จุดไฟเผาชาวมาเลย์ฯ สะเทือนท่องเที่ยวไทย

นักท่องเที่ยวชาย-หญิง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ถูกนายวรากร พับไธสง อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว ใช้ทินเนอร์บรรจุขวดพลาสติก 1.5 ลิตรสาดใส่ ก่อนจุดไฟเผาแล้ววิ่งหนี เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวบาดเจ็บสาหัส ส่วนนายวรากรวิ่งหลบหนีแต่พลเมืองดีตามจับตัวเอาไว้ได้ เหตุเกิดที่หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 22.00 น. ของวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าตัวอ้างว่าที่ก่อเหตุเพราะความเครียด ตกงาน ไม่มีรายได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นนักมวย ไปสมัครงานเป็น รปภ. แต่เพิ่งถูกให้ออกจากงาน ออกมาหางานทำแต่ไม่มีใครรับเข้าทำงาน อีกทั้งยังไม่ได้กินข้าว ทำให้เครียดหนัก

ทางการไทยยังคงมาตรการวัวหายแล้วล้อมคอกอีกตามเคย เกิดเหตุสะเทือนขวัญทีออกมาขยับที นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งๆ ที่ย่านราชประสงค์เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ควรที่จะรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว แต่สภาพที่แท้จริงเต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ แท็กซี่และรถสามล้อครองถนนเบียดบังรถประจำทาง โก่งราคาเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ยิ่งในยามค่ำคืนหลัง 4 ทุ่มมีสภาพวังเวง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความปลอดภัยที่หย่อนยาน และไม่มีใครแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมาเลเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นอันดับสอง ด้วยตัวเลขในปี 2567 จำนวน 4.95 ล้านคน รองจากนักท่องเที่ยวจีน 6.73 ล้านคน และปัจจุบัน 8 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย 2.70 ล้านคน ใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวจีน 2.73 ล้านคน ข่าวที่เกิดขึ้นถูกตีพิมพ์ในสื่อยักษ์ใหญ่ของมาเลเซีย ทั้ง The Star, New Straits Times และอีกหลายสำนัก คอมเมนต์ชาวมาเลเซียบอกเล่าประสบการณ์ว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยอันตราย เช่น มีมิจฉาชีพล้อมหน้าล้อมหลัง มีรถตุ๊กตุ๊กขอเงินเพิ่มแล้วพอตกลงกันไม่ได้ก็ทิ้งไว้กลางทาง มีแท็กซี่ขับออกนอกเส้นทาง และอีกสารพัดพฤติกรรม

ในสภาวะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะสูญญากาศ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มีสถานะไม่มั่นคง กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาในเร็ววันนี้ ขณะที่ความมั่นคงของประเทศสั่นสะเทือนจากเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลไปถึงความหย่อนยานในหลายภาคส่วนทั้งเศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงการท่องเที่ยว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือแต่ละภาคส่วนต้องดูแลกันเอง พึ่งพารัฐบาลให้น้อยที่สุด เพราะประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อฟังรัฐบาลแล้ว จนกว่าการเมืองจะกลับมามีเสถียรภาพ หรือมีรัฐบาลชุดใหม่ที่ชัดเจนกว่านี้

#Newskit

(ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ลงใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568)
จุดไฟเผาชาวมาเลย์ฯ สะเทือนท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวชาย-หญิง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ถูกนายวรากร พับไธสง อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว ใช้ทินเนอร์บรรจุขวดพลาสติก 1.5 ลิตรสาดใส่ ก่อนจุดไฟเผาแล้ววิ่งหนี เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวบาดเจ็บสาหัส ส่วนนายวรากรวิ่งหลบหนีแต่พลเมืองดีตามจับตัวเอาไว้ได้ เหตุเกิดที่หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 22.00 น. ของวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าตัวอ้างว่าที่ก่อเหตุเพราะความเครียด ตกงาน ไม่มีรายได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นนักมวย ไปสมัครงานเป็น รปภ. แต่เพิ่งถูกให้ออกจากงาน ออกมาหางานทำแต่ไม่มีใครรับเข้าทำงาน อีกทั้งยังไม่ได้กินข้าว ทำให้เครียดหนัก ทางการไทยยังคงมาตรการวัวหายแล้วล้อมคอกอีกตามเคย เกิดเหตุสะเทือนขวัญทีออกมาขยับที นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งๆ ที่ย่านราชประสงค์เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ควรที่จะรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว แต่สภาพที่แท้จริงเต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ แท็กซี่และรถสามล้อครองถนนเบียดบังรถประจำทาง โก่งราคาเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ยิ่งในยามค่ำคืนหลัง 4 ทุ่มมีสภาพวังเวง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความปลอดภัยที่หย่อนยาน และไม่มีใครแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมาเลเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นอันดับสอง ด้วยตัวเลขในปี 2567 จำนวน 4.95 ล้านคน รองจากนักท่องเที่ยวจีน 6.73 ล้านคน และปัจจุบัน 8 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย 2.70 ล้านคน ใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวจีน 2.73 ล้านคน ข่าวที่เกิดขึ้นถูกตีพิมพ์ในสื่อยักษ์ใหญ่ของมาเลเซีย ทั้ง The Star, New Straits Times และอีกหลายสำนัก คอมเมนต์ชาวมาเลเซียบอกเล่าประสบการณ์ว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยอันตราย เช่น มีมิจฉาชีพล้อมหน้าล้อมหลัง มีรถตุ๊กตุ๊กขอเงินเพิ่มแล้วพอตกลงกันไม่ได้ก็ทิ้งไว้กลางทาง มีแท็กซี่ขับออกนอกเส้นทาง และอีกสารพัดพฤติกรรม ในสภาวะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะสูญญากาศ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่มีสถานะไม่มั่นคง กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาในเร็ววันนี้ ขณะที่ความมั่นคงของประเทศสั่นสะเทือนจากเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลไปถึงความหย่อนยานในหลายภาคส่วนทั้งเศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงการท่องเที่ยว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือแต่ละภาคส่วนต้องดูแลกันเอง พึ่งพารัฐบาลให้น้อยที่สุด เพราะประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อฟังรัฐบาลแล้ว จนกว่าการเมืองจะกลับมามีเสถียรภาพ หรือมีรัฐบาลชุดใหม่ที่ชัดเจนกว่านี้ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ลงใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568)
Like
1
0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews