อัปเดตล่าสุด
  • #ทดลองเขียนคำโฆษณา
    #เล่าไว้เมื่อไว้สนธยา
    แอดมินเพจ "สืบสานงานท่านพุทธทาส" เคยเล่าให้ฟังว่า 'หากมีโอกาสเหมาะๆอ.ประชามักเรียนถามเรื่องราวต่าง ๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่เสมอ โดยระยะแรก ท่านไม่ค่อยยอมเล่าอะไรมากเท่าไหรนัก เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว คงไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร (ตามทรรศนะของท่าน) แต่อ.ประชาก็อ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้ง โดยพยายามเล่าให้ท่านฟังว่า "คนรุ่นหลังๆจะได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตและปฏิปทาของท่าน" แล้วในที่สุดท่านจึงค่อย ๆ เล่าให้ฟัง โดยอาจารย์เห็นว่าสิ่งที่ตนได้รับฟังนั้น มีคุณค่าต่อคนวงกว้าง โดยเฉพาะผู้คนในรุ่นหลังๆ อย่างเช่น GenZ หรือ GenAlpha'

    และผมได้รับโอกาสที่ได้ช่วยงานในเรื่องนี้ก็มากโขอยู่หมือนกัน โดยบางคำถามก็อ้างถึงบุคคลที่สาม หรือบางคำถามอาจทำให้ผู้คนเข้าใจท่านอาจารย์ผิด

    ฉะนั้น Podcast เล่าไว้เมื่อไว้สนธยา โดยยังไม่สัญญาว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเร็วๆนี้อย่างแน่นอน

    แล้วถ้าหากเสร็จสมบูรณ์ ก็จะต้องส่งไปที่บรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ มูลนิธิโกมลคีมทอง และสวนโมกข์กรุงเทพ ให้พิจารณาและตวรจทานต่อไปว่า "จะทำเฉกเช่นไรต่อ" ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายเดือนเลยทีเดียว
    แต่ถ้าหากอดใจไม่ได้ ยังมีทางเลือกให้ทดลองฟังไปก่อนคือ เสียงสัมภาษณ์เฉพาะบทที่ 6 และบทที่ 7 ที่เผยแพร่ลงในช่อง Youtube ThammaKos (แต่ไม่เกี่ยวกับงานที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างใด)
    อีกหนทาง คือฟังเสียงอ่านหนังสือที่มี AMJ Studio เสียสละเวลาอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ขออนุโมทนากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้ด้วยใจจริง
    ....
    เสียงสัมภาษณ์
    https://m.soundcloud.com/user-327441149/sets/zu0xkmmgivx9...
    เสียงอ่านหนังสือ
    https://soundcloud.com/user-327441149/sets/s8epsr5l7yry
    #ทดลองเขียนคำโฆษณา #เล่าไว้เมื่อไว้สนธยา แอดมินเพจ "สืบสานงานท่านพุทธทาส" เคยเล่าให้ฟังว่า 'หากมีโอกาสเหมาะๆอ.ประชามักเรียนถามเรื่องราวต่าง ๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่เสมอ โดยระยะแรก ท่านไม่ค่อยยอมเล่าอะไรมากเท่าไหรนัก เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว คงไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร (ตามทรรศนะของท่าน) แต่อ.ประชาก็อ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้ง โดยพยายามเล่าให้ท่านฟังว่า "คนรุ่นหลังๆจะได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตและปฏิปทาของท่าน" แล้วในที่สุดท่านจึงค่อย ๆ เล่าให้ฟัง โดยอาจารย์เห็นว่าสิ่งที่ตนได้รับฟังนั้น มีคุณค่าต่อคนวงกว้าง โดยเฉพาะผู้คนในรุ่นหลังๆ อย่างเช่น GenZ หรือ GenAlpha' และผมได้รับโอกาสที่ได้ช่วยงานในเรื่องนี้ก็มากโขอยู่หมือนกัน โดยบางคำถามก็อ้างถึงบุคคลที่สาม หรือบางคำถามอาจทำให้ผู้คนเข้าใจท่านอาจารย์ผิด ฉะนั้น Podcast เล่าไว้เมื่อไว้สนธยา โดยยังไม่สัญญาว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเร็วๆนี้อย่างแน่นอน แล้วถ้าหากเสร็จสมบูรณ์ ก็จะต้องส่งไปที่บรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ มูลนิธิโกมลคีมทอง และสวนโมกข์กรุงเทพ ให้พิจารณาและตวรจทานต่อไปว่า "จะทำเฉกเช่นไรต่อ" ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าหากอดใจไม่ได้ ยังมีทางเลือกให้ทดลองฟังไปก่อนคือ เสียงสัมภาษณ์เฉพาะบทที่ 6 และบทที่ 7 ที่เผยแพร่ลงในช่อง Youtube ThammaKos (แต่ไม่เกี่ยวกับงานที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างใด) อีกหนทาง คือฟังเสียงอ่านหนังสือที่มี AMJ Studio เสียสละเวลาอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ขออนุโมทนากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้ด้วยใจจริง .... เสียงสัมภาษณ์ https://m.soundcloud.com/user-327441149/sets/zu0xkmmgivx9... เสียงอ่านหนังสือ https://soundcloud.com/user-327441149/sets/s8epsr5l7yry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝากติดตามเพจ facebook ด้วยนะครับ

    https://www.facebook.com/kongkiatdnai
    ฝากติดตามเพจ facebook ด้วยนะครับ https://www.facebook.com/kongkiatdnai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ป่าใครหนา

    ทุกวันนี้ ป่าดงพงไพรในประเทศไทยทยอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนยังคงตัดไม้และทำลายป่าอย่างไม่หยุดหย่อน บางคราวภูเขาอันร่มรื่นน่าชื่นชมก็กลายเป็นสวนลิ้นจี่ ไร่ข้าวโพด หรือสวนลำไยในเวลาอันรวดเร็ว หรือว่าพวกเราจะยกย่องเรื่องนี้เป็นซอฟเพาเวอร์หรือนี่

    จากปี 2566 ถึงปี 2567 พบว่า ผืนป่าของไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ถึง 317,819.20 ไร่ ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้พื้นที่ป่าลดลง คือ การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน จะขอยกตัวอย่างเช่น การตัดไม้เพื่อปลูกแปลงพืชพลทางการเกษตร ตัดไม้เพื่อปลูกบ้านเรือนของตน

    แต่สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดเลยคือการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งจะขอยกตัวอย่างเคสที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาโปลกหล่น โดยมีนายทุนทำถนนคอนกรีตขึ้นไปบนภูเขาและสร้างที่พักรีสอร์ต หรือ ดราม่าการเฉือนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 2.6 แสนไร่ โดยหากเกิดการให้เพิกถอนพื้นที่มันจะเป็นการเอื้อให้นายทุนทั้งหลายเข้ามาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท บ้านพักตากอากาศ และจะกระทบต่อแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรืออีกเคสหนึ่งที่มีสส.หญิงรุกป่าทำฟาร์มไก่ โดยการกระทำในรูปแบบนี้เข้าข่ายการทำประโยชน์ส่วนตน

    การลดลงของผืนป่าไม่ใช่แค่เรื่องของการตัดไม้เพียงเท่านั้น แต่เป็นการสูญเสียมรดกธรรมชาติที่สะท้อนถึง "นิเวศสำนึก" ของสังคม การที่พื้นที่ป่าถูกเปลี่ยนสภาพเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้จะตอบโจทย์ด้านรายได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว สิ่งเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างแน่นอน

    ที่จริงอยากจะประท้วงรัฐบาลให้ออกนโยบายเกี่ยวกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในประเทศอย่างเคร่งครัด หรือ รณรงค์ให้ทุกคนหันมาสนใจธรรมชาติอย่างจริงจัง อยากยกตัวอย่างเคสของอาสืบ นาคะเสถียร ที่เสียสละชีวิตของตัวเอง เรียกผู้คนในสังคมไทยให้หันกลับมารับรู้ปัญหาการคุกคามผืนป่าและสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเวลานั้น

    แต่โปรดเชื่อเถอะใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก ถ้าเราไม่ดูแลรักษาระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติ มิเช่นนั้นเราคงจะได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์จากกระป๋องแล้วกระมัง
    .
    #ป่าใครหนา ทุกวันนี้ ป่าดงพงไพรในประเทศไทยทยอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนยังคงตัดไม้และทำลายป่าอย่างไม่หยุดหย่อน บางคราวภูเขาอันร่มรื่นน่าชื่นชมก็กลายเป็นสวนลิ้นจี่ ไร่ข้าวโพด หรือสวนลำไยในเวลาอันรวดเร็ว หรือว่าพวกเราจะยกย่องเรื่องนี้เป็นซอฟเพาเวอร์หรือนี่ จากปี 2566 ถึงปี 2567 พบว่า ผืนป่าของไทยลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ถึง 317,819.20 ไร่ ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้พื้นที่ป่าลดลง คือ การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน จะขอยกตัวอย่างเช่น การตัดไม้เพื่อปลูกแปลงพืชพลทางการเกษตร ตัดไม้เพื่อปลูกบ้านเรือนของตน แต่สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดเลยคือการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งจะขอยกตัวอย่างเคสที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาโปลกหล่น โดยมีนายทุนทำถนนคอนกรีตขึ้นไปบนภูเขาและสร้างที่พักรีสอร์ต หรือ ดราม่าการเฉือนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 2.6 แสนไร่ โดยหากเกิดการให้เพิกถอนพื้นที่มันจะเป็นการเอื้อให้นายทุนทั้งหลายเข้ามาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท บ้านพักตากอากาศ และจะกระทบต่อแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรืออีกเคสหนึ่งที่มีสส.หญิงรุกป่าทำฟาร์มไก่ โดยการกระทำในรูปแบบนี้เข้าข่ายการทำประโยชน์ส่วนตน การลดลงของผืนป่าไม่ใช่แค่เรื่องของการตัดไม้เพียงเท่านั้น แต่เป็นการสูญเสียมรดกธรรมชาติที่สะท้อนถึง "นิเวศสำนึก" ของสังคม การที่พื้นที่ป่าถูกเปลี่ยนสภาพเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้จะตอบโจทย์ด้านรายได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว สิ่งเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างแน่นอน ที่จริงอยากจะประท้วงรัฐบาลให้ออกนโยบายเกี่ยวกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในประเทศอย่างเคร่งครัด หรือ รณรงค์ให้ทุกคนหันมาสนใจธรรมชาติอย่างจริงจัง อยากยกตัวอย่างเคสของอาสืบ นาคะเสถียร ที่เสียสละชีวิตของตัวเอง เรียกผู้คนในสังคมไทยให้หันกลับมารับรู้ปัญหาการคุกคามผืนป่าและสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเวลานั้น แต่โปรดเชื่อเถอะใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก ถ้าเราไม่ดูแลรักษาระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติ มิเช่นนั้นเราคงจะได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์จากกระป๋องแล้วกระมัง .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • #PM2จุด5

    หากถามว่า pm2.5 เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้นหรือ จะขอตอบแบบสั้นๆ ว่า 'เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จำพวกหนึ่ง' แต่หากจะเขียนแค่นี้มันก็จะดูกระไรอยู่ จึงจะขอเปิดประเด็นดังต่อไปนี้..

    ก่อนที่จะเปิดประเด็นเรื่อง pm จะขออธิบายความก่อนว่า pm มันคืออิหยัง

    PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งฝุ่นละอองชนิดนี้ถือว่าเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะว่าเส้นผมที่มีขนาดเล็กแล้ว ไอ่ตัว PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดได้ง่าย จึงส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว

    ซึ่งช่วงประมาณกลางฤดูหนาวจะเริ่มมีเข้าฝุ่นเข้ามาปกคลุมแต่ละพื้นที่

    และหากถามว่าอันใดเป็นเหตุ 'ทำให้เกิดฝุ่นเฉกเช่นนี้' ซึ่งจะขอตอบเลยว่า การเผาขยะบ้าง เผานาบ้าง (เพราะถ้าหญ้าเยอะ เวลาไถจะไม่ค่อยเข้า โดยเฉพาะนาหว่าน ต้นข้าวจะหนามาก
    และยิ่งเป็นนาปรัง ซึ่งหากปลูกต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่มีเวลาให้ตอข้าวย่อยสลายเอง ฉะนั้นจึงต้องเผา) หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึง

    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีภาวะโลกร้อนและเกิดฝุ่น PM 2.5 อย่างฉับพลัน

    เราลองมาวิเคราะห์การแก้ปัญหาของหน่วยงานกันอีกนิดนึง

    เทศบาลบางแห่งจะออกกฎเลยว่า "ห้ามเผาขยะหากเผาปรับหลักพัน" หรือออกป้ายรณรงค์ตามสี่แยกไฟแดง มีภาพกราฟฟิกให้ดูน่ากลัว แต่บางหนบางแห่งเขาก็ยังแอบเผากันอยู่

    เพราะฉะนั้นให้ลองพิจารณากันอีกครั้งว่า 'ควรแก้ปัญหาอย่างไร ถึงจะเหมาะสมที่สุด และไม่ให้เกิด PM 2.5 ขึ้นอีก' อาจจะพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.อย่างเคร่งครัด หรือจัดเสวนาให้นักวิชาการร่วมกันพิจารณาการแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
    .
    #PM2จุด5 หากถามว่า pm2.5 เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้นหรือ จะขอตอบแบบสั้นๆ ว่า 'เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จำพวกหนึ่ง' แต่หากจะเขียนแค่นี้มันก็จะดูกระไรอยู่ จึงจะขอเปิดประเด็นดังต่อไปนี้.. ก่อนที่จะเปิดประเด็นเรื่อง pm จะขออธิบายความก่อนว่า pm มันคืออิหยัง PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งฝุ่นละอองชนิดนี้ถือว่าเป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะว่าเส้นผมที่มีขนาดเล็กแล้ว ไอ่ตัว PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดได้ง่าย จึงส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ซึ่งช่วงประมาณกลางฤดูหนาวจะเริ่มมีเข้าฝุ่นเข้ามาปกคลุมแต่ละพื้นที่ และหากถามว่าอันใดเป็นเหตุ 'ทำให้เกิดฝุ่นเฉกเช่นนี้' ซึ่งจะขอตอบเลยว่า การเผาขยะบ้าง เผานาบ้าง (เพราะถ้าหญ้าเยอะ เวลาไถจะไม่ค่อยเข้า โดยเฉพาะนาหว่าน ต้นข้าวจะหนามาก และยิ่งเป็นนาปรัง ซึ่งหากปลูกต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่มีเวลาให้ตอข้าวย่อยสลายเอง ฉะนั้นจึงต้องเผา) หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีภาวะโลกร้อนและเกิดฝุ่น PM 2.5 อย่างฉับพลัน เราลองมาวิเคราะห์การแก้ปัญหาของหน่วยงานกันอีกนิดนึง เทศบาลบางแห่งจะออกกฎเลยว่า "ห้ามเผาขยะหากเผาปรับหลักพัน" หรือออกป้ายรณรงค์ตามสี่แยกไฟแดง มีภาพกราฟฟิกให้ดูน่ากลัว แต่บางหนบางแห่งเขาก็ยังแอบเผากันอยู่ เพราะฉะนั้นให้ลองพิจารณากันอีกครั้งว่า 'ควรแก้ปัญหาอย่างไร ถึงจะเหมาะสมที่สุด และไม่ให้เกิด PM 2.5 ขึ้นอีก' อาจจะพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.อย่างเคร่งครัด หรือจัดเสวนาให้นักวิชาการร่วมกันพิจารณาการแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • #impromptuspeech

    ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ

    หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน)

    ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้

    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ

    การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น

    เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น

    พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน

    พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้

    หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ

    แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด
    ----
    ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก
    กว่าจะประสบพบเจอ
    #impromptuspeech ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน) ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้ หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด ---- ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก กว่าจะประสบพบเจอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม