• ทำไมคนเราชอบขอคู่บุญ…แต่กลับสร้างคู่เวร?

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก
    อยากมีความสุข…แต่เบื่อความสงบ
    อยากมีรักดีๆ…แต่แอบอยากลองทำตัวร้ายๆ
    พูดดีๆ ก็ไม่สนุก ต้องมีอารมณ์คันๆบ้างถึงจะสะใจ

    แม้แต่ดาราระดับโลก
    ยังยอมรับว่า “เบื่อชีวิตดีๆ อยากรู้จักชีวิตพังๆ”
    แล้วเราคนธรรมดา จะหลุดพ้นวงเวียนนั้นได้หรือ?

    จริงคือ…
    แนวโน้มจะสร้างคู่เวร มันฝังอยู่ในใจคนทุกคน
    ขณะที่ความอยากได้ “คู่บุญ” มักเป็นแค่แสงวูบของความหวัง
    ไม่ใช่ความเพียรพยายามที่จะสร้างมันจริงๆ

    หลายคนขอพรอยากได้ “เจ้าหญิง-เจ้าชายในฝัน”
    ทั้งที่มีคนธรรมดาๆ คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
    พร้อมจะปรับตัวไปกับเรา
    แค่เราไม่เคยเห็นค่าความพยายามของเขาเท่านั้นเอง

    คุณจะรู้ว่ากำลัง “ขัดแย้งกับตัวเอง”
    ถ้าแอบภาวนาขอเนื้อคู่ในฝัน
    ทั้งที่ยังไม่รู้จักลงมือสร้างคู่จริงกับคนที่มีอยู่

    แต่...

    คุณจะรู้ว่ามี “ใจเดียว”
    ก็ต่อเมื่อเลิกฝันหา
    แล้วเริ่มศรัทธาในสิ่งที่จับต้องได้
    พร้อมจะลงทุน สร้างบุญด้วยกันในทุกวัน

    ไม่มีใครอยากได้ “คู่เวร”
    แต่มีน้อยคนนัก ที่จะอดทนสร้าง “คู่บุญ”
    เพราะรักแท้ไม่ใช่สิ่งที่ขอ
    แต่เป็นสิ่งที่ต้อง สร้าง

    #ธรรมะแทงใจแต่ไม่ทิ้งใจ
    #คู่บุญหรือคู่เวร
    #อยากได้หรืออยากสร้าง
    #เนื้อคู่ไม่เกิดเองแต่เกิดจากการร่วมบุญ
    #ธรรมะเข้าใจชีวิต
    💔 ทำไมคนเราชอบขอคู่บุญ…แต่กลับสร้างคู่เวร? มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก อยากมีความสุข…แต่เบื่อความสงบ อยากมีรักดีๆ…แต่แอบอยากลองทำตัวร้ายๆ พูดดีๆ ก็ไม่สนุก ต้องมีอารมณ์คันๆบ้างถึงจะสะใจ แม้แต่ดาราระดับโลก ยังยอมรับว่า “เบื่อชีวิตดีๆ อยากรู้จักชีวิตพังๆ” แล้วเราคนธรรมดา จะหลุดพ้นวงเวียนนั้นได้หรือ? จริงคือ… 💥 แนวโน้มจะสร้างคู่เวร มันฝังอยู่ในใจคนทุกคน ขณะที่ความอยากได้ “คู่บุญ” มักเป็นแค่แสงวูบของความหวัง ไม่ใช่ความเพียรพยายามที่จะสร้างมันจริงๆ หลายคนขอพรอยากได้ “เจ้าหญิง-เจ้าชายในฝัน” ทั้งที่มีคนธรรมดาๆ คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมจะปรับตัวไปกับเรา แค่เราไม่เคยเห็นค่าความพยายามของเขาเท่านั้นเอง 🪞 คุณจะรู้ว่ากำลัง “ขัดแย้งกับตัวเอง” ถ้าแอบภาวนาขอเนื้อคู่ในฝัน ทั้งที่ยังไม่รู้จักลงมือสร้างคู่จริงกับคนที่มีอยู่ แต่... 🌱 คุณจะรู้ว่ามี “ใจเดียว” ก็ต่อเมื่อเลิกฝันหา แล้วเริ่มศรัทธาในสิ่งที่จับต้องได้ พร้อมจะลงทุน สร้างบุญด้วยกันในทุกวัน ❤️ ไม่มีใครอยากได้ “คู่เวร” แต่มีน้อยคนนัก ที่จะอดทนสร้าง “คู่บุญ” เพราะรักแท้ไม่ใช่สิ่งที่ขอ แต่เป็นสิ่งที่ต้อง สร้าง #ธรรมะแทงใจแต่ไม่ทิ้งใจ #คู่บุญหรือคู่เวร #อยากได้หรืออยากสร้าง #เนื้อคู่ไม่เกิดเองแต่เกิดจากการร่วมบุญ #ธรรมะเข้าใจชีวิต
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • เราก็สร้างบุญ กุศล เอง จะไปเที่ยวขอใครละ ..จนก็แค่จนทรัพย์ภายนอก ภายในจิตเราทำให้รวยบุญกุศลไว้
    เราก็สร้างบุญ กุศล เอง จะไปเที่ยวขอใครละ ..จนก็แค่จนทรัพย์ภายนอก ภายในจิตเราทำให้รวยบุญกุศลไว้
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • โลกนี้เป็นแดนเกิดแดนตายจริงๆ..หนีไม่พ้นความตาย ปฏิบัติธรรมเอาไว้ สร้างบุญเอาไว้
    โลกนี้เป็นแดนเกิดแดนตายจริงๆ..หนีไม่พ้นความตาย ปฏิบัติธรรมเอาไว้ สร้างบุญเอาไว้
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • สร้างบุญกุศลบุญกุศลก็อยู่กับไปตลอด ทำให้สม่ำเสมอ ทำบุญแล้วก็อย่าไปทำบาปละ เพราะผลของบาปมันแสดงไวกับมาไว..ทำดีๆ ทำดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    สร้างบุญกุศลบุญกุศลก็อยู่กับไปตลอด ทำให้สม่ำเสมอ ทำบุญแล้วก็อย่าไปทำบาปละ เพราะผลของบาปมันแสดงไวกับมาไว..ทำดีๆ ทำดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • นิทาน
    ชีวิตนี้สั้นยาวไม่เท่ากัน
    ล้วนเกิดตายนับไม่ถ้วน
    สร้างบุญก้อมาก ทรัพย์ภายใน ล้วงเกินรูปอื่นไม่น้อย ตั้งใจก้อมีเผลอก้อมี ด้วยกายวาจาใจ ล้วนทำให้ผูกมัดฝังแค้น

    เวรกรรมจึงเริ่มขึ้นรอการชดใช้
    การเจ็บป่วยบางก้อมาจากธรรมชาติในขณะนั้น แต่การเจ็บป่วยหนัก อุบัติเหตุ ล้วนเป็นจังหวะที่เขาเธอรอคอยแล้วมาเจอกันในวาระ

    ผลเจ็บป่วยพิการหนักก้อถึงตาย

    เจ้าเวรนายกรรมถึงบุคคลนั้นจักมีบุญบารมีหาหลีกหนีพ้น

    กรรมใดๆที่มีรอการชำระก้อต้องชดใช้ด้วยใจตนสำนึก

    การชดใช้ควรหมั่นทำเพื่อเขาเธอมาจักได้พบหยาดน้ำกุศลจิตเย็น กรรมหนักจักเบาบาง กรรมน้อยจักได้รับอโหสิกรรม

    การละเลยการชดใช้ครั้นพบกันสายเกินแก้ เบาอาจ0เสียอวัยวะ หนักถึงตายตกตามวาระ

    มิติโลกวิญญาณซับซ้อนนัก

    รักนะนะ
    นิทาน ชีวิตนี้สั้นยาวไม่เท่ากัน ล้วนเกิดตายนับไม่ถ้วน สร้างบุญก้อมาก ทรัพย์ภายใน ล้วงเกินรูปอื่นไม่น้อย ตั้งใจก้อมีเผลอก้อมี ด้วยกายวาจาใจ ล้วนทำให้ผูกมัดฝังแค้น เวรกรรมจึงเริ่มขึ้นรอการชดใช้ การเจ็บป่วยบางก้อมาจากธรรมชาติในขณะนั้น แต่การเจ็บป่วยหนัก อุบัติเหตุ ล้วนเป็นจังหวะที่เขาเธอรอคอยแล้วมาเจอกันในวาระ ผลเจ็บป่วยพิการหนักก้อถึงตาย เจ้าเวรนายกรรมถึงบุคคลนั้นจักมีบุญบารมีหาหลีกหนีพ้น กรรมใดๆที่มีรอการชำระก้อต้องชดใช้ด้วยใจตนสำนึก การชดใช้ควรหมั่นทำเพื่อเขาเธอมาจักได้พบหยาดน้ำกุศลจิตเย็น กรรมหนักจักเบาบาง กรรมน้อยจักได้รับอโหสิกรรม การละเลยการชดใช้ครั้นพบกันสายเกินแก้ เบาอาจ0เสียอวัยวะ หนักถึงตายตกตามวาระ มิติโลกวิญญาณซับซ้อนนัก รักนะนะ
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • เชื่อในบาปบุญ เราละเลิกบาปทั้งหลาย หมั่นเพียรสร้างบุญความดีเอาไว้ ถือศีล ถือธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ให้ตาลอดไป
    เชื่อในบาปบุญ เราละเลิกบาปทั้งหลาย หมั่นเพียรสร้างบุญความดีเอาไว้ ถือศีล ถือธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ให้ตาลอดไป
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ความเศร้าหมอง เกิดขึ้นกับคนง่าย บางคนว่าลูกผัวทิ้ง บางคนว่าลูกเมียทิ้ง อยากตายไปจากโลก เราก็ฟังคนเหล่านี้พูด เราเองไม่มีใครเลยตัวคนเดียว ไม่อยากตายไปนะ อยากสร้างบุญกุศลเอาไว้
    ความเศร้าหมอง เกิดขึ้นกับคนง่าย บางคนว่าลูกผัวทิ้ง บางคนว่าลูกเมียทิ้ง อยากตายไปจากโลก เราก็ฟังคนเหล่านี้พูด เราเองไม่มีใครเลยตัวคนเดียว ไม่อยากตายไปนะ อยากสร้างบุญกุศลเอาไว้
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • ค่ำคืนวันพระ หรือวันธรรมดาก็ปฏิบัติในเรื่องการสวดมนต์ ภาวนา ถือศิล สร้างบุญทุกวัน บุญก็ไปกับเราทุกภพชาติ
    ค่ำคืนวันพระ หรือวันธรรมดาก็ปฏิบัติในเรื่องการสวดมนต์ ภาวนา ถือศิล สร้างบุญทุกวัน บุญก็ไปกับเราทุกภพชาติ
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • คนจนนี้แหละชอบทำบุญ ไปมาหลายวัดหลายงาน ผ้า กริญ เทศสามัคคี งามสมโภชพระ งานบวชชีพราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาวเฒ่าๆ กันนะ อาชีพทำนา เกษตรกร อาชีพขอเงินลูกหลานมาทำบุญกัน (ลูกหลานพากันยินดีในบุญ) พราหมณ์คือเขาทั่งหลายจน..แต่ใจศรัทธา จิตบริสุทธิ์ที่จะสร้างบุญกุศล
    คนจนนี้แหละชอบทำบุญ ไปมาหลายวัดหลายงาน ผ้า กริญ เทศสามัคคี งามสมโภชพระ งานบวชชีพราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาวเฒ่าๆ กันนะ อาชีพทำนา เกษตรกร อาชีพขอเงินลูกหลานมาทำบุญกัน (ลูกหลานพากันยินดีในบุญ) พราหมณ์คือเขาทั่งหลายจน..แต่ใจศรัทธา จิตบริสุทธิ์ที่จะสร้างบุญกุศล
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • กายทิพย์อยากทำบุญ ก็มาหลายแบบ เช่นมาเข้าฝันพาคนทำบุญฯ พาให้โชคลาภ เอาเงินไปช่วยวัดสร้างบุญ บางกายทิพย์ก็มาประทับร่างมนุษย์ มาสร้างบุญสร้างบารมี/แบบนี้มีทั้งดีและไม่ดี
    มีหลายครั้งที่ลงมาช่วยสร้างพระหล่อพระ/ปั้นพระพุทธรูปจนออกมาสวยงาม เราเป็นมนุษย์กันก็รีบสร้างบุญไว้
    กายทิพย์อยากทำบุญ ก็มาหลายแบบ เช่นมาเข้าฝันพาคนทำบุญฯ พาให้โชคลาภ เอาเงินไปช่วยวัดสร้างบุญ บางกายทิพย์ก็มาประทับร่างมนุษย์ มาสร้างบุญสร้างบารมี/แบบนี้มีทั้งดีและไม่ดี มีหลายครั้งที่ลงมาช่วยสร้างพระหล่อพระ/ปั้นพระพุทธรูปจนออกมาสวยงาม เราเป็นมนุษย์กันก็รีบสร้างบุญไว้
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • **“ฉลาดทางโลก…อาจนำพาลงเหว

    แต่ฉลาดทางธรรม…เท่านั้น ที่พาข้ามพ้น”**

    เกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องฟลุก
    ไม่ใช่แค่เพราะฟ้าลิขิต
    แต่เป็นเพราะ…บุญตกแต่งมาแล้ว

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุณณกมาณวกปัญหา ว่า

    > ความเป็นมนุษย์จะเกิดขึ้นไม่ได้
    หากกรรมที่เคยทำมา
    เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะล้วนๆ

    นั่นหมายความว่า

    > แม้จะหลง แม้จะผิด
    แต่ต้องมีช่วงหนึ่งที่ใจเรา “ตั้งมั่นเพื่อความดี”
    ถึงได้อาศัยจังหวะนั้นกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง

    ---

    บุญแต่งความฉลาดได้…แต่ฉลาดแบบไหน?

    คนฉลาดในโลกมีเยอะ
    แต่คนฉลาดเพื่อออกจากทุกข์…มีน้อย

    บางคนใช้ความฉลาดระดับอัจฉริยะ
    คิดค้นเครื่องมือหลอกลวง ขายของลวงโลก
    โกงคนเป็นร้อยเป็นพันจนร่ำรวยมหาศาล
    นั่นคือฉลาดแบบโลกจัด แต่ ไม่ฉลาดแบบธรรมเลย

    ยิ่งน่าหดหู่เมื่อเห็นคนฉลาดระดับหัวกะทิ
    อุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างอาวุธล้างเผ่าพันธุ์
    ทั้งที่รู้ว่าผลงานของตนมีไว้เพื่อทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์
    แต่เขากลับมองว่านั่นคือ "ความสำเร็จในชีวิต"

    ลองคิดดูเถิด...
    สมองดี แต่ใช้สร้างนรกไว้ล่วงหน้าให้ตัวเอง

    > นั่นไม่ใช่ ‘ผู้รู้’
    แต่คือ ‘ผู้หลงในความฉลาดของตนเอง’

    ---

    ฉลาดจริง…ต้องรู้ว่าความดีคือเส้นทางรอด

    แม้เกิดมาแล้วมีปัญญา
    หากใช้ปัญญาในทางผิดซ้ำๆ
    มันจะกลายเป็นพันธะ
    ดึงให้วนเวียนกลับไปทำบาปแบบเดิมอีกครั้ง

    > เว้นแต่ชาตินี้จะมีโอกาส
    ได้เห็นแสงธรรมของพระพุทธเจ้า
    ได้รู้ว่า ความฉลาดที่แท้คือการรู้ว่า
    อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

    และเลือกเดินในทางที่ปลอดภัยจากบาป

    ---

    บทสรุปของการเป็น “ผู้ฉลาดทางธรรม”

    > คนฉลาดทางโลก…อาจรวยล้นฟ้า แต่ล้มเหลวทางใจ
    คนฉลาดทางธรรม…อาจเรียบง่ายแต่ใจกว้างใหญ่เกินวัดได้

    และคนที่รู้ทันว่า ความฉลาดใดนำไปสู่นรก
    ย่อมไม่อวดฉลาดแบบเดิม

    เขาจะใช้ปัญญาที่มี สร้างบุญใหม่
    และค่อยๆถอนตัวออกจากเส้นทางกรรมเก่า

    จนวันหนึ่ง ความฉลาดนั้น
    พาเขาพ้นจากทุกข์ได้จริง
    **“ฉลาดทางโลก…อาจนำพาลงเหว แต่ฉลาดทางธรรม…เท่านั้น ที่พาข้ามพ้น”** เกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องฟลุก ไม่ใช่แค่เพราะฟ้าลิขิต แต่เป็นเพราะ…บุญตกแต่งมาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุณณกมาณวกปัญหา ว่า > ความเป็นมนุษย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากกรรมที่เคยทำมา เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะล้วนๆ นั่นหมายความว่า > แม้จะหลง แม้จะผิด แต่ต้องมีช่วงหนึ่งที่ใจเรา “ตั้งมั่นเพื่อความดี” ถึงได้อาศัยจังหวะนั้นกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง --- บุญแต่งความฉลาดได้…แต่ฉลาดแบบไหน? คนฉลาดในโลกมีเยอะ แต่คนฉลาดเพื่อออกจากทุกข์…มีน้อย บางคนใช้ความฉลาดระดับอัจฉริยะ คิดค้นเครื่องมือหลอกลวง ขายของลวงโลก โกงคนเป็นร้อยเป็นพันจนร่ำรวยมหาศาล นั่นคือฉลาดแบบโลกจัด แต่ ไม่ฉลาดแบบธรรมเลย ยิ่งน่าหดหู่เมื่อเห็นคนฉลาดระดับหัวกะทิ อุทิศทั้งชีวิตให้กับการสร้างอาวุธล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งที่รู้ว่าผลงานของตนมีไว้เพื่อทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์ แต่เขากลับมองว่านั่นคือ "ความสำเร็จในชีวิต" ลองคิดดูเถิด... สมองดี แต่ใช้สร้างนรกไว้ล่วงหน้าให้ตัวเอง > นั่นไม่ใช่ ‘ผู้รู้’ แต่คือ ‘ผู้หลงในความฉลาดของตนเอง’ --- ฉลาดจริง…ต้องรู้ว่าความดีคือเส้นทางรอด แม้เกิดมาแล้วมีปัญญา หากใช้ปัญญาในทางผิดซ้ำๆ มันจะกลายเป็นพันธะ ดึงให้วนเวียนกลับไปทำบาปแบบเดิมอีกครั้ง > เว้นแต่ชาตินี้จะมีโอกาส ได้เห็นแสงธรรมของพระพุทธเจ้า ได้รู้ว่า ความฉลาดที่แท้คือการรู้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และเลือกเดินในทางที่ปลอดภัยจากบาป --- บทสรุปของการเป็น “ผู้ฉลาดทางธรรม” > คนฉลาดทางโลก…อาจรวยล้นฟ้า แต่ล้มเหลวทางใจ คนฉลาดทางธรรม…อาจเรียบง่ายแต่ใจกว้างใหญ่เกินวัดได้ และคนที่รู้ทันว่า ความฉลาดใดนำไปสู่นรก ย่อมไม่อวดฉลาดแบบเดิม เขาจะใช้ปัญญาที่มี สร้างบุญใหม่ และค่อยๆถอนตัวออกจากเส้นทางกรรมเก่า จนวันหนึ่ง ความฉลาดนั้น พาเขาพ้นจากทุกข์ได้จริง
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • มีคนถามผม ว่าผมใช้คำว่า sleeper บ่อยครั้ง หมายถึงอะไร?
    .
    ในกรณีนี้ หมายถึง จารชนชนิดหนึ่ง ทั้งที่เป็นเป็นคนต่างชาติและคนในชาติที่ถูกปล่อยให้กบดานไว้ในพื้นที่เป้าหมาย หากไม่มีการเรียกใช้งานก็ประกอบอาชีพใช้ชีวิตไปตามปกติ จนกว่าจะมีงานให้ทำก็จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน (เรียกว่าสลีปเปอร์ก็เพราะเหตุนี้) งานที่ให้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบสายลับในหนังนะ บางทีอาจง่ายๆ เช่นแค่ไปฟังเขาคุยกันแล้วมารายงานว่าได้ยินอะไรมา... ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาวางระเบิด (ซึ่งแบบนี้ก็มี) มีหลายรายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสลีปเปอร์ ดังนั้นพวกนี้จึงมีหลายระดับ อาจจะผูกกันไว้ด้วยการสร้างบุญคุณต่อกันไว้ ช่วยเหลือการเงินการงานต่างๆ จนถึงพวกที่ถูกคัดกรองเข้ามาทำงานแต่ละด้านที่มีความเหมาะสมกับคนคนนั้นตามความถนัดต่างกัน ซึ่งมีมิติความซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด เช่น อาจเป็นพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปหลายที่เพื่อส่งสินค้า ดังนั้นการเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ จึงดูมีเหตุผล คนที่มีอาชีพในลักษณะคล้ายกันนี้จึงเหมาะในการไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขวางกว่า ก็อย่างเช่น นักมานุษยวิทยา นักทำสารคดี นักพูด วิทยากร นักวิชาการสำรวจภาคสนาม นักสร้างภาพยนตร์ เอ็นจีโอ อาสาสมัคร มิชชันนารี... ฯ ในระดับปฏิบัติการ อาจแฝงตัวมาสร้างความสัมพันธ์ให้คนทั่วไปรู้สึกไว้วางใจ จารชนประเภทนี้เขานิยามว่าสร้างความไว้วางใจนานหลายปีเพื่อทรยศเพียงครั้งเดียว แล้วก็ถอนตัวออกไป พวกนี้มีเครือข่ายกระจายไปทั่ว ฝังรากลึกมานาน
    .
    เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด ตัวอย่างเช่นสมัยพระนารายณ์มหาราช อยุธยา มีจารชนฝังตัวอยู่เต็มไปหมด มาในคราบทูต มาในคราบบาดหลวงสอนศาสนา บันทึกการเดินทางที่เรารู้จักกันมากมายตัวอย่างเช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ ที่จริงเป็นข้อมูลข่าวกรอง intelligence แจกแจงรายละเอียดทุกด้านของอยุธยาตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ จุดเด่น จุดด้อย สภาพแวดล้อมภูมิประเทศ แหล่งอาหาร ทรัพยากรต่างๆ ชัยภูมิทางการรบ เช่น ป้อม ค่ายคู กำลังทหาร และศักยภาพทางการรบ พืชพันธ์สัตว์ต่างๆ.... ทั้งหมดรวบรวมเพื่อยื่นต่อพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กษัตริย์ฝรั่งเศส แน่นอนว่าลาลูแบร์ที่เป็นราชทูตนี่ก็เป็นจารชนนั่นแหละ มาต่อหน้าเป็นทูต แต่กระทำลับหลังในการประสานกับกองทหารฝรั่งเศสเตรียมการจะโจมตีสยาม ในเวลานั้นมีบาดหลวงนิกายเยซูอิตอีกหลายคนที่เป็นจารชนประเภทสลีปเปอร์นี่แหละ แฝงตัวทำทีเป็นสอนศาสนาไป พอลาลูแบร์มาถึง สลีปเปอร์พวกนี้ก็ทำการประสานส่งต่อข้อมูลรายงานข่าวกรองให้พวกตนทราบ ดังที่ปรากฏจดหมายลับที่ซ่อนอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสอันเป็นเหตุให้นักเขียนฝรั่งคนหนึ่งที่ไปพบเข้า เขียนหนังสือเรื่อง "รุกสยามในนามพระเจ้า" ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว
    .
    แต่โทษที อยากจะบอกว่า สยาม หาได้หมูไม่ ขณะที่นโยบายในการล้างสมองของพวกไอโอเยซูอิตกำลังพยายามหว่านล้อมชักจูงพระนารายณ์ให้ทรงเข้ารีต ท่านทรงตรัสตอบอย่างชาญฉลาดว่า โอ้พระเจ้าของท่านช่างวิเศษล้ำจริงๆ พวกท่านอย่าห่วงเลย หากพระเจ้าของท่านวิเศษอย่างที่ท่านกล่าว เชื่อว่ากฤษฎาภินิหารของท่านจะต้องบันดาลให้ฉันเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของท่านแน่นอน... ป๊าด! เป็นคำตอบที่แสนจะอัจฉริยะ. ขณะเดียวกัน ฝั่ง counter strike พระเพทราชาและทีมอินเทลของท่านก็มีข้อมูลของจารชนพวกนี้ทุกอย่าง และทีมไอโอของพระเพทราชาท่านก็ไม่ใช่ไก่อ่อนในการที่จะต้านการครอบงำแทรกแซงของฝรั่งทั้งด้านงานจารกรรมและด้านยุทธศาสตร์ ผลก็คืองานของสลีปเปอร์และเจ้าหน้าที่สนามของฝรั่งเศสไม่ได้ผล จารชนสองหน้าอย่างกองสตองฟอลคอนจบด้วยความตาย แผนการโจมตีป้อมบางกอกล้มเหลว ม้วนเสื่อกลับไป นี่...จะเห็นว่างานจารกรรมและการใช้ไอโอไม่ได้เพิ่งจะมีในยุคนี้นะเธอ
    .
    ในงานลับลวงพรางพวกนี้ มีคนจำนวนหนึ่งถูกเลือกเป็นหัวโจก เขาเรียก recruiter เพราะมีหน้าที่คัดเลือกจัดหาสลีปเปอร์ มีการศึกษาข้อมูลบุคคลการล้วงลึก ลูกเต้าเหล่าใคร มีความคิด สติปัญญาระดับไหน มีแนวโน้มจะนิยมชาติที่วางแผนร้ายนี้มากกว่าชาติตัวเองไหม มีปม มีปัญหาส่วนตัวอย่างไร ทัศนคติ สภาพจิต ปูมหลัง คอนเน็คชั่น ศักยภาพในการทำหน้าที่ได้รับมอบหมาย ฯลฯ จะเฝ้าติดตามดูจนเห็นว่าน่าจะโอเค ก็จะชักชวนให้เข้าในเครือข่ายทีละนิด จากวงนอกๆ ก็จะขยับเข้าชั้นในมาเรื่อยๆ ตามการพิสูจน์ตัวเอง ในเมืองไทยมีมานานหลายสิบปีแล้ว มีกันอยู่หลายวง ผูกโยงกับหน่วยงานข้ามชาติในท้องถิ่นเล็กๆ ตั้งแต่มูลนิธินี่นั่น ไปจนถึงเอ็นจีโอ หน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย พวกหน่วยที่มีอักษรตัวย่อทั้งหลายแหล่ ไปจนถึงองค์กรที่ใหญ่ขึ้น จนถึงฟันดิ้งระดับโลก ตัวอย่างเช่น ฟุลไบร๊ท์ ร็อกกี้เฟลเลอร์...เป็นต้น
    .
    พวกนี้จะมีแหล่งนัดพบของเขาที่จะไปพบกันเป็นประจำ หัวหน้าจะเปิดเลี้ยงกินดื่มไม่อั้น มีการแชร์ข้อมูลแสดงผลงาน แนวคิด พรีเซนเตชั่น รุ่นพี่อาจเอารุ่นน้องหน้าใหม่มาเสนอตัวให้ recruiter พิจารณา ในบ้านเรามีอยู่หลายวงหลายสาย ไม่ใช่แค่สายผู้ดีสายลึงค์สายถั่ว... คนจมูกดีๆ จะรู้ว่ามีที่ไหนบ้าง เพราะขณะที่พวกมันสร้างสลีปเปอร์ อีกฝ่ายเขาก็เอาสลีปเปอร์เขาไปฝังอยู่ในพวกมึงเช่นกัน 5555
    .
    พวกที่อยู่มานานฝังรากลึก แน่นอนว่าผลประโยชน์มันมากมันเฟื่องฟู ดังนั้น การที่อยู่สุขสบายมาช้านาน จู่ๆ ท่อน้ำโดนตัด มันก็ต้องดิ้น เคยได้อยู่เท่านั้นเท่านี้จนติดสันดาน จู่ๆ หายไป มันกลับไปจุดเดิมยาก พอเสียจริตก็เผยตัว ไอ้พวกลูกกะจ้อยรองลงไปก็ยิ่งเดือดร้อนกว่า....
    .
    5555 ตอนนี้ก็จะเห็นมันออกมาดิ้นกันเยอะหน่อย
    .
    อย่ามาเล่นบทตอแหลเลยแกร....
    พวกมึงมีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าสนามระดับปฏิบัติการ
    ประเทศไทยก็มีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าที่สนามระดับปฏิบัติการ
    บางทีที่พวกมึงคิดว่าตัวเองหลับอยู่ซ่อนอยู่เขาคงไม่รู้... ที่จริงเขารู้
    บางทีที่พวกมึงคิดว่าเขาหลับอยู่ เขาอาจตื่นมาตามดูพวกมึงทุกวันจนรู้ว่ามึงขี้กี่ครั้ง
    อย่าว่าแต่จู่ๆ มึงก็พากันออกมาดิ้นโชว์ตัวให้ชาวบ้านเขารู้กันเองเลย
    .
    ไอ้พวกขายชาติ!
    .
    ลืมบอกไปว่า ในบรรดา sleeper มีพวก unclassified อยู่มากทีเดียว
    พวกกระจอกพวกนี้ จะพยายามอย่างมากที่จะยกระดับขึ้นไป
    แต่แม้จะพยายามเท่าใด ปัญญาและคุณสมบัติก็ไม่เ
    มีคนถามผม ว่าผมใช้คำว่า sleeper บ่อยครั้ง หมายถึงอะไร? . ในกรณีนี้ หมายถึง จารชนชนิดหนึ่ง ทั้งที่เป็นเป็นคนต่างชาติและคนในชาติที่ถูกปล่อยให้กบดานไว้ในพื้นที่เป้าหมาย หากไม่มีการเรียกใช้งานก็ประกอบอาชีพใช้ชีวิตไปตามปกติ จนกว่าจะมีงานให้ทำก็จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน (เรียกว่าสลีปเปอร์ก็เพราะเหตุนี้) งานที่ให้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบสายลับในหนังนะ บางทีอาจง่ายๆ เช่นแค่ไปฟังเขาคุยกันแล้วมารายงานว่าได้ยินอะไรมา... ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาวางระเบิด (ซึ่งแบบนี้ก็มี) มีหลายรายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสลีปเปอร์ ดังนั้นพวกนี้จึงมีหลายระดับ อาจจะผูกกันไว้ด้วยการสร้างบุญคุณต่อกันไว้ ช่วยเหลือการเงินการงานต่างๆ จนถึงพวกที่ถูกคัดกรองเข้ามาทำงานแต่ละด้านที่มีความเหมาะสมกับคนคนนั้นตามความถนัดต่างกัน ซึ่งมีมิติความซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด เช่น อาจเป็นพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปหลายที่เพื่อส่งสินค้า ดังนั้นการเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ จึงดูมีเหตุผล คนที่มีอาชีพในลักษณะคล้ายกันนี้จึงเหมาะในการไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขวางกว่า ก็อย่างเช่น นักมานุษยวิทยา นักทำสารคดี นักพูด วิทยากร นักวิชาการสำรวจภาคสนาม นักสร้างภาพยนตร์ เอ็นจีโอ อาสาสมัคร มิชชันนารี... ฯ ในระดับปฏิบัติการ อาจแฝงตัวมาสร้างความสัมพันธ์ให้คนทั่วไปรู้สึกไว้วางใจ จารชนประเภทนี้เขานิยามว่าสร้างความไว้วางใจนานหลายปีเพื่อทรยศเพียงครั้งเดียว แล้วก็ถอนตัวออกไป พวกนี้มีเครือข่ายกระจายไปทั่ว ฝังรากลึกมานาน . เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด ตัวอย่างเช่นสมัยพระนารายณ์มหาราช อยุธยา มีจารชนฝังตัวอยู่เต็มไปหมด มาในคราบทูต มาในคราบบาดหลวงสอนศาสนา บันทึกการเดินทางที่เรารู้จักกันมากมายตัวอย่างเช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ ที่จริงเป็นข้อมูลข่าวกรอง intelligence แจกแจงรายละเอียดทุกด้านของอยุธยาตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ จุดเด่น จุดด้อย สภาพแวดล้อมภูมิประเทศ แหล่งอาหาร ทรัพยากรต่างๆ ชัยภูมิทางการรบ เช่น ป้อม ค่ายคู กำลังทหาร และศักยภาพทางการรบ พืชพันธ์สัตว์ต่างๆ.... ทั้งหมดรวบรวมเพื่อยื่นต่อพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กษัตริย์ฝรั่งเศส แน่นอนว่าลาลูแบร์ที่เป็นราชทูตนี่ก็เป็นจารชนนั่นแหละ มาต่อหน้าเป็นทูต แต่กระทำลับหลังในการประสานกับกองทหารฝรั่งเศสเตรียมการจะโจมตีสยาม ในเวลานั้นมีบาดหลวงนิกายเยซูอิตอีกหลายคนที่เป็นจารชนประเภทสลีปเปอร์นี่แหละ แฝงตัวทำทีเป็นสอนศาสนาไป พอลาลูแบร์มาถึง สลีปเปอร์พวกนี้ก็ทำการประสานส่งต่อข้อมูลรายงานข่าวกรองให้พวกตนทราบ ดังที่ปรากฏจดหมายลับที่ซ่อนอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสอันเป็นเหตุให้นักเขียนฝรั่งคนหนึ่งที่ไปพบเข้า เขียนหนังสือเรื่อง "รุกสยามในนามพระเจ้า" ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว . แต่โทษที อยากจะบอกว่า สยาม หาได้หมูไม่ ขณะที่นโยบายในการล้างสมองของพวกไอโอเยซูอิตกำลังพยายามหว่านล้อมชักจูงพระนารายณ์ให้ทรงเข้ารีต ท่านทรงตรัสตอบอย่างชาญฉลาดว่า โอ้พระเจ้าของท่านช่างวิเศษล้ำจริงๆ พวกท่านอย่าห่วงเลย หากพระเจ้าของท่านวิเศษอย่างที่ท่านกล่าว เชื่อว่ากฤษฎาภินิหารของท่านจะต้องบันดาลให้ฉันเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของท่านแน่นอน... ป๊าด! เป็นคำตอบที่แสนจะอัจฉริยะ. ขณะเดียวกัน ฝั่ง counter strike พระเพทราชาและทีมอินเทลของท่านก็มีข้อมูลของจารชนพวกนี้ทุกอย่าง และทีมไอโอของพระเพทราชาท่านก็ไม่ใช่ไก่อ่อนในการที่จะต้านการครอบงำแทรกแซงของฝรั่งทั้งด้านงานจารกรรมและด้านยุทธศาสตร์ ผลก็คืองานของสลีปเปอร์และเจ้าหน้าที่สนามของฝรั่งเศสไม่ได้ผล จารชนสองหน้าอย่างกองสตองฟอลคอนจบด้วยความตาย แผนการโจมตีป้อมบางกอกล้มเหลว ม้วนเสื่อกลับไป นี่...จะเห็นว่างานจารกรรมและการใช้ไอโอไม่ได้เพิ่งจะมีในยุคนี้นะเธอ . ในงานลับลวงพรางพวกนี้ มีคนจำนวนหนึ่งถูกเลือกเป็นหัวโจก เขาเรียก recruiter เพราะมีหน้าที่คัดเลือกจัดหาสลีปเปอร์ มีการศึกษาข้อมูลบุคคลการล้วงลึก ลูกเต้าเหล่าใคร มีความคิด สติปัญญาระดับไหน มีแนวโน้มจะนิยมชาติที่วางแผนร้ายนี้มากกว่าชาติตัวเองไหม มีปม มีปัญหาส่วนตัวอย่างไร ทัศนคติ สภาพจิต ปูมหลัง คอนเน็คชั่น ศักยภาพในการทำหน้าที่ได้รับมอบหมาย ฯลฯ จะเฝ้าติดตามดูจนเห็นว่าน่าจะโอเค ก็จะชักชวนให้เข้าในเครือข่ายทีละนิด จากวงนอกๆ ก็จะขยับเข้าชั้นในมาเรื่อยๆ ตามการพิสูจน์ตัวเอง ในเมืองไทยมีมานานหลายสิบปีแล้ว มีกันอยู่หลายวง ผูกโยงกับหน่วยงานข้ามชาติในท้องถิ่นเล็กๆ ตั้งแต่มูลนิธินี่นั่น ไปจนถึงเอ็นจีโอ หน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย พวกหน่วยที่มีอักษรตัวย่อทั้งหลายแหล่ ไปจนถึงองค์กรที่ใหญ่ขึ้น จนถึงฟันดิ้งระดับโลก ตัวอย่างเช่น ฟุลไบร๊ท์ ร็อกกี้เฟลเลอร์...เป็นต้น . พวกนี้จะมีแหล่งนัดพบของเขาที่จะไปพบกันเป็นประจำ หัวหน้าจะเปิดเลี้ยงกินดื่มไม่อั้น มีการแชร์ข้อมูลแสดงผลงาน แนวคิด พรีเซนเตชั่น รุ่นพี่อาจเอารุ่นน้องหน้าใหม่มาเสนอตัวให้ recruiter พิจารณา ในบ้านเรามีอยู่หลายวงหลายสาย ไม่ใช่แค่สายผู้ดีสายลึงค์สายถั่ว... คนจมูกดีๆ จะรู้ว่ามีที่ไหนบ้าง เพราะขณะที่พวกมันสร้างสลีปเปอร์ อีกฝ่ายเขาก็เอาสลีปเปอร์เขาไปฝังอยู่ในพวกมึงเช่นกัน 5555 . พวกที่อยู่มานานฝังรากลึก แน่นอนว่าผลประโยชน์มันมากมันเฟื่องฟู ดังนั้น การที่อยู่สุขสบายมาช้านาน จู่ๆ ท่อน้ำโดนตัด มันก็ต้องดิ้น เคยได้อยู่เท่านั้นเท่านี้จนติดสันดาน จู่ๆ หายไป มันกลับไปจุดเดิมยาก พอเสียจริตก็เผยตัว ไอ้พวกลูกกะจ้อยรองลงไปก็ยิ่งเดือดร้อนกว่า.... . 5555 ตอนนี้ก็จะเห็นมันออกมาดิ้นกันเยอะหน่อย . อย่ามาเล่นบทตอแหลเลยแกร.... พวกมึงมีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าสนามระดับปฏิบัติการ ประเทศไทยก็มีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าที่สนามระดับปฏิบัติการ บางทีที่พวกมึงคิดว่าตัวเองหลับอยู่ซ่อนอยู่เขาคงไม่รู้... ที่จริงเขารู้ บางทีที่พวกมึงคิดว่าเขาหลับอยู่ เขาอาจตื่นมาตามดูพวกมึงทุกวันจนรู้ว่ามึงขี้กี่ครั้ง อย่าว่าแต่จู่ๆ มึงก็พากันออกมาดิ้นโชว์ตัวให้ชาวบ้านเขารู้กันเองเลย . ไอ้พวกขายชาติ! . ลืมบอกไปว่า ในบรรดา sleeper มีพวก unclassified อยู่มากทีเดียว พวกกระจอกพวกนี้ จะพยายามอย่างมากที่จะยกระดับขึ้นไป แต่แม้จะพยายามเท่าใด ปัญญาและคุณสมบัติก็ไม่เ
    0 Comments 0 Shares 576 Views 0 Reviews
  • ก่อนนอนก็สร้างบุญไว้ บุญนั้นก็แสนง่ายดาย สวดมนต์ และภาวนา .
    สาธุๆ ใครทำใครได้
    ก่อนนอนก็สร้างบุญไว้ บุญนั้นก็แสนง่ายดาย สวดมนต์ และภาวนา . สาธุๆ ใครทำใครได้
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ชีวิตเราก็ยังมีเวลา/โอกาสสร้างบุญได้อีกนาน ก็ทำต่อไป..
    ชีวิตเราก็ยังมีเวลา/โอกาสสร้างบุญได้อีกนาน ก็ทำต่อไป..
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ..ใกล้เข้ามาแล้ว การเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับเทศบาล,ก่อนหน้านั้นก็อบต. ,จะเป็นแบบใด เอาจริงๆนะ ล้วนล้มเหลวการบริหารการปกครองหมด,กอบโกย คตโกงกันตรึมทั้งหมด แปลงานๆทั้งเดอะแก๊งมีสาระพัดมุกสาระพัดวิธีแดกตังหลวงแดกงบประมาณขององค์กรตนเอง,ส่งตังส่งงานให้เดอะแก๊งใครมันล่ะ ร่ำรวยผิดหูผิดตากันเลย,นั่งๆฟังกันในค่าจริง การซื้อเสัยงแจกตังมันปกติจริงๆ,คุณภาพชาวบ้านไทบ้านเราต่ำ ขาดจิตสำนึก ผู้เฒ่าผู้แก่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ไทบ้านคนชราแก่แต่ผม งอกขาวเต็มหัวเฉยๆเป็นอันมากต่างไร้สำนึก&ยินยอมพร้อมรับตังใครคนไหนแจกตังล่ะ,สมควรถูกลดประชากรจริงๆพูดคุยสนุกปากไร้ละอายใจ,คนลงสมัครก็พร้อมลงทุนหามาแจก,นายทุนจึงควบคุมสิ้น ถ้าระดับชาติถ้าผมคือdeep stateใช้เศษตังไม่กี่ล้านล้านบาทซื้อการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมดแบบสบายๆใจมากในไทยและพร้อมลงทุนในระดับชาติแบบสส.สว.ด้วย.จากนัันยึดสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยทั้งหมดสิ้นอย่างสบายๆ,อยากได้อะไรปั่นป่วนแบบไหนสั่งลงไปแค่นั้นให้เปิดทางให้เขียนกฎหมายตีตรากดขี่บังคับคนไทยทั้งประเทศแบบไหนก็ได้ระดับชาติหรือท้องถิ่นจะยึดแบบไหน ปิดหูปิดตาประชาชนแบบใด มันง่ายจริงๆ,คนไทยเรายากจนไม่พอ ไร้ศักดิ์ศรีด้วย ทั้งรัฐบาลเองรุมเหยียบศักดิ์คนไทยด้วยเพราะไม่สร้างสำนึกดี ส่งเสริมสำนึกดี สนับสนุนสำนึกดี นำพาการสำนึกดีกระตุ้นเติมเต็มส่วนที่ขาดคือความร่ำรวยให้เขาร่ำรวยจริงคู่ขนานสำนึกจิตใจดีงามด้วย,มิทำให้ชาวบ้านยากจน จนพร้อมขายเสียงขายสิทธิพึงได้มากมายไปตลอดสิทธิมิให้ใครเหยียบย่ำกดขี่ในลักษณะหมากมุกแผนการเลวชั่วใดๆก็ด้วยได้,
    ..แต่ในปัจจุบันนี้หน้างาน ชาวบ้านไทบ้านโดยมากรอตัวคนสมัครมาแจกอย่างมากก็ว่า โคตรขาดสำนึกดี มีแต่สำนึกไม่ดีแทนแล้ว ชาติได้จึงไม่เจริญวิบัติอัปรีย์เพราะผู้เฒ่าผู้เฒ่าระยำมากมายเต็มหมู่บ้านชุมชนนั้นๆ แล้วก็เลือกหาให้คนซื้อเสียงนั้นได้ไป การโกงกินอย่างชอบธรรมหมายเอาคืนจึงเริ่มต้นในแต่ละท้องที่ ความเหี้ยบรรลัยมากมายหลายสถานะจึงบังเกิด,เพราะคนส่วนใหญ่นีัขาดคุณภาพ อาจรอให้คนเฒ่าอยู่นานผมงอกเหล่านี้ตายหมดก่อนมั้งชาติไทยจึงเจริญต่อไปได้,แต่ก็อนาถอีกเพราะคนรุ่นปัจจุบันมันพากันชูสามนิ้วกะแต่จะล้มสถาบันอีกกับเด็กๆเยาวชนรุ่นใหม่ๆนี้,และอาจเป็นเดอะแก๊งพร้อมรับตังพร้อมขาดจิตสำนึกเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ไทบ้านอีก.,
    ..มองไปวงการไหน มันสิ้นอนาคตจริงๆพร้อมพังพินาศสิ้นชาติของแท้ตลอดเวลา,เลือกตั้งท้องถิ่นทั้งที่ผ่านมาและกำลังมีขึ้นสมควรยกเลิก&ระงับทั้งหมดเลย,สอบแข่งขันแต่งตั้งจากส่วนกลางไปก่อน,เหมือนยุติบทบาทนักการเมืองทั้งสภานั้นล่ะหรือนายกฯและทั้งคณะยุติบทบาทตนลง พักงานไปเองก่อนจึงบังคับให้พักงานด้วยทหารเหมือนยึดอำนาจที่ผ่านๆมาซึ่งเป็นทหารที่ไม่ใช่deep stateบังคับบัญชาแบบในอดีตที่เคยๆผ่านมา, อบต.อบท.อบจ.สมควรยุติบทบาทด้วยจริงๆยุบทั้งหมดเลย,ไปที่อำเภอในแต่ละอำเภอแทน,พักงานเพื่อกวาดล้างทำความสะอาดกันใหม่จริงๆ,งบลงมา100ล้าน ถึงหน้างานเนื้องานจริงแค่10-20ล้านเป็นต้น,บางแห่งอาจแดกแรงก็นี้ก็ว่า,เทศบาลเมือง เทศบาลนครอีกจะขนาดไหน,เดอะแก๊งอิทธิพลเจ้าถิ่นใครมันตรึมล่ะ,คิดเล่นๆอาจต้องใช้ระบบการเงินควอนตัมQFSดิจิดัลจริงๆหรือนี้,ตรวจสอบธุรกรรมการเงินเรียลไทม์เลย โกงทันที รู้ทันทีด้วย ตรวจสายตังต้นทางถึงปลายทางได้หมด,คนจะคตโกงหมดสิทธิแน่นอนเพราะอะไรๆที่เกี่ยวกับตัง QFSจัดการตัวเดียวจบเลย,เพราะงบสาระพัดจะลงไปเนื้องานไหน ผ่านมือใครจนถึงจบเนื้องานทำงานสำเร็จหรือกลับคืนเป็นใต้โต๊ะหรือทุจริตสไตล์ใดๆไม่รอดก็ว่า,แต่ต้องแลกด้วยอิสระภาพการใช้จ่ายแบบเดิมๆคือตังกระดาษทั้งหมดทั่วไทย,ไม่มีตังกระดาษอีกต่อไป,ไม่มีคนโกง,แต่AIจะควบคุมมนุษย์แบบเราๆในคอกเป็นทาสระบบมันอย่างง่ายดายเช่นกันด้วย,หรือเผด็จการAIในอนาคตแน่นอน,กฎหมายทั้งหมดAIจะเขียนเองล่ะ รวดเร็วโคตรๆเรียลไทม์ก็ได้,ยกเลิกตอนไหนก็ไม่รู้,มีใหม่ออกมาใช่ตอนไหนก็ไม่ทราบอีก,ไม่ต่างจากกระทรวงทบวงกรมที่พากันนั่งห้องแอร์ร่างเขียนมติที่ประชุมออกมาบังคับใช้หรอก,แต่มันรวดเร็วอาจไม่กี่นาทีก็ใช้บังคับได้เลยล่ะ,
    ..ช่วงจังหวะเวลานี้ยอมรับจริงๆ อบต.อบท.อบจ. ไม่มีก็ได้,จะมาค้านอำนาจนายอำเภอผู้ว่าทำไม,มันคือการสร้างความแตกแยกแตกต่าง 2ระบบจนสับสนเอง,อดีตไม่มีอบต.อบท.อบจ.ค่าครองชีพหรือราคาน้ำมันยังไม่แพงแบบนี้เลย,มีก็เสียของ,บ่อน้ำมันติดจมูกพื้นที่ท้องถิ่นตนเองยังไม่ร่วมประสานอบต.อบท.อบจ.ทั่วประเทศลงชุมชนใครมันบอกค่าจริงความจริงแก่ประชาชนร่วมกันตีแผ่ตื่นรับรู้ เสริมสติปัญญาสาระพัดทางแก่ชาวบ้าน อาทิทำไมมีน้ำมันมากมายหลายบ่อขนาดนี้ แล้วไม่ทำเองขุดเองเจาะดูดขายเองในราคาถูกๆ ดูดข้อมูลทั่วโลกประชุมแบบสมัยคอมมิวนิสต์ว่าค่าจริงดีแบบไหน ค่าเท็จปกปิดทำไมเพื่อใคร ใครคือข้าศึกศัตรูความมั่งคั่งร่ำรวยประชาชนคนไทย เครือข่าย อบต.อบท.อบจ.ทำซากอะไร บ่อน้ำมันบนบกก็อยู่บนดินมิใช่ในอากาศ ขยายองค์รอบรู้อีกสู่อ่าวไทยและอันดามัน, นี้ไง เรามีอบต.อบท.อบจ.เสียของ ค้านอำนาจห่าอะไร ถ้านายอำเภอผู้ว่าร่วมกันปกปิดค่าจริงประชาชนก็ค้านนายอำเภอผู้ว่า รักษาสิทธิการทำความร่ำรวยมั่งคั่งจากบ่อน้ำมันให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศสิ,,เรามีวิถีปกครองที่กาก ผู้ปกครองที่เหี้ยกระจอกหวาดกลัวประชาชนตนเองมีอยู่มีกินสุขสบายร่ำรวย แล้วปกครองยาก ซื้อเสียงแจกตังแจกของจะสร้างบุญคุณให้คนไทยหมายสำนึกต่อบุญคุณที่ตนกระทำลงไปไม่ได้ดีพอแบบเต็มที่ในสำนึกเหมือนตอนยากจนขาดแคลนลำบากก็ว่า,มันร่ำรวยแล้วเงินทองสิ่งของเหี้ยซื้อใจมันไม่ได้ก็ว่า,กูทำชั่วทำเลว มันถีบกูลงจากตำแหน่งปกครองแน่นอนเพราะผิดคุณธรรมการเป็นผู้นำก็ว่าแบบไม่ซื่อสัตย์ คตโกงเช่นในยุคปัจจุบัน.

    https://m.youtube.com/watch?v=-pGKd9-dgMY
    ..ใกล้เข้ามาแล้ว การเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับเทศบาล,ก่อนหน้านั้นก็อบต. ,จะเป็นแบบใด เอาจริงๆนะ ล้วนล้มเหลวการบริหารการปกครองหมด,กอบโกย คตโกงกันตรึมทั้งหมด แปลงานๆทั้งเดอะแก๊งมีสาระพัดมุกสาระพัดวิธีแดกตังหลวงแดกงบประมาณขององค์กรตนเอง,ส่งตังส่งงานให้เดอะแก๊งใครมันล่ะ ร่ำรวยผิดหูผิดตากันเลย,นั่งๆฟังกันในค่าจริง การซื้อเสัยงแจกตังมันปกติจริงๆ,คุณภาพชาวบ้านไทบ้านเราต่ำ ขาดจิตสำนึก ผู้เฒ่าผู้แก่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ไทบ้านคนชราแก่แต่ผม งอกขาวเต็มหัวเฉยๆเป็นอันมากต่างไร้สำนึก&ยินยอมพร้อมรับตังใครคนไหนแจกตังล่ะ,สมควรถูกลดประชากรจริงๆพูดคุยสนุกปากไร้ละอายใจ,คนลงสมัครก็พร้อมลงทุนหามาแจก,นายทุนจึงควบคุมสิ้น ถ้าระดับชาติถ้าผมคือdeep stateใช้เศษตังไม่กี่ล้านล้านบาทซื้อการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมดแบบสบายๆใจมากในไทยและพร้อมลงทุนในระดับชาติแบบสส.สว.ด้วย.จากนัันยึดสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทยทั้งหมดสิ้นอย่างสบายๆ,อยากได้อะไรปั่นป่วนแบบไหนสั่งลงไปแค่นั้นให้เปิดทางให้เขียนกฎหมายตีตรากดขี่บังคับคนไทยทั้งประเทศแบบไหนก็ได้ระดับชาติหรือท้องถิ่นจะยึดแบบไหน ปิดหูปิดตาประชาชนแบบใด มันง่ายจริงๆ,คนไทยเรายากจนไม่พอ ไร้ศักดิ์ศรีด้วย ทั้งรัฐบาลเองรุมเหยียบศักดิ์คนไทยด้วยเพราะไม่สร้างสำนึกดี ส่งเสริมสำนึกดี สนับสนุนสำนึกดี นำพาการสำนึกดีกระตุ้นเติมเต็มส่วนที่ขาดคือความร่ำรวยให้เขาร่ำรวยจริงคู่ขนานสำนึกจิตใจดีงามด้วย,มิทำให้ชาวบ้านยากจน จนพร้อมขายเสียงขายสิทธิพึงได้มากมายไปตลอดสิทธิมิให้ใครเหยียบย่ำกดขี่ในลักษณะหมากมุกแผนการเลวชั่วใดๆก็ด้วยได้, ..แต่ในปัจจุบันนี้หน้างาน ชาวบ้านไทบ้านโดยมากรอตัวคนสมัครมาแจกอย่างมากก็ว่า โคตรขาดสำนึกดี มีแต่สำนึกไม่ดีแทนแล้ว ชาติได้จึงไม่เจริญวิบัติอัปรีย์เพราะผู้เฒ่าผู้เฒ่าระยำมากมายเต็มหมู่บ้านชุมชนนั้นๆ แล้วก็เลือกหาให้คนซื้อเสียงนั้นได้ไป การโกงกินอย่างชอบธรรมหมายเอาคืนจึงเริ่มต้นในแต่ละท้องที่ ความเหี้ยบรรลัยมากมายหลายสถานะจึงบังเกิด,เพราะคนส่วนใหญ่นีัขาดคุณภาพ อาจรอให้คนเฒ่าอยู่นานผมงอกเหล่านี้ตายหมดก่อนมั้งชาติไทยจึงเจริญต่อไปได้,แต่ก็อนาถอีกเพราะคนรุ่นปัจจุบันมันพากันชูสามนิ้วกะแต่จะล้มสถาบันอีกกับเด็กๆเยาวชนรุ่นใหม่ๆนี้,และอาจเป็นเดอะแก๊งพร้อมรับตังพร้อมขาดจิตสำนึกเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ไทบ้านอีก., ..มองไปวงการไหน มันสิ้นอนาคตจริงๆพร้อมพังพินาศสิ้นชาติของแท้ตลอดเวลา,เลือกตั้งท้องถิ่นทั้งที่ผ่านมาและกำลังมีขึ้นสมควรยกเลิก&ระงับทั้งหมดเลย,สอบแข่งขันแต่งตั้งจากส่วนกลางไปก่อน,เหมือนยุติบทบาทนักการเมืองทั้งสภานั้นล่ะหรือนายกฯและทั้งคณะยุติบทบาทตนลง พักงานไปเองก่อนจึงบังคับให้พักงานด้วยทหารเหมือนยึดอำนาจที่ผ่านๆมาซึ่งเป็นทหารที่ไม่ใช่deep stateบังคับบัญชาแบบในอดีตที่เคยๆผ่านมา, อบต.อบท.อบจ.สมควรยุติบทบาทด้วยจริงๆยุบทั้งหมดเลย,ไปที่อำเภอในแต่ละอำเภอแทน,พักงานเพื่อกวาดล้างทำความสะอาดกันใหม่จริงๆ,งบลงมา100ล้าน ถึงหน้างานเนื้องานจริงแค่10-20ล้านเป็นต้น,บางแห่งอาจแดกแรงก็นี้ก็ว่า,เทศบาลเมือง เทศบาลนครอีกจะขนาดไหน,เดอะแก๊งอิทธิพลเจ้าถิ่นใครมันตรึมล่ะ,คิดเล่นๆอาจต้องใช้ระบบการเงินควอนตัมQFSดิจิดัลจริงๆหรือนี้,ตรวจสอบธุรกรรมการเงินเรียลไทม์เลย โกงทันที รู้ทันทีด้วย ตรวจสายตังต้นทางถึงปลายทางได้หมด,คนจะคตโกงหมดสิทธิแน่นอนเพราะอะไรๆที่เกี่ยวกับตัง QFSจัดการตัวเดียวจบเลย,เพราะงบสาระพัดจะลงไปเนื้องานไหน ผ่านมือใครจนถึงจบเนื้องานทำงานสำเร็จหรือกลับคืนเป็นใต้โต๊ะหรือทุจริตสไตล์ใดๆไม่รอดก็ว่า,แต่ต้องแลกด้วยอิสระภาพการใช้จ่ายแบบเดิมๆคือตังกระดาษทั้งหมดทั่วไทย,ไม่มีตังกระดาษอีกต่อไป,ไม่มีคนโกง,แต่AIจะควบคุมมนุษย์แบบเราๆในคอกเป็นทาสระบบมันอย่างง่ายดายเช่นกันด้วย,หรือเผด็จการAIในอนาคตแน่นอน,กฎหมายทั้งหมดAIจะเขียนเองล่ะ รวดเร็วโคตรๆเรียลไทม์ก็ได้,ยกเลิกตอนไหนก็ไม่รู้,มีใหม่ออกมาใช่ตอนไหนก็ไม่ทราบอีก,ไม่ต่างจากกระทรวงทบวงกรมที่พากันนั่งห้องแอร์ร่างเขียนมติที่ประชุมออกมาบังคับใช้หรอก,แต่มันรวดเร็วอาจไม่กี่นาทีก็ใช้บังคับได้เลยล่ะ, ..ช่วงจังหวะเวลานี้ยอมรับจริงๆ อบต.อบท.อบจ. ไม่มีก็ได้,จะมาค้านอำนาจนายอำเภอผู้ว่าทำไม,มันคือการสร้างความแตกแยกแตกต่าง 2ระบบจนสับสนเอง,อดีตไม่มีอบต.อบท.อบจ.ค่าครองชีพหรือราคาน้ำมันยังไม่แพงแบบนี้เลย,มีก็เสียของ,บ่อน้ำมันติดจมูกพื้นที่ท้องถิ่นตนเองยังไม่ร่วมประสานอบต.อบท.อบจ.ทั่วประเทศลงชุมชนใครมันบอกค่าจริงความจริงแก่ประชาชนร่วมกันตีแผ่ตื่นรับรู้ เสริมสติปัญญาสาระพัดทางแก่ชาวบ้าน อาทิทำไมมีน้ำมันมากมายหลายบ่อขนาดนี้ แล้วไม่ทำเองขุดเองเจาะดูดขายเองในราคาถูกๆ ดูดข้อมูลทั่วโลกประชุมแบบสมัยคอมมิวนิสต์ว่าค่าจริงดีแบบไหน ค่าเท็จปกปิดทำไมเพื่อใคร ใครคือข้าศึกศัตรูความมั่งคั่งร่ำรวยประชาชนคนไทย เครือข่าย อบต.อบท.อบจ.ทำซากอะไร บ่อน้ำมันบนบกก็อยู่บนดินมิใช่ในอากาศ ขยายองค์รอบรู้อีกสู่อ่าวไทยและอันดามัน, นี้ไง เรามีอบต.อบท.อบจ.เสียของ ค้านอำนาจห่าอะไร ถ้านายอำเภอผู้ว่าร่วมกันปกปิดค่าจริงประชาชนก็ค้านนายอำเภอผู้ว่า รักษาสิทธิการทำความร่ำรวยมั่งคั่งจากบ่อน้ำมันให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศสิ,,เรามีวิถีปกครองที่กาก ผู้ปกครองที่เหี้ยกระจอกหวาดกลัวประชาชนตนเองมีอยู่มีกินสุขสบายร่ำรวย แล้วปกครองยาก ซื้อเสียงแจกตังแจกของจะสร้างบุญคุณให้คนไทยหมายสำนึกต่อบุญคุณที่ตนกระทำลงไปไม่ได้ดีพอแบบเต็มที่ในสำนึกเหมือนตอนยากจนขาดแคลนลำบากก็ว่า,มันร่ำรวยแล้วเงินทองสิ่งของเหี้ยซื้อใจมันไม่ได้ก็ว่า,กูทำชั่วทำเลว มันถีบกูลงจากตำแหน่งปกครองแน่นอนเพราะผิดคุณธรรมการเป็นผู้นำก็ว่าแบบไม่ซื่อสัตย์ คตโกงเช่นในยุคปัจจุบัน. https://m.youtube.com/watch?v=-pGKd9-dgMY
    0 Comments 0 Shares 601 Views 0 Reviews
  • อย่าบอกใครว่าเกิดมาไม่เหมือนใคร อย่าไปบอกใครว่าอับจนลำบาก ลุกขึ้นทำดี สร้างบุญกุศลไว้
    อย่าบอกใครว่าเกิดมาไม่เหมือนใคร อย่าไปบอกใครว่าอับจนลำบาก ลุกขึ้นทำดี สร้างบุญกุศลไว้
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต"

    ---

    1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ

    > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต"

    บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น

    แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น"

    ---

    2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน

    ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ:

    สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง

    มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง

    เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด

    ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”:

    อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง

    และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต

    > ธรรมะสำคัญ:
    "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข"

    ---

    3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ?

    ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน"

    บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น"

    ---

    4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต

    ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง

    ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด

    ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว"

    ---

    5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้

    บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ

    การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว

    ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ

    ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที

    "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น"

    "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน"

    "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด"

    "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ"

    "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ"

    ---
    นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต" --- 1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต" บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ > ธรรมะสำคัญ: "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น" --- 2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ: สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”: อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต > ธรรมะสำคัญ: "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข" --- 3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ? ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน" บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง > ธรรมะสำคัญ: "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น" --- 4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง > ธรรมะสำคัญ: "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว" --- 5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้ บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต --- ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น" "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน" "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด" "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ" "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ" ---
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม”

    1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม”

    > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง”
    นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ

    ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม

    ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม

    ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน”

    ---

    2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต

    > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง”
    ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ

    ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง

    ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น”

    ---

    3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต

    บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง:

    ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน

    ไม่อาฆาตพยาบาท

    ไม่ใจดำตอบโต้

    ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด”

    ---

    4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต

    > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว”

    นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม

    ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่

    ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก”

    ---

    5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต

    บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา:
    "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด

    ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร

    เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์

    > ธรรมะสั้น:
    “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน”

    ---

    สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที

    ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม

    ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ

    ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม

    การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ

    ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม” 1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม” > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง” นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่ > ธรรมะสั้น: “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน” --- 2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง” ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน > ธรรมะสั้น: “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น” --- 3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง: ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ใจดำตอบโต้ ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด” --- 4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว” นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก” --- 5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา: "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์ > ธรรมะสั้น: “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน” --- สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    0 Comments 0 Shares 439 Views 0 Reviews
  • บุญเขต คือเนื้อนาบุญ
    (วัดเป็นบุญเขตวิเศษสถาน) ไปวัดไปสร้างบุญ
    บุญเขต คือเนื้อนาบุญ (วัดเป็นบุญเขตวิเศษสถาน) ไปวัดไปสร้างบุญ
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • “รักแท้คือการร่วมมือเพื่อคลี่คลายทุกข์ ไม่ใช่แค่ร่วมรับทุกข์”
    ---

    1. รักแท้ไม่ใช่แค่ ‘ร่วมทุกข์’ แต่คือ ‘ร่วมกันแก้ทุกข์’

    ความรักไม่ใช่การจมอยู่ในทุกข์ด้วยกัน

    แต่คือการ มีความสุขในการช่วยให้อีกฝ่ายพ้นทุกข์

    ใครยินดีช่วยแก้ทุกข์ให้อีกฝ่ายเสมอ คือผู้มีใจรักแท้

    ---

    2. การวัดใจ ต้องวัดทั้งสองฝ่าย

    ความรักที่แท้จริง คือการที่ ทั้งคู่พร้อมให้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายเดียว “ติดหนี้ใจ”

    ดูว่าต่างฝ่ายต่างอยากอยู่ใกล้ เพื่อช่วยกันไม่ใช่เพื่อแบกกัน

    ---

    3. รักคือการ ‘ร่วมบุญ’ ไม่ใช่เอาเปรียบ

    หากความสัมพันธ์มีฝ่ายหนึ่งจ้องเอาแต่ได้ อีกฝ่ายให้ตลอด

    จะกลายเป็นการใช้หนี้ ไม่ใช่การร่วมทุกข์ร่วมสุข

    ---

    4. วิธีคลี่คลายทุกข์ในรัก เริ่มที่สติ

    ความทุกข์ในความสัมพันธ์ไม่ต้องหนี

    แค่ใช้สติ “ดู” ความทุกข์ด้วยความเข้าใจ

    จะเห็นว่า ทุกข์ไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

    ใจจะเริ่มหลุดพ้นจากการยึดถือความทุกข์

    ---

    5. อย่าคาดหวังให้ทุกข์หาย แต่ให้ตั้งใจเห็นทุกข์อย่างเป็นจริง

    ความคาดหวังว่าทุกข์จะหายไวๆ จะยิ่งเติมทุกข์

    แต่หาก “ยอมรับและดู” โดยไม่เร่งผล

    ใจจะเริ่มมีอิสรภาพจากความกระวนกระวาย

    ---

    6. จะรักให้ยืนยาว ต้อง ‘ร่วมสร้างบุญใหม่’ ต่อเนื่อง

    ถึงบาปเก่าจะหนักเพียงใด

    ถ้าเติมบุญใหม่ใส่กันทุกวัน ความทุกข์จะเบาบาง

    และความรักจะเติบโตได้จริง

    รักแท้ไม่ได้หมายถึง มีแต่ความสุขตลอด

    แต่คือ “ผ่านทุกข์ไปด้วยกันอย่างไม่ทอดทิ้ง”

    ---

    Essence สั้นๆ

    > รักแท้ = สุขที่ได้ช่วยกันทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ที่ต้องแบกกันไว้
    ถ้าร่วมทุกข์ แล้วไม่ช่วยกันแก้ทุกข์ = ไม่ใช่รัก แต่เป็นภาระ
    ถ้าร่วมทุกข์ แล้วมีใจแปรเปลี่ยนอกุศลเป็นกุศลร่วมกัน = นั่นแหละรักแท้!
    “รักแท้คือการร่วมมือเพื่อคลี่คลายทุกข์ ไม่ใช่แค่ร่วมรับทุกข์” --- 1. รักแท้ไม่ใช่แค่ ‘ร่วมทุกข์’ แต่คือ ‘ร่วมกันแก้ทุกข์’ ความรักไม่ใช่การจมอยู่ในทุกข์ด้วยกัน แต่คือการ มีความสุขในการช่วยให้อีกฝ่ายพ้นทุกข์ ใครยินดีช่วยแก้ทุกข์ให้อีกฝ่ายเสมอ คือผู้มีใจรักแท้ --- 2. การวัดใจ ต้องวัดทั้งสองฝ่าย ความรักที่แท้จริง คือการที่ ทั้งคู่พร้อมให้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายเดียว “ติดหนี้ใจ” ดูว่าต่างฝ่ายต่างอยากอยู่ใกล้ เพื่อช่วยกันไม่ใช่เพื่อแบกกัน --- 3. รักคือการ ‘ร่วมบุญ’ ไม่ใช่เอาเปรียบ หากความสัมพันธ์มีฝ่ายหนึ่งจ้องเอาแต่ได้ อีกฝ่ายให้ตลอด จะกลายเป็นการใช้หนี้ ไม่ใช่การร่วมทุกข์ร่วมสุข --- 4. วิธีคลี่คลายทุกข์ในรัก เริ่มที่สติ ความทุกข์ในความสัมพันธ์ไม่ต้องหนี แค่ใช้สติ “ดู” ความทุกข์ด้วยความเข้าใจ จะเห็นว่า ทุกข์ไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใจจะเริ่มหลุดพ้นจากการยึดถือความทุกข์ --- 5. อย่าคาดหวังให้ทุกข์หาย แต่ให้ตั้งใจเห็นทุกข์อย่างเป็นจริง ความคาดหวังว่าทุกข์จะหายไวๆ จะยิ่งเติมทุกข์ แต่หาก “ยอมรับและดู” โดยไม่เร่งผล ใจจะเริ่มมีอิสรภาพจากความกระวนกระวาย --- 6. จะรักให้ยืนยาว ต้อง ‘ร่วมสร้างบุญใหม่’ ต่อเนื่อง ถึงบาปเก่าจะหนักเพียงใด ถ้าเติมบุญใหม่ใส่กันทุกวัน ความทุกข์จะเบาบาง และความรักจะเติบโตได้จริง รักแท้ไม่ได้หมายถึง มีแต่ความสุขตลอด แต่คือ “ผ่านทุกข์ไปด้วยกันอย่างไม่ทอดทิ้ง” --- Essence สั้นๆ > รักแท้ = สุขที่ได้ช่วยกันทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ที่ต้องแบกกันไว้ ถ้าร่วมทุกข์ แล้วไม่ช่วยกันแก้ทุกข์ = ไม่ใช่รัก แต่เป็นภาระ ถ้าร่วมทุกข์ แล้วมีใจแปรเปลี่ยนอกุศลเป็นกุศลร่วมกัน = นั่นแหละรักแท้!
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • ร้อนมากกลางคืนก็ร้อน กลางวันยิ่งร้อน ..แดดแรงมาก ไปวัดในแต่วันต้องอดทนเอา ไปสร้างบุญ ไปกราบพระพุทธเจ้า ใจมันสนุกไป
    ร้อนมากกลางคืนก็ร้อน กลางวันยิ่งร้อน ..แดดแรงมาก ไปวัดในแต่วันต้องอดทนเอา ไปสร้างบุญ ไปกราบพระพุทธเจ้า ใจมันสนุกไป
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • "ธรรมะของคุณพ่อลูกอ่อน" – ปฏิบัติได้ 24 ชั่วโมง

    การเป็นพ่อแม่ลูกอ่อนคือ การฝึกธรรมะรูปแบบหนึ่ง
    ✔ ไม่มีเวลาเข้าวัด? ไม่เป็นไร
    ✔ ไม่มีเวลาเดินจงกรม? ไม่เป็นไร
    ✔ ไม่มีเวลาเข้าฌานลึก? ไม่เป็นไร
    เพราะ ชีวิตจริงของคุณ คือห้องฝึกธรรมที่แท้จริง!


    ---

    เปลี่ยนมุมมอง → การเลี้ยงลูกเป็น "การปฏิบัติธรรม"

    เลิกมองว่า "ไม่มีเวลา" → เปลี่ยนเป็น "ได้เวลาปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง"
    เลิกมองว่า "ไม่มีสมาธิ" → เปลี่ยนเป็น "สมาธิแบบคุณพ่อ"
    เลิกมองว่า "ไม่มีโอกาสภาวนา" → เปลี่ยนเป็น "หยอดกระปุกสติไปเรื่อยๆ"

    หัวใจคือ สติ!
    ✔ เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อแค่ "มีสมาธิ"
    ✔ แต่ปฏิบัติเพื่อให้ "มีสติรู้กาย รู้ใจ"

    "ลูก = กระจกสะท้อนจิตเราเอง"

    เวลาลูกร้อง = ใจเราร้องตามไปด้วยไหม?

    เวลาลูกงอแง = เราอดทนหรือรำคาญ?

    เวลาลูกทำผิด = เราสอนด้วยเมตตาหรืออารมณ์?


    ลูกไม่ได้มาทำให้เราลำบาก
    ลูกมาทดสอบว่าเรามีธรรมะพอหรือยัง!


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมแบบ "หยอดกระปุกสติ"

    1️⃣ เปลี่ยน "การรำคาญ" → เป็น "การรู้ตัว"

    เวลาลูกร้องดังๆ → ดูว่า "ใจเราเป็นยังไง?"
    ถ้าหงุดหงิด = รู้ตัวว่าหงุดหงิด
    ถ้าหัวเสีย = รู้ตัวว่าหัวเสีย

    "รู้ทันความรู้สึก" ก็คือ สติ แล้ว!
    ยิ่งรู้ทัน = ใจยิ่งสงบเร็ว


    ---

    2️⃣ เปลี่ยน "การถูกบังคับ" → เป็น "การยอมรับ"

    เปลี่ยนจาก "ต้องทำ" → เป็น "ได้ทำ"
    เปลี่ยนจาก "จำใจเลี้ยงลูก" → เป็น "ขอบคุณที่มีโอกาสดูแลลูก"

    ใจที่ "ยอมรับ" → คือ ใจที่ไม่ทุกข์!


    ---

    3️⃣ เปลี่ยน "อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ" → เป็น "สมาธิระหว่างวัน"

    ใช้ลมหายใจช่วย → ลูกร้อง = หายใจเข้า - หายใจออกให้ยาวขึ้น
    ทำแบบนี้ทุกครั้ง → จะค่อยๆ สร้างสมาธิในชีวิตประจำวันได้เอง

    "สมาธิ" ไม่ต้องนั่งหลับตาเสมอไป
    "สมาธิ" คือ การที่ใจเราสงบขึ้นระหว่างเลี้ยงลูก!


    ---

    4️⃣ เปลี่ยน "ความเหนื่อย" → เป็น "การฝึกขันติ"

    เลี้ยงลูกคือ "การฝึกความอดทนที่ดีที่สุด"
    คนที่อดทนได้กับลูก จะอดทนกับชีวิตได้ทุกเรื่อง

    "ขันติ" คือ ของขวัญที่ลูกให้เรา
    "ขันติ" คือ กำไรจากการเป็นพ่อแม่!


    ---

    5️⃣ เปลี่ยน "การเลี้ยงลูก" → เป็น "การเจริญเมตตา"

    ลูกคืองานที่ละเอียดอ่อน → ต้องใช้เมตตาเป็นพื้นฐาน
    หัดมองลูกด้วย "สายตาแห่งเมตตา" ทุกวัน
    ไม่ต้องรอให้ลูกโต → ใช้ทุกวินาทีเป็นโอกาสสร้างบุญ!

    "เมตตา" ที่มีต่อลูก = บุญมหาศาล
    ยิ่งเมตตา = ยิ่งทำให้จิตสงบได้เร็ว


    ---

    สรุป: คุณพ่อคุณแม่ก็ "ปฏิบัติธรรม" ได้ทุกวัน

    ✔ ทุกการดูแลลูก = ฝึกสติ
    ✔ ทุกการอดทน = ฝึกขันติ
    ✔ ทุกการทำด้วยใจดี = สร้างบุญ
    ✔ ทุกการหายใจรับรู้ = เจริญสมาธิ

    "ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องหนีไปวัด"
    "แค่ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ก็เป็นทางพุทธแล้ว!"

    สุดท้าย... เมื่อลูกโตขึ้น → เขาจะซึมซับธรรมะจากเรา
    เราปฏิบัติ = ลูกได้เห็น = ลูกซึมซับสิ่งดีๆ ไปเอง

    "ธรรมะที่ดีที่สุด คือ ธรรมะที่ทำให้ชีวิตเราสงบขึ้น ทันทีที่มีสติ!"

    🍼 "ธรรมะของคุณพ่อลูกอ่อน" – ปฏิบัติได้ 24 ชั่วโมง 🍼 การเป็นพ่อแม่ลูกอ่อนคือ การฝึกธรรมะรูปแบบหนึ่ง ✔ ไม่มีเวลาเข้าวัด? ไม่เป็นไร ✔ ไม่มีเวลาเดินจงกรม? ไม่เป็นไร ✔ ไม่มีเวลาเข้าฌานลึก? ไม่เป็นไร เพราะ ชีวิตจริงของคุณ คือห้องฝึกธรรมที่แท้จริง! --- 📌 เปลี่ยนมุมมอง → การเลี้ยงลูกเป็น "การปฏิบัติธรรม" ✅ เลิกมองว่า "ไม่มีเวลา" → เปลี่ยนเป็น "ได้เวลาปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง" ✅ เลิกมองว่า "ไม่มีสมาธิ" → เปลี่ยนเป็น "สมาธิแบบคุณพ่อ" ✅ เลิกมองว่า "ไม่มีโอกาสภาวนา" → เปลี่ยนเป็น "หยอดกระปุกสติไปเรื่อยๆ" 💡 หัวใจคือ สติ! ✔ เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อแค่ "มีสมาธิ" ✔ แต่ปฏิบัติเพื่อให้ "มีสติรู้กาย รู้ใจ" 🎯 "ลูก = กระจกสะท้อนจิตเราเอง" เวลาลูกร้อง = ใจเราร้องตามไปด้วยไหม? เวลาลูกงอแง = เราอดทนหรือรำคาญ? เวลาลูกทำผิด = เราสอนด้วยเมตตาหรืออารมณ์? 👶 ลูกไม่ได้มาทำให้เราลำบาก 👶 ลูกมาทดสอบว่าเรามีธรรมะพอหรือยัง! --- 🌱 วิธีปฏิบัติธรรมแบบ "หยอดกระปุกสติ" 1️⃣ เปลี่ยน "การรำคาญ" → เป็น "การรู้ตัว" ✅ เวลาลูกร้องดังๆ → ดูว่า "ใจเราเป็นยังไง?" ✅ ถ้าหงุดหงิด = รู้ตัวว่าหงุดหงิด ✅ ถ้าหัวเสีย = รู้ตัวว่าหัวเสีย 🎯 "รู้ทันความรู้สึก" ก็คือ สติ แล้ว! 🎯 ยิ่งรู้ทัน = ใจยิ่งสงบเร็ว --- 2️⃣ เปลี่ยน "การถูกบังคับ" → เป็น "การยอมรับ" ✅ เปลี่ยนจาก "ต้องทำ" → เป็น "ได้ทำ" ✅ เปลี่ยนจาก "จำใจเลี้ยงลูก" → เป็น "ขอบคุณที่มีโอกาสดูแลลูก" 💡 ใจที่ "ยอมรับ" → คือ ใจที่ไม่ทุกข์! --- 3️⃣ เปลี่ยน "อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ" → เป็น "สมาธิระหว่างวัน" ✅ ใช้ลมหายใจช่วย → ลูกร้อง = หายใจเข้า - หายใจออกให้ยาวขึ้น ✅ ทำแบบนี้ทุกครั้ง → จะค่อยๆ สร้างสมาธิในชีวิตประจำวันได้เอง 💡 "สมาธิ" ไม่ต้องนั่งหลับตาเสมอไป 💡 "สมาธิ" คือ การที่ใจเราสงบขึ้นระหว่างเลี้ยงลูก! --- 4️⃣ เปลี่ยน "ความเหนื่อย" → เป็น "การฝึกขันติ" ✅ เลี้ยงลูกคือ "การฝึกความอดทนที่ดีที่สุด" ✅ คนที่อดทนได้กับลูก จะอดทนกับชีวิตได้ทุกเรื่อง 💡 "ขันติ" คือ ของขวัญที่ลูกให้เรา 💡 "ขันติ" คือ กำไรจากการเป็นพ่อแม่! --- 5️⃣ เปลี่ยน "การเลี้ยงลูก" → เป็น "การเจริญเมตตา" ✅ ลูกคืองานที่ละเอียดอ่อน → ต้องใช้เมตตาเป็นพื้นฐาน ✅ หัดมองลูกด้วย "สายตาแห่งเมตตา" ทุกวัน ✅ ไม่ต้องรอให้ลูกโต → ใช้ทุกวินาทีเป็นโอกาสสร้างบุญ! 💡 "เมตตา" ที่มีต่อลูก = บุญมหาศาล 💡 ยิ่งเมตตา = ยิ่งทำให้จิตสงบได้เร็ว --- 🔥 สรุป: คุณพ่อคุณแม่ก็ "ปฏิบัติธรรม" ได้ทุกวัน 🔥 ✔ ทุกการดูแลลูก = ฝึกสติ ✔ ทุกการอดทน = ฝึกขันติ ✔ ทุกการทำด้วยใจดี = สร้างบุญ ✔ ทุกการหายใจรับรู้ = เจริญสมาธิ 🎯 "ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องหนีไปวัด" 🎯 "แค่ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ก็เป็นทางพุทธแล้ว!" 🔔 สุดท้าย... เมื่อลูกโตขึ้น → เขาจะซึมซับธรรมะจากเรา 🔔 เราปฏิบัติ = ลูกได้เห็น = ลูกซึมซับสิ่งดีๆ ไปเอง 🌱 "ธรรมะที่ดีที่สุด คือ ธรรมะที่ทำให้ชีวิตเราสงบขึ้น ทันทีที่มีสติ!" 🌱
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 727 Views 0 Reviews
  • "คู่เวร"—บทเรียนที่ต้องเรียนให้จบ


    ---

    ทำไมต้องเจอคู่เวร?

    ทุกคนเคย อธิษฐานขอไม่เจอ คู่เวร

    แต่สุดท้าย… ก็ต้องเจออยู่ดี

    “ความอยาก” ไม่ใช่ตัวกำหนด

    “กรรม” เท่านั้นที่มีผลจริง


    เจอคู่เวร เพราะเคยทำกรรมร่วมกันมา
    ✔ บางครั้งเราเป็นฝ่ายให้ทุกข์
    ✔ บางครั้งเราเป็นฝ่ายรับทุกข์
    ✔ บางครั้งเราเคยรักกันมาก่อน
    ✔ บางครั้งเราเคยเกลียดกันสุดหัวใจ


    ---

    วงจรของ “คู่เวร”

    1️⃣ เคยรักกัน → ดึงดูดเข้าหากัน
    2️⃣ เคยเกลียดกัน → ผลักไสกัน
    3️⃣ ทำร้ายกันในอดีต → ต้องใช้กรรม
    4️⃣ พอเจอกันใหม่ = ยังรู้สึกแย่
    5️⃣ ทำเวรต่อกัน = ยิ่งต้องเจออีก

    "อธิษฐานขอไม่เจอ" ไม่ได้ผล
    เพราะจิตยังแบกความเกลียดอยู่
    ความคิดลบ = พลังดึงดูดใหม่


    ---

    วิธี “ปลดล็อกคู่เวร”

    1) อย่าอธิษฐาน "ขอไม่เจอ" อีก

    เพราะเป็น พลังผลักออก ที่ทำให้
    ➡ รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เจอ
    ➡ เหม็นหน้าโดยไม่รู้เหตุผล
    ➡ ลงเอยด้วยการอธิษฐานซ้ำ

    2) เปลี่ยนเป็น “ขออโหสิกรรม”

    แทนที่จะขอไม่เจอ
    ขอให้กรรมระงับในชาตินี้
    ขออโหสิให้กัน ไม่ต้องใช้เวรต่อกันอีก

    3) เปลี่ยน "เกลียด" เป็น "แผ่เมตตา"

    แผ่เมตตาทุกครั้งที่คิดถึงเขา
    อธิษฐานให้เขาเป็นสุข
    เพราะคนละระดับบุญ = ออกจากวงโคจรได้เร็ว

    4) ยกระดับบุญของตัวเองให้สูงขึ้น

    ถ้าคู่เวรอยู่ใน ระดับพลังลบ
    แล้วเรายกระดับตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ
    คลื่นพลังไม่ตรงกัน = ไม่ต้องมาเจอกันอีก


    ---

    ถ้าไม่ปล่อยวาง จะเป็นแบบนี้

    เจอคู่เวรซ้ำๆ แบบ เดจาวู
    ไม่เจอเขา → แต่เจอคนแบบเขาอีก
    เปลี่ยนแฟนกี่คน ก็เจอแบบเดิม
    เปลี่ยนที่ทำงาน ก็เจอเจ้านายแบบเดิม
    หนีไปที่ไหน ก็ยังต้องใช้กรรมอยู่ดี


    ---

    ทางออกที่ดีที่สุด

    ✔ เจริญสติให้รู้ทัน → ว่าเราแบกอะไรไว้
    ✔ อโหสิกรรมให้กัน → แค่ตั้งจิตให้อภัยก็พอ
    ✔ แผ่เมตตาให้เขา → ลดแรงกรรมต่อกัน
    ✔ สร้างบุญให้สูงขึ้น → ไม่ต้องกลับมาเจอเวรนี้อีก

    “ยิ่งอโหสิ ยิ่งหลุดออกจากวงเวียนกรรม”
    "ยิ่งเกลียด ยิ่งต้องเจอกันอีก"
    "ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งเบา และหมดเวรหมดกรรมเร็วขึ้น"

    "ดีที่สุด คือ ให้เวรจบที่เรา ไม่ต้องส่งต่ออีก!"

    "คู่เวร"—บทเรียนที่ต้องเรียนให้จบ --- 📌 ทำไมต้องเจอคู่เวร? ทุกคนเคย อธิษฐานขอไม่เจอ คู่เวร แต่สุดท้าย… ก็ต้องเจออยู่ดี “ความอยาก” ไม่ใช่ตัวกำหนด “กรรม” เท่านั้นที่มีผลจริง 💡 เจอคู่เวร เพราะเคยทำกรรมร่วมกันมา ✔ บางครั้งเราเป็นฝ่ายให้ทุกข์ ✔ บางครั้งเราเป็นฝ่ายรับทุกข์ ✔ บางครั้งเราเคยรักกันมาก่อน ✔ บางครั้งเราเคยเกลียดกันสุดหัวใจ --- 🔄 วงจรของ “คู่เวร” 1️⃣ เคยรักกัน → ดึงดูดเข้าหากัน 2️⃣ เคยเกลียดกัน → ผลักไสกัน 3️⃣ ทำร้ายกันในอดีต → ต้องใช้กรรม 4️⃣ พอเจอกันใหม่ = ยังรู้สึกแย่ 5️⃣ ทำเวรต่อกัน = ยิ่งต้องเจออีก 🔥 "อธิษฐานขอไม่เจอ" ไม่ได้ผล 🔥 เพราะจิตยังแบกความเกลียดอยู่ 🔥 ความคิดลบ = พลังดึงดูดใหม่ --- 🔑 วิธี “ปลดล็อกคู่เวร” 1) อย่าอธิษฐาน "ขอไม่เจอ" อีก ✅ เพราะเป็น พลังผลักออก ที่ทำให้ ➡ รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เจอ ➡ เหม็นหน้าโดยไม่รู้เหตุผล ➡ ลงเอยด้วยการอธิษฐานซ้ำ 2) เปลี่ยนเป็น “ขออโหสิกรรม” ✅ แทนที่จะขอไม่เจอ ✅ ขอให้กรรมระงับในชาตินี้ ✅ ขออโหสิให้กัน ไม่ต้องใช้เวรต่อกันอีก 3) เปลี่ยน "เกลียด" เป็น "แผ่เมตตา" ✅ แผ่เมตตาทุกครั้งที่คิดถึงเขา ✅ อธิษฐานให้เขาเป็นสุข ✅ เพราะคนละระดับบุญ = ออกจากวงโคจรได้เร็ว 4) ยกระดับบุญของตัวเองให้สูงขึ้น ✅ ถ้าคู่เวรอยู่ใน ระดับพลังลบ ✅ แล้วเรายกระดับตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ ✅ คลื่นพลังไม่ตรงกัน = ไม่ต้องมาเจอกันอีก --- ⛔ ถ้าไม่ปล่อยวาง จะเป็นแบบนี้ ❌ เจอคู่เวรซ้ำๆ แบบ เดจาวู ❌ ไม่เจอเขา → แต่เจอคนแบบเขาอีก ❌ เปลี่ยนแฟนกี่คน ก็เจอแบบเดิม ❌ เปลี่ยนที่ทำงาน ก็เจอเจ้านายแบบเดิม ❌ หนีไปที่ไหน ก็ยังต้องใช้กรรมอยู่ดี --- ✅ ทางออกที่ดีที่สุด ✔ เจริญสติให้รู้ทัน → ว่าเราแบกอะไรไว้ ✔ อโหสิกรรมให้กัน → แค่ตั้งจิตให้อภัยก็พอ ✔ แผ่เมตตาให้เขา → ลดแรงกรรมต่อกัน ✔ สร้างบุญให้สูงขึ้น → ไม่ต้องกลับมาเจอเวรนี้อีก 💡 “ยิ่งอโหสิ ยิ่งหลุดออกจากวงเวียนกรรม” 💡 "ยิ่งเกลียด ยิ่งต้องเจอกันอีก" 💡 "ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งเบา และหมดเวรหมดกรรมเร็วขึ้น" 🔥 "ดีที่สุด คือ ให้เวรจบที่เรา ไม่ต้องส่งต่ออีก!" 🔥
    0 Comments 0 Shares 587 Views 0 Reviews
  • 86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย

    ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา

    86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
    หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท

    แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย

    วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้

    เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

    ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย"

    บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น

    สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
    บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ
    เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน

    ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า

    ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ?
    การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล

    ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า

    ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
    ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่
    ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ
    จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง

    ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

    ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา
    1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์
    กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่
    กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม

    ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

    - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง
    - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ
    - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ

    สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา

    เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
    แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย

    “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง

    หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน

    ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง

    แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป

    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา
    ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น
    ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568

    #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา 🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย 👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้ เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา 📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย" 🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ? การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่ ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง 📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา 1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์ ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่ ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม 📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา 🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน 🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568 🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    0 Comments 0 Shares 1496 Views 0 Reviews
More Results