ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่า “เราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด” เนื้อหาในนั้นอธิบายเหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อให้ได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเก่งขึ้นต้องรวยขึ้น
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่าเราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา “มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย” และ
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมสวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี แล้วจุดพีคของเกมนี้ที่เราลืมไปหรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมนี้มีเวลาสิ้นสุด”
ที่พีคไปกว่านั้นคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้”
ใช่ครับ ความจริงที่เป็นที่สุดคือเราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน
จากหนังสือ #สู้ดิวะ
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่าเราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา “มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย” และ
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมสวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี แล้วจุดพีคของเกมนี้ที่เราลืมไปหรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมนี้มีเวลาสิ้นสุด”
ที่พีคไปกว่านั้นคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้”
ใช่ครับ ความจริงที่เป็นที่สุดคือเราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน
จากหนังสือ #สู้ดิวะ
ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่า “เราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด” เนื้อหาในนั้นอธิบายเหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อให้ได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเก่งขึ้นต้องรวยขึ้น
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่าเราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา “มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย” และ
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมสวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี แล้วจุดพีคของเกมนี้ที่เราลืมไปหรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมนี้มีเวลาสิ้นสุด”
ที่พีคไปกว่านั้นคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้”
ใช่ครับ ความจริงที่เป็นที่สุดคือเราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน
จากหนังสือ #สู้ดิวะ
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
13 มุมมอง
0 รีวิว