นักวิชาการเชื่อว่า สมัยนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณ ทุ่งหญ้าสเตปป์ในยุโรปตะวันออกและพูดภาษาที่นักวิชาการ เรียกว่า “โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน” (Proto-Indo-European) หรือ “อินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม
เวลาต่อมา คนกลุ่มนี้แยกย้ายอพยพไปตั้งรกรากในที่ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือไปจนถึงเอเชียตะวันออกกลางและ อินเดีย ส่วนภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนที่คนเหล่านี้พกติดตัว ไปด้วยก็พัฒนาไปเป็นภาษาตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลภาษา เจอร์แมนิก (Germanic เช่น ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ) ตระกูลภาษาอิแทลิก (Italic เช่น ภาษาละติน) และตระกูลภาษา อินโด-อารยัน (Indo-Aryan เช่น ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี) เป็นต้น
จากหนังสือ #WordOdyssey #คำสัมพันธ์ศัพท์ซ้อน
เวลาต่อมา คนกลุ่มนี้แยกย้ายอพยพไปตั้งรกรากในที่ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือไปจนถึงเอเชียตะวันออกกลางและ อินเดีย ส่วนภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนที่คนเหล่านี้พกติดตัว ไปด้วยก็พัฒนาไปเป็นภาษาตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลภาษา เจอร์แมนิก (Germanic เช่น ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ) ตระกูลภาษาอิแทลิก (Italic เช่น ภาษาละติน) และตระกูลภาษา อินโด-อารยัน (Indo-Aryan เช่น ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี) เป็นต้น
จากหนังสือ #WordOdyssey #คำสัมพันธ์ศัพท์ซ้อน
นักวิชาการเชื่อว่า สมัยนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณ ทุ่งหญ้าสเตปป์ในยุโรปตะวันออกและพูดภาษาที่นักวิชาการ เรียกว่า “โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน” (Proto-Indo-European) หรือ “อินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม
เวลาต่อมา คนกลุ่มนี้แยกย้ายอพยพไปตั้งรกรากในที่ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือไปจนถึงเอเชียตะวันออกกลางและ อินเดีย ส่วนภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนที่คนเหล่านี้พกติดตัว ไปด้วยก็พัฒนาไปเป็นภาษาตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลภาษา เจอร์แมนิก (Germanic เช่น ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ) ตระกูลภาษาอิแทลิก (Italic เช่น ภาษาละติน) และตระกูลภาษา อินโด-อารยัน (Indo-Aryan เช่น ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี) เป็นต้น
จากหนังสือ #WordOdyssey #คำสัมพันธ์ศัพท์ซ้อน
0 Comments
0 Shares
4 Views
0 Reviews