• เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • ติดตามคุณสนธิมาตั้งแต่ต้น (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และเข้าร่วมเป็นคนหนึ่งของสมาชิก Thaitimes ด้วยใจที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่อาจเป็นอื่นได้ของคุณสนธิเพราะติดตามรายการ "สนธิทอล์ค" มาตลอด ทั้งนี้เพราะต้องการรับรู้ข่าวสารรวมทั้งข้อมูลในชีวิตแระจำวันที่แท้จริงและมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมไทย(ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้จะตรงคอนเซปที่ต้องการหรือไม่?)
    ติดตามคุณสนธิมาตั้งแต่ต้น (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และเข้าร่วมเป็นคนหนึ่งของสมาชิก Thaitimes ด้วยใจที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่อาจเป็นอื่นได้ของคุณสนธิเพราะติดตามรายการ "สนธิทอล์ค" มาตลอด ทั้งนี้เพราะต้องการรับรู้ข่าวสารรวมทั้งข้อมูลในชีวิตแระจำวันที่แท้จริงและมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมไทย(ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้จะตรงคอนเซปที่ต้องการหรือไม่?)
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
  • อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา
    เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป
    โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง
    การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน
    ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ
    แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น
    ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น
    คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป
    หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก
    สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้
    กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง
    จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก
    เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้)


    นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์

    ที่มา :
    Thai PBS
    Instagram : one31thailand
    The Animal Welfare Act (AWA) 1966
    The Animal Welfare Act 2006
    The American Humane Association
    พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้ กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้) นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์ ที่มา : Thai PBS Instagram : one31thailand The Animal Welfare Act (AWA) 1966 The Animal Welfare Act 2006 The American Humane Association พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    0 Comments 0 Shares 633 Views 0 Reviews
  • คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ
    อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด
    ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร
    ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม
    ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้
    ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง
    ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้
    ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย
    📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve
    📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ
    ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้
    📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron
    ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ)
    ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
    ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้
    📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน
    ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells
    ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon
    📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป
    ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว
    📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม
    ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต
    📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ
    ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve
    📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น
    📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา
    😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก
    ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ
    📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น
    📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง
    ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น
    📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย
    ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic
    📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก
    ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น
    📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง
    ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว
    ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
    📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้
    📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
    📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น
    📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน
    📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05)
    ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%.
    📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า
    การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ
    📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย
    📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที
    📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ
    ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท
    เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021
    Cr : Ramone Jira
    คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้ ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย 📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve 📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้ 📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ) ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้ 📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon 📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว 📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต 📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve 📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น 📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา 😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ 📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น 📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น 📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic 📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น 📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง 📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้ 📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง 📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น 📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน 📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%. 📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ 📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย 📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที 📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021 Cr : Ramone Jira
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า

    “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว !

    ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2

    แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย

    นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้

    เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ

    ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121

    การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้

    - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972)

    - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972)

    - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544)

    ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น

    ผิดทั้งหมด !

    เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว

    การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน

    แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ !

    ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้

    นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554

    นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด !

    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

    “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้

    อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ

    เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา

    แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย

    จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา !

    นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย

    โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน

    ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร

    ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ…

    “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้”

    การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก

    แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน

    พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U

    วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา

    MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี

    แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด

    หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง

    ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

    หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร

    ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ !

    ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน

    ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย

    แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982

    หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น

    เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ !

    หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA

    #Thaitimes
    อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว ! ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2 แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121 การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้ - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972) - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972) - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544) ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น ผิดทั้งหมด ! เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ ! ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้ นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด ! ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้ อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา ! นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ… “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้” การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ ! ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ ! หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้ ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้
    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
    Love
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 599 Views 0 Reviews
  • ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!!

    ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง

    เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน

    เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย
    “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว

    ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!! ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • ..เราถูกวางยาตลอดเวลา แม้แต่อากาศหายใจ มันยังขึ้นเครื่องบินพ่นพิษใส่เราอาจเสรี,แบบนาซ่าที่มาเยือนไทยเราล่าสุด.

    ..ทำไมจึงมีโลหะหนักอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา แม้กระทั่งในผลิตภัณฑ์ที่ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็ตาม

    โลหะหนักมักพบในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่คุณใช้ อากาศที่คุณหายใจ และอาหารที่คุณกิน โลหะเหล่านี้เป็นพิษ และสามารถสะสมขึ้นตามกาลเวลาและทำให้คุณป่วยได้

    การสะสมของโลหะหนักอาจทำให้การทำงานและการพัฒนาของสมองลดลง ความสามารถในการรับรู้ และส่งผลต่อความจำ นอกจากนี้ หากคุณมีอาการอ่อนล้า ปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หรือปัญหาต่อมไทรอยด์ อาจเป็นเพราะพิษของโลหะหนัก

    ข่าวดีก็คือ โปรโตคอลการดีท็อกซ์โลหะหนักบางวิธีได้ผลจริง และสามารถช่วยให้คุณรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และยอดเยี่ยมมากขึ้น

    หากคุณไม่เคยดีท็อกซ์แบบจริงจังมาก่อน และรู้สึกเฉื่อยชาและเชื่องช้า การล้างระบบของคุณจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น มีสมาธิ และเฉียบแหลมขึ้นอย่างแน่นอน
    ..เราถูกวางยาตลอดเวลา แม้แต่อากาศหายใจ มันยังขึ้นเครื่องบินพ่นพิษใส่เราอาจเสรี,แบบนาซ่าที่มาเยือนไทยเราล่าสุด. ..ทำไมจึงมีโลหะหนักอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา แม้กระทั่งในผลิตภัณฑ์ที่ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็ตาม โลหะหนักมักพบในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่คุณใช้ อากาศที่คุณหายใจ และอาหารที่คุณกิน โลหะเหล่านี้เป็นพิษ และสามารถสะสมขึ้นตามกาลเวลาและทำให้คุณป่วยได้ การสะสมของโลหะหนักอาจทำให้การทำงานและการพัฒนาของสมองลดลง ความสามารถในการรับรู้ และส่งผลต่อความจำ นอกจากนี้ หากคุณมีอาการอ่อนล้า ปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หรือปัญหาต่อมไทรอยด์ อาจเป็นเพราะพิษของโลหะหนัก ข่าวดีก็คือ โปรโตคอลการดีท็อกซ์โลหะหนักบางวิธีได้ผลจริง และสามารถช่วยให้คุณรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และยอดเยี่ยมมากขึ้น หากคุณไม่เคยดีท็อกซ์แบบจริงจังมาก่อน และรู้สึกเฉื่อยชาและเชื่องช้า การล้างระบบของคุณจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น มีสมาธิ และเฉียบแหลมขึ้นอย่างแน่นอน
    0 Comments 0 Shares 156 Views 27 0 Reviews
  • การใช้ความคิดเพื่อล้างความฟุ้งซ่าน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง โดยใช้ความคิดนั้นๆ เป็นอุบายเพื่อดึงสติของเราให้กลับมาที่ปัจจุบัน วิธีนี้เหมาะกับช่วงที่จิตใจเราฟุ้งซ่าน จนไม่สามารถหยุดคิดได้ ด้วยการฝึกคิดอย่างมีทิศทาง:

    1. การคิดเพื่อเห็นความไม่เที่ยง:

    ขั้นแรกให้ตั้งสติรู้ตัวว่าเรากำลังคิดถึงเรื่องอะไร

    ทบทวนและเห็นว่าความคิดนี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดเวลา

    การรับรู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องนั้น คล้ายกับตื่นจากฝัน เห็นความคิดเป็นเพียงสภาวะชั่วคราว

    2. การคิดเพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน:

    ให้สังเกตว่าสิ่งที่เรามองเห็น กระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกถึงอะไร

    เมื่อเรารับรู้ว่าสิ่งรอบตัวล้วนเชื่อมโยงกับความคิดความรู้สึก และไม่ได้มีตัวตนที่แน่นอน เราจะเริ่มลดการยึดติดในความคิดและอารมณ์ได้

    การฝึกใช้ความคิดในแนวทางนี้จะช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบขึ้น คลายการยึดติดในอารมณ์ฟุ้งซ่าน และนำเราไปสู่การตื่นรู้จากความคิดที่เป็นเพียงความฝัน
    การใช้ความคิดเพื่อล้างความฟุ้งซ่าน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง โดยใช้ความคิดนั้นๆ เป็นอุบายเพื่อดึงสติของเราให้กลับมาที่ปัจจุบัน วิธีนี้เหมาะกับช่วงที่จิตใจเราฟุ้งซ่าน จนไม่สามารถหยุดคิดได้ ด้วยการฝึกคิดอย่างมีทิศทาง: 1. การคิดเพื่อเห็นความไม่เที่ยง: ขั้นแรกให้ตั้งสติรู้ตัวว่าเรากำลังคิดถึงเรื่องอะไร ทบทวนและเห็นว่าความคิดนี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดเวลา การรับรู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องนั้น คล้ายกับตื่นจากฝัน เห็นความคิดเป็นเพียงสภาวะชั่วคราว 2. การคิดเพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน: ให้สังเกตว่าสิ่งที่เรามองเห็น กระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกถึงอะไร เมื่อเรารับรู้ว่าสิ่งรอบตัวล้วนเชื่อมโยงกับความคิดความรู้สึก และไม่ได้มีตัวตนที่แน่นอน เราจะเริ่มลดการยึดติดในความคิดและอารมณ์ได้ การฝึกใช้ความคิดในแนวทางนี้จะช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบขึ้น คลายการยึดติดในอารมณ์ฟุ้งซ่าน และนำเราไปสู่การตื่นรู้จากความคิดที่เป็นเพียงความฝัน
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • 'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์

    นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป

    “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง

    นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง”

    “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก

    นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร

    “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา

    #BRICS2024
    .
    ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST

    International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country.

    “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation.

    The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.”

    "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics.

    The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election.

    “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated.

    #BRICS2024
    .
    11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์ นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง” “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา #BRICS2024 . ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country. “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation. The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.” "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics. The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election. “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated. #BRICS2024 . 11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • ..อนาคตใครที่กลับใจสมควรทรยศท่านลอร์ดมากๆ ออกมาแฉ มาเปิดโปงไส้ในมากๆต่อคนไทยให้ตื่นรู้เยอะๆจะดีมากๆ.คนทรยศฝ่ายชั่วเองมันดีต่อคนดีแน่ๆ.คนไทยต้องปกป้องคนไทยกันเอง,รู้ทันดีกว่าแห่ไปฉีดตายแบบนั้น.,การรับรู้เหตุจะก่อเหตุล่วงหน้าก็เตรียมตัวตายก่อนก็ยังดี.เมื่อหนีไปได้.ออกจากโลกบินไปไม่เป็น.
    ..อนาคตใครที่กลับใจสมควรทรยศท่านลอร์ดมากๆ ออกมาแฉ มาเปิดโปงไส้ในมากๆต่อคนไทยให้ตื่นรู้เยอะๆจะดีมากๆ.คนทรยศฝ่ายชั่วเองมันดีต่อคนดีแน่ๆ.คนไทยต้องปกป้องคนไทยกันเอง,รู้ทันดีกว่าแห่ไปฉีดตายแบบนั้น.,การรับรู้เหตุจะก่อเหตุล่วงหน้าก็เตรียมตัวตายก่อนก็ยังดี.เมื่อหนีไปได้.ออกจากโลกบินไปไม่เป็น.
    0 Comments 0 Shares 160 Views 38 0 Reviews
  • ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    0 Comments 0 Shares 308 Views 27 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจ Main Stand
    เปิดแผนธุรกิจสนามใหม่ของสโมสรฟุตบอลแมนฯยูไนเต็ด กระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ทำการปรับปรุงรังเหย้าของพวกเขาใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่าสโมสร

    และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีแผนสร้างสนามใหม่ความจุ 100,000 ที่นั่ง มูลค่า 2 พันล้านปอนด์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2030

    โดยสื่อธุรกิจอย่าง SSBM วิเคราะห์ว่าสนามใหม่ของ "ปีศาจแดง" ยุคที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มาคุมงานบริหารฟุตบอล จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10-15 ปี หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งอาศัยรายได้จากวันแข่งขันที่เพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ไม่ใช่ฟุตบอล สปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ และการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก แถมในระยะยาวสนามกีฬาแห่งใหม่และการพัฒนาโดยรอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ประจำปีของสโมสรได้ 100-150 ล้านปอนด์

    ข้อดีที่เพิ่มขึ้นหากการสร้างสนามใหม่ของ แมนสเตอร์ ยูไนเต็ด เสร็จสิ้นและพร้อมใช้งาน มีดังนี้

    - เพิ่มความจุจาก 74,000 เป็น 100,000 ที่นั่ง
    - เก็บค่าตั๋วเกมในบ้านได้มากขึ้นเป็น 90-130 ล้านปอนด์/ปี (ราคาตั๋วอยู่ที่ราว 50-70 ปอนด์/ใบ)
    - พัฒนาเขตการค้ารอบสนาม
    - มีโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ และระบบขนส่งมวลชน
    - สร้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 ตำแหน่ง
    - สร้างบ้านใหม่ 17,000 หลัง
    - ดึงดูดนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน/ปี

    ทั้งนี้ โครงการสนามกีฬามูลค่า 2,000 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างรากฐานทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับสโมสร ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยการคาดการณ์เบื้องต้นจากสโมสรระบุว่าสนามใหม่แห่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในประเทศอังกฤษ”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/V3z3xY6oeka7uimz/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจ Main Stand เปิดแผนธุรกิจสนามใหม่ของสโมสรฟุตบอลแมนฯยูไนเต็ด กระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ทำการปรับปรุงรังเหย้าของพวกเขาใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่าสโมสร และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีแผนสร้างสนามใหม่ความจุ 100,000 ที่นั่ง มูลค่า 2 พันล้านปอนด์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2030 โดยสื่อธุรกิจอย่าง SSBM วิเคราะห์ว่าสนามใหม่ของ "ปีศาจแดง" ยุคที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มาคุมงานบริหารฟุตบอล จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10-15 ปี หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งอาศัยรายได้จากวันแข่งขันที่เพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ไม่ใช่ฟุตบอล สปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ และการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก แถมในระยะยาวสนามกีฬาแห่งใหม่และการพัฒนาโดยรอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ประจำปีของสโมสรได้ 100-150 ล้านปอนด์ ข้อดีที่เพิ่มขึ้นหากการสร้างสนามใหม่ของ แมนสเตอร์ ยูไนเต็ด เสร็จสิ้นและพร้อมใช้งาน มีดังนี้ - เพิ่มความจุจาก 74,000 เป็น 100,000 ที่นั่ง - เก็บค่าตั๋วเกมในบ้านได้มากขึ้นเป็น 90-130 ล้านปอนด์/ปี (ราคาตั๋วอยู่ที่ราว 50-70 ปอนด์/ใบ) - พัฒนาเขตการค้ารอบสนาม - มีโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ และระบบขนส่งมวลชน - สร้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 ตำแหน่ง - สร้างบ้านใหม่ 17,000 หลัง - ดึงดูดนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน/ปี ทั้งนี้ โครงการสนามกีฬามูลค่า 2,000 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างรากฐานทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับสโมสร ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยการคาดการณ์เบื้องต้นจากสโมสรระบุว่าสนามใหม่แห่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในประเทศอังกฤษ” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/V3z3xY6oeka7uimz/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 395 Views 0 Reviews
  • ราคาทองคำที่พุ่งสูงสะท้อนทางเลือกใหม่ ที่ตะวันตกต้องตื่นรับรู้

    ประเทศตะวันตกควรให้ความสำคัญกับราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องของโลหะมีค่าสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์ ตามที่ Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ PIMCO และประธานคนปัจจุบันของ Queens' College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้เขียนในบทความ

    “มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นกับราคาทองคำในปีที่ผ่านมา” El-Erian เขียนใน Financial Times เมื่อวันจันทร์ “ทองคำการสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดูเหมือนว่าทองคำจะแยกตัวออกจากปัจจัยที่มีอิทธิพลทางประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และเงินดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความสม่ำเสมอของการเพิ่มขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับความผันผวนในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ”

    เขากล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ 'ทุกสภาพบรรยากาศ' บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเลือกตั้ง และภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสั้น “มันสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและประเทศ “มหาอำนาจกลาง” รวมถึงประเทศอื่นๆ และเป็นกระแสที่ชาติตะวันตกควรให้ความสนใจให้มากขึ้น”

    El-Erian ตั้งข้อสังเกตว่าราคาทองคำหนึ่งออนซ์เพิ่มขึ้นจาก 1,947 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นมากกว่า 2,700 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา “สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง โดยแม้ราคาจะมีการดึงกลับแต่ก็เพื่อดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น” เขากล่าว “มันเกิดขึ้นแม้ว่าอัตรานโยบายที่คาดหวังจะผันผวนอย่างมาก มีความผันผวนอย่างกว้างขวางสำหรับอัตราผลตอบแทนของสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน”

    “บางคนอาจมองข้ามผลการดำเนินงานของทองคำ โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งดัชนี S&P ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง” เขากล่าว “แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่ธรรมดา คนอื่นๆ อาจมองว่าเป็นเพราะความเสี่ยงของความขัดแย้งทางทหารที่ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของตน ร่วมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ การเดินทางของราคาทองคำยังชี้ให้เห็นว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย”

    El-Erian ชี้ว่าการซื้อทองคำแท่งอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความแข็งแกร่งของทองคำ “การซื้อดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของคนจำนวนมากที่จะค่อยๆ กระจายการถือครองทุนสำรองของตนออกจากการครอบงำเงินดอลลาร์ที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าอเมริกาจะมี ‘ความพิเศษทางเศรษฐกิจ’ ของอเมริกาก็ตาม” เขาเขียน “ยังมีความสนใจในการสำรวจทางเลือกที่เป็นไปได้นอกเหนือจากระบบการชำระเงินแบบดอลลาร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมระหว่างประเทศมาเป็นเวลา 80 ปี”

    “ถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และโดยปกติแล้วคุณจะได้รับคำตอบที่กล่าวถึงการสูญเสียความมั่นใจในการจัดการระเบียบโลกของอเมริกาและการพัฒนาเฉพาะสองประการ” เขากล่าว “คุณจะได้ฟังเกี่ยวกับการใช้ภาษีการค้าและการคว่ำบาตรการลงทุนของอเมริกา ควบคู่ไปกับความสนใจที่ลดลงในระบบพหุภาคีที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ซึ่งอเมริกามีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมื่อ 80 ปีที่แล้ว”
    อีกปัจจัยหนึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยที่เอล-เอเรียนเชื่อว่าสหรัฐฯ ถูกมองว่ามีนโยบายไม่สอดคล้องกันในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ “การรับรู้นี้ขยายวงกว้างขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ปกป้องพันธมิตรหลักของตนจากการตอบสนองต่อการกระทำที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางในประชาคมระหว่างประเทศ” เขาเขียน

    “สิ่งที่เป็นเดิมพันที่นี่ไม่ใช่แค่การพังทลายของบทบาทที่โดดเด่นของดอลลาร์ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการดำเนินงานของระบบโลกด้วย” เขาเขียน “ไม่มีสกุลเงินหรือระบบการชำระเงินอื่นใดที่สามารถและเต็มใจที่จะแทนที่ดอลลาร์ที่เป็นแกนหลักของระบบ และมีข้อ จำกัด ในทางปฏิบัติในการสำรองการกระจายความเสี่ยง แต่มีการสร้างท่อเล็กๆ จำนวนมากขึ้นเพื่อพันรอบแกนกลางนี้ และประเทศต่างๆ ก็มีความสนใจและมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

    El-Erian กล่าวว่าการขึ้นราคาทองคำในปัจจุบัน “ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดาในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเงินแบบดั้งเดิม” แต่ยังเหนือกว่าอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มงวดเพื่อจับปรากฏการณ์ในวงกว้างซึ่งกำลังสร้างโมเมนตัมทางโลก”

    เนื่องจากเส้นทางทางเลือกสำหรับการเงินระหว่างประเทศพัฒนาและเติบโต สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของระบบโลก และการพังทลายของอำนาจของเงินดอลลาร์และระบบการเงินของสหรัฐอเมริกา “นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ และบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐเอง” เขากล่าว

    “นี่เป็นปรากฏการณ์ที่รัฐบาลตะวันตกควรให้ความสำคัญมากขึ้น” เอล-เอเรียนสรุป “และเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังมีเวลาแก้ไข แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าที่บางคนคาดหวังก็ตาม”
    ที่มา Kitco
    ราคาทองคำที่พุ่งสูงสะท้อนทางเลือกใหม่ ที่ตะวันตกต้องตื่นรับรู้ ประเทศตะวันตกควรให้ความสำคัญกับราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องของโลหะมีค่าสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์ ตามที่ Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ PIMCO และประธานคนปัจจุบันของ Queens' College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้เขียนในบทความ “มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นกับราคาทองคำในปีที่ผ่านมา” El-Erian เขียนใน Financial Times เมื่อวันจันทร์ “ทองคำการสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดูเหมือนว่าทองคำจะแยกตัวออกจากปัจจัยที่มีอิทธิพลทางประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และเงินดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความสม่ำเสมอของการเพิ่มขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับความผันผวนในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ” เขากล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ 'ทุกสภาพบรรยากาศ' บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเลือกตั้ง และภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสั้น “มันสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและประเทศ “มหาอำนาจกลาง” รวมถึงประเทศอื่นๆ และเป็นกระแสที่ชาติตะวันตกควรให้ความสนใจให้มากขึ้น” El-Erian ตั้งข้อสังเกตว่าราคาทองคำหนึ่งออนซ์เพิ่มขึ้นจาก 1,947 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นมากกว่า 2,700 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา “สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง โดยแม้ราคาจะมีการดึงกลับแต่ก็เพื่อดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น” เขากล่าว “มันเกิดขึ้นแม้ว่าอัตรานโยบายที่คาดหวังจะผันผวนอย่างมาก มีความผันผวนอย่างกว้างขวางสำหรับอัตราผลตอบแทนของสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน” “บางคนอาจมองข้ามผลการดำเนินงานของทองคำ โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งดัชนี S&P ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง” เขากล่าว “แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่ธรรมดา คนอื่นๆ อาจมองว่าเป็นเพราะความเสี่ยงของความขัดแย้งทางทหารที่ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของตน ร่วมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ การเดินทางของราคาทองคำยังชี้ให้เห็นว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย” El-Erian ชี้ว่าการซื้อทองคำแท่งอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความแข็งแกร่งของทองคำ “การซื้อดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของคนจำนวนมากที่จะค่อยๆ กระจายการถือครองทุนสำรองของตนออกจากการครอบงำเงินดอลลาร์ที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าอเมริกาจะมี ‘ความพิเศษทางเศรษฐกิจ’ ของอเมริกาก็ตาม” เขาเขียน “ยังมีความสนใจในการสำรวจทางเลือกที่เป็นไปได้นอกเหนือจากระบบการชำระเงินแบบดอลลาร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมระหว่างประเทศมาเป็นเวลา 80 ปี” “ถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และโดยปกติแล้วคุณจะได้รับคำตอบที่กล่าวถึงการสูญเสียความมั่นใจในการจัดการระเบียบโลกของอเมริกาและการพัฒนาเฉพาะสองประการ” เขากล่าว “คุณจะได้ฟังเกี่ยวกับการใช้ภาษีการค้าและการคว่ำบาตรการลงทุนของอเมริกา ควบคู่ไปกับความสนใจที่ลดลงในระบบพหุภาคีที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ซึ่งอเมริกามีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมื่อ 80 ปีที่แล้ว” อีกปัจจัยหนึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยที่เอล-เอเรียนเชื่อว่าสหรัฐฯ ถูกมองว่ามีนโยบายไม่สอดคล้องกันในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ “การรับรู้นี้ขยายวงกว้างขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ปกป้องพันธมิตรหลักของตนจากการตอบสนองต่อการกระทำที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางในประชาคมระหว่างประเทศ” เขาเขียน “สิ่งที่เป็นเดิมพันที่นี่ไม่ใช่แค่การพังทลายของบทบาทที่โดดเด่นของดอลลาร์ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการดำเนินงานของระบบโลกด้วย” เขาเขียน “ไม่มีสกุลเงินหรือระบบการชำระเงินอื่นใดที่สามารถและเต็มใจที่จะแทนที่ดอลลาร์ที่เป็นแกนหลักของระบบ และมีข้อ จำกัด ในทางปฏิบัติในการสำรองการกระจายความเสี่ยง แต่มีการสร้างท่อเล็กๆ จำนวนมากขึ้นเพื่อพันรอบแกนกลางนี้ และประเทศต่างๆ ก็มีความสนใจและมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” El-Erian กล่าวว่าการขึ้นราคาทองคำในปัจจุบัน “ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดาในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเงินแบบดั้งเดิม” แต่ยังเหนือกว่าอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มงวดเพื่อจับปรากฏการณ์ในวงกว้างซึ่งกำลังสร้างโมเมนตัมทางโลก” เนื่องจากเส้นทางทางเลือกสำหรับการเงินระหว่างประเทศพัฒนาและเติบโต สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของระบบโลก และการพังทลายของอำนาจของเงินดอลลาร์และระบบการเงินของสหรัฐอเมริกา “นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ และบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐเอง” เขากล่าว “นี่เป็นปรากฏการณ์ที่รัฐบาลตะวันตกควรให้ความสำคัญมากขึ้น” เอล-เอเรียนสรุป “และเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังมีเวลาแก้ไข แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าที่บางคนคาดหวังก็ตาม” ที่มา Kitco
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    15
    0 Comments 1 Shares 615 Views 0 Reviews
  • KKV บุกไทย ไลฟ์สไตล์สโตร์จากจีน

    ในที่สุดไลฟ์สไตล์สโตร์สัญชาติจีนอย่าง เคเควี (KKV) กำลังจะเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ชั้น 2 โดยอินสตาแกรม kkv.global ระบุว่า ในวันที่ 29 ต.ค. จะมีการจัดปาร์ตี้สำหรับแขกรับเชิญพิเศษก่อนวันเปิดร้านจริง นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดสาขาเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ อีกด้วย

    KK Group Company Holdings Ltd. หรือ KK Group ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองดองกวน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มี 4 แบรนด์หลักในเครือ ได้แก่ KKV ร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์, The Colorist ร้านค้าปลีกเฉพาะด้านความงาม, X11 ร้านค้าปลีกเฉพาะทางแนวป๊อปสมัยใหม่ และ KK Guan ไลฟ์สไตล์มินิมาร์ท ปัจจุบันได้พัฒนาร้านค้ากว่า 700 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตการค้าชั้นนำและห้างสรรพสินค้า 200 เมืองทั่วประเทศจีน และขยายไปยังอินโดนีเซีย

    ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน ระบุว่า ปัจจุบัน จากการแข่งขันของร้านค้าปลีก (Stores Retailing) ที่เพิ่มมากขึ้น หลายธุรกิจจึงต้องเริ่มหารูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่เพิ่มมากขึ้น สร้างความความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น รูปแบบร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เป็นอีกโมเดลธุรกิจที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการ อย่าง KK Group ที่มีจำหน่ายครอบคลุมสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงอาหารเครื่องดื่ม ของกินเล่นและของใช้ อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง เรียกได้ว่า เป็นแหล่ง One Stop Service ของชาว GenZ ถูกจริตพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ ยังสามารถส่งเสริมให้สินค้าดูมีระดับมากขึ้น เนื่องจากร้านค้าสามารถสร้างการรับรู้ด้านการคัดสรรสินค้าและบริการที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างพิถีพิถันแก่ผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบแบรนด์ร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ จึงเป็นอีกช่องทางการกระจายสินค้าได้อย่างหลากหลายมิติ ที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ การนำแบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร้านค้าจะเป็นส่วนช่วยในการกระจายสินค้า เสริมสร้างการรับรู้ด้านภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์สินค้า

    ก่อนหน้านี้ KKV เข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย เปิดสาขาแรกที่ย่านบูกิต บินตัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2567 ก่อนจะขยายสาขาไปยังเมืองต่างๆ เช่น ซันเวย์ คาร์นิวัล มอลล์, เฟิร์ส อเวนิว มอลล์, อิออน มอลล์ บูกิตเมอร์ตาจัม รัฐปีนัง, พาราเดียมมอลล์ รัฐยะโฮร์, บันดารา มะละกา รัฐมะละกา และสาขาพาวิลเลียน บูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมกันแล้วมี 7 สาขา ก่อนเข้ามาลงทุนในไทย เป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน

    #Newskit #KKVThailand
    KKV บุกไทย ไลฟ์สไตล์สโตร์จากจีน ในที่สุดไลฟ์สไตล์สโตร์สัญชาติจีนอย่าง เคเควี (KKV) กำลังจะเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ชั้น 2 โดยอินสตาแกรม kkv.global ระบุว่า ในวันที่ 29 ต.ค. จะมีการจัดปาร์ตี้สำหรับแขกรับเชิญพิเศษก่อนวันเปิดร้านจริง นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดสาขาเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ อีกด้วย KK Group Company Holdings Ltd. หรือ KK Group ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองดองกวน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มี 4 แบรนด์หลักในเครือ ได้แก่ KKV ร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์, The Colorist ร้านค้าปลีกเฉพาะด้านความงาม, X11 ร้านค้าปลีกเฉพาะทางแนวป๊อปสมัยใหม่ และ KK Guan ไลฟ์สไตล์มินิมาร์ท ปัจจุบันได้พัฒนาร้านค้ากว่า 700 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตการค้าชั้นนำและห้างสรรพสินค้า 200 เมืองทั่วประเทศจีน และขยายไปยังอินโดนีเซีย ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน ระบุว่า ปัจจุบัน จากการแข่งขันของร้านค้าปลีก (Stores Retailing) ที่เพิ่มมากขึ้น หลายธุรกิจจึงต้องเริ่มหารูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่เพิ่มมากขึ้น สร้างความความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น รูปแบบร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เป็นอีกโมเดลธุรกิจที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการ อย่าง KK Group ที่มีจำหน่ายครอบคลุมสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงอาหารเครื่องดื่ม ของกินเล่นและของใช้ อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง เรียกได้ว่า เป็นแหล่ง One Stop Service ของชาว GenZ ถูกจริตพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ ยังสามารถส่งเสริมให้สินค้าดูมีระดับมากขึ้น เนื่องจากร้านค้าสามารถสร้างการรับรู้ด้านการคัดสรรสินค้าและบริการที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างพิถีพิถันแก่ผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบแบรนด์ร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ จึงเป็นอีกช่องทางการกระจายสินค้าได้อย่างหลากหลายมิติ ที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ การนำแบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร้านค้าจะเป็นส่วนช่วยในการกระจายสินค้า เสริมสร้างการรับรู้ด้านภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์สินค้า ก่อนหน้านี้ KKV เข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย เปิดสาขาแรกที่ย่านบูกิต บินตัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2567 ก่อนจะขยายสาขาไปยังเมืองต่างๆ เช่น ซันเวย์ คาร์นิวัล มอลล์, เฟิร์ส อเวนิว มอลล์, อิออน มอลล์ บูกิตเมอร์ตาจัม รัฐปีนัง, พาราเดียมมอลล์ รัฐยะโฮร์, บันดารา มะละกา รัฐมะละกา และสาขาพาวิลเลียน บูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมกันแล้วมี 7 สาขา ก่อนเข้ามาลงทุนในไทย เป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน #Newskit #KKVThailand
    Like
    6
    1 Comments 0 Shares 500 Views 0 Reviews
  • KTM Go Cashless รถไฟมาเลเซียไร้เงินสด

    การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย กำลังรณรงค์แคมเปญ Go Cashless หรือ Komuniti Tanpa Tunai (สังคมไร้เงินสด) ให้ผู้ใช้บริการรถไฟทุกประเภทซื้อตั๋วรถไฟ ชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ช่องทางออนไลน์ผ่านแอปฯ เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และประตูอัตโนมัติ (ACG) ของทุกสถานี พร้อมกับออกบูธจัดกิจกรรมโรดโชว์ตามสถานีต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้บริการ และจะงดรับเงินสดเต็มรูปแบบในระยะถัดไป

    • การซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์สถานี ทั้งรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter สาย Klang Valley และสาย Utara รถไฟทางไกล ETS และ KTM Intercity สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit ที่ออกโดยสถาบันการเงินในมาเลเซีย บัตร VISA และ Mastercard และ KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) ส่วนผู้ถือบัตร Komuter Link ใช้ได้เฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter

    • การซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ แอปพลิเคชัน KTMB Mobile เลือกชำระได้ทั้ง KTM Wallet, บัตร VISA และ Mastercard, บัตรเดบิต MyDebit, Touch 'n Go eWallet, Boost Wallet และคิวอาร์โค้ด DuitNow

    • การซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (Ticket Kiosk) สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, คิวอาร์โค้ด DuitNow, อีวอลเล็ต Boost Wallet และ Touch 'n Go eWallet

    • การเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) รองรับทั้งบัตร Komuter Link, บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, บัตร Touch 'n Go, Google Pay, Apple Pay และ Samsung Pay

    ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้บัตร VISA และ Mastercard เข้าสู่ประตูอัตโนมัติ (ACG) ระบบจะกันวงเงินบัตรไว้ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) และจะได้รับคืนภายหลัง ส่วนอีวอลเล็ต KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter เท่านั้น

    สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถสมัครสมาชิก KTMB Mobile (KITS) เพื่อซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ โดยใช้หนังสือเดินทางเป็นหลักฐาน ส่วนการซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และการเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) ด้วยบัตร VISA และ Mastercard ควรสอบถามธนาคารผู้ออกบัตรว่าใช้ที่ต่างประเทศได้หรือไม่

    หรือสมัครบัตรที่ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน 2.5% มีทั้งบัตร Travel Card เช่น YouTrip, Planet SCB, Krungsri Boarding Card หรือบัตรเดบิต เช่น Chill D CIMB Thai, ttb all free, Krungthai Travel Mastercard Debit, KBank Journey Travel Card เป็นต้น

    #Newskit #KTMB #GoCashless
    KTM Go Cashless รถไฟมาเลเซียไร้เงินสด การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย กำลังรณรงค์แคมเปญ Go Cashless หรือ Komuniti Tanpa Tunai (สังคมไร้เงินสด) ให้ผู้ใช้บริการรถไฟทุกประเภทซื้อตั๋วรถไฟ ชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ช่องทางออนไลน์ผ่านแอปฯ เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และประตูอัตโนมัติ (ACG) ของทุกสถานี พร้อมกับออกบูธจัดกิจกรรมโรดโชว์ตามสถานีต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้บริการ และจะงดรับเงินสดเต็มรูปแบบในระยะถัดไป • การซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์สถานี ทั้งรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter สาย Klang Valley และสาย Utara รถไฟทางไกล ETS และ KTM Intercity สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit ที่ออกโดยสถาบันการเงินในมาเลเซีย บัตร VISA และ Mastercard และ KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) ส่วนผู้ถือบัตร Komuter Link ใช้ได้เฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter • การซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ แอปพลิเคชัน KTMB Mobile เลือกชำระได้ทั้ง KTM Wallet, บัตร VISA และ Mastercard, บัตรเดบิต MyDebit, Touch 'n Go eWallet, Boost Wallet และคิวอาร์โค้ด DuitNow • การซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (Ticket Kiosk) สามารถใช้บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, คิวอาร์โค้ด DuitNow, อีวอลเล็ต Boost Wallet และ Touch 'n Go eWallet • การเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) รองรับทั้งบัตร Komuter Link, บัตรเดบิต MyDebit, บัตร VISA และ Mastercard, บัตร Touch 'n Go, Google Pay, Apple Pay และ Samsung Pay ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้บัตร VISA และ Mastercard เข้าสู่ประตูอัตโนมัติ (ACG) ระบบจะกันวงเงินบัตรไว้ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) และจะได้รับคืนภายหลัง ส่วนอีวอลเล็ต KTM Wallet ใน KTMB Mobile (KITS) รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าชานเมือง KTM Komuter เท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถสมัครสมาชิก KTMB Mobile (KITS) เพื่อซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ โดยใช้หนังสือเดินทางเป็นหลักฐาน ส่วนการซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และการเข้าสู่ระบบรถไฟผ่านประตูอัตโนมัติ (ACG) ด้วยบัตร VISA และ Mastercard ควรสอบถามธนาคารผู้ออกบัตรว่าใช้ที่ต่างประเทศได้หรือไม่ หรือสมัครบัตรที่ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน 2.5% มีทั้งบัตร Travel Card เช่น YouTrip, Planet SCB, Krungsri Boarding Card หรือบัตรเดบิต เช่น Chill D CIMB Thai, ttb all free, Krungthai Travel Mastercard Debit, KBank Journey Travel Card เป็นต้น #Newskit #KTMB #GoCashless
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 591 Views 0 Reviews
  • ทุกข์แบบสะสมที่ค่อยๆ พอกพูนจนไม่เห็นทางออก คือทุกข์ที่เกิดจากการปล่อยให้ปัญหาและความรู้สึกที่ไม่ดีทับถมอยู่ในใจ ไม่หาทางออก ไม่จัดการหรือปล่อยวาง ปล่อยให้ความทุกข์นั้นกลายเป็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำแห่งจิตใจ จนไม่เห็นแสงสว่าง ความคิดที่วนเวียน และความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในความมืด คือผลของการไม่ดูแลจัดการทั้งปัญหาภายนอกและภายใน

    ในทางกลับกัน ทุกข์แบบสว่างคือการรู้จักรับรู้และจัดการกับทุกข์ทีละน้อย มีสติรู้ตัวเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น และมีความกล้าพอที่จะสละความคิดและความรู้สึกที่ทำให้จิตใจมืดมนออกไปเรื่อยๆ คล้ายกับการทิ้งขยะออกจากบ้าน เมื่อขยะถูกทิ้งอย่างต่อเนื่อง บ้านย่อมกลับมาโล่งสะอาด และจิตใจก็จะกลับมาโปร่งเบาสว่างได้

    การเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราสำรวจจิตใจได้ว่ากำลังทุกข์อยู่แค่ไหน หนักหรือเบาลง และเมื่อเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทุกข์อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย เราจะพบว่าความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องสะสมจนกลายเป็นความมืดที่มองไม่เห็นทางออก แต่สามารถเบาลงและสว่างขึ้นได้เสมอ

    จงเริ่มต้นด้วยการรับรู้ทุกข์ และหายใจยาวขึ้นเพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง นี่คือการเริ่มต้นสังเกตทุกข์ และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะรู้ได้เองว่า ทุกข์แบบสว่างนั้นเป็นอย่างไร และจะไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในทุกข์แบบมืดสนิท

    ทุกข์แบบสะสมที่ค่อยๆ พอกพูนจนไม่เห็นทางออก คือทุกข์ที่เกิดจากการปล่อยให้ปัญหาและความรู้สึกที่ไม่ดีทับถมอยู่ในใจ ไม่หาทางออก ไม่จัดการหรือปล่อยวาง ปล่อยให้ความทุกข์นั้นกลายเป็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำแห่งจิตใจ จนไม่เห็นแสงสว่าง ความคิดที่วนเวียน และความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในความมืด คือผลของการไม่ดูแลจัดการทั้งปัญหาภายนอกและภายใน ในทางกลับกัน ทุกข์แบบสว่างคือการรู้จักรับรู้และจัดการกับทุกข์ทีละน้อย มีสติรู้ตัวเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น และมีความกล้าพอที่จะสละความคิดและความรู้สึกที่ทำให้จิตใจมืดมนออกไปเรื่อยๆ คล้ายกับการทิ้งขยะออกจากบ้าน เมื่อขยะถูกทิ้งอย่างต่อเนื่อง บ้านย่อมกลับมาโล่งสะอาด และจิตใจก็จะกลับมาโปร่งเบาสว่างได้ การเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราสำรวจจิตใจได้ว่ากำลังทุกข์อยู่แค่ไหน หนักหรือเบาลง และเมื่อเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทุกข์อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย เราจะพบว่าความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องสะสมจนกลายเป็นความมืดที่มองไม่เห็นทางออก แต่สามารถเบาลงและสว่างขึ้นได้เสมอ จงเริ่มต้นด้วยการรับรู้ทุกข์ และหายใจยาวขึ้นเพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง นี่คือการเริ่มต้นสังเกตทุกข์ และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะรู้ได้เองว่า ทุกข์แบบสว่างนั้นเป็นอย่างไร และจะไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในทุกข์แบบมืดสนิท
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • การประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงานของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ในวันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2567 เวลา 08.45 นาฬิกา ณ ห้องศรีพัชรินทร สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    วันนี้ (15 ต.ค.67) เวลา 08.45 น. ที่ห้องศรีพัชรินทร สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เป็นประธานการประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูล ให้ข้อแสนอแนะในด้านต่างๆ นำไปสู่การ "ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ" ต่อการขับเคลื่อน การปฏิบัติงานแบบบูรณาการให้มีความประสานสอดคล้อง และสร้างความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน อันจะทำให้ การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเพื่อสร้างความรู้จักและความสัมพันธ์ที่ดีใน ระดับผู้บริหาร โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และหัวหน้าส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมในการประชุม มีประเด็นที่สำคัญ อาทิ การแก้ไข ปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำทั้งในสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้ง การพัฒนามวลชน เป็นต้น เพื่อให้ทุก หน่วยงานได้รับทราบแนวทางการปฏิบัติงาน ตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณ 2568 เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในการ แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง ตรงตามนโยบายของรัฐบาล เอื้อต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยปัจจัยแห่ง ความสำเร็จ คือ การปฏิบัติงานอย่างบูรณาการร่วมกันของฝ่ายปกครอง พลเรือน ตำรวจ ทหาร รวมทั้งสร้าง การรับรู้แก่ประชาชน เพื่อให้ความร่วมมือ สนับสนุน และตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ยั่งยืนสืบไป
    กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กองอำนวยการรักษาความ มั่นคงภายในราชอาณาจักร มีอำนาจหน้าที่ ภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ประกอบด้วย 1) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคง 2) เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงาน 3) อำนวยการ ประสานงาน และเสริมการปฏิบัติ ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและ 4) เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
    ทั้งนี้ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ได้ขอความร่วมมือในการปฏิบัติงานในห้วงต่อไป อาทิ การป้องกันและแก้ปัญหาความมั่นคงภายในใช้กลไกของจังหวัด, ให้ประชาสัมพันธ์สายด่วน ความมั่นคง 1374 ในการรับเรื่องร้องเรียน, การขับเคลื่อนโครงการจิตอาสาพระราชทาน, จังหวัดที่มีที่ตั้งติดแนวชายแดน ให้ประสานการปฏิบัติกับกองกำลังป้องกันชายแดน เพื่อประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน, ขอให้ฝ่าย ตำรวจและผู้รับผิดชอบด้านกฎหมาย สอบสวน ขยายผล เร่งรัดการดำเนินคดี มุ่งเน้นต่อกลุ่มขบวนการ และผู้มี อิทธิพล, ด้านการพัฒนาเสริมความมั่นคงในระดับพื้นที่ ขอให้ผ่านกลไกของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ, การประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อต่างๆ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง
    ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 โทร.0 4424 3985
    การประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงานของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ในวันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2567 เวลา 08.45 นาฬิกา ณ ห้องศรีพัชรินทร สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา วันนี้ (15 ต.ค.67) เวลา 08.45 น. ที่ห้องศรีพัชรินทร สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เป็นประธานการประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูล ให้ข้อแสนอแนะในด้านต่างๆ นำไปสู่การ "ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ" ต่อการขับเคลื่อน การปฏิบัติงานแบบบูรณาการให้มีความประสานสอดคล้อง และสร้างความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน อันจะทำให้ การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเพื่อสร้างความรู้จักและความสัมพันธ์ที่ดีใน ระดับผู้บริหาร โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และหัวหน้าส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมในการประชุม มีประเด็นที่สำคัญ อาทิ การแก้ไข ปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำทั้งในสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้ง การพัฒนามวลชน เป็นต้น เพื่อให้ทุก หน่วยงานได้รับทราบแนวทางการปฏิบัติงาน ตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณ 2568 เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในการ แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง ตรงตามนโยบายของรัฐบาล เอื้อต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยปัจจัยแห่ง ความสำเร็จ คือ การปฏิบัติงานอย่างบูรณาการร่วมกันของฝ่ายปกครอง พลเรือน ตำรวจ ทหาร รวมทั้งสร้าง การรับรู้แก่ประชาชน เพื่อให้ความร่วมมือ สนับสนุน และตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ยั่งยืนสืบไป กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กองอำนวยการรักษาความ มั่นคงภายในราชอาณาจักร มีอำนาจหน้าที่ ภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ประกอบด้วย 1) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคง 2) เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงาน 3) อำนวยการ ประสานงาน และเสริมการปฏิบัติ ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและ 4) เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ได้ขอความร่วมมือในการปฏิบัติงานในห้วงต่อไป อาทิ การป้องกันและแก้ปัญหาความมั่นคงภายในใช้กลไกของจังหวัด, ให้ประชาสัมพันธ์สายด่วน ความมั่นคง 1374 ในการรับเรื่องร้องเรียน, การขับเคลื่อนโครงการจิตอาสาพระราชทาน, จังหวัดที่มีที่ตั้งติดแนวชายแดน ให้ประสานการปฏิบัติกับกองกำลังป้องกันชายแดน เพื่อประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน, ขอให้ฝ่าย ตำรวจและผู้รับผิดชอบด้านกฎหมาย สอบสวน ขยายผล เร่งรัดการดำเนินคดี มุ่งเน้นต่อกลุ่มขบวนการ และผู้มี อิทธิพล, ด้านการพัฒนาเสริมความมั่นคงในระดับพื้นที่ ขอให้ผ่านกลไกของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ, การประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อต่างๆ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 โทร.0 4424 3985
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • บิด เอียง สะบัดหมุน ดัดคอ...แล้วก็เสี่ยงอัมพฤกษ์
    เขียนโดย หมอดื้อ ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา

    กระบวนการในการนวดคลายเมื่อย ดัดเส้น รวมทั้ง เป็นกรรมวิธีในการบำบัดทางกายภาพและจัดกระดูก ซึ่งถ้าไม่ระวังจะ เพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อการที่ผนังเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะคู่หลังเกิดการฉีกขาดและทำให้เกิดเนื้อสมองตายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

    ความจริงเรื่องเกี่ยวกับ “คอ” เป็นที่สังเกตระวังกันมานานกว่า 30 ปีแล้ว จากการสำรวจข้อมูลจากหมอทางสมองในสหรัฐฯว่าในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เคยประสบพบคนไข้ที่มีอาการอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองตีบภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากที่คนไข้ผ่านกรรมวิธีจับ ดัด ปรับกระดูกคอหรือไม่

    หมอสมอง 177 คน รายงานว่าเคยเจอผู้ป่วย 55 รายเข้าข่ายกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยที่คนไข้มีอายุระหว่าง 21 ถึง 60 ปี หลังจากมีการบิดดัดคอ และเป็นผลต่อเส้นเลือดสมองโดยเฉพาะคู่หลัง เกิดตันตีบ ซึ่งตัวหมอเองก็มีคนไข้ที่หมุนคอเป็นประจำวันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 รอบเป็นปี นัยว่าทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ฝึกการทรงตัว วันหนึ่งเกิดเรื่องขณะยืนข้างถนน หันหน้าจะไปเรียกรถแท็กซี่ปรากฏเป็นอัมพาตซีกซ้าย อีกสักพักค่อยๆดีขึ้น พอมีแรงลุกขึ้น หันหน้าไปอีกด้าน มีอ่อนแรงซีกขวา ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน และการตรวจเส้นเลือดด้วยการฉีดสี ยืนยันมีผนังเส้นเลือดฉีกขาดจริงและเลือดไหลเซาะเข้าในผนังเส้นเลือด ทำให้รูเส้นเลือดตัน อีกทั้งยังทำให้ผนังเส้นเลือดขรุขระ เกิดการเกาะของตะกอนเลือด ซึ่งหลุดลอยไปอุดเส้นเลือดได้อีกต่อ

    สมองของเรามีเส้นเลือดไปเลี้ยง 2 คู่ คู่หน้าสามารถคลำได้ตุบๆที่คอด้านหน้าซึ่งไปเลี้ยงสมองหน้าผากขมับ 2 ข้าง รวมทั้งสมองส่วนลึกลงไปทางด้านใน เส้นเลือดคู่หลังร้อยผ่านกระดูกก้านคอ และเลื้อยผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพ สมองน้อยด้านหลัง คุมการทรงตัว ก้านสมองซึ่งควบคุมประสาทสมองรวมการเคลื่อนไหวลูกตา คุมการรับรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวแขนขา การสะบัดคอแรงๆ การหมุนคอบิด บริหารประจำอาจทำให้เกิดผลร้าย

    อันตรายที่เกิดขึ้นจะแปรตามความรวดเร็ว รุนแรงของการบิดสะบัดเคลื่อนไหวคอและแม้หมุน สะบัดไม่รวดเร็ว แต่การทำซ้ำกันบ่อยๆเป็นระยะเวลานานก็เกิดเรื่องได้ ไม่เฉพาะแต่เส้นประสาทที่คอ ยังเกิดกับเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาขาดทุนคือมีเส้นเลือดคู่หลังเพียงเส้นเดียว และในคนที่มีเส้นเลือดตีบอยู่แล้วจากมีโรคประจำตัว คือ อ้วน ความดันสูง ไขมันเพียบ หรือมีกระดูกงอกที่คอที่พร้อมที่จะกดเบียดเส้นเลือดอยู่แล้วหรือคนที่มีโรคของผนังเส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด (ซึ่งพบได้น้อยมาก)

    ข้อควรระวัง และกลไกในการเกิดอัมพฤกษ์จากการเคลื่อนของคอ อันเป็นผลจากการจับ ดัด เอียง สะบัด มีรายงานเป็นทางการจากสมาคมโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดผิดปกติของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานข้อสรุปได้รับการสนับสนุนและรองรับโดยสมาคมศัลยแพทย์และคองเกรสทางระบบประสาทของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke ฉบับเดือนตุลาคม 2014 ทั้งนี้ การนวดกดจุดก็น่าจะต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากเส้นเลือดคู่หลังจะวิ่งเข้าสมองโดยผ่านรู 2 ข้างที่ฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งจากการนวด อาจจะมีวิธี “ปิด–เปิดประตู”

    ทั้งนี้ การเปิดปิดประตูคือการกดจุดที่รู 2 ข้างซึ่งจะตัดการไหลเวียนของเลือดเข้าสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพในสมอง ทำให้ตามืดไปชั่วขณะ และเมื่อปล่อยการกดจุด เลือดจะไหลมาดังเดิมทำให้ตาสว่าง ซึ่งในคนที่เส้นเลือดผิดปกติอยู่แล้ว ตาอาจมืดไปเลยได้ กลายเป็นบอดทั้ง 2 ข้าง

    สำหรับคนเมื่อยคอ วิธีแก้เมื่อย รวมทั้งยังสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองได้คือคอตรง หน้าตรง ดันศีรษะสู้กับฝ่ามือตนเอง 4 ทิศ ซ้ายขวา หน้าหลังเท่ากับ 1 รอบ ดันแรง ดันนานๆ ทำวันละ 10-20 รอบ ตอนไหนก็ได้ ยังช่วยเรื่องกระดูกกดทับเส้นประสาท ปรับโครงสร้างกระดูก เส้นเอ็นให้เข้าที่ ทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ไม่ต้องไปดึงคอที่โรงพยาบาลเสียเวลารถติด ข้อสำคัญไม่ต้องกินยาแก้ปวด ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ กระเพาะทะลุ ไตพัง และยาแก้ปวดยังทำให้เส้นเลือดหัวใจตันได้

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/BTxpcwtTBbJEMqRQ/?mibextid=CTbP7E
    ขอบคุณรูปจาก วารสาร Stroke

    #Thaitimes
    บิด เอียง สะบัดหมุน ดัดคอ...แล้วก็เสี่ยงอัมพฤกษ์ เขียนโดย หมอดื้อ ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา กระบวนการในการนวดคลายเมื่อย ดัดเส้น รวมทั้ง เป็นกรรมวิธีในการบำบัดทางกายภาพและจัดกระดูก ซึ่งถ้าไม่ระวังจะ เพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อการที่ผนังเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะคู่หลังเกิดการฉีกขาดและทำให้เกิดเนื้อสมองตายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ความจริงเรื่องเกี่ยวกับ “คอ” เป็นที่สังเกตระวังกันมานานกว่า 30 ปีแล้ว จากการสำรวจข้อมูลจากหมอทางสมองในสหรัฐฯว่าในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เคยประสบพบคนไข้ที่มีอาการอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองตีบภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากที่คนไข้ผ่านกรรมวิธีจับ ดัด ปรับกระดูกคอหรือไม่ หมอสมอง 177 คน รายงานว่าเคยเจอผู้ป่วย 55 รายเข้าข่ายกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยที่คนไข้มีอายุระหว่าง 21 ถึง 60 ปี หลังจากมีการบิดดัดคอ และเป็นผลต่อเส้นเลือดสมองโดยเฉพาะคู่หลัง เกิดตันตีบ ซึ่งตัวหมอเองก็มีคนไข้ที่หมุนคอเป็นประจำวันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 รอบเป็นปี นัยว่าทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ฝึกการทรงตัว วันหนึ่งเกิดเรื่องขณะยืนข้างถนน หันหน้าจะไปเรียกรถแท็กซี่ปรากฏเป็นอัมพาตซีกซ้าย อีกสักพักค่อยๆดีขึ้น พอมีแรงลุกขึ้น หันหน้าไปอีกด้าน มีอ่อนแรงซีกขวา ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน และการตรวจเส้นเลือดด้วยการฉีดสี ยืนยันมีผนังเส้นเลือดฉีกขาดจริงและเลือดไหลเซาะเข้าในผนังเส้นเลือด ทำให้รูเส้นเลือดตัน อีกทั้งยังทำให้ผนังเส้นเลือดขรุขระ เกิดการเกาะของตะกอนเลือด ซึ่งหลุดลอยไปอุดเส้นเลือดได้อีกต่อ สมองของเรามีเส้นเลือดไปเลี้ยง 2 คู่ คู่หน้าสามารถคลำได้ตุบๆที่คอด้านหน้าซึ่งไปเลี้ยงสมองหน้าผากขมับ 2 ข้าง รวมทั้งสมองส่วนลึกลงไปทางด้านใน เส้นเลือดคู่หลังร้อยผ่านกระดูกก้านคอ และเลื้อยผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพ สมองน้อยด้านหลัง คุมการทรงตัว ก้านสมองซึ่งควบคุมประสาทสมองรวมการเคลื่อนไหวลูกตา คุมการรับรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวแขนขา การสะบัดคอแรงๆ การหมุนคอบิด บริหารประจำอาจทำให้เกิดผลร้าย อันตรายที่เกิดขึ้นจะแปรตามความรวดเร็ว รุนแรงของการบิดสะบัดเคลื่อนไหวคอและแม้หมุน สะบัดไม่รวดเร็ว แต่การทำซ้ำกันบ่อยๆเป็นระยะเวลานานก็เกิดเรื่องได้ ไม่เฉพาะแต่เส้นประสาทที่คอ ยังเกิดกับเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาขาดทุนคือมีเส้นเลือดคู่หลังเพียงเส้นเดียว และในคนที่มีเส้นเลือดตีบอยู่แล้วจากมีโรคประจำตัว คือ อ้วน ความดันสูง ไขมันเพียบ หรือมีกระดูกงอกที่คอที่พร้อมที่จะกดเบียดเส้นเลือดอยู่แล้วหรือคนที่มีโรคของผนังเส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด (ซึ่งพบได้น้อยมาก) ข้อควรระวัง และกลไกในการเกิดอัมพฤกษ์จากการเคลื่อนของคอ อันเป็นผลจากการจับ ดัด เอียง สะบัด มีรายงานเป็นทางการจากสมาคมโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดผิดปกติของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานข้อสรุปได้รับการสนับสนุนและรองรับโดยสมาคมศัลยแพทย์และคองเกรสทางระบบประสาทของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke ฉบับเดือนตุลาคม 2014 ทั้งนี้ การนวดกดจุดก็น่าจะต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากเส้นเลือดคู่หลังจะวิ่งเข้าสมองโดยผ่านรู 2 ข้างที่ฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งจากการนวด อาจจะมีวิธี “ปิด–เปิดประตู” ทั้งนี้ การเปิดปิดประตูคือการกดจุดที่รู 2 ข้างซึ่งจะตัดการไหลเวียนของเลือดเข้าสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพในสมอง ทำให้ตามืดไปชั่วขณะ และเมื่อปล่อยการกดจุด เลือดจะไหลมาดังเดิมทำให้ตาสว่าง ซึ่งในคนที่เส้นเลือดผิดปกติอยู่แล้ว ตาอาจมืดไปเลยได้ กลายเป็นบอดทั้ง 2 ข้าง สำหรับคนเมื่อยคอ วิธีแก้เมื่อย รวมทั้งยังสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองได้คือคอตรง หน้าตรง ดันศีรษะสู้กับฝ่ามือตนเอง 4 ทิศ ซ้ายขวา หน้าหลังเท่ากับ 1 รอบ ดันแรง ดันนานๆ ทำวันละ 10-20 รอบ ตอนไหนก็ได้ ยังช่วยเรื่องกระดูกกดทับเส้นประสาท ปรับโครงสร้างกระดูก เส้นเอ็นให้เข้าที่ ทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ไม่ต้องไปดึงคอที่โรงพยาบาลเสียเวลารถติด ข้อสำคัญไม่ต้องกินยาแก้ปวด ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ กระเพาะทะลุ ไตพัง และยาแก้ปวดยังทำให้เส้นเลือดหัวใจตันได้ ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/BTxpcwtTBbJEMqRQ/?mibextid=CTbP7E ขอบคุณรูปจาก วารสาร Stroke #Thaitimes
    Like
    Love
    8
    0 Comments 2 Shares 670 Views 0 Reviews
  • รับมือแม่สายระดับน้ำสูง อพยพชาวบ้านสายลมจอย การไฟฟ้าฯ ดับไฟฉุกเฉิน
    .
    วันนี้ (3 ต.ค.) สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำสาย บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันนี้บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสาย บริเวณด่านพรมแดนแม่สาย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และร้านค้าบริเวณตลาดสายลมจอย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่บัญชาการเหตุการณ์แล้ว
    .
    ล่าสุด เมื่อเวลา 11.50 น. อำเภอแม่สาย สั่งอพยพชาวบ้านบริเวณซอยสายลมจอย ไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว อยู่ที่วัดดอยเวา วัดถ้ำผาจม ส่วนเครื่องจักรกลต่างๆ ที่เข้าไปฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลดระลอกแรก หยุดดำเนินการชั่วคราว เนื่องจากระดับน้ำสูง ปฏิบัติงานไม่ได้
    .
    ด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ประกาศว่า เวลา 11.10 น. จะมีการดับกระแสไฟฟ้าฉุกเฉินบริเวณสายลมจอย ถึงเกาะทราย เนื่องจากระดับน้ำท่วมขึ้นสูงบริเวณถนนสายลมจอย โดยจะมีผู้ได้รับผลกระทบ บริเวณบ้านถ้ำผาจม ถึงสายลมจอย หมู่บ้านไม้ลุงขน หมู่บ้านเกาะทราย ผามควาย
    .
    ขณะที่สถานการณ์ในจังหวัดเชียงราย พบว่าฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 2 ต.ค. ทำให้ช่วงเช้าวันนี้หลายพื่นที่ในเขตเทศบาลนครเชียงรายมีน้ำท่วมขัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำลดผลกระทบให้กับประชาชนเป็นการเร่งด่วนแล้ว
    .
    ขณะทีีสถานีอุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ได้มีการคาดหมายลักษณะอากาศวันนี้ ว่ายังคงมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ด้านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีการประกาศ เฝ้าระวัง น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขังแม่น้ำกก ช่วงวันที่ 2-9 ต.ค. 2567 เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ฝนตกหนักมากในพื้นที่ต้นน้ำในเขต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าระดับน้ำจะล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แม่น้ำกก บริเวณ อ.เมืองเชียงราย เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน จ.เชียงราย ประมาณ 0.5 - 1.0 เมตร
    .
    ทั้งนี้ ได้มีการแจ้งเตือนทุกอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการ เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน รวมทั้งเตรียมความพร้อม เครื่องมืออุปกรณ์ เครื่องจักรกล ยุทโธปกรณ์ กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันที ตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อได้รับการร้องขอ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย (ศปช. ส่วนหน้า จ.เชียงราย) หมายเลขโทรศัพท์ 09 3131 1784 สายด่วน 1567
    ..............
    Sondhi X
    รับมือแม่สายระดับน้ำสูง อพยพชาวบ้านสายลมจอย การไฟฟ้าฯ ดับไฟฉุกเฉิน . วันนี้ (3 ต.ค.) สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำสาย บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันนี้บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสาย บริเวณด่านพรมแดนแม่สาย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และร้านค้าบริเวณตลาดสายลมจอย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่บัญชาการเหตุการณ์แล้ว . ล่าสุด เมื่อเวลา 11.50 น. อำเภอแม่สาย สั่งอพยพชาวบ้านบริเวณซอยสายลมจอย ไปยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว อยู่ที่วัดดอยเวา วัดถ้ำผาจม ส่วนเครื่องจักรกลต่างๆ ที่เข้าไปฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลดระลอกแรก หยุดดำเนินการชั่วคราว เนื่องจากระดับน้ำสูง ปฏิบัติงานไม่ได้ . ด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ประกาศว่า เวลา 11.10 น. จะมีการดับกระแสไฟฟ้าฉุกเฉินบริเวณสายลมจอย ถึงเกาะทราย เนื่องจากระดับน้ำท่วมขึ้นสูงบริเวณถนนสายลมจอย โดยจะมีผู้ได้รับผลกระทบ บริเวณบ้านถ้ำผาจม ถึงสายลมจอย หมู่บ้านไม้ลุงขน หมู่บ้านเกาะทราย ผามควาย . ขณะที่สถานการณ์ในจังหวัดเชียงราย พบว่าฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 2 ต.ค. ทำให้ช่วงเช้าวันนี้หลายพื่นที่ในเขตเทศบาลนครเชียงรายมีน้ำท่วมขัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำลดผลกระทบให้กับประชาชนเป็นการเร่งด่วนแล้ว . ขณะทีีสถานีอุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ได้มีการคาดหมายลักษณะอากาศวันนี้ ว่ายังคงมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ด้านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีการประกาศ เฝ้าระวัง น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขังแม่น้ำกก ช่วงวันที่ 2-9 ต.ค. 2567 เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ฝนตกหนักมากในพื้นที่ต้นน้ำในเขต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าระดับน้ำจะล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แม่น้ำกก บริเวณ อ.เมืองเชียงราย เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน จ.เชียงราย ประมาณ 0.5 - 1.0 เมตร . ทั้งนี้ ได้มีการแจ้งเตือนทุกอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการ เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน รวมทั้งเตรียมความพร้อม เครื่องมืออุปกรณ์ เครื่องจักรกล ยุทโธปกรณ์ กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันที ตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อได้รับการร้องขอ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย (ศปช. ส่วนหน้า จ.เชียงราย) หมายเลขโทรศัพท์ 09 3131 1784 สายด่วน 1567 .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    8
    0 Comments 1 Shares 1155 Views 0 Reviews
  • #แถลงการคิงส์โพธิ์แดง27_09_67
    สวัสดีแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่าน
    แฟนเพจหลายท่าน เป็นแฟนเพจมาตั้งแต่
    เพจคิงส์โพธิ์แดงได้ทำภาระกิจเกี่ยวกับ
    การเปิดข้อมูลที่เป็นเรื่องซีฟทางการเมือง
    การต่อสู้กับกลุ่มฟอกในประเทศและผู้มีสี
    ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
    มาระยะเวลาหลายปี
    และเมื่อคิงส์ฯได้พบข้อมูลที่น้องแน๊กถูกกระทำอย่างไม่ปราณี
    พี่คิงส์จึงเดินเครื่องขุดโฟกัสเต็มรูปแบบที่เรื่องนี้
    ทำให้ข้อมูล ยิ่งขุดยิ่งมีปริมาณมาก และได้ทำการโพส
    ถี่น้อยที่สุด เท่าที่ทำได้ ให้สัมพันธ์กับข้อมูลที่ต้องเปิดเผย
    รวมถึง แผนของขบก. ทั้งฝั่งกลุ่มเงินดาร์ค และหัวโจกที่อยู่ฝั่งไทย
    ทำให้พี่น้องชาวไทย ได้เกิดการรับรู้ และนำไปสู่เกิดกระบวนการตรวจสอบ
    พี่คิงส์ขอสรุปผลการปฏิบัติภาระกิจดังนี้
    1. เราได้เปิดเผยถึงขบวนการใหญ่ ของกลุ่มเงินดาร์ค ที่ใช้การพีเคบิ๊กแม็ต เป็นช่องทางในการฟอก โดยทำมาแล้วทั้งฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย และได้แปะข้อมูลให้เข้าไปแปลเป็นไทยแล้วอ่านกันอย่างลึกซึ้งแล้ว
    2. เราได้เปิดเผย ถึงลักษณะของเอเจนซี่ ที่เป็นร่างทรงของกลุ่มทุนดาร์ค ที่กำลังจะเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย เพราะประเทศเรายังมีความล่าช้าด้านข่าวสารมากๆ
    3. เราได้เปิดเผย ถึงแผนของขบก เครือข่ายของ โจ มณฑนี รวมถึงได้ขุดถึงที่มาที่ไป และรายละเอียด ชนิดที่โจเองก็ตกใจ
    และณ เวลานี้ ทั้งปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการตรวจสอบทั้งทางลับ และเปิดเผย โยงเส้นเงินทั้ง ขบก
    ดังนั้น จากผลการปฏิบัติภาระกิจดังกล่าวถือว่าได้รับความสำเร็จ
    ต้องขอขอบคุณ พี่น้องชาวเพจคิงส์ฯ และพี่น้องชายไทย ที่ได้นำสารต่างๆ เข้าไปส่งต่อใน ตต. และโซเชียลในทุกรูปแบบ
    หากไม่มีพวกท่าน งานนี้คงไม่สามารถสื่อสารให้กับพี่น้องชาวไทยได้ขนาดนี้
    และจากโพสต่างๆที่พี่คิงส์ฯได้ทำการให้ข้อมูลไปนั้น เพียงพอต่อการดำเนินการของทางเจ้าหน้าที่ ชี้เป้า รวมถึงมีการแจงรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วนแล้ว
    -ในเวลาที่ผ่านมา มีหลายอย่างที่พี่คิงส์อยากทำให้พี่น้องชาวไทย แต่ต้องทำภาระกิจนี้ให้ลุล่วงก่อน และวันนี้ก็มาถึง
    ดังนั้น ขอสรุปว่า
    1. เพจคิงส์โพธิ์แดง จะนำเสนอเรื่องของโจมณฑนี และขบก.ต่อไป เฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่มีคนอยากให้ข้อมูลบางอย่าง สื่อสารสู่พี่น้องชาวไทย แต่ไม่กล้าเปิดหน้า พี่คิงส์จะสื่อสารให้เอง แต่จะไม่ได้โพสเรื่องนี้อย่างเดียว ทั้งวันทั้งคืนอีก
    2. สิ่งที่พี่คิงส์ต้องการทำเพื่อคนไทยจากนี้ไปเพิ่มเติมคือ การรุกคืบของแรงงานต่างชาติ ที่เวลานี้ ได้บุกเข้ามายึดที่ทำกิน และสร้างกองกำลังอิทธิพล จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย และด้วยความถี่เป็นคนต่างด้าว ในจำนวนนั้นที่ไม่น้อยเลย ไม่มีหลักฐานรูปพรรณ หากทำอะไรคนไทย จะไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินการไปสู่การรับโทษได้
    3. เรื่องภั-ยทางธรรมชาติ ข้อมูลเชิงลึก ที่บางทีภาครัฐเองไม่กล้าเปิดเผย เพราะกลัวจะมีการตื่นตระหนก แต่ถ้าประชาชนไม่รู้ จะได้รับความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง
    4. เรื่องทุนจีน ที่เข้ามาตัดราคาสินค้าในประเทศไทย ที่ทำให้ธุรกิจของคนไทย หายไปตอนนี้มากกว่า 80% ซึ่งพี่คิงส์ต้องหาข้อมูลมาส่งแฟนเพจ เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจของคนไทย ต้องล่มสลาย
    5.พี่คิงส์ไม่ทิ้งน้องแน๊กและครอบครัว แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงส่งข้อมูลหลักฐานการละเมิดน้องแน๊กทางโซเชียลมาได้ตลอด เพราะพี่คิงส์ได้รับการขอความช่วยเหลือจาก...ให้เก็บรวบรวมหลักฐานทุกอย่างให้มากที่สุด ยังคงส่งมาได้อย่างต่อเนื่อง เหมือนเดิม
    -ดังนั้น ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่พี่คิงส์ต้องทำเพื่อคนไทย แต่ยังไม่ได้ทำ
    แต่แฟนเพจที่เป็นด้อมแพนด้าไม่ต้องกังวล ว่าพี่คิงส์จะทิ้งน้องชาลีและครอบครัว ฝากบอกน้องว่า พี่คิงส์จะเป็นเรือดำน้ำคุ้มภัยให้น้องเอง
    น้องข้า ใครอย่าแตะ
    และฝากถึงขบก.ของโจว่า คงเห็นแล้วว่าการท้าทายเพจคิงส์โพธิ์แดง ผลเป็นอย่างไร หรือถ้ามีการท้าทาย การข่มขู่ววพี่คิงส์อีก ก็ไม่เป็นการยากลำบาก ในการขุดทั้งวันทั้งคืนแบบนี้อีกเช่นกัน กรรูพร้อมเสมอ
    อิฉัด
    ส่วนพวกขี้คอก พวกเบี้ยตัวเล็กๆ ที่ประเมินตัวเองสูงเกินจริง ก็ปล่อยให้มันทำไป เพราะจากนี้ไป ยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นหลักฐานให้แฟนเพจคิงส์ ส่งมาให้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดิ้น ยิ่งมัดตัว เพราะกระบวนการดำเนินอยู่ทุกวัน เรื่องการรวบรวมพยานหลักฐาน และการตรวจสอบเชิงลึก
    พวกนี้จะเหมือนกบที่ถูกต้ม มันจะค่อยๆร้อน คิดว่ากำลังอาบน้ำอุ่น
    แต่มารู้ตัวว่าจะตรุย ก็ตอนที่ไม่มีแรงดิ้นออกจากหม้อแล้วนั่นเอง
    หากแฟนเพจ ได้อ่านแล้ว เห็นชอบตามที่พี่คิงส์แถลงนี้
    ช่วยกดไลค์ หรือเม้นว่าเห็นด้วย เพื่อให้พี่คิงส์รับรู้
    ว่าแฟนเพจ เข้าใจภาระกิจของพี่คิงส์ นับจากนี้ไป
    ขอบคุณล่วงหน้า ขอบคุณครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #แถลงการคิงส์โพธิ์แดง27_09_67 สวัสดีแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่าน แฟนเพจหลายท่าน เป็นแฟนเพจมาตั้งแต่ เพจคิงส์โพธิ์แดงได้ทำภาระกิจเกี่ยวกับ การเปิดข้อมูลที่เป็นเรื่องซีฟทางการเมือง การต่อสู้กับกลุ่มฟอกในประเทศและผู้มีสี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาระยะเวลาหลายปี และเมื่อคิงส์ฯได้พบข้อมูลที่น้องแน๊กถูกกระทำอย่างไม่ปราณี พี่คิงส์จึงเดินเครื่องขุดโฟกัสเต็มรูปแบบที่เรื่องนี้ ทำให้ข้อมูล ยิ่งขุดยิ่งมีปริมาณมาก และได้ทำการโพส ถี่น้อยที่สุด เท่าที่ทำได้ ให้สัมพันธ์กับข้อมูลที่ต้องเปิดเผย รวมถึง แผนของขบก. ทั้งฝั่งกลุ่มเงินดาร์ค และหัวโจกที่อยู่ฝั่งไทย ทำให้พี่น้องชาวไทย ได้เกิดการรับรู้ และนำไปสู่เกิดกระบวนการตรวจสอบ พี่คิงส์ขอสรุปผลการปฏิบัติภาระกิจดังนี้ 1. เราได้เปิดเผยถึงขบวนการใหญ่ ของกลุ่มเงินดาร์ค ที่ใช้การพีเคบิ๊กแม็ต เป็นช่องทางในการฟอก โดยทำมาแล้วทั้งฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย และได้แปะข้อมูลให้เข้าไปแปลเป็นไทยแล้วอ่านกันอย่างลึกซึ้งแล้ว 2. เราได้เปิดเผย ถึงลักษณะของเอเจนซี่ ที่เป็นร่างทรงของกลุ่มทุนดาร์ค ที่กำลังจะเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย เพราะประเทศเรายังมีความล่าช้าด้านข่าวสารมากๆ 3. เราได้เปิดเผย ถึงแผนของขบก เครือข่ายของ โจ มณฑนี รวมถึงได้ขุดถึงที่มาที่ไป และรายละเอียด ชนิดที่โจเองก็ตกใจ และณ เวลานี้ ทั้งปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการตรวจสอบทั้งทางลับ และเปิดเผย โยงเส้นเงินทั้ง ขบก ดังนั้น จากผลการปฏิบัติภาระกิจดังกล่าวถือว่าได้รับความสำเร็จ ต้องขอขอบคุณ พี่น้องชาวเพจคิงส์ฯ และพี่น้องชายไทย ที่ได้นำสารต่างๆ เข้าไปส่งต่อใน ตต. และโซเชียลในทุกรูปแบบ หากไม่มีพวกท่าน งานนี้คงไม่สามารถสื่อสารให้กับพี่น้องชาวไทยได้ขนาดนี้ และจากโพสต่างๆที่พี่คิงส์ฯได้ทำการให้ข้อมูลไปนั้น เพียงพอต่อการดำเนินการของทางเจ้าหน้าที่ ชี้เป้า รวมถึงมีการแจงรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วนแล้ว -ในเวลาที่ผ่านมา มีหลายอย่างที่พี่คิงส์อยากทำให้พี่น้องชาวไทย แต่ต้องทำภาระกิจนี้ให้ลุล่วงก่อน และวันนี้ก็มาถึง ดังนั้น ขอสรุปว่า 1. เพจคิงส์โพธิ์แดง จะนำเสนอเรื่องของโจมณฑนี และขบก.ต่อไป เฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่มีคนอยากให้ข้อมูลบางอย่าง สื่อสารสู่พี่น้องชาวไทย แต่ไม่กล้าเปิดหน้า พี่คิงส์จะสื่อสารให้เอง แต่จะไม่ได้โพสเรื่องนี้อย่างเดียว ทั้งวันทั้งคืนอีก 2. สิ่งที่พี่คิงส์ต้องการทำเพื่อคนไทยจากนี้ไปเพิ่มเติมคือ การรุกคืบของแรงงานต่างชาติ ที่เวลานี้ ได้บุกเข้ามายึดที่ทำกิน และสร้างกองกำลังอิทธิพล จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย และด้วยความถี่เป็นคนต่างด้าว ในจำนวนนั้นที่ไม่น้อยเลย ไม่มีหลักฐานรูปพรรณ หากทำอะไรคนไทย จะไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินการไปสู่การรับโทษได้ 3. เรื่องภั-ยทางธรรมชาติ ข้อมูลเชิงลึก ที่บางทีภาครัฐเองไม่กล้าเปิดเผย เพราะกลัวจะมีการตื่นตระหนก แต่ถ้าประชาชนไม่รู้ จะได้รับความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง 4. เรื่องทุนจีน ที่เข้ามาตัดราคาสินค้าในประเทศไทย ที่ทำให้ธุรกิจของคนไทย หายไปตอนนี้มากกว่า 80% ซึ่งพี่คิงส์ต้องหาข้อมูลมาส่งแฟนเพจ เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจของคนไทย ต้องล่มสลาย 5.พี่คิงส์ไม่ทิ้งน้องแน๊กและครอบครัว แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงส่งข้อมูลหลักฐานการละเมิดน้องแน๊กทางโซเชียลมาได้ตลอด เพราะพี่คิงส์ได้รับการขอความช่วยเหลือจาก...ให้เก็บรวบรวมหลักฐานทุกอย่างให้มากที่สุด ยังคงส่งมาได้อย่างต่อเนื่อง เหมือนเดิม -ดังนั้น ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่พี่คิงส์ต้องทำเพื่อคนไทย แต่ยังไม่ได้ทำ แต่แฟนเพจที่เป็นด้อมแพนด้าไม่ต้องกังวล ว่าพี่คิงส์จะทิ้งน้องชาลีและครอบครัว ฝากบอกน้องว่า พี่คิงส์จะเป็นเรือดำน้ำคุ้มภัยให้น้องเอง น้องข้า ใครอย่าแตะ และฝากถึงขบก.ของโจว่า คงเห็นแล้วว่าการท้าทายเพจคิงส์โพธิ์แดง ผลเป็นอย่างไร หรือถ้ามีการท้าทาย การข่มขู่ววพี่คิงส์อีก ก็ไม่เป็นการยากลำบาก ในการขุดทั้งวันทั้งคืนแบบนี้อีกเช่นกัน กรรูพร้อมเสมอ อิฉัด ส่วนพวกขี้คอก พวกเบี้ยตัวเล็กๆ ที่ประเมินตัวเองสูงเกินจริง ก็ปล่อยให้มันทำไป เพราะจากนี้ไป ยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นหลักฐานให้แฟนเพจคิงส์ ส่งมาให้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดิ้น ยิ่งมัดตัว เพราะกระบวนการดำเนินอยู่ทุกวัน เรื่องการรวบรวมพยานหลักฐาน และการตรวจสอบเชิงลึก พวกนี้จะเหมือนกบที่ถูกต้ม มันจะค่อยๆร้อน คิดว่ากำลังอาบน้ำอุ่น แต่มารู้ตัวว่าจะตรุย ก็ตอนที่ไม่มีแรงดิ้นออกจากหม้อแล้วนั่นเอง หากแฟนเพจ ได้อ่านแล้ว เห็นชอบตามที่พี่คิงส์แถลงนี้ ช่วยกดไลค์ หรือเม้นว่าเห็นด้วย เพื่อให้พี่คิงส์รับรู้ ว่าแฟนเพจ เข้าใจภาระกิจของพี่คิงส์ นับจากนี้ไป ขอบคุณล่วงหน้า ขอบคุณครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    14
    2 Comments 0 Shares 1270 Views 0 Reviews
  • #แหก-โจมณฑานี
    #เปิดความเชื่อมโยงโจมณฑนีเอเจนซี่และกลุ่มเงินดาร์ค
    เชื่อว่ามีแฟนเพจบางท่าน จะเห็นข้อความวาทะกรรม ว่าพี่คิงส์ มีปัญหาอะไรกับโจ มณฑานีมาก่อนหรือไม่ จึงพุ่งเป้าไปที่โจ ลองมาดูข้อมูลนี้กันนะครับ
    ความเกี่ยวข้องของโจมณฑานี จากเรื่องนี้ ที่ปฏิเสธไม่ได้
    1. โจ มณฑนี คือคนที่สื่อสารกับกามิน เอเจนซี่ จากเพียงไม่กี่คนที่ติดต่อได้จริง
    2. โจ มณฑนี คือคนที่แน๊กชาลี ให้เกียรติด้วยการเชิญเข้าไป ให้ทั้งซักถาม อธิบาย และให้ดูหลักฐาน
    3. โจ มณฑนี คือคนเดียว ที่เมื่อกลับออกมา ได้สื่อสารบิดเบือน กับสิ่งที่แน๊กได้อธิบาย
    4. โจ มณฑนี ยังคงกลับมาให้ร้ายแน๊ก โดยให้กลับไปดู โพสที่โจขู่ววเพจคิงส์โพธิ์แดง และสนธิในตอนท้าย จะมีแฮชแท็ก ชื่อของโ-ร-ค ทางจิต ที่โจยัดเยียดให้แน็กมาตลอด
    5. โจ มณฑนี คือคนที่ค่อยชี้ซ้าย ชี้ขวา ให้กับกลุ่ม DC เหมือนเป็นตัวแทนของกามิจ มีการชี้ชวนให้ไปเปย์ของขวัญให้กามิจทุกครั้ง โดยเฉพาะที่มีการพีเค
    6. โจ มณฑนี ได้แสดงจุดยืน ในการให้ข้อมูลต่างๆ ที่สร้างความชิงชังให้คนในกลุ่ม DC มีอคิตกับน้องแน๊ก เหมือนเป็นการสะกดจิตประจำวัน
    7. จากเดิม ที่แน๊ก ยังไม่ตัดสินใจในการหยุดความสัมพันธ์กับกามิน เพื่อปกป้องแฟนคลับของเค้า ในเดือนแรกๆโจเองก็ยังดูปกติ หากสังเกตุจุดเริ่มต้นการใส่ความแน๊กชาลี คือตั้งแต่ที่แน๊กได้ออกมาเตือนแฟนคลับ และขวางกามิจว่าไม่ควรจัดพีเค มันคือการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มฟ-อ-ก-อย่างชัดแจ้ง คำถามคือ ถ้าโจไม่รู้ไม่เห็น ทำไมโจต้องเริ่มแผนในการให้ร้ายแน็กตั้งแต่เวลานั้น
    8. จะพบว่า กามิจ ใช้วิธีการ อ่อย คนที่เป็น MVP ระดับเทพที่เปย์หลักแสนหลักล้าน ด้วยการทักส่วนตัว โดยมีการให้วาทะกรรมลักษณะที่ให้เข้าใจว่า กามิจไม่มีความสุขที่อยู่กับชาลี และเหมือนกามิจมีใจให้กับ MVP คำถามคือ กามิจ ไม่รู้ภาษาไทย ใคร คือคนชี้เป้า ใครคือคนแต่งบท ถ้าไม่ใช่การทำงานร่วมกันระหว่างโจ กับเอเจนซี่
    9. คิงส์โพธิ์แดง ได้ให้ข้อมูล จนบรรดาหัวๆของกลุ่ม โจ มณฑนี ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเวลานี้ สหรัฐ ไต้หวัน จีน และหลายๆประเทศในโซยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ต่างทำการล้างบาง ข บ ก.ฟอก ที่ต่างมาจากการสอดแทรกเงินดาร์ค ผ่านการจัดบิ๊กแม๊ต และการส่งของขวัญทุกที่
    10. จากข้อ 9 แล้วทำไม ลักษณะของการทำงานระหว่าง โจมณฑานี เอเจนซี่ กามิจ จึงตรงกับประเทศตามข้อ 9 ทุกประการ
    11. จากปรากฏคลิปล่าสุด ที่มีเกรียนคีย์บอร์ด ที่เป็นแค่เบี้ย แต่อยากได้ชื่อเสียงจากเหตุการณ์นี้ ทำทีอาลา-วาต เพื่อให้ทุกคนพุ่งเป้าสนใจ จนหลุดเฉลยความจริง ว่ามีคนหนึ่งในบรรดาที่น้องแน๊ก ให้เข้าไปบ้านคู้บอนเพื่ออธิบายได้แอบอัดคลิปเสียงไว้ และหนึ่งในคนที่คนผู้นั้นมาเปิดให้ฟังคือ เกรียนคีบอร์ด ชื่อย่อ ป. คำถามคือ โจ มณฑนี ได้รับเชิญ จากความไว้เนื้อเชื่อใจ ของแน๊กและครอบครัว แต่สิ่งที่โจทำ ไม่ได้ต่างจากคำว่าไส้ศึก
    12. ส่วนที่มีความเชื่อมโยง ระหว่าง ยูซผี เทรนทิพย์ ที่ถูกสร้างขึ้น หลักฐานสำคัญคือ เวลาที่ยูซผี มีการโพสข้อความ เพื่อมุ่งเล่นงานน้องชาลี มันมีความเป็นตีมเดียวกัน และสำนวนเป็นลายเซ็นต์ของโจมณฑานีล้วนๆ
    13. การสร้างยูซผี หรือการทำเทรนทิพย์ พี่คิงส์มีความรู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการดำเนินการลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดวิว ยอดไลค์ ยอดแชร์ ด้วยเรทถูกๆอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันต้องสร้างระบบขึ้นมา ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ และซอฟแวร์ และอุปกรณ์ otp ที่เป็นอุปกรณ์เดียวกับพวก ค..ลเซ็..เ..อร์ งบลงทุนที่จะปั๊มได้หลักแสนแบบนี้ และสามารถสู้กับระบบตรวจของแพลตฟอร์มได้ ต้องใช้เงินมหาศาล เพราะคือการป้อนคำสั่งเดียว ข้อความชุดเดียว และผ่านการเจนเนอเรตผ่านเอไอ เพื่อให้ไม่ถูกจับได้ว่า ข้อความนี้มาจากต้นฉบับเดียวกัน
    14. จากข้อที่ 13 นี้ คำถามคือ โจมณฑานี จะมีเงินมากขนาดนี้ได้อย่างไร ในการนำมาทำเทรนทิพย์ และยูซผี ยังไม่ถึงกองงานที่ทำแบบลูทีน ถึงแม้จะจ้างคนละไม่ถึงหมื่น แต่จำนวนหลายสิบคน โจ ทำเรื่องนี้คนเดียวได้อย่างไร นี่คือหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยง ซึ่งหากจะดูคำอ้างครั้งล่าสุด ที่พยายามปล่อยผ่านข้อความของยูซผีในแอพฟ้า ว่าฟอกมีจริง แต่เอเจนซี่กับกามิจไม่เกี่ยว รวมถึงโจ แต่มันไม่สามารถลบความจริงได้ เพราะเอเจนซี่เอง ซึ่งเป็นเอเจนซี่ที่เพิ่งเริ่มไม่นาน กับผลประโยชน์เพียงส่วนแบ่งจากค่าของขวัญ หาเหตุผลแห่งความคุ้มค่ายิ่งไม่ได้ และนี่คือสิ่งตอกย้ำว่ามาจากทุนดาร์คแน่นอน
    15. หากโจ มณฑนีจะปฏิเสธอีกว่า การปลุกปั่นให้สมาชิกกลุ่ม DC เปย์ และเป็นตัวหลักในการพีอาร์ให้เกิดบิ๊กแม๊ต ไม่เกี่ยวข้องกับการฟอก คำถามคือ หลังจากเพจคิงส์โพธิ์แดง ได้สาวถึงข บ ก จนสื่อหลักนำไปตีแผ่ ทำไมบิ๊กแม๊ตจึงหายไปจากสาระบบ ในเวลาเดียวกัน
    16. หลังจากการทำแคมเปญ รวมพลังทืบทุยเมื่อคืนนี้ เพื่อให้แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง และคนไทยทุกคนร่วมรวบรวมข้อมูลส่งให้ทางเพจ เพื่อดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งโพส และคอมเม้นที่ให้ร้ายน้องชาลี คำถามคือ บรรดา ขบก.เหล่านี้ ทำไมต้องลบเพจ ลบโพส ลบคอมเม้น หากเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองสื่อสารเป็นความถูกต้อง จนบางเพจ ต้องออกมาขอโทษ กลับลำ ว่าเข้าใจผิดจึงลบโพส
    17. พบสิ่งผิดปกติสำคัญที่ตรงกันอีก 1 เรื่อง คือบรรดาคนที่ออกตัว คุ-กคามน้องแน๊ก ทางโซเชียล ด้วยความลืมตัว ได้ทำการโพสว่า แต่ละคนต่างได้รับดอกไม้เป็นของขวัญจากกามิจ ในช่องทางส่วนตัวมันบ่งบอกว่า 17.1 กลุ่มนี้ติดต่อกับกามิจโดยตลอด 17.2 กามิจเห็นด้วยและชื่นชมในการที่กลุ่มนี้ออกมาให้ร้าย และเล่นงานแน๊ก
    18. จากข้อ 17 จึงเป็นจุดเชื่อมโยงอีกว่า ทุกครั้งที่โจขยับ กลุ่มเบี้ยเพจเหล่านี้ จะออกมาโพสในตีมเดียวกันกับโจมณฑนี และกามิน อ่านภาษไทยไม่ออก คำถามว่า ใครคือคนชี้เป้า ในการส่งดอกไม้เพื่อสร้างกำลังใจจากกามินสู่เครือข่ายที่ให้ร้ายชาลี
    19. โจ มณฑนี อ้างว่าพี่ชายกามินต้องการ ฟ้-อ-ง คนไทย ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่า ทุกการเคลื่อนไหวของโจ มณฑานี มีการรับรู้รับทราบ และผ่านกระบวนการวางแผนจากฝั่งเกาหลี และฝั่งไทยคือโจมณฑนี
    20. นอกจากทางโซเชียล ยังพบว่า มีการอัดเงินสนับสนุนให้กับ สนข.บางช่อง ที่ไม่สามารถเชื่อได้ว่า สิ่งที่นำเสนอมาจากความเขลาของบรรณาธิการข่าว เช่น รอบล่าสุด ทั้งๆที่มีประสบการณ์จากรอบที่แล้ว ที่ลงสื่อตามแนวทางของโจมณฑานีสื่อสาร โชว์เทรนทิพย์ อ้างว่ากระแสกลับไปที่กามิจ ทั้งๆที่คนไทยต่างคอมเม้นท้วงใต้โพส ว่ามันคือเทรนทิพย์ ซึ่ง สนข. เองก็สามารถเข้าไปแหกตาดูด้วยตัวเองได้ ว่ามันจริงหรือไม่ และเมื่อคืน เทรนทิพย์ที่แบนน้องแน็กก็หลุดไปแล้ว แต่เช้านี้ก็ยังประกาศข่าว ว่าแน๊กถูกแบนอีก แทนที่มีข่าวที่ใหญ่และใหม่กว่าคือการทะลุล้านวิวภายใน 20 กว่าชม. แต่ไม่ออก จึงมีความมั่นใจว่า นอกเหนือจาก ทางโซเชียลแล้ว ก็ยังมีสื่อบางสื่อที่ได้รับเงินจากกลุ่มเงินดาร์คผ่านโจมณฑานี ในการสร้างข่าวให้เกิดกระแส อย่างไม่มีความเขินอายในการลงข่าว กับอีกกลุ่มคือ สื่อที่ขาดสมองในการนำเสนอ แต่สื่อที่ดี ก็ยังมีอีกมาก ที่รู้เท่าทันว่าเทรนทิพย์จากยูซผี มันเช็คได้ สร้างกระแสได้ โดยไม่ต้องมีความจริงมาเกี่ยวข้อ
    โดยยังมีข้อมูลอีกมาก ที่ยิ่งขุด ก็ยิ่งชี้ลูกศรของเครือข่ายไปยัง โจ มณฑานี ว่าเป็นระดับหัว ในประเทศไทย ที่ร่วมมือกับเอเจนซี่ และกลุ่มทุนดาร์ค เพราะทุกอย่างมร่องรอยให้ย้อนสืบเสมอ โดยเฉพาะ การที่ปปงเริ่มลงมาจับงานนี้ การย้อนรอยกลับไปตั้งแต่ต้น จะทำให้เห็นเส้นเงินจากกลุ่มทุนดาร์ค ที่มีความผิดปกติ เข้าสู่กลุ่มเครือข่ายที่อยู่ในประเทศไทย
    20.ข้อนี้ พอไหม สำหรับสิ่งที่โจมณฑนี อ้างแบบหน้าซื่อ ใจคด ตี สองหน้า และน่าเสียใจแค่ไหน ที่น้องแน๊กไว้ใจ ให้เกียรติเสมอ ถึงขนาดเชิญเข้าไปที่บ้าน เพื่ออธิบาย และยังมองโลกในแง่ดีว่า ที่โจ เล่นงานน้องเพียงเพราะเข้าใจผิด แต่โจ กลับปฏิเสธแม้กระทั่งน้องแน๊ก เปิดห-ลั-ก-ฐ—าน--ให้ดู โจเป็นคนเดียวที่รับไม่ได้ ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดตาดูหลั-ก-ฐ-าน-นั้น และยับแอบอัดเสียง เพื่อส่งต่อให้กามิน เอเจนซี่ได้รับรู้ และยังตัดเฉพาะบางส่วน เพื่อให้บรรดาเบี้ยระดับล่าง แบบ ป. ยังได้ยิน
    แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อได้อ่านทั้ง 20 ข้อนี้ ท่านคิดว่า คิงส์ฯมีปัญหาส่วนตัวกับ โจมณฑนี หรือ
    คิงส์โพธิ์แดง ออกตัวทำงานนี้ เพื่อปกป้องน้องแน๊กชาลี และชาวไทยทุกคน
    เชิญตัดสินใจได้ ผมเคารพมุมมองและการตัดสินใจจากทุกท่าน
    แต่ยืนยันที่จะไม่หยุดทั้งขุด และรวบรวม-ห-ลั-ก-ฐ-า-น
    ถ้าปล่อยไว้ กลุ่มเงินดาร์ค จะใช้ไทย เป็นฐานในการฟอก ที่แหล่งเงินนั้นจะมาจากน้ำตาของคนไทยทั้งชาติ
    คิงส์โพธิ์แดง ยอมไม่ได้
    สัญญา
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #แหก-โจมณฑานี #เปิดความเชื่อมโยงโจมณฑนีเอเจนซี่และกลุ่มเงินดาร์ค เชื่อว่ามีแฟนเพจบางท่าน จะเห็นข้อความวาทะกรรม ว่าพี่คิงส์ มีปัญหาอะไรกับโจ มณฑานีมาก่อนหรือไม่ จึงพุ่งเป้าไปที่โจ ลองมาดูข้อมูลนี้กันนะครับ ความเกี่ยวข้องของโจมณฑานี จากเรื่องนี้ ที่ปฏิเสธไม่ได้ 1. โจ มณฑนี คือคนที่สื่อสารกับกามิน เอเจนซี่ จากเพียงไม่กี่คนที่ติดต่อได้จริง 2. โจ มณฑนี คือคนที่แน๊กชาลี ให้เกียรติด้วยการเชิญเข้าไป ให้ทั้งซักถาม อธิบาย และให้ดูหลักฐาน 3. โจ มณฑนี คือคนเดียว ที่เมื่อกลับออกมา ได้สื่อสารบิดเบือน กับสิ่งที่แน๊กได้อธิบาย 4. โจ มณฑนี ยังคงกลับมาให้ร้ายแน๊ก โดยให้กลับไปดู โพสที่โจขู่ววเพจคิงส์โพธิ์แดง และสนธิในตอนท้าย จะมีแฮชแท็ก ชื่อของโ-ร-ค ทางจิต ที่โจยัดเยียดให้แน็กมาตลอด 5. โจ มณฑนี คือคนที่ค่อยชี้ซ้าย ชี้ขวา ให้กับกลุ่ม DC เหมือนเป็นตัวแทนของกามิจ มีการชี้ชวนให้ไปเปย์ของขวัญให้กามิจทุกครั้ง โดยเฉพาะที่มีการพีเค 6. โจ มณฑนี ได้แสดงจุดยืน ในการให้ข้อมูลต่างๆ ที่สร้างความชิงชังให้คนในกลุ่ม DC มีอคิตกับน้องแน๊ก เหมือนเป็นการสะกดจิตประจำวัน 7. จากเดิม ที่แน๊ก ยังไม่ตัดสินใจในการหยุดความสัมพันธ์กับกามิน เพื่อปกป้องแฟนคลับของเค้า ในเดือนแรกๆโจเองก็ยังดูปกติ หากสังเกตุจุดเริ่มต้นการใส่ความแน๊กชาลี คือตั้งแต่ที่แน๊กได้ออกมาเตือนแฟนคลับ และขวางกามิจว่าไม่ควรจัดพีเค มันคือการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มฟ-อ-ก-อย่างชัดแจ้ง คำถามคือ ถ้าโจไม่รู้ไม่เห็น ทำไมโจต้องเริ่มแผนในการให้ร้ายแน็กตั้งแต่เวลานั้น 8. จะพบว่า กามิจ ใช้วิธีการ อ่อย คนที่เป็น MVP ระดับเทพที่เปย์หลักแสนหลักล้าน ด้วยการทักส่วนตัว โดยมีการให้วาทะกรรมลักษณะที่ให้เข้าใจว่า กามิจไม่มีความสุขที่อยู่กับชาลี และเหมือนกามิจมีใจให้กับ MVP คำถามคือ กามิจ ไม่รู้ภาษาไทย ใคร คือคนชี้เป้า ใครคือคนแต่งบท ถ้าไม่ใช่การทำงานร่วมกันระหว่างโจ กับเอเจนซี่ 9. คิงส์โพธิ์แดง ได้ให้ข้อมูล จนบรรดาหัวๆของกลุ่ม โจ มณฑนี ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเวลานี้ สหรัฐ ไต้หวัน จีน และหลายๆประเทศในโซยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ต่างทำการล้างบาง ข บ ก.ฟอก ที่ต่างมาจากการสอดแทรกเงินดาร์ค ผ่านการจัดบิ๊กแม๊ต และการส่งของขวัญทุกที่ 10. จากข้อ 9 แล้วทำไม ลักษณะของการทำงานระหว่าง โจมณฑานี เอเจนซี่ กามิจ จึงตรงกับประเทศตามข้อ 9 ทุกประการ 11. จากปรากฏคลิปล่าสุด ที่มีเกรียนคีย์บอร์ด ที่เป็นแค่เบี้ย แต่อยากได้ชื่อเสียงจากเหตุการณ์นี้ ทำทีอาลา-วาต เพื่อให้ทุกคนพุ่งเป้าสนใจ จนหลุดเฉลยความจริง ว่ามีคนหนึ่งในบรรดาที่น้องแน๊ก ให้เข้าไปบ้านคู้บอนเพื่ออธิบายได้แอบอัดคลิปเสียงไว้ และหนึ่งในคนที่คนผู้นั้นมาเปิดให้ฟังคือ เกรียนคีบอร์ด ชื่อย่อ ป. คำถามคือ โจ มณฑนี ได้รับเชิญ จากความไว้เนื้อเชื่อใจ ของแน๊กและครอบครัว แต่สิ่งที่โจทำ ไม่ได้ต่างจากคำว่าไส้ศึก 12. ส่วนที่มีความเชื่อมโยง ระหว่าง ยูซผี เทรนทิพย์ ที่ถูกสร้างขึ้น หลักฐานสำคัญคือ เวลาที่ยูซผี มีการโพสข้อความ เพื่อมุ่งเล่นงานน้องชาลี มันมีความเป็นตีมเดียวกัน และสำนวนเป็นลายเซ็นต์ของโจมณฑานีล้วนๆ 13. การสร้างยูซผี หรือการทำเทรนทิพย์ พี่คิงส์มีความรู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการดำเนินการลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดวิว ยอดไลค์ ยอดแชร์ ด้วยเรทถูกๆอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันต้องสร้างระบบขึ้นมา ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ และซอฟแวร์ และอุปกรณ์ otp ที่เป็นอุปกรณ์เดียวกับพวก ค..ลเซ็..เ..อร์ งบลงทุนที่จะปั๊มได้หลักแสนแบบนี้ และสามารถสู้กับระบบตรวจของแพลตฟอร์มได้ ต้องใช้เงินมหาศาล เพราะคือการป้อนคำสั่งเดียว ข้อความชุดเดียว และผ่านการเจนเนอเรตผ่านเอไอ เพื่อให้ไม่ถูกจับได้ว่า ข้อความนี้มาจากต้นฉบับเดียวกัน 14. จากข้อที่ 13 นี้ คำถามคือ โจมณฑานี จะมีเงินมากขนาดนี้ได้อย่างไร ในการนำมาทำเทรนทิพย์ และยูซผี ยังไม่ถึงกองงานที่ทำแบบลูทีน ถึงแม้จะจ้างคนละไม่ถึงหมื่น แต่จำนวนหลายสิบคน โจ ทำเรื่องนี้คนเดียวได้อย่างไร นี่คือหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยง ซึ่งหากจะดูคำอ้างครั้งล่าสุด ที่พยายามปล่อยผ่านข้อความของยูซผีในแอพฟ้า ว่าฟอกมีจริง แต่เอเจนซี่กับกามิจไม่เกี่ยว รวมถึงโจ แต่มันไม่สามารถลบความจริงได้ เพราะเอเจนซี่เอง ซึ่งเป็นเอเจนซี่ที่เพิ่งเริ่มไม่นาน กับผลประโยชน์เพียงส่วนแบ่งจากค่าของขวัญ หาเหตุผลแห่งความคุ้มค่ายิ่งไม่ได้ และนี่คือสิ่งตอกย้ำว่ามาจากทุนดาร์คแน่นอน 15. หากโจ มณฑนีจะปฏิเสธอีกว่า การปลุกปั่นให้สมาชิกกลุ่ม DC เปย์ และเป็นตัวหลักในการพีอาร์ให้เกิดบิ๊กแม๊ต ไม่เกี่ยวข้องกับการฟอก คำถามคือ หลังจากเพจคิงส์โพธิ์แดง ได้สาวถึงข บ ก จนสื่อหลักนำไปตีแผ่ ทำไมบิ๊กแม๊ตจึงหายไปจากสาระบบ ในเวลาเดียวกัน 16. หลังจากการทำแคมเปญ รวมพลังทืบทุยเมื่อคืนนี้ เพื่อให้แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง และคนไทยทุกคนร่วมรวบรวมข้อมูลส่งให้ทางเพจ เพื่อดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งโพส และคอมเม้นที่ให้ร้ายน้องชาลี คำถามคือ บรรดา ขบก.เหล่านี้ ทำไมต้องลบเพจ ลบโพส ลบคอมเม้น หากเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองสื่อสารเป็นความถูกต้อง จนบางเพจ ต้องออกมาขอโทษ กลับลำ ว่าเข้าใจผิดจึงลบโพส 17. พบสิ่งผิดปกติสำคัญที่ตรงกันอีก 1 เรื่อง คือบรรดาคนที่ออกตัว คุ-กคามน้องแน๊ก ทางโซเชียล ด้วยความลืมตัว ได้ทำการโพสว่า แต่ละคนต่างได้รับดอกไม้เป็นของขวัญจากกามิจ ในช่องทางส่วนตัวมันบ่งบอกว่า 17.1 กลุ่มนี้ติดต่อกับกามิจโดยตลอด 17.2 กามิจเห็นด้วยและชื่นชมในการที่กลุ่มนี้ออกมาให้ร้าย และเล่นงานแน๊ก 18. จากข้อ 17 จึงเป็นจุดเชื่อมโยงอีกว่า ทุกครั้งที่โจขยับ กลุ่มเบี้ยเพจเหล่านี้ จะออกมาโพสในตีมเดียวกันกับโจมณฑนี และกามิน อ่านภาษไทยไม่ออก คำถามว่า ใครคือคนชี้เป้า ในการส่งดอกไม้เพื่อสร้างกำลังใจจากกามินสู่เครือข่ายที่ให้ร้ายชาลี 19. โจ มณฑนี อ้างว่าพี่ชายกามินต้องการ ฟ้-อ-ง คนไทย ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่า ทุกการเคลื่อนไหวของโจ มณฑานี มีการรับรู้รับทราบ และผ่านกระบวนการวางแผนจากฝั่งเกาหลี และฝั่งไทยคือโจมณฑนี 20. นอกจากทางโซเชียล ยังพบว่า มีการอัดเงินสนับสนุนให้กับ สนข.บางช่อง ที่ไม่สามารถเชื่อได้ว่า สิ่งที่นำเสนอมาจากความเขลาของบรรณาธิการข่าว เช่น รอบล่าสุด ทั้งๆที่มีประสบการณ์จากรอบที่แล้ว ที่ลงสื่อตามแนวทางของโจมณฑานีสื่อสาร โชว์เทรนทิพย์ อ้างว่ากระแสกลับไปที่กามิจ ทั้งๆที่คนไทยต่างคอมเม้นท้วงใต้โพส ว่ามันคือเทรนทิพย์ ซึ่ง สนข. เองก็สามารถเข้าไปแหกตาดูด้วยตัวเองได้ ว่ามันจริงหรือไม่ และเมื่อคืน เทรนทิพย์ที่แบนน้องแน็กก็หลุดไปแล้ว แต่เช้านี้ก็ยังประกาศข่าว ว่าแน๊กถูกแบนอีก แทนที่มีข่าวที่ใหญ่และใหม่กว่าคือการทะลุล้านวิวภายใน 20 กว่าชม. แต่ไม่ออก จึงมีความมั่นใจว่า นอกเหนือจาก ทางโซเชียลแล้ว ก็ยังมีสื่อบางสื่อที่ได้รับเงินจากกลุ่มเงินดาร์คผ่านโจมณฑานี ในการสร้างข่าวให้เกิดกระแส อย่างไม่มีความเขินอายในการลงข่าว กับอีกกลุ่มคือ สื่อที่ขาดสมองในการนำเสนอ แต่สื่อที่ดี ก็ยังมีอีกมาก ที่รู้เท่าทันว่าเทรนทิพย์จากยูซผี มันเช็คได้ สร้างกระแสได้ โดยไม่ต้องมีความจริงมาเกี่ยวข้อ โดยยังมีข้อมูลอีกมาก ที่ยิ่งขุด ก็ยิ่งชี้ลูกศรของเครือข่ายไปยัง โจ มณฑานี ว่าเป็นระดับหัว ในประเทศไทย ที่ร่วมมือกับเอเจนซี่ และกลุ่มทุนดาร์ค เพราะทุกอย่างมร่องรอยให้ย้อนสืบเสมอ โดยเฉพาะ การที่ปปงเริ่มลงมาจับงานนี้ การย้อนรอยกลับไปตั้งแต่ต้น จะทำให้เห็นเส้นเงินจากกลุ่มทุนดาร์ค ที่มีความผิดปกติ เข้าสู่กลุ่มเครือข่ายที่อยู่ในประเทศไทย 20.ข้อนี้ พอไหม สำหรับสิ่งที่โจมณฑนี อ้างแบบหน้าซื่อ ใจคด ตี สองหน้า และน่าเสียใจแค่ไหน ที่น้องแน๊กไว้ใจ ให้เกียรติเสมอ ถึงขนาดเชิญเข้าไปที่บ้าน เพื่ออธิบาย และยังมองโลกในแง่ดีว่า ที่โจ เล่นงานน้องเพียงเพราะเข้าใจผิด แต่โจ กลับปฏิเสธแม้กระทั่งน้องแน๊ก เปิดห-ลั-ก-ฐ—าน--ให้ดู โจเป็นคนเดียวที่รับไม่ได้ ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดตาดูหลั-ก-ฐ-าน-นั้น และยับแอบอัดเสียง เพื่อส่งต่อให้กามิน เอเจนซี่ได้รับรู้ และยังตัดเฉพาะบางส่วน เพื่อให้บรรดาเบี้ยระดับล่าง แบบ ป. ยังได้ยิน แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อได้อ่านทั้ง 20 ข้อนี้ ท่านคิดว่า คิงส์ฯมีปัญหาส่วนตัวกับ โจมณฑนี หรือ คิงส์โพธิ์แดง ออกตัวทำงานนี้ เพื่อปกป้องน้องแน๊กชาลี และชาวไทยทุกคน เชิญตัดสินใจได้ ผมเคารพมุมมองและการตัดสินใจจากทุกท่าน แต่ยืนยันที่จะไม่หยุดทั้งขุด และรวบรวม-ห-ลั-ก-ฐ-า-น ถ้าปล่อยไว้ กลุ่มเงินดาร์ค จะใช้ไทย เป็นฐานในการฟอก ที่แหล่งเงินนั้นจะมาจากน้ำตาของคนไทยทั้งชาติ คิงส์โพธิ์แดง ยอมไม่ได้ สัญญา #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 2280 Views 0 Reviews
  • รู้สึกเหมือนได้เริ่มในโลกใหม่เพราะแพลตฟอร์มยอดนิยมเดิมผมไม่สันทัดมุมมองนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้คัดกรองมาส่วนหนึ่งจากการรับรู้ในการสมัครสมาชิกในช่วงแรกเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนกันคือต้องการค้นหาความจริงความถูกต้องความดีเลยเป็นแหล่งที่น่าจะมีคุณภาพกว่าแพลตฟอร์มหลักปัจจุบันผมจึงตัดสินใจทำเรื่องสนุกๆขึ้นมากับชีวิตถือว่าเริ่มตื่นเต้นเหมือนกัน
    การเขียนการเล่าออกมาโดยไม่ได้คาดหวังอะไรยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากจะเล่ามันออกไปเรื่อยๆวันนี้วันแรกผมก็เริ่มสนุกแล้ว
    รู้สึกเหมือนได้เริ่มในโลกใหม่เพราะแพลตฟอร์มยอดนิยมเดิมผมไม่สันทัดมุมมองนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้คัดกรองมาส่วนหนึ่งจากการรับรู้ในการสมัครสมาชิกในช่วงแรกเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนกันคือต้องการค้นหาความจริงความถูกต้องความดีเลยเป็นแหล่งที่น่าจะมีคุณภาพกว่าแพลตฟอร์มหลักปัจจุบันผมจึงตัดสินใจทำเรื่องสนุกๆขึ้นมากับชีวิตถือว่าเริ่มตื่นเต้นเหมือนกัน การเขียนการเล่าออกมาโดยไม่ได้คาดหวังอะไรยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากจะเล่ามันออกไปเรื่อยๆวันนี้วันแรกผมก็เริ่มสนุกแล้ว
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • #ความเชื่อ#
    #การรับรู้#
    #ความคิด#
    🪷🪷
    _ความเชื่อ (ย่อ)
    ลอยน้ำมาจากทางเหนือ กับพระพี่น้อง บางตำนานว่า 3 บางตำนานว่า 5 ถูกอัญเชิญขึ้น ณ วัดโสธรในปัจจุบัน
    _ การรับรู้ ผู้มิมิตรท่านนึง กล่าวว่า หล่อขึ้นที่เชียงใหม่ (จำตรงตรงนี้ไว้) และเมื่อเกิดสงคราม เข้าประชิดเมือง จึงผูกแพลอยน้ำไป เพื่อรอดจากการเผาทำลาย และมาขึ้นที่วัดโสธรในปัจจุบัน
    _ ความคิด จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ชุมชนนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นย่านการค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นปากอ่าวติดทะเล เมื่อมีชุมชน ก็มีศาสนสถาน (เป็นทุกอารยะธรรม) ในที่นี้ก็คือ วัด และศิลปะในองค์พระ คือ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย และถูกแกะขึ้นจากหินทราย แบบหลายชิ้นมาประกอบกัน (ไม่ใช่การหล่อโลหะ) และยังพบพระพุทธรูปศิลปะแบบนี้ อีกหลายวัด ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ ....จากข้อมูลประกอบ จึงมีข้อสรุปที่ว่า ไม่ได้มาจากที่อื่น คงสร้างและอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก
    🙂😊🙏 ท่านผู้อ่านจะเชื่อแบบใด แล้วแต่ท่านเลย เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล.
    #ความเชื่อ# #การรับรู้# #ความคิด# 🪷🪷 _ความเชื่อ (ย่อ) ลอยน้ำมาจากทางเหนือ กับพระพี่น้อง บางตำนานว่า 3 บางตำนานว่า 5 ถูกอัญเชิญขึ้น ณ วัดโสธรในปัจจุบัน _ การรับรู้ ผู้มิมิตรท่านนึง กล่าวว่า หล่อขึ้นที่เชียงใหม่ (จำตรงตรงนี้ไว้) และเมื่อเกิดสงคราม เข้าประชิดเมือง จึงผูกแพลอยน้ำไป เพื่อรอดจากการเผาทำลาย และมาขึ้นที่วัดโสธรในปัจจุบัน _ ความคิด จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ชุมชนนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นย่านการค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นปากอ่าวติดทะเล เมื่อมีชุมชน ก็มีศาสนสถาน (เป็นทุกอารยะธรรม) ในที่นี้ก็คือ วัด และศิลปะในองค์พระ คือ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย และถูกแกะขึ้นจากหินทราย แบบหลายชิ้นมาประกอบกัน (ไม่ใช่การหล่อโลหะ) และยังพบพระพุทธรูปศิลปะแบบนี้ อีกหลายวัด ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ ....จากข้อมูลประกอบ จึงมีข้อสรุปที่ว่า ไม่ได้มาจากที่อื่น คงสร้างและอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก 🙂😊🙏 ท่านผู้อ่านจะเชื่อแบบใด แล้วแต่ท่านเลย เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล.
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 349 Views 0 Reviews
  • ค่ายรถจีนแซงหน้ายักษ์ใหญ่ในตะวันตกด้านต้นทุนและคุณภาพ
    ขอบคุณภาพจาก CGTN
    16.09.2024
    ผู้ผลิตรถยนต์จีนใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ลดต่ำลง การเข้าถึงวัตถุดิบที่ถูกกว่า และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตยานยนต์ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถเสนอราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้

    แบรนด์รถยนต์จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการควบคุมคุณภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ขั้นตอนการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด และระบบการจัดการการจัดการซัพพลายเออร์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือเกินกว่านั้น การเน้นย้ำด้านคุณภาพนี้ช่วยปรับปรุงการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์จีนในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก

    ผู้ผลิตรถยนต์จีนยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยทุ่มลงทุนมหาศาลในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบขับขี่อัตโนมัติ และฟีเจอร์ขั้นสูงอื่นๆ แบรนด์จีนจึงมักแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมในแง่ของฟีเจอร์และความสามารถทางเทคโนโลยี โดยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในอนาคตของการเดินทาง

    ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังขยายฐานการผลิตทั่วโลกอย่างแข็งขัน โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำลังสร้างโรงงานผลิต จัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่าย และจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อสร้างฐานที่มั่นในภูมิภาคเหล่านี้ กลยุทธ์การขยายตัวนี้ช่วยให้แบรนด์จีนเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตกอย่าง Ford และ GM ได้

    By IMCT NEWS
    อ้างอิงจาก: https://www.njcee.org/finance/chinese-automakers-are-far-ahead-of-ford-and-gm-on-cost-and-quality.html





    ค่ายรถจีนแซงหน้ายักษ์ใหญ่ในตะวันตกด้านต้นทุนและคุณภาพ ขอบคุณภาพจาก CGTN 16.09.2024 ผู้ผลิตรถยนต์จีนใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ลดต่ำลง การเข้าถึงวัตถุดิบที่ถูกกว่า และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตยานยนต์ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถเสนอราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้ แบรนด์รถยนต์จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการควบคุมคุณภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ขั้นตอนการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด และระบบการจัดการการจัดการซัพพลายเออร์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือเกินกว่านั้น การเน้นย้ำด้านคุณภาพนี้ช่วยปรับปรุงการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์จีนในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก ผู้ผลิตรถยนต์จีนยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยทุ่มลงทุนมหาศาลในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบขับขี่อัตโนมัติ และฟีเจอร์ขั้นสูงอื่นๆ แบรนด์จีนจึงมักแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมในแง่ของฟีเจอร์และความสามารถทางเทคโนโลยี โดยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในอนาคตของการเดินทาง ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังขยายฐานการผลิตทั่วโลกอย่างแข็งขัน โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำลังสร้างโรงงานผลิต จัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่าย และจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อสร้างฐานที่มั่นในภูมิภาคเหล่านี้ กลยุทธ์การขยายตัวนี้ช่วยให้แบรนด์จีนเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตกอย่าง Ford และ GM ได้ By IMCT NEWS อ้างอิงจาก: https://www.njcee.org/finance/chinese-automakers-are-far-ahead-of-ford-and-gm-on-cost-and-quality.html
    Like
    14
    0 Comments 0 Shares 1304 Views 0 Reviews
More Results