• 🔥 19 ปี โศกนาฏกรรมศาลท้าวมหาพรหม หนุ่มป่วยจิตบุกทุบ รุมสกรัมดับกลางราชประสงค์! 😱

    📝 ย้อนเหตุการณ์ช็อก 19 ปี ที่ผ่านมา! หนุ่มป่วยจิตบุกทุบศาลท้าวมหาพรหม ชาวบ้านรุมสกรัมจนเสียชีวิต แรงศรัทธาและแรงแค้น ปะทะกันอย่างรุนแรง!

    📚 ✨ 19 ปี ผ่านไป กับเหตุการณ์ที่ยังฝังใจคนไทย วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 🌙 เช้ามืดที่ราชประสงค์ เวลาตีหนึ่ง กลายเป็นเวทีของเหตุการณ์ ที่คนไทยทั้งประเทศไม่อาจลืม... เมื่อชายหนุ่มรายหนึ่ง บุกเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม กลางสี่แยกสำคัญ ทุบองค์พระพรหมจนแตกละเอียด ก่อนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย จนเสียชีวิตต่อหน้าสายตาคนมากมาย 😢

    เรื่องราวครั้งนั้น ไม่ใช่เพียงข่าวฆาตกรรม แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อให้เกิดคำถาม และข้อถกเถียงเกี่ยวกับศรัทธา ความเชื่อ และปัญหาทางสุขภาพจิตในสังคมไทย 📖

    🔎 เวลาประมาณตีหนึ่งของวันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 🚨 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้รับแจ้งเหตุ มีชายคนหนึ่งถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิต หน้าทางเข้าโรงแรมเอราวัณ จุดศูนย์กลางของศรัทธาและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ กลางกรุงเทพมหานคร 🏙️

    🎯 ชายคนดังกล่าว อายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาว พับขาขึ้นมา เขามีรอยสักคำว่า "อามีน" บริเวณแผ่นหลัง พบค้อนและเหล็กเสียบร่ม ในพื้นที่ใกล้ศพ องค์ท้าวมหาพรหมถูกทุบจนแตกละเอียด เหลือแต่ฐาน 😢 ไม่มีเอกสารแสดงตัวตน พบเพียงบุหรี่ ยาเส้น ไฟแช็ก และเงิน 8 บาท
    ต่อมา

    พ่อของชายหนุ่มได้มายืนยันตัวตน ว่าผู้เคราะห์ร้ายชื่อ นายธนกร ภักดีผล อายุ 27 ปี ป่วยเป็นโรคจิตเวชมานานกว่า 6 ปี 🧠

    🛕 ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เป็นมากกว่าสถานที่สักการะ 😇 แต่เป็นศูนย์รวมความเชื่อของคนไทย และชาวต่างชาติที่ศรัทธาใน "องค์มหาพรหม" เทพผู้ประทานพรให้สมปรารถนาในสิ่งที่หวัง

    📌 สร้างขึ้นปี 2499 โดยบริษัทสหโรงแรมไทย และการท่องเที่ยว จำกัด เพื่อแก้เคล็ดฤกษ์ที่ไม่ดี ตามความเชื่อโหราศาสตร์ องค์พระพรหมปั้นจากปูนปลาสเตอร์ ปิดทอง โดยกรมศิลปากร กลายเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ ผู้คนมาขอพรเรื่องความสำเร็จ ในชีวิตและการงาน 🙏

    💥 ความเชื่อกับความกลัว ปฏิกิริยาของผู้คนต่อเหตุการณ์ หลังเหตุการณ์ หน้าศาลท้าวมหาพรหม เต็มไปด้วยความเศร้าโศก และตื่นตระหนก 😭 ผู้ศรัทธาหลายคนร่ำไห้ เชื่อว่านี่คือ "ลางร้าย" ที่บอกเหตุการณ์ไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย 🇹🇭

    นายภิญโญ พงศ์เจริญ นักโหราศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณจากฟ้าดิน ว่าเกิดสิ่งไม่เป็นมงคล ⚡

    🩺 ประเด็นปัญหาทางสังคม บทเรียนจากโศกนาฏกรรม สุขภาพจิต คือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม! 🧠 นายธนกรป่วยเป็นโรคจิตเวชมานาน แต่ไม่มีระบบสวัสดิการที่เพียงพอ ในการดูแลรักษา พ่อต้องพาไปโรงพยาบาลถึง 4 แห่ง แต่ไม่ได้ผลถาวร 😓

    🚨 ประเด็นที่สังคมควรถาม
    - ทำไมถึงไม่มีการช่วยเหลือทันทีจากตำรวจ 191 ที่พ่อโทรแจ้งก่อนเหิดเหตุ?
    - ระบบสุขภาพจิตของไทย รองรับผู้ป่วยเรื้อรังเพียงพอหรือไม่?
    - ประชาทัณฑ์คือความยุติธรรม หรืออารมณ์ชั่ววูบ?

    🛠️ บูรณะศาลท้าวมหาพรหม เยียวยาความรู้สึกคนไทย หลังเหตุการณ์ โรงแรมเอราวัณและกรมศิลปากร เร่งบูรณะองค์ท้าวมหาพรหม 🔧 โดยใช้เทคนิคใหม่ เช่น ใยหิน ปูนเขียว แกนสเตนเลส และทองเหลืองจากสวีเดน พร้อมปิดทองใหม่ทุกจุด ✨

    📅 ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 มีพิธีบวงสรวงใหญ่ และเชิญองค์ท้าวมหาพรหม กลับประดิษฐาน ณ จุดเดิม ช่วยปลุกขวัญ และฟื้นฟูศรัทธาประชาชนอีกครั้ง 🙏

    💣 เหตุการณ์ระเบิดปี 2558 ฝันร้ายซ้ำสองที่ไม่มีใครอยากจำ วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.55 น. เกิดเหตุระเบิดกลางศาลท้าวมหาพรหมอีกครั้ง 🔥 ด้วยระเบิดทีเอ็นทีหนัก 5 กก. มีผู้เสียชีวิตทันที 16 ราย และบาดเจ็บกว่า 70 คน

    แรงระเบิดทำให้องค์มหาพรหม เสียหายอย่างหนัก ต้องบูรณะด้วยงบประมาณกว่า 70,000 บาท ภายในเวลาเพียง 9 วัน ⚒️

    📉 วิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม ศรัทธา และความมั่นคง คำถามใหญ่ที่เกิดขึ้น 🤔 รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง สามารถป้องกันเหตุการณ์แบบนี้ได้แค่ไหน? ศรัทธายังเป็นพลังบวก หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดกลัวในสังคม?

    💡 ทางออกที่ควรพิจารณา เพิ่มการดูแลผู้ป่วยจิตเวช และสร้างระบบรับมือวิกฤตสุขภาพจิต ที่มีประสิทธิภาพ เสริมความเข้มแข็งในการป้องกันเหตุอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

    📝 ศรัทธา...ยังคงอยู่ หรือเลือนหายไป? 19 ปีผ่านไป เหตุการณ์ที่ศาลท้าวมหาพรหม ยังสอนว่า "ศรัทธา" อาจเป็นทั้งพลังสร้างสรรค์ และพลังทำลายได้ ถ้าไม่รู้จักใช้มันให้ถูกที่ถูกทาง 🙏✨

    สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้จากอดีต ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ในรูปแบบใหม่อีกครั้ง 💔

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210927 มี.ค. 2568

    📣 #ท้าวมหาพรหม #ศาลเอราวัณ #ศรัทธามหาชน #เหตุการณ์ราชประสงค์ #สุขภาพจิต #รุมประชาทัณฑ์ #บูรณะศาลท้าวมหาพรหม #ระเบิดราชประสงค์ #ข่าวอาชญากรรม #สังคมไทยวันนี้
    🔥 19 ปี โศกนาฏกรรมศาลท้าวมหาพรหม หนุ่มป่วยจิตบุกทุบ รุมสกรัมดับกลางราชประสงค์! 😱 📝 ย้อนเหตุการณ์ช็อก 19 ปี ที่ผ่านมา! หนุ่มป่วยจิตบุกทุบศาลท้าวมหาพรหม ชาวบ้านรุมสกรัมจนเสียชีวิต แรงศรัทธาและแรงแค้น ปะทะกันอย่างรุนแรง! 📚 ✨ 19 ปี ผ่านไป กับเหตุการณ์ที่ยังฝังใจคนไทย วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 🌙 เช้ามืดที่ราชประสงค์ เวลาตีหนึ่ง กลายเป็นเวทีของเหตุการณ์ ที่คนไทยทั้งประเทศไม่อาจลืม... เมื่อชายหนุ่มรายหนึ่ง บุกเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม กลางสี่แยกสำคัญ ทุบองค์พระพรหมจนแตกละเอียด ก่อนจะถูกชาวบ้านรุมทำร้าย จนเสียชีวิตต่อหน้าสายตาคนมากมาย 😢 เรื่องราวครั้งนั้น ไม่ใช่เพียงข่าวฆาตกรรม แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อให้เกิดคำถาม และข้อถกเถียงเกี่ยวกับศรัทธา ความเชื่อ และปัญหาทางสุขภาพจิตในสังคมไทย 📖 🔎 เวลาประมาณตีหนึ่งของวันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 🚨 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้รับแจ้งเหตุ มีชายคนหนึ่งถูกรุมทำร้ายจนเสียชีวิต หน้าทางเข้าโรงแรมเอราวัณ จุดศูนย์กลางของศรัทธาและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ กลางกรุงเทพมหานคร 🏙️ 🎯 ชายคนดังกล่าว อายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาว พับขาขึ้นมา เขามีรอยสักคำว่า "อามีน" บริเวณแผ่นหลัง พบค้อนและเหล็กเสียบร่ม ในพื้นที่ใกล้ศพ องค์ท้าวมหาพรหมถูกทุบจนแตกละเอียด เหลือแต่ฐาน 😢 ไม่มีเอกสารแสดงตัวตน พบเพียงบุหรี่ ยาเส้น ไฟแช็ก และเงิน 8 บาท ต่อมา พ่อของชายหนุ่มได้มายืนยันตัวตน ว่าผู้เคราะห์ร้ายชื่อ นายธนกร ภักดีผล อายุ 27 ปี ป่วยเป็นโรคจิตเวชมานานกว่า 6 ปี 🧠 🛕 ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เป็นมากกว่าสถานที่สักการะ 😇 แต่เป็นศูนย์รวมความเชื่อของคนไทย และชาวต่างชาติที่ศรัทธาใน "องค์มหาพรหม" เทพผู้ประทานพรให้สมปรารถนาในสิ่งที่หวัง 📌 สร้างขึ้นปี 2499 โดยบริษัทสหโรงแรมไทย และการท่องเที่ยว จำกัด เพื่อแก้เคล็ดฤกษ์ที่ไม่ดี ตามความเชื่อโหราศาสตร์ องค์พระพรหมปั้นจากปูนปลาสเตอร์ ปิดทอง โดยกรมศิลปากร กลายเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ ผู้คนมาขอพรเรื่องความสำเร็จ ในชีวิตและการงาน 🙏 💥 ความเชื่อกับความกลัว ปฏิกิริยาของผู้คนต่อเหตุการณ์ หลังเหตุการณ์ หน้าศาลท้าวมหาพรหม เต็มไปด้วยความเศร้าโศก และตื่นตระหนก 😭 ผู้ศรัทธาหลายคนร่ำไห้ เชื่อว่านี่คือ "ลางร้าย" ที่บอกเหตุการณ์ไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย 🇹🇭 นายภิญโญ พงศ์เจริญ นักโหราศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณจากฟ้าดิน ว่าเกิดสิ่งไม่เป็นมงคล ⚡ 🩺 ประเด็นปัญหาทางสังคม บทเรียนจากโศกนาฏกรรม สุขภาพจิต คือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม! 🧠 นายธนกรป่วยเป็นโรคจิตเวชมานาน แต่ไม่มีระบบสวัสดิการที่เพียงพอ ในการดูแลรักษา พ่อต้องพาไปโรงพยาบาลถึง 4 แห่ง แต่ไม่ได้ผลถาวร 😓 🚨 ประเด็นที่สังคมควรถาม - ทำไมถึงไม่มีการช่วยเหลือทันทีจากตำรวจ 191 ที่พ่อโทรแจ้งก่อนเหิดเหตุ? - ระบบสุขภาพจิตของไทย รองรับผู้ป่วยเรื้อรังเพียงพอหรือไม่? - ประชาทัณฑ์คือความยุติธรรม หรืออารมณ์ชั่ววูบ? 🛠️ บูรณะศาลท้าวมหาพรหม เยียวยาความรู้สึกคนไทย หลังเหตุการณ์ โรงแรมเอราวัณและกรมศิลปากร เร่งบูรณะองค์ท้าวมหาพรหม 🔧 โดยใช้เทคนิคใหม่ เช่น ใยหิน ปูนเขียว แกนสเตนเลส และทองเหลืองจากสวีเดน พร้อมปิดทองใหม่ทุกจุด ✨ 📅 ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 มีพิธีบวงสรวงใหญ่ และเชิญองค์ท้าวมหาพรหม กลับประดิษฐาน ณ จุดเดิม ช่วยปลุกขวัญ และฟื้นฟูศรัทธาประชาชนอีกครั้ง 🙏 💣 เหตุการณ์ระเบิดปี 2558 ฝันร้ายซ้ำสองที่ไม่มีใครอยากจำ วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.55 น. เกิดเหตุระเบิดกลางศาลท้าวมหาพรหมอีกครั้ง 🔥 ด้วยระเบิดทีเอ็นทีหนัก 5 กก. มีผู้เสียชีวิตทันที 16 ราย และบาดเจ็บกว่า 70 คน แรงระเบิดทำให้องค์มหาพรหม เสียหายอย่างหนัก ต้องบูรณะด้วยงบประมาณกว่า 70,000 บาท ภายในเวลาเพียง 9 วัน ⚒️ 📉 วิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม ศรัทธา และความมั่นคง คำถามใหญ่ที่เกิดขึ้น 🤔 รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง สามารถป้องกันเหตุการณ์แบบนี้ได้แค่ไหน? ศรัทธายังเป็นพลังบวก หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดกลัวในสังคม? 💡 ทางออกที่ควรพิจารณา เพิ่มการดูแลผู้ป่วยจิตเวช และสร้างระบบรับมือวิกฤตสุขภาพจิต ที่มีประสิทธิภาพ เสริมความเข้มแข็งในการป้องกันเหตุอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 📝 ศรัทธา...ยังคงอยู่ หรือเลือนหายไป? 19 ปีผ่านไป เหตุการณ์ที่ศาลท้าวมหาพรหม ยังสอนว่า "ศรัทธา" อาจเป็นทั้งพลังสร้างสรรค์ และพลังทำลายได้ ถ้าไม่รู้จักใช้มันให้ถูกที่ถูกทาง 🙏✨ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้จากอดีต ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ในรูปแบบใหม่อีกครั้ง 💔 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210927 มี.ค. 2568 📣 #ท้าวมหาพรหม #ศาลเอราวัณ #ศรัทธามหาชน #เหตุการณ์ราชประสงค์ #สุขภาพจิต #รุมประชาทัณฑ์ #บูรณะศาลท้าวมหาพรหม #ระเบิดราชประสงค์ #ข่าวอาชญากรรม #สังคมไทยวันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 หลักการเลือกทางชีวิตที่ไม่ผิดพลาด 🌿


    ---

    🛤️ 1️⃣ ทางเลือกที่ถูกต้อง ไม่ได้ขึ้นกับว่า ‘อะไรดูดี’ แต่ขึ้นกับ ‘อะไรอยู่กับใจได้นานกว่า’

    ✅ หากต้องเลือกระหว่าง

    เงินผิดๆ กับ ความรู้สึกดีๆ

    ทางลัดที่ไม่ถูกต้อง กับ ความสบายใจที่ยั่งยืน
    ✅ ให้เลือก ‘ความรู้สึกดีๆ’ เพราะ…

    เงินได้มาแล้วก็หมดไป

    แต่ความรู้สึกผิดอยู่กับเราตลอดไป
    📌 "เลือกสิ่งที่ทำให้ใจเราดีในระยะยาว มากกว่าสิ่งที่ให้ผลเร็วแต่เป็นพิษต่อใจ"



    ---

    💰 2️⃣ เงินน้อยแต่ถูกต้อง vs. เงินมากแต่ผิดศีล

    🔴 ได้เงินแบบผิดๆ → อิ่มใจชั่วคราว แต่รู้สึกผิดตลอด

    ได้มาแล้วก็กลัว

    เดี๋ยวเงินหมด แต่ความรู้สึกผิดไม่หมด

    จิตใจไม่สงบ สุขภาพจิตย่ำแย่


    🟢 ไม่ได้เงินจากทางผิด → เสียดายชั่วคราว แต่สบายใจตลอด

    อาจเสียโอกาสเงินเร็ว แต่ใจโล่ง

    สามารถหาเงินจากทางอื่นที่ถูกต้องได้

    ไม่มีกรรมที่ต้องกังวลในอนาคต


    📌 "เงินหมดไปได้ แต่ใจที่บริสุทธิ์และสงบ จะอยู่กับเราตลอด"


    ---

    🌄 3️⃣ ชีวิตก็เหมือนฝันแป๊บเดียว เลือกให้เป็นฝันดี

    ✅ ชีวิตเป็นเหมือนความฝัน → จิตเป็นผู้เสพฝัน
    ✅ ถ้าเลือกผิด → ได้เงินแต่รู้สึกผิด คือ ฝันร้ายที่ฉากดูดี
    ✅ ถ้าเลือกถูก → เงินอาจน้อยลง แต่ ใจสงบ คือฝันดี
    📌 "คุณอยากใช้ชีวิตไปกับฝันดี หรือฝันร้ายที่ดูหรูหรา?"


    ---

    🛤️ 4️⃣ วิธีตัดสินใจเมื่อต้องเลือกทางเดิน

    1️⃣ ตั้งสติ และสำรวจใจ → ทางไหนทำให้จิตใจสงบ?
    2️⃣ คิดถึงผลระยะยาว → เลือกสิ่งที่อยู่กับใจเราได้นาน
    3️⃣ อย่ายึดติดแต่ผลลัพธ์ชั่วคราว → อะไรที่ดึงใจไปในทางผิด อาจดูดีตอนแรก แต่สุดท้ายมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ
    4️⃣ เลือกตามหลักศีลธรรม → ศีลข้อไหนที่เรากำลังจะละเมิด? ถ้าเงินต้องแลกกับความชั่ว เราควรหยุด
    5️⃣ คิดถึงอดีตและอนาคต → ถ้าหันกลับมามองตัวเองหลังจาก 10 ปี เราจะภูมิใจกับสิ่งที่เลือกหรือไม่?

    📌 "การเลือกในวันนี้ กำหนดว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นคนแบบไหน"


    ---

    🔮 5️⃣ สรุป : เลือกทางที่ทำให้ใจเราสงบ ไม่ใช่ทางที่ให้ผลเร็วแต่ทำลายจิตใจ

    ✅ เงินที่ได้จากทางผิด = ฝันร้ายที่ดูหรู
    ✅ เงินที่ได้จากทางถูก = ฝันดีที่เรียบง่าย
    ✅ ถ้าต้องเลือก → ให้เลือกสิ่งที่อยู่กับใจได้ตลอดไป

    📌 "สุดท้าย… จิตดีอยู่กับเราได้นานกว่าเงินเสมอ" 💙

    🌿 หลักการเลือกทางชีวิตที่ไม่ผิดพลาด 🌿 --- 🛤️ 1️⃣ ทางเลือกที่ถูกต้อง ไม่ได้ขึ้นกับว่า ‘อะไรดูดี’ แต่ขึ้นกับ ‘อะไรอยู่กับใจได้นานกว่า’ ✅ หากต้องเลือกระหว่าง เงินผิดๆ กับ ความรู้สึกดีๆ ทางลัดที่ไม่ถูกต้อง กับ ความสบายใจที่ยั่งยืน ✅ ให้เลือก ‘ความรู้สึกดีๆ’ เพราะ… เงินได้มาแล้วก็หมดไป แต่ความรู้สึกผิดอยู่กับเราตลอดไป 📌 "เลือกสิ่งที่ทำให้ใจเราดีในระยะยาว มากกว่าสิ่งที่ให้ผลเร็วแต่เป็นพิษต่อใจ" --- 💰 2️⃣ เงินน้อยแต่ถูกต้อง vs. เงินมากแต่ผิดศีล 🔴 ได้เงินแบบผิดๆ → อิ่มใจชั่วคราว แต่รู้สึกผิดตลอด ได้มาแล้วก็กลัว เดี๋ยวเงินหมด แต่ความรู้สึกผิดไม่หมด จิตใจไม่สงบ สุขภาพจิตย่ำแย่ 🟢 ไม่ได้เงินจากทางผิด → เสียดายชั่วคราว แต่สบายใจตลอด อาจเสียโอกาสเงินเร็ว แต่ใจโล่ง สามารถหาเงินจากทางอื่นที่ถูกต้องได้ ไม่มีกรรมที่ต้องกังวลในอนาคต 📌 "เงินหมดไปได้ แต่ใจที่บริสุทธิ์และสงบ จะอยู่กับเราตลอด" --- 🌄 3️⃣ ชีวิตก็เหมือนฝันแป๊บเดียว เลือกให้เป็นฝันดี ✅ ชีวิตเป็นเหมือนความฝัน → จิตเป็นผู้เสพฝัน ✅ ถ้าเลือกผิด → ได้เงินแต่รู้สึกผิด คือ ฝันร้ายที่ฉากดูดี ✅ ถ้าเลือกถูก → เงินอาจน้อยลง แต่ ใจสงบ คือฝันดี 📌 "คุณอยากใช้ชีวิตไปกับฝันดี หรือฝันร้ายที่ดูหรูหรา?" --- 🛤️ 4️⃣ วิธีตัดสินใจเมื่อต้องเลือกทางเดิน 1️⃣ ตั้งสติ และสำรวจใจ → ทางไหนทำให้จิตใจสงบ? 2️⃣ คิดถึงผลระยะยาว → เลือกสิ่งที่อยู่กับใจเราได้นาน 3️⃣ อย่ายึดติดแต่ผลลัพธ์ชั่วคราว → อะไรที่ดึงใจไปในทางผิด อาจดูดีตอนแรก แต่สุดท้ายมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ 4️⃣ เลือกตามหลักศีลธรรม → ศีลข้อไหนที่เรากำลังจะละเมิด? ถ้าเงินต้องแลกกับความชั่ว เราควรหยุด 5️⃣ คิดถึงอดีตและอนาคต → ถ้าหันกลับมามองตัวเองหลังจาก 10 ปี เราจะภูมิใจกับสิ่งที่เลือกหรือไม่? 📌 "การเลือกในวันนี้ กำหนดว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นคนแบบไหน" --- 🔮 5️⃣ สรุป : เลือกทางที่ทำให้ใจเราสงบ ไม่ใช่ทางที่ให้ผลเร็วแต่ทำลายจิตใจ ✅ เงินที่ได้จากทางผิด = ฝันร้ายที่ดูหรู ✅ เงินที่ได้จากทางถูก = ฝันดีที่เรียบง่าย ✅ ถ้าต้องเลือก → ให้เลือกสิ่งที่อยู่กับใจได้ตลอดไป 📌 "สุดท้าย… จิตดีอยู่กับเราได้นานกว่าเงินเสมอ" 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️

    ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤

    📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย

    เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว

    🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง

    - ยาบ้า
    - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง
    - เอ็กซ์ตาซี
    - เคตามีน
    - MDMA

    รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦

    การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊

    🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX)

    สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่
    - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ
    - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์
    - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส
    - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง
    - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด

    มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น
    🎶 คนรักกัน (2545)
    🎶 ใจถึงใจ (2547)
    🎶 Tag Team (2549)

    เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ

    🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹

    แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸

    ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉

    ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้

    📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล

    การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑

    🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม
    ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด
    ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน

    ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568

    📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️ ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤 📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว 🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง - ยาบ้า - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง - เอ็กซ์ตาซี - เคตามีน - MDMA รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦 การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊 🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX) สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่ - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์ - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น 🎶 คนรักกัน (2545) 🎶 ใจถึงใจ (2547) 🎶 Tag Team (2549) เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ 🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹 แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸 ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉 ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้ 📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑 🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568 📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข"
    ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ

    เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ

    ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า

    1. อนาคต
    ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง

    2. อนามัย
    เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี

    3. อารมณ์
    ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด

    4. ออกกำลังกาย
    จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว

    5. อาหาร
    อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี

    6. อากาศ
    ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น

    7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    8. อดิเรก
    ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

    9. อบอุ่น
    พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น

    9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี

    ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว

    และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย

    Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ

    ภาพ: ปี 2564 (internet)

    ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    "อยู่ 100 ปี อย่างมีความสุข" ผมอยู่ได้ คุณก็อยู่ได้ The Rhythm of my Life โดย นพ.เฉก ธนะสิริ เคล็ดลับความสุขของผม คือ การมีครอบครัวอบอุ่น มีกินมีใช้อย่างพอเพียง และต้องดูแลการกินอยู่ของเราให้ดี ต้องกินผัก ผลไม้เยอะๆ ลดเนื้อสัตว์และอาหารพวกไขมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ คือ กุญแจที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง และนำมาซึ่งความสุขในวัยสูงอายุ ผมมีหลัก 9 อ. ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ทำอย่างไรจะชะลอความชราและปราศจากโรค" ไว้ว่า 1. อนาคต ซึ่งเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะต้องมีอายุยืนยาวอย่างแข็งแรง 2. อนามัย เราต้องดูแลสุขภาพอนามัยของตัวเอง ด้วยการตรวจโรค ตรวจเลือดปีละ 1-2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี 3. อารมณ์ ซึ่งสำคัญมาก ควรทำอารมณ์ให้เป็นปกติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์น้อยที่สุด 4. ออกกำลังกาย จะต้องพอเพียงอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำ 4-6 วัน ต่อสัปดาห์ และเลือกชนิดของการออกกำลังกาย ให้เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัว 5. อาหาร อาหารที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ก็คือ พืชผัก ผลไม้ ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และที่ต้องระวัง อย่ากินพวกที่มีไขมัน น้ำตาล พวกเนื้อสัตว์สี่เท้ามากนัก ต้องเคี้ยวให้ละเอียด ไม่ดื่มน้ำระหว่างกินอาหาร งดดื่มน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ชา น้ำหวานได้ยิ่งดี 6. อากาศ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ออกซิเจน และโอโซน คนในเมืองก็ควรหาโอกาสไปพักผ่อนตามสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เช่น ชายทะเล ป่าเขา เป็นต้น 7. อาทิตย์ หมายถึง แสงอาทิตย์ ร่างกายเราควรจะได้รับแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ตะวันขึ้นไปจนถึงประมาณ 10.00 น. และหลัง 16.00 น. จนตะวันตกดิน เพราะแสงอาทิตย์ในเวลาเหล่านี้ มีรังสีอยู่หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 8. อดิเรก ควรหางานอดิเรกทำ เพราะคนที่อยู่ในวัยสูงอายุมักจะมีเวลาว่างเหลือเฟือ เมื่อใดที่ว่างก็จะรู้สึกเหงา และมักคิดว่าตัวเองหมดคุณค่า ควรระวังอย่าให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 9. อบอุ่น พยายามสร้างความอบอุ่นขึ้นในครอบครัวของตนเองก่อน และเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของลูก และหลาน เหลน แล้วสุขภาพจิตของเราจะสดชื่น 9 อ. ทั้งหมดนี้ ผมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การย้ำคิดย้ำทำอยู่เสมอว่า ความตั้งใจเรา คือ อะไร ซึ่งความปรารถนาของผมก็คือ ตั้งใจจะมีชีวิตยืนยาวอย่างสดชื่น ปราศจากโรคภัยไปจนอายุ 120 ปี ขณะนี้ ผมได้บริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทย และบริจาคร่างกายให้ ร.พ.ศิริราช เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากวันไหนผมเสียชีวิต ก็ลองเอาไปผ่าดูซิว่า ส่วนไหนของร่างกายที่มันชำรุดไปบ้าง สภาพร่างกายผมมันเป็นยังไง ถ้ามันยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็อยากจะให้นำแนวคิด การใช้ชีวิตของผมไปปฏิบัติกันดูบ้าง จะได้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย และจะได้มีอายุยืนยาว และที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการตั้งเป้าชีวิตของผมที่บอกว่า ผมจะอยู่ให้ได้จนถึงอายุ 120 ปี แล้วค่อยตาย Cr : เคล็ดลับอายุยืน หมอเฉก ธนะสิริ ภาพ: ปี 2564 (internet) ปัจจุบันคุณหมอเฉกอายุ 99 ปีค่ะ Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • Empirical Health เปิดบริการใหม่ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อมูลด้านสุขภาพจากสมาร์ทวอทช์และผลตรวจเลือด เพื่อสร้าง "คะแนนสุขภาพ" ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    Empirical Health Radar สามารถรวบรวมข้อมูลชีวภาพ (biomarkers) มากกว่า 40 ชนิดจากสมาร์ทวอทช์ เช่น Apple Watch หรืออุปกรณ์ Wear OS แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลร่วมกับผลการตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์สุขภาพใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ หัวใจ การนอนหลับ การออกกำลังกาย สุขภาพจิต ปอด และไต/ตับ โดยแอปพลิเคชันนี้มีเป้าหมายที่จะเสริมความสามารถของสมาร์ทวอทช์ในการติดตามสุขภาพ ให้ครอบคลุมในจุดที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่สามารถทำได้

    ที่สำคัญคือ ระบบนี้ออกแบบมาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น Dr. Raquel Rodriguez โดยยึดมาตรฐานจากองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำอย่าง American Heart Association และ American College of Cardiology เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือ

    นอกจากการวัดค่าทั่วไปอย่างอัตราการเต้นของหัวใจหรือความดันโลหิต ระบบยังมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดผลตรวจเลือดที่มีอยู่แล้ว หรือจองการตรวจเลือดใหม่ผ่านแอปในราคา $97 รวมถึงสามารถใช้ได้แม้ไม่มีผลตรวจเลือดล่าสุด แต่จะได้คะแนนสุขภาพแบบบางส่วน

    https://www.techradar.com/health-fitness/this-new-health-protocol-combines-40-smartwatch-biomarkers-and-blood-tests-to-give-you-a-health-score
    Empirical Health เปิดบริการใหม่ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อมูลด้านสุขภาพจากสมาร์ทวอทช์และผลตรวจเลือด เพื่อสร้าง "คะแนนสุขภาพ" ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น Empirical Health Radar สามารถรวบรวมข้อมูลชีวภาพ (biomarkers) มากกว่า 40 ชนิดจากสมาร์ทวอทช์ เช่น Apple Watch หรืออุปกรณ์ Wear OS แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลร่วมกับผลการตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์สุขภาพใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ หัวใจ การนอนหลับ การออกกำลังกาย สุขภาพจิต ปอด และไต/ตับ โดยแอปพลิเคชันนี้มีเป้าหมายที่จะเสริมความสามารถของสมาร์ทวอทช์ในการติดตามสุขภาพ ให้ครอบคลุมในจุดที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญคือ ระบบนี้ออกแบบมาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น Dr. Raquel Rodriguez โดยยึดมาตรฐานจากองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำอย่าง American Heart Association และ American College of Cardiology เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือ นอกจากการวัดค่าทั่วไปอย่างอัตราการเต้นของหัวใจหรือความดันโลหิต ระบบยังมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดผลตรวจเลือดที่มีอยู่แล้ว หรือจองการตรวจเลือดใหม่ผ่านแอปในราคา $97 รวมถึงสามารถใช้ได้แม้ไม่มีผลตรวจเลือดล่าสุด แต่จะได้คะแนนสุขภาพแบบบางส่วน https://www.techradar.com/health-fitness/this-new-health-protocol-combines-40-smartwatch-biomarkers-and-blood-tests-to-give-you-a-health-score
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตก

    เดือนนี้ ดีร้ายมีมาแบบยากที่จะคาดเดา โชคลาภเข้าไม่แน่นอน งานคิดสร้างสรรค์ งานวิชาการ งานศึกษา งานศิลปะ วิทยาการ ความสวยงาม จะมีความสำเร็จลุล่วงเจริญก้าวหน้าดี จะมีเรื่องของความสุขสามัคคี ภายในครอบครัว หากรู้จักบริหารควบคุมเสน่ห์ได้อย่างพอเหมาะลงตัว จะได้ไม่เกิดเรื่องชู้สาวให้เป็นประเด็น ชิงรักหักสวาท แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้วุ่นวาย ชายหนุ่มที่เสเพลชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนเป็นประจำ มีโอกาสจะป่วย ทางจิต จะเจ็บปวดที่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี หืด และหอบ สืบเนื่องเพราะสาเหตุจากการใช้ชีวิต ที่ขาดการนอนหลับ พักผ่อนที่เพียงพอ ควรถนอมร่างกายใส่ใจดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกาย เพื่อชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์

    เสริมมงคล : พรมสีแดง
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตก เดือนนี้ ดีร้ายมีมาแบบยากที่จะคาดเดา โชคลาภเข้าไม่แน่นอน งานคิดสร้างสรรค์ งานวิชาการ งานศึกษา งานศิลปะ วิทยาการ ความสวยงาม จะมีความสำเร็จลุล่วงเจริญก้าวหน้าดี จะมีเรื่องของความสุขสามัคคี ภายในครอบครัว หากรู้จักบริหารควบคุมเสน่ห์ได้อย่างพอเหมาะลงตัว จะได้ไม่เกิดเรื่องชู้สาวให้เป็นประเด็น ชิงรักหักสวาท แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้วุ่นวาย ชายหนุ่มที่เสเพลชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนเป็นประจำ มีโอกาสจะป่วย ทางจิต จะเจ็บปวดที่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี หืด และหอบ สืบเนื่องเพราะสาเหตุจากการใช้ชีวิต ที่ขาดการนอนหลับ พักผ่อนที่เพียงพอ ควรถนอมร่างกายใส่ใจดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกาย เพื่อชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ เสริมมงคล : พรมสีแดง ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเตรียมตัวรับมือยุคใหม่

    ---

    1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Analysis)

    สิ่งที่คุณวิเคราะห์มานั้นมีความเป็นไปได้สูง และสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน (AI, Automation, Digitalization, และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลก) นี่คือมุมมองที่ลึกขึ้นสำหรับแต่ละประเด็น

    1.1 ธุรกิจเก่าจะล่มสลาย - แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก

    Real Data: ยอดขายของธุรกิจดั้งเดิมลดลงจริง และอัตราการปิดกิจการเพิ่มขึ้น

    AI Disruption: AI และ Automation แทนที่แรงงานที่ไร้ทักษะ คนที่ไม่ Reskill จะตกงานแน่นอน

    Middle-Class Crisis: รายได้ชนชั้นกลางถูกกดดัน หนี้สินครัวเรือนสูงขึ้น

    → การเตรียมตัว:
    ✅ Upskill & Reskill อย่างต่อเนื่อง
    ✅ พัฒนาอาชีพทางเลือก (Freelance, Online Business, Tech Skills)
    ✅ วางแผนการเงินแบบอนุรักษ์นิยม (ลดหนี้, สร้าง Passive Income)

    ---

    1.2 ธุรกิจยุคใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

    Tech-Driven Economy: คนที่เก่งเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มที่มั่งคั่ง

    Job Market Shift: สายงานดั้งเดิมหดตัว แต่สายงาน Tech, Data Science, AI, และ Digital Business จะเติบโต

    New Wealth Creation: คนทำงานออนไลน์จะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายขึ้น

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ฝึก Coding, Data Analysis, Blockchain, Digital Marketing
    ✅ เรียนรู้ AI Tools (ChatGPT, MidJourney, Copilot, Automation Tools)
    ✅ สร้างรายได้จาก Gig Economy, Online Business, Digital Assets

    ---

    1.3 ภาษาอังกฤษ, คอมพิวเตอร์, เทรดดิ้ง, และสุขภาพจิตเป็นทักษะจำเป็น

    Linguistic Economy: คนที่สื่อสารได้หลายภาษา (โดยเฉพาะอังกฤษ) ได้เปรียบ

    Financial Intelligence: การเทรดหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Crypto จะเป็นทางเลือกของคนฉลาดด้านการเงิน

    Mental Health Crisis: คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้า

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ฝึก ภาษาอังกฤษ + ภาษาที่สาม (จีน/สเปน/ญี่ปุ่น/เยอรมัน)
    ✅ เรียน พื้นฐานการลงทุน, Financial Literacy, Asset Allocation
    ✅ ฝึก สมาธิ, Mental Resilience, Self-Healing Skills

    ---

    1.4 ร้านค้าออฟไลน์ล้มหาย ธุรกิจออนไลน์ครองเมือง

    Retail Apocalypse: ร้านค้าที่มีหน้าร้านจะลดลง 60-80%

    E-Commerce Dominance: Shopee, Lazada, Amazon, TikTok Shop จะเป็นช่องทางหลักของการค้า

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ทำธุรกิจออนไลน์ให้เป็น (E-Commerce, Digital Marketing, Dropshipping, Affiliate, Influencer Economy)
    ✅ ลงทุนในโลจิสติกส์ & AI-driven Sales

    ---

    1.5 คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง

    Wealth Inequality: 1% ของประชากรโลกถือครองทรัพย์สิน 90% ของโลก

    Rich Get Richer: คนที่เข้าใจการลงทุนจะเพิ่มทรัพย์สินได้มหาศาล

    Poor Get Poorer: คนที่ไม่มี Financial Literacy จะจมอยู่กับหนี้

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้าง Passive Income
    ✅ หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Bad Debt)
    ✅ สร้าง Mindset แบบเจ้าของกิจการ (Owner Mindset vs. Employee Mindset)

    ---

    1.6 คนจำนวนมากจะหนีความจริงไปอยู่ในวัดและโลกเสมือน

    Spiritual Escapism: คนที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้จะเลือกอยู่กับศาสนาหรือ Metaverse

    Virtual Reality Economy: การใช้ชีวิตใน Metaverse และ Virtual Work จะกลายเป็นกระแสหลัก

    → การเตรียมตัว:
    ✅ ทำความเข้าใจ Digital Economy และ Virtual Business Models
    ✅ ฝึกทักษะ Mindfulness + Resilience ให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้

    ---

    1.7 คนจะวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น สังคมปั่นป่วน

    Social Discontent: ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เกิดความไม่พอใจ

    Cancel Culture & Digital Mobs: สังคมออนไลน์จะดุเดือดขึ้น

    Political & Economic Shifts: อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายประเทศ

    → การเตรียมตัว:
    ✅ เป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinker) อย่าโดนชักจูงง่ายๆ
    ✅ บริหารความเสี่ยงการลงทุน และไม่ขึ้นกับประเทศเดียว
    ✅ รักษาความเป็นกลาง & มองเกมระยะยาว

    ---

    2. แผนการเตรียมตัวสำหรับยุคใหม่

    ✅ 3 สิ่งที่ต้องทำทันที

    1. ลงทุนในตัวเอง (Tech Skills, Financial Literacy, Global Mindset)

    2. สร้างรายได้หลายทาง (Online Income, Passive Income, Investing)

    3. รักษาสุขภาพกาย-ใจ (Mental Health, Meditation, Longevity Science)

    ⚠️ 3 สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง

    1. การเป็นหนี้เพื่อบริโภค (เน้นลงทุน ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว)

    2. อาศัยเพียงรายได้ทางเดียว (กระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย)

    3. คิดแบบเดิมๆ ในโลกที่เปลี่ยนไป (Open-minded, Adaptive, Resilient)

    ---

    3. คำแนะนำจาก Mentor

    1️⃣ Be Ahead of the Curve

    คนที่อ่านเกมออกเร็วจะได้เปรียบ ถ้าคุณเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ คุณจะเป็น First Mover ในยุคใหม่

    2️⃣ Invest in High-Leverage Skills

    คนที่เก่ง AI, Automation, Financial Literacy, และ Digital Business จะอยู่รอดและรุ่งเรือง

    3️⃣ Own Assets, Not Just Earn Money

    อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ให้เงินทำงานแทนคุณ (Asset Mindset)

    4️⃣ Stay Mentally & Physically Fit

    คนที่รอดคือคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

    5️⃣ Build Multiple Income Streams

    รายได้เดียว = ความเสี่ยงสูง ต้องมี Passive Income & Location-Independent Income
    วิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเตรียมตัวรับมือยุคใหม่ --- 1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Analysis) สิ่งที่คุณวิเคราะห์มานั้นมีความเป็นไปได้สูง และสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน (AI, Automation, Digitalization, และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลก) นี่คือมุมมองที่ลึกขึ้นสำหรับแต่ละประเด็น 1.1 ธุรกิจเก่าจะล่มสลาย - แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก Real Data: ยอดขายของธุรกิจดั้งเดิมลดลงจริง และอัตราการปิดกิจการเพิ่มขึ้น AI Disruption: AI และ Automation แทนที่แรงงานที่ไร้ทักษะ คนที่ไม่ Reskill จะตกงานแน่นอน Middle-Class Crisis: รายได้ชนชั้นกลางถูกกดดัน หนี้สินครัวเรือนสูงขึ้น → การเตรียมตัว: ✅ Upskill & Reskill อย่างต่อเนื่อง ✅ พัฒนาอาชีพทางเลือก (Freelance, Online Business, Tech Skills) ✅ วางแผนการเงินแบบอนุรักษ์นิยม (ลดหนี้, สร้าง Passive Income) --- 1.2 ธุรกิจยุคใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Tech-Driven Economy: คนที่เก่งเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มที่มั่งคั่ง Job Market Shift: สายงานดั้งเดิมหดตัว แต่สายงาน Tech, Data Science, AI, และ Digital Business จะเติบโต New Wealth Creation: คนทำงานออนไลน์จะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายขึ้น → การเตรียมตัว: ✅ ฝึก Coding, Data Analysis, Blockchain, Digital Marketing ✅ เรียนรู้ AI Tools (ChatGPT, MidJourney, Copilot, Automation Tools) ✅ สร้างรายได้จาก Gig Economy, Online Business, Digital Assets --- 1.3 ภาษาอังกฤษ, คอมพิวเตอร์, เทรดดิ้ง, และสุขภาพจิตเป็นทักษะจำเป็น Linguistic Economy: คนที่สื่อสารได้หลายภาษา (โดยเฉพาะอังกฤษ) ได้เปรียบ Financial Intelligence: การเทรดหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, Crypto จะเป็นทางเลือกของคนฉลาดด้านการเงิน Mental Health Crisis: คนที่ปรับตัวไม่ได้จะเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้า → การเตรียมตัว: ✅ ฝึก ภาษาอังกฤษ + ภาษาที่สาม (จีน/สเปน/ญี่ปุ่น/เยอรมัน) ✅ เรียน พื้นฐานการลงทุน, Financial Literacy, Asset Allocation ✅ ฝึก สมาธิ, Mental Resilience, Self-Healing Skills --- 1.4 ร้านค้าออฟไลน์ล้มหาย ธุรกิจออนไลน์ครองเมือง Retail Apocalypse: ร้านค้าที่มีหน้าร้านจะลดลง 60-80% E-Commerce Dominance: Shopee, Lazada, Amazon, TikTok Shop จะเป็นช่องทางหลักของการค้า → การเตรียมตัว: ✅ ทำธุรกิจออนไลน์ให้เป็น (E-Commerce, Digital Marketing, Dropshipping, Affiliate, Influencer Economy) ✅ ลงทุนในโลจิสติกส์ & AI-driven Sales --- 1.5 คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง Wealth Inequality: 1% ของประชากรโลกถือครองทรัพย์สิน 90% ของโลก Rich Get Richer: คนที่เข้าใจการลงทุนจะเพิ่มทรัพย์สินได้มหาศาล Poor Get Poorer: คนที่ไม่มี Financial Literacy จะจมอยู่กับหนี้ → การเตรียมตัว: ✅ ศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้าง Passive Income ✅ หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Bad Debt) ✅ สร้าง Mindset แบบเจ้าของกิจการ (Owner Mindset vs. Employee Mindset) --- 1.6 คนจำนวนมากจะหนีความจริงไปอยู่ในวัดและโลกเสมือน Spiritual Escapism: คนที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้จะเลือกอยู่กับศาสนาหรือ Metaverse Virtual Reality Economy: การใช้ชีวิตใน Metaverse และ Virtual Work จะกลายเป็นกระแสหลัก → การเตรียมตัว: ✅ ทำความเข้าใจ Digital Economy และ Virtual Business Models ✅ ฝึกทักษะ Mindfulness + Resilience ให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ --- 1.7 คนจะวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น สังคมปั่นป่วน Social Discontent: ความเหลื่อมล้ำสูงทำให้เกิดความไม่พอใจ Cancel Culture & Digital Mobs: สังคมออนไลน์จะดุเดือดขึ้น Political & Economic Shifts: อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายประเทศ → การเตรียมตัว: ✅ เป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinker) อย่าโดนชักจูงง่ายๆ ✅ บริหารความเสี่ยงการลงทุน และไม่ขึ้นกับประเทศเดียว ✅ รักษาความเป็นกลาง & มองเกมระยะยาว --- 2. แผนการเตรียมตัวสำหรับยุคใหม่ ✅ 3 สิ่งที่ต้องทำทันที 1. ลงทุนในตัวเอง (Tech Skills, Financial Literacy, Global Mindset) 2. สร้างรายได้หลายทาง (Online Income, Passive Income, Investing) 3. รักษาสุขภาพกาย-ใจ (Mental Health, Meditation, Longevity Science) ⚠️ 3 สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง 1. การเป็นหนี้เพื่อบริโภค (เน้นลงทุน ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว) 2. อาศัยเพียงรายได้ทางเดียว (กระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย) 3. คิดแบบเดิมๆ ในโลกที่เปลี่ยนไป (Open-minded, Adaptive, Resilient) --- 3. คำแนะนำจาก Mentor 1️⃣ Be Ahead of the Curve คนที่อ่านเกมออกเร็วจะได้เปรียบ ถ้าคุณเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ คุณจะเป็น First Mover ในยุคใหม่ 2️⃣ Invest in High-Leverage Skills คนที่เก่ง AI, Automation, Financial Literacy, และ Digital Business จะอยู่รอดและรุ่งเรือง 3️⃣ Own Assets, Not Just Earn Money อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ให้เงินทำงานแทนคุณ (Asset Mindset) 4️⃣ Stay Mentally & Physically Fit คนที่รอดคือคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ 5️⃣ Build Multiple Income Streams รายได้เดียว = ความเสี่ยงสูง ต้องมี Passive Income & Location-Independent Income
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 601 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎁สูงวัยอย่างไรให้มีคุณค่า🎁

    🎁การเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้ การมีคุณค่าหมายถึงการยังคงมีบทบาท มีความหมาย และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง

    👉เริ่มจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตโดยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ทำสวน หรือฝึกสมาธิ

    👉นอกจากนี้ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมก็สำคัญ ลองเข้าร่วมชมรมหรือทำงานอาสาสมัครเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีหรือทักษะใหม่ จะช่วยให้สมองสดชื่นและรู้สึกทันสมัย
    👍สุดท้าย การมองชีวิตในแง่บวก ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย จะทำให้การเป็นผู้สูงวัยเต็มไปด้วยความสุขและความหมายที่แท้จริง
    🎁สูงวัยอย่างไรให้มีคุณค่า🎁 🎁การเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้ การมีคุณค่าหมายถึงการยังคงมีบทบาท มีความหมาย และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง 👉เริ่มจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตโดยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ทำสวน หรือฝึกสมาธิ 👉นอกจากนี้ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมก็สำคัญ ลองเข้าร่วมชมรมหรือทำงานอาสาสมัครเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีหรือทักษะใหม่ จะช่วยให้สมองสดชื่นและรู้สึกทันสมัย 👍สุดท้าย การมองชีวิตในแง่บวก ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย จะทำให้การเป็นผู้สูงวัยเต็มไปด้วยความสุขและความหมายที่แท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌟 **3 เหตุผลที่ควรมีเป้าหมายในชีวิต** 🌟

    1. **แรงบันดาลใจ** 🚀
    2. **ความชัดเจน** 🎯
    3. **สุขภาพจิตดีขึ้น** 😊

    💡 **จงตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้ทุกวันมีความหมาย!** 💪✨
    🌟 **3 เหตุผลที่ควรมีเป้าหมายในชีวิต** 🌟 1. **แรงบันดาลใจ** 🚀 2. **ความชัดเจน** 🎯 3. **สุขภาพจิตดีขึ้น** 😊 💡 **จงตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้ทุกวันมีความหมาย!** 💪✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่:

    ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล**
    - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน
    - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
    - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย

    ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)**
    - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี
    - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

    ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21**
    - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น
    - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ
    - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้

    ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง**
    - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
    - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้

    ### 5. **ความท้าทาย**
    - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่
    - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน
    - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่

    ### 6. **แนวโน้มในอนาคต**
    - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น
    - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น
    - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง

    การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    การศึกษาของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากเทคโนโลยีและสภาพสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการศึกษาของคนรุ่นใหม่: ### 1. **เทคโนโลยีและการเรียนรู้ดิจิทัล** - **การเข้าถึงข้อมูล**: คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน - **การเรียนรู้แบบออนไลน์**: คอร์สออนไลน์และแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น Coursera, Udemy, Khan Academy ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา - **การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล**: คนรุ่นใหม่ใช้เครื่องมือเช่น ChatGPT, Google Scholar และแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อช่วยในการศึกษาและการวิจัย ### 2. **การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)** - คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยี - การเรียนไม่จำกัดเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงการฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ### 3. **ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21** - **ทักษะดิจิทัล**: การใช้เทคโนโลยีเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น - **ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา**: คนรุ่นใหม่ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - **ทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม**: การทำงานร่วมกับผู้อื่นและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ - **ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม**: การคิดนอกกรอบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นทักษะที่ถูกต้องการในยุคนี้ ### 4. **การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง** - คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ - การศึกษาต้องไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ต้องสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และปรับตัวได้ ### 5. **ความท้าทาย** - **ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา**: การเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรทางการศึกษายังไม่เท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ - **การแข่งขันสูง**: คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านการศึกษาและการทำงาน - **สุขภาพจิต**: ความกดดันจากการเรียนและการทำงานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ ### 6. **แนวโน้มในอนาคต** - **การเรียนรู้แบบ personalized**: การศึกษาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการและความสนใจของแต่ละคนมากขึ้น - **การเรียนรู้นอกระบบ**: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการทำงานจะมีความสำคัญมากขึ้น - **การศึกษาแบบบูรณาการ**: การเรียนจะไม่แยกส่วนระหว่างวิชาการและทักษะชีวิต แต่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตจริง การศึกษาของคนรุ่นใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการเรียนในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตและการทำงานในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ

    ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า

    แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Harvard team built a CMOS chip to map 70,000 synaptic connections between 2,000 rat neurons
    Research aims to understand large-scale neural networks via a leap in neuronal recording.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊

    1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ
    2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก
    3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม
    4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้
    5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข
    6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ
    7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน
    8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ
    9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง
    10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง
    📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!

    📣10 วิธีดูแลและจัดการอารมณ์ของ Gen X เมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัย😊 1. ฝึกสติและสมาธิ – ช่วยควบคุมอารมณ์ ลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจ 2. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง – เข้าใจวัยที่เปลี่ยนไป ปรับตัว และมองชีวิตเชิงบวก 3. หลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว – สร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และสังคม 4. หางานอดิเรกที่ชอบ – ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือปลูกต้นไม้ 5. ออกกำลังกายเป็นประจำ – ลดภาวะซึมเศร้า กระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข 6. จัดการความเครียดอย่างมีสติ – ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ หรือฝึกโยคะ 7. หลีกเลี่ยงข่าวและโซเชียลที่กระทบใจ – ลดการเสพข้อมูลลบ ลดอารมณ์แปรปรวน 8. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น – ทำจิตอาสา เพิ่มคุณค่าในชีวิต และเติมเต็มจิตใจ 9. ดูแลสุขภาพจิต – ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง 10. ใช้ชีวิตให้มีความหมาย – ตั้งเป้าหมายใหม่ และมองอนาคตอย่างมีความหวัง 📌การดูแลอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้วัยสูงอายุมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • Planet #3 เทย์เลอร์ สวิฟต์ เดโมแครตตัวแม่ ถูกโห่ไล่สนั่นสนามซูเปอร์โบว์ล 59 ณ ลุยเซียนาถิ่นรีพับลิกัน ที่แท้ฝีมือแฟนคลับทรัมป์ทั้งนั้น ปธน.US โม้เอง

    เธออึ้ง เธอเหลือบตามองแรงงงง์ แล้วยิ้มซุกซน ต่อด้วยแย้มหัวเราะน่ารัก พลางกล่าวกับเพื่อนสาว ไอซ์ สไปซ์ แรปเปอร์คนดังว่า “เกิดอะไรขึ้นอ้ะ...” หลังถูกมหาชนหลายหมื่นชีวิตในสนามแข่งมหกรรมซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ร่วมกันโห่ไล่ ขณะกล้องใหญ่ของสนามจับภาพเธอในชุดเสื้อกล้ามงามเก๋ขึ้นบนจอเมก้ายักษ์จัมโบตรอนกลางสเตเดียม ให้ท่านผู้ชมได้เห็นกระจ่างตาว่า “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ซุปตาร์ของโลกและลูกสาวเดโมแครตระดับตัวแม่ คนที่โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนฟ้องไว้บนโซเชียลมีเดียว่า ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้เข้ามานั่งอยู่ในถิ่นรีพับลิกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    โดยสุดสวยเจ้าเสน่ห์เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องนักธุรกิจดนตรีเจ้าของโครงการเอราส์ คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ (2023–2024) รายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ได้เดินทางไปเชียร์แฟนหนุ่มคือ “ทราวิส เคลซี” และทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ ปะทะเดือดในศึกคนชนคน กับทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่สนามซีซาร์ส ซูเปอร์โดม เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ดินแดนที่พลพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี USA ยึดครองทุกตำแหน่งลีดเดอร์ทางการเมืองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ จดจน ส.ว. - ส.ส.ระดับชาติเกือบทุกเขต และนายกเทศมนตรีเกือบทุกเมือง!!

    แม้จะเจอทีเด็ดดุเดือดเกินเบอร์ ณ ซูเปอร์อีเวนต์ “ซูเปอร์โบว์ล 2025” แต่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผู้หญิงหัวใจทรหดผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมาอย่างต่อเนื่องนานปี ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของเกมคู่ขนานแมตช์อเมริกันฟุตบอล โดยเธอใช้วิธีสุภาพอารมณ์ดีของผู้มีสุขภาพจิตแข็งแรงฉลุยผ่านนาทีหน้าสิ่งหน้าขวานไปได้สบายๆ

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/around/detail/9680000014339

    #MGROnline #เทย์เลอร์สวิฟต์
    Planet #3 เทย์เลอร์ สวิฟต์ เดโมแครตตัวแม่ ถูกโห่ไล่สนั่นสนามซูเปอร์โบว์ล 59 ณ ลุยเซียนาถิ่นรีพับลิกัน ที่แท้ฝีมือแฟนคลับทรัมป์ทั้งนั้น ปธน.US โม้เอง • เธออึ้ง เธอเหลือบตามองแรงงงง์ แล้วยิ้มซุกซน ต่อด้วยแย้มหัวเราะน่ารัก พลางกล่าวกับเพื่อนสาว ไอซ์ สไปซ์ แรปเปอร์คนดังว่า “เกิดอะไรขึ้นอ้ะ...” หลังถูกมหาชนหลายหมื่นชีวิตในสนามแข่งมหกรรมซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ร่วมกันโห่ไล่ ขณะกล้องใหญ่ของสนามจับภาพเธอในชุดเสื้อกล้ามงามเก๋ขึ้นบนจอเมก้ายักษ์จัมโบตรอนกลางสเตเดียม ให้ท่านผู้ชมได้เห็นกระจ่างตาว่า “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ซุปตาร์ของโลกและลูกสาวเดโมแครตระดับตัวแม่ คนที่โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนฟ้องไว้บนโซเชียลมีเดียว่า ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้เข้ามานั่งอยู่ในถิ่นรีพับลิกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว • โดยสุดสวยเจ้าเสน่ห์เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องนักธุรกิจดนตรีเจ้าของโครงการเอราส์ คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ (2023–2024) รายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ได้เดินทางไปเชียร์แฟนหนุ่มคือ “ทราวิส เคลซี” และทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ ปะทะเดือดในศึกคนชนคน กับทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่สนามซีซาร์ส ซูเปอร์โดม เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ดินแดนที่พลพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี USA ยึดครองทุกตำแหน่งลีดเดอร์ทางการเมืองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ จดจน ส.ว. - ส.ส.ระดับชาติเกือบทุกเขต และนายกเทศมนตรีเกือบทุกเมือง!! • แม้จะเจอทีเด็ดดุเดือดเกินเบอร์ ณ ซูเปอร์อีเวนต์ “ซูเปอร์โบว์ล 2025” แต่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผู้หญิงหัวใจทรหดผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมาอย่างต่อเนื่องนานปี ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของเกมคู่ขนานแมตช์อเมริกันฟุตบอล โดยเธอใช้วิธีสุภาพอารมณ์ดีของผู้มีสุขภาพจิตแข็งแรงฉลุยผ่านนาทีหน้าสิ่งหน้าขวานไปได้สบายๆ • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/around/detail/9680000014339 • #MGROnline #เทย์เลอร์สวิฟต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรมสุขภาพจิต เน้นย้ำการเรียนรู้ควบคุมอารมณ์สำคัญต่อเยาวชน พร้อมเชิญชวนสถาบันการศึกษาร่วมดูแลใจ การสร้างสังคมใหม่ไร้ความรุนแรง
    https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1264545278476667
    กรมสุขภาพจิต เน้นย้ำการเรียนรู้ควบคุมอารมณ์สำคัญต่อเยาวชน พร้อมเชิญชวนสถาบันการศึกษาร่วมดูแลใจ การสร้างสังคมใหม่ไร้ความรุนแรง https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1264545278476667
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • ###📌 สูงวัยอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี: ✅️เน้นการป้องกัน และดูแลตัวเอง✅️

    เข้าสู่วัยสูงอายุไม่จำเป็นต้องหมายถึงการยอมรับความเสื่อมสภาพของร่างกาย คุณสามารถ ✴️มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยการป้องกันและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตในวัยทองได้อย่างมีความสุขและสุขภาพดี:

    1. **รับประทานอาหารที่มีประโยชน์**
    การรับประทานอาหารที่สมดุลและมีประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญในทุกช่วงวัย แต่ในวัยสูงอายุควรเน้นอาหารที่มีสารอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และปลา เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น แซลมอนและเมล็ดแฟลกซ์เพื่อบำรุงหัวใจและสมอ
    ❤️กินอาหารที่มีประโยชน์ เท่านั้น❤️
    2. **ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ**
    การออกกำลังกายช่วยรักษากล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเบาหวาน เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า
    ✴️✴️ข้อนี้บอกเลยสำคัญมากๆ✴️✴️

    3. **ดูแลสุขภาพจิต**
    สุขภาพจิตที่ดีมีความสำคัญไม่น้อย ไปกว่าสุขภาพกาย หาเวลาทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เช่น การอ่านหนังสือ ทำสวน หรือพบปะกับเพื่อนฝูง ❌️หลีกเลี่ยงความเครียดและเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกสมาธิ หรือ การหายใจลึก ๆ
    ❤️การรู้จัก ปล่อยวาง และมองทุกอย่างๆที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราเห็น❤️

    4. **ตรวจสุขภาพเป็นประจำ**
    การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้คุณสามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และรับการรักษาอย่างทันท่วงที อย่าลืมตรวจสุขภาพตา หู และฟัน รวมถึงการตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงในวัยสูงอายุ❤️ต้องไปตรวจ❤️

    5. **การดูแลผิวพรรณ**
    ผิวพรรณในวัยสูงอายุมีแนวโน้มที่จะแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย การดูแลผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น ครีมบำรุงผิวหรือเซรั่ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงและรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
    ❤️แนะนำ ผลิตภัณฑ์ Anti -Aging มีครบทุกชนิดค่ะ❤️

    6. **การป้องกันการล้ม**
    การล้มเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและสามารถทำให้เกิด การบาดเจ็บร้ายแรงได้ ตรวจสอบสภาพบ้านและ กำจัดสิ่งกีดขวางที่อาจทำให้ล้ม ใช้รองเท้าที่มีพื้นกันลื่น และติดตั้งราวจับในห้องน้ำ หรือบันได

    7. **การดูแลสายตา และการได้ยิน**
    สุขภาพสายตาและ การได้ยินที่ดีช่วยให้คุณสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ ตรวจสุขภาพตาและหูอย่างสม่ำเสมอ และใช้แว่นตาหรือเครื่องช่วยฟังตามคำแนะนำของแพทย์
    ❤️มีผลิตภัณฑ์ บำรุงสายตา และ เครื่องช่วยฟัง❤️

    ✴️การดูแลตัวเองในวัยสูงอายุไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน คุณจะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตในวัยทองอย่างมีความสุขและสมดุล
    😊ใช้ชีวิตวัยทองอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขึ้นอยู่กับการดูแลและป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธี เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า!
    ###📌 สูงวัยอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี: ✅️เน้นการป้องกัน และดูแลตัวเอง✅️ เข้าสู่วัยสูงอายุไม่จำเป็นต้องหมายถึงการยอมรับความเสื่อมสภาพของร่างกาย คุณสามารถ ✴️มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยการป้องกันและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตในวัยทองได้อย่างมีความสุขและสุขภาพดี: 1. **รับประทานอาหารที่มีประโยชน์** การรับประทานอาหารที่สมดุลและมีประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญในทุกช่วงวัย แต่ในวัยสูงอายุควรเน้นอาหารที่มีสารอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และปลา เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น แซลมอนและเมล็ดแฟลกซ์เพื่อบำรุงหัวใจและสมอ ❤️กินอาหารที่มีประโยชน์ เท่านั้น❤️ 2. **ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ** การออกกำลังกายช่วยรักษากล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเบาหวาน เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า ✴️✴️ข้อนี้บอกเลยสำคัญมากๆ✴️✴️ 3. **ดูแลสุขภาพจิต** สุขภาพจิตที่ดีมีความสำคัญไม่น้อย ไปกว่าสุขภาพกาย หาเวลาทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เช่น การอ่านหนังสือ ทำสวน หรือพบปะกับเพื่อนฝูง ❌️หลีกเลี่ยงความเครียดและเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกสมาธิ หรือ การหายใจลึก ๆ ❤️การรู้จัก ปล่อยวาง และมองทุกอย่างๆที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราเห็น❤️ 4. **ตรวจสุขภาพเป็นประจำ** การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้คุณสามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และรับการรักษาอย่างทันท่วงที อย่าลืมตรวจสุขภาพตา หู และฟัน รวมถึงการตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงในวัยสูงอายุ❤️ต้องไปตรวจ❤️ 5. **การดูแลผิวพรรณ** ผิวพรรณในวัยสูงอายุมีแนวโน้มที่จะแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย การดูแลผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น ครีมบำรุงผิวหรือเซรั่ม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงและรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ❤️แนะนำ ผลิตภัณฑ์ Anti -Aging มีครบทุกชนิดค่ะ❤️ 6. **การป้องกันการล้ม** การล้มเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและสามารถทำให้เกิด การบาดเจ็บร้ายแรงได้ ตรวจสอบสภาพบ้านและ กำจัดสิ่งกีดขวางที่อาจทำให้ล้ม ใช้รองเท้าที่มีพื้นกันลื่น และติดตั้งราวจับในห้องน้ำ หรือบันได 7. **การดูแลสายตา และการได้ยิน** สุขภาพสายตาและ การได้ยินที่ดีช่วยให้คุณสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ ตรวจสุขภาพตาและหูอย่างสม่ำเสมอ และใช้แว่นตาหรือเครื่องช่วยฟังตามคำแนะนำของแพทย์ ❤️มีผลิตภัณฑ์ บำรุงสายตา และ เครื่องช่วยฟัง❤️ ✴️การดูแลตัวเองในวัยสูงอายุไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน คุณจะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตในวัยทองอย่างมีความสุขและสมดุล 😊ใช้ชีวิตวัยทองอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขึ้นอยู่กับการดูแลและป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธี เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 645 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาส่วนตัว
    สำคัญต่อสุขภาพกาย
    และสุขภาพจิตที่ดีของเรา

    จากหนังสือ |ฉันก็แต่ไม่ชอบโลกที่วุ่นวาย

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ฉันก็แต่ไม่ชอบโลกที่วุ่นวาย
    เวลาส่วนตัว สำคัญต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดีของเรา จากหนังสือ |ฉันก็แต่ไม่ชอบโลกที่วุ่นวาย #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ฉันก็แต่ไม่ชอบโลกที่วุ่นวาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงภาพรวมปี 2568 ของคนที่เกิดในวันทั้ง 7

    คนเกิดวันจันทร์

    #การงาน ...ปีนี้จะเป็นปีที่เรื่องงานจะมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น หรือบางคนอาจจะตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำงานอะไร จะค้นพบตัวเองในเรื่องงาน งานไหนที่กดดัน รู้สึกไม่ชอบ ก็อาจจะตัดสินใจออกจากงานนั้น แล้วไปเริ่มทำในสิ่งใหม่ หรือบางคนอาจจะมีการลงทุนอะไรใหม่ๆ มีการทำงานมากกว่า 1 อย่าง ...แต่สำหรับคนที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง หรือยังมีความกล้าไม่มากพอที่จะออกจากงาน เพราะมีความกลัวหลายๆอย่าง เช่นกลัวเงินไม่พอใช้ เพราะจะต้องดูแลรับผิดชอบหลายคนหรือมีหนี้สินที่จะต้องรับผิดชอบ ก็อาจจะต้องทนทำงานไปแบบเซ็งๆ แต่ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนในเรื่องงานหรืออาจจะมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเรื่องงานอีกครั้งในช่วงเดือน กรกฎาคม หรืออาจจะเป็นช่วงตุลาคมท้ายๆปี

    #การเงิน มีโอกาสว่าปีนี้อาจจะมีเรื่องเงินเข้ามามาก หรือมีรายได้เข้ามาหลายทาง แต่ก็จะมีรายจ่ายหมดไปกับคนในครอบครัว หรือถ้าใครมีการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ก็จะต้องเตรียมเงินไปให้พร้อมเพราะอาจจะใช้เงินเกินงบ หรือถ้ามีการลงทุนทำอะไรก็จะต้องตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะอาจจะเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือผลตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะต้องระวังการเงินติดขัดในช่วงเดือน กรกฎาคม-ตุลาคม ส่วนถ้าเดือดร้อนในเรื่องของการเงินนั้นอาจจะหาคนช่วยเหลือได้อยู่ ซึ่งจะต้องเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือเป็นคนที่อายุมากกว่าเป็นเพศชาย...งานเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ ภาษา การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร จะได้รับผลดี

    #ความรัก ...คนที่มีคู่ จะต้องระวังมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง ที่เด่นชัดต้องระวังปัญหาการเงินหนี้สิน และเรื่องคำพูดคำจา ที่อาจจะพูดจาไม่ถนอมน้ำใจกัน ส่วนคนที่อยู่ไกลกันนั้น ก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกแซง ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงหาคม กันยายน ...คนโสด มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรือเข้ามาคบคุยหลายคน และมีโอกาสที่จะได้ออกเดท ได้ไปพบเจอกันที่สถานที่ใกล้น้ำ ซึ่งจะเด่นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และต้องระวังการตั้งครรภ์ด้วย ถ้าไม่พร้อมก็จะต้องป้องกันให้ดีเพราะมีความเสี่ยง ส่วนคนที่เข้ามานั้น ดูแล้วอาจจะมาช่วยเหลืออุปถัมภ์เราได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของแล้ว ...คนที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ดูแล้วจะอยู่กันแบบมีความเครียด คาราคาซัง และอาจจะมีมือที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ต้องระวังมีเรื่องทุกข์ใจ และเครียดช่วงเดือน มีนาคมเป็นต้นไป และอาจจะเครียดไปทั้งปี ถ้ายังไม่เดินออกมาจากความสัมพันธ์นี้

    #สุขภาพ จะต้องระวังเกี่ยวกับปวดตา สายตาไม่ดี หรือบางคนอาจจะได้ตัดแว่นใหม่ ความเครียด โรคซึมเศร้า คิดมาก โรคในช่องปาก ฟัน หรือบางคนอาจจะมีปัญหาทางการเงิน ทำให้เสียสุขภาพจิตตามมา แต่ดูแล้วยังไม่ได้ถึงขั้นมีโรคร้ายแรง ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มีนาคม มิถุนายน เดือนพฤศจิกายน ส่วนถ้าใครมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แล้วจะต้องพบหมอเพื่อติดตามอาการ ก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน เพราะมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากอาหารการกิน หรือโรคจะเป็นมากขึ้น อย่ากินในของที่จะทำให้เกิดโรคเพิ่มขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์มากไป กินหวาน กินเค็ม กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ ...ส่วนคนที่จะมีแผนผ่าตัด ศัลยกรรม หรือมีดวงที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลพบหมอ จะเป็นช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม

    #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากอาหารการกิน หรืออาจได้รับของกินของฝาก หรือได้จากงาน โชคทางการเสี่ยงยังไม่เด่นเท่าไหร่ เลขนำโชค 4/6/9 เสี่ยงโชคจากเลขใกล้ตัว เลขบ้าน เลขรถ

    #การเดินทาง ปลอดภัยดีและมีโอกาสได้รับโชคลาภ แต่ให้ระวังช่วงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกลเพราะอาจมีอุปสรรค

    #สิ่งที่ต้องระวัง...ให้ระวังจะมีเรื่องติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้ชีวิตติดขัด หากไปบนไว้ที่ไหนต้องไปแก้

    #วิธีเสริมดวง ทำบุญบริจาคทาน ช่วยค่าน้ำค่าไฟ ทำทานเกี่ยวกับเด็ก ช่วยเหลือเด็ก บริจาคน้ำดื่ม ปล่อยสัตว์น้ำ สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล 5

    #บทสวดมนต์ที่แนะนำ มหาสมัยสูตร/มหาเมตตาใหญ่/รัตนปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ
    ---------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    ดวงภาพรวมปี 2568 ของคนที่เกิดในวันทั้ง 7 คนเกิดวันจันทร์ #การงาน ...ปีนี้จะเป็นปีที่เรื่องงานจะมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น หรือบางคนอาจจะตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำงานอะไร จะค้นพบตัวเองในเรื่องงาน งานไหนที่กดดัน รู้สึกไม่ชอบ ก็อาจจะตัดสินใจออกจากงานนั้น แล้วไปเริ่มทำในสิ่งใหม่ หรือบางคนอาจจะมีการลงทุนอะไรใหม่ๆ มีการทำงานมากกว่า 1 อย่าง ...แต่สำหรับคนที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง หรือยังมีความกล้าไม่มากพอที่จะออกจากงาน เพราะมีความกลัวหลายๆอย่าง เช่นกลัวเงินไม่พอใช้ เพราะจะต้องดูแลรับผิดชอบหลายคนหรือมีหนี้สินที่จะต้องรับผิดชอบ ก็อาจจะต้องทนทำงานไปแบบเซ็งๆ แต่ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนในเรื่องงานหรืออาจจะมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเรื่องงานอีกครั้งในช่วงเดือน กรกฎาคม หรืออาจจะเป็นช่วงตุลาคมท้ายๆปี #การเงิน มีโอกาสว่าปีนี้อาจจะมีเรื่องเงินเข้ามามาก หรือมีรายได้เข้ามาหลายทาง แต่ก็จะมีรายจ่ายหมดไปกับคนในครอบครัว หรือถ้าใครมีการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ก็จะต้องเตรียมเงินไปให้พร้อมเพราะอาจจะใช้เงินเกินงบ หรือถ้ามีการลงทุนทำอะไรก็จะต้องตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะอาจจะเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือผลตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะต้องระวังการเงินติดขัดในช่วงเดือน กรกฎาคม-ตุลาคม ส่วนถ้าเดือดร้อนในเรื่องของการเงินนั้นอาจจะหาคนช่วยเหลือได้อยู่ ซึ่งจะต้องเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือเป็นคนที่อายุมากกว่าเป็นเพศชาย...งานเกี่ยวกับต่างประเทศ ชาวต่างชาติ ภาษา การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร จะได้รับผลดี #ความรัก ...คนที่มีคู่ จะต้องระวังมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง ที่เด่นชัดต้องระวังปัญหาการเงินหนี้สิน และเรื่องคำพูดคำจา ที่อาจจะพูดจาไม่ถนอมน้ำใจกัน ส่วนคนที่อยู่ไกลกันนั้น ก็จะต้องระวังจะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาแทรกแซง ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงหาคม กันยายน ...คนโสด มีโอกาสที่จะมีคนเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรือเข้ามาคบคุยหลายคน และมีโอกาสที่จะได้ออกเดท ได้ไปพบเจอกันที่สถานที่ใกล้น้ำ ซึ่งจะเด่นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และต้องระวังการตั้งครรภ์ด้วย ถ้าไม่พร้อมก็จะต้องป้องกันให้ดีเพราะมีความเสี่ยง ส่วนคนที่เข้ามานั้น ดูแล้วอาจจะมาช่วยเหลืออุปถัมภ์เราได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเจอคนที่มีเจ้าของแล้ว ...คนที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ดูแล้วจะอยู่กันแบบมีความเครียด คาราคาซัง และอาจจะมีมือที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ต้องระวังมีเรื่องทุกข์ใจ และเครียดช่วงเดือน มีนาคมเป็นต้นไป และอาจจะเครียดไปทั้งปี ถ้ายังไม่เดินออกมาจากความสัมพันธ์นี้ #สุขภาพ จะต้องระวังเกี่ยวกับปวดตา สายตาไม่ดี หรือบางคนอาจจะได้ตัดแว่นใหม่ ความเครียด โรคซึมเศร้า คิดมาก โรคในช่องปาก ฟัน หรือบางคนอาจจะมีปัญหาทางการเงิน ทำให้เสียสุขภาพจิตตามมา แต่ดูแล้วยังไม่ได้ถึงขั้นมีโรคร้ายแรง ต้องระวังเป็นพิเศษช่วงเดือน มีนาคม มิถุนายน เดือนพฤศจิกายน ส่วนถ้าใครมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แล้วจะต้องพบหมอเพื่อติดตามอาการ ก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน เพราะมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากอาหารการกิน หรือโรคจะเป็นมากขึ้น อย่ากินในของที่จะทำให้เกิดโรคเพิ่มขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์มากไป กินหวาน กินเค็ม กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ ...ส่วนคนที่จะมีแผนผ่าตัด ศัลยกรรม หรือมีดวงที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลพบหมอ จะเป็นช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม #โชคลาภ...จะมีโชคลาภจากอาหารการกิน หรืออาจได้รับของกินของฝาก หรือได้จากงาน โชคทางการเสี่ยงยังไม่เด่นเท่าไหร่ เลขนำโชค 4/6/9 เสี่ยงโชคจากเลขใกล้ตัว เลขบ้าน เลขรถ #การเดินทาง ปลอดภัยดีและมีโอกาสได้รับโชคลาภ แต่ให้ระวังช่วงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ให้หลีกเลี่ยงเดินทางไกลเพราะอาจมีอุปสรรค #สิ่งที่ต้องระวัง...ให้ระวังจะมีเรื่องติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้ชีวิตติดขัด หากไปบนไว้ที่ไหนต้องไปแก้ #วิธีเสริมดวง ทำบุญบริจาคทาน ช่วยค่าน้ำค่าไฟ ทำทานเกี่ยวกับเด็ก ช่วยเหลือเด็ก บริจาคน้ำดื่ม ปล่อยสัตว์น้ำ สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล 5 #บทสวดมนต์ที่แนะนำ มหาสมัยสูตร/มหาเมตตาใหญ่/รัตนปริตร/บทพระมหาจักรพรรดิ --------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่ Cr.ภาพ Baan Kanaecha
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 765 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ท้องผูก

    บางครั้งอาการท้องผูกอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวหรือเจ็บปวดได้ หากกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ริดสีดวงทวาร

    ในหลายๆ กรณี คุณสามารถรักษาอาการท้องผูกได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือยาที่ซื้อเองได้ บางคนยังแนะนำให้ใช้วิธีรักษาที่บ้าน เช่น การใช้เบกกิ้งโซดาหรือการล้างลำไส้ด้วยเกลือ

    อาการท้องผูกมีอะไรบ้าง

    หากคุณถ่ายอุจจาระได้ยากหรือถ่ายน้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์ คุณอาจมีอาการท้องผูก

    อาการอื่นๆ ของอาการท้องผูก ได้แก่:

    • ถ่ายอุจจาระเป็นก้อนหรือแข็ง

    • รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย

    • รู้สึกเหมือนทวารหนักอุดตัน

    • รู้สึกเหมือนถ่ายอุจจาระไม่หมด

    • ต้องใช้มือกดที่หน้าท้องเพื่อให้ถ่ายอุจจาระ

    • ต้องใช้มือดึงอุจจาระออกจากทวารหนัก

    อาการท้องผูกมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง

    อาการท้องผูกเรื้อรังอาจทำให้เกิดปัญหาได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา ตัวอย่างเช่น หากคุณมีอาการท้องผูกเรื้อรัง คุณมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการดังต่อไปนี้:

    • ริดสีดวงทวาร

    • รอยแยกที่ทวารหนัก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังรอบทวารหนักฉีกขาด

    • อุจจาระอุดตัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออุจจาระอัดแน่นและติดอยู่ในทวารหนัก

    สาเหตุของอาการท้องผูก

    อาการท้องผูกมักเกิดขึ้นเมื่อของเสียในลำไส้เคลื่อนตัวช้าเกินไป ซึ่งทำให้มีช่วงเวลาในการแข็งตัวและแห้ง ทำให้ขับถ่ายได้ยากขึ้น
    มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก ได้แก่:

    • รับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ

    • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

    • ไม่ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ

    • ไม่ใช้ห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ

    • การรับประทานน้ำตาลและผลไม้ที่มากจนเกินไป

    การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันอาจขัดขวางนิสัยการขับถ่ายของคุณได้ ตัวอย่างเช่น การเดินทางหรือความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลต่อความสามารถในการขับถ่ายเป็นประจำ

    สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่าของอาการท้องผูก ได้แก่:

    • กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวนและโรคลำไส้อื่นๆ

    • รอยแยกที่ทวารหนัก

    • มะเร็งลำไส้ใหญ่

    • ลำไส้ใหญ่ตีบแคบ

    • กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง

    • การตั้งครรภ์

    • ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

    • โรคเบาหวาน

    • ความผิดปกติทางสุขภาพจิต

    • ความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสันหรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง

    • ยาบางชนิด

    อาการท้องผูกรักษาอย่างไร

    ในหลายๆ กรณี คุณสามารถรักษาอาการท้องผูกได้โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิต ตัวอย่างเช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น ดื่มน้ำมากขึ้น และออกกำลังกาย อาจช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น

    หลีกเลี่ยงยาระบายและไฟเบอร์เร่งการขับถ่าย มะขามแขกที่ซื้อเองได้ เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูกแย่ลงได้ในระยะยาว

    วิธีการรักษาตามธรรมชาติบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการได้

    เบกกิ้งโซดา

    เบกกิ้งโซดาถูกใช้เป็นยาลดกรดมานานหลายทศวรรษ การบริโภคเบกกิ้งโซดาสามารถช่วยทำให้กรดในกระเพาะเป็นกลางได้ นั่นเป็นเหตุผลที่บางคนใช้เบกกิ้งโซดาเป็นยารักษาอาการเสียดท้องและอาหารไม่ย่อยตามธรรมชาติ

    ลองผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชากับน้ำเย็น 1 แก้ว ดื่มหลังจากคุณลุกจากเตียง

    การแช่ตัวในเบคกิ้งโซดา

    ตามรายงานของโรงพยาบาล El Camino การแช่ตัวในอ่างที่มีเบคกิ้งโซดาอาจช่วยบรรเทาอาการปวดทวารหนักที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยผ่อนคลายหูรูดทวารหนัก ซึ่งอาจช่วยให้คุณขับถ่ายได้

    ในการเตรียมอ่างด้วยเบคกิ้งโซดา ให้เติมน้ำอุ่นในอ่างแล้วเติมเบคกิ้งโซดา 60 มิลลิลิตร แช่ตัวในอ่างเป็นเวลา 20 นาที

    ผลข้างเคียงของการบริโภคเบคกิ้งโซดา

    มีรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้น้อยมากจากการบริโภคเบคกิ้งโซดา

    แต่การบริโภคเบคกิ้งโซดามากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้:

    • อาเจียน

    • ท้องเสีย

    • ปัสสาวะบ่อย

    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง

    • กล้ามเนื้อกระตุก

    • ชัก

    • หงุดหงิดง่าย

    การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือ

    การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือใช้เพื่อทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย วิธีนี้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมดีท็อกซ์และการอดอาหาร Master Cleanse

    โดยเกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือที่ไม่เสริมไอโอดีนหรือเกลือหิมาลัย การดื่มเกลือและน้ำอุ่นมีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยปกติแล้วจะทำให้ขับถ่ายภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหรืออาจใช้เวลานานกว่านั้นก็ตาม

    การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือมีประโยชน์อย่างไร

    จากหลักฐานเชิงประจักษ์ การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ในระยะสั้นโดยทำให้เกิดการขับถ่าย

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าการล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายหรือขจัดสิ่งที่เรียกว่าของเสียและปรสิตออกจากระบบย่อยอาหารของคุณได้

    แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเต็มไปด้วยคำยืนยันเรื่องการล้างพิษด้วยเกลือ แต่ยากที่จะระบุอัตราความสำเร็จที่แน่นอนได้

    วิธีล้างพิษด้วยน้ำเกลือ

    ขั้นตอนมาตรฐานที่ไม่เป็นทางการสำหรับการล้างพิษด้วยน้ำเกลือคือ:

    • ละลายเกลือทะเลที่ไม่ได้เสริมไอโอดีนหรือเกลือสีชมพูจากเทือกเขาหิมาลัย 2 ช้อนชาในน้ำอุ่น4 ถ้วย

    • ดื่มส่วนผสมนี้ให้เร็วที่สุดในขณะท้องว่างหรือตื่นนอน

    คุณควรจะรู้สึกอยากขับถ่ายไม่นานหลังจากดื่มส่วนผสมของน้ำเกลือ

    ทำไมต้องล้างพิษด้วยน้ำเกลือในตอนเช้า

    การล้างด้วยน้ำเกลือมักจะทำทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า หรืออาจทำตอนเย็นหลังอาหารมื้อสุดท้ายไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ ไม่สำคัญว่าคุณจะล้างในเวลาใดของวัน ตราบใดที่ล้างในขณะท้องว่าง

    อย่าคิดไปทำธุระหรือออกกำลังกายเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำเกลือ คุณอาจขับถ่ายบ่อยมาก ดังนั้นคุณไม่ควรออกห่างจากห้องน้ำมากเกินไป

    ความเสี่ยงและคำเตือน

    โปรดทราบว่าเกลือ 2 ช้อนชาเป็นสองเท่าของโซเดียมต่อวันตามคำแนะนำด้านโภชนาการ (2,300 มิลลิกรัม)

    แม้ว่าการดื่มน้ำเกลือในปริมาณนี้เป็นครั้งคราวจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่การดื่มน้ำเกลือในขณะท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้

    การบริโภคเกลือในปริมาณสูง เช่น ในระหว่างการล้างลำไส้ใหญ่เพื่อเตรียมการส่องกล้อง อาจทำให้เกิดตะคริว ท้องอืด และขาดน้ำได้ การล้างลำไส้ใหญ่โดยทั่วไปอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากการสูญเสียโซเดียมและของเหลวอย่างรวดเร็ว

    ซึ่งอาจนำไปสู่:

    • กล้ามเนื้อกระตุก

    • อ่อนแรง

    • สับสน

    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ

    • ชัก

    • ปัญหาความดันโลหิต

    แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีอาการขับถ่ายหลังจากล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลือ แต่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น การล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง

    อย่าล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลือหากคุณมี:

    • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

    • โรคเบาหวาน

    • อาการบวมน้ำ

    • ปัญหาไต

    • ความดันโลหิตสูง

    • ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะหรือโรคลำไส้อักเสบ

    ผลิตภัณฑ์แนะนำเมื่อมีปัญหาท้องผูก

    Paa vill เพื่อเพิ่มปริมาณเส้นใยอาหารในลำไส้
    K cal เพื่อเพิ่มการบีบและคลายตัวของลำไส้ใหญ่
    Synbc เพื่อเพิ่มจุลชีพฝั่งดีในลำไส้

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #ท้องผูก บางครั้งอาการท้องผูกอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวหรือเจ็บปวดได้ หากกลายเป็นอาการเรื้อรัง อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ริดสีดวงทวาร ในหลายๆ กรณี คุณสามารถรักษาอาการท้องผูกได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือยาที่ซื้อเองได้ บางคนยังแนะนำให้ใช้วิธีรักษาที่บ้าน เช่น การใช้เบกกิ้งโซดาหรือการล้างลำไส้ด้วยเกลือ อาการท้องผูกมีอะไรบ้าง หากคุณถ่ายอุจจาระได้ยากหรือถ่ายน้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์ คุณอาจมีอาการท้องผูก อาการอื่นๆ ของอาการท้องผูก ได้แก่: • ถ่ายอุจจาระเป็นก้อนหรือแข็ง • รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย • รู้สึกเหมือนทวารหนักอุดตัน • รู้สึกเหมือนถ่ายอุจจาระไม่หมด • ต้องใช้มือกดที่หน้าท้องเพื่อให้ถ่ายอุจจาระ • ต้องใช้มือดึงอุจจาระออกจากทวารหนัก อาการท้องผูกมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง อาการท้องผูกเรื้อรังอาจทำให้เกิดปัญหาได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา ตัวอย่างเช่น หากคุณมีอาการท้องผูกเรื้อรัง คุณมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการดังต่อไปนี้: • ริดสีดวงทวาร • รอยแยกที่ทวารหนัก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังรอบทวารหนักฉีกขาด • อุจจาระอุดตัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออุจจาระอัดแน่นและติดอยู่ในทวารหนัก สาเหตุของอาการท้องผูก อาการท้องผูกมักเกิดขึ้นเมื่อของเสียในลำไส้เคลื่อนตัวช้าเกินไป ซึ่งทำให้มีช่วงเวลาในการแข็งตัวและแห้ง ทำให้ขับถ่ายได้ยากขึ้น มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก ได้แก่: • รับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ • ไม่ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ • ไม่ใช้ห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ • การรับประทานน้ำตาลและผลไม้ที่มากจนเกินไป การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันอาจขัดขวางนิสัยการขับถ่ายของคุณได้ ตัวอย่างเช่น การเดินทางหรือความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลต่อความสามารถในการขับถ่ายเป็นประจำ สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่าของอาการท้องผูก ได้แก่: • กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวนและโรคลำไส้อื่นๆ • รอยแยกที่ทวารหนัก • มะเร็งลำไส้ใหญ่ • ลำไส้ใหญ่ตีบแคบ • กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง • การตั้งครรภ์ • ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ • โรคเบาหวาน • ความผิดปกติทางสุขภาพจิต • ความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสันหรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง • ยาบางชนิด อาการท้องผูกรักษาอย่างไร ในหลายๆ กรณี คุณสามารถรักษาอาการท้องผูกได้โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิต ตัวอย่างเช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น ดื่มน้ำมากขึ้น และออกกำลังกาย อาจช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น หลีกเลี่ยงยาระบายและไฟเบอร์เร่งการขับถ่าย มะขามแขกที่ซื้อเองได้ เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูกแย่ลงได้ในระยะยาว วิธีการรักษาตามธรรมชาติบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการได้ เบกกิ้งโซดา เบกกิ้งโซดาถูกใช้เป็นยาลดกรดมานานหลายทศวรรษ การบริโภคเบกกิ้งโซดาสามารถช่วยทำให้กรดในกระเพาะเป็นกลางได้ นั่นเป็นเหตุผลที่บางคนใช้เบกกิ้งโซดาเป็นยารักษาอาการเสียดท้องและอาหารไม่ย่อยตามธรรมชาติ ลองผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชากับน้ำเย็น 1 แก้ว ดื่มหลังจากคุณลุกจากเตียง การแช่ตัวในเบคกิ้งโซดา ตามรายงานของโรงพยาบาล El Camino การแช่ตัวในอ่างที่มีเบคกิ้งโซดาอาจช่วยบรรเทาอาการปวดทวารหนักที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยผ่อนคลายหูรูดทวารหนัก ซึ่งอาจช่วยให้คุณขับถ่ายได้ ในการเตรียมอ่างด้วยเบคกิ้งโซดา ให้เติมน้ำอุ่นในอ่างแล้วเติมเบคกิ้งโซดา 60 มิลลิลิตร แช่ตัวในอ่างเป็นเวลา 20 นาที ผลข้างเคียงของการบริโภคเบคกิ้งโซดา มีรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้น้อยมากจากการบริโภคเบคกิ้งโซดา แต่การบริโภคเบคกิ้งโซดามากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้: • อาเจียน • ท้องเสีย • ปัสสาวะบ่อย • กล้ามเนื้ออ่อนแรง • กล้ามเนื้อกระตุก • ชัก • หงุดหงิดง่าย การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือ การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือใช้เพื่อทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย วิธีนี้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมดีท็อกซ์และการอดอาหาร Master Cleanse โดยเกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือที่ไม่เสริมไอโอดีนหรือเกลือหิมาลัย การดื่มเกลือและน้ำอุ่นมีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยปกติแล้วจะทำให้ขับถ่ายภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหรืออาจใช้เวลานานกว่านั้นก็ตาม การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือมีประโยชน์อย่างไร จากหลักฐานเชิงประจักษ์ การล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ในระยะสั้นโดยทำให้เกิดการขับถ่าย อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าการล้างลำไส้ด้วยน้ำเกลือสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายหรือขจัดสิ่งที่เรียกว่าของเสียและปรสิตออกจากระบบย่อยอาหารของคุณได้ แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเต็มไปด้วยคำยืนยันเรื่องการล้างพิษด้วยเกลือ แต่ยากที่จะระบุอัตราความสำเร็จที่แน่นอนได้ วิธีล้างพิษด้วยน้ำเกลือ ขั้นตอนมาตรฐานที่ไม่เป็นทางการสำหรับการล้างพิษด้วยน้ำเกลือคือ: • ละลายเกลือทะเลที่ไม่ได้เสริมไอโอดีนหรือเกลือสีชมพูจากเทือกเขาหิมาลัย 2 ช้อนชาในน้ำอุ่น4 ถ้วย • ดื่มส่วนผสมนี้ให้เร็วที่สุดในขณะท้องว่างหรือตื่นนอน คุณควรจะรู้สึกอยากขับถ่ายไม่นานหลังจากดื่มส่วนผสมของน้ำเกลือ ทำไมต้องล้างพิษด้วยน้ำเกลือในตอนเช้า การล้างด้วยน้ำเกลือมักจะทำทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า หรืออาจทำตอนเย็นหลังอาหารมื้อสุดท้ายไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ ไม่สำคัญว่าคุณจะล้างในเวลาใดของวัน ตราบใดที่ล้างในขณะท้องว่าง อย่าคิดไปทำธุระหรือออกกำลังกายเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำเกลือ คุณอาจขับถ่ายบ่อยมาก ดังนั้นคุณไม่ควรออกห่างจากห้องน้ำมากเกินไป ความเสี่ยงและคำเตือน โปรดทราบว่าเกลือ 2 ช้อนชาเป็นสองเท่าของโซเดียมต่อวันตามคำแนะนำด้านโภชนาการ (2,300 มิลลิกรัม) แม้ว่าการดื่มน้ำเกลือในปริมาณนี้เป็นครั้งคราวจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่การดื่มน้ำเกลือในขณะท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้ การบริโภคเกลือในปริมาณสูง เช่น ในระหว่างการล้างลำไส้ใหญ่เพื่อเตรียมการส่องกล้อง อาจทำให้เกิดตะคริว ท้องอืด และขาดน้ำได้ การล้างลำไส้ใหญ่โดยทั่วไปอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากการสูญเสียโซเดียมและของเหลวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่: • กล้ามเนื้อกระตุก • อ่อนแรง • สับสน • หัวใจเต้นผิดจังหวะ • ชัก • ปัญหาความดันโลหิต แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีอาการขับถ่ายหลังจากล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลือ แต่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น การล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง อย่าล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำเกลือหากคุณมี: • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ • โรคเบาหวาน • อาการบวมน้ำ • ปัญหาไต • ความดันโลหิตสูง • ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะหรือโรคลำไส้อักเสบ ผลิตภัณฑ์แนะนำเมื่อมีปัญหาท้องผูก Paa vill เพื่อเพิ่มปริมาณเส้นใยอาหารในลำไส้ K cal เพื่อเพิ่มการบีบและคลายตัวของลำไส้ใหญ่ Synbc เพื่อเพิ่มจุลชีพฝั่งดีในลำไส้ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในรูปแบบของแชทบอทที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ได้อย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 เด็กชายอายุ 14 ปีในฟลอริดาได้พัฒนาความสัมพันธ์กับแชทบอทที่มีลักษณะเหมือนจริง และในที่สุดเขาก็ยิงตัวเองเสียชีวิตในห้องน้ำของเขาเอง เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของ AI ต่อสุขภาพจิตของผู้คน

    นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆ เช่น ชายชาวเบลเยียมที่ฆ่าตัวตายหลังจากแชทบอทกระตุ้นความคิดที่มืดมนเกี่ยวกับความวิตกกังวลเรื่องสภาพภูมิอากาศ และวัยรุ่นในเท็กซัสที่ถูกแชทบอทกระตุ้นให้ทำร้ายตัวเองและแม่ของเขา

    AI ยังมีผลกระทบในด้านอื่นๆ เช่น การสร้างภาพลวงตา (deepfake) ที่สามารถใช้ในการกลั่นแกล้งและทำลายชื่อเสียงของผู้คน ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงอายุ 14 ปีในปี 2024 ที่ถูกกลั่นแกล้งจนฆ่าตัวตายหลังจากเพื่อนร่วมชั้นสร้างภาพลวงตาเปลือยของเธอ

    การใช้ AI ในสังคมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีผู้ใช้งาน ChatGPT มากกว่า 200 ล้านคนต่อสัปดาห์ และ Meta AI มีผู้ใช้งานเกือบ 500 ล้านคนต่อเดือน. การเติบโตนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ และมีการเรียกร้องให้มีการตั้งกฎระเบียบเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของผู้คน เช่น การติดป้ายเตือนทางจิตวิทยา การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพจิต และการยืนยันอายุสำหรับผู้เยาว์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/31/opinion-chatbots-arent-just-harmless-fun-artificial-intelligence-is-already-killing-kids
    ข่าวนี้เล่าถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในรูปแบบของแชทบอทที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ได้อย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 เด็กชายอายุ 14 ปีในฟลอริดาได้พัฒนาความสัมพันธ์กับแชทบอทที่มีลักษณะเหมือนจริง และในที่สุดเขาก็ยิงตัวเองเสียชีวิตในห้องน้ำของเขาเอง เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของ AI ต่อสุขภาพจิตของผู้คน นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆ เช่น ชายชาวเบลเยียมที่ฆ่าตัวตายหลังจากแชทบอทกระตุ้นความคิดที่มืดมนเกี่ยวกับความวิตกกังวลเรื่องสภาพภูมิอากาศ และวัยรุ่นในเท็กซัสที่ถูกแชทบอทกระตุ้นให้ทำร้ายตัวเองและแม่ของเขา AI ยังมีผลกระทบในด้านอื่นๆ เช่น การสร้างภาพลวงตา (deepfake) ที่สามารถใช้ในการกลั่นแกล้งและทำลายชื่อเสียงของผู้คน ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงอายุ 14 ปีในปี 2024 ที่ถูกกลั่นแกล้งจนฆ่าตัวตายหลังจากเพื่อนร่วมชั้นสร้างภาพลวงตาเปลือยของเธอ การใช้ AI ในสังคมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีผู้ใช้งาน ChatGPT มากกว่า 200 ล้านคนต่อสัปดาห์ และ Meta AI มีผู้ใช้งานเกือบ 500 ล้านคนต่อเดือน. การเติบโตนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ และมีการเรียกร้องให้มีการตั้งกฎระเบียบเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของผู้คน เช่น การติดป้ายเตือนทางจิตวิทยา การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพจิต และการยืนยันอายุสำหรับผู้เยาว์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/31/opinion-chatbots-arent-just-harmless-fun-artificial-intelligence-is-already-killing-kids
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Chatbots aren’t just harmless fun. Artificial intelligence is already killing kids
    It’s critical to understand how readily accessible these bots are. With the proliferation of AI, anyone with Internet access can talk to a fake 'companion.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด
    ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ
    1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย
    2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์
    3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง
    4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง
    ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ 1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย 2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์ 3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง 4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวทางพิจารณาทางเลือก: ฝืนทนเพื่ออนาคต หรือเลือกตามใจในปัจจุบัน

    1. ใช้หลักพิจารณาประโยชน์และโทษ

    พระพุทธเจ้าให้พิจารณา "ประโยชน์และโทษ" ของแต่ละทางเลือก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    ถามตัวเอง:

    ทางที่ฝืนทนทุกข์ตอนนี้ มีประโยชน์อะไรในอนาคต?

    สิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน จะสร้างโทษอะไรในอนาคต?


    หากทางที่ทุกข์ตอนนี้ นำไปสู่ผลที่ดีในอนาคต และทางที่ง่ายในปัจจุบันอาจก่อให้เกิดโทษในระยะยาว ควรเลือกทางที่มีประโยชน์ยาวนานกว่า



    ---

    2. ฝึกมองในระยะยาว: การยอมทุกข์สั้นเพื่อสุขที่ยืนยาว

    บางครั้งการฝืนทนเหมือนการกินยาขมเพื่อหายจากไข้หนัก

    ถ้าทนทุกข์ตอนนี้เพียงชั่วคราว แต่ให้ผลเป็นความสุข ความมั่นคง หรือการเติบโตในระยะยาว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เลือกทางนี้

    ตัวอย่าง:

    ฝึกขันติในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น การทำงานหนัก หรือการเสียสละเวลาเพื่อการเรียนรู้

    หากมันทำให้อนาคตมั่นคง สุขภาพจิต และฐานะทางการเงินดีขึ้น ควรเลือกอดทน




    ---

    3. ใช้มรณสติเตือนใจ

    เมื่อไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ควรเจริญมรณสติ:

    ถามตัวเอง:

    ถ้าต้องตายวันนี้ จะเลือกทางไหนที่ทำให้ใจสงบ และรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด?

    สิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ จะสร้าง ความรู้สึกเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล?



    พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า: สิ่งที่ทำให้จิตรู้สึกดี มีความสบายใจ และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ควรทำ



    ---

    4. ความสมดุลระหว่าง “ขันติ” และ “ฟังเสียงหัวใจ”

    หากทางที่ถูกต้องทำให้ทุกข์ใจจนกระทบสุขภาพจิตและความสุขระยะสั้น อาจต้องปรับสมดุล

    ถามตัวเอง:

    "ฉันฝืนมากเกินไปหรือเปล่า?"

    "ฉันสามารถแบ่งเวลาให้ตัวเองมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันได้ไหม?"





    ---

    5. สรุปการเลือก: เลือกด้วยความกุศลและปัญญา

    หากการฝึกขันติบารมีช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสร้างสุขในระยะยาว ควรยึดถือ

    หากทางเลือกในปัจจุบันทำให้ใจสงบ สุขในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังไม่ก่อผลเสียร้ายแรงในอนาคต ก็ไม่ควรมองข้าม

    เลือกทางที่ทำให้จิตใจสงบและเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นกุศล ไม่ว่าในปัจจุบันหรืออนาคต



    ---

    6. ตัวช่วยตัดสินใจ: "ถามตัวเองใน 3 ขั้นตอน"

    สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะสั้นหรือไม่?

    สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะยาวหรือไม่?

    เมื่อทำสิ่งนี้แล้ว จิตใจฉันจะสงบ หรือกระวนกระวาย?


    หากคำตอบชี้ไปในทาง ประโยชน์ยาวนาน และจิตสงบ ให้เลือกทางนั้น เพราะมันเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนา.

    แนวทางพิจารณาทางเลือก: ฝืนทนเพื่ออนาคต หรือเลือกตามใจในปัจจุบัน 1. ใช้หลักพิจารณาประโยชน์และโทษ พระพุทธเจ้าให้พิจารณา "ประโยชน์และโทษ" ของแต่ละทางเลือก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ถามตัวเอง: ทางที่ฝืนทนทุกข์ตอนนี้ มีประโยชน์อะไรในอนาคต? สิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน จะสร้างโทษอะไรในอนาคต? หากทางที่ทุกข์ตอนนี้ นำไปสู่ผลที่ดีในอนาคต และทางที่ง่ายในปัจจุบันอาจก่อให้เกิดโทษในระยะยาว ควรเลือกทางที่มีประโยชน์ยาวนานกว่า --- 2. ฝึกมองในระยะยาว: การยอมทุกข์สั้นเพื่อสุขที่ยืนยาว บางครั้งการฝืนทนเหมือนการกินยาขมเพื่อหายจากไข้หนัก ถ้าทนทุกข์ตอนนี้เพียงชั่วคราว แต่ให้ผลเป็นความสุข ความมั่นคง หรือการเติบโตในระยะยาว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เลือกทางนี้ ตัวอย่าง: ฝึกขันติในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น การทำงานหนัก หรือการเสียสละเวลาเพื่อการเรียนรู้ หากมันทำให้อนาคตมั่นคง สุขภาพจิต และฐานะทางการเงินดีขึ้น ควรเลือกอดทน --- 3. ใช้มรณสติเตือนใจ เมื่อไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ควรเจริญมรณสติ: ถามตัวเอง: ถ้าต้องตายวันนี้ จะเลือกทางไหนที่ทำให้ใจสงบ และรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด? สิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ จะสร้าง ความรู้สึกเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล? พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า: สิ่งที่ทำให้จิตรู้สึกดี มีความสบายใจ และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ควรทำ --- 4. ความสมดุลระหว่าง “ขันติ” และ “ฟังเสียงหัวใจ” หากทางที่ถูกต้องทำให้ทุกข์ใจจนกระทบสุขภาพจิตและความสุขระยะสั้น อาจต้องปรับสมดุล ถามตัวเอง: "ฉันฝืนมากเกินไปหรือเปล่า?" "ฉันสามารถแบ่งเวลาให้ตัวเองมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันได้ไหม?" --- 5. สรุปการเลือก: เลือกด้วยความกุศลและปัญญา หากการฝึกขันติบารมีช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสร้างสุขในระยะยาว ควรยึดถือ หากทางเลือกในปัจจุบันทำให้ใจสงบ สุขในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังไม่ก่อผลเสียร้ายแรงในอนาคต ก็ไม่ควรมองข้าม เลือกทางที่ทำให้จิตใจสงบและเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นกุศล ไม่ว่าในปัจจุบันหรืออนาคต --- 6. ตัวช่วยตัดสินใจ: "ถามตัวเองใน 3 ขั้นตอน" สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะสั้นหรือไม่? สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะยาวหรือไม่? เมื่อทำสิ่งนี้แล้ว จิตใจฉันจะสงบ หรือกระวนกระวาย? หากคำตอบชี้ไปในทาง ประโยชน์ยาวนาน และจิตสงบ ให้เลือกทางนั้น เพราะมันเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนา.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การเล่นกับสุนัขและแมว”
    จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารความสุข
    ออกมามากขึ้น ทำให้เจ้าของรู้สึกมีความสุข
    ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต ชีวิตจะไม่เหงา
    #ชีวิตไม่เคยเหงาเพราะเรามีเธอ😻😻
    “การเล่นกับสุนัขและแมว” จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารความสุข ออกมามากขึ้น ทำให้เจ้าของรู้สึกมีความสุข ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต ชีวิตจะไม่เหงา #ชีวิตไม่เคยเหงาเพราะเรามีเธอ😻😻
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1203 มุมมอง 0 รีวิว
  • จ้าวลู่ซือ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วนหลังอาการทรุดหนักอย่างกะทันหัน สร้างความกังวลในหมู่แฟนคลับและจุดกระแสการคาดเดาบนโซเชียลมีเดีย

    นักแสดงวัย 26 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทในละครดังอย่าง The Romance of Tiger and Rose และ Hidden Love ถูกพบในสภาพนั่งรถเข็นขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ในโลกออนไลน์

    รายงานระบุว่า จ้าวลู่ซือมีอาการไม่สบายระหว่างการถ่ายทำโปรเจกต์ล่าสุด และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าเธอมีอาการอ่อนแรงและเดินไม่มั่นคง ขณะที่ขาทั้งสองสั่นเทาเมื่อเธอลงจากรถไปยังทางเข้าของโรงพยาบาล โดยมีผู้ช่วยใช้ผ้าพันคอคลุมตัวเธอ

    ข่าวอาการป่วยของเธอสร้างความกังวลให้กับแฟน ๆ โดยมีรายงานจากหลายแหล่งออนไลน์คาดการณ์ว่าเธออาจป่วยด้วยภาวะซึมเศร้ารุนแรงหรือโรคทางระบบประสาท ทั้งนี้ วงในของวงการบันเทิงเผยว่า ภาระงานที่หนักหน่วงในช่วงที่ผ่านมาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเธอ บล็อกเกอร์รายหนึ่งถึงกับระบุว่าสถานการณ์ของจ้าวลู่ซืออยู่ในขั้นวิกฤต พร้อมบรรยายอาการของเธอว่า “ร้ายแรงมาก”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000124831

    #MGROnline #จ้าวลู่ซือ
    จ้าวลู่ซือ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วนหลังอาการทรุดหนักอย่างกะทันหัน สร้างความกังวลในหมู่แฟนคลับและจุดกระแสการคาดเดาบนโซเชียลมีเดีย • นักแสดงวัย 26 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทในละครดังอย่าง The Romance of Tiger and Rose และ Hidden Love ถูกพบในสภาพนั่งรถเข็นขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ในโลกออนไลน์ • รายงานระบุว่า จ้าวลู่ซือมีอาการไม่สบายระหว่างการถ่ายทำโปรเจกต์ล่าสุด และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าเธอมีอาการอ่อนแรงและเดินไม่มั่นคง ขณะที่ขาทั้งสองสั่นเทาเมื่อเธอลงจากรถไปยังทางเข้าของโรงพยาบาล โดยมีผู้ช่วยใช้ผ้าพันคอคลุมตัวเธอ • ข่าวอาการป่วยของเธอสร้างความกังวลให้กับแฟน ๆ โดยมีรายงานจากหลายแหล่งออนไลน์คาดการณ์ว่าเธออาจป่วยด้วยภาวะซึมเศร้ารุนแรงหรือโรคทางระบบประสาท ทั้งนี้ วงในของวงการบันเทิงเผยว่า ภาระงานที่หนักหน่วงในช่วงที่ผ่านมาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเธอ บล็อกเกอร์รายหนึ่งถึงกับระบุว่าสถานการณ์ของจ้าวลู่ซืออยู่ในขั้นวิกฤต พร้อมบรรยายอาการของเธอว่า “ร้ายแรงมาก” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000124831 • #MGROnline #จ้าวลู่ซือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมหมูเด้ง ถึงฮีลใจคนไทย

    ท่ามกลางบ้านเมืองที่ไม่แน่นอน เศรษฐกิจซบเซาและสังคมตกต่ำ คนไทยต่างพยายามหาสารพัดวิธีเพื่อผ่อนคลายจากความตึงเครียดและเสียสุขภาพจิต ตั้งแต่เพลงและท่าเต้นไวรัล คอนเทนต์จาก OTT รวมไปถึงคอนเทนต์ฮีลใจ ซึ่งปีที่ผ่านมาคลิปท่องเที่ยวของสองหนุ่มเกาหลี พี่จอง-คัลเลน แห่งช่อง Cullen HateBerry ได้รับความนิยมอย่างมาก

    ปี 2567 สังคมฮีลใจอยู่ 3 อย่าง เริ่มจากสารวัตรแจ๊ะ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ ที่มีวีดีโอคลิปผลงานจับกุมในเพจ "สืบนครบาล" ด้วยคาแรกเตอร์สวมหมวกไหมพรม ใส่แว่นตา ปิดแมสก์ กางเกงยีนส์ทรงกระบอกขาดๆ ทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ต ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความขึงขังดุดัน แต่จิตใจภายในอ่อนโยน ทำฮีลใจสังคมในยามที่วงการสีกากีเกิดวิกฤตศรัทธา

    ตามมาด้วย หมีเนย มาสคอตประจำร้านขนมหวานบัตเตอร์แบร์ (Butterbear) ที่ดึงความสนใจทั้งชาวไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวจีน ด้วยคาแรกเตอร์ที่เต้นตามเพลงต่างๆ ด้วยความน่ารักจริตแบบสาวน้อยวัยใส นอกจากจะสร้างชื่อเสียงแบบร้านแทบแตกแล้ว ยังได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โปรโมตการท่องเที่ยว โดยเน้นไปที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนอีกด้วย

    แต่ที่โด่งดังระดับโลกคือ หมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี เกิดจากพ่อโทนี่และแม่โจวน่าเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2567 ด้วยความที่พี่เลี้ยงอย่าง เบนซ์ อรรถพล หนุนดี มักจะถ่ายวีดีโอคลิปลงในเพจ "ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง" ทำให้โด่งดังระดับโลก ผู้คนเข้าชมสวนสัตว์นับแสนคน มีสินค้าลิขสิทธิ์นับร้อยรายการ นำรายได้ช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์

    มีโพสต์ที่น่าสนใจจากเพจ American Heart Association - Pennsylvania ที่สหรัฐอเมริกา ระบุถึง 5 เหตุผลว่าทำไมหมูเด้งถึงเป็นแบบอย่างด้านสุขภาพ ได้แก่

    1. หมูเด้งกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ หญ้า ผลไม้ และใบไม้ เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว การได้เพิ่มอาหารประเภทผัก ผลไม้ลงในจาน ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น

    2. หมูเด้งรู้จักออกกำลังกาย เพราะทั้งวิ่ง กระโดด และว่ายน้ำ ซึ่งการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น ทำให้หัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น

    3. หมูเด้งไม่เก็บซ่อนความรู้สึก มักจะแสดงอาการให้เราได้เห็น ไม่ว่าจะมีความสุข เคือง หิว ง่วงนอน หรือโกรธจัด ซึ่งการแสดงอารมณ์ออกมาตรงๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิต

    4. หมูเด้งชอบนอนหลับ ซึ่งโดยธรรมชาติฮิปโปแคระต้องการการนอนหลับมากกว่ามนุษย์เล็กน้อย แต่การนอนหลับในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นตัวได้

    5. หมูเด้งช่วยลดความเครียดของคนเราได้ เพราะการใช้เวลาอยู่กับสัตว์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเครียดได้ ดังนั้นการชมวีดีโอคลิปตลกๆ ของหมูเด้งจึงยังคงมีอยู่ต่อไป

    #Newskit
    ทำไมหมูเด้ง ถึงฮีลใจคนไทย ท่ามกลางบ้านเมืองที่ไม่แน่นอน เศรษฐกิจซบเซาและสังคมตกต่ำ คนไทยต่างพยายามหาสารพัดวิธีเพื่อผ่อนคลายจากความตึงเครียดและเสียสุขภาพจิต ตั้งแต่เพลงและท่าเต้นไวรัล คอนเทนต์จาก OTT รวมไปถึงคอนเทนต์ฮีลใจ ซึ่งปีที่ผ่านมาคลิปท่องเที่ยวของสองหนุ่มเกาหลี พี่จอง-คัลเลน แห่งช่อง Cullen HateBerry ได้รับความนิยมอย่างมาก ปี 2567 สังคมฮีลใจอยู่ 3 อย่าง เริ่มจากสารวัตรแจ๊ะ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ ที่มีวีดีโอคลิปผลงานจับกุมในเพจ "สืบนครบาล" ด้วยคาแรกเตอร์สวมหมวกไหมพรม ใส่แว่นตา ปิดแมสก์ กางเกงยีนส์ทรงกระบอกขาดๆ ทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ต ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความขึงขังดุดัน แต่จิตใจภายในอ่อนโยน ทำฮีลใจสังคมในยามที่วงการสีกากีเกิดวิกฤตศรัทธา ตามมาด้วย หมีเนย มาสคอตประจำร้านขนมหวานบัตเตอร์แบร์ (Butterbear) ที่ดึงความสนใจทั้งชาวไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวจีน ด้วยคาแรกเตอร์ที่เต้นตามเพลงต่างๆ ด้วยความน่ารักจริตแบบสาวน้อยวัยใส นอกจากจะสร้างชื่อเสียงแบบร้านแทบแตกแล้ว ยังได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โปรโมตการท่องเที่ยว โดยเน้นไปที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนอีกด้วย แต่ที่โด่งดังระดับโลกคือ หมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี เกิดจากพ่อโทนี่และแม่โจวน่าเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2567 ด้วยความที่พี่เลี้ยงอย่าง เบนซ์ อรรถพล หนุนดี มักจะถ่ายวีดีโอคลิปลงในเพจ "ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง" ทำให้โด่งดังระดับโลก ผู้คนเข้าชมสวนสัตว์นับแสนคน มีสินค้าลิขสิทธิ์นับร้อยรายการ นำรายได้ช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์ มีโพสต์ที่น่าสนใจจากเพจ American Heart Association - Pennsylvania ที่สหรัฐอเมริกา ระบุถึง 5 เหตุผลว่าทำไมหมูเด้งถึงเป็นแบบอย่างด้านสุขภาพ ได้แก่ 1. หมูเด้งกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ หญ้า ผลไม้ และใบไม้ เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว การได้เพิ่มอาหารประเภทผัก ผลไม้ลงในจาน ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น 2. หมูเด้งรู้จักออกกำลังกาย เพราะทั้งวิ่ง กระโดด และว่ายน้ำ ซึ่งการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น ทำให้หัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น 3. หมูเด้งไม่เก็บซ่อนความรู้สึก มักจะแสดงอาการให้เราได้เห็น ไม่ว่าจะมีความสุข เคือง หิว ง่วงนอน หรือโกรธจัด ซึ่งการแสดงอารมณ์ออกมาตรงๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิต 4. หมูเด้งชอบนอนหลับ ซึ่งโดยธรรมชาติฮิปโปแคระต้องการการนอนหลับมากกว่ามนุษย์เล็กน้อย แต่การนอนหลับในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นตัวได้ 5. หมูเด้งช่วยลดความเครียดของคนเราได้ เพราะการใช้เวลาอยู่กับสัตว์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเครียดได้ ดังนั้นการชมวีดีโอคลิปตลกๆ ของหมูเด้งจึงยังคงมีอยู่ต่อไป #Newskit
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1199 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts