พัฒนาการอย่างที่สองเกิดขึ้นเมื่อปี 1960 นั่นคือพัฒนาการของเทคโนโลยีชนิดใหม่ซึ่งเปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถตรวจวัดระดับฮอร์โมนที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดได้อย่างเที่ยงตรงเป็นครั้งแรก เทคโนโลยีแอสเซย์ คือผลงานการประดิษฐ์คิดค้นที่เรียกว่าเรดิโออิมมูโนแอสเซย์ฟิสิกส์การแพทย์ชื่อโรสลิน ยาโลว์ (Rosalyn Yalow) ร่วมกับแพทย์ชื่อโซโลมอน เบอร์สัน (Solomon Berson) เมื่อยาโลว์ได้รับรางวัลโนเบล จากผลงานชิ้นนี้ในปี 1977 (ถึงตอนนั้นเบอร์สันไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นผู้รับรางวัลร่วมกันแล้ว) มูลนิธิโนเบลก็บรรยายเทคโนโลยีนี้ไว้อย่างเหมาะเจาะว่ามันก่อให้เกิด “การปฏิวัติในงานวิจัยด้านชีววิทยาและการแพทย์” มาบัดนี้ ในที่สุดผู้ที่สนใจโรคอ้วนก็สามารถตอบคำถามที่แพทย์ชาวยุโรปในช่วง ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองได้แต่คาดเดานั่นคือ ฮอร์โมนชนิดใดที่ควบคุมการเก็บสะสมไขมันในเซลล์ไขมันและการที่ร่างกายนำไขมันเหล่านี้ไปใช้ เป็นพลังงาน
คำตอบเริ่มหลั่งไหลมาพร้อมกับการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย ชิ้นแรกๆจากห้องปฏิบัติการของยาโลว์และเบอร์สันและได้รับการยืนยันจากคนอื่นๆในทันที ปรากฏว่าฮอร์โมนแทบทุกชนิดล้วนทำหน้าที่ระดม ไขมันจากเซลล์ไขมันเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ฮอร์โมนส่งสัญญาณให้ร่างกายของเราทำหน้าที่ ไม่ว่าจะหนีหรือสู้เจริญพันธุ์ หรือเจริญเติบโต ทั้งยังส่งสัญญาณให้เซลล์ไขมันจัดหาแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อการทำหน้าที่เหล่านี้ ข้อยกเว้นที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของการส่งสัญญาณระดมพลังงานที่ว่านี้ก็คืออินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับที่นักวิจัย ยังคงสันนิษฐานกันในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกรายมีไม่เพียงพอ ยาโลว์และเบอร์สันให้ข้อมูลว่า เราอาจมองว่าอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่จัดการว่าร่างกายจะใช้หรือ “แบ่งสันปันส่วน” พลังงานจาก อาหารที่บริโภคเข้ามาอย่างไร
จากหนังสือ #หวานซ่อนตาย #TheCaseAgainstSugar
คำตอบเริ่มหลั่งไหลมาพร้อมกับการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย ชิ้นแรกๆจากห้องปฏิบัติการของยาโลว์และเบอร์สันและได้รับการยืนยันจากคนอื่นๆในทันที ปรากฏว่าฮอร์โมนแทบทุกชนิดล้วนทำหน้าที่ระดม ไขมันจากเซลล์ไขมันเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ฮอร์โมนส่งสัญญาณให้ร่างกายของเราทำหน้าที่ ไม่ว่าจะหนีหรือสู้เจริญพันธุ์ หรือเจริญเติบโต ทั้งยังส่งสัญญาณให้เซลล์ไขมันจัดหาแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อการทำหน้าที่เหล่านี้ ข้อยกเว้นที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของการส่งสัญญาณระดมพลังงานที่ว่านี้ก็คืออินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับที่นักวิจัย ยังคงสันนิษฐานกันในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกรายมีไม่เพียงพอ ยาโลว์และเบอร์สันให้ข้อมูลว่า เราอาจมองว่าอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่จัดการว่าร่างกายจะใช้หรือ “แบ่งสันปันส่วน” พลังงานจาก อาหารที่บริโภคเข้ามาอย่างไร
จากหนังสือ #หวานซ่อนตาย #TheCaseAgainstSugar
พัฒนาการอย่างที่สองเกิดขึ้นเมื่อปี 1960 นั่นคือพัฒนาการของเทคโนโลยีชนิดใหม่ซึ่งเปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถตรวจวัดระดับฮอร์โมนที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดได้อย่างเที่ยงตรงเป็นครั้งแรก เทคโนโลยีแอสเซย์ คือผลงานการประดิษฐ์คิดค้นที่เรียกว่าเรดิโออิมมูโนแอสเซย์ฟิสิกส์การแพทย์ชื่อโรสลิน ยาโลว์ (Rosalyn Yalow) ร่วมกับแพทย์ชื่อโซโลมอน เบอร์สัน (Solomon Berson) เมื่อยาโลว์ได้รับรางวัลโนเบล จากผลงานชิ้นนี้ในปี 1977 (ถึงตอนนั้นเบอร์สันไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นผู้รับรางวัลร่วมกันแล้ว) มูลนิธิโนเบลก็บรรยายเทคโนโลยีนี้ไว้อย่างเหมาะเจาะว่ามันก่อให้เกิด “การปฏิวัติในงานวิจัยด้านชีววิทยาและการแพทย์” มาบัดนี้ ในที่สุดผู้ที่สนใจโรคอ้วนก็สามารถตอบคำถามที่แพทย์ชาวยุโรปในช่วง ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองได้แต่คาดเดานั่นคือ ฮอร์โมนชนิดใดที่ควบคุมการเก็บสะสมไขมันในเซลล์ไขมันและการที่ร่างกายนำไขมันเหล่านี้ไปใช้ เป็นพลังงาน
คำตอบเริ่มหลั่งไหลมาพร้อมกับการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย ชิ้นแรกๆจากห้องปฏิบัติการของยาโลว์และเบอร์สันและได้รับการยืนยันจากคนอื่นๆในทันที ปรากฏว่าฮอร์โมนแทบทุกชนิดล้วนทำหน้าที่ระดม ไขมันจากเซลล์ไขมันเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ฮอร์โมนส่งสัญญาณให้ร่างกายของเราทำหน้าที่ ไม่ว่าจะหนีหรือสู้เจริญพันธุ์ หรือเจริญเติบโต ทั้งยังส่งสัญญาณให้เซลล์ไขมันจัดหาแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อการทำหน้าที่เหล่านี้ ข้อยกเว้นที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของการส่งสัญญาณระดมพลังงานที่ว่านี้ก็คืออินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับที่นักวิจัย ยังคงสันนิษฐานกันในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกรายมีไม่เพียงพอ ยาโลว์และเบอร์สันให้ข้อมูลว่า เราอาจมองว่าอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่จัดการว่าร่างกายจะใช้หรือ “แบ่งสันปันส่วน” พลังงานจาก อาหารที่บริโภคเข้ามาอย่างไร
จากหนังสือ #หวานซ่อนตาย #TheCaseAgainstSugar
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
10 มุมมอง
0 รีวิว