ญี่ปุ่น 5 : ชินกันเซ็น
 
วันก่อนผมมีโอกาสได้นั่งรถไฟชินกันเซ็นครับ
 
ด้วยความที่ว่าห้องโดยสารของชินกันเซ็นนั้นสวยงาม สบาย และเงียบกริบราวกับว่าไม่ได้วิ่งอยู่ด้วยความเร็ว 300 กม./ชม.
 
ผมนั่งหลับตาไปก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า “วิศวกรญี่ปุ่นมีความสามารถสร้างรถไฟได้ดีเลิศขนาดนี้ ถ้าได้สร้างเครื่องบินโดยสารขึ้นมา ก็จะต้องดีกว่าพวกโบอิ้งหรือแอร์บัสแน่นอน แล้วทำไมญี่ปุ่นถึงไม่สร้างล่ะ?“
 
ว่าแล้วผมก็ไปหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ
.
.
.
หลังจากญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1945นั้น ฝ่ายผู้ชนะที่นำโดยอเมริกานั้นได้บังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นลงชื่อในเอกสารยอมจำนน
 
ซึ่งในเอกสารฉบับนี้มีรายละเอียดมากมาย และประเด็นที่สำคัญคือมาตรา 9 ที่ระบุว่า ญี่ปุ่นไม่สามารถมีกองทัพได้อีกต่อไป รวมถึงให้ยุติการสร้างยานพาหนะที่เกี่ยวกับการสงคราม เช่น เรือ เครื่องบิน รถรบทุกชนิด
 
โรงงานสร้างเครื่องบินรบทั้งหลาย เช่น มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้, นากาชิมาแอร์คราฟท์ และคาวาซากิแอร์คราฟท์ ต้องเลิกกิจการ
 
ทั้งโรงงานและวิศวกรต้องเปลี่ยนมาผลิตรถยนต์แทน
 
กิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีอากาศยานของญี่ปุ่นถูกแช่แข็งอยู่ราว 7 ปึ คือ 1945-1952 เพื่อกำราบไม่ให้จักรวรรดิญี่ปุ่นฟื้นขึ้นมาแผลงฤทธิ์ได้อีก
 
อันนี้ก็ต้องบอกว่าเยอรมันก็โดนแบบเดียวกันกับญี่ปุ่นนี่ละครับ และเยอรมันนี่หนักกว่าด้วยซ้ำคือ ถูกแบ่งประเทศเป็นฝั่งตะวันตกกับตะวันออก
 
ทีนี้ในปี 1952 ก็ได้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น ฝ่ายอเมริกาและสหประชาชาติต้องการใช้ญี่ปุ่นเป็นฐานสำหรับส่งทหารไปรบเพื่อช่วยเกาหลีใต้
 
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบนี้ ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นพันธมิตรกับอเมริกา อเมริกาจึงไม่สามารถปล่อยให้ญี่ปุ่นอยู่ในสภาพ “ผู้ถูกปกครอง” อันจะเป็นภาระแก่ตัวอเมริกาเองด้วยซ้ำ
 
อเมริกาจึงได้ปลดล็อคข้อห้ามทั้งหลาย ทำให้ญี่ปุ่นสามารถมีกำลังตำรวจ มีกองกำลังป้องกันตนเองได้ สามารถสร้างเรือ เครื่องบินได้
 
แต่ก็ยังไม่สามารถสะสมอาวุธหรือมีกองทัพแบบฟูลออปชั่นได้
 
อุตสาหกรรมสร้างอากาศยานจึงเริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ถือว่าเริ่มช้าแล้วเพราะโบอิ้งเขาพัฒนาไปไกลแล้ว
.
.
.
ในเวลานั้นญี่ปุ่นเลือกเส้นทางที่จะเอาดีทางสร้างรถยนต์และรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า
 
ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องบินนั้น ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีความสามารถที่จะทำได้ดี แต่ญี่ปุ่นเลือกที่จะเล่นบทฝ่ายสนับสนุนอเมริกา
 
คือ มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้ กลายมาเป็นผู้ผลิตอะไหล่และปีกเครื่องบินให้โบอิ้งมาตลอด
 
และอเมริกายังเคยออกไลเซนส์ให้ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบินบางรุ่นให้ด้วย เช่น F-86
 
สำหรับเครื่องบินรบไฮเทค อย่าง 6th generation นั้น ปัจจุบันมิตซูบิชิก็ไปจับมือกับอังกฤษและชาติยุโรปช่วยกันพัฒนาอยู่
.
.
.
ทีนี้บางคนคงเคยได้ยินเครื่องบิน “ฮอนด้าเจ็ท” ใช่ไหมครับ
 
ฮอนด้าเจ็ทนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก แม้จะแบรนด์ฮอนด้าแต่ก็ไม่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินญี่ปุ่น
 
เพราะฮอนด้าเลือกจะไปสร้างโรงงานอยู่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลน่า สหรัฐอเมริกาโน่น
 
เรื่องฮอนด้าเจ็ทนี้ก็เป็นประเด็นที่คนคลางแคลงใจว่า ผู้บริหารฮอนด้ากลัวอเมริกาจะจับตามองว่าเริ่มสร้างอากาศยานได้เองหรือเปล่า ก็จึงไปเปิดโรงงานที่อเมริกากันเสียเลย
.
.
.
ญี่ปุ่นมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งมันสมอง ความรู้ ความมุ่งมั่นและระบบซัพพลายเชนที่จะสร้างได้ทั้งเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินรบครับ
 
แต่ญี่ปุ่นเขาเลือกเส้นทางที่จะเป็นเด็กดีเป็นผู้ช่วยมือรองให้อเมริกา
 
จะด้วยความกลัวระเบิดนิวเคลียร์ที่ฝังลึกในใจหรือเปล่าก็ไม่รู้
 
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
 
 
นัทแนะ
  วันก่อนผมมีโอกาสได้นั่งรถไฟชินกันเซ็นครับ
ด้วยความที่ว่าห้องโดยสารของชินกันเซ็นนั้นสวยงาม สบาย และเงียบกริบราวกับว่าไม่ได้วิ่งอยู่ด้วยความเร็ว 300 กม./ชม.
ผมนั่งหลับตาไปก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า “วิศวกรญี่ปุ่นมีความสามารถสร้างรถไฟได้ดีเลิศขนาดนี้ ถ้าได้สร้างเครื่องบินโดยสารขึ้นมา ก็จะต้องดีกว่าพวกโบอิ้งหรือแอร์บัสแน่นอน แล้วทำไมญี่ปุ่นถึงไม่สร้างล่ะ?“
ว่าแล้วผมก็ไปหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ
.
.
.
หลังจากญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1945นั้น ฝ่ายผู้ชนะที่นำโดยอเมริกานั้นได้บังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นลงชื่อในเอกสารยอมจำนน
ซึ่งในเอกสารฉบับนี้มีรายละเอียดมากมาย และประเด็นที่สำคัญคือมาตรา 9 ที่ระบุว่า ญี่ปุ่นไม่สามารถมีกองทัพได้อีกต่อไป รวมถึงให้ยุติการสร้างยานพาหนะที่เกี่ยวกับการสงคราม เช่น เรือ เครื่องบิน รถรบทุกชนิด
โรงงานสร้างเครื่องบินรบทั้งหลาย เช่น มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้, นากาชิมาแอร์คราฟท์ และคาวาซากิแอร์คราฟท์ ต้องเลิกกิจการ
ทั้งโรงงานและวิศวกรต้องเปลี่ยนมาผลิตรถยนต์แทน
กิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีอากาศยานของญี่ปุ่นถูกแช่แข็งอยู่ราว 7 ปึ คือ 1945-1952 เพื่อกำราบไม่ให้จักรวรรดิญี่ปุ่นฟื้นขึ้นมาแผลงฤทธิ์ได้อีก
อันนี้ก็ต้องบอกว่าเยอรมันก็โดนแบบเดียวกันกับญี่ปุ่นนี่ละครับ และเยอรมันนี่หนักกว่าด้วยซ้ำคือ ถูกแบ่งประเทศเป็นฝั่งตะวันตกกับตะวันออก
ทีนี้ในปี 1952 ก็ได้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น ฝ่ายอเมริกาและสหประชาชาติต้องการใช้ญี่ปุ่นเป็นฐานสำหรับส่งทหารไปรบเพื่อช่วยเกาหลีใต้
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบนี้ ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นพันธมิตรกับอเมริกา อเมริกาจึงไม่สามารถปล่อยให้ญี่ปุ่นอยู่ในสภาพ “ผู้ถูกปกครอง” อันจะเป็นภาระแก่ตัวอเมริกาเองด้วยซ้ำ
อเมริกาจึงได้ปลดล็อคข้อห้ามทั้งหลาย ทำให้ญี่ปุ่นสามารถมีกำลังตำรวจ มีกองกำลังป้องกันตนเองได้ สามารถสร้างเรือ เครื่องบินได้
แต่ก็ยังไม่สามารถสะสมอาวุธหรือมีกองทัพแบบฟูลออปชั่นได้
อุตสาหกรรมสร้างอากาศยานจึงเริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ถือว่าเริ่มช้าแล้วเพราะโบอิ้งเขาพัฒนาไปไกลแล้ว
.
.
.
ในเวลานั้นญี่ปุ่นเลือกเส้นทางที่จะเอาดีทางสร้างรถยนต์และรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องบินนั้น ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีความสามารถที่จะทำได้ดี แต่ญี่ปุ่นเลือกที่จะเล่นบทฝ่ายสนับสนุนอเมริกา
คือ มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้ กลายมาเป็นผู้ผลิตอะไหล่และปีกเครื่องบินให้โบอิ้งมาตลอด
และอเมริกายังเคยออกไลเซนส์ให้ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบินบางรุ่นให้ด้วย เช่น F-86
สำหรับเครื่องบินรบไฮเทค อย่าง 6th generation นั้น ปัจจุบันมิตซูบิชิก็ไปจับมือกับอังกฤษและชาติยุโรปช่วยกันพัฒนาอยู่
.
.
.
ทีนี้บางคนคงเคยได้ยินเครื่องบิน “ฮอนด้าเจ็ท” ใช่ไหมครับ
ฮอนด้าเจ็ทนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก แม้จะแบรนด์ฮอนด้าแต่ก็ไม่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินญี่ปุ่น
เพราะฮอนด้าเลือกจะไปสร้างโรงงานอยู่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลน่า สหรัฐอเมริกาโน่น
เรื่องฮอนด้าเจ็ทนี้ก็เป็นประเด็นที่คนคลางแคลงใจว่า ผู้บริหารฮอนด้ากลัวอเมริกาจะจับตามองว่าเริ่มสร้างอากาศยานได้เองหรือเปล่า ก็จึงไปเปิดโรงงานที่อเมริกากันเสียเลย
.
.
.
ญี่ปุ่นมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งมันสมอง ความรู้ ความมุ่งมั่นและระบบซัพพลายเชนที่จะสร้างได้ทั้งเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินรบครับ
แต่ญี่ปุ่นเขาเลือกเส้นทางที่จะเป็นเด็กดีเป็นผู้ช่วยมือรองให้อเมริกา
จะด้วยความกลัวระเบิดนิวเคลียร์ที่ฝังลึกในใจหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
นัทแนะ
ญี่ปุ่น 5 : ชินกันเซ็น
วันก่อนผมมีโอกาสได้นั่งรถไฟชินกันเซ็นครับ
ด้วยความที่ว่าห้องโดยสารของชินกันเซ็นนั้นสวยงาม  สบาย  และเงียบกริบราวกับว่าไม่ได้วิ่งอยู่ด้วยความเร็ว 300 กม./ชม.
ผมนั่งหลับตาไปก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า  “วิศวกรญี่ปุ่นมีความสามารถสร้างรถไฟได้ดีเลิศขนาดนี้  ถ้าได้สร้างเครื่องบินโดยสารขึ้นมา  ก็จะต้องดีกว่าพวกโบอิ้งหรือแอร์บัสแน่นอน   แล้วทำไมญี่ปุ่นถึงไม่สร้างล่ะ?“
ว่าแล้วผมก็ไปหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ
.
.
.
หลังจากญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1945นั้น   ฝ่ายผู้ชนะที่นำโดยอเมริกานั้นได้บังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นลงชื่อในเอกสารยอมจำนน
ซึ่งในเอกสารฉบับนี้มีรายละเอียดมากมาย  และประเด็นที่สำคัญคือมาตรา 9 ที่ระบุว่า  ญี่ปุ่นไม่สามารถมีกองทัพได้อีกต่อไป  รวมถึงให้ยุติการสร้างยานพาหนะที่เกี่ยวกับการสงคราม  เช่น  เรือ เครื่องบิน  รถรบทุกชนิด
โรงงานสร้างเครื่องบินรบทั้งหลาย เช่น มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้, นากาชิมาแอร์คราฟท์ และคาวาซากิแอร์คราฟท์ ต้องเลิกกิจการ
ทั้งโรงงานและวิศวกรต้องเปลี่ยนมาผลิตรถยนต์แทน
กิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีอากาศยานของญี่ปุ่นถูกแช่แข็งอยู่ราว 7 ปึ คือ 1945-1952 เพื่อกำราบไม่ให้จักรวรรดิญี่ปุ่นฟื้นขึ้นมาแผลงฤทธิ์ได้อีก
อันนี้ก็ต้องบอกว่าเยอรมันก็โดนแบบเดียวกันกับญี่ปุ่นนี่ละครับ  และเยอรมันนี่หนักกว่าด้วยซ้ำคือ  ถูกแบ่งประเทศเป็นฝั่งตะวันตกกับตะวันออก
ทีนี้ในปี 1952 ก็ได้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น  ฝ่ายอเมริกาและสหประชาชาติต้องการใช้ญี่ปุ่นเป็นฐานสำหรับส่งทหารไปรบเพื่อช่วยเกาหลีใต้
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบนี้  ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นพันธมิตรกับอเมริกา   อเมริกาจึงไม่สามารถปล่อยให้ญี่ปุ่นอยู่ในสภาพ “ผู้ถูกปกครอง” อันจะเป็นภาระแก่ตัวอเมริกาเองด้วยซ้ำ
อเมริกาจึงได้ปลดล็อคข้อห้ามทั้งหลาย  ทำให้ญี่ปุ่นสามารถมีกำลังตำรวจ  มีกองกำลังป้องกันตนเองได้  สามารถสร้างเรือ  เครื่องบินได้   
แต่ก็ยังไม่สามารถสะสมอาวุธหรือมีกองทัพแบบฟูลออปชั่นได้
อุตสาหกรรมสร้างอากาศยานจึงเริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง   แต่ก็ถือว่าเริ่มช้าแล้วเพราะโบอิ้งเขาพัฒนาไปไกลแล้ว
.
.
.
ในเวลานั้นญี่ปุ่นเลือกเส้นทางที่จะเอาดีทางสร้างรถยนต์และรถไฟความเร็วสูง   รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องบินนั้น  ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีความสามารถที่จะทำได้ดี  แต่ญี่ปุ่นเลือกที่จะเล่นบทฝ่ายสนับสนุนอเมริกา
คือ  มิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี้ กลายมาเป็นผู้ผลิตอะไหล่และปีกเครื่องบินให้โบอิ้งมาตลอด
และอเมริกายังเคยออกไลเซนส์ให้ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบินบางรุ่นให้ด้วย เช่น F-86
สำหรับเครื่องบินรบไฮเทค อย่าง 6th generation นั้น  ปัจจุบันมิตซูบิชิก็ไปจับมือกับอังกฤษและชาติยุโรปช่วยกันพัฒนาอยู่
.
.
.
ทีนี้บางคนคงเคยได้ยินเครื่องบิน “ฮอนด้าเจ็ท” ใช่ไหมครับ
ฮอนด้าเจ็ทนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก  แม้จะแบรนด์ฮอนด้าแต่ก็ไม่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินญี่ปุ่น
เพราะฮอนด้าเลือกจะไปสร้างโรงงานอยู่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลน่า สหรัฐอเมริกาโน่น
เรื่องฮอนด้าเจ็ทนี้ก็เป็นประเด็นที่คนคลางแคลงใจว่า  ผู้บริหารฮอนด้ากลัวอเมริกาจะจับตามองว่าเริ่มสร้างอากาศยานได้เองหรือเปล่า  ก็จึงไปเปิดโรงงานที่อเมริกากันเสียเลย
.
.
.
ญี่ปุ่นมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งมันสมอง  ความรู้  ความมุ่งมั่นและระบบซัพพลายเชนที่จะสร้างได้ทั้งเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินรบครับ
แต่ญี่ปุ่นเขาเลือกเส้นทางที่จะเป็นเด็กดีเป็นผู้ช่วยมือรองให้อเมริกา   
จะด้วยความกลัวระเบิดนิวเคลียร์ที่ฝังลึกในใจหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
นัทแนะ
     0 Comments
               0 Shares
               792 Views
                0 Reviews
                
  
                                               
                                                             
                               
  Thai
Thai