• เมื่อมะเร็งทำลายเสียง แต่ AI ช่วยคืนตัวตนให้เธออีกครั้ง

    เรื่องราวของ Sonya Sotinsky เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดของการที่เทคโนโลยี AI สามารถคืน “ตัวตน” ให้มนุษย์ได้ หลังจากเธอต้องสูญเสียทั้งลิ้นและกล่องเสียงเพราะมะเร็งช่องปาก เธอไม่ยอมให้ชีวิตเงียบงัน จึงเริ่มบันทึกเสียงทุกอย่างที่เธออยากเก็บไว้—ตั้งแต่คำอวยพรวันเกิด คำพูดกับครอบครัว ไปจนถึงคำสบถที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกเธอเอง

    เมื่อเทคโนโลยี AI ด้านเสียงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 เธอพบวิธีสร้าง “เสียงจำลอง” ที่มีสำเนียง New Jersey แบบเดิมครบถ้วน ทั้งอารมณ์ ความประชด และความเป็นตัวเธอ เสียงนี้ถูกเก็บไว้ในแอปบนโทรศัพท์ ทำให้เธอสามารถ “พูด” ได้อีกครั้งผ่านการพิมพ์ข้อความ แม้แพทย์และบริษัทประกันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสียงของเธอ แต่เธอกลับพิสูจน์ว่าเสียงคือส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์

    นอกจากช่วยให้เธอสื่อสารได้ดีขึ้น เสียง AI นี้ยังช่วยให้ทีมแพทย์รับรู้ความคิดและความต้องการของเธอได้ชัดเจนขึ้น จนมีส่วนช่วยในการรักษามะเร็งรอบล่าสุดที่ลุกลามไปยังปอดและตับ เธอรู้สึกว่าคนรอบตัว “มองเห็นความเป็นมนุษย์ของเธอมากขึ้น” เมื่อได้ยินเสียงที่มีชีวิตชีวาแทนเสียงสังเคราะห์แบบหุ่นยนต์ในอดีต

    วันนี้ Sotinsky ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและการสนับสนุนด้านประกันสุขภาพสำหรับเทคโนโลยีเสียง AI เธอสร้างเว็บไซต์ แชร์ประสบการณ์ และพูดในงานวิชาการ เพื่อให้ผู้ป่วยคนอื่นไม่ต้องเผชิญความเงียบงันแบบที่เธอเคยเจอ เธอย้ำเสมอว่า “เสียงคืออัตลักษณ์” และแม้โรคร้ายจะพรากเสียงจริงไป แต่ AI ก็ช่วยคืนความเป็นตัวเธอได้อย่างงดงาม

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    AI ช่วยคืนเสียงและตัวตนให้ผู้ป่วยมะเร็ง
    Sotinsky ใช้เสียงที่บันทึกไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อสร้างเสียง AI ที่เหมือนจริง
    เสียงใหม่ช่วยให้เธอสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีอารมณ์

    เสียงคือส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์มนุษย์
    เธอเชื่อว่าความถี่ น้ำเสียง และสำเนียงคือ “ลายนิ้วมือของตัวตน”
    การไม่มีเสียงทำให้เกิดความโดดเดี่ยวและความเครียดทางอารมณ์

    เทคโนโลยี AI ด้านเสียงก้าวหน้าอย่างมาก
    โมเดลใหม่สามารถสร้างเสียงที่มีอารมณ์และความเป็นธรรมชาติสูง
    ใช้เพียง 30 นาทีของเสียงต้นฉบับก็สร้างเสียงจำลองได้แล้ว

    ความท้าทายด้านระบบสุขภาพและประกัน
    บริษัทประกันปฏิเสธการครอบคลุมค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีเสียง AI
    แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้ให้ผู้ป่วยใช้

    ความเสี่ยงด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไร้เสียง
    ผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียงมีความเสี่ยงซึมเศร้าและโดดเดี่ยวสูง
    เสียงสังเคราะห์แบบเก่าอาจทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าความคิดของผู้ป่วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/cancer-stole-her-voice-she-used-ai-curse-words-and-kids-books-to-get-it-back
    🗞️ เมื่อมะเร็งทำลายเสียง แต่ AI ช่วยคืนตัวตนให้เธออีกครั้ง เรื่องราวของ Sonya Sotinsky เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดของการที่เทคโนโลยี AI สามารถคืน “ตัวตน” ให้มนุษย์ได้ หลังจากเธอต้องสูญเสียทั้งลิ้นและกล่องเสียงเพราะมะเร็งช่องปาก เธอไม่ยอมให้ชีวิตเงียบงัน จึงเริ่มบันทึกเสียงทุกอย่างที่เธออยากเก็บไว้—ตั้งแต่คำอวยพรวันเกิด คำพูดกับครอบครัว ไปจนถึงคำสบถที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกเธอเอง เมื่อเทคโนโลยี AI ด้านเสียงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 เธอพบวิธีสร้าง “เสียงจำลอง” ที่มีสำเนียง New Jersey แบบเดิมครบถ้วน ทั้งอารมณ์ ความประชด และความเป็นตัวเธอ เสียงนี้ถูกเก็บไว้ในแอปบนโทรศัพท์ ทำให้เธอสามารถ “พูด” ได้อีกครั้งผ่านการพิมพ์ข้อความ แม้แพทย์และบริษัทประกันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสียงของเธอ แต่เธอกลับพิสูจน์ว่าเสียงคือส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ นอกจากช่วยให้เธอสื่อสารได้ดีขึ้น เสียง AI นี้ยังช่วยให้ทีมแพทย์รับรู้ความคิดและความต้องการของเธอได้ชัดเจนขึ้น จนมีส่วนช่วยในการรักษามะเร็งรอบล่าสุดที่ลุกลามไปยังปอดและตับ เธอรู้สึกว่าคนรอบตัว “มองเห็นความเป็นมนุษย์ของเธอมากขึ้น” เมื่อได้ยินเสียงที่มีชีวิตชีวาแทนเสียงสังเคราะห์แบบหุ่นยนต์ในอดีต วันนี้ Sotinsky ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและการสนับสนุนด้านประกันสุขภาพสำหรับเทคโนโลยีเสียง AI เธอสร้างเว็บไซต์ แชร์ประสบการณ์ และพูดในงานวิชาการ เพื่อให้ผู้ป่วยคนอื่นไม่ต้องเผชิญความเงียบงันแบบที่เธอเคยเจอ เธอย้ำเสมอว่า “เสียงคืออัตลักษณ์” และแม้โรคร้ายจะพรากเสียงจริงไป แต่ AI ก็ช่วยคืนความเป็นตัวเธอได้อย่างงดงาม 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ AI ช่วยคืนเสียงและตัวตนให้ผู้ป่วยมะเร็ง ➡️ Sotinsky ใช้เสียงที่บันทึกไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อสร้างเสียง AI ที่เหมือนจริง ➡️ เสียงใหม่ช่วยให้เธอสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีอารมณ์ ✅ เสียงคือส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์มนุษย์ ➡️ เธอเชื่อว่าความถี่ น้ำเสียง และสำเนียงคือ “ลายนิ้วมือของตัวตน” ➡️ การไม่มีเสียงทำให้เกิดความโดดเดี่ยวและความเครียดทางอารมณ์ ✅ เทคโนโลยี AI ด้านเสียงก้าวหน้าอย่างมาก ➡️ โมเดลใหม่สามารถสร้างเสียงที่มีอารมณ์และความเป็นธรรมชาติสูง ➡️ ใช้เพียง 30 นาทีของเสียงต้นฉบับก็สร้างเสียงจำลองได้แล้ว ‼️ ความท้าทายด้านระบบสุขภาพและประกัน ⛔ บริษัทประกันปฏิเสธการครอบคลุมค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีเสียง AI ⛔ แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้ให้ผู้ป่วยใช้ ‼️ ความเสี่ยงด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไร้เสียง ⛔ ผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียงมีความเสี่ยงซึมเศร้าและโดดเดี่ยวสูง ⛔ เสียงสังเคราะห์แบบเก่าอาจทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าความคิดของผู้ป่วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/cancer-stole-her-voice-she-used-ai-curse-words-and-kids-books-to-get-it-back
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cancer stole her voice. She used AI, curse words and kids' books to get it back
    When doctors told her they had to remove her tongue and voice box to save her life from the cancer that had invaded her mouth, Sonya Sotinsky sat down with a microphone to record herself saying the things she would never again be able to say.
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา

    บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน.

    Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ.

    ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า.

    ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์.

    ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด Thin vs Thick Desires
    Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต
    Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย

    ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires
    โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง
    Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง

    ผลกระทบต่อสังคม
    ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
    โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน

    แนวทางต่อต้าน Thin Desires
    อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน
    เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics
    สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน

    คำเตือน
    การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย
    หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน

    https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    📱 Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน. Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ. ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า. ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์. ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด Thin vs Thick Desires ➡️ Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต ➡️ Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย ✅ ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires ➡️ โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง ➡️ Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง ✅ ผลกระทบต่อสังคม ➡️ ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ➡️ โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน ✅ แนวทางต่อต้าน Thin Desires ➡️ อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน ➡️ เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics ➡️ สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน ‼️ คำเตือน ⛔ การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย ⛔ หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    WWW.JOANWESTENBERG.COM
    Thin Desires Are Eating Your Life
    The defining experience of our age seems to be hunger. We're hungry for more, but we have more than we need. We're hungry for less, while more accumulates and multiplies. We're hungry and we don't have words to articulate why. We're hungry, and we're lacking and we're wanting. We are
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • สารออกฤทธิ์จากเห็ดเมจิก ช่วย “รีไวร์” สมองและลดวงจรความคิดซ้ำ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า

    ทีมนักวิจัยจาก Cornell University ใช้ไวรัสที่ถูกดัดแปลงเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองในหนู หลังได้รับไซโลไซบิน พบว่าบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความรู้สึกและการตัดสินใจมีการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น ขณะที่วงจรในคอร์เทกซ์ที่เกี่ยวข้องกับการคิดซ้ำ ๆ ลดลง

    กลไกการทำงาน
    ผลการทดลองชี้ว่าไซโลไซบินอาจช่วยลด “rumination” หรือการจมอยู่กับความคิดด้านลบ โดยการปรับสมดุลการเชื่อมต่อของสมอง นักวิจัยยังพบว่ากิจกรรมของสมองมีบทบาทกำหนดตำแหน่งที่การเชื่อมต่อใหม่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเปิดทางให้ใช้เทคนิคกระตุ้นสมอง เช่น magnetic stimulation ร่วมกับไซโลไซบินเพื่อการรักษาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

    ความหมายต่อการรักษาโรคซึมเศร้า
    ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุหลักของความพิการทั่วโลก และการรักษาแบบดั้งเดิมมักมีผลข้างเคียงหรือไม่ได้ผลสำหรับบางคน การค้นพบนี้จึงเป็นความหวังใหม่ที่อาจนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อจำกัดของการศึกษา
    แม้ผลลัพธ์ในหนูจะน่าสนใจ แต่ยังต้องมีการยืนยันในมนุษย์ เพราะไม่ใช่ทุกการค้นพบจากสัตว์ทดลองจะสามารถนำมาใช้กับคนได้โดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    การทดลองใหม่
    ใช้ไวรัสติดตามการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อสมองในหนูที่ได้รับไซโลไซบิน

    กลไกการทำงาน
    ลดวงจรความคิดด้านลบ เพิ่มการเชื่อมต่อในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ

    ความหมายต่อการรักษา
    อาจช่วยพัฒนาวิธีรักษาโรคซึมเศร้าที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศักยภาพการประยุกต์ใช้
    อาจใช้ร่วมกับเทคนิคกระตุ้นสมองเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ผลลัพธ์ยังอยู่ในระดับสัตว์ทดลอง ต้องมีการยืนยันในมนุษย์

    ความเสี่ยงในการตีความ
    ไม่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงในสมองของหนูจะสะท้อนผลในมนุษย์

    https://www.sciencealert.com/psilocybin-breaks-depressive-cycles-by-rewiring-the-brain-study-suggests
    🧠 สารออกฤทธิ์จากเห็ดเมจิก ช่วย “รีไวร์” สมองและลดวงจรความคิดซ้ำ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า ทีมนักวิจัยจาก Cornell University ใช้ไวรัสที่ถูกดัดแปลงเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองในหนู หลังได้รับไซโลไซบิน พบว่าบริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความรู้สึกและการตัดสินใจมีการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น ขณะที่วงจรในคอร์เทกซ์ที่เกี่ยวข้องกับการคิดซ้ำ ๆ ลดลง 🔬 กลไกการทำงาน ผลการทดลองชี้ว่าไซโลไซบินอาจช่วยลด “rumination” หรือการจมอยู่กับความคิดด้านลบ โดยการปรับสมดุลการเชื่อมต่อของสมอง นักวิจัยยังพบว่ากิจกรรมของสมองมีบทบาทกำหนดตำแหน่งที่การเชื่อมต่อใหม่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเปิดทางให้ใช้เทคนิคกระตุ้นสมอง เช่น magnetic stimulation ร่วมกับไซโลไซบินเพื่อการรักษาที่แม่นยำยิ่งขึ้น 🌍 ความหมายต่อการรักษาโรคซึมเศร้า ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุหลักของความพิการทั่วโลก และการรักษาแบบดั้งเดิมมักมีผลข้างเคียงหรือไม่ได้ผลสำหรับบางคน การค้นพบนี้จึงเป็นความหวังใหม่ที่อาจนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚠️ ข้อจำกัดของการศึกษา แม้ผลลัพธ์ในหนูจะน่าสนใจ แต่ยังต้องมีการยืนยันในมนุษย์ เพราะไม่ใช่ทุกการค้นพบจากสัตว์ทดลองจะสามารถนำมาใช้กับคนได้โดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การทดลองใหม่ ➡️ ใช้ไวรัสติดตามการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อสมองในหนูที่ได้รับไซโลไซบิน ✅ กลไกการทำงาน ➡️ ลดวงจรความคิดด้านลบ เพิ่มการเชื่อมต่อในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ✅ ความหมายต่อการรักษา ➡️ อาจช่วยพัฒนาวิธีรักษาโรคซึมเศร้าที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ศักยภาพการประยุกต์ใช้ ➡️ อาจใช้ร่วมกับเทคนิคกระตุ้นสมองเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ผลลัพธ์ยังอยู่ในระดับสัตว์ทดลอง ต้องมีการยืนยันในมนุษย์ ‼️ ความเสี่ยงในการตีความ ⛔ ไม่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงในสมองของหนูจะสะท้อนผลในมนุษย์ https://www.sciencealert.com/psilocybin-breaks-depressive-cycles-by-rewiring-the-brain-study-suggests
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Psilocybin Breaks Depressive Cycles by Rewiring The Brain, Study Suggests
    Scientists have used a specially engineered virus to help track the brain changes caused by psilocybin in mice, revealing how the drug could be breaking loops of depressive thinking.
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • ก๊าซหัวเราะกับการบรรเทาภาวะซึมเศร้า

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birmingham และ Oxford วิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 7 ครั้ง รวมผู้เข้าร่วมกว่า 247 คน พบว่า การสูดดมไนตรัสออกไซด์ในระดับ 25–50% สามารถลดอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น ยาต้านซึมเศร้าและการบำบัดทางจิตใจ

    กลไกที่อยู่เบื้องหลัง
    ผลการศึกษาชี้ว่าไนตรัสออกไซด์อาจทำงานโดย ลดการทำงานของระบบกลูตาเมต (glutamatergic system) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้การลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น

    ผลลัพธ์และข้อจำกัด
    แม้จะเห็นผลเร็ว แต่ อาการซึมเศร้ากลับมาในหนึ่งสัปดาห์ หากไม่ได้รับการให้ยาซ้ำ อีกทั้งการใช้ในความเข้มข้นสูง (50%) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง (dissociation) จึงต้องมีการจัดการอย่างระมัดระวัง

    ความหวังใหม่ในแนวทางการรักษา
    นักวิจัยเชื่อว่าไนตรัสออกไซด์อาจเป็นส่วนหนึ่งของ การรักษารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เร็ว สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม โดยการทดลองในอนาคตจะมุ่งไปที่ การให้ยาซ้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย

    สรุปสาระสำคัญ
    ไนตรัสออกไซด์บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง
    เห็นผลชัดเจนในผู้ป่วยดื้อต่อการรักษา

    กลไกเกี่ยวข้องกับการลดการทำงานของระบบกลูตาเมต
    และช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง

    ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน
    อาการกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์หากไม่ให้ยาซ้ำ

    การทดลองชี้ว่ามีศักยภาพเป็นการรักษารุ่นใหม่
    ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีใช้ที่ปลอดภัยและยั่งยืน

    ความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง
    เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง

    ยังไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาด
    ต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่นและอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์

    https://www.sciencealert.com/laughing-gas-can-offer-immediate-relief-from-depression-study-finds
    🌬️ ก๊าซหัวเราะกับการบรรเทาภาวะซึมเศร้า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birmingham และ Oxford วิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 7 ครั้ง รวมผู้เข้าร่วมกว่า 247 คน พบว่า การสูดดมไนตรัสออกไซด์ในระดับ 25–50% สามารถลดอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น ยาต้านซึมเศร้าและการบำบัดทางจิตใจ 🧠 กลไกที่อยู่เบื้องหลัง ผลการศึกษาชี้ว่าไนตรัสออกไซด์อาจทำงานโดย ลดการทำงานของระบบกลูตาเมต (glutamatergic system) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้การลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารดีขึ้น ⏳ ผลลัพธ์และข้อจำกัด แม้จะเห็นผลเร็ว แต่ อาการซึมเศร้ากลับมาในหนึ่งสัปดาห์ หากไม่ได้รับการให้ยาซ้ำ อีกทั้งการใช้ในความเข้มข้นสูง (50%) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง (dissociation) จึงต้องมีการจัดการอย่างระมัดระวัง 🔮 ความหวังใหม่ในแนวทางการรักษา นักวิจัยเชื่อว่าไนตรัสออกไซด์อาจเป็นส่วนหนึ่งของ การรักษารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เร็ว สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม โดยการทดลองในอนาคตจะมุ่งไปที่ การให้ยาซ้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ไนตรัสออกไซด์บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ภายใน 2 ชั่วโมง ➡️ เห็นผลชัดเจนในผู้ป่วยดื้อต่อการรักษา ✅ กลไกเกี่ยวข้องกับการลดการทำงานของระบบกลูตาเมต ➡️ และช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง ✅ ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ➡️ อาการกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์หากไม่ให้ยาซ้ำ ✅ การทดลองชี้ว่ามีศักยภาพเป็นการรักษารุ่นใหม่ ➡️ ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีใช้ที่ปลอดภัยและยั่งยืน ‼️ ความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ⛔ เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว และภาวะหลุดจากความเป็นจริง ‼️ ยังไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาด ⛔ ต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่นและอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์ https://www.sciencealert.com/laughing-gas-can-offer-immediate-relief-from-depression-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Laughing Gas Can Offer Immediate Relief From Depression, Study Finds
    A review by researchers from the University of Birmingham and the University of Oxford in the UK has found that controlled doses of laughing gas (or nitrous oxide) really can provide quick-acting relief from depression.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • เสียงก้องในหูเชื่อมโยงกับระบบ "สู้หรือหนี"

    งานวิจัยล่าสุดจากทีมของ Daniel Polley ที่ Mass General Brigham พบว่า ผู้ที่มีภาวะหูอื้อเรื้อรัง (chronic tinnitus) แสดงออกทางร่างกายคล้ายกับการเข้าสู่โหมด "fight-or-flight" แม้จะเป็นเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ตาม นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ microexpressions บนใบหน้าและการขยายตัวของรูม่านตา เพื่อวัดระดับความเครียดและการรับรู้ภัยคุกคาม ผลลัพธ์ชี้ว่าผู้ที่มี tinnitus มีการตอบสนองเกินปกติและสามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้จากตัวชี้วัดเหล่านี้

    ความซับซ้อนของโรคที่ไม่มี "biomarker" ชัดเจน
    Tinnitus เป็นภาวะที่ผู้ป่วยได้ยินเสียงก้อง คลิก หรือเสียงแหลมในหูโดยที่ไม่มีแหล่งกำเนิดจริง ปัญหาคือ ไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพที่ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยและติดตามผลยากมาก ปัจจุบันแพทย์ใช้เพียงแบบสอบถามความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงเสมอไป การค้นพบครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถใช้ การตอบสนองทางร่างกาย เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงได้

    ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิต
    ภาวะ tinnitus เรื้อรังส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และอาจทำให้เกิด ภาวะนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และโรคซึมเศร้า การที่ร่างกายตอบสนองต่อเสียงเหมือนภัยคุกคามตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะเครียดเรื้อรัง ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง

    ความหวังใหม่จากการใช้ AI และการแพทย์เชิงพฤติกรรม
    นักวิจัยใช้ AI วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้า ที่มนุษย์ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถตรวจจับสัญญาณความเครียดที่สัมพันธ์กับ tinnitus ได้อย่างแม่นยำ แนวทางนี้อาจนำไปสู่การพัฒนา การรักษาใหม่ เช่น sound therapy, CBT (cognitive behavioral therapy), และ tinnitus retraining therapy ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย

    สรุปสาระสำคัญ
    Tinnitus กระตุ้นระบบ "fight-or-flight"
    ผู้ป่วยตอบสนองต่อเสียงธรรมดาเหมือนภัยคุกคาม

    ใช้ microexpressions และการขยายรูม่านตาเป็นตัวชี้วัด
    สามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้

    โรคนี้ไม่มี biomarker ที่ชัดเจน
    ปัจจุบันใช้เพียงแบบสอบถามในการวินิจฉัย

    มีผู้ป่วยกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก
    ส่งผลต่อการนอน สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต

    AI ช่วยวิเคราะห์สัญญาณที่มนุษย์ไม่เห็น
    อาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต

    ความเครียดเรื้อรังจาก tinnitus เชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
    ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกถูกละเลยในระบบการแพทย์

    ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด
    การบำบัดที่มีอยู่ให้ผลไม่สม่ำเสมอและขึ้นกับแต่ละบุคคล

    https://www.sciencealert.com/tinnitus-triggers-your-bodys-fight-or-flight-response-study-finds
    🔔 เสียงก้องในหูเชื่อมโยงกับระบบ "สู้หรือหนี" งานวิจัยล่าสุดจากทีมของ Daniel Polley ที่ Mass General Brigham พบว่า ผู้ที่มีภาวะหูอื้อเรื้อรัง (chronic tinnitus) แสดงออกทางร่างกายคล้ายกับการเข้าสู่โหมด "fight-or-flight" แม้จะเป็นเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ตาม นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ microexpressions บนใบหน้าและการขยายตัวของรูม่านตา เพื่อวัดระดับความเครียดและการรับรู้ภัยคุกคาม ผลลัพธ์ชี้ว่าผู้ที่มี tinnitus มีการตอบสนองเกินปกติและสามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้จากตัวชี้วัดเหล่านี้ 🧠 ความซับซ้อนของโรคที่ไม่มี "biomarker" ชัดเจน Tinnitus เป็นภาวะที่ผู้ป่วยได้ยินเสียงก้อง คลิก หรือเสียงแหลมในหูโดยที่ไม่มีแหล่งกำเนิดจริง ปัญหาคือ ไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพที่ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยและติดตามผลยากมาก ปัจจุบันแพทย์ใช้เพียงแบบสอบถามความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงเสมอไป การค้นพบครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถใช้ การตอบสนองทางร่างกาย เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงได้ 🌍 ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิต ภาวะ tinnitus เรื้อรังส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และอาจทำให้เกิด ภาวะนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และโรคซึมเศร้า การที่ร่างกายตอบสนองต่อเสียงเหมือนภัยคุกคามตลอดเวลา ทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะเครียดเรื้อรัง ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง 🔬 ความหวังใหม่จากการใช้ AI และการแพทย์เชิงพฤติกรรม นักวิจัยใช้ AI วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้า ที่มนุษย์ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถตรวจจับสัญญาณความเครียดที่สัมพันธ์กับ tinnitus ได้อย่างแม่นยำ แนวทางนี้อาจนำไปสู่การพัฒนา การรักษาใหม่ เช่น sound therapy, CBT (cognitive behavioral therapy), และ tinnitus retraining therapy ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Tinnitus กระตุ้นระบบ "fight-or-flight" ➡️ ผู้ป่วยตอบสนองต่อเสียงธรรมดาเหมือนภัยคุกคาม ✅ ใช้ microexpressions และการขยายรูม่านตาเป็นตัวชี้วัด ➡️ สามารถทำนายความรุนแรงของอาการได้ ✅ โรคนี้ไม่มี biomarker ที่ชัดเจน ➡️ ปัจจุบันใช้เพียงแบบสอบถามในการวินิจฉัย ✅ มีผู้ป่วยกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก ➡️ ส่งผลต่อการนอน สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิต ✅ AI ช่วยวิเคราะห์สัญญาณที่มนุษย์ไม่เห็น ➡️ อาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต ‼️ ความเครียดเรื้อรังจาก tinnitus เชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล ⛔ ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกถูกละเลยในระบบการแพทย์ ‼️ ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด ⛔ การบำบัดที่มีอยู่ให้ผลไม่สม่ำเสมอและขึ้นกับแต่ละบุคคล https://www.sciencealert.com/tinnitus-triggers-your-bodys-fight-or-flight-response-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Tinnitus Triggers Your Body's 'Fight or Flight' Response, Study Finds
    Chronic tinnitus may increase stress levels by keeping the body that much closer to a fight-or-flight response to sound, a new study suggests.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • การค้นพบครั้งสำคัญ: ยีนเดียวที่ก่อโรคทางจิต

    งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Leipzig พบว่า การกลายพันธุ์ในยีน GRIN2A สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง เช่น โรคจิตเภทที่เกิดตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งต่างจากรูปแบบทั่วไปที่มักแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ การค้นพบนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่ายีนเดียวสามารถก่อโรคทางจิตได้

    ผลกระทบต่อการวินิจฉัยและการรักษา
    ทีมวิจัยได้ศึกษาผู้ป่วยกว่า 121 รายที่มีการเปลี่ยนแปลงในยีน GRIN2A พบว่า 25 รายมีอาการทางจิต เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ที่น่าสนใจคือบางรายมีเพียงอาการทางจิต โดยไม่มีโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น ลมชักหรือปัญญาบกพร่อง ซึ่งปกติจะเชื่อมโยงกับยีนนี้

    แนวทางการรักษาใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
    ยีน GRIN2A เกี่ยวข้องกับตัวรับกลูตาเมตในสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาท งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการรักษาด้วย L-serine (กรดอะมิโนที่กระตุ้นตัวรับกลูตาเมต) มีอาการทางจิตดีขึ้น เช่น ลดอาการหลอนหรือพฤติกรรมผิดปกติ แม้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างเล็ก แต่ก็เปิดความเป็นไปได้ใหม่ในการรักษาโรคทางจิตแบบเฉพาะบุคคล

    ความหมายต่อสังคมและอนาคต
    การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยโรคทางจิตในอนาคต โดยการตรวจพันธุกรรมอาจถูกนำมาใช้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเลือกการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลและทำความเข้าใจกลไกของยีนนี้อย่างละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบยีน GRIN2A
    เป็นยีนแรกที่สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง
    อาการปรากฏตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น

    ผลการศึกษาในผู้ป่วย
    25 จาก 121 รายมีโรคทางจิต
    บางรายมีเพียงอาการทางจิตโดยไม่มีโรคประสาทอื่น

    แนวทางการรักษาใหม่
    การใช้ L-serine ช่วยให้อาการดีขึ้นในบางราย
    เปิดโอกาสสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคล

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ขนาดตัวอย่างยังเล็กและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม
    กลไกการทำงานของ GRIN2A ยังไม่ถูกเข้าใจทั้งหมด

    https://www.sciencealert.com/scientists-discover-the-first-single-gene-to-directly-cause-mental-illness
    🧬 การค้นพบครั้งสำคัญ: ยีนเดียวที่ก่อโรคทางจิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Leipzig พบว่า การกลายพันธุ์ในยีน GRIN2A สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง เช่น โรคจิตเภทที่เกิดตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ซึ่งต่างจากรูปแบบทั่วไปที่มักแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ การค้นพบนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่ายีนเดียวสามารถก่อโรคทางจิตได้ 👩‍⚕️ ผลกระทบต่อการวินิจฉัยและการรักษา ทีมวิจัยได้ศึกษาผู้ป่วยกว่า 121 รายที่มีการเปลี่ยนแปลงในยีน GRIN2A พบว่า 25 รายมีอาการทางจิต เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ที่น่าสนใจคือบางรายมีเพียงอาการทางจิต โดยไม่มีโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น ลมชักหรือปัญญาบกพร่อง ซึ่งปกติจะเชื่อมโยงกับยีนนี้ 💊 แนวทางการรักษาใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ยีน GRIN2A เกี่ยวข้องกับตัวรับกลูตาเมตในสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาท งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการรักษาด้วย L-serine (กรดอะมิโนที่กระตุ้นตัวรับกลูตาเมต) มีอาการทางจิตดีขึ้น เช่น ลดอาการหลอนหรือพฤติกรรมผิดปกติ แม้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างเล็ก แต่ก็เปิดความเป็นไปได้ใหม่ในการรักษาโรคทางจิตแบบเฉพาะบุคคล 🌍 ความหมายต่อสังคมและอนาคต การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยโรคทางจิตในอนาคต โดยการตรวจพันธุกรรมอาจถูกนำมาใช้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและเลือกการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลและทำความเข้าใจกลไกของยีนนี้อย่างละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบยีน GRIN2A ➡️ เป็นยีนแรกที่สามารถทำให้เกิดโรคทางจิตได้โดยตรง ➡️ อาการปรากฏตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ✅ ผลการศึกษาในผู้ป่วย ➡️ 25 จาก 121 รายมีโรคทางจิต ➡️ บางรายมีเพียงอาการทางจิตโดยไม่มีโรคประสาทอื่น ✅ แนวทางการรักษาใหม่ ➡️ การใช้ L-serine ช่วยให้อาการดีขึ้นในบางราย ➡️ เปิดโอกาสสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคล ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ขนาดตัวอย่างยังเล็กและต้องการการศึกษาเพิ่มเติม ⛔ กลไกการทำงานของ GRIN2A ยังไม่ถูกเข้าใจทั้งหมด https://www.sciencealert.com/scientists-discover-the-first-single-gene-to-directly-cause-mental-illness
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Scientists Discover The First Single Gene to Directly Cause Mental Illness
    Genetics is rarely as straightforward as a single gene driving a lone health outcome.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • "นักศึกษา Stanford 38% อ้างสิทธิ์ความพิการ – สัญญาณสะท้อนสังคมการศึกษาและโลกออนไลน์"

    ที่มหาวิทยาลัย Stanford มีนักศึกษากว่า 38% ระบุว่าตนเองเป็นผู้พิการ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า และสมาธิสั้น (ADHD) ตัวเลขนี้สูงกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น Brown และ Harvard ที่อยู่ราว 20% และ Amherst ที่ 34% สร้างคำถามว่าเหตุใดสถาบันการศึกษาชั้นนำจึงมีอัตราสูงเช่นนี้

    นักวิชาการบางส่วนมองว่า การขอสิทธิ์ปรับตัวทางการศึกษา เช่น เวลาเพิ่มในการสอบ หรือเลี่ยงการนำเสนอหน้าชั้นเรียน กลายเป็นช่องทางที่นักศึกษาบางคนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลว มากกว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีความพิการจริง ๆ ขณะเดียวกัน กฎหมาย ADA ของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้การขอสิทธิ์ทำได้ง่ายเพียงมีใบรับรองแพทย์

    สิ่งที่ผลักดันกระแสนี้คือ โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok ที่มีคอนเทนต์ตีความพฤติกรรมทั่วไป เช่น ชอบใส่หูฟัง หรือชอบวาดเล่นในชั้นเรียน ว่าอาจเป็นสัญญาณของโรค ADHD หรือภาวะอื่น ๆ ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ปกติ” และ “ผิดปกติ” ถูกเบลอ จนนักศึกษาหลายคนเชื่อว่าตนเองต้องการการวินิจฉัย

    งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า อัตราการวินิจฉัย ADHD และความวิตกกังวลในนักศึกษาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีทั้งผลดีและผลเสีย ด้านหนึ่งคือการตระหนักรู้และการเข้าถึงการสนับสนุนที่มากขึ้น แต่อีกด้านคือความเสี่ยงที่นักศึกษาจะพึ่งพาสิทธิ์พิเศษจนขาดการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตจริง เช่น การบริหารเวลาและการรับมือกับความกดดัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    นักศึกษา Stanford 38% ระบุว่าตนเองมีความพิการ
    ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ เช่น ADHD, ซึมเศร้า, วิตกกังวล
    มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น Brown และ Harvard มีตัวเลขราว 20%
    กฎหมาย ADA ทำให้การขอสิทธิ์ปรับตัวทำได้ง่าย

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    งานวิจัยพบว่าอัตราการวินิจฉัย ADHD ในวัยมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
    นักศึกษาที่มี ADHD มักมี GPA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีอัตราการลาออกสูงกว่า
    การใช้โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้และการตีความภาวะต่าง ๆ

    คำเตือนจากข่าว
    การใช้สิทธิ์ปรับตัวโดยไม่จำเป็นอาจเป็นการ “โกง” ทั้งเพื่อนและตัวเอง
    การพึ่งพาสิทธิ์พิเศษมากเกินไปอาจทำให้นักศึกษาขาดทักษะชีวิตจริง
    การตีความภาวะผิดปกติอย่างกว้างเกินไปอาจทำให้ “ความปกติ” ถูกมองว่าไม่มีอยู่จริง

    https://reason.com/2025/12/04/why-are-38-percent-of-stanford-students-saying-theyre-disabled/
    📰 "นักศึกษา Stanford 38% อ้างสิทธิ์ความพิการ – สัญญาณสะท้อนสังคมการศึกษาและโลกออนไลน์" ที่มหาวิทยาลัย Stanford มีนักศึกษากว่า 38% ระบุว่าตนเองเป็นผู้พิการ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า และสมาธิสั้น (ADHD) ตัวเลขนี้สูงกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น Brown และ Harvard ที่อยู่ราว 20% และ Amherst ที่ 34% สร้างคำถามว่าเหตุใดสถาบันการศึกษาชั้นนำจึงมีอัตราสูงเช่นนี้ นักวิชาการบางส่วนมองว่า การขอสิทธิ์ปรับตัวทางการศึกษา เช่น เวลาเพิ่มในการสอบ หรือเลี่ยงการนำเสนอหน้าชั้นเรียน กลายเป็นช่องทางที่นักศึกษาบางคนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลว มากกว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีความพิการจริง ๆ ขณะเดียวกัน กฎหมาย ADA ของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้การขอสิทธิ์ทำได้ง่ายเพียงมีใบรับรองแพทย์ สิ่งที่ผลักดันกระแสนี้คือ โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok ที่มีคอนเทนต์ตีความพฤติกรรมทั่วไป เช่น ชอบใส่หูฟัง หรือชอบวาดเล่นในชั้นเรียน ว่าอาจเป็นสัญญาณของโรค ADHD หรือภาวะอื่น ๆ ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ปกติ” และ “ผิดปกติ” ถูกเบลอ จนนักศึกษาหลายคนเชื่อว่าตนเองต้องการการวินิจฉัย งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า อัตราการวินิจฉัย ADHD และความวิตกกังวลในนักศึกษาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีทั้งผลดีและผลเสีย ด้านหนึ่งคือการตระหนักรู้และการเข้าถึงการสนับสนุนที่มากขึ้น แต่อีกด้านคือความเสี่ยงที่นักศึกษาจะพึ่งพาสิทธิ์พิเศษจนขาดการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตจริง เช่น การบริหารเวลาและการรับมือกับความกดดัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ นักศึกษา Stanford 38% ระบุว่าตนเองมีความพิการ ➡️ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ เช่น ADHD, ซึมเศร้า, วิตกกังวล ➡️ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น Brown และ Harvard มีตัวเลขราว 20% ➡️ กฎหมาย ADA ทำให้การขอสิทธิ์ปรับตัวทำได้ง่าย ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ งานวิจัยพบว่าอัตราการวินิจฉัย ADHD ในวัยมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ➡️ นักศึกษาที่มี ADHD มักมี GPA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีอัตราการลาออกสูงกว่า ➡️ การใช้โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้และการตีความภาวะต่าง ๆ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การใช้สิทธิ์ปรับตัวโดยไม่จำเป็นอาจเป็นการ “โกง” ทั้งเพื่อนและตัวเอง ⛔ การพึ่งพาสิทธิ์พิเศษมากเกินไปอาจทำให้นักศึกษาขาดทักษะชีวิตจริง ⛔ การตีความภาวะผิดปกติอย่างกว้างเกินไปอาจทำให้ “ความปกติ” ถูกมองว่าไม่มีอยู่จริง https://reason.com/2025/12/04/why-are-38-percent-of-stanford-students-saying-theyre-disabled/
    REASON.COM
    Why are 38 percent of Stanford students saying they're disabled?
    If you get into an elite college, you probably don't have a learning disability.
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก

    การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์

    ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น
    นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ

    ความสำคัญของการนอนหลับ
    การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง
    แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ

    ข้อมูลจากโครงการใหญ่
    วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ

    ผลกระทบต่อการนอนหลับ
    63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน

    ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป
    อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย

    ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
    เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    📱 สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์ 🧠 ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ 🛌 ความสำคัญของการนอนหลับ การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ ⚠️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ ✅ ข้อมูลจากโครงการใหญ่ ➡️ วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่อการนอนหลับ ➡️ 63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน ‼️ ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป ⛔ อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย ‼️ ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง ⛔ เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A smartphone before age 12 could carry health risks, study says
    Researchers found higher rates of depression, poor sleep and obesity among tweens who had early access to a cellphone.
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews
  • ออกกำลังกายสั้น ๆ แต่ได้ผลทันที

    นักวิจัยจาก Hong Kong Polytechnic University พบว่าเพียงการวิ่งบนลู่วิ่ง 30 นาที ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมทั้งที่มีและไม่มีอาการซึมเศร้ารายงานว่าอารมณ์ดีขึ้นทันที ลดความโกรธ ความสับสน ความเหนื่อยล้า และความวิตกกังวล ขณะเดียวกันความมั่นใจและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน.

    กลไกทางชีววิทยา: ฮอร์โมน adiponectin
    การทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าหลังออกกำลังกาย ระดับฮอร์โมน adiponectin ในเลือดและสมองเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนนี้ไปกระตุ้นตัวรับ AdipoR1 ในสมองส่วน medial prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ ส่งผลให้เกิดการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท คล้ายกับผลที่พบจากการใช้ยา ketamine ที่ออกฤทธิ์เร็ว.

    ความหมายต่อการรักษาโรคซึมเศร้า
    ผลการวิจัยนี้ชี้ว่า การออกกำลังกายอาจเป็นวิธีบำบัดที่รวดเร็วและปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนายาใหม่ที่เลียนแบบการทำงานของ adiponectin เพื่อให้ได้ผลเร็วกว่า SSRIs ที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งมักต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล.

    ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง
    แม้ผลการทดลองน่าตื่นเต้น แต่ยังไม่ทราบว่าผลบวกจากการออกกำลังกายจะอยู่ได้นานแค่ไหนในมนุษย์ และการทดลองบางส่วนยังอยู่ในระดับสัตว์ การนำไปใช้จริงจึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพ.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผลการทดลองในมนุษย์
    ออกกำลังกาย 30 นาทีช่วยลดอารมณ์ลบและเพิ่มพลังงาน
    เห็นผลทันทีหลังออกกำลังกาย

    กลไกในสมอง
    ฮอร์โมน adiponectin เพิ่มขึ้นหลังออกกำลังกาย
    กระตุ้นตัวรับ AdipoR1 และสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท

    ความหมายต่อการแพทย์
    อาจเป็นแนวทางบำบัดโรคซึมเศร้าแบบรวดเร็ว
    สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนายาใหม่ที่เลียนแบบ adiponectin

    ข้อควรระวัง
    ยังไม่ทราบระยะเวลาที่ผลบวกอยู่ได้นานในมนุษย์
    การทดลองบางส่วนยังอยู่ในระดับสัตว์ ต้องศึกษาเพิ่มเติม

    https://www.sciencealert.com/a-single-30-minute-exercise-session-has-an-immediate-antidepressant-effect
    🏃‍♂️ ออกกำลังกายสั้น ๆ แต่ได้ผลทันที นักวิจัยจาก Hong Kong Polytechnic University พบว่าเพียงการวิ่งบนลู่วิ่ง 30 นาที ก็ทำให้ผู้เข้าร่วมทั้งที่มีและไม่มีอาการซึมเศร้ารายงานว่าอารมณ์ดีขึ้นทันที ลดความโกรธ ความสับสน ความเหนื่อยล้า และความวิตกกังวล ขณะเดียวกันความมั่นใจและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน. 🧪 กลไกทางชีววิทยา: ฮอร์โมน adiponectin การทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าหลังออกกำลังกาย ระดับฮอร์โมน adiponectin ในเลือดและสมองเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนนี้ไปกระตุ้นตัวรับ AdipoR1 ในสมองส่วน medial prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ ส่งผลให้เกิดการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท คล้ายกับผลที่พบจากการใช้ยา ketamine ที่ออกฤทธิ์เร็ว. 🌟 ความหมายต่อการรักษาโรคซึมเศร้า ผลการวิจัยนี้ชี้ว่า การออกกำลังกายอาจเป็นวิธีบำบัดที่รวดเร็วและปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนายาใหม่ที่เลียนแบบการทำงานของ adiponectin เพื่อให้ได้ผลเร็วกว่า SSRIs ที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งมักต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล. ⚠️ ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง แม้ผลการทดลองน่าตื่นเต้น แต่ยังไม่ทราบว่าผลบวกจากการออกกำลังกายจะอยู่ได้นานแค่ไหนในมนุษย์ และการทดลองบางส่วนยังอยู่ในระดับสัตว์ การนำไปใช้จริงจึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพ. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผลการทดลองในมนุษย์ ➡️ ออกกำลังกาย 30 นาทีช่วยลดอารมณ์ลบและเพิ่มพลังงาน ➡️ เห็นผลทันทีหลังออกกำลังกาย ✅ กลไกในสมอง ➡️ ฮอร์โมน adiponectin เพิ่มขึ้นหลังออกกำลังกาย ➡️ กระตุ้นตัวรับ AdipoR1 และสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท ✅ ความหมายต่อการแพทย์ ➡️ อาจเป็นแนวทางบำบัดโรคซึมเศร้าแบบรวดเร็ว ➡️ สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนายาใหม่ที่เลียนแบบ adiponectin ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ทราบระยะเวลาที่ผลบวกอยู่ได้นานในมนุษย์ ⛔ การทดลองบางส่วนยังอยู่ในระดับสัตว์ ต้องศึกษาเพิ่มเติม https://www.sciencealert.com/a-single-30-minute-exercise-session-has-an-immediate-antidepressant-effect
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    A Single 30-Minute Exercise Session Has an Immediate Antidepressant Effect
    A single, half-hour session of moderate exercise is enough to confer an immediate mood-boosting effect, and now scientists have figured out why.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251127 #securityonline

    Meta ถูกกล่าวหาปกปิดข้อมูลภายในที่ชี้ว่า Facebook ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
    เรื่องนี้เริ่มจากเอกสารในคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ยื่นต่อบริษัทโซเชียลมีเดีย โดยมีการเปิดเผยว่า Meta เคยทำการศึกษาในโครงการชื่อ Project Mercury ร่วมกับบริษัท Nielsen ตั้งแต่ปี 2020 ผลการวิจัยพบว่าการเลิกใช้ Facebook ช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า วิตกกังวล และความเหงา แต่ Meta กลับหยุดการศึกษาและไม่เผยแพร่ผลลัพธ์ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลที่มีอคติและถูกกระทบจากกระแสสื่อ ขณะเดียวกันมีเสียงจากนักวิจัยภายในที่เปรียบเทียบการกระทำนี้เหมือนกับอุตสาหกรรมบุหรี่ที่เคยปกปิดผลวิจัยเรื่องอันตรายของการสูบบุหรี่ ปัจจุบันคดีนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาในศาล และสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจที่รัฐบาลทั่วโลกมีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
    https://securityonline.info/meta-accused-of-hiding-internal-data-showing-facebook-causes-depression-anxiety

    Tor Project พัฒนาอัลกอริทึมเข้ารหัสใหม่ CGO แทน Tor1 ที่มีช่องโหว่
    เครือข่าย Tor ที่ใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานนั้น แม้จะมีชื่อเสียงด้านการรักษาความลับ แต่ก็ไม่ปลอดภัยเสมอไป โดยโปรโตคอลเก่า Tor1 มีช่องโหว่สำคัญ เช่น การโจมตีแบบ tagging attack ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถติดตามเส้นทางข้อมูลได้ อีกทั้งยังมีการใช้คีย์ AES ซ้ำและตัวตรวจสอบที่อ่อนแอ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Tor Project จึงพัฒนาอัลกอริทึมใหม่ชื่อ Counter Galois Onion (CGO) ที่เมื่อมีการพยายามแก้ไขข้อมูล ข้อความทั้งหมดในเส้นทางนั้นจะเสียหายทันที ทำให้การโจมตีแทบเป็นไปไม่ได้ แม้จะยังไม่มีตารางเวลาชัดเจนในการนำมาใช้กับ Tor Browser แต่ทีมงานกำลังปรับปรุงให้เหมาะกับ CPU รุ่นใหม่
    https://securityonline.info/tor-project-develops-new-cgo-encryption-to-replace-vulnerable-tor1-protocol

    PoC Exploit สำหรับช่องโหว่ Windows NTLM Elevation of Privilege ถูกเผยแพร่แล้ว
    มีการเปิดเผยโค้ดตัวอย่างการโจมตี (PoC Exploit) ที่เจาะช่องโหว่ในระบบ NTLM ของ Windows ซึ่งสามารถนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงได้ ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ Channel Binding และ LDAPS โดยเนื้อหาละเอียดถูกจำกัดให้เฉพาะผู้สนับสนุนที่ลงทะเบียนเท่านั้น แต่การที่ PoC ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะถือเป็นสัญญาณเตือนว่าผู้โจมตีอาจนำไปใช้จริงได้
    https://securityonline.info/poc-exploit-releases-for-windows-ntlm-elevation-of-privilege-vulnerability

    NVIDIA ออกแพตช์ด่วนแก้ช่องโหว่ร้ายแรงใน DGX Spark เสี่ยงถูกยึดระบบ
    AI NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยสำหรับแพลตฟอร์ม DGX Spark ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดกะทัดรัดที่ใช้ในงานวิจัยและพัฒนา โดยมีช่องโหว่รวม 14 รายการ หนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-33187 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.3 ช่องโหว่นี้อยู่ในส่วน SROOT ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับสูงสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ปกป้องโดยชิป SoC และควบคุมระบบได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่อัปเดตทันที ข้อมูลวิจัยและโมเดล AI อาจถูกขโมยหรือแก้ไขโดยไม่รู้ตัว NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต DGX Spark ไปยังเวอร์ชัน OTA0 โดยเร็วที่สุด
    https://securityonline.info/critical-patch-nvidia-dgx-spark-flaw-cve-2025-33187-cvss-9-3-exposes-ai-secrets-to-takeover

    WormGPT 4 และ KawaiiGPT: AI ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมืออาชญากรรมไซเบอร์
    รายงานจาก Unit 42 เปิดเผยว่าโมเดล AI ที่ควรใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ กลับถูกนำไปใช้สร้างภัยคุกคาม WormGPT 4 ถูกโฆษณาในฟอรั่มใต้ดินว่าเป็น “AI ที่ไร้ข้อจำกัด” สามารถสร้างมัลแวร์และสคริปต์เรียกค่าไถ่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเขียนโน้ตข่มขู่ที่ทำให้เหยื่อหวาดกลัว ส่วน KawaiiGPT ถูกนำเสนอในรูปแบบ “Waifu pentesting” ที่ดูน่ารักแต่จริง ๆ แล้วสามารถสร้างอีเมลฟิชชิ่งและสคริปต์โจมตีได้ง่ายมาก ทั้งสองโมเดลนี้ทำให้การโจมตีไซเบอร์เข้าถึงได้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีทักษะสูง สะท้อนถึงการ “ทำให้อาชญากรรมไซเบอร์เป็นประชาธิปไตย” ที่ใครก็สามารถโจมตีได้เพียงแค่พิมพ์คำสั่ง
    https://securityonline.info/silent-fast-brutal-how-wormgpt-4-and-kawaiigpt-democratize-cybercrime

    Anthropic เปิดตัว Opus 4.5: AI สำหรับองค์กรที่เชื่อม Excel และแชทได้ไม่สิ้นสุด
    Anthropic ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของโมเดล AI ชื่อ Opus 4.5 ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในระดับองค์กร จุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อกับ Excel ได้โดยตรง ทำให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างรายงานได้อย่างอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ “Infinite Chat” ที่ช่วยให้การสนทนากับ AI ต่อเนื่องได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเริ่มใหม่ทุกครั้งที่หมด session ถือเป็นการยกระดับการใช้งาน AI ให้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความต่อเนื่องและการจัดการข้อมูลจำนวนมาก
    https://securityonline.info/anthropic-unleashes-opus-4-5-excel-integration-infinite-chat-for-enterprise-ai

    Perplexity เปิดตัว AI Shopping พร้อม PayPal Instant Buy และค้นหาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
    Perplexity กำลังขยายขอบเขตการใช้งาน AI จากการค้นหาข้อมูลไปสู่การช้อปปิ้งออนไลน์ โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าผ่าน PayPal ได้ทันที (Instant Buy) และยังมีระบบค้นหาสินค้าแบบ Personalized ที่ปรับตามความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้ จุดนี้ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์สะดวกขึ้นและตรงใจมากขึ้น ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง AI และอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามอง
    https://securityonline.info/perplexity-launches-ai-shopping-with-paypal-instant-buy-personalized-product-search

    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Gen 5: CPU เร็วขึ้น 36% และพลัง AI เพิ่มขึ้น 46%
    Qualcomm ได้เปิดตัวชิปประมวลผลรุ่นใหม่ Snapdragon 8 Gen 5 ที่มาพร้อมกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งด้านความเร็วของ CPU ที่เพิ่มขึ้น 36% และพลังการประมวลผล AI ที่มากขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จุดเด่นอีกอย่างคือการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่จะออกในปีหน้า ซึ่งจะรองรับการใช้งานที่หนักหน่วงทั้งเกมและงานด้าน AI ได้อย่างลื่นไหล
    https://securityonline.info/qualcomm-unveils-snapdragon-8-gen-5-36-faster-cpu-46-more-ai-power

    INE ขยายการเรียนรู้แบบ Cross-Skilling เพื่อเพิ่มทักษะหลากหลายให้ผู้เรียน
    INE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่เน้นการ Cross-Skilling หรือการเรียนรู้ทักษะข้ามสาขา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่หลากหลายและนำไปใช้ในงานจริงได้มากขึ้น แนวทางนี้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่ต้องการคนที่มีความสามารถหลายด้าน ไม่จำกัดอยู่แค่สายงานเดียว ถือเป็นการปรับตัวของแพลตฟอร์มการศึกษาให้เข้ากับโลกการทำงานยุคใหม่
    https://securityonline.info/ine-expands-cross-skilling-innovations

    GitLab ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ร้ายแรง ทั้ง DoS และการขโมย Credential ใน CI/CD
    GitLab ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดที่แก้ไขช่องโหว่หลายรายการ ทั้งการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) ที่ไม่ต้องล็อกอินก็ทำได้ และช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถขโมย Credential ของผู้ใช้ระดับสูงในระบบ CI/CD ได้ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านการ bypass authentication และการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง GitLab แนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    https://securityonline.info/gitlab-patch-fixes-ci-cd-credential-theft-unauthenticated-dos-attacks

    Hidden Theft: ส่วนขยาย Chrome “Crypto Copilot” ดูดเงินจากกระเป๋า Solana
    เรื่องนี้เริ่มจากนักเทรดคริปโตที่อยากได้ความสะดวกในการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม X จึงติดตั้งส่วนขยาย Chrome ที่ชื่อว่า Crypto Copilot ซึ่งโฆษณาว่าสามารถทำให้การเทรดรวดเร็วขึ้น แต่เบื้องหลังกลับเป็นกับดักที่ซ่อนการโอนเงินไปยังกระเป๋าของแฮกเกอร์โดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่ผู้ใช้ทำการ swap เหรียญ ระบบจะเพิ่มคำสั่งลับที่โอนเงินส่วนหนึ่งไปยังที่อยู่กระเป๋าที่ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี โดยที่หน้าจอผู้ใช้ไม่แสดงให้เห็นเลย ทำให้หลายคนสูญเสียเงินไปโดยไม่รู้ตัว ปัจจุบันส่วนขยายนี้ยังคงอยู่บน Chrome Web Store และนักวิจัยได้ส่งคำร้องให้ Google ลบออกแล้ว
    https://securityonline.info/hidden-theft-crypto-copilot-chrome-extension-drains-solana-wallets-on-x

    Critical Ray AI Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Ray Framework ผ่าน Safari และ Firefox
    Ray เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่นักพัฒนาใช้ในการทำงานด้าน Machine Learning แต่ล่าสุดพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องของนักพัฒนาได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ User-Agent ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้เทคนิค DNS Rebinding หลอกเบราว์เซอร์ Safari และ Firefox ให้ส่งคำสั่งไปยัง Ray Dashboard ที่รันอยู่ในเครื่องของเหยื่อ ผลลัพธ์คือโค้ดอันตรายสามารถถูกประมวลผลได้ทันที ทีมงาน Ray ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 2.52.0 และแนะนำให้อัปเดตโดยด่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
    https://securityonline.info/critical-ray-ai-flaw-exposes-devs-via-safari-firefox-cve-2025-62593

    Water Gamayun Weaponizes “MSC EvilTwin”: กลุ่ม APT รัสเซียใช้ช่องโหว่ Windows เจาะระบบ
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับรัสเซียชื่อ Water Gamayun ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ใหม่ใน Microsoft Management Console (MMC) ที่เรียกว่า “MSC EvilTwin” เพื่อเจาะระบบองค์กรที่มีมูลค่าสูง วิธีการคือหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วเป็น payload ที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเปิดไฟล์ก็จะถูกใช้ช่องโหว่เพื่อรัน PowerShell ลับและติดตั้งมัลแวร์ต่อเนื่อง เป้าหมายของกลุ่มนี้คือการขโมยข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างช่องทางเข้าถึงระบบอย่างยาวนาน
    https://securityonline.info/water-gamayun-weaponizes-msc-eviltwin-zero-day-for-stealthy-backdoor-attacks

    Fragging Your Data: มัลแวร์ปลอมตัวเป็น Crack และ Trainer ของ Battlefield 6
    การเปิดตัวเกม Battlefield 6 กลายเป็นโอกาสทองของอาชญากรไซเบอร์ พวกเขาปล่อยไฟล์ “Crack” และ “Trainer” ปลอมบนเว็บแชร์ไฟล์และฟอรั่มใต้ดิน โดยอ้างว่าเป็นผลงานของกลุ่มแคร็กชื่อดัง แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลผู้ใช้ เช่น กระเป๋าเงินคริปโต คุกกี้เบราว์เซอร์ และโทเคน Discord บางเวอร์ชันยังซ่อนตัวเก่ง ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนทำงาน และบางตัวทำหน้าที่เป็น backdoor ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยเตือนว่าผู้เล่นที่ดาวน์โหลดไฟล์เหล่านี้ควรรีบสแกนเครื่องและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที
    https://securityonline.info/fragging-your-data-fake-battlefield-6-cracks-trainers-spread-infostealers

    Hidden Danger in 3D: ไฟล์ Blender ปลอมแพร่กระจาย StealC V2 Infostealer
    วงการนักออกแบบ 3D และเกมถูกโจมตีด้วยวิธีใหม่ แฮกเกอร์ปล่อยไฟล์โมเดล 3D ที่ดูเหมือนงานจริง เช่น โมเดลชุดอวกาศ Apollo 11 แต่ภายในฝังสคริปต์ Python อันตราย เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ใน Blender และเปิดใช้งาน Auto Run Python Scripts มัลแวร์จะทำงานทันทีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจะดาวน์โหลด payload ต่อเนื่องและติดตั้ง StealC V2 ซึ่งเป็น infostealer ที่สามารถดูดข้อมูลจากเบราว์เซอร์ กระเป๋าเงินคริปโต และแอปต่าง ๆ เช่น Discord หรือ Telegram จุดอันตรายคือไฟล์เหล่านี้ตรวจจับได้ยากมากในระบบป้องกันทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังเป็นพิเศษ
    https://securityonline.info/hidden-danger-in-3d-malicious-blender-files-unleash-stealc-v2-infostealer

    Zero-Day Warning: ช่องโหว่ Twonky Server เปิดทางยึดระบบสื่อ
    มีการค้นพบช่องโหว่ใหม่ใน Twonky Server ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสตรีมสื่อในบ้านและองค์กร ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่ได้แพตช์ แฮกเกอร์สามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อเข้าถึงไฟล์สื่อและแม้กระทั่งติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอย่างมาก
    https://securityonline.info/zero-day-warning-unpatched-twonky-server-flaws-expose-media-to-total-takeover

    UNMASKED: การรั่วไหลครั้งใหญ่เปิดโปงหน่วยไซเบอร์ “Department 40” ของอิหร่าน
    มีการเปิดเผยข้อมูลครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นการทำงานของหน่วยไซเบอร์ลับในอิหร่านที่ชื่อว่า Department 40 ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีทางไซเบอร์ระดับโลก เอกสารที่รั่วไหลออกมาเผยให้เห็นโครงสร้างการทำงาน วิธีการโจมตี และเป้าหมายที่พวกเขาใช้ รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือที่ซับซ้อนเพื่อเจาะระบบขององค์กรและรัฐบาลต่างประเทศ การเปิดโปงครั้งนี้ทำให้หลายประเทศเริ่มตรวจสอบและเพิ่มมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด
    https://securityonline.info/unmasked-massive-leak-exposes-irans-department-40-cyber-terror-unit

    Angular Alert: ช่องโหว่ Protocol-Relative URLs ทำให้ XSRF Tokens รั่วไหล
    นักวิจัยพบว่าการใช้ URL แบบ protocol-relative ใน Angular สามารถทำให้โทเคน XSRF รั่วไหลไปยังโดเมนที่ไม่ปลอดภัยได้ ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อขโมย session และเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหานี้เกิดจากการที่เฟรมเวิร์กไม่ได้ตรวจสอบเส้นทาง URL อย่างเข้มงวดพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างลิงก์ที่ดูเหมือนปลอดภัยแต่จริง ๆ แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์
    https://securityonline.info/angular-alert-protocol-relative-urls-leak-xsrf-tokens-cve-2025-66035

    Holiday Heist: ร้านค้าออนไลน์ปลอมกว่า 200,000 แห่งโจมตี Black Friday
    ในช่วง Black Friday มีการตรวจพบร้านค้าออนไลน์ปลอมกว่า 200,000 แห่งที่เลียนแบบ Amazon และแพลตฟอร์มช้อปปิ้งชื่อดังอื่น ๆ เว็บไซต์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ผู้ซื้อกรอกข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัว โดยใช้ดีไซน์และโลโก้ที่เหมือนจริงมาก ผู้ใช้ที่ไม่ทันระวังอาจสูญเสียเงินและข้อมูลไปโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนว่าควรตรวจสอบ URL และรีวิวร้านค้าให้ละเอียดก่อนทำการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลลดราคา
    https://securityonline.info/holiday-heist-200000-fake-shops-amazon-clones-target-black-friday

    Security Alert: ช่องโหว่ Stored XSS ใน Apache SkyWalking
    Apache SkyWalking ซึ่งเป็นระบบ APM ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการตรวจสอบและติดตามระบบแบบ distributed พบช่องโหว่ Stored XSS ที่อันตรายมาก เพราะโค้ดอันตรายจะถูกบันทึกถาวรในเซิร์ฟเวอร์และทำงานทุกครั้งที่ผู้ดูแลเปิดหน้า dashboard ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้เพื่อขโมย session cookies, redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย หรือแม้กระทั่งแก้ไขข้อมูลการแสดงผลเพื่อปกปิดกิจกรรมที่ผิดปกติ ทีมงาน Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 10.3.0 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที
    https://securityonline.info/security-alert-apache-skywalking-stored-xss-vulnerability-cve-2025-54057

    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251127 #securityonline 📰 Meta ถูกกล่าวหาปกปิดข้อมูลภายในที่ชี้ว่า Facebook ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล เรื่องนี้เริ่มจากเอกสารในคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ยื่นต่อบริษัทโซเชียลมีเดีย โดยมีการเปิดเผยว่า Meta เคยทำการศึกษาในโครงการชื่อ Project Mercury ร่วมกับบริษัท Nielsen ตั้งแต่ปี 2020 ผลการวิจัยพบว่าการเลิกใช้ Facebook ช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า วิตกกังวล และความเหงา แต่ Meta กลับหยุดการศึกษาและไม่เผยแพร่ผลลัพธ์ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลที่มีอคติและถูกกระทบจากกระแสสื่อ ขณะเดียวกันมีเสียงจากนักวิจัยภายในที่เปรียบเทียบการกระทำนี้เหมือนกับอุตสาหกรรมบุหรี่ที่เคยปกปิดผลวิจัยเรื่องอันตรายของการสูบบุหรี่ ปัจจุบันคดีนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาในศาล และสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจที่รัฐบาลทั่วโลกมีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี 🔗 https://securityonline.info/meta-accused-of-hiding-internal-data-showing-facebook-causes-depression-anxiety 🔐 Tor Project พัฒนาอัลกอริทึมเข้ารหัสใหม่ CGO แทน Tor1 ที่มีช่องโหว่ เครือข่าย Tor ที่ใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานนั้น แม้จะมีชื่อเสียงด้านการรักษาความลับ แต่ก็ไม่ปลอดภัยเสมอไป โดยโปรโตคอลเก่า Tor1 มีช่องโหว่สำคัญ เช่น การโจมตีแบบ tagging attack ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถติดตามเส้นทางข้อมูลได้ อีกทั้งยังมีการใช้คีย์ AES ซ้ำและตัวตรวจสอบที่อ่อนแอ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Tor Project จึงพัฒนาอัลกอริทึมใหม่ชื่อ Counter Galois Onion (CGO) ที่เมื่อมีการพยายามแก้ไขข้อมูล ข้อความทั้งหมดในเส้นทางนั้นจะเสียหายทันที ทำให้การโจมตีแทบเป็นไปไม่ได้ แม้จะยังไม่มีตารางเวลาชัดเจนในการนำมาใช้กับ Tor Browser แต่ทีมงานกำลังปรับปรุงให้เหมาะกับ CPU รุ่นใหม่ 🔗 https://securityonline.info/tor-project-develops-new-cgo-encryption-to-replace-vulnerable-tor1-protocol ⚠️ PoC Exploit สำหรับช่องโหว่ Windows NTLM Elevation of Privilege ถูกเผยแพร่แล้ว มีการเปิดเผยโค้ดตัวอย่างการโจมตี (PoC Exploit) ที่เจาะช่องโหว่ในระบบ NTLM ของ Windows ซึ่งสามารถนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงได้ ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ Channel Binding และ LDAPS โดยเนื้อหาละเอียดถูกจำกัดให้เฉพาะผู้สนับสนุนที่ลงทะเบียนเท่านั้น แต่การที่ PoC ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะถือเป็นสัญญาณเตือนว่าผู้โจมตีอาจนำไปใช้จริงได้ 🔗 https://securityonline.info/poc-exploit-releases-for-windows-ntlm-elevation-of-privilege-vulnerability 💻 NVIDIA ออกแพตช์ด่วนแก้ช่องโหว่ร้ายแรงใน DGX Spark เสี่ยงถูกยึดระบบ AI NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยสำหรับแพลตฟอร์ม DGX Spark ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดกะทัดรัดที่ใช้ในงานวิจัยและพัฒนา โดยมีช่องโหว่รวม 14 รายการ หนึ่งในนั้นคือ CVE-2025-33187 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.3 ช่องโหว่นี้อยู่ในส่วน SROOT ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับสูงสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ปกป้องโดยชิป SoC และควบคุมระบบได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่อัปเดตทันที ข้อมูลวิจัยและโมเดล AI อาจถูกขโมยหรือแก้ไขโดยไม่รู้ตัว NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต DGX Spark ไปยังเวอร์ชัน OTA0 โดยเร็วที่สุด 🔗 https://securityonline.info/critical-patch-nvidia-dgx-spark-flaw-cve-2025-33187-cvss-9-3-exposes-ai-secrets-to-takeover 🕵️‍♂️ WormGPT 4 และ KawaiiGPT: AI ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมืออาชญากรรมไซเบอร์ รายงานจาก Unit 42 เปิดเผยว่าโมเดล AI ที่ควรใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ กลับถูกนำไปใช้สร้างภัยคุกคาม WormGPT 4 ถูกโฆษณาในฟอรั่มใต้ดินว่าเป็น “AI ที่ไร้ข้อจำกัด” สามารถสร้างมัลแวร์และสคริปต์เรียกค่าไถ่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเขียนโน้ตข่มขู่ที่ทำให้เหยื่อหวาดกลัว ส่วน KawaiiGPT ถูกนำเสนอในรูปแบบ “Waifu pentesting” ที่ดูน่ารักแต่จริง ๆ แล้วสามารถสร้างอีเมลฟิชชิ่งและสคริปต์โจมตีได้ง่ายมาก ทั้งสองโมเดลนี้ทำให้การโจมตีไซเบอร์เข้าถึงได้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีทักษะสูง สะท้อนถึงการ “ทำให้อาชญากรรมไซเบอร์เป็นประชาธิปไตย” ที่ใครก็สามารถโจมตีได้เพียงแค่พิมพ์คำสั่ง 🔗 https://securityonline.info/silent-fast-brutal-how-wormgpt-4-and-kawaiigpt-democratize-cybercrime 📊 Anthropic เปิดตัว Opus 4.5: AI สำหรับองค์กรที่เชื่อม Excel และแชทได้ไม่สิ้นสุด Anthropic ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของโมเดล AI ชื่อ Opus 4.5 ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในระดับองค์กร จุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อกับ Excel ได้โดยตรง ทำให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างรายงานได้อย่างอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ “Infinite Chat” ที่ช่วยให้การสนทนากับ AI ต่อเนื่องได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเริ่มใหม่ทุกครั้งที่หมด session ถือเป็นการยกระดับการใช้งาน AI ให้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความต่อเนื่องและการจัดการข้อมูลจำนวนมาก 🔗 https://securityonline.info/anthropic-unleashes-opus-4-5-excel-integration-infinite-chat-for-enterprise-ai 🛒 Perplexity เปิดตัว AI Shopping พร้อม PayPal Instant Buy และค้นหาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล Perplexity กำลังขยายขอบเขตการใช้งาน AI จากการค้นหาข้อมูลไปสู่การช้อปปิ้งออนไลน์ โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าผ่าน PayPal ได้ทันที (Instant Buy) และยังมีระบบค้นหาสินค้าแบบ Personalized ที่ปรับตามความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้ จุดนี้ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์สะดวกขึ้นและตรงใจมากขึ้น ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง AI และอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามอง 🔗 https://securityonline.info/perplexity-launches-ai-shopping-with-paypal-instant-buy-personalized-product-search ⚡ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Gen 5: CPU เร็วขึ้น 36% และพลัง AI เพิ่มขึ้น 46% Qualcomm ได้เปิดตัวชิปประมวลผลรุ่นใหม่ Snapdragon 8 Gen 5 ที่มาพร้อมกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งด้านความเร็วของ CPU ที่เพิ่มขึ้น 36% และพลังการประมวลผล AI ที่มากขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จุดเด่นอีกอย่างคือการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่จะออกในปีหน้า ซึ่งจะรองรับการใช้งานที่หนักหน่วงทั้งเกมและงานด้าน AI ได้อย่างลื่นไหล 🔗 https://securityonline.info/qualcomm-unveils-snapdragon-8-gen-5-36-faster-cpu-46-more-ai-power 🎓 INE ขยายการเรียนรู้แบบ Cross-Skilling เพื่อเพิ่มทักษะหลากหลายให้ผู้เรียน INE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่เน้นการ Cross-Skilling หรือการเรียนรู้ทักษะข้ามสาขา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่หลากหลายและนำไปใช้ในงานจริงได้มากขึ้น แนวทางนี้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่ต้องการคนที่มีความสามารถหลายด้าน ไม่จำกัดอยู่แค่สายงานเดียว ถือเป็นการปรับตัวของแพลตฟอร์มการศึกษาให้เข้ากับโลกการทำงานยุคใหม่ 🔗 https://securityonline.info/ine-expands-cross-skilling-innovations 🛡️ GitLab ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ร้ายแรง ทั้ง DoS และการขโมย Credential ใน CI/CD GitLab ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดที่แก้ไขช่องโหว่หลายรายการ ทั้งการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) ที่ไม่ต้องล็อกอินก็ทำได้ และช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถขโมย Credential ของผู้ใช้ระดับสูงในระบบ CI/CD ได้ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านการ bypass authentication และการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง GitLab แนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 🔗 https://securityonline.info/gitlab-patch-fixes-ci-cd-credential-theft-unauthenticated-dos-attacks 🕵️‍♂️ Hidden Theft: ส่วนขยาย Chrome “Crypto Copilot” ดูดเงินจากกระเป๋า Solana เรื่องนี้เริ่มจากนักเทรดคริปโตที่อยากได้ความสะดวกในการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม X จึงติดตั้งส่วนขยาย Chrome ที่ชื่อว่า Crypto Copilot ซึ่งโฆษณาว่าสามารถทำให้การเทรดรวดเร็วขึ้น แต่เบื้องหลังกลับเป็นกับดักที่ซ่อนการโอนเงินไปยังกระเป๋าของแฮกเกอร์โดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่ผู้ใช้ทำการ swap เหรียญ ระบบจะเพิ่มคำสั่งลับที่โอนเงินส่วนหนึ่งไปยังที่อยู่กระเป๋าที่ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี โดยที่หน้าจอผู้ใช้ไม่แสดงให้เห็นเลย ทำให้หลายคนสูญเสียเงินไปโดยไม่รู้ตัว ปัจจุบันส่วนขยายนี้ยังคงอยู่บน Chrome Web Store และนักวิจัยได้ส่งคำร้องให้ Google ลบออกแล้ว 🔗 https://securityonline.info/hidden-theft-crypto-copilot-chrome-extension-drains-solana-wallets-on-x 💻 Critical Ray AI Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Ray Framework ผ่าน Safari และ Firefox Ray เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่นักพัฒนาใช้ในการทำงานด้าน Machine Learning แต่ล่าสุดพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องของนักพัฒนาได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ User-Agent ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้เทคนิค DNS Rebinding หลอกเบราว์เซอร์ Safari และ Firefox ให้ส่งคำสั่งไปยัง Ray Dashboard ที่รันอยู่ในเครื่องของเหยื่อ ผลลัพธ์คือโค้ดอันตรายสามารถถูกประมวลผลได้ทันที ทีมงาน Ray ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 2.52.0 และแนะนำให้อัปเดตโดยด่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง 🔗 https://securityonline.info/critical-ray-ai-flaw-exposes-devs-via-safari-firefox-cve-2025-62593 🎯 Water Gamayun Weaponizes “MSC EvilTwin”: กลุ่ม APT รัสเซียใช้ช่องโหว่ Windows เจาะระบบ กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับรัสเซียชื่อ Water Gamayun ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ใหม่ใน Microsoft Management Console (MMC) ที่เรียกว่า “MSC EvilTwin” เพื่อเจาะระบบองค์กรที่มีมูลค่าสูง วิธีการคือหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วเป็น payload ที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเปิดไฟล์ก็จะถูกใช้ช่องโหว่เพื่อรัน PowerShell ลับและติดตั้งมัลแวร์ต่อเนื่อง เป้าหมายของกลุ่มนี้คือการขโมยข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างช่องทางเข้าถึงระบบอย่างยาวนาน 🔗 https://securityonline.info/water-gamayun-weaponizes-msc-eviltwin-zero-day-for-stealthy-backdoor-attacks 🎮 Fragging Your Data: มัลแวร์ปลอมตัวเป็น Crack และ Trainer ของ Battlefield 6 การเปิดตัวเกม Battlefield 6 กลายเป็นโอกาสทองของอาชญากรไซเบอร์ พวกเขาปล่อยไฟล์ “Crack” และ “Trainer” ปลอมบนเว็บแชร์ไฟล์และฟอรั่มใต้ดิน โดยอ้างว่าเป็นผลงานของกลุ่มแคร็กชื่อดัง แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลผู้ใช้ เช่น กระเป๋าเงินคริปโต คุกกี้เบราว์เซอร์ และโทเคน Discord บางเวอร์ชันยังซ่อนตัวเก่ง ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนทำงาน และบางตัวทำหน้าที่เป็น backdoor ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยเตือนว่าผู้เล่นที่ดาวน์โหลดไฟล์เหล่านี้ควรรีบสแกนเครื่องและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที 🔗 https://securityonline.info/fragging-your-data-fake-battlefield-6-cracks-trainers-spread-infostealers 🎨 Hidden Danger in 3D: ไฟล์ Blender ปลอมแพร่กระจาย StealC V2 Infostealer วงการนักออกแบบ 3D และเกมถูกโจมตีด้วยวิธีใหม่ แฮกเกอร์ปล่อยไฟล์โมเดล 3D ที่ดูเหมือนงานจริง เช่น โมเดลชุดอวกาศ Apollo 11 แต่ภายในฝังสคริปต์ Python อันตราย เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ใน Blender และเปิดใช้งาน Auto Run Python Scripts มัลแวร์จะทำงานทันทีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจะดาวน์โหลด payload ต่อเนื่องและติดตั้ง StealC V2 ซึ่งเป็น infostealer ที่สามารถดูดข้อมูลจากเบราว์เซอร์ กระเป๋าเงินคริปโต และแอปต่าง ๆ เช่น Discord หรือ Telegram จุดอันตรายคือไฟล์เหล่านี้ตรวจจับได้ยากมากในระบบป้องกันทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังเป็นพิเศษ 🔗 https://securityonline.info/hidden-danger-in-3d-malicious-blender-files-unleash-stealc-v2-infostealer 📺 Zero-Day Warning: ช่องโหว่ Twonky Server เปิดทางยึดระบบสื่อ มีการค้นพบช่องโหว่ใหม่ใน Twonky Server ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสตรีมสื่อในบ้านและองค์กร ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่ได้แพตช์ แฮกเกอร์สามารถส่งคำสั่งจากระยะไกลเพื่อเข้าถึงไฟล์สื่อและแม้กระทั่งติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/zero-day-warning-unpatched-twonky-server-flaws-expose-media-to-total-takeover 🕶️ UNMASKED: การรั่วไหลครั้งใหญ่เปิดโปงหน่วยไซเบอร์ “Department 40” ของอิหร่าน มีการเปิดเผยข้อมูลครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นการทำงานของหน่วยไซเบอร์ลับในอิหร่านที่ชื่อว่า Department 40 ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีทางไซเบอร์ระดับโลก เอกสารที่รั่วไหลออกมาเผยให้เห็นโครงสร้างการทำงาน วิธีการโจมตี และเป้าหมายที่พวกเขาใช้ รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือที่ซับซ้อนเพื่อเจาะระบบขององค์กรและรัฐบาลต่างประเทศ การเปิดโปงครั้งนี้ทำให้หลายประเทศเริ่มตรวจสอบและเพิ่มมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด 🔗 https://securityonline.info/unmasked-massive-leak-exposes-irans-department-40-cyber-terror-unit ⚠️ Angular Alert: ช่องโหว่ Protocol-Relative URLs ทำให้ XSRF Tokens รั่วไหล นักวิจัยพบว่าการใช้ URL แบบ protocol-relative ใน Angular สามารถทำให้โทเคน XSRF รั่วไหลไปยังโดเมนที่ไม่ปลอดภัยได้ ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อขโมย session และเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหานี้เกิดจากการที่เฟรมเวิร์กไม่ได้ตรวจสอบเส้นทาง URL อย่างเข้มงวดพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างลิงก์ที่ดูเหมือนปลอดภัยแต่จริง ๆ แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ 🔗 https://securityonline.info/angular-alert-protocol-relative-urls-leak-xsrf-tokens-cve-2025-66035 🛍️ Holiday Heist: ร้านค้าออนไลน์ปลอมกว่า 200,000 แห่งโจมตี Black Friday ในช่วง Black Friday มีการตรวจพบร้านค้าออนไลน์ปลอมกว่า 200,000 แห่งที่เลียนแบบ Amazon และแพลตฟอร์มช้อปปิ้งชื่อดังอื่น ๆ เว็บไซต์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ผู้ซื้อกรอกข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัว โดยใช้ดีไซน์และโลโก้ที่เหมือนจริงมาก ผู้ใช้ที่ไม่ทันระวังอาจสูญเสียเงินและข้อมูลไปโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนว่าควรตรวจสอบ URL และรีวิวร้านค้าให้ละเอียดก่อนทำการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลลดราคา 🔗 https://securityonline.info/holiday-heist-200000-fake-shops-amazon-clones-target-black-friday 🛡️ Security Alert: ช่องโหว่ Stored XSS ใน Apache SkyWalking Apache SkyWalking ซึ่งเป็นระบบ APM ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการตรวจสอบและติดตามระบบแบบ distributed พบช่องโหว่ Stored XSS ที่อันตรายมาก เพราะโค้ดอันตรายจะถูกบันทึกถาวรในเซิร์ฟเวอร์และทำงานทุกครั้งที่ผู้ดูแลเปิดหน้า dashboard ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้เพื่อขโมย session cookies, redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย หรือแม้กระทั่งแก้ไขข้อมูลการแสดงผลเพื่อปกปิดกิจกรรมที่ผิดปกติ ทีมงาน Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 10.3.0 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที 🔗 https://securityonline.info/security-alert-apache-skywalking-stored-xss-vulnerability-cve-2025-54057
    0 Comments 0 Shares 920 Views 0 Reviews
  • งานวิจัยใหม่: พักโซเชียลมีเดีย 1 สัปดาห์ ช่วยสุขภาพจิตดีขึ้น

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open พบว่า การลดการใช้โซเชียลมีเดียลงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวันตลอดหนึ่งสัปดาห์ ช่วยลดอาการ วิตกกังวล (anxiety), ซึมเศร้า (depression) และ นอนไม่หลับ (insomnia) ในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวอายุ 18–24 ปี โดยผลการทดลองกับอาสาสมัคร 295 คนแสดงให้เห็นว่าอาการซึมเศร้าลดลงเฉลี่ย 24.8%, วิตกกังวลลดลง 16.1% และนอนไม่หลับลดลง 14.5%【edge_current_page_context†source】

    รายละเอียดการทดลอง
    ผู้เข้าร่วมถูกขอให้งดใช้แพลตฟอร์มหลัก เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Snapchat โดยใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 30 นาทีต่อวัน แทนที่จะใช้เกือบ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิม ผลลัพธ์ชี้ว่าการลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือการใช้แบบเสพติด มีผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิต แม้เวลาที่ใช้มือถือโดยรวมไม่ได้ลดลงมากนัก

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    นักวิจัยอย่าง Dr. John Torous จาก Harvard Medical School ระบุว่า การพักโซเชียลมีเดียไม่ใช่วิธีรักษาหลัก แต่สามารถใช้เป็น “การรักษาเสริม” ร่วมกับการดูแลทางการแพทย์ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าผลลัพธ์อาจมีอคติ เพราะผู้เข้าร่วมรู้ว่าต้องพักโซเชียลและอาจคาดหวังผลดีล่วงหน้า ทำให้การตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มไปในทางบวกมากกว่าความจริง

    บทเรียนและข้อควรระวัง
    แม้ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ใช่หลักฐานที่ชัดเจนเพราะไม่ได้เป็นการทดลองแบบควบคุมเต็มรูปแบบ นักวิชาการบางคนชี้ว่าการพักโซเชียลอาจมีผลดีเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ใช้ควรตระหนักว่า “การพักโซเชียล” เป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีดูแลสุขภาพจิต และไม่ควรแทนที่การรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็น

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการวิจัยจาก JAMA Network Open
    ลดการใช้โซเชียลเหลือ 30 นาที/วัน ช่วยลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า และนอนไม่หลับ

    รายละเอียดการทดลอง
    อาสาสมัคร 295 คน อายุ 18–24 ปี ลดพฤติกรรมเปรียบเทียบและการใช้แบบเสพติด

    มุมมองเชิงบวก
    การพักโซเชียลอาจใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการดูแลทางการแพทย์

    บทเรียนสำคัญ
    การพักโซเชียลเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีดูแลสุขภาพจิต

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ผลลัพธ์อาจมีอคติ เพราะผู้เข้าร่วมคาดหวังผลดีล่วงหน้า

    ความเสี่ยงต่อการตีความ
    ยังไม่ใช่หลักฐานชัดเจน เนื่องจากไม่ใช่การทดลองแบบควบคุมเต็มรูปแบบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/26/study-finds-mental-health-benefit-to-one-week-social-media-break
    📱 งานวิจัยใหม่: พักโซเชียลมีเดีย 1 สัปดาห์ ช่วยสุขภาพจิตดีขึ้น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open พบว่า การลดการใช้โซเชียลมีเดียลงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวันตลอดหนึ่งสัปดาห์ ช่วยลดอาการ วิตกกังวล (anxiety), ซึมเศร้า (depression) และ นอนไม่หลับ (insomnia) ในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวอายุ 18–24 ปี โดยผลการทดลองกับอาสาสมัคร 295 คนแสดงให้เห็นว่าอาการซึมเศร้าลดลงเฉลี่ย 24.8%, วิตกกังวลลดลง 16.1% และนอนไม่หลับลดลง 14.5%【edge_current_page_context†source】 🧪 รายละเอียดการทดลอง ผู้เข้าร่วมถูกขอให้งดใช้แพลตฟอร์มหลัก เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Snapchat โดยใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 30 นาทีต่อวัน แทนที่จะใช้เกือบ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิม ผลลัพธ์ชี้ว่าการลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือการใช้แบบเสพติด มีผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิต แม้เวลาที่ใช้มือถือโดยรวมไม่ได้ลดลงมากนัก 🌍 มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยอย่าง Dr. John Torous จาก Harvard Medical School ระบุว่า การพักโซเชียลมีเดียไม่ใช่วิธีรักษาหลัก แต่สามารถใช้เป็น “การรักษาเสริม” ร่วมกับการดูแลทางการแพทย์ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าผลลัพธ์อาจมีอคติ เพราะผู้เข้าร่วมรู้ว่าต้องพักโซเชียลและอาจคาดหวังผลดีล่วงหน้า ทำให้การตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มไปในทางบวกมากกว่าความจริง 🛡️ บทเรียนและข้อควรระวัง แม้ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ใช่หลักฐานที่ชัดเจนเพราะไม่ได้เป็นการทดลองแบบควบคุมเต็มรูปแบบ นักวิชาการบางคนชี้ว่าการพักโซเชียลอาจมีผลดีเพียงเล็กน้อยหรือไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ใช้ควรตระหนักว่า “การพักโซเชียล” เป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีดูแลสุขภาพจิต และไม่ควรแทนที่การรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการวิจัยจาก JAMA Network Open ➡️ ลดการใช้โซเชียลเหลือ 30 นาที/วัน ช่วยลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า และนอนไม่หลับ ✅ รายละเอียดการทดลอง ➡️ อาสาสมัคร 295 คน อายุ 18–24 ปี ลดพฤติกรรมเปรียบเทียบและการใช้แบบเสพติด ✅ มุมมองเชิงบวก ➡️ การพักโซเชียลอาจใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับการดูแลทางการแพทย์ ✅ บทเรียนสำคัญ ➡️ การพักโซเชียลเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีดูแลสุขภาพจิต ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ผลลัพธ์อาจมีอคติ เพราะผู้เข้าร่วมคาดหวังผลดีล่วงหน้า ‼️ ความเสี่ยงต่อการตีความ ⛔ ยังไม่ใช่หลักฐานชัดเจน เนื่องจากไม่ใช่การทดลองแบบควบคุมเต็มรูปแบบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/26/study-finds-mental-health-benefit-to-one-week-social-media-break
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Study finds mental health benefit to one-week social media break
    Young adults who engaged in a social media "detox" reported reductions in depression, anxiety and insomnia, though it was unclear how long the effects would last.
    0 Comments 0 Shares 457 Views 0 Reviews
  • "Meta ถูกกล่าวหาปกปิดหลักฐานผลกระทบโซเชียลมีเดียต่อเยาวชน"

    ในเอกสารที่ถูกเปิดเผยล่าสุดในศาลสหรัฐฯ มีการกล่าวหาว่า Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) รับรู้ถึงความเสี่ยงที่แพลตฟอร์มของตนอาจทำให้วัยรุ่นมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และเปรียบเทียบตนเองในทางลบ แต่กลับเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะหรือสภาคองเกรส ข้อกล่าวหานี้เปรียบเทียบกับการที่อุตสาหกรรมบุหรี่เคยปกปิดข้อมูลอันตรายจากการสูบบุหรี่ในอดีต

    คดีความใหญ่: การฟ้องร้องหลายบริษัทโซเชียลมีเดีย
    คดีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับ Meta แต่ยังรวมถึง YouTube, TikTok และ Snapchat โดยมีโจทก์กว่า 1,800 ราย ทั้งผู้ปกครอง โรงเรียน และหน่วยงานรัฐ กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ "เติบโตโดยไม่สนใจผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก" หลักฐานที่ถูกเปิดเผยแสดงให้เห็นว่า Meta มีนโยบายที่ยอมให้บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทางเพศถูกละเมิดได้ถึง 16 ครั้งก่อนจะถูกลบ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นมาตรการที่อันตรายและไม่สมเหตุสมผล

    ผลกระทบต่อสุขภาพจิตวัยรุ่น
    งานวิจัยภายในที่ถูกเปิดเผย เช่น Project Mercury พบว่าเมื่อผู้ใช้หยุดใช้ Facebook หรือ Instagram เพียงหนึ่งสัปดาห์ ระดับความซึมเศร้าและความเหงาลดลง แต่ Meta กลับหยุดการศึกษาและไม่เผยแพร่ผลลัพธ์ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่าบริษัทพยายามออกแบบฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้ติดการใช้งาน เช่น ระบบ "ไลก์" และคอนเทนต์ที่กระตุ้นการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตา ซึ่งส่งผลกระทบต่อวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง

    มุมมองระดับโลกและมาตรการใหม่
    หลายประเทศเริ่มตื่นตัว เช่น ออสเตรเลียประกาศแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจิต ขณะที่ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเปิดตัว Instagram Teen Accounts ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวโดยอัตโนมัติและมีระบบควบคุมจากผู้ปกครอง แต่คำถามยังคงอยู่ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือเพียงการตอบสนองต่อแรงกดดันจากสังคมและกฎหมาย

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อกล่าวหาต่อ Meta และบริษัทโซเชียลมีเดียอื่น ๆ
    ปกปิดผลวิจัยที่ชี้ว่าโซเชียลมีเดียทำให้วัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
    มีนโยบายที่ยอมให้บัญชีละเมิดร้ายแรง เช่น ค้ามนุษย์ทางเพศ ได้หลายครั้งก่อนถูกลบ

    ผลกระทบต่อสุขภาพจิตวัยรุ่น
    การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปเชื่อมโยงกับการเปรียบเทียบทางสังคมและความรู้สึกด้อยค่า
    ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น "ไลก์" และฟิลเตอร์ความงาม เพิ่มแรงกดดันต่อวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง

    มาตรการแก้ไขและการตอบสนอง
    Meta เปิดตัว Instagram Teen Accounts ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวและมีระบบควบคุมจากผู้ปกครอง
    ประเทศออสเตรเลียประกาศแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การปกปิดข้อมูลวิจัยอาจทำให้ผู้ปกครองและสังคมไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่แท้จริง
    การออกแบบแพลตฟอร์มที่กระตุ้นการเสพติดอาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมของเด็ก

    https://time.com/7336204/meta-lawsuit-files-child-safety/
    📰 "Meta ถูกกล่าวหาปกปิดหลักฐานผลกระทบโซเชียลมีเดียต่อเยาวชน" ในเอกสารที่ถูกเปิดเผยล่าสุดในศาลสหรัฐฯ มีการกล่าวหาว่า Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) รับรู้ถึงความเสี่ยงที่แพลตฟอร์มของตนอาจทำให้วัยรุ่นมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และเปรียบเทียบตนเองในทางลบ แต่กลับเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะหรือสภาคองเกรส ข้อกล่าวหานี้เปรียบเทียบกับการที่อุตสาหกรรมบุหรี่เคยปกปิดข้อมูลอันตรายจากการสูบบุหรี่ในอดีต ⚖️ คดีความใหญ่: การฟ้องร้องหลายบริษัทโซเชียลมีเดีย คดีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับ Meta แต่ยังรวมถึง YouTube, TikTok และ Snapchat โดยมีโจทก์กว่า 1,800 ราย ทั้งผู้ปกครอง โรงเรียน และหน่วยงานรัฐ กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ "เติบโตโดยไม่สนใจผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก" หลักฐานที่ถูกเปิดเผยแสดงให้เห็นว่า Meta มีนโยบายที่ยอมให้บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทางเพศถูกละเมิดได้ถึง 16 ครั้งก่อนจะถูกลบ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นมาตรการที่อันตรายและไม่สมเหตุสมผล 🧠 ผลกระทบต่อสุขภาพจิตวัยรุ่น งานวิจัยภายในที่ถูกเปิดเผย เช่น Project Mercury พบว่าเมื่อผู้ใช้หยุดใช้ Facebook หรือ Instagram เพียงหนึ่งสัปดาห์ ระดับความซึมเศร้าและความเหงาลดลง แต่ Meta กลับหยุดการศึกษาและไม่เผยแพร่ผลลัพธ์ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่าบริษัทพยายามออกแบบฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้ติดการใช้งาน เช่น ระบบ "ไลก์" และคอนเทนต์ที่กระตุ้นการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตา ซึ่งส่งผลกระทบต่อวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง 🌍 มุมมองระดับโลกและมาตรการใหม่ หลายประเทศเริ่มตื่นตัว เช่น ออสเตรเลียประกาศแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจิต ขณะที่ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเปิดตัว Instagram Teen Accounts ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวโดยอัตโนมัติและมีระบบควบคุมจากผู้ปกครอง แต่คำถามยังคงอยู่ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือเพียงการตอบสนองต่อแรงกดดันจากสังคมและกฎหมาย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Meta และบริษัทโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ➡️ ปกปิดผลวิจัยที่ชี้ว่าโซเชียลมีเดียทำให้วัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล ➡️ มีนโยบายที่ยอมให้บัญชีละเมิดร้ายแรง เช่น ค้ามนุษย์ทางเพศ ได้หลายครั้งก่อนถูกลบ ✅ ผลกระทบต่อสุขภาพจิตวัยรุ่น ➡️ การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปเชื่อมโยงกับการเปรียบเทียบทางสังคมและความรู้สึกด้อยค่า ➡️ ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น "ไลก์" และฟิลเตอร์ความงาม เพิ่มแรงกดดันต่อวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง ✅ มาตรการแก้ไขและการตอบสนอง ➡️ Meta เปิดตัว Instagram Teen Accounts ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวและมีระบบควบคุมจากผู้ปกครอง ➡️ ประเทศออสเตรเลียประกาศแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การปกปิดข้อมูลวิจัยอาจทำให้ผู้ปกครองและสังคมไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่แท้จริง ⛔ การออกแบบแพลตฟอร์มที่กระตุ้นการเสพติดอาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมของเด็ก https://time.com/7336204/meta-lawsuit-files-child-safety/
    TIME.COM
    7 Allegations Against Meta in Newly Unsealed Filings
    Court filings allege Meta tolerated sex trafficking, hid harms to teens, and prioritized growth over user safety for years.
    0 Comments 0 Shares 449 Views 0 Reviews
  • เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล

    บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ

    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม
    ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

    เด็กในโลกตะวันตก
    ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ

    โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่”
    ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล

    ทางออกที่ควรสร้าง
    แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ
    เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง

    เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ
    ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970

    โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก
    เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures

    เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่
    แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง

    ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล
    คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า

    การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ
    เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย

    https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    💻 เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ 🌳 เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง 🏙️ เด็กในโลกตะวันตก ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ 📱 โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่” ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล 🔮 ทางออกที่ควรสร้าง แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ ➡️ เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง ✅ เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ ➡️ ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ✅ โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก ➡️ เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures ✅ เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่ ➡️ แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง ‼️ ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล ⛔ คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า ‼️ การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ ⛔ เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย

    ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ

    ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต

    คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง

    หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน

    คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี
    Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด
    คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์
    หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี
    ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน
    ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด
    ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ

    การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ
    Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก
    Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว
    Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้

    ความสำคัญของคดีนี้
    เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี

    คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป
    การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    📱 เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน ✅ คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี ➡️ Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด ➡️ คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์ ➡️ หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน ➡️ ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด ➡️ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ ✅ การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ ➡️ Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก ➡️ Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว ➡️ Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้ ✅ ความสำคัญของคดีนี้ ➡️ เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด ➡️ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย ⛔ เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป ⛔ การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Social media giants must stand trial on addiction claims
    Meta Platforms Inc, ByteDance Ltd, Alphabet Inc and Snap Inc must face trial over claims that they designed social media platforms to addict youths, a judge ruled, clearing the way for the first of thousands of cases to be presented to juries.
    0 Comments 0 Shares 549 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์

    ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี

    เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ

    แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย

    การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม
    ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน
    เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002
    เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี
    ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข
    ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก
    ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ
    เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง
    ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย
    ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต
    สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย
    ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด
    ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง
    มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้
    หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย

    คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต
    การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ
    การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล
    การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว
    มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์

    หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ.

    https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน ➡️ เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 ➡️ เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี ➡️ ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข ➡️ ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก ➡️ ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ ➡️ เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง ➡️ ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย ➡️ ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต ➡️ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย ➡️ ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด ➡️ ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง ➡️ มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้ ➡️ หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต ⛔ การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ ⛔ การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล ⛔ การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว ⛔ มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ. https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    WWW.BLUEWIN.CH
    Nobel Prize winner opts for suicide in Switzerland
    At the age of 90, Nobel Prize winner Daniel Kahneman has decided to die by his own hand in Switzerland. He spent his last days in Paris - conscious, fulfilled and quiet.
    0 Comments 0 Shares 658 Views 0 Reviews
  • “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น

    แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย

    ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย

    ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต

    ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์

    คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง
    ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย
    ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง
    ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์
    แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ
    ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน
    คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่
    ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ
    ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon
    Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง
    การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ
    บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน

    https://www.socialcooling.com/
    🧊 “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์ คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง ➡️ ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย ➡️ ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง ➡️ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์ ➡️ แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ ➡️ ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน ➡️ คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่ ➡️ ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ ➡️ ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon ➡️ Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง ➡️ การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ ➡️ บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน https://www.socialcooling.com/
    WWW.SOCIALCOOLING.COM
    Social Cooling - big data's unintended side effect
    Thousands of hidden scores influence your chance to get a job, a loan, insurance or even a date. Social Cooling describes how this increases pressure to conform, and asks how this will change society.
    0 Comments 0 Shares 541 Views 0 Reviews
  • “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่”

    ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic)

    การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น

    แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว

    แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31%
    มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง
    ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ
    ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล
    ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation
    โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน
    โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์
    การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100%
    การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
    ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ
    การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว
    โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน
    ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

    https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    🧬 “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่” ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic) การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31% ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง ➡️ ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ ➡️ ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล ➡️ ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation ➡️ โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน ➡️ โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์ ➡️ การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100% ➡️ การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน ➡️ ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว ➡️ โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน ➡️ ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    LIGHTCAPAI.MEDIUM.COM
    The loneliness epidemic threatens physical health like smoking
    Loneliness increases death risk by 32% but we know how to fix it. Real solutions that cut loneliness in half, from mindfulness to community…
    0 Comments 0 Shares 625 Views 0 Reviews
  • คุณหมอธีระวัฒน์ เปิดผลวิจัยก่อนสหรัฐมีคำสั่งไม่ใช้ "พาราเซตามอล" ในคนท้อง-เด็กเล็ก ... ข้อแนะนำเรื่องโรคไมเกรน - โรคซึมเศร้า

    https://www.youtube.com/watch?v=NZtQ84pztEs
    คุณหมอธีระวัฒน์ เปิดผลวิจัยก่อนสหรัฐมีคำสั่งไม่ใช้ "พาราเซตามอล" ในคนท้อง-เด็กเล็ก ... ข้อแนะนำเรื่องโรคไมเกรน - โรคซึมเศร้า https://www.youtube.com/watch?v=NZtQ84pztEs
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • ..นายกฯหนูถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ออกมาประกาศยกเลิกmou43,44,tor46อย่างเป็นทางการเลยนะ,น่าผิดหวังมาก แม้ให้บอกว่าให้อำนาจแม่ทัพจัดการเรื่องเขมรเต็มที่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกกลับไม่ยอมประกาศเพื่อสนับสนุนทหารให้ชอบธรรมต่อหน้าชาวโลกว่า ไทยยอมรับอัตรา1:50,000สากลเท่านั้น,ตนในนามรัฐบาลปัจจุบันจึงทำการยกเลิกmou43,44,tor46ที่มิชอบธรรมตั้งแต่แรกนี้ทันที จากการกระทำโดยมิชอบของรัฐบาลชุดอดีตซึ่งขัดแย้งเรื่องอธิปไตยชาติไทยโดยตรง,นี้นายกฯหนูต้องประกาศให้ชัดเจนและเป็นทางการแบบนี้,ไม่เล่นเป็นเด็กขายของ เลอะเทอะไปวันๆ,อยากเป็นนายกฯต่อและคือตำนานที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแบบนี้,ร้อยความผิดมีมามากมาย,แต่เมื่อในปัจจุบันตนมีโอกาสเต็มมือเต็มที่ในการทำเพื่อชาติแบบยกเลิกmou43,44,tor46ต้องทำเลย.,ลากยาวอัดโฆษณากัญชาเสรีเพื่อสมุนไพรพึ่งพาตนเองแห่งชาติ สร้างรายได้และรักษาตรเองพื้นบ้านยาครอบจักรวาลตนต้องต่อยอดคู่ขนานในอำนาจ4เดือนนี้ด้วย,อย่าสนใจการโจมตีขุดเชิงลบมาทำลายผลประโยชน์มากมายมหาศาลของประชาชนคนไทยเมื่อใช้ถูกทางถูกวิธีได้,สุราเหล้าเบียร์ยาบ้ามันโหดร้ายชั่วเลวมากกว่ามาก,ตั้งกระทรวงกัญชากัญชงแห่งชาติเลย,ใช้ใยกัญชากัญชงผสมเทคโนโลยีอื่นผลิตเครื่องบินรบ ยานบินอวกาศได้สบายโน้น,ชุดเกราะกันกระสุนน้ำหนักเบาก็ได้,อัดกราฟีนตรงกลางอีก,แข็งกว่าเพชรอีก, พืชกัญชากัญชงสามารถผสมผสานประยุกต์เป็นรายการสินค้าได้กว่า50,00-100,000รายการสินค้าได้อย่างสบาย,โรคซึมเศร้า เสียเส้น รักษาได้ดี ยาครอบจักรวาลด้วย, พืชฝิ่นก็เสรีปลูกเลย อเมริกายังให้อัฟกานิสถานปลูกเลยบังหน้า,สกัดยาแก้ปวดใช้เองภายในประเทศไทยเรา,ควบคุมดีๆจะเป็นเหี้ยอะไร,และมิใช่ปิดกั้นประชาชนแบบยุคกัญชาเสรีแหกตาแบบในอดีตที่ผ่านมากะทำแดกเองทรยศประชาชน,สร้างเงื่อนไขต้นทุนสูงสาระพัดห้ามประชาชนทางตรงและทางอ้อม,ปลูกหัวไร่ปลายนาก็โคตรงามปกติได้,ปลูกกัญชากัญชงสามารถล้างพิษโลหะหนักต่างๆในดินได้,ปรับสภาพดินเป็นปุ๋ยอย่างดีก็ได้,ที่ผ่านมาเลอะเทอะอย่างยิ่ง,บ่อเงินบ่อทองคำเขียวบนดินเพื่อประชาชนคนเกษตรชัดเจน แต่รัฐบาลเลวเกินไปจึงกระทำล้มเหลว,
    ..จริงๆจะตังดิจิดัล มีส่วนดีมากมาย ลดต้นทุนอะไรเยอะ,แค่คนควบคุมระบบมันโปร่งใส่แค่ไหน,แบงค์ชาติปัจจุบันจริงสมควรถูกยุบทิ้งเพราะรัฐบาลไม่สามารถสั่งการควบคุมได้ บริหารจัดการเด็ดขาดไม่ได้ ในกรณีรัฐบาลมาจากคนดีมีคุณธรรมโปร่งใส่จิตใจงามของผู้นำนายกฯนั้นของคนไทย,นายกฯต้องสามารถควบคุมทั้งหมดของทุกๆกลไกภายในประเทศ,แต่แบงค์ชาติไม่ใช่บวกก่อกำเนิดมาจากเป้าหมายdeep stateเพื่อปกครองครอบงำควบคุมประเทศนั้นๆโดยผ่านธนาคารกลางในชาตินั้นๆหรือแบงค์ชาติไทยนั้นเอง,ถูกควบคุมโดยผ่านกลไกระบบเงินโลกโดยอัตโนมัติ,ทิศทางต่างๆจึงพยายามควบคุมให้สอดคล้องกับนโยบายโลกเป็นสำคัญโดยลืมตัวตนไปว่าตนคือคนไทยต้องช่วยคนไทยก่อน ปกป้องคนไทยก่อนจากกฎหมาย เงื่อนไขกติกาธนาคารเอกชนที่เอาเปรียบประชาชนคนไทยตน ต้องเด็ดขาดออกกฎกติกาต่างๆควบคุมธนาคารพานิชย์ค้ากำไรดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมต่างๆหรือค่าบริการใดๆของบริการทางธุรกรรมต่างๆของธนาคารได้ แต่แบงค์ชาติไทยหาเป็นเช่นนั้น ดูจากการสวนกระแสทำกำไรรายได้มหาศาลของธนาคารเอกชนในไทยที่ผ่านมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วไทยประชาชนขาดทุนกิจการปิดตัวลงเป็นว่าเล่น หนี้สินประชาชนเต็มเพดาน แต่ธนาคารเหล่านีักลับประกาศผลกำไรประกอบการอันงดงามกว่าหมื่นล้านแสนล้านที่โชว์ในตลาดset,แบงค์ชาติจึงสมควรถูกยุบทิ้งเหมือนกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเด่นชัดในเรื่องอธิปไตยไทยดินแดนตนที่รับรู้ตื้นลึกหนาบางหมดแต่ละเว้นต่อหน้าที่ตนพึ่งกระทำจนนำไปสู่การสูญเสียดินแดนถึง1:150,000 จากกรณีmou43ใช้1:200,000นั้นไม่ใช้1:50,000ที่สากลทั่วโลกยอมรับปกติแบบกรณีเวียดนามกับเขมร,กรณีลาวใช้กับเขมรที่อัตรา1:50,000ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศรับรู้ดีทุกๆอย่าง,แต่ละเว้นในหน้าที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน สมควรถูกประหารชีวิตทั้งกระทรวงให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง,เมื่อชาติตกเป็นทาสเป็นเชลยศึกศัตรูสงครามแพ้ต่ออธิปไตยตนที่ปกป้องไม่ได้ ทุกข์แสนสาหัสต่อคนประชาชนทั้งแผ่นดินไทยตนต้องบังเกิดขึ้นแน่นอนชัดเจน.,คนกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดต้องถูกลงโทษไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งปัจจุบันไร้สำนึก สันดานในจิตในใจตนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังแถลงไขช่วยเหลือเขมร,เรา..ประชาชนคนไทยรับสันดานพฤติกรรมจริตจัญไรชั่วเลวนี้ไม่ได้จริงๆ.,นายกฯใหม่ที่เป็นภาวะผู้นำดีมีคุณธรรมโปร่งใส่อ่านขาดทุกๆปัญหาย่อมยุบทิ้งทันทีกระทรวงการต่างประเทศนี้และแบงค์ชาติในไทย,ก่อตั้งใหม่ได้ทันที,เป็นหน่วยงานที่ยืนเคียงข้างประเทศและประชาชนคนไทยชัดเจนในการดำรงความผาสุกจริงแก่สัมมาชีวิตคนไทยเรา,กระบวนการดูดเงินที่ผิดปกติ กระบวนการอายัดบัญชีประชาชนที่มั่วไร้ประสิทธิภาพมีวาระซ่อนเร่นด้วยถูกว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทยตนเองสร้างโกลาหลวุ่นวายในบ้านในเมืองตนชัดเจนด้วย,เงินเทาเงินมืดเงินดำมากมายไหลผ่านเข้าออกในประเทศไทยตนเองแบงค์ชาตินี้รับรู้หมดล่ะแต่ไม่จัดการห่าอะไรตลอดเรื่อยมาที่ผ่านๆมา,เงินไหลเข้าจากต่างชาติมากมายมาปั่นป่วนไทยให้หน่วยองค์กรสากลผีบ้าต่างๆแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สามารถอายัดเงินชั่วเลวนั้นทันทีได้ด้วย ห้ามไหลออกก็ได้ มาปั่นค่าเงินบาทแบยโซรอสมันทำก็ห้ามเงินไหลออกก็ได้ ออกไปก็ประสานงานปลายทางให้โอนคืนด้วย,ถ้ามันไม่ช่วยก็ห้ามปลายทางนั้นมาเชื่อมระบบการเงินกับไทยทันที,บล็อคแบงค์ต่างชาตินั้นทันทีที่สนับสนุนอาชญากรรมทางการเงินเพื่อโจมตีค่าเวินบาทและเศรษฐกิจไทยให้พังพินาศ,นี้คือนายกฯต้องเห็นทุกๆบัญชีใครทั้งหมดในประเทศได้ มรึงจะร่ำรวยหลัก 100ล้านล้านบาทนายกฯต้องเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินได้,นี้ห่าอะไรปกปิดหมด บล็อคการเข้าถึงของอำนาจรัฐบาลตนเอง,สั่งลดดอกเบี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้,เช่นนายกฯสั่งแบงค์เอกชนในไทยทั้งหมด,ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดจะMLR Mห่าอะไร มาใช้อัตราเดียวคือดอกเบี้ยเงินกู้ทุกๆกรณีที่0.25%ต่อปีทั้งหมด,ดอกเบี้ยเงินฝากที่0.01%ต่อปี จะกระตุ้นการใช้จ่ายทันที,แบงค์ไหนไม่พอใจในประเทศไทยก็ปิดตัวลงไป,ธนาคารรัฐ ใช้อัตราเงินกู้แค่0.15%ต่อปี,นี้บวกอะไรแอบแฝงเพื่อแดกสาระพัดไม่รวมค่าธรรมเนียมค่าดำเนินการค่านั้นค่านี้อีก,กำไรตรึมไม่รวมขายประกันในแบงค์ขายผ่านบัตรATMอีกเอาเปรียบประชาชนสาระพัดแต่แบงค์ชาติเลวเหล่านี้กลับนิ่งเฉย,deep stateจะควบคุมปกครองประเทศใดๆสำเร็จมันควบคุมธนาคารในชาตินั้นๆก่อน,จีนมันควบคุมไม่ได้ ก็ไปควบคุมวิธีอื่นแทน,แต่จีนสามารถจัดการได้ เรา..ไทยต้องจัดการได้เช่นกัน,แต่นายกฯต้องเป็นคนดีจริงๆนะมิใช่เหี้ยแบบอดีตๆที่ผ่านมาแบบไอ้หน้าหล่อเสือกเอาmouไปเข้าunเป็นสนธิสัญญาอีกถือว่าเข้า ม.119อาญาประหารชีวิตชัดเจน,แม้เรายกเลิกสนธิสัญญาได้ ปฏิเสธธุรกรรมลงนามบันทึกใดๆได้หมดล่ะที่ทำเหี้ยกับใครไว้ หากมิชอบไม่เป็นการดีต่ออธิปไตยไทย เราฉีกทิ้งได้หมดล่ะ ,
    ..นายกฯปัจจุบันจึงต้องแสดงตัวตนและบทบาทตนเองออกมาให้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ในการจะกอดหรือยกเลิกmou43,44นี้,ตอนนี้ก็ผ่านมา20วันแล้ว,เจตนารมณ์อันชัดเจนของตนเองยังไม่มี,อ้างนั้นอ้างนี้ถือว่าไม่มีความจริงใจต่ออธิปไตยดิรแดนชาติที่ตั้นตอปัญหาทั้งหมดมาจากmouนี้ทั้งสิ้น,ตนต้องมั่นใจในตนเองในบทบาทนายกฯตนเองที่มีอำนาจเต็มแล้ว จนสามารถสั่งยุบสภาได้โน้น,พะสาประกาศยกเลิกmou43,44ด้วยตนเอง มันสามารถทำได้,ประชาชนทั้งประเทศเชียร์อยู่แล้วเสือกยังไม่มีความกล้าหาญ ยังขี้ขลาดอีกอยู่ ใช้ไม่ได้,ไม่จะบ้าบอว่ารอบคอบหรือไม่รอบคอบห่าอะไรเลย,ประชาชนทั้งประเทศสนับสนุนต้องยกเลิกmouผีบ้านี้อยู่แล้ว,สมัยหน้านายกฯคนที่33เป็นอีกโน้น,คดีเขากระโดง ฮั่วสว.เรื่องขี้หมาเลย, นายกฯคนต่อไปได้เป็นแน่นอน.,ทำสิ่งที่ถูกต้องจบเลย,เขากระโดงก็คืนเสียแม้กรมที่ดินไม่ว่าไรพอเป็นพิธีให้เกียรติ จะมีอำนาจอยู่ก็ตาม เหยียบไม่เอาผิดก็ตาม, นายกฯคนต่อไปรื้อมาเล่นงานใหม่ได้หมดล่ะถ้าจะจัดการ,เมื่อตนสิ้นอำนาจอันตรายมากหากไม่สำนึกทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ต่ออีก,หากสำนึกกลับตัวกลับใจ สามารถนำพาพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนเป็นพรรคภูมิใจธรรมได้ ย่อมอาจเป็นราชสีห์แทนงูเห่าที่เขาเหยียดหยามทั้งประเทศได้.,โทนี่ก็เป็นนายกฯยังติดคุกได้นะ.,ความดีจะคุ้มครองคนกระทำดี.
    ..อาสนธิท้าทายวัดใจ,แต่วัดใจเพื่อสนับสนุนให้กระทำสิ่งดีๆความดี มันดีต่อตนเองและประเทศชาติด้วย ถ้าไม่ทำ เสียของ เสียหายแก่ตนเองทันที ตราบาปตลอดชีวิต อับอายแก่วงศ์ตระกูลอีกเมื่อมีโอกาสทำสิ่งดีๆความดีเสือกไม่ทำ,ใฝ่ต่อขั่วเลวด้วยเกรงกลัวมันที่จะแแสิ่งไม่ดีตนออกมา,มันไม่คุ้มหรอก,สู้ทำสิ่งดีๆไปเลย แฉออกมาก็ชั่งหัวมัน,ผิดคือผิด ,แต่กูตอนนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อตัวกูเองและประเทศชาติแผ่นดินไทยกูตอนนี้ กูยอมแลก,นี้ต้องประมาณนี้น่ะจึง อัพเลเวลได้แน่นอน.,จะเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ที่ดีๆทันที ลูกหลานววศ์ตระกูลตนแม้เคยผ่านอดีตเหลวร้ายใดๆมา ผิดพลาดไป เขามาเห็นมาดูประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลตนก็จะภาคภูมิใจ แม้กูเป็นโจรโกงกินเหี้ยสาระพัดภายในประเทศแต่กลับแดนอธิปไตยไทยกูปกป้องเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ,อนาคตเขาเหล่านั้นจะดำรงตั้งในกิจกรรมทำความดีสิ่งดีๆแน่นอน,ไม่ละอายใจต่อแผ่นดินแทนบรรพบุรุษตนเอง,ก้มหน้าไม่อายแผ่นดินไทย เงยหน้าท้าฟ้าได้ เหินฟ้า!!!ประมาณนั้น,แต่ถ้าตัดสินใจผิด ก้มหน้าก้มตากอดmiuผีบ้านี้อยู่แถแถลงเลอะเทอะไม่เรื่อย,ดับอนาถแน่นอน,ทรัพย์สินอาจถูกยึดหมดทั้งตระกูลหรือพร้อมถูกประหารชีวิตด้วย.,ทหารไทยใจรักชาติรักแผ่นดินไทยดีๆเขามีข้อมูลว่าใครดีใครชั่วเลว ใครกลับตัวกลับใจหมดล่ะ,โอกาสมี2เส้นทาง ทางสวรรค์เห็นชัดเจน และทางลงนรกก็ไม่ธรรมดาด้วย,ทานยาสีเม็ดอะไรแค่นั้น.

    https://youtube.com/shorts/4if56ZNYpSQ?si=yH7PxuCOucsjv6Zq
    ..นายกฯหนูถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ออกมาประกาศยกเลิกmou43,44,tor46อย่างเป็นทางการเลยนะ,น่าผิดหวังมาก แม้ให้บอกว่าให้อำนาจแม่ทัพจัดการเรื่องเขมรเต็มที่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกกลับไม่ยอมประกาศเพื่อสนับสนุนทหารให้ชอบธรรมต่อหน้าชาวโลกว่า ไทยยอมรับอัตรา1:50,000สากลเท่านั้น,ตนในนามรัฐบาลปัจจุบันจึงทำการยกเลิกmou43,44,tor46ที่มิชอบธรรมตั้งแต่แรกนี้ทันที จากการกระทำโดยมิชอบของรัฐบาลชุดอดีตซึ่งขัดแย้งเรื่องอธิปไตยชาติไทยโดยตรง,นี้นายกฯหนูต้องประกาศให้ชัดเจนและเป็นทางการแบบนี้,ไม่เล่นเป็นเด็กขายของ เลอะเทอะไปวันๆ,อยากเป็นนายกฯต่อและคือตำนานที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแบบนี้,ร้อยความผิดมีมามากมาย,แต่เมื่อในปัจจุบันตนมีโอกาสเต็มมือเต็มที่ในการทำเพื่อชาติแบบยกเลิกmou43,44,tor46ต้องทำเลย.,ลากยาวอัดโฆษณากัญชาเสรีเพื่อสมุนไพรพึ่งพาตนเองแห่งชาติ สร้างรายได้และรักษาตรเองพื้นบ้านยาครอบจักรวาลตนต้องต่อยอดคู่ขนานในอำนาจ4เดือนนี้ด้วย,อย่าสนใจการโจมตีขุดเชิงลบมาทำลายผลประโยชน์มากมายมหาศาลของประชาชนคนไทยเมื่อใช้ถูกทางถูกวิธีได้,สุราเหล้าเบียร์ยาบ้ามันโหดร้ายชั่วเลวมากกว่ามาก,ตั้งกระทรวงกัญชากัญชงแห่งชาติเลย,ใช้ใยกัญชากัญชงผสมเทคโนโลยีอื่นผลิตเครื่องบินรบ ยานบินอวกาศได้สบายโน้น,ชุดเกราะกันกระสุนน้ำหนักเบาก็ได้,อัดกราฟีนตรงกลางอีก,แข็งกว่าเพชรอีก, พืชกัญชากัญชงสามารถผสมผสานประยุกต์เป็นรายการสินค้าได้กว่า50,00-100,000รายการสินค้าได้อย่างสบาย,โรคซึมเศร้า เสียเส้น รักษาได้ดี ยาครอบจักรวาลด้วย, พืชฝิ่นก็เสรีปลูกเลย อเมริกายังให้อัฟกานิสถานปลูกเลยบังหน้า,สกัดยาแก้ปวดใช้เองภายในประเทศไทยเรา,ควบคุมดีๆจะเป็นเหี้ยอะไร,และมิใช่ปิดกั้นประชาชนแบบยุคกัญชาเสรีแหกตาแบบในอดีตที่ผ่านมากะทำแดกเองทรยศประชาชน,สร้างเงื่อนไขต้นทุนสูงสาระพัดห้ามประชาชนทางตรงและทางอ้อม,ปลูกหัวไร่ปลายนาก็โคตรงามปกติได้,ปลูกกัญชากัญชงสามารถล้างพิษโลหะหนักต่างๆในดินได้,ปรับสภาพดินเป็นปุ๋ยอย่างดีก็ได้,ที่ผ่านมาเลอะเทอะอย่างยิ่ง,บ่อเงินบ่อทองคำเขียวบนดินเพื่อประชาชนคนเกษตรชัดเจน แต่รัฐบาลเลวเกินไปจึงกระทำล้มเหลว, ..จริงๆจะตังดิจิดัล มีส่วนดีมากมาย ลดต้นทุนอะไรเยอะ,แค่คนควบคุมระบบมันโปร่งใส่แค่ไหน,แบงค์ชาติปัจจุบันจริงสมควรถูกยุบทิ้งเพราะรัฐบาลไม่สามารถสั่งการควบคุมได้ บริหารจัดการเด็ดขาดไม่ได้ ในกรณีรัฐบาลมาจากคนดีมีคุณธรรมโปร่งใส่จิตใจงามของผู้นำนายกฯนั้นของคนไทย,นายกฯต้องสามารถควบคุมทั้งหมดของทุกๆกลไกภายในประเทศ,แต่แบงค์ชาติไม่ใช่บวกก่อกำเนิดมาจากเป้าหมายdeep stateเพื่อปกครองครอบงำควบคุมประเทศนั้นๆโดยผ่านธนาคารกลางในชาตินั้นๆหรือแบงค์ชาติไทยนั้นเอง,ถูกควบคุมโดยผ่านกลไกระบบเงินโลกโดยอัตโนมัติ,ทิศทางต่างๆจึงพยายามควบคุมให้สอดคล้องกับนโยบายโลกเป็นสำคัญโดยลืมตัวตนไปว่าตนคือคนไทยต้องช่วยคนไทยก่อน ปกป้องคนไทยก่อนจากกฎหมาย เงื่อนไขกติกาธนาคารเอกชนที่เอาเปรียบประชาชนคนไทยตน ต้องเด็ดขาดออกกฎกติกาต่างๆควบคุมธนาคารพานิชย์ค้ากำไรดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมต่างๆหรือค่าบริการใดๆของบริการทางธุรกรรมต่างๆของธนาคารได้ แต่แบงค์ชาติไทยหาเป็นเช่นนั้น ดูจากการสวนกระแสทำกำไรรายได้มหาศาลของธนาคารเอกชนในไทยที่ผ่านมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วไทยประชาชนขาดทุนกิจการปิดตัวลงเป็นว่าเล่น หนี้สินประชาชนเต็มเพดาน แต่ธนาคารเหล่านีักลับประกาศผลกำไรประกอบการอันงดงามกว่าหมื่นล้านแสนล้านที่โชว์ในตลาดset,แบงค์ชาติจึงสมควรถูกยุบทิ้งเหมือนกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเด่นชัดในเรื่องอธิปไตยไทยดินแดนตนที่รับรู้ตื้นลึกหนาบางหมดแต่ละเว้นต่อหน้าที่ตนพึ่งกระทำจนนำไปสู่การสูญเสียดินแดนถึง1:150,000 จากกรณีmou43ใช้1:200,000นั้นไม่ใช้1:50,000ที่สากลทั่วโลกยอมรับปกติแบบกรณีเวียดนามกับเขมร,กรณีลาวใช้กับเขมรที่อัตรา1:50,000ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศรับรู้ดีทุกๆอย่าง,แต่ละเว้นในหน้าที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน สมควรถูกประหารชีวิตทั้งกระทรวงให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง,เมื่อชาติตกเป็นทาสเป็นเชลยศึกศัตรูสงครามแพ้ต่ออธิปไตยตนที่ปกป้องไม่ได้ ทุกข์แสนสาหัสต่อคนประชาชนทั้งแผ่นดินไทยตนต้องบังเกิดขึ้นแน่นอนชัดเจน.,คนกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดต้องถูกลงโทษไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งปัจจุบันไร้สำนึก สันดานในจิตในใจตนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังแถลงไขช่วยเหลือเขมร,เรา..ประชาชนคนไทยรับสันดานพฤติกรรมจริตจัญไรชั่วเลวนี้ไม่ได้จริงๆ.,นายกฯใหม่ที่เป็นภาวะผู้นำดีมีคุณธรรมโปร่งใส่อ่านขาดทุกๆปัญหาย่อมยุบทิ้งทันทีกระทรวงการต่างประเทศนี้และแบงค์ชาติในไทย,ก่อตั้งใหม่ได้ทันที,เป็นหน่วยงานที่ยืนเคียงข้างประเทศและประชาชนคนไทยชัดเจนในการดำรงความผาสุกจริงแก่สัมมาชีวิตคนไทยเรา,กระบวนการดูดเงินที่ผิดปกติ กระบวนการอายัดบัญชีประชาชนที่มั่วไร้ประสิทธิภาพมีวาระซ่อนเร่นด้วยถูกว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทยตนเองสร้างโกลาหลวุ่นวายในบ้านในเมืองตนชัดเจนด้วย,เงินเทาเงินมืดเงินดำมากมายไหลผ่านเข้าออกในประเทศไทยตนเองแบงค์ชาตินี้รับรู้หมดล่ะแต่ไม่จัดการห่าอะไรตลอดเรื่อยมาที่ผ่านๆมา,เงินไหลเข้าจากต่างชาติมากมายมาปั่นป่วนไทยให้หน่วยองค์กรสากลผีบ้าต่างๆแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สามารถอายัดเงินชั่วเลวนั้นทันทีได้ด้วย ห้ามไหลออกก็ได้ มาปั่นค่าเงินบาทแบยโซรอสมันทำก็ห้ามเงินไหลออกก็ได้ ออกไปก็ประสานงานปลายทางให้โอนคืนด้วย,ถ้ามันไม่ช่วยก็ห้ามปลายทางนั้นมาเชื่อมระบบการเงินกับไทยทันที,บล็อคแบงค์ต่างชาตินั้นทันทีที่สนับสนุนอาชญากรรมทางการเงินเพื่อโจมตีค่าเวินบาทและเศรษฐกิจไทยให้พังพินาศ,นี้คือนายกฯต้องเห็นทุกๆบัญชีใครทั้งหมดในประเทศได้ มรึงจะร่ำรวยหลัก 100ล้านล้านบาทนายกฯต้องเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินได้,นี้ห่าอะไรปกปิดหมด บล็อคการเข้าถึงของอำนาจรัฐบาลตนเอง,สั่งลดดอกเบี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้,เช่นนายกฯสั่งแบงค์เอกชนในไทยทั้งหมด,ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดจะMLR Mห่าอะไร มาใช้อัตราเดียวคือดอกเบี้ยเงินกู้ทุกๆกรณีที่0.25%ต่อปีทั้งหมด,ดอกเบี้ยเงินฝากที่0.01%ต่อปี จะกระตุ้นการใช้จ่ายทันที,แบงค์ไหนไม่พอใจในประเทศไทยก็ปิดตัวลงไป,ธนาคารรัฐ ใช้อัตราเงินกู้แค่0.15%ต่อปี,นี้บวกอะไรแอบแฝงเพื่อแดกสาระพัดไม่รวมค่าธรรมเนียมค่าดำเนินการค่านั้นค่านี้อีก,กำไรตรึมไม่รวมขายประกันในแบงค์ขายผ่านบัตรATMอีกเอาเปรียบประชาชนสาระพัดแต่แบงค์ชาติเลวเหล่านี้กลับนิ่งเฉย,deep stateจะควบคุมปกครองประเทศใดๆสำเร็จมันควบคุมธนาคารในชาตินั้นๆก่อน,จีนมันควบคุมไม่ได้ ก็ไปควบคุมวิธีอื่นแทน,แต่จีนสามารถจัดการได้ เรา..ไทยต้องจัดการได้เช่นกัน,แต่นายกฯต้องเป็นคนดีจริงๆนะมิใช่เหี้ยแบบอดีตๆที่ผ่านมาแบบไอ้หน้าหล่อเสือกเอาmouไปเข้าunเป็นสนธิสัญญาอีกถือว่าเข้า ม.119อาญาประหารชีวิตชัดเจน,แม้เรายกเลิกสนธิสัญญาได้ ปฏิเสธธุรกรรมลงนามบันทึกใดๆได้หมดล่ะที่ทำเหี้ยกับใครไว้ หากมิชอบไม่เป็นการดีต่ออธิปไตยไทย เราฉีกทิ้งได้หมดล่ะ , ..นายกฯปัจจุบันจึงต้องแสดงตัวตนและบทบาทตนเองออกมาให้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ในการจะกอดหรือยกเลิกmou43,44นี้,ตอนนี้ก็ผ่านมา20วันแล้ว,เจตนารมณ์อันชัดเจนของตนเองยังไม่มี,อ้างนั้นอ้างนี้ถือว่าไม่มีความจริงใจต่ออธิปไตยดิรแดนชาติที่ตั้นตอปัญหาทั้งหมดมาจากmouนี้ทั้งสิ้น,ตนต้องมั่นใจในตนเองในบทบาทนายกฯตนเองที่มีอำนาจเต็มแล้ว จนสามารถสั่งยุบสภาได้โน้น,พะสาประกาศยกเลิกmou43,44ด้วยตนเอง มันสามารถทำได้,ประชาชนทั้งประเทศเชียร์อยู่แล้วเสือกยังไม่มีความกล้าหาญ ยังขี้ขลาดอีกอยู่ ใช้ไม่ได้,ไม่จะบ้าบอว่ารอบคอบหรือไม่รอบคอบห่าอะไรเลย,ประชาชนทั้งประเทศสนับสนุนต้องยกเลิกmouผีบ้านี้อยู่แล้ว,สมัยหน้านายกฯคนที่33เป็นอีกโน้น,คดีเขากระโดง ฮั่วสว.เรื่องขี้หมาเลย, นายกฯคนต่อไปได้เป็นแน่นอน.,ทำสิ่งที่ถูกต้องจบเลย,เขากระโดงก็คืนเสียแม้กรมที่ดินไม่ว่าไรพอเป็นพิธีให้เกียรติ จะมีอำนาจอยู่ก็ตาม เหยียบไม่เอาผิดก็ตาม, นายกฯคนต่อไปรื้อมาเล่นงานใหม่ได้หมดล่ะถ้าจะจัดการ,เมื่อตนสิ้นอำนาจอันตรายมากหากไม่สำนึกทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ต่ออีก,หากสำนึกกลับตัวกลับใจ สามารถนำพาพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนเป็นพรรคภูมิใจธรรมได้ ย่อมอาจเป็นราชสีห์แทนงูเห่าที่เขาเหยียดหยามทั้งประเทศได้.,โทนี่ก็เป็นนายกฯยังติดคุกได้นะ.,ความดีจะคุ้มครองคนกระทำดี. ..อาสนธิท้าทายวัดใจ,แต่วัดใจเพื่อสนับสนุนให้กระทำสิ่งดีๆความดี มันดีต่อตนเองและประเทศชาติด้วย ถ้าไม่ทำ เสียของ เสียหายแก่ตนเองทันที ตราบาปตลอดชีวิต อับอายแก่วงศ์ตระกูลอีกเมื่อมีโอกาสทำสิ่งดีๆความดีเสือกไม่ทำ,ใฝ่ต่อขั่วเลวด้วยเกรงกลัวมันที่จะแแสิ่งไม่ดีตนออกมา,มันไม่คุ้มหรอก,สู้ทำสิ่งดีๆไปเลย แฉออกมาก็ชั่งหัวมัน,ผิดคือผิด ,แต่กูตอนนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อตัวกูเองและประเทศชาติแผ่นดินไทยกูตอนนี้ กูยอมแลก,นี้ต้องประมาณนี้น่ะจึง อัพเลเวลได้แน่นอน.,จะเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ที่ดีๆทันที ลูกหลานววศ์ตระกูลตนแม้เคยผ่านอดีตเหลวร้ายใดๆมา ผิดพลาดไป เขามาเห็นมาดูประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลตนก็จะภาคภูมิใจ แม้กูเป็นโจรโกงกินเหี้ยสาระพัดภายในประเทศแต่กลับแดนอธิปไตยไทยกูปกป้องเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ,อนาคตเขาเหล่านั้นจะดำรงตั้งในกิจกรรมทำความดีสิ่งดีๆแน่นอน,ไม่ละอายใจต่อแผ่นดินแทนบรรพบุรุษตนเอง,ก้มหน้าไม่อายแผ่นดินไทย เงยหน้าท้าฟ้าได้ เหินฟ้า!!!ประมาณนั้น,แต่ถ้าตัดสินใจผิด ก้มหน้าก้มตากอดmiuผีบ้านี้อยู่แถแถลงเลอะเทอะไม่เรื่อย,ดับอนาถแน่นอน,ทรัพย์สินอาจถูกยึดหมดทั้งตระกูลหรือพร้อมถูกประหารชีวิตด้วย.,ทหารไทยใจรักชาติรักแผ่นดินไทยดีๆเขามีข้อมูลว่าใครดีใครชั่วเลว ใครกลับตัวกลับใจหมดล่ะ,โอกาสมี2เส้นทาง ทางสวรรค์เห็นชัดเจน และทางลงนรกก็ไม่ธรรมดาด้วย,ทานยาสีเม็ดอะไรแค่นั้น. https://youtube.com/shorts/4if56ZNYpSQ?si=yH7PxuCOucsjv6Zq
    0 Comments 0 Shares 1381 Views 0 Reviews
  • ChatGPT เตรียมปรับโหมดวัยรุ่นอัตโนมัติ — AI จะเดาอายุคุณจากการพิมพ์ แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม

    OpenAI กำลังเปิดตัวระบบความปลอดภัยใหม่สำหรับ ChatGPT ที่จะ “เดาอายุ” ผู้ใช้จากรูปแบบการสนทนา ไม่ใช่จากวันเกิดที่กรอกไว้ โดยหากระบบสงสัยว่าผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี จะเปลี่ยนไปใช้โหมดวัยรุ่นทันที ซึ่งมีการกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวด เช่น ห้ามพูดถึงเรื่องเพศ ความรุนแรง หรือเนื้อหาที่อ่อนไหวทางจิตใจ

    แม้ผู้ใหญ่จะสามารถพูดคุยเรื่องซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือเรื่องส่วนตัวได้ แต่ในโหมดวัยรุ่น ChatGPT จะตอบด้วยข้อความเช่น “ขออภัย ฉันไม่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้” เพื่อหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่อาจไม่เหมาะสม

    ระบบนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์สำหรับผู้ปกครอง เช่น การเชื่อมบัญชีกับลูก การตั้งเวลาห้ามใช้งาน และการแจ้งเตือนเมื่อพบสัญญาณของ “ความเครียดเฉียบพลัน” ซึ่งในบางกรณี OpenAI อาจติดต่อหน่วยงานรัฐหากไม่สามารถติดต่อผู้ปกครองได้

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการฟ้องร้องกรณีวัยรุ่นเสียชีวิตจากการใช้ ChatGPT และการสอบสวนของ FTC ที่ต้องการตรวจสอบว่า AI มีผลกระทบต่อเยาวชนอย่างไร

    ChatGPT จะเดาอายุผู้ใช้จากรูปแบบการสนทนา
    พิจารณาจากคำถามที่ถาม สไตล์การพิมพ์ การใช้ emoji และการตอบโต้
    หากสงสัยว่าเป็นวัยรุ่น จะเปลี่ยนไปใช้โหมดวัยรุ่นทันที

    โหมดวัยรุ่นจะกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวด
    ห้ามพูดถึงเรื่องเพศ ความรุนแรง และเนื้อหาที่อ่อนไหว
    ตอบด้วยข้อความปฏิเสธเมื่อเจอหัวข้อที่ไม่เหมาะสม

    ผู้ใหญ่สามารถพิสูจน์ตัวตนเพื่อกลับสู่โหมดปกติ
    อาจต้องยืนยันอายุผ่านระบบหรือเอกสาร
    เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัดในโหมดวัยรุ่น

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ปกครองจะเปิดใช้งานเร็ว ๆ นี้
    เชื่อมบัญชีผู้ปกครองกับบัญชีลูก
    ตั้งเวลาห้ามใช้งานและรับการแจ้งเตือนเมื่อพบสัญญาณความเครียด
    อาจมีการแจ้งหน่วยงานรัฐในกรณีฉุกเฉิน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแรงกดดันด้านความปลอดภัย
    มีการฟ้องร้องกรณีวัยรุ่นเสียชีวิตจากการใช้ ChatGPT
    FTC เปิดสอบสวนผลกระทบของ AI ต่อเยาวชน

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของระบบเดาอายุ
    ผู้ใหญ่บางคนอาจถูกจัดอยู่ในโหมดวัยรุ่นโดยไม่ตั้งใจ
    การเดาอายุอาจผิดพลาดจากสไตล์การพิมพ์หรือคำถามที่ใช้
    ผู้ใช้ต้องพิสูจน์ตัวตนเพื่อกลับสู่โหมดปกติ ซึ่งอาจยุ่งยาก
    การกรองเนื้อหาอัตโนมัติอาจจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-will-guess-if-youre-a-teen-and-start-acting-like-a-chaperone-if-so
    📰 ChatGPT เตรียมปรับโหมดวัยรุ่นอัตโนมัติ — AI จะเดาอายุคุณจากการพิมพ์ แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม OpenAI กำลังเปิดตัวระบบความปลอดภัยใหม่สำหรับ ChatGPT ที่จะ “เดาอายุ” ผู้ใช้จากรูปแบบการสนทนา ไม่ใช่จากวันเกิดที่กรอกไว้ โดยหากระบบสงสัยว่าผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี จะเปลี่ยนไปใช้โหมดวัยรุ่นทันที ซึ่งมีการกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวด เช่น ห้ามพูดถึงเรื่องเพศ ความรุนแรง หรือเนื้อหาที่อ่อนไหวทางจิตใจ แม้ผู้ใหญ่จะสามารถพูดคุยเรื่องซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือเรื่องส่วนตัวได้ แต่ในโหมดวัยรุ่น ChatGPT จะตอบด้วยข้อความเช่น “ขออภัย ฉันไม่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้” เพื่อหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่อาจไม่เหมาะสม ระบบนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์สำหรับผู้ปกครอง เช่น การเชื่อมบัญชีกับลูก การตั้งเวลาห้ามใช้งาน และการแจ้งเตือนเมื่อพบสัญญาณของ “ความเครียดเฉียบพลัน” ซึ่งในบางกรณี OpenAI อาจติดต่อหน่วยงานรัฐหากไม่สามารถติดต่อผู้ปกครองได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการฟ้องร้องกรณีวัยรุ่นเสียชีวิตจากการใช้ ChatGPT และการสอบสวนของ FTC ที่ต้องการตรวจสอบว่า AI มีผลกระทบต่อเยาวชนอย่างไร ✅ ChatGPT จะเดาอายุผู้ใช้จากรูปแบบการสนทนา ➡️ พิจารณาจากคำถามที่ถาม สไตล์การพิมพ์ การใช้ emoji และการตอบโต้ ➡️ หากสงสัยว่าเป็นวัยรุ่น จะเปลี่ยนไปใช้โหมดวัยรุ่นทันที ✅ โหมดวัยรุ่นจะกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวด ➡️ ห้ามพูดถึงเรื่องเพศ ความรุนแรง และเนื้อหาที่อ่อนไหว ➡️ ตอบด้วยข้อความปฏิเสธเมื่อเจอหัวข้อที่ไม่เหมาะสม ✅ ผู้ใหญ่สามารถพิสูจน์ตัวตนเพื่อกลับสู่โหมดปกติ ➡️ อาจต้องยืนยันอายุผ่านระบบหรือเอกสาร ➡️ เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัดในโหมดวัยรุ่น ✅ ฟีเจอร์สำหรับผู้ปกครองจะเปิดใช้งานเร็ว ๆ นี้ ➡️ เชื่อมบัญชีผู้ปกครองกับบัญชีลูก ➡️ ตั้งเวลาห้ามใช้งานและรับการแจ้งเตือนเมื่อพบสัญญาณความเครียด ➡️ อาจมีการแจ้งหน่วยงานรัฐในกรณีฉุกเฉิน ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแรงกดดันด้านความปลอดภัย ➡️ มีการฟ้องร้องกรณีวัยรุ่นเสียชีวิตจากการใช้ ChatGPT ➡️ FTC เปิดสอบสวนผลกระทบของ AI ต่อเยาวชน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของระบบเดาอายุ ⛔ ผู้ใหญ่บางคนอาจถูกจัดอยู่ในโหมดวัยรุ่นโดยไม่ตั้งใจ ⛔ การเดาอายุอาจผิดพลาดจากสไตล์การพิมพ์หรือคำถามที่ใช้ ⛔ ผู้ใช้ต้องพิสูจน์ตัวตนเพื่อกลับสู่โหมดปกติ ซึ่งอาจยุ่งยาก ⛔ การกรองเนื้อหาอัตโนมัติอาจจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-will-guess-if-youre-a-teen-and-start-acting-like-a-chaperone-if-so
    WWW.TECHRADAR.COM
    ChatGPT can spot whether you're a teen.
    OpenAI’s new safety tools aim to protect minors, even if it means misjudging a few adults
    0 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
  • “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ”

    ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ

    การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ

    ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน

    นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
    ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง
    ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ
    ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป

    กลไกที่อธิบายผลกระทบ
    การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น
    เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา
    แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด
    ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี
    RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ
    การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม
    การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ

    https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    🧠 “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ” ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ➡️ ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง ➡️ ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ ➡️ ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ✅ กลไกที่อธิบายผลกระทบ ➡️ การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น ➡️ เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ➡️ แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด ➡️ ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี ➡️ RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ ➡️ การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม ➡️ การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    0 Comments 0 Shares 668 Views 0 Reviews
  • โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องตลก

    เมื่อวันก่อน นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เรียกร้องไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO), สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (WFMH), United for Global Mental Health และเครือข่ายนวัตกรรมสุขภาพจิต (MHIN) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หยุดการใช้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเครื่องมือโจมตีในพื้นที่สื่อของไทย โดยประณามการกระทำของผู้จัดรายการที่มีชื่อเสียงรายหนึ่ง นำอาการป่วยของนักการเมืองหญิงรายหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่าเป็นโรคซึมเศร้า มาโจมตีอย่างรุนแรงในรายการออนไลน์ ไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกสังคมตีตราและตัดสิน คำพูดที่ขาดความรับผิดชอบกำลังทำร้ายผู้คนและบ่อนทำลายความพยายามด้านสาธารณสุขทั่วโลก

    โดยเรียกร้องให้หน่วยงานดังกล่าว ออกแถลงการณ์ในระดับนานาชาติเพื่อประณามการใช้ข้อมูลสุขภาพจิตในทางที่ผิด และเรียกร้องให้สื่อมวลชนและบุคคลสาธารณะในไทยยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมกับกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับสื่อ โดยทำงานร่วมกับองค์กรสื่อในไทยเพื่อสร้างและบังคับใช้แนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการรายงานข่าวและการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสนับสนุนภาคประชาสังคม โดยเพิ่มการสนับสนุนองค์กรในประเทศไทยที่ทำงานเพื่อรณรงค์ลดอคติและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สาธารณชน

    เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้จัดรายการคนดังกล่าวระบุถึงนักการเมืองหญิงรายหนึ่งด้วยความตลกขบขัน เรียกชื่อต่อด้วยคำว่าซึมเศร้า พร้อมขอให้ซึมเศร้าร้องไห้ในสภาฯ อีกเยอะๆ คล้ายกับการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ในวัยเรียน กลายเป็นวิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งผู้จัดรายการคนดังกล่าว ขอยุติการจัดรายการทางทีวีดิจิทัลแห่งหนึ่ง ด้านสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เน้นย้ำให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนรักษามาตรฐานการแสดงออกให้เหมาะสม และไม่ใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การดูหมิ่น กดทับ หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

    ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2563-2567 คนไทยมากกว่า 8% เผชิญกับภาวะความเครียดสูง เกือบ 10% มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และมากกว่า 5% เผชิญกับความเสี่ยงในการจบชีวิตตัวเอง โดยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี อีกทั้งในปี 2567 ประเทศไทยมีเหตุการณ์ความรุนแรงเฉลี่ย 42 ครั้งต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดและปัญหาสุขภาพจิต

    #Newskit
    โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องตลก เมื่อวันก่อน นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เรียกร้องไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO), สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (WFMH), United for Global Mental Health และเครือข่ายนวัตกรรมสุขภาพจิต (MHIN) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หยุดการใช้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเครื่องมือโจมตีในพื้นที่สื่อของไทย โดยประณามการกระทำของผู้จัดรายการที่มีชื่อเสียงรายหนึ่ง นำอาการป่วยของนักการเมืองหญิงรายหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่าเป็นโรคซึมเศร้า มาโจมตีอย่างรุนแรงในรายการออนไลน์ ไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกสังคมตีตราและตัดสิน คำพูดที่ขาดความรับผิดชอบกำลังทำร้ายผู้คนและบ่อนทำลายความพยายามด้านสาธารณสุขทั่วโลก โดยเรียกร้องให้หน่วยงานดังกล่าว ออกแถลงการณ์ในระดับนานาชาติเพื่อประณามการใช้ข้อมูลสุขภาพจิตในทางที่ผิด และเรียกร้องให้สื่อมวลชนและบุคคลสาธารณะในไทยยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมกับกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับสื่อ โดยทำงานร่วมกับองค์กรสื่อในไทยเพื่อสร้างและบังคับใช้แนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการรายงานข่าวและการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสนับสนุนภาคประชาสังคม โดยเพิ่มการสนับสนุนองค์กรในประเทศไทยที่ทำงานเพื่อรณรงค์ลดอคติและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สาธารณชน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้จัดรายการคนดังกล่าวระบุถึงนักการเมืองหญิงรายหนึ่งด้วยความตลกขบขัน เรียกชื่อต่อด้วยคำว่าซึมเศร้า พร้อมขอให้ซึมเศร้าร้องไห้ในสภาฯ อีกเยอะๆ คล้ายกับการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ในวัยเรียน กลายเป็นวิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งผู้จัดรายการคนดังกล่าว ขอยุติการจัดรายการทางทีวีดิจิทัลแห่งหนึ่ง ด้านสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เน้นย้ำให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนรักษามาตรฐานการแสดงออกให้เหมาะสม และไม่ใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การดูหมิ่น กดทับ หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2563-2567 คนไทยมากกว่า 8% เผชิญกับภาวะความเครียดสูง เกือบ 10% มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และมากกว่า 5% เผชิญกับความเสี่ยงในการจบชีวิตตัวเอง โดยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี อีกทั้งในปี 2567 ประเทศไทยมีเหตุการณ์ความรุนแรงเฉลี่ย 42 ครั้งต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดและปัญหาสุขภาพจิต #Newskit
    1 Comments 0 Shares 735 Views 0 Reviews
  • “หมิว สิริลภัส” โต้กลับ “แขก คำผกา” ลั่น "เป็นซึมเศร้าและรักษาอยู่ค่ะ" แนะอ่าน "สมบัติผู้ดี"
    https://www.thai-tai.tv/news/21358/
    .
    #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #โรคซึมเศร้า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    “หมิว สิริลภัส” โต้กลับ “แขก คำผกา” ลั่น "เป็นซึมเศร้าและรักษาอยู่ค่ะ" แนะอ่าน "สมบัติผู้ดี" https://www.thai-tai.tv/news/21358/ . #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #โรคซึมเศร้า #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • ดราม่าร้อน! “แขก คำผกา” เหยียด สส. “หมิว สิริลภัส” กลางไลฟ์สด ลั่น “กูขอให้มึงซึมเศร้ากลางสภา”
    https://www.thai-tai.tv/news/21357/
    .
    #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #HateSpeech #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    ดราม่าร้อน! “แขก คำผกา” เหยียด สส. “หมิว สิริลภัส” กลางไลฟ์สด ลั่น “กูขอให้มึงซึมเศร้ากลางสภา” https://www.thai-tai.tv/news/21357/ . #ไทยไท #หมิวสิริลภัส #แขกคำผกา #HateSpeech #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก TikTok ถึงกฎหมายออสเตรเลีย: เมื่อโลกเริ่มตั้งคำถามว่าเด็กควรอยู่บนโซเชียลมีเดียจริงหรือ?

    ผลสำรวจจาก Ipsos ที่จัดทำใน 30 ประเทศทั่วโลกเผยว่า 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีไม่ควรใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่บ้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2024 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียน—74% สนับสนุนการแบนอย่างชัดเจน

    ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการแบนมากที่สุดคืออินโดนีเซียและฝรั่งเศส ขณะที่ตุรกีและแอฟริกาใต้มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด ส่วนประเทศไทยกลับเป็นหนึ่งในสามประเทศที่คะแนนสนับสนุนลดลงจากปีที่แล้ว ร่วมกับอินเดียและฮังการี

    ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดียในปี 2024 และอินโดนีเซียกำลังเตรียมเดินตามรอย โดยมีแรงสนับสนุนจากงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่าเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียเกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า

    แม้แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Meta และ Snapchat จะออกมาตรการป้องกัน เช่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและระบบควบคุมผู้ปกครอง แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเด็กสามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดได้ง่าย และระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง

    นอกจากโซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการสำรวจเรื่องการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนด้วย โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าควรแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 โดยฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงถึง 80% ขณะที่ไทยมีเพียง 35%

    แม้จะมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด แต่ก็มีงานวิจัยอีกด้านที่พบว่านักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหานี้

    ผลสำรวจจาก Ipsos ปี 2025
    71% สนับสนุนการแบนเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีจากโซเชียลมีเดีย
    ผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียนสนับสนุนสูงถึง 74%
    คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้นอินเดีย ไทย และฮังการี

    ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนสูง
    อินโดนีเซียและฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุด
    ตุรกีและแอฟริกาใต้มีคะแนนสนับสนุนต่ำสุด
    ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย

    ผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย
    เด็กที่ใช้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า
    แพลตฟอร์มใหญ่ออกมาตรการป้องกัน เช่น ระบบกรองเนื้อหาและควบคุมผู้ปกครอง
    ระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง

    การใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน
    55% สนับสนุนการแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน
    ฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุดที่ 80%
    ไทยมีคะแนนต่ำสุดที่ 35%

    งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
    การนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด
    นักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่าในบางกรณี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/should-kids-use-social-media-global-opinion-has-shifted-new-poll-finds
    🎙️ เรื่องเล่าจาก TikTok ถึงกฎหมายออสเตรเลีย: เมื่อโลกเริ่มตั้งคำถามว่าเด็กควรอยู่บนโซเชียลมีเดียจริงหรือ? ผลสำรวจจาก Ipsos ที่จัดทำใน 30 ประเทศทั่วโลกเผยว่า 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีไม่ควรใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่บ้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2024 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียน—74% สนับสนุนการแบนอย่างชัดเจน ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการแบนมากที่สุดคืออินโดนีเซียและฝรั่งเศส ขณะที่ตุรกีและแอฟริกาใต้มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด ส่วนประเทศไทยกลับเป็นหนึ่งในสามประเทศที่คะแนนสนับสนุนลดลงจากปีที่แล้ว ร่วมกับอินเดียและฮังการี ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดียในปี 2024 และอินโดนีเซียกำลังเตรียมเดินตามรอย โดยมีแรงสนับสนุนจากงานวิจัยหลายฉบับที่ชี้ว่าเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียเกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า แม้แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Meta และ Snapchat จะออกมาตรการป้องกัน เช่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและระบบควบคุมผู้ปกครอง แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเด็กสามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดได้ง่าย และระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง นอกจากโซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการสำรวจเรื่องการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนด้วย โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าควรแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 โดยฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงถึง 80% ขณะที่ไทยมีเพียง 35% แม้จะมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด แต่ก็มีงานวิจัยอีกด้านที่พบว่านักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหานี้ ✅ ผลสำรวจจาก Ipsos ปี 2025 ➡️ 71% สนับสนุนการแบนเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีจากโซเชียลมีเดีย ➡️ ผู้ปกครองที่มีลูกวัยเรียนสนับสนุนสูงถึง 74% ➡️ คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้นอินเดีย ไทย และฮังการี ✅ ประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนสูง ➡️ อินโดนีเซียและฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุด ➡️ ตุรกีและแอฟริกาใต้มีคะแนนสนับสนุนต่ำสุด ➡️ ออสเตรเลียออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย ✅ ผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย ➡️ เด็กที่ใช้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่ออกมาตรการป้องกัน เช่น ระบบกรองเนื้อหาและควบคุมผู้ปกครอง ➡️ ระบบอายุขั้นต่ำยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง ✅ การใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน ➡️ 55% สนับสนุนการแบนสมาร์ทโฟนในโรงเรียน ➡️ ฝรั่งเศสมีคะแนนสนับสนุนสูงสุดที่ 80% ➡️ ไทยมีคะแนนต่ำสุดที่ 35% ✅ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ➡️ การนำสมาร์ทโฟนออกจากห้องเรียนช่วยเพิ่มความเข้าใจและลดความเครียด ➡️ นักเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกลับมีผลการเรียนดีกว่าในบางกรณี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/should-kids-use-social-media-global-opinion-has-shifted-new-poll-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Should kids use social media? Global opinion has shifted, new poll finds
    The survey – fielded June 20 to July 4 with 23,700 adults – revealed at least 50% of respondents in all 30 countries favoured a social media ban, and support grew in every nation except three: India, Thailand and Hungary.
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
More Results