• บูรพาไม่แพ้ Ep.141 : สมรภูมิเดือดรถ EV จีน อนาคตจะเหลือสักกี่แบรนด์ ?
    .
    จากแบรนด์รถยนต์จีนที่ผลิตกันเกลื่อนกลาดกว่า 100 แบรนด์ เมื่อเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมาที่มหกรรมรถยนต์ที่ประเทศเยอรมนี นางสเตลลา หลี่ หรือ หลี่ เคอ รองประธานบริหารหญิงเก่งของ BYD ได้กล่าวถึงว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในตอนนี้ว่า จะทำให้แบรนด์รถยนต์จีนจะลดลงเหลือน้อยกว่านี้มาก โดยสุดท้ายอาจจะเหลือแค่ 15-20 บริษัทเท่านั้นที่สามารถจะอยู่รอดได้
    .
    ข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน ก็ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์ 3 รายใหญ่ครองตลาดรถ EV มากกว่า 50% โดยเบอร์หนึ่งในวงการ ก็คือ BYD ก็ยึดตลาดไปแล้วเกือบ 30% ... ในวันนี้ เราจะเล่าถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยจะสำรวจค่ายรถยนต์จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก มีรถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ว่าจะมีรายไหนที่อยู่รอดได้ในระยะยาว
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=QWy9mFJwnJY
    .
    #บูรพาไมแพ้ #รถยนต์ไฟฟ้า #รถอีวี #EV #จีน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.141 : สมรภูมิเดือดรถ EV จีน อนาคตจะเหลือสักกี่แบรนด์ ? . จากแบรนด์รถยนต์จีนที่ผลิตกันเกลื่อนกลาดกว่า 100 แบรนด์ เมื่อเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมาที่มหกรรมรถยนต์ที่ประเทศเยอรมนี นางสเตลลา หลี่ หรือ หลี่ เคอ รองประธานบริหารหญิงเก่งของ BYD ได้กล่าวถึงว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในตอนนี้ว่า จะทำให้แบรนด์รถยนต์จีนจะลดลงเหลือน้อยกว่านี้มาก โดยสุดท้ายอาจจะเหลือแค่ 15-20 บริษัทเท่านั้นที่สามารถจะอยู่รอดได้ . ข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน ก็ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์ 3 รายใหญ่ครองตลาดรถ EV มากกว่า 50% โดยเบอร์หนึ่งในวงการ ก็คือ BYD ก็ยึดตลาดไปแล้วเกือบ 30% ... ในวันนี้ เราจะเล่าถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยจะสำรวจค่ายรถยนต์จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก มีรถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ว่าจะมีรายไหนที่อยู่รอดได้ในระยะยาว . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=QWy9mFJwnJY . #บูรพาไมแพ้ #รถยนต์ไฟฟ้า #รถอีวี #EV #จีน
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ทำนายผลพรีเมียร์ลีก 03/10/68 #พรีเมียร์ลีก #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลพรีเมียร์ลีก
    ทำนายผลพรีเมียร์ลีก 03/10/68 #พรีเมียร์ลีก #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลพรีเมียร์ลีก
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 0 Reviews
  • ผิดคาด! Super Computer ทำนายผลแชมป์ UCL ล่าสุด 03/10/68 #Super Computer #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลแชมป์ #พรีเมียร์ลีก
    ผิดคาด! Super Computer ทำนายผลแชมป์ UCL ล่าสุด 03/10/68 #Super Computer #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลแชมป์ #พรีเมียร์ลีก
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 245 Views 0 0 Reviews
  • ทายผลฟุตบอลไทยลีก สัปดาห์ที่ 7 03/10/68 #ฟุตบอลไทยลีก #การแข่งขันฟุตบอล #โปรแกรมฟุตบอล
    ทายผลฟุตบอลไทยลีก สัปดาห์ที่ 7 03/10/68 #ฟุตบอลไทยลีก #การแข่งขันฟุตบอล #โปรแกรมฟุตบอล
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 0 Reviews
  • “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง”

    Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V

    แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร

    Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง

    Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้

    ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต
    Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm
    Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm
    Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet
    Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027
    Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป
    Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET
    PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing
    Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก
    TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน
    การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต”

    https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    🔧 “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง” Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้ ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ➡️ Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm ➡️ Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ➡️ Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm ➡️ Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet ➡️ Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027 ➡️ Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป ➡️ Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET ➡️ PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing ➡️ Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก ➡️ TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน ➡️ การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต” https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    WCCFTECH.COM
    ‘Iconic’ Chip Expert Jim Keller Says Intel Is Being Considered For Cutting-Edge Chips, But They Have a Lot to Do to Deliver a Solid Product
    The legendary chip architect Jim Keller has shared his thoughts on Intel's processes, claiming that they need to refine the 'foundry game'.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว”

    ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์

    Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์

    ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน
    Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย
    การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่
    Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions
    Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย
    Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB
    Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย
    การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove”
    Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก
    ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
    การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น
    การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    🌐 “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว” ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์ ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน ➡️ Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย ➡️ การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่ ➡️ Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions ➡️ Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย ➡️ Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB ➡️ Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย ➡️ การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove” ➡️ Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก ➡️ ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น ➡️ การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น”

    Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro

    ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที

    แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก

    แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985
    แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90
    เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface
    ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา
    Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม
    มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส
    Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน
    Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II
    VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90
    Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ
    Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets
    Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    📊 “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น” Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985 ➡️ แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90 ➡️ เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface ➡️ ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา ➡️ Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม ➡️ มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส ➡️ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน ➡️ Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II ➡️ VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90 ➡️ Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ ➡️ Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets ➡️ Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์ https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 1”

    อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน

    แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง

    อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ

    สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า

    อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว
    พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน

    ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
    สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน

    อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม

    อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน

    ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น

    การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 1” อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “Apple พับแผน Vision Pro รุ่นประหยัด — หันไปเร่งพัฒนาแว่นตา AI แข่ง Meta”

    Apple ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ในตลาดอุปกรณ์สวมใส่ โดยประกาศยุติการพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ที่มีรหัสภายในว่า N100 ซึ่งเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2027 เพื่อเป็นรุ่นที่เบาและราคาถูกลงจาก Vision Pro รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2024 ด้วยราคา 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้เท่าที่คาด เนื่องจากขาดเนื้อหาหลักและต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอุปกรณ์ราคาถูกกว่า เช่น Meta Quest

    Apple จึงหันมาโฟกัสที่การพัฒนา “แว่นตาอัจฉริยะ” ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นอุปกรณ์สวมใส่ยุคใหม่ที่มาแทนสมาร์ตโฟน โดยมีแผนพัฒนาอย่างน้อย 2 รุ่น ได้แก่:

    รุ่นแรก N50: ไม่มีหน้าจอในตัว ต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อใช้งาน โดยอาจเปิดตัวในปีหน้า และวางจำหน่ายจริงในปี 2027

    รุ่นที่สอง: มีหน้าจอในตัว คล้ายกับ Meta Ray-Ban Display โดยเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2028 แต่ Apple กำลังเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น

    แว่นตาอัจฉริยะของ Apple จะเน้นการควบคุมด้วยเสียงและระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยใช้ Siri เวอร์ชันใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ฉลาดขึ้น และอาจเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026

    การเปลี่ยนแผนครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดและความสำเร็จของ Meta ที่เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่พร้อมหน้าจอและฟีเจอร์ AI เช่น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ การควบคุมด้วย EMG ผ่านสายรัดข้อมือ และการบันทึกวิดีโอระดับ 3K

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple ยุติการพัฒนา Vision Pro รุ่น N100 ที่เดิมวางแผนเปิดตัวในปี 2027
    หันไปเร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ 2 รุ่น ได้แก่ N50 (ไม่มีหน้าจอ) และรุ่นมีหน้าจอ
    N50 จะเชื่อมต่อกับ iPhone และอาจเปิดตัวในปีหน้า
    รุ่นมีหน้าจอเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2028 แต่กำลังเร่งให้เร็วขึ้น
    แว่นตาใหม่จะใช้ Siri เวอร์ชันใหม่ที่เน้นการควบคุมด้วยเสียงและ AI
    Apple ยังไม่ยืนยันรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่มีการเปลี่ยนแผนภายในแล้ว
    Vision Pro รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2024 ด้วยราคา 3,499 ดอลลาร์ แต่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า
    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display และ Oakley Vanguard พร้อมฟีเจอร์ AI และหน้าจอในตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/02/apple-halts-vision-pro-overhaul-to-focus-on-ai-glasses-bloomberg-news-reports
    🕶️ “Apple พับแผน Vision Pro รุ่นประหยัด — หันไปเร่งพัฒนาแว่นตา AI แข่ง Meta” Apple ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ในตลาดอุปกรณ์สวมใส่ โดยประกาศยุติการพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ที่มีรหัสภายในว่า N100 ซึ่งเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2027 เพื่อเป็นรุ่นที่เบาและราคาถูกลงจาก Vision Pro รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2024 ด้วยราคา 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้เท่าที่คาด เนื่องจากขาดเนื้อหาหลักและต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอุปกรณ์ราคาถูกกว่า เช่น Meta Quest Apple จึงหันมาโฟกัสที่การพัฒนา “แว่นตาอัจฉริยะ” ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นอุปกรณ์สวมใส่ยุคใหม่ที่มาแทนสมาร์ตโฟน โดยมีแผนพัฒนาอย่างน้อย 2 รุ่น ได้แก่: 👓 รุ่นแรก N50: ไม่มีหน้าจอในตัว ต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อใช้งาน โดยอาจเปิดตัวในปีหน้า และวางจำหน่ายจริงในปี 2027 👓 รุ่นที่สอง: มีหน้าจอในตัว คล้ายกับ Meta Ray-Ban Display โดยเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2028 แต่ Apple กำลังเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น แว่นตาอัจฉริยะของ Apple จะเน้นการควบคุมด้วยเสียงและระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยใช้ Siri เวอร์ชันใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ฉลาดขึ้น และอาจเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 การเปลี่ยนแผนครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดและความสำเร็จของ Meta ที่เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่พร้อมหน้าจอและฟีเจอร์ AI เช่น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ การควบคุมด้วย EMG ผ่านสายรัดข้อมือ และการบันทึกวิดีโอระดับ 3K ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple ยุติการพัฒนา Vision Pro รุ่น N100 ที่เดิมวางแผนเปิดตัวในปี 2027 ➡️ หันไปเร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ 2 รุ่น ได้แก่ N50 (ไม่มีหน้าจอ) และรุ่นมีหน้าจอ ➡️ N50 จะเชื่อมต่อกับ iPhone และอาจเปิดตัวในปีหน้า ➡️ รุ่นมีหน้าจอเดิมทีวางแผนเปิดตัวในปี 2028 แต่กำลังเร่งให้เร็วขึ้น ➡️ แว่นตาใหม่จะใช้ Siri เวอร์ชันใหม่ที่เน้นการควบคุมด้วยเสียงและ AI ➡️ Apple ยังไม่ยืนยันรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่มีการเปลี่ยนแผนภายในแล้ว ➡️ Vision Pro รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2024 ด้วยราคา 3,499 ดอลลาร์ แต่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ➡️ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display และ Oakley Vanguard พร้อมฟีเจอร์ AI และหน้าจอในตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/02/apple-halts-vision-pro-overhaul-to-focus-on-ai-glasses-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple halts Vision Pro overhaul to focus on AI glasses, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Apple has halted a planned overhaul of its Vision Pro mixed-reality headset to shift resources to smart glasses that would rival products from Meta Platforms, Bloomberg News reported on Wednesday, citing people familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง”

    Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ

    แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33%
    เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์
    TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD
    Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่
    มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk
    Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี
    Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm
    โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet)
    Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง
    TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7%
    การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง
    Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ

    https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    💥 “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง” Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33% ➡️ เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ ➡️ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ➡️ Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk ➡️ Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี ➡️ Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm ➡️ โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet) ➡️ Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง ➡️ TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7% ➡️ การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง ➡️ Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Cuts 2 nm Node Pricing by 33% in TSMC Competition Push
    Samsung has cut its 2 nm wafer prices to $20,000 offering a 33% discount compared to TSMC's expected $30,000 per wafer cost, industry reports say. The company aims to draw customers to its underused advanced manufacturing capacity. The Korean chipmaker faces big pressure to get returns on billions i...
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz

    Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด
    ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน
    Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die
    รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel
    ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี
    AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB
    รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P
    Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก
    AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000
    Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ
    การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    ⚙️ “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด ➡️ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน ➡️ Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die ➡️ รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel ➡️ ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี ➡️ AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB ➡️ รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P ➡️ Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก ➡️ AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000 ➡️ Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ ➡️ การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel aims at AMD's Threadripper with its new Granite Rapids-WS CPU — chip armed with core count approaching the flagship AMD Threadripper 9995WX, boasts a 4.8GHz boost clock
    Granite Rapids-WS has the chance to outdo Threadripper 9000WX in core count, similar to what the architecture has done for Intel on the server side.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม”

    Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย

    PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)

    Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง

    กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์
    ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25%
    ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน
    EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
    Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California
    PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
    ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)
    EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์
    Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom
    EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC
    การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    🎮 “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม” Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% ➡️ ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน ➡️ EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ➡️ Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California ➡️ PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) ➡️ EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom ➡️ EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC ➡️ การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    EA acquired by Saudi Arabian investment fund and others for $55 billion — largest ever buyout of a public company
    “Our creative and passionate teams at EA have delivered extraordinary experiences for hundreds of millions of fans, built some of the world’s most iconic IP, and created significant value for our business. This moment is a powerful recognition of their remarkable work."
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX”

    Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง

    หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย

    ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3
    คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง
    หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar
    EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้
    FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
    ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์
    ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026
    การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G
    การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย
    SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต
    การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล
    การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    📡 “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX” Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3 ➡️ คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง ➡️ หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar ➡️ EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้ ➡️ FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ➡️ ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026 ➡️ การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G ➡️ การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย ➡️ SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต ➡️ การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล ➡️ การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Verizon in talks to buy EchoStar wireless spectrum, Bloomberg News reports
    (Reuters) -U.S. telecom company Verizon Communications is in discussions with EchoStar about purchasing some of its wireless spectrum, Bloomberg News reported on Monday, citing people familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’”

    Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี

    เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต

    Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน

    เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา

    แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

    เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP

    Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี
    เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar
    ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน
    เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank
    เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal
    เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund
    เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ
    พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง
    เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย
    ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก
    หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา
    เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน
    HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง
    เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ

    https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    🕊️ “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’” Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี ➡️ เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar ➡️ ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ➡️ เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank ➡️ เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal ➡️ เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund ➡️ เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ ➡️ พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง ➡️ เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย ➡️ ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก ➡️ หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา ➡️ เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน ➡️ HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง ➡️ เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    HUMBLEDOLLAR.COM
    Farewell Friends - HumbleDollar
    If this post is appearing, it means I’ve succumbed to cancer or one of its side effects. Please don’t feel sad for me. I’ve had a life filled with love, great experiences and wonderful career opportunities. Despite my demise at a relatively young age, I consider myself beyond fortunate. I’m hoping that, under the tree in front of our little Philadelphia rowhome, my wife Elaine will place a stone tablet inscribed with my name, and the year I was born and died.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • “EU Chips Act 2.0: เมื่อยุโรปยอมรับว่าแผนผลิตชิประดับโลกล้มเหลว — และต้องทุ่มงบเพิ่ม 4 เท่าเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี”

    สหภาพยุโรป (EU) เคยตั้งเป้าหมายไว้สูงลิ่วในปี 2022 ว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกให้ได้ 20% ภายในปี 2030 ผ่านโครงการ European Chips Act ที่มีงบประมาณกว่า 43,000 ล้านยูโร (ราว 50.4 พันล้านดอลลาร์) แต่ล่าสุด EU ต้องยอมรับว่าเป้าหมายนี้ “ไปไม่ถึง” และกำลังผลักดันเวอร์ชันใหม่ในชื่อ “Chips Act 2.0” โดยเสนอให้เพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น

    ข้อมูลล่าสุดจาก European Court of Auditors และกลุ่มพันธมิตร Semicon Coalition ที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า EU จะสามารถครองตลาดได้เพียง 11.7% ภายในปี 2030 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุหลักคือ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่า 30 พันล้านยูโรในเยอรมนี และอีกแห่งในโปแลนด์ ทำให้ความหวังในการดึงผู้ผลิตชิปรายใหญ่เข้าสู่ยุโรปพังทลาย

    Chips Act 2.0 จึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเทคโนโลยีเฉพาะทาง, เร่งการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, และเพิ่มการเข้าถึงเงินทุนและบุคลากรในห่วงโซ่การผลิตชิป โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon เข้าร่วมลงนามสนับสนุนแผนใหม่นี้

    แม้ EU จะยังมีความหวังจากโรงงานของ TSMC ที่เมือง Dresden ประเทศเยอรมนี แต่ก็เป็นโครงการขนาดเล็กและไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูงเท่าที่ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยุโรปยังคงตามหลังในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EU ตั้งเป้าครองตลาดชิปโลก 20% ภายในปี 2030 ผ่าน Chips Act งบ 43,000 ล้านยูโร
    ล่าสุดคาดว่าจะทำได้เพียง 11.7% เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022
    Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานในเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เป้าหมายสะดุด
    กลุ่ม Semicon Coalition นำโดยเนเธอร์แลนด์ผลักดัน Chips Act 2.0
    เสนอเพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น
    บริษัทใหญ่ เช่น Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon ร่วมลงนามสนับสนุน
    Chips Act 2.0 เน้นการเร่งอนุมัติโครงการ, เพิ่มเงินทุน, และพัฒนาบุคลากร
    TSMC มีโรงงานใน Dresden แต่เป็นโครงการขนาดเล็ก ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สหรัฐฯ ลงทุนมหาศาลผ่าน Chips Act และ Inflation Reduction Act เพื่อดึงผู้ผลิตชิป
    จีน, เกาหลีใต้ และไต้หวันยังคงนำหน้าในด้านการผลิตและเทคโนโลยีชิป
    รถยนต์ยุคใหม่ใช้ชิปมากกว่า 3,000 ตัวต่อคัน ทำให้ความต้องการพุ่งสูง
    การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิปเป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติและเศรษฐกิจ
    EU ยังขาดระบบสนับสนุนแบบรวมศูนย์ ทำให้การลงทุนกระจายและไม่เกิดผลรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/eu-pushes-for-chips-act-2-0-investment-as-it-looks-set-to-miss-global-silicon-production-targets-by-a-wide-margin-seeks-quadrupling-of-semiconductor-investment-as-usd50-billion-initiative-flounders
    💥 “EU Chips Act 2.0: เมื่อยุโรปยอมรับว่าแผนผลิตชิประดับโลกล้มเหลว — และต้องทุ่มงบเพิ่ม 4 เท่าเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี” สหภาพยุโรป (EU) เคยตั้งเป้าหมายไว้สูงลิ่วในปี 2022 ว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกให้ได้ 20% ภายในปี 2030 ผ่านโครงการ European Chips Act ที่มีงบประมาณกว่า 43,000 ล้านยูโร (ราว 50.4 พันล้านดอลลาร์) แต่ล่าสุด EU ต้องยอมรับว่าเป้าหมายนี้ “ไปไม่ถึง” และกำลังผลักดันเวอร์ชันใหม่ในชื่อ “Chips Act 2.0” โดยเสนอให้เพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจาก European Court of Auditors และกลุ่มพันธมิตร Semicon Coalition ที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า EU จะสามารถครองตลาดได้เพียง 11.7% ภายในปี 2030 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุหลักคือ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่า 30 พันล้านยูโรในเยอรมนี และอีกแห่งในโปแลนด์ ทำให้ความหวังในการดึงผู้ผลิตชิปรายใหญ่เข้าสู่ยุโรปพังทลาย Chips Act 2.0 จึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเทคโนโลยีเฉพาะทาง, เร่งการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, และเพิ่มการเข้าถึงเงินทุนและบุคลากรในห่วงโซ่การผลิตชิป โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon เข้าร่วมลงนามสนับสนุนแผนใหม่นี้ แม้ EU จะยังมีความหวังจากโรงงานของ TSMC ที่เมือง Dresden ประเทศเยอรมนี แต่ก็เป็นโครงการขนาดเล็กและไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูงเท่าที่ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยุโรปยังคงตามหลังในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EU ตั้งเป้าครองตลาดชิปโลก 20% ภายในปี 2030 ผ่าน Chips Act งบ 43,000 ล้านยูโร ➡️ ล่าสุดคาดว่าจะทำได้เพียง 11.7% เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 ➡️ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานในเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เป้าหมายสะดุด ➡️ กลุ่ม Semicon Coalition นำโดยเนเธอร์แลนด์ผลักดัน Chips Act 2.0 ➡️ เสนอเพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น ➡️ บริษัทใหญ่ เช่น Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon ร่วมลงนามสนับสนุน ➡️ Chips Act 2.0 เน้นการเร่งอนุมัติโครงการ, เพิ่มเงินทุน, และพัฒนาบุคลากร ➡️ TSMC มีโรงงานใน Dresden แต่เป็นโครงการขนาดเล็ก ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สหรัฐฯ ลงทุนมหาศาลผ่าน Chips Act และ Inflation Reduction Act เพื่อดึงผู้ผลิตชิป ➡️ จีน, เกาหลีใต้ และไต้หวันยังคงนำหน้าในด้านการผลิตและเทคโนโลยีชิป ➡️ รถยนต์ยุคใหม่ใช้ชิปมากกว่า 3,000 ตัวต่อคัน ทำให้ความต้องการพุ่งสูง ➡️ การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิปเป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติและเศรษฐกิจ ➡️ EU ยังขาดระบบสนับสนุนแบบรวมศูนย์ ทำให้การลงทุนกระจายและไม่เกิดผลรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/eu-pushes-for-chips-act-2-0-investment-as-it-looks-set-to-miss-global-silicon-production-targets-by-a-wide-margin-seeks-quadrupling-of-semiconductor-investment-as-usd50-billion-initiative-flounders
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • “AMD MI450X บีบให้ NVIDIA ปรับแผน Rubin — สงครามชิป AI ระดับ 2,000W เริ่มแล้ว”

    การแข่งขันระหว่าง AMD และ NVIDIA ในตลาดชิป AI กำลังร้อนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยล่าสุด AMD ได้เปิดตัว Instinct MI450X ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่มีสเปกแรงจนทำให้ NVIDIA ต้องปรับแผนการออกแบบชิป Rubin VR200 ของตัวเองอย่างเร่งด่วน

    ชิป MI450X ของ AMD ใช้หน่วยความจำ HBM4 สูงสุดถึง 432GB ต่อ GPU และมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 19.6 TB/s พร้อมพลังประมวลผล FP4 ที่ระดับ 40 PFLOPS โดยมี TGP สูงถึง 2500W ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับชิป AI ทั่วไป

    NVIDIA ที่เดิมวางแผนให้ Rubin VR200 มี TGP อยู่ที่ 1800W ต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2300W และเพิ่มแบนด์วิดธ์จาก 13 TB/s เป็น 20 TB/s ต่อ GPU เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ MI450X ได้อย่างสูสี โดย Rubin ยังมีพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 50 PFLOPS และใช้ HBM4 ขนาด 288GB ต่อ GPU

    ทั้งสองบริษัทใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และออกแบบแบบ chiplet เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน โดย AMD มั่นใจว่า MI450X จะเป็น “Milan moment” ของสาย AI เหมือนที่ EPYC 7003 เคยเปลี่ยนเกมในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    แม้ยังไม่มีข้อมูลสเปกเต็มของทั้งสองรุ่น แต่ OpenAI ได้เริ่มใช้งาน Rubin แล้ว ขณะที่ AMD เตรียมเปิดตัว MI450X ในปี 2026 ซึ่งหมายความว่า “สงครามชิป AI ระดับ hyperscale” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัว Instinct MI450X พร้อม TGP สูงถึง 2500W และแบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s
    ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432GB ต่อ GPU และพลังประมวลผล FP4 ที่ 40 PFLOPS
    NVIDIA ปรับแผน Rubin VR200 เพิ่ม TGP จาก 1800W เป็น 2300W และแบนด์วิดธ์เป็น 20 TB/s
    Rubin ใช้ HBM4 ขนาด 288GB ต่อ GPU และพลังประมวลผล FP4 ที่ 50 PFLOPS
    ทั้งสองชิปใช้เทคโนโลยี 3nm จาก TSMC และออกแบบแบบ chiplet
    AMD มองว่า MI450X จะเป็นจุดเปลี่ยนเหมือน EPYC 7003 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    OpenAI เริ่มใช้งาน Rubin แล้ว แสดงถึงการยอมรับในตลาดจริง
    MI450X และ Rubin จะเปิดตัวเต็มรูปแบบในปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM4 เป็นหน่วยความจำที่มีแบนด์วิดธ์สูงที่สุดในตลาด AI ปัจจุบัน
    FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และโมเดลภาพ
    การใช้ TGP สูงกว่า 2000W ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับเซิร์ฟเวอร์พิเศษ
    AMD เคยตามหลัง NVIDIA ในรอบก่อนหน้า แต่ MI450X อาจเปลี่ยนสมดุล
    Rubin Ultra รุ่นถัดไปของ NVIDIA อาจมี HBM4 สูงถึง 576GB ต่อ GPU

    https://wccftech.com/amd-instinct-mi450x-has-forced-nvidia-to-make-changes-with-the-rubin-ai-chip/
    ⚔️ “AMD MI450X บีบให้ NVIDIA ปรับแผน Rubin — สงครามชิป AI ระดับ 2,000W เริ่มแล้ว” การแข่งขันระหว่าง AMD และ NVIDIA ในตลาดชิป AI กำลังร้อนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยล่าสุด AMD ได้เปิดตัว Instinct MI450X ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่มีสเปกแรงจนทำให้ NVIDIA ต้องปรับแผนการออกแบบชิป Rubin VR200 ของตัวเองอย่างเร่งด่วน ชิป MI450X ของ AMD ใช้หน่วยความจำ HBM4 สูงสุดถึง 432GB ต่อ GPU และมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 19.6 TB/s พร้อมพลังประมวลผล FP4 ที่ระดับ 40 PFLOPS โดยมี TGP สูงถึง 2500W ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับชิป AI ทั่วไป NVIDIA ที่เดิมวางแผนให้ Rubin VR200 มี TGP อยู่ที่ 1800W ต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2300W และเพิ่มแบนด์วิดธ์จาก 13 TB/s เป็น 20 TB/s ต่อ GPU เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ MI450X ได้อย่างสูสี โดย Rubin ยังมีพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 50 PFLOPS และใช้ HBM4 ขนาด 288GB ต่อ GPU ทั้งสองบริษัทใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และออกแบบแบบ chiplet เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน โดย AMD มั่นใจว่า MI450X จะเป็น “Milan moment” ของสาย AI เหมือนที่ EPYC 7003 เคยเปลี่ยนเกมในตลาดเซิร์ฟเวอร์ แม้ยังไม่มีข้อมูลสเปกเต็มของทั้งสองรุ่น แต่ OpenAI ได้เริ่มใช้งาน Rubin แล้ว ขณะที่ AMD เตรียมเปิดตัว MI450X ในปี 2026 ซึ่งหมายความว่า “สงครามชิป AI ระดับ hyperscale” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัว Instinct MI450X พร้อม TGP สูงถึง 2500W และแบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432GB ต่อ GPU และพลังประมวลผล FP4 ที่ 40 PFLOPS ➡️ NVIDIA ปรับแผน Rubin VR200 เพิ่ม TGP จาก 1800W เป็น 2300W และแบนด์วิดธ์เป็น 20 TB/s ➡️ Rubin ใช้ HBM4 ขนาด 288GB ต่อ GPU และพลังประมวลผล FP4 ที่ 50 PFLOPS ➡️ ทั้งสองชิปใช้เทคโนโลยี 3nm จาก TSMC และออกแบบแบบ chiplet ➡️ AMD มองว่า MI450X จะเป็นจุดเปลี่ยนเหมือน EPYC 7003 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ➡️ OpenAI เริ่มใช้งาน Rubin แล้ว แสดงถึงการยอมรับในตลาดจริง ➡️ MI450X และ Rubin จะเปิดตัวเต็มรูปแบบในปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM4 เป็นหน่วยความจำที่มีแบนด์วิดธ์สูงที่สุดในตลาด AI ปัจจุบัน ➡️ FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และโมเดลภาพ ➡️ การใช้ TGP สูงกว่า 2000W ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับเซิร์ฟเวอร์พิเศษ ➡️ AMD เคยตามหลัง NVIDIA ในรอบก่อนหน้า แต่ MI450X อาจเปลี่ยนสมดุล ➡️ Rubin Ultra รุ่นถัดไปของ NVIDIA อาจมี HBM4 สูงถึง 576GB ต่อ GPU https://wccftech.com/amd-instinct-mi450x-has-forced-nvidia-to-make-changes-with-the-rubin-ai-chip/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Instinct MI450X Has Reportedly 'Forced' NVIDIA to Make Changes With the Rubin AI Chip, Including Higher TGPs & Memory Bandwidth
    NVIDIA and AMD are racing to create a superior AI architecture, with both firms revising their next-gen designs to gain an edge.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก

    คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025

    อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027

    Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์

    แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที”
    เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี
    Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025
    Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA
    จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027
    บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance
    Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก
    CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ
    จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT
    การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง
    DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic
    การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม

    https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    🇨🇳⚙️ “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025 อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027 Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์ แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที” ➡️ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี ➡️ Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA ➡️ จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ➡️ Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก ➡️ CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ➡️ จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT ➡️ การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง ➡️ DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • “Veritas: อาวุธลับของ Apple ที่จะเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วย AI ตัวจริงในปี 2026”

    Apple กำลังซุ่มพัฒนาเครื่องมือภายในชื่อว่า “Veritas” ซึ่งเป็นแอปที่มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น จุดประสงค์หลักคือใช้ทดสอบและปรับปรุง Siri รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2026 โดยไม่ใช่แค่การตอบคำสั่งแบบเดิม แต่เป็นการเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด

    Veritas ทำหน้าที่เป็นสนามทดลองของ Apple โดยให้วิศวกรสามารถจำลองการสนทนาแบบหลายรอบ (multi-turn) ทดสอบการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง หรือรูปภาพ และทดลองคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การตัดภาพ หรือการจัดการ playlist—all ผ่านการพูดคุยธรรมดา

    เบื้องหลังของ Veritas คือระบบใหม่ชื่อ “Linwood” ซึ่งใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดยทีม Foundation Models ของ Apple ร่วมกับโมเดลจากภายนอก เช่น Gemini ของ Google โดย Apple ใช้ Veritas เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างโมเดลภายในและภายนอก ก่อนตัดสินใจว่าจะใช้เทคโนโลยีใดในการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่

    แม้จะมีแผนเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ในปี 2024 แต่เกิดปัญหาทางวิศวกรรมที่ทำให้ฟีเจอร์ล้มเหลวถึง 1 ใน 3 ของการใช้งาน ส่งผลให้ Apple ต้องเลื่อนเปิดตัวเป็นเดือนมีนาคม 2026 และมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI หลายตำแหน่ง รวมถึงการลาออกของ Robby Walker ผู้ดูแล Siri เดิม

    Apple ยืนยันว่าเป้าหมายของ Siri รุ่นใหม่คือการเป็นผู้ช่วยที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบที่อิงจากข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหลัก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple พัฒนาเครื่องมือภายในชื่อ “Veritas” เพื่อทดสอบ Siri รุ่นใหม่
    Veritas มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ใช้เฉพาะภายในองค์กร
    ใช้ทดสอบการสนทนาแบบหลายรอบ และการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง รูปภาพ
    ระบบเบื้องหลังชื่อ “Linwood” ใช้ LLM จาก Apple และโมเดลภายนอก
    Apple กำลังเปรียบเทียบโมเดลภายในกับ Gemini ของ Google
    Siri รุ่นใหม่จะสามารถเข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบแบบเฉพาะบุคคล
    การเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนจากปี 2024 เป็นมีนาคม 2026
    มีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI เช่น การลาออกของ Robby Walker
    Apple ยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Siri รุ่นใหม่จะสามารถจัดการงานในแอป เช่น ตัดภาพหรือจัด playlist ผ่านคำสั่งเสียง
    Apple ใช้แนวทาง “dual-path” คือเปรียบเทียบโมเดล Linwood กับ Glenwood ที่ใช้โมเดลภายนอก
    การใช้ Veritas ช่วยให้ Apple ตรวจสอบฟีเจอร์ก่อนเปิดตัวจริง ลดความเสี่ยงจากบั๊กหรือปัญหาความปลอดภัย
    Apple Intelligence ที่เปิดตัวใน WWDC 2024 ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้เท่าที่คาดหวัง
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Apple, Google และ OpenAI จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของผู้ช่วยดิจิทัลในอนาคต

    https://securityonline.info/apples-secret-weapon-the-chatgpt-like-veritas-tool-thats-helping-build-a-next-gen-siri/
    🧠 “Veritas: อาวุธลับของ Apple ที่จะเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วย AI ตัวจริงในปี 2026” Apple กำลังซุ่มพัฒนาเครื่องมือภายในชื่อว่า “Veritas” ซึ่งเป็นแอปที่มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น จุดประสงค์หลักคือใช้ทดสอบและปรับปรุง Siri รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2026 โดยไม่ใช่แค่การตอบคำสั่งแบบเดิม แต่เป็นการเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด Veritas ทำหน้าที่เป็นสนามทดลองของ Apple โดยให้วิศวกรสามารถจำลองการสนทนาแบบหลายรอบ (multi-turn) ทดสอบการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง หรือรูปภาพ และทดลองคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การตัดภาพ หรือการจัดการ playlist—all ผ่านการพูดคุยธรรมดา เบื้องหลังของ Veritas คือระบบใหม่ชื่อ “Linwood” ซึ่งใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดยทีม Foundation Models ของ Apple ร่วมกับโมเดลจากภายนอก เช่น Gemini ของ Google โดย Apple ใช้ Veritas เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างโมเดลภายในและภายนอก ก่อนตัดสินใจว่าจะใช้เทคโนโลยีใดในการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ แม้จะมีแผนเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ในปี 2024 แต่เกิดปัญหาทางวิศวกรรมที่ทำให้ฟีเจอร์ล้มเหลวถึง 1 ใน 3 ของการใช้งาน ส่งผลให้ Apple ต้องเลื่อนเปิดตัวเป็นเดือนมีนาคม 2026 และมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI หลายตำแหน่ง รวมถึงการลาออกของ Robby Walker ผู้ดูแล Siri เดิม Apple ยืนยันว่าเป้าหมายของ Siri รุ่นใหม่คือการเป็นผู้ช่วยที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบที่อิงจากข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหลัก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple พัฒนาเครื่องมือภายในชื่อ “Veritas” เพื่อทดสอบ Siri รุ่นใหม่ ➡️ Veritas มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ใช้เฉพาะภายในองค์กร ➡️ ใช้ทดสอบการสนทนาแบบหลายรอบ และการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง รูปภาพ ➡️ ระบบเบื้องหลังชื่อ “Linwood” ใช้ LLM จาก Apple และโมเดลภายนอก ➡️ Apple กำลังเปรียบเทียบโมเดลภายในกับ Gemini ของ Google ➡️ Siri รุ่นใหม่จะสามารถเข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบแบบเฉพาะบุคคล ➡️ การเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนจากปี 2024 เป็นมีนาคม 2026 ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI เช่น การลาออกของ Robby Walker ➡️ Apple ยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Siri รุ่นใหม่จะสามารถจัดการงานในแอป เช่น ตัดภาพหรือจัด playlist ผ่านคำสั่งเสียง ➡️ Apple ใช้แนวทาง “dual-path” คือเปรียบเทียบโมเดล Linwood กับ Glenwood ที่ใช้โมเดลภายนอก ➡️ การใช้ Veritas ช่วยให้ Apple ตรวจสอบฟีเจอร์ก่อนเปิดตัวจริง ลดความเสี่ยงจากบั๊กหรือปัญหาความปลอดภัย ➡️ Apple Intelligence ที่เปิดตัวใน WWDC 2024 ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้เท่าที่คาดหวัง ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Apple, Google และ OpenAI จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของผู้ช่วยดิจิทัลในอนาคต https://securityonline.info/apples-secret-weapon-the-chatgpt-like-veritas-tool-thats-helping-build-a-next-gen-siri/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apple’s Secret Weapon: The ChatGPT-Like "Veritas" Tool That's Helping Build a Next-Gen Siri
    Apple is internally testing a ChatGPT-like tool, codenamed "Veritas," to accelerate the development of a more capable, AI-driven Siri with personalized features.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • ศึกสายเลือดดุสิตธานี รายย่อยงัดข้อป้องชนินทธ์

    ความขัดแย้งในกลุ่มทายาท ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี นับตั้งแต่นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค น้องสาวทั้งสองคน ถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นรักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ออกจากกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 49.74% ใน DUSIT ต่อด้วยฝั่งบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 และเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการบริษัทฯ

    ปรากฎว่าการประชุมดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.ย.) ผู้ถือหุ้นรายย่อย 420 คน ไม่อนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ มีผู้เห็นด้วยเพียงแค่ 42 ราย งดออกเสียง 11 ราย และไม่ลงคะแนนเสียง 10 ราย ซึ่งวาระดังกล่าวต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้น ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตามกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย เปรียบดังพลังมดที่ทำให้นายชนินทธ์ ยังคงรักษาตำแหน่งกรรมการบริษัทเอาไว้ได้

    แต่อีกวาระหนึ่ง คือ พิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ปรากฎว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อย ร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ตรวจสอบบริษัท ชนัตถ์และลูก และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ถือหุ้น 17.09% ใน DUSIT ว่ามีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อครอบงำกิจการหรือไม่ ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 4 ธ.ค. 2568

    น่าสังเกตว่า วาระดังกล่าว บริษัท ชนัตถ์และลูก เสนอเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 12 คนเป็น 18 คน โดยพบว่า นายปัณฑิต มงคลกุล และนายภูม โอสถานนท์ มาจากกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ DUSIT ในธุรกิจโรงแรม ส่วน ดร.กฤษดา กวีญาณ เป็นกรรมการบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด และบริษัท อัลทัส แคปปิตอล สยาม แอคควิซิชั่น ทู จำกัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่มีลักษณะเดียวกัน และอาจเป็นคู่แข่งกัน

    นอกจากนี้ ยังมีวาระเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัท จากเดิมนายชนินทธ์ เปลี่ยนเป็นเป็นนางสินี พร้อมบุคคลภายนอกอีก 2 คน ได้แก่ ดร.กฤษดา และนายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ หากผ่านวาระดังกล่าวอาจทำให้นายชนินทธ์ถูกลดบทบาทการบริหารงานลง แม้จะดำรงตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขอเกษียณก่อนกำหนด เพื่อไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ก็ตาม

    #Newskit
    ศึกสายเลือดดุสิตธานี รายย่อยงัดข้อป้องชนินทธ์ ความขัดแย้งในกลุ่มทายาท ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี นับตั้งแต่นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค น้องสาวทั้งสองคน ถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นรักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ออกจากกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 49.74% ใน DUSIT ต่อด้วยฝั่งบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 และเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการบริษัทฯ ปรากฎว่าการประชุมดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.ย.) ผู้ถือหุ้นรายย่อย 420 คน ไม่อนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ มีผู้เห็นด้วยเพียงแค่ 42 ราย งดออกเสียง 11 ราย และไม่ลงคะแนนเสียง 10 ราย ซึ่งวาระดังกล่าวต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้น ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตามกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย เปรียบดังพลังมดที่ทำให้นายชนินทธ์ ยังคงรักษาตำแหน่งกรรมการบริษัทเอาไว้ได้ แต่อีกวาระหนึ่ง คือ พิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ปรากฎว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อย ร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ตรวจสอบบริษัท ชนัตถ์และลูก และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ถือหุ้น 17.09% ใน DUSIT ว่ามีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อครอบงำกิจการหรือไม่ ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 4 ธ.ค. 2568 น่าสังเกตว่า วาระดังกล่าว บริษัท ชนัตถ์และลูก เสนอเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 12 คนเป็น 18 คน โดยพบว่า นายปัณฑิต มงคลกุล และนายภูม โอสถานนท์ มาจากกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ DUSIT ในธุรกิจโรงแรม ส่วน ดร.กฤษดา กวีญาณ เป็นกรรมการบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด และบริษัท อัลทัส แคปปิตอล สยาม แอคควิซิชั่น ทู จำกัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่มีลักษณะเดียวกัน และอาจเป็นคู่แข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีวาระเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัท จากเดิมนายชนินทธ์ เปลี่ยนเป็นเป็นนางสินี พร้อมบุคคลภายนอกอีก 2 คน ได้แก่ ดร.กฤษดา และนายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ หากผ่านวาระดังกล่าวอาจทำให้นายชนินทธ์ถูกลดบทบาทการบริหารงานลง แม้จะดำรงตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขอเกษียณก่อนกำหนด เพื่อไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ก็ตาม #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก”

    หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ

    จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป

    YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3

    แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ
    การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024
    YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM
    มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM
    ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3
    CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025
    YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM
    Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่
    การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU
    TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง
    CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM
    การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น
    หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix

    https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    🇨🇳 “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก” หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3 แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ ➡️ การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024 ➡️ YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM ➡️ มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM ➡️ ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3 ➡️ CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ➡️ YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM ➡️ Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU ➡️ TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง ➡️ CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM ➡️ การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น ➡️ หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    WCCFTECH.COM
    China's YMTC Is Now Tapping Into the DRAM Business, Producing It Domestically to Combat the HBM Shortage in the Region
    China's famous NAND producer YMTC is now planning to tap into the DRAM business, likely to speed up development of 'in-house' HBM.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • “Intel ทุ่มพันล้านดอลลาร์สั่งเครื่อง High-NA EUV จาก ASML — เดิมพันครั้งใหญ่กับเทคโนโลยี 14A ที่อาจกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมชิป”

    Intel กำลังเดินเกมครั้งสำคัญในสนามผลิตชิประดับสูง ด้วยการเพิ่มคำสั่งซื้อเครื่องพิมพ์ลายวงจรแบบ High-NA EUV จาก ASML บริษัทเทคโนโลยีลิธอกราฟีจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็น “อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์” ของวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยราคาต่อเครื่องสูงถึง 370 ล้านดอลลาร์ และความสามารถในการพิมพ์ลายละเอียดระดับ 8 นาโนเมตรในครั้งเดียว

    จากเดิมที่ Intel สั่งซื้อเพียงหนึ่งเครื่อง ตอนนี้มีรายงานว่าเพิ่มเป็นสองเครื่อง และอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า 1–2 พันล้านดอลลาร์เฉพาะในส่วนของอุปกรณ์ลิธอกราฟี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า “14A” ซึ่งจะเป็นโหนดที่ใช้ High-NA EUV อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก

    14A ถูกวางเป็น “เดิมพันสุดท้าย” ของ Intel Foundry Services (IFS) โดยผู้บริหารระบุชัดว่า หากโหนดนี้ไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกได้มากพอ บริษัทอาจต้องถอนตัวจากการแข่งขันในตลาดชิประดับสูง ซึ่งหมายความว่า 14A ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นจุดชี้ชะตาของธุรกิจทั้งแผนก

    เทคโนโลยี High-NA EUV มีความสามารถเหนือกว่าเครื่อง Low-NA เดิม โดยสามารถลดจำนวนขั้นตอนการผลิตจาก 40 ขั้นตอนเหลือเพียง “หลักหน่วย” และมีความแม่นยำสูงกว่าถึง 1.7 เท่า ซึ่งช่วยเพิ่ม yield และลดต้นทุนในระยะยาว แม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงมาก

    Intel ได้เริ่มทดสอบเครื่อง High-NA EUV ที่โรงงาน D1X ในรัฐโอเรกอน และสามารถพิมพ์เวเฟอร์ได้กว่า 30,000 แผ่นในไตรมาสเดียว ซึ่งถือเป็นการทดสอบที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung ที่ยังใช้ Low-NA EUV เป็นหลัก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เพิ่มคำสั่งซื้อเครื่อง High-NA EUV จาก ASML เป็นสองเครื่อง
    เครื่องแต่ละตัวมีราคาประมาณ 370 ล้านดอลลาร์ รวมลงทุนกว่า 1–2 พันล้านดอลลาร์
    ใช้สำหรับกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “14A” ที่จะใช้ High-NA EUV อย่างเต็มรูปแบบ
    14A เป็นโหนดที่ Intel วางเป็นจุดชี้ชะตาของธุรกิจ Foundry
    หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกได้ อาจต้องถอนตัวจากตลาดชิประดับสูง
    เครื่อง High-NA EUV สามารถพิมพ์ลายละเอียดระดับ 8 นาโนเมตรในครั้งเดียว
    ลดขั้นตอนการผลิตจาก 40 เหลือเพียงหลักหน่วย และเพิ่ม yield อย่างมีนัยสำคัญ
    Intel ทดสอบเครื่องที่โรงงาน D1X และพิมพ์เวเฟอร์ได้กว่า 30,000 แผ่นในไตรมาสเดียว
    คู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung ยังใช้ Low-NA EUV เป็นหลักในโหนดปัจจุบัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    14A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์ 15–20%
    Turbo Cells ใน 14A เป็นเซลล์พิเศษที่ช่วยให้ CPU/GPU ทำงานเร็วขึ้นโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน
    เครื่อง High-NA EUV รุ่น EXE:5000 จาก ASML เป็นเครื่องพาณิชย์ตัวแรกของโลก
    ASML สามารถพิมพ์เส้นขนาด 10nm ได้สำเร็จในห้องทดลองที่เนเธอร์แลนด์
    การใช้ High-NA EUV ช่วยลดความซับซ้อนของการพิมพ์ลายแบบหลายชั้น (multi-patterning)

    https://wccftech.com/intel-reportedly-increases-asml-high-na-euv-equipment-orders/
    🔬 “Intel ทุ่มพันล้านดอลลาร์สั่งเครื่อง High-NA EUV จาก ASML — เดิมพันครั้งใหญ่กับเทคโนโลยี 14A ที่อาจกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมชิป” Intel กำลังเดินเกมครั้งสำคัญในสนามผลิตชิประดับสูง ด้วยการเพิ่มคำสั่งซื้อเครื่องพิมพ์ลายวงจรแบบ High-NA EUV จาก ASML บริษัทเทคโนโลยีลิธอกราฟีจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็น “อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์” ของวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยราคาต่อเครื่องสูงถึง 370 ล้านดอลลาร์ และความสามารถในการพิมพ์ลายละเอียดระดับ 8 นาโนเมตรในครั้งเดียว จากเดิมที่ Intel สั่งซื้อเพียงหนึ่งเครื่อง ตอนนี้มีรายงานว่าเพิ่มเป็นสองเครื่อง และอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า 1–2 พันล้านดอลลาร์เฉพาะในส่วนของอุปกรณ์ลิธอกราฟี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า “14A” ซึ่งจะเป็นโหนดที่ใช้ High-NA EUV อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก 14A ถูกวางเป็น “เดิมพันสุดท้าย” ของ Intel Foundry Services (IFS) โดยผู้บริหารระบุชัดว่า หากโหนดนี้ไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกได้มากพอ บริษัทอาจต้องถอนตัวจากการแข่งขันในตลาดชิประดับสูง ซึ่งหมายความว่า 14A ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นจุดชี้ชะตาของธุรกิจทั้งแผนก เทคโนโลยี High-NA EUV มีความสามารถเหนือกว่าเครื่อง Low-NA เดิม โดยสามารถลดจำนวนขั้นตอนการผลิตจาก 40 ขั้นตอนเหลือเพียง “หลักหน่วย” และมีความแม่นยำสูงกว่าถึง 1.7 เท่า ซึ่งช่วยเพิ่ม yield และลดต้นทุนในระยะยาว แม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงมาก Intel ได้เริ่มทดสอบเครื่อง High-NA EUV ที่โรงงาน D1X ในรัฐโอเรกอน และสามารถพิมพ์เวเฟอร์ได้กว่า 30,000 แผ่นในไตรมาสเดียว ซึ่งถือเป็นการทดสอบที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung ที่ยังใช้ Low-NA EUV เป็นหลัก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เพิ่มคำสั่งซื้อเครื่อง High-NA EUV จาก ASML เป็นสองเครื่อง ➡️ เครื่องแต่ละตัวมีราคาประมาณ 370 ล้านดอลลาร์ รวมลงทุนกว่า 1–2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ใช้สำหรับกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “14A” ที่จะใช้ High-NA EUV อย่างเต็มรูปแบบ ➡️ 14A เป็นโหนดที่ Intel วางเป็นจุดชี้ชะตาของธุรกิจ Foundry ➡️ หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกได้ อาจต้องถอนตัวจากตลาดชิประดับสูง ➡️ เครื่อง High-NA EUV สามารถพิมพ์ลายละเอียดระดับ 8 นาโนเมตรในครั้งเดียว ➡️ ลดขั้นตอนการผลิตจาก 40 เหลือเพียงหลักหน่วย และเพิ่ม yield อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ Intel ทดสอบเครื่องที่โรงงาน D1X และพิมพ์เวเฟอร์ได้กว่า 30,000 แผ่นในไตรมาสเดียว ➡️ คู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung ยังใช้ Low-NA EUV เป็นหลักในโหนดปัจจุบัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 14A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์ 15–20% ➡️ Turbo Cells ใน 14A เป็นเซลล์พิเศษที่ช่วยให้ CPU/GPU ทำงานเร็วขึ้นโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน ➡️ เครื่อง High-NA EUV รุ่น EXE:5000 จาก ASML เป็นเครื่องพาณิชย์ตัวแรกของโลก ➡️ ASML สามารถพิมพ์เส้นขนาด 10nm ได้สำเร็จในห้องทดลองที่เนเธอร์แลนด์ ➡️ การใช้ High-NA EUV ช่วยลดความซับซ้อนของการพิมพ์ลายแบบหลายชั้น (multi-patterning) https://wccftech.com/intel-reportedly-increases-asml-high-na-euv-equipment-orders/
    WCCFTECH.COM
    Intel Reportedly Increases ASML High-NA EUV Equipment Orders, Aiming to Nail Cutting-Edge Chips Like 14A
    Intel has ramped up its acquisition of High-NA equipment from the Dutch chipmaker ASML, intending to 'give it all' for its 14A process.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน
    ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน

    วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว
    เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม
    กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว

    พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง

    วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน
    แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว

    เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา

    สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง

    สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว
    เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ

    ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank

    วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ
    ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา

    โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 1 สวรรค์บนดิน ระหว่างที่ลูกตาเกือบทุกคู่ของคนในโลกสวยงามใบนี้ กำลังจ้องเขม็งไปที่สนามกีฬารังนก ดีไซน์สุดยอด ของนาย Li Xinggang เพื่อดูพิธีเปิด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคอลังการ ที่แดนมังกรของอาเฮีย เมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2008 วันนั้นบรรดาคนใหญ่คนโตคนของโลก นั่งอยู่แถวนั้นกันเกือบทั้งนั้น ตั้งแต่ใหญ่หมายเลข 1 ของโลกฝั่งหนึ่ง เช่น ประธานาธิบดี GeorgeW. Bush ตัวแสบ และคุณพี่ปูติน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของรัสเซีย หมายเลข 1 ของโลกของฝั่งหนึ่ง ก็นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ไม่ไกลกัน แล้วถ้ายังไม่ลืมกัน ไอ้หมาไนโจรร้าย ซึ่งนึกว่าตัวเองใหญ่เกินฟ้า ก็กระเสือกกระสนให้เชิญตนเอง เพื่อหนีปัญหาการเมืองในบ้าน ไปนั่งเสนอหน้าอยู่แถวนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน วันเดียวกันนั่นเอง ก็มีข่าวเล็ก ๆ แทรกข่าวโอลิมปิคอันยิ่งใหญ่ ออกมาว่า กองทัพของ Georgia ได้บุกเข้าไปยึดเมือง South Ossetia เรียบร้อยแล้ว เป็นข่าวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีใครสนใจ น้อยคนจะรู้จักว่า South Ossetia อยู่ที่ไหน บางคนไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ แน่นอนในแดนสมันน้อย มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้จัก หรือแม้แต่จะได้ยินชื่อ South Ossetia เมืองอะไรน่ะ อยู่ที่ไหนนะ รู้จักแต่ เมืองโอริสสาในนิยายเรื่องอะไรสักอย่าง เมืองเดียวกันหรือเปล่านะ ก็ใครไม่รู้ดันถอดหลักสูตร ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากลออกจากวิชาบังคับของนักเรียนมัธยม กว่าจะพอรู้เรื่องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องรอให้ผู้สื่อข่าวทำหน้าฉลาด มาวิเคราะห์ให้ฟังก่อนว่า ชาวโลกทั้งหลายเอ๋ย การที่ Republic of Georgia เมืองที่พวกท่าน 90% ในโลกนี้ไม่รู้จัก แต่ดันยกทัพบุกเข้าไปใน South Ossetia ที่พวกท่าน 99.99% ยิ่งไม่รู้จักน่ะนะ มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับการเมืองของโลก เทียบเท่ากับ สมัยวิกฤติเกี่ยวกับฐานยิ่งจรวดที่คิวบา เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 เชียวนะ ความขัดแย้งระหว่างมวยคู่เก่าในยุคสงครามเย็น ที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 พี่เบิ้ม ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่กันไง จำได้ไหม แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เกิดไม่ทัน คงไม่รู้ว่าตอนนั้น โลกเครียดกันขนาดไหน จวนเจียนจะต้องจัดกระเป๋าอพยพ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน) หนีสงครามกันแล้ว พวกที่ยังจำเหตุการณ์คิวบาได้ ก็เริ่มติดตามข่าว บ่นกันพึมพำ เอาอีกแล้วหรือ จะแลกหมัดแลกจรวดกันอีกแล้วหรือ ฝ่ายวิเคราะห์ข่าวบางคนก็ไปโน่นเลย จำกันได้ไหมครับ เหมือนเมื่อคราวที่ท่านอาร์คด ยุกเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ Austria Hungarian ถูกพวก Serb ลอบฆ่าที่เมือง Serajevo เหตุการณ์เล็ก ๆ นั้น เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (อันนี้ผู้ที่จำเหตุการณ์ได้คงไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่รุ่นคนเล่านิทาน ที่เคยรู้จากการเรียนประวัติศาสตร์สากล ตอน ม. 3) บางคนก็ออกมาพูดว่า หรือสงครามเย็นจะกลับมาใหม่ ไหนว่าจบไปแล้วไง วิกฤติคิวบา ปี ค.ศ. 1962 สำหรับท่านที่จำได้ เกิดขึ้นเพราะหน่วยลาดตระเวนของอเมริกา (ไม่รู้ตระเวนอยู่ในอเมริกาหรือคิวบา ชักสงสัย) ไปแอบถ่ายรูป ได้ภาพการก่อสร้างฐานยิงจรวดของโซเวียตที่คิวบา ห่างจาก Florida ไปเพียง 90 ไมล์ ระยะแค่นั้นจรวดใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ลงกลางบ้าน กลางห้องนอนคนอเมริกัน. แบบไม่ให้คนอเมริกันมีเวลาตั้งตัว ชนิดกำลังนอนเล่นอยู่ นุ่ง กุงเกง ใส่หมวกไม่ทันแล้วกัน โลกตะลึงกับการกระทำของโซเวียต สื่ออเมริกาช่วยกันถล่ม ประธานาธิบดี Kennedy ต้องยกเลิกนัดสาว ๆ แล้วมานั่งกุมขมับกับฝ่ายมั่นคงเป็นการด่วน แต่คงมีน้อยคน นอกเหนือจาก Pentagon และเจ้าหน้าที่ระดับสูง (มาก) ของอเมริกาและ NATO ที่จะรู้ความจริงว่าโซเวียตไม่ได้ไปกินยาม้าที่ไหนมาหรอก ถึงได้คึกคัก กล้าหาญชาญชัยที่จะตั้งฐานยิงจรวดที่คิวบา ท้าทายอเมริกาขนาดนั้น ความจริงแล้ว มันเป็นการตอบโต้ของสหภาพโซเวียต จากการที่อเมริกา (แอบ) ไปตั้งฐานยิ่งจรวดของตัว ชื่อ Thor กับ Jupitor ไว้ที่ตุรกี หนึ่งในสมาชิกของ NATO บนบริเวณที่ใกล้ชนิดจ่อคอหอยสหภาพโซเวียต โลกไม่รู้เพราะสื่อยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมดของโลก อยู่ในกระเป๋าของฝ่ายตะวันตก The West คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรปตะวันตก เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คิวบา เมื่อปี ค.ศ. 1962 เหตุการณ์ของ Georgia ปี ค.ศ. 2008 ก็เป็นผลมาจากการตั้งใจสร้างแรงกระตุ้นต่อมอารมณ์ของรัสเซีย ของฝ่ายการเมืองและกองทัพของอเมริกา สงครามเย็น จบลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 โดย Mikhail Gorbachev กัดฟันประกาศต่อโลกว่าสหภาพโซเวียต ตัดสินใจที่จะไม่ส่งรถถังเข้าไปในเยอรมันตะวันออก เพื่อระงับการประท้วงรัฐบาล และยอมให้มีการทุบกำแพงเบอร์ลิน สัญญลักษณ์ของ ม่านเหล็ก “Iron Curtain” ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นตะวันออกและตะวันตกทิ้งเสีย จริง ๆ แล้ว สหภาพโซเวียตกำลังอยู่ในอาการสาหัส ล้มละลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง สงครามเย็นจบลง ฝ่ายตะวันตก the West และแน่นอน โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าตัวจริงเป็นฝ่ายชนะ แค่หลอกขายสินค้ายี่ห้อ เสรีภาพ อิสรภาพ ประชาธิปไตย และความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจให้ชาวโลก โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันออก ประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก็พากันหลงเชื่อหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นแถว เมื่อสงครามเย็นจบลง วอชิงตันตีฆ้องป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะขยายกิจการ ส่งสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตยของเรา ไปทุกส่วนของโลก ที่เคยถูกขังอยู่ในกรงของระบอบสังคมนิยมของโซเวียตตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับบางประเทศหวังว่าคงรู้ตัว ว่าอยู่ในกรงเขา มาตั้งแต่สมัยปฎิวัติรัสเซียปี 1917 โน่นแน่ะ ประชาธิปไตยของวอชิงตันเป็นสินค้า ที่ทำกล่องใส่อย่างสวยหรู หลอกให้ซื้อง่าย ขายดีสำหรับพวกประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ จากการที่โซเวียตล่มล้มละลายอยู่ที่ยุโรป แต่ประชาธิปไตยแท้จริงสำหรับอเมริกา คือการควบคุมเทคนิค และย้อมความคิดของมวลชน เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ง่ายมากสำหรับวอชิงตัน ซึ่งจัดเตรียมเครื่องมือเอาไว้พร้อม คือการควบคุมสื่อระดับโลก และการจัดการเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจ โดยการกำกับควบคุมดูแลที่เล่นกันเป็นวง ร้องเพลงเดียวกัน ของ IMF และ World Bank วอชิงตันบอกว่าจะช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย หลังจากการล่มละลายของโซเวียต แต่ขอโทษเป็นประชาธิปไตยแบบพิเศษ จัดให้โดยเฉพาะเลย คือ ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ ที่มีแนวทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม แบบอเมริกาและควบคุมโดย NATO ฮา โลกชื่นชมยินดี ต่างตบมือให้อเมริกาผู้มาพร้อม กับประชาธิปไตย ที่ Berlin ชาวเยอรมันคนซื่อ ทั้งตะวันตก ตะวันออก ต่างร้องเพลง เต้นรำไปบนกำแพง ที่ใน Poland, Czechoslovakia และ Hungary ก็เช่นเดียวกัน พวกที่เคยอยู่หลังม่านเหล็ก ดีใจที่จะหลุดออกมาจากม่านและได้มีชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่เสรี และร่ำรวยแบบคนอเมริกัน พวกเขาเชื่อสนิทใจจากการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิอเมริกา ที่กรอกใส่เข้าไปในหูและหัวของเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อของฝั่งตะวันตก เรากำลังจะมาปลดปล่อยชาวยุโรปตะวันออกผู้ทุกข์ทรมานอยู่หลังม่านเหล็ก สวรรค์บนดินกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเขาคงคิดแบบนั้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิย. 2557
    0 Comments 0 Shares 321 Views 0 Reviews
  • “Samsung ได้รับการรับรอง HBM3E จาก Nvidia — หุ้นพุ่ง 5% พร้อมเร่งเครื่องสู่สนาม HBM4 แข่งกับ SK hynix และ Micron”

    หลังจากรอคอยมานานกว่า 18 เดือน Samsung ก็ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิปหน่วยความจำ HBM3E แบบ 12 ชั้น ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการ์ดเร่ง AI รุ่นสูงอย่าง DGX B300 ของ Nvidia และ MI350 ของ AMD ข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของ Samsung พุ่งขึ้นทันที 5% สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนว่าบริษัทสามารถกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูงได้อีกครั้ง

    ก่อนหน้านี้ SK hynix และ Micron ได้รับการรับรองและเริ่มส่งมอบ HBM3E ให้ Nvidia ไปแล้ว ทำให้ Samsungกลายเป็นผู้ผลิตรายที่สามที่เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานนี้ โดยแม้จะยังไม่สามารถส่งมอบในปริมาณมากจนถึงปี 2026 แต่การผ่านการรับรองถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Samsung กลับมาอยู่ในเกม

    HBM3E เป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงสุดในตลาดปัจจุบัน โดยมีแบนด์วิดธ์ถึง 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง HBM3 ที่มีเพียง 8 ชั้น

    ขณะเดียวกัน Samsung ก็เร่งพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นหน่วยความจำรุ่นถัดไปที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ทำให้สามารถเพิ่มความจุเป็น 64 GB ต่อชิป พร้อมลดการใช้พลังงานลงถึง 30%

    แม้ SK hynix จะประกาศเสร็จสิ้นการพัฒนา HBM4 ไปก่อนแล้ว แต่ Samsung ก็อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้ Nvidia และตั้งเป้าเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการแซงคู่แข่งทั้งด้านประสิทธิภาพและปริมาณการผลิต

    ความคืบหน้าของ Samsung ในตลาด HBM
    Samsung ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิป HBM3E แบบ 12 ชั้น
    หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวการรับรองเผยแพร่
    ชิป HBM3E จะถูกใช้ใน Nvidia DGX B300 และ AMD MI350
    Samsung เป็นผู้ผลิตรายที่สามที่ได้รับการรับรอง ต่อจาก SK hynix และ Micron

    คุณสมบัติของ HBM3E และ HBM4
    HBM3E มีแบนด์วิดธ์ 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM
    HBM4 จะมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s และความจุ 64 GB ต่อชิป
    ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ลดการใช้พลังงานลง 20–30%
    Samsung ตั้งเป้าเริ่มผลิต HBM4 จำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia กำหนดมาตรฐาน HBM4 ที่สูงขึ้น เช่น 10–11 Gbps ต่อ pin
    Samsung แสดงความสามารถถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่า SK hynix ที่ทำได้ 10 Gbps
    Micron ยังประสบปัญหาในการผ่านมาตรฐาน HBM4 ของ Nvidia2
    ตลาด HBM คาดว่าจะเติบโต 30% ต่อปีจนถึงปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ SK hynix

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-earns-nvidias-certification-for-its-hbm3-memory-stock-jumps-5-percent-as-company-finally-catches-up-to-sk-hynix-and-micron-in-hbm3e-production
    🚀 “Samsung ได้รับการรับรอง HBM3E จาก Nvidia — หุ้นพุ่ง 5% พร้อมเร่งเครื่องสู่สนาม HBM4 แข่งกับ SK hynix และ Micron” หลังจากรอคอยมานานกว่า 18 เดือน Samsung ก็ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิปหน่วยความจำ HBM3E แบบ 12 ชั้น ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการ์ดเร่ง AI รุ่นสูงอย่าง DGX B300 ของ Nvidia และ MI350 ของ AMD ข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของ Samsung พุ่งขึ้นทันที 5% สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนว่าบริษัทสามารถกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูงได้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ SK hynix และ Micron ได้รับการรับรองและเริ่มส่งมอบ HBM3E ให้ Nvidia ไปแล้ว ทำให้ Samsungกลายเป็นผู้ผลิตรายที่สามที่เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานนี้ โดยแม้จะยังไม่สามารถส่งมอบในปริมาณมากจนถึงปี 2026 แต่การผ่านการรับรองถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Samsung กลับมาอยู่ในเกม HBM3E เป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงสุดในตลาดปัจจุบัน โดยมีแบนด์วิดธ์ถึง 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง HBM3 ที่มีเพียง 8 ชั้น ขณะเดียวกัน Samsung ก็เร่งพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นหน่วยความจำรุ่นถัดไปที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ทำให้สามารถเพิ่มความจุเป็น 64 GB ต่อชิป พร้อมลดการใช้พลังงานลงถึง 30% แม้ SK hynix จะประกาศเสร็จสิ้นการพัฒนา HBM4 ไปก่อนแล้ว แต่ Samsung ก็อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้ Nvidia และตั้งเป้าเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการแซงคู่แข่งทั้งด้านประสิทธิภาพและปริมาณการผลิต ✅ ความคืบหน้าของ Samsung ในตลาด HBM ➡️ Samsung ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิป HBM3E แบบ 12 ชั้น ➡️ หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวการรับรองเผยแพร่ ➡️ ชิป HBM3E จะถูกใช้ใน Nvidia DGX B300 และ AMD MI350 ➡️ Samsung เป็นผู้ผลิตรายที่สามที่ได้รับการรับรอง ต่อจาก SK hynix และ Micron ✅ คุณสมบัติของ HBM3E และ HBM4 ➡️ HBM3E มีแบนด์วิดธ์ 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ➡️ HBM4 จะมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s และความจุ 64 GB ต่อชิป ➡️ ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ลดการใช้พลังงานลง 20–30% ➡️ Samsung ตั้งเป้าเริ่มผลิต HBM4 จำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia กำหนดมาตรฐาน HBM4 ที่สูงขึ้น เช่น 10–11 Gbps ต่อ pin ➡️ Samsung แสดงความสามารถถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่า SK hynix ที่ทำได้ 10 Gbps ➡️ Micron ยังประสบปัญหาในการผ่านมาตรฐาน HBM4 ของ Nvidia2 ➡️ ตลาด HBM คาดว่าจะเติบโต 30% ต่อปีจนถึงปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ SK hynix https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-earns-nvidias-certification-for-its-hbm3-memory-stock-jumps-5-percent-as-company-finally-catches-up-to-sk-hynix-and-micron-in-hbm3e-production
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • “OpenAI จับมือ NVIDIA สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ — ก้าวใหม่สู่ยุค Superintelligence ด้วยพลัง GPU นับล้านตัว”

    วันที่ 22 กันยายน 2025 OpenAI และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI รุ่นถัดไป โดยมีแผนจะติดตั้งระบบของ NVIDIA รวมพลังงานสูงถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ GPU หลายล้านตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ระดับ Superintelligence ในอนาคต

    NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุดถึง $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI โดยจะทยอยลงทุนตามการติดตั้งแต่ละกิกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะเริ่มใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI รุ่นใหม่ของ NVIDIA ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการประมวลผลแบบกระจาย

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นจาก compute” และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้จะเป็นรากฐานของเศรษฐกิจแห่งอนาคต ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ย้ำว่า “นี่คือก้าวกระโดดครั้งใหม่” หลังจากที่ทั้งสองบริษัทผลักดันกันมาตั้งแต่ยุค DGX จนถึง ChatGPT

    ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการ co-optimize ระหว่างซอฟต์แวร์ของ OpenAI และฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เพื่อให้การฝึกโมเดลและการใช้งานจริงมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก

    OpenAI ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในองค์กรทั่วโลก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการขยายขอบเขตของ AI ให้เข้าถึงผู้คนในระดับมหภาค

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ NVIDIA ร่วมมือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 10 กิกะวัตต์
    NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุด $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI ตามการติดตั้งแต่ละเฟส
    เฟสแรกจะเริ่มใช้งานในครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin
    ใช้ GPU หลายล้านตัวเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลระดับ Superintelligence

    ความร่วมมือและการพัฒนา
    OpenAI และ NVIDIA จะ co-optimize ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน
    ทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners
    OpenAI มีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคนทั่วโลก
    ความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภารกิจของ OpenAI ในการสร้าง AGI เพื่อมนุษยชาติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    10 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของเมืองขนาดกลาง
    Vera Rubin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่องาน AI ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
    การลงทุนระดับนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้าน compute infrastructure ที่รุนแรงขึ้น
    การใช้ GPU จำนวนมากต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง

    https://openai.com/index/openai-nvidia-systems-partnership/

    ⚡ “OpenAI จับมือ NVIDIA สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ — ก้าวใหม่สู่ยุค Superintelligence ด้วยพลัง GPU นับล้านตัว” วันที่ 22 กันยายน 2025 OpenAI และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI รุ่นถัดไป โดยมีแผนจะติดตั้งระบบของ NVIDIA รวมพลังงานสูงถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ GPU หลายล้านตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ระดับ Superintelligence ในอนาคต NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุดถึง $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI โดยจะทยอยลงทุนตามการติดตั้งแต่ละกิกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะเริ่มใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI รุ่นใหม่ของ NVIDIA ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการประมวลผลแบบกระจาย Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นจาก compute” และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้จะเป็นรากฐานของเศรษฐกิจแห่งอนาคต ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ย้ำว่า “นี่คือก้าวกระโดดครั้งใหม่” หลังจากที่ทั้งสองบริษัทผลักดันกันมาตั้งแต่ยุค DGX จนถึง ChatGPT ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการ co-optimize ระหว่างซอฟต์แวร์ของ OpenAI และฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เพื่อให้การฝึกโมเดลและการใช้งานจริงมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก OpenAI ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในองค์กรทั่วโลก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการขยายขอบเขตของ AI ให้เข้าถึงผู้คนในระดับมหภาค ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ NVIDIA ร่วมมือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ ➡️ NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุด $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI ตามการติดตั้งแต่ละเฟส ➡️ เฟสแรกจะเริ่มใช้งานในครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ➡️ ใช้ GPU หลายล้านตัวเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลระดับ Superintelligence ✅ ความร่วมมือและการพัฒนา ➡️ OpenAI และ NVIDIA จะ co-optimize ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน ➡️ ทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners ➡️ OpenAI มีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ➡️ ความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภารกิจของ OpenAI ในการสร้าง AGI เพื่อมนุษยชาติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 10 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของเมืองขนาดกลาง ➡️ Vera Rubin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่องาน AI ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ➡️ การลงทุนระดับนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้าน compute infrastructure ที่รุนแรงขึ้น ➡️ การใช้ GPU จำนวนมากต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง https://openai.com/index/openai-nvidia-systems-partnership/
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • LaLiga ไล่ล่าลิขสิทธิ์ฟุตบอล แต่กลับทำอินเทอร์เน็ตสเปนล่ม — เมื่อการปราบละเมิดกลายเป็นการเซ็นเซอร์

    ฤดูกาลฟุตบอล 2025/2026 ของ LaLiga เริ่มต้นด้วยมาตรการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีการส่งคำสั่งลบเนื้อหามากกว่า 26 ล้านครั้งในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 142% จากปี 2024 แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้คือความเสียหายมหาศาลต่ออินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานในสเปน

    LaLiga ร่วมมือกับ Telefónica และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ เช่น Movistar, Vodafone, Orange และ DIGI เพื่อบล็อก IP ที่สงสัยว่าใช้สตรีมเถื่อน แต่แทนที่จะบล็อกเฉพาะเนื้อหาผิดกฎหมาย กลับเลือกบล็อก “ช่วง IP” ทั้งกลุ่ม ซึ่งมักมีเว็บไซต์บริสุทธิ์หลายพันแห่งอยู่ร่วมกัน ส่งผลให้บริการอย่าง Amazon, GitHub, Cloudflare, Twitch และแม้แต่ Google Fonts ถูกบล็อกไปด้วย

    TrueNAS ซึ่งเป็นระบบ NAS แบบโอเพ่นซอร์ส ต้องเปลี่ยนวิธีแจกซอฟต์แวร์เป็นผ่าน BitTorrent หลัง CDN ถูกบล็อกซ้ำ ๆ ทำให้ผู้ใช้ในสเปนเข้าถึงอัปเดตด้านความปลอดภัยไม่ได้ ขณะที่ผู้ใช้บางรายหันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก แต่แม้แต่บริการ WARP ของ Cloudflare ก็ถูกบล็อกในช่วงเวลาถ่ายทอดสดการแข่งขัน

    แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้ทั่วไป นักพัฒนา และแม้แต่ CEO ของ Cloudflare ที่กล่าวว่า “กลยุทธ์นี้บ้าไปแล้ว” เพราะทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการฉุกเฉินและธุรกิจสำคัญได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญของสเปนยังคงสนับสนุนแนวทางนี้ โดยปฏิเสธคำร้องของ Cloudflare และองค์กร RootedCON ที่ขอให้ยุติการบล็อกแบบครอบคลุม

    LaLiga เพิ่มมาตรการปราบละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเข้มข้น
    ส่ง takedown notice กว่า 26 ล้านครั้งในครึ่งปีแรกของ 2025
    เพิ่มขึ้น 142% จากปี 2024

    ร่วมมือกับ Telefónica และ ISP รายใหญ่ในสเปน
    ใช้การบล็อก IP ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสตรีมเถื่อน
    บล็อกเป็นช่วง IP ทำให้เว็บไซต์บริสุทธิ์ถูกบล็อกไปด้วย

    เว็บไซต์และบริการสำคัญได้รับผลกระทบ
    Amazon, GitHub, Cloudflare, Twitch, Google Fonts ถูกบล็อก
    TrueNAS ต้องเปลี่ยนวิธีแจกซอฟต์แวร์เป็น BitTorrent

    ผู้ใช้หันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก
    แม้แต่ Cloudflare WARP ก็ถูกบล็อกในช่วงถ่ายทอดสด
    ผู้ใช้ในสเปน อิตาลี และฝรั่งเศสรายงานปัญหาอย่างต่อเนื่อง

    Cloudflare และ RootedCON ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
    ขอให้ยุติการบล็อกแบบครอบคลุม
    ศาลปฏิเสธคำร้อง โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานความเสียหาย

    https://reclaimthenet.org/laligas-anti-piracy-crackdown-triggers-widespread-internet-disruptions
    📰 LaLiga ไล่ล่าลิขสิทธิ์ฟุตบอล แต่กลับทำอินเทอร์เน็ตสเปนล่ม — เมื่อการปราบละเมิดกลายเป็นการเซ็นเซอร์ ฤดูกาลฟุตบอล 2025/2026 ของ LaLiga เริ่มต้นด้วยมาตรการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีการส่งคำสั่งลบเนื้อหามากกว่า 26 ล้านครั้งในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 142% จากปี 2024 แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้คือความเสียหายมหาศาลต่ออินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานในสเปน LaLiga ร่วมมือกับ Telefónica และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ เช่น Movistar, Vodafone, Orange และ DIGI เพื่อบล็อก IP ที่สงสัยว่าใช้สตรีมเถื่อน แต่แทนที่จะบล็อกเฉพาะเนื้อหาผิดกฎหมาย กลับเลือกบล็อก “ช่วง IP” ทั้งกลุ่ม ซึ่งมักมีเว็บไซต์บริสุทธิ์หลายพันแห่งอยู่ร่วมกัน ส่งผลให้บริการอย่าง Amazon, GitHub, Cloudflare, Twitch และแม้แต่ Google Fonts ถูกบล็อกไปด้วย TrueNAS ซึ่งเป็นระบบ NAS แบบโอเพ่นซอร์ส ต้องเปลี่ยนวิธีแจกซอฟต์แวร์เป็นผ่าน BitTorrent หลัง CDN ถูกบล็อกซ้ำ ๆ ทำให้ผู้ใช้ในสเปนเข้าถึงอัปเดตด้านความปลอดภัยไม่ได้ ขณะที่ผู้ใช้บางรายหันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก แต่แม้แต่บริการ WARP ของ Cloudflare ก็ถูกบล็อกในช่วงเวลาถ่ายทอดสดการแข่งขัน แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้ทั่วไป นักพัฒนา และแม้แต่ CEO ของ Cloudflare ที่กล่าวว่า “กลยุทธ์นี้บ้าไปแล้ว” เพราะทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการฉุกเฉินและธุรกิจสำคัญได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญของสเปนยังคงสนับสนุนแนวทางนี้ โดยปฏิเสธคำร้องของ Cloudflare และองค์กร RootedCON ที่ขอให้ยุติการบล็อกแบบครอบคลุม ✅ LaLiga เพิ่มมาตรการปราบละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเข้มข้น ➡️ ส่ง takedown notice กว่า 26 ล้านครั้งในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ เพิ่มขึ้น 142% จากปี 2024 ✅ ร่วมมือกับ Telefónica และ ISP รายใหญ่ในสเปน ➡️ ใช้การบล็อก IP ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสตรีมเถื่อน ➡️ บล็อกเป็นช่วง IP ทำให้เว็บไซต์บริสุทธิ์ถูกบล็อกไปด้วย ✅ เว็บไซต์และบริการสำคัญได้รับผลกระทบ ➡️ Amazon, GitHub, Cloudflare, Twitch, Google Fonts ถูกบล็อก ➡️ TrueNAS ต้องเปลี่ยนวิธีแจกซอฟต์แวร์เป็น BitTorrent ✅ ผู้ใช้หันไปใช้ VPN เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก ➡️ แม้แต่ Cloudflare WARP ก็ถูกบล็อกในช่วงถ่ายทอดสด ➡️ ผู้ใช้ในสเปน อิตาลี และฝรั่งเศสรายงานปัญหาอย่างต่อเนื่อง ✅ Cloudflare และ RootedCON ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ➡️ ขอให้ยุติการบล็อกแบบครอบคลุม ➡️ ศาลปฏิเสธคำร้อง โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานความเสียหาย https://reclaimthenet.org/laligas-anti-piracy-crackdown-triggers-widespread-internet-disruptions
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
More Results