถมากกว่า 10 ชั่วโมง แต่ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีการแจ้งเวลาชัดเจน ประชาชน “ไร้ทิศทาง” ผู้คนอพยพล่าช้า ช่วยเหลือทำไม่ได้ นี่คือการแสดงให้เห็นว่า ระบบขนส่งในประเทศไทย ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิกฤต 🚌 รถเมล์ไม่พอวิ่ง-ไม่พอคน ถึงรัฐบอกจะส่งรถเมล์เพิ่ม แต่ความเป็นจริงคือ... รถติดทำให้รถเข้าไม่ถึง จำนวนเที่ยวไม่พอ ไม่มีการบริหารจัดการแบบคล่องตัว 🚖 ค่าโดยสารแพงเกินจริง 🚦 วินมอเตอร์ไซค์ 🚘 แกร็บ 🛻 แท็กซี่ ต่างอัพราคาค่าโดยสารสูงกว่าปกติ 2-3 เท่า เพราะ "ดีมานด์พุ่ง" แต่ "ซัพพลายหาย" 🏃‍♂️ เดินเท้าคือทางเลือกสุดท้าย ของคนไม่มีทางเลือก ในวันที่ขนส่งล่มทั้งเมือง คนหลายหมื่นต้องเดินเท้ากลับบ้าน ระยะทาง 5-10 กิโลเมตร 🚶‍♀️ ภาพที่เห็น - ผู้สูงอายุเดินจับมือกับหลานเล็ก - คนทำงานเดินกลับบ้านกลางดึก - เด็กนักเรียนที่ตกค้าง ต้องขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเดินทาง แต่มันคือการเอาชีวิตรอด ในเมืองหลวงที่ไร้แผน ❗ ประเทศไทย "ยังไม่มี" แผนขนส่งฉุกเฉินที่ตอบโจทย์ แม้จะมีกฎหมาย พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แต่สิ่งที่หายไปคือ ✅ ความเร็วในการตอบสนอง ✅ ความเข้าใจพฤติกรรมผู้คน ✅ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ไม่มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า รัฐต้องมี "แผนไว้ก่อน" ไม่ใช่ "แผนหลังเกิดเหตุ" 📊 ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ ญี่ปุ่นทำอย่างไร? ญี่ปุ่น 🇯🇵 เผชิญแผ่นดินไหวบ่อย แต่ยังเดินรถไฟฟ้าได้ เพราะอะไร? ✅ ญี่ปุ่นมีระบบเหล่านี้ - เดินรถไฟด้วยความเร็วต่ำ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว - แจ้งเตือนล่วงหน้าผ่านแอป-SMS ภายในไม่กี่วินาที - วางแผนเส้นทางขนส่งสำรอง - ซักซ้อมแผนอพยพทุกปี - มีจุดรวมตัวปลอดภัยพร้อมน้ำ อาหาร แพทย์ ในขณะที่ไทย... ยังใช้เวลามากกว่า 30 นาที ในการแจ้งเตือนจากกรมอุตุ และกว่า 5 ชั่วโมงกว่าข้อความ SMS จะส่งถึงมือถือประชาชน 😓📵 🧭 แนวทางที่ไทยควรทำ และยังไม่ได้ทำ - สร้างระบบแจ้งเตือนภัยแบบ Real-time ไม่ใช่ให้คนไปรู้ข่าวจาก Facebook ก่อน - เตรียมเส้นทางขนส่งสำรอง พร้อมแผนขนย้ายมวลชน ไม่ใช่หยุดรถไฟฟ้าแล้วไม่บอกอะไรเลย - กำหนดเกณฑ์การปิดระบบขนส่งให้ชัดเจน และสมเหตุสมผล หยุดเดินรถได้ แต่ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา - ใช้เทคโนโลยีจัดการจราจรแบบ AI ให้รถฉุกเฉิน-รถช่วยเหลือเดินทางได้ง่ายขึ้น - สื่อสารแบบรวมศูนย์ ไม่ใช่หลายหน่วยงานพูดคนละทาง 💬 เสียงประชาชน เหนื่อย ใจหาย และรู้สึกโดดเดี่ยว “ตอนแผ่นดินไหว ตึกสั่น เราวิ่งลงมา แต่พอถึงพื้นดิน กลับไม่มีทางกลับบ้าน” “แท็กซี่ไม่รับ รถเมล์ก็ไม่มี ต้องเดินจากอโศกไปบางนา” “ถ้ารัฐมีแผนที่ดีกว่านี้ เราคงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้” 🔚 อย่าปล่อยให้ภัยธรรมชาติ กลายเป็นภัยมนุษย์ แผ่นดินไหวครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความรุนแรงทางธรรมชาติ แต่มันเปิดโปง “ความไร้ระบบ” ของรัฐในการรับมือวิกฤต ขนส่งล่ม = ความล้มเหลวของระบบราชการ ความเงียบของรัฐ = การทอดทิ้งประชาชน 🎯 อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ครั้งหน้า เราต้องเตรียมพร้อมให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อ “ความสะดวก” แต่เพื่อ “ความอยู่รอด” ของคนไทยทุกคน 🛑🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291636 มี.ค. 2568 📱 #แผ่นดินไหวเขย่าไทย #รัฐไร้แผน #ขนส่งล่ม #ไม่มีทางกลับบ้าน #รถไฟฟ้าหยุด #ภัยพิบัติ2025 #ต้องเดินเท้า #บริหารล้มเหลว #ข่าวปลอมภัยพิบัติ #ภัยธรรมชาติหรือมนุษย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในคณะกรรมการบริหาร โดยสมาชิก 3 คนรวมถึงอดีต CEO ของ Medtronic ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในปี 2025 ขณะที่ CEO ใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังนำบริษัทเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการปรับโครงสร้างคณะกรรมการให้มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่

    การลดจำนวนสมาชิกคณะกรรมการ:
    - การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้จำนวนสมาชิกลดลงเหลือ 11 คน และเพิ่มบุคคลที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น อดีต CEO ของ ASML และ CEO ชั่วคราวของ Microchip Technology.

    ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูภายใต้ CEO ใหม่:
    - Lip-Bu Tan วางแผนลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการลดพนักงานลง 15% รวมถึงเน้นผลิตภัณฑ์และบริการผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ตามสัญญาเป็นหัวใจของกลยุทธ์.

    บทบาทของอดีต CEO Pat Gelsinger:
    - แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ Gelsinger ได้รับเงินชดเชยจำนวน 7.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต้องสละสิทธิ์ในหุ้นทั้งหมดที่ยังไม่ได้ถือครอง.

    เป้าหมายระยะยาว:
    - การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Intel ในการลดความซับซ้อนขององค์กรและเพิ่มความคล่องตัว เพื่อกลับมายืนในจุดสูงสุดในตลาดชิปอีกครั้ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/27/three-intel-board-members-to-retire-in-latest-shakeup-amid-turnaround
    Intel ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในคณะกรรมการบริหาร โดยสมาชิก 3 คนรวมถึงอดีต CEO ของ Medtronic ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในปี 2025 ขณะที่ CEO ใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังนำบริษัทเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการปรับโครงสร้างคณะกรรมการให้มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ การลดจำนวนสมาชิกคณะกรรมการ: - การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้จำนวนสมาชิกลดลงเหลือ 11 คน และเพิ่มบุคคลที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น อดีต CEO ของ ASML และ CEO ชั่วคราวของ Microchip Technology. ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูภายใต้ CEO ใหม่: - Lip-Bu Tan วางแผนลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการลดพนักงานลง 15% รวมถึงเน้นผลิตภัณฑ์และบริการผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ตามสัญญาเป็นหัวใจของกลยุทธ์. บทบาทของอดีต CEO Pat Gelsinger: - แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ Gelsinger ได้รับเงินชดเชยจำนวน 7.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต้องสละสิทธิ์ในหุ้นทั้งหมดที่ยังไม่ได้ถือครอง. เป้าหมายระยะยาว: - การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Intel ในการลดความซับซ้อนขององค์กรและเพิ่มความคล่องตัว เพื่อกลับมายืนในจุดสูงสุดในตลาดชิปอีกครั้ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/27/three-intel-board-members-to-retire-in-latest-shakeup-amid-turnaround
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Three Intel board members to retire in latest shakeup amid turnaround
    (Reuters) - Three Intel board members will not stand for reelection at its 2025 annual meeting, the chipmaker said in a regulatory filing on Thursday, amid a historic transition under newly appointed CEO Lip-Bu Tan.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปั่นจักรยาน เป็นการออกกำลังกาย ทำให้หัวใจแข็งแรง ที่ดีสุด
    เหตุผลของการเดิน และ การวิ่ง ไม่ดีต่อ..สะบ้า
    ทำให้เข่าบวม ปวดหน้าเข่า
    ปั่นจักรยาน เป็นการออกกำลังกาย ทำให้หัวใจแข็งแรง ที่ดีสุด เหตุผลของการเดิน และ การวิ่ง ไม่ดีต่อ..สะบ้า ทำให้เข่าบวม ปวดหน้าเข่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • เข้าไปฟังกันได้ ผลงานเพลงด่าธุรกิจพนันออนไลน์ จากพี่เบย์ BRF แต่ผมชอบเปิดคลิปนี้ฟังมาก เพราะพวกเชียร์เสรีคาสิโน เสรีพนันออนไน์ เสรีอบายมุข คงได้สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างแน่นอนถ้าเจอเพลงนี้ ส่วนพี่เบย์ BRF ที่ชัดเจนมานานแล้วว่าต่อต้านการพนันทุกรูปแบบ ผมก็ขอคารวะจากหัวใจส่วนลึกๆของผมเองครับ
    เข้าไปฟังกันได้ ผลงานเพลงด่าธุรกิจพนันออนไลน์ จากพี่เบย์ BRF แต่ผมชอบเปิดคลิปนี้ฟังมาก เพราะพวกเชียร์เสรีคาสิโน เสรีพนันออนไน์ เสรีอบายมุข คงได้สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างแน่นอนถ้าเจอเพลงนี้ ส่วนพี่เบย์ BRF ที่ชัดเจนมานานแล้วว่าต่อต้านการพนันทุกรูปแบบ ผมก็ขอคารวะจากหัวใจส่วนลึกๆของผมเองครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้มีหลายใจจ้า❤️🍅
    #มะเขือเทศหัวใจ
    ช่วงนี้มีหลายใจจ้า❤️🍅 #มะเขือเทศหัวใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • โธ่เช้านี้ไม่มีรักมาทักถาม
    มีแต่ความเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง
    ฝันที่เฝ้าเช้าเย็นไม่เป็นจริง
    ฉันถูกทิ้งให้ท้อและรอคอย
    โธ่เที่ยงนี้ไม่มีรักมากวักแขน
    มันสุดแสนจะเศร้าและเหงาหงอย
    คล้ายเคลิ้มฝันหวั่นไหวและใจลอย
    ไร้ร่องรอยเรื่องราวของข่าวใจ
    โธ่คืนนี้ไม่มีรักมาพักบ้าน
    ไม่มีการกวาดหอไว้รอไผ
    มีแต่ฉันวันนี้ไม่มีใคร
    กับหัวใจว่างเปล่าในเงาจันทร์
    โอ้วันนี้ไม่มีรักแน่นักแล้ว
    ไม่มีแววความหวังประทังขวัญ
    เหลือแต่ต่อมน้ำตาต้องจาบัลย์
    ก็เท่านั้นก็เท่านั้นเท่านั้นเอง
    โธ่เช้านี้ไม่มีรักมาทักถาม มีแต่ความเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง ฝันที่เฝ้าเช้าเย็นไม่เป็นจริง ฉันถูกทิ้งให้ท้อและรอคอย โธ่เที่ยงนี้ไม่มีรักมากวักแขน มันสุดแสนจะเศร้าและเหงาหงอย คล้ายเคลิ้มฝันหวั่นไหวและใจลอย ไร้ร่องรอยเรื่องราวของข่าวใจ โธ่คืนนี้ไม่มีรักมาพักบ้าน ไม่มีการกวาดหอไว้รอไผ มีแต่ฉันวันนี้ไม่มีใคร กับหัวใจว่างเปล่าในเงาจันทร์ โอ้วันนี้ไม่มีรักแน่นักแล้ว ไม่มีแววความหวังประทังขวัญ เหลือแต่ต่อมน้ำตาต้องจาบัลย์ ก็เท่านั้นก็เท่านั้นเท่านั้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ส้ม” 🍊 มีประโยชน์ ผลไม้วิตามินซีสูง ดีต่อร่างกาย

    “ส้ม” 🍊 ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน วิตามินซีสูง อีกทั้งยังมีแคลเซียม โพแทสเซียม และไฟเบอร์ เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ประทานส้มแล้วดีต่อร่างกายอย่างไร?

    ✅ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย
    ✅ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
    ✅ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
    ✅ ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
    ✅ ผิวมีสุขภาพดี และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว
    ✅ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
    ✅ ช่วยบำรุงสายตา
    ✅ มีกากใยสูง ช่วยระบบขับถ่าย

    อย่างไรก็ตาม การรับประทานส้ม🍊 ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป มิฉะนั้นจากประโยชน์ก็อาจกลายเป็นผลเสียได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไต จะต้องระมัดระวังการรับประทานส้มมากกว่าคนทั่วไป

    ✨ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน โดยเน้นอาหารที่มีวิตามินซีสูงหรือรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มระดับวิตามินซีให้อยู่ในภาวะปกติ ขอแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Lypo-Spheric Vitamin C 1000 mg.

    สอบถาม/สั่งซื้อ ทักหาแอดมินได้เลยค่ะ
    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
    Call Center : 02-994-1977, 095-492-2826
    Line : https://lin.ee/tNvC5cu
    Facebook : https://www.facebook.com/WWCwisdom
    ---------------------------------
    📌YouTube Channel :
    https://www.youtube.com/channel/UCknM3q3nwMdodpUJaPmTLcA
    📌Line Official Account :
    https://lin.ee/tNvC5cu
    📌ตำแหน่งที่ตั้งศูนย์วิสดอม เวลเนส เซ็นเตอร์
    สาขากรุงเทพ : https://maps.app.goo.gl/nZwYWuJfRb754Yga8
    สาขาเชียงใหม่ : https://maps.app.goo.gl/5DBbPmjSXiNcpyrP8
    #vitaminc #วิตามินซี #ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร #อาหารเสริม
    “ส้ม” 🍊 มีประโยชน์ ผลไม้วิตามินซีสูง ดีต่อร่างกาย “ส้ม” 🍊 ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน วิตามินซีสูง อีกทั้งยังมีแคลเซียม โพแทสเซียม และไฟเบอร์ เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ประทานส้มแล้วดีต่อร่างกายอย่างไร? ✅ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย ✅ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ✅ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ✅ ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด ✅ ผิวมีสุขภาพดี และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ✅ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ✅ ช่วยบำรุงสายตา ✅ มีกากใยสูง ช่วยระบบขับถ่าย อย่างไรก็ตาม การรับประทานส้ม🍊 ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป มิฉะนั้นจากประโยชน์ก็อาจกลายเป็นผลเสียได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไต จะต้องระมัดระวังการรับประทานส้มมากกว่าคนทั่วไป ✨ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน โดยเน้นอาหารที่มีวิตามินซีสูงหรือรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มระดับวิตามินซีให้อยู่ในภาวะปกติ ขอแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Lypo-Spheric Vitamin C 1000 mg. สอบถาม/สั่งซื้อ ทักหาแอดมินได้เลยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center : 02-994-1977, 095-492-2826 Line : https://lin.ee/tNvC5cu Facebook : https://www.facebook.com/WWCwisdom --------------------------------- 📌YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/UCknM3q3nwMdodpUJaPmTLcA 📌Line Official Account : https://lin.ee/tNvC5cu 📌ตำแหน่งที่ตั้งศูนย์วิสดอม เวลเนส เซ็นเตอร์ สาขากรุงเทพ : https://maps.app.goo.gl/nZwYWuJfRb754Yga8 สาขาเชียงใหม่ : https://maps.app.goo.gl/5DBbPmjSXiNcpyrP8 #vitaminc #วิตามินซี #ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร #อาหารเสริม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASML เริ่มต้นจากโรงงานหลังคารั่วที่เนเธอร์แลนด์ แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความทุ่มเท บริษัทนี้กลายมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยีลิโทกราฟีสำหรับผลิตชิป ตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องจักรรุ่นแรกในปี 1984 ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยี EUV ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน แสดงถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัท

    บริษัทนี้เริ่มต้นจากการร่วมมือระหว่าง Philips และ Advanced Semiconductor Materials International (ASMI) เพื่อมุ่งสร้างระบบลิโทกราฟีที่ตอบโจทย์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต ปัจจุบัน ASML มีพนักงานกว่า 44,000 คน และสร้างรายได้เกือบ 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี

    นวัตกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มต้น:
    - ASML เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในชื่อ PAS 2000 stepper โดยทีมงานสามารถแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากปั๊มน้ำมันไฮดรอลิกผ่านการติดตั้งคอนเทนเนอร์ในบริเวณโรงงาน ซึ่งกลายเป็นตัวจุดประกายการพัฒนาเทคโนโลยีลิโทกราฟีที่ล้ำหน้าต่อมา.

    ความร่วมมือทางเทคนิคที่ต่อเนื่อง:
    - ความร่วมมือกับบริษัท Carl Zeiss ในด้านการผลิตเลนส์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 และยังคงดำเนินต่อจนถึงปัจจุบัน สร้างมาตรฐานความแม่นยำในเครื่องจักรของ ASML.

    เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า:
    - ในปี 2010 ASML ได้เปิดตัวเครื่อง Twinscan NXE:3100 ที่ใช้เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุคปัจจุบัน.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม:
    - ปัจจุบัน ASML เป็นผู้นำในตลาดเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง TSMC, Intel, และ Samsung ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ ASML เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัย.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-recalls-its-humble-origins-in-a-leaky-shed-in-eindhoven-circa-1984-it-now-makes-the-most-cutting-edge-chipmaking-tools-on-the-planet
    ASML เริ่มต้นจากโรงงานหลังคารั่วที่เนเธอร์แลนด์ แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความทุ่มเท บริษัทนี้กลายมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยีลิโทกราฟีสำหรับผลิตชิป ตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องจักรรุ่นแรกในปี 1984 ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยี EUV ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน แสดงถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัท บริษัทนี้เริ่มต้นจากการร่วมมือระหว่าง Philips และ Advanced Semiconductor Materials International (ASMI) เพื่อมุ่งสร้างระบบลิโทกราฟีที่ตอบโจทย์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต ปัจจุบัน ASML มีพนักงานกว่า 44,000 คน และสร้างรายได้เกือบ 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี นวัตกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มต้น: - ASML เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในชื่อ PAS 2000 stepper โดยทีมงานสามารถแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากปั๊มน้ำมันไฮดรอลิกผ่านการติดตั้งคอนเทนเนอร์ในบริเวณโรงงาน ซึ่งกลายเป็นตัวจุดประกายการพัฒนาเทคโนโลยีลิโทกราฟีที่ล้ำหน้าต่อมา. ความร่วมมือทางเทคนิคที่ต่อเนื่อง: - ความร่วมมือกับบริษัท Carl Zeiss ในด้านการผลิตเลนส์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 และยังคงดำเนินต่อจนถึงปัจจุบัน สร้างมาตรฐานความแม่นยำในเครื่องจักรของ ASML. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า: - ในปี 2010 ASML ได้เปิดตัวเครื่อง Twinscan NXE:3100 ที่ใช้เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุคปัจจุบัน. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม: - ปัจจุบัน ASML เป็นผู้นำในตลาดเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง TSMC, Intel, และ Samsung ต่างพึ่งพาเทคโนโลยีของ ASML เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัย. https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-recalls-its-humble-origins-in-a-leaky-shed-in-eindhoven-circa-1984-it-now-makes-the-most-cutting-edge-chipmaking-tools-on-the-planet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันเฟืองประชาธิปไตยที่ยังหัวใจสีแดงและสีส้มอยู่ ตอนนี้ก็เริ่มมีไปร่วมกับกลุ่มอาชีวะของ คปท. และ ศปปส. ไปหลายคนแล้ว ไม่รู้ว่าฟันเฟือง ปชต. ถอดสีแดงไปยืนเคียงข้าง คปท. กันเยอะไหม แต่ผมขอให้เปลี่ยนข้างไปเยอะๆนะครับ
    ฟันเฟืองประชาธิปไตยที่ยังหัวใจสีแดงและสีส้มอยู่ ตอนนี้ก็เริ่มมีไปร่วมกับกลุ่มอาชีวะของ คปท. และ ศปปส. ไปหลายคนแล้ว ไม่รู้ว่าฟันเฟือง ปชต. ถอดสีแดงไปยืนเคียงข้าง คปท. กันเยอะไหม แต่ผมขอให้เปลี่ยนข้างไปเยอะๆนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวจากเพจBrandThink ระบุว่าซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เกาหลีใต้แถลงข่าวเศร้าในเช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2025 ว่า Han Jong-Hee ผู้เป็น CEO คนหนึ่งของบริษัทได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)ทั้งนี้ ทางด้านการบริหารของซัมซุงเองก็คงไม่สะดุดอะไรเพราะบริษัทนี้มี CEO สองคนมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 และ Jun Young-Hyun ผู้เป็น CEO อีกคนในฝั่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ก็คงจะรับหน้าที่ CEO หลักต่อ ส่วนปีกธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่ Han Jong-Hee ผู้ล่วงลับเป็น CEO ทางซัมซุมก็ยังไม่แถลงการว่าใครจะมารับช่วงต่อที่มา:CNN. Samsung co-CEO Han Jong-Hee dies at 63. https://shorter.me/7Hfg3
    รายงานข่าวจากเพจBrandThink ระบุว่าซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เกาหลีใต้แถลงข่าวเศร้าในเช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2025 ว่า Han Jong-Hee ผู้เป็น CEO คนหนึ่งของบริษัทได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)ทั้งนี้ ทางด้านการบริหารของซัมซุงเองก็คงไม่สะดุดอะไรเพราะบริษัทนี้มี CEO สองคนมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 และ Jun Young-Hyun ผู้เป็น CEO อีกคนในฝั่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ก็คงจะรับหน้าที่ CEO หลักต่อ ส่วนปีกธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่ Han Jong-Hee ผู้ล่วงลับเป็น CEO ทางซัมซุมก็ยังไม่แถลงการว่าใครจะมารับช่วงต่อที่มา:CNN. Samsung co-CEO Han Jong-Hee dies at 63. https://shorter.me/7Hfg3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • รักเลยดีกว่าอย่าห้ามมันเลยความรัก
    เดี๋ยวมันจะหนักจะเหนื่อยจะเมื่อยสมอง
    เอาตามที่ใจใฝ่ฝันไปตามครรลอง
    ตามที่หัวใจเรียกร้องว่ามันต้องการ
    รักเลยดีกว่าถ้าห้ามถ้าไปตามหัก
    มิให้มันรักมิให้หลงห้ามความสงสาร
    ใจมันจะเจ็บเหน็บหนาวมันจะร้าวราน
    ใจจะสิ้นรสหมดหวานหมดน้ำตาลใจ
    รักเลยดีกว่าหน้าที่ของคนมีรัก
    มิใช่จะหักจะเหเที่ยวทำเฉไฉ
    ควรจะบรรจงส่งเสริมคอยเติมเชื้อไฟ
    ทำให้ห้องใจบรรเจิดกันเสียเถิดเธอ
    รักเลยเถิดจ้าเถิดจ้ารีบรีบมารัก
    อย่าทำยึกยักโยเยทำโอ้เอ้เอ๋อ
    ที่ฉันเที่ยวถามเที่ยวทักหมั่นมาดักเจอ
    ก็เพราะรักเธอแท้แท้เลยนะแม่คุณ
    รักเลยดีกว่าอย่าห้ามมันเลยความรัก เดี๋ยวมันจะหนักจะเหนื่อยจะเมื่อยสมอง เอาตามที่ใจใฝ่ฝันไปตามครรลอง ตามที่หัวใจเรียกร้องว่ามันต้องการ รักเลยดีกว่าถ้าห้ามถ้าไปตามหัก มิให้มันรักมิให้หลงห้ามความสงสาร ใจมันจะเจ็บเหน็บหนาวมันจะร้าวราน ใจจะสิ้นรสหมดหวานหมดน้ำตาลใจ รักเลยดีกว่าหน้าที่ของคนมีรัก มิใช่จะหักจะเหเที่ยวทำเฉไฉ ควรจะบรรจงส่งเสริมคอยเติมเชื้อไฟ ทำให้ห้องใจบรรเจิดกันเสียเถิดเธอ รักเลยเถิดจ้าเถิดจ้ารีบรีบมารัก อย่าทำยึกยักโยเยทำโอ้เอ้เอ๋อ ที่ฉันเที่ยวถามเที่ยวทักหมั่นมาดักเจอ ก็เพราะรักเธอแท้แท้เลยนะแม่คุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนรอบที่ร้อย พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า หัวใจพัง-โรคซึมเศร้า
    .
    ภาครัฐไทยเดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น หลังพบอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ สั่ง สสส. ขยายเครือข่ายควบคุมการบริโภคยาสูบ ประสานหน่วยงานต่างๆ สร้างความเข้าใจและเฝ้าระวังการลักลอบจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027828
    เตือนรอบที่ร้อย พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า หัวใจพัง-โรคซึมเศร้า . ภาครัฐไทยเดินหน้ากวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น หลังพบอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ สั่ง สสส. ขยายเครือข่ายควบคุมการบริโภคยาสูบ ประสานหน่วยงานต่างๆ สร้างความเข้าใจและเฝ้าระวังการลักลอบจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027828
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 706 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังครองรักกันมายาวนาน 18 ปี และได้จูงมือจดทะเบียนสมรสกันไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 ม.ค. 68) พิธีกรคนเก่ง “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” ก็ได้ควงหวานใจ “โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล” จัดพิธีฉลองมงคลสมรสสุดโรแมนติกและอลังการ โดยเนรมิตพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ให้หอมอบอวนไปด้วยกลิ่นไอรัก ภายใต้คอนเซปต์ WANDOLAND OF LOVE ที่ได้แรงบัลดาลมาจาก ดินแดนมหัศจรรย์แห่งความสุข เพื่อชวนทุกคนเดินทางเข้าสู่โลกแห่งเรื่องราวความรักของทั้งคู่

    ซึ่งงานนี้ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้เกียรติเป็นประธานในงานมงคลสมรส พร้อมด้วยครอบครัว และแขกผู้มีเกียรติ รวมถึงเพื่อนพ้องศิลปินดารา ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างคับคั่ง ด้วยลุคแฟชั่นแบบจัดเต็ม อาทิ มดดํา คชาภา , แต้ว ณฐพร, มิว นิษฐา , วิน-เมธวิน , ลูกเกด-เมทินี , เป้ย ปานวาด , ต่อ-ธนภพ , นาย ณภัทร , เจเจ กฤษณภูมิ , ต้าเหนิง กัญญาวีร์ , เอมี่ กลิ่นประทุม , ซี ศิวัฒน์ , ต้นหอม ศกุนตลา , วุ้นเส้น วิริฒิพา , คริส หอวัง , แพนเค้ก เขมนิจ , ก้อย รัชวิน , ตูน อาทิวราห์ , เฌอปราง อารีย์กุล , รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ฯลฯ

    โดยบรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน ก่อนปิดท้ายด้วยอาฟเตอร์ปาร์ตี้สุดว้าว ที่โชว์แสง สี เสียง สุดตระการตา จากเหล่าศิลปินในวงการที่มาร่วมสร้างสีสันบันเทิง ได้แก่ ตู่ ภพธร, ติ๊นา-คริสติน่า อากีล่าร์, ดา เอ็นโดรฟิน, มาช่า วัฒนพานิช, ทาทา ยัง, รัดเกล้า อามระดิษ, จิ๋ว ปิยนุช , กระแต อาร์สยาม พร้อมด้วยดีเจทั้งไทยและต่างประเทศ อย่าง DJ Wukong และ DJ Bomber Selecta ที่หมุนเวียนมาโชว์แบบจัดเต็ม เรียกได้ว่าอิ่มเอมหัวใจ สนุกครบรส

    #MGROnline #วู้ดดี้วุฒิธร #โอ๊ตอัครพล
    หลังครองรักกันมายาวนาน 18 ปี และได้จูงมือจดทะเบียนสมรสกันไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 ม.ค. 68) พิธีกรคนเก่ง “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” ก็ได้ควงหวานใจ “โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล” จัดพิธีฉลองมงคลสมรสสุดโรแมนติกและอลังการ โดยเนรมิตพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ให้หอมอบอวนไปด้วยกลิ่นไอรัก ภายใต้คอนเซปต์ WANDOLAND OF LOVE ที่ได้แรงบัลดาลมาจาก ดินแดนมหัศจรรย์แห่งความสุข เพื่อชวนทุกคนเดินทางเข้าสู่โลกแห่งเรื่องราวความรักของทั้งคู่ • ซึ่งงานนี้ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้เกียรติเป็นประธานในงานมงคลสมรส พร้อมด้วยครอบครัว และแขกผู้มีเกียรติ รวมถึงเพื่อนพ้องศิลปินดารา ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างคับคั่ง ด้วยลุคแฟชั่นแบบจัดเต็ม อาทิ มดดํา คชาภา , แต้ว ณฐพร, มิว นิษฐา , วิน-เมธวิน , ลูกเกด-เมทินี , เป้ย ปานวาด , ต่อ-ธนภพ , นาย ณภัทร , เจเจ กฤษณภูมิ , ต้าเหนิง กัญญาวีร์ , เอมี่ กลิ่นประทุม , ซี ศิวัฒน์ , ต้นหอม ศกุนตลา , วุ้นเส้น วิริฒิพา , คริส หอวัง , แพนเค้ก เขมนิจ , ก้อย รัชวิน , ตูน อาทิวราห์ , เฌอปราง อารีย์กุล , รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ฯลฯ • โดยบรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน ก่อนปิดท้ายด้วยอาฟเตอร์ปาร์ตี้สุดว้าว ที่โชว์แสง สี เสียง สุดตระการตา จากเหล่าศิลปินในวงการที่มาร่วมสร้างสีสันบันเทิง ได้แก่ ตู่ ภพธร, ติ๊นา-คริสติน่า อากีล่าร์, ดา เอ็นโดรฟิน, มาช่า วัฒนพานิช, ทาทา ยัง, รัดเกล้า อามระดิษ, จิ๋ว ปิยนุช , กระแต อาร์สยาม พร้อมด้วยดีเจทั้งไทยและต่างประเทศ อย่าง DJ Wukong และ DJ Bomber Selecta ที่หมุนเวียนมาโชว์แบบจัดเต็ม เรียกได้ว่าอิ่มเอมหัวใจ สนุกครบรส • #MGROnline #วู้ดดี้วุฒิธร #โอ๊ตอัครพล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรดอย่าปิดตายประตูใจจะได้ไหมเออ
    แง้มสักหน่อยเน้อนิดนึงขอแค่หนึ่งน้อย
    อย่าให้ฉันต้องงัดแงะเป็นแผลเป็นรอย
    ประเดี๋ยวด่างพร้อยพลอยช้ำโดยไม่จำเป็น
    โปรดเปิดประตูหัวใจเปิดได้ไหมเอ่ย
    เปิดออกมาเลยห้องใจเปิดมาให้เห็น
    ฉันคอยแวะเวียนเพียรเฝ้าทั้งเช้าทั้งเย็น
    ด้วยหัวใจเต้นตุ้มต่อมคอยด้อมด้อมมอง
    จะปิดประตูหัวใจไปทำไมหนา
    ฉันแวะเวียนมาค่ำเช้าเก้อจนเศร้าหมอง
    ให้ฉันเข้าไปข้างในสมดั่งใจปอง
    แล้วค่อยปิดห้องหัวใจได้ไหมละเธอ
    โปรดอย่าปิดตายประตูใจจะได้ไหมเออ แง้มสักหน่อยเน้อนิดนึงขอแค่หนึ่งน้อย อย่าให้ฉันต้องงัดแงะเป็นแผลเป็นรอย ประเดี๋ยวด่างพร้อยพลอยช้ำโดยไม่จำเป็น โปรดเปิดประตูหัวใจเปิดได้ไหมเอ่ย เปิดออกมาเลยห้องใจเปิดมาให้เห็น ฉันคอยแวะเวียนเพียรเฝ้าทั้งเช้าทั้งเย็น ด้วยหัวใจเต้นตุ้มต่อมคอยด้อมด้อมมอง จะปิดประตูหัวใจไปทำไมหนา ฉันแวะเวียนมาค่ำเช้าเก้อจนเศร้าหมอง ให้ฉันเข้าไปข้างในสมดั่งใจปอง แล้วค่อยปิดห้องหัวใจได้ไหมละเธอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะหักใจมิให้รักมันก็หักบ่ไหว
    เป็นเพราะว่าหัวใจมันแกร่งมันแข็งขืน
    มันต่อต้านค้านคัดมันยังคงหยัดยืน
    มันไม่คืนคำรักหากไปหักมันจะงอน
    คิดหักใจจะไม่รักมันก็หักบ่ได้
    ใจมิใช่เสาหลักประเดี๋ยวปักเดี๋ยวถอน
    ใจคือเนื้อคือใจมีเอนไหวโอนอ่อน
    มันมีผ่อนหนักเบาเพราะว่ามันเข้าใจ
    หักห้ามใจอย่าให้รักอย่าไปหักไปห้าม
    ไม่ปล่อยตามที่มันรักอาจจะถึงตักษัย
    การหักห้ามความรักมันจะหนักหัวใจ
    ปล่อยมันไปให้มันรักนั่นจึงจักว่าดี
    การหักใจจะไม่รักมันก็เหมือนหักเหลี่ยม
    ช่างโหดเหี้ยมกับหัวใจกระไรนี่
    ใจจะรักกลับหักหาญไปรอนรานฤดี
    ไม่ควรที่จะทำไปก่อกรรมกับใจ
    จะหักใจมิให้รักจงอย่าหักกันเลย
    อยู่เฉยเฉยซะดีกว่าเป็นไหนไหน
    จงอย่าคิดระรานความต้องการของใจ
    คอยลุ้นให้สมรักอย่าได้หักเลยเธอ
    จะหักใจมิให้รักมันก็หักบ่ไหว เป็นเพราะว่าหัวใจมันแกร่งมันแข็งขืน มันต่อต้านค้านคัดมันยังคงหยัดยืน มันไม่คืนคำรักหากไปหักมันจะงอน คิดหักใจจะไม่รักมันก็หักบ่ได้ ใจมิใช่เสาหลักประเดี๋ยวปักเดี๋ยวถอน ใจคือเนื้อคือใจมีเอนไหวโอนอ่อน มันมีผ่อนหนักเบาเพราะว่ามันเข้าใจ หักห้ามใจอย่าให้รักอย่าไปหักไปห้าม ไม่ปล่อยตามที่มันรักอาจจะถึงตักษัย การหักห้ามความรักมันจะหนักหัวใจ ปล่อยมันไปให้มันรักนั่นจึงจักว่าดี การหักใจจะไม่รักมันก็เหมือนหักเหลี่ยม ช่างโหดเหี้ยมกับหัวใจกระไรนี่ ใจจะรักกลับหักหาญไปรอนรานฤดี ไม่ควรที่จะทำไปก่อกรรมกับใจ จะหักใจมิให้รักจงอย่าหักกันเลย อยู่เฉยเฉยซะดีกว่าเป็นไหนไหน จงอย่าคิดระรานความต้องการของใจ คอยลุ้นให้สมรักอย่าได้หักเลยเธอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง
    .
    ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้
    .
    แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย
    .
    ---------------
    ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก"
    ---------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป...
    .
    ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ
    .
    ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ
    .
    อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี)
    .
    เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย
    .
    เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้...
    .
    ------------------------
    กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง
    ------------------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551
    .
    ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ
    .
    ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล
    .
    ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่
    .
    หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664
    .
    แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน
    .
    ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค
    .
    ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง
    .
    และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี
    .
    ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด
    ---------------------------------
    แหล่งข้อมูล
    - https://www.git.or.th/g20130410.html
    - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true
    - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175?
    - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater
    - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป
    - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง . ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้ . แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย . --------------- ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก" --------------- . อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป... . ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ . ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ . อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี) . เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย . เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้... . ------------------------ กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง ------------------------ . อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551 . ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ . ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล . ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่ . หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664 . แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน . ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค . ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง . และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี . ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด --------------------------------- แหล่งข้อมูล - https://www.git.or.th/g20130410.html - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175? - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/ ------------------------------- ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่ Website : http://www.thailandvision.co Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 719 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts