• Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash

    Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ

    การป้องกันและมาตรการใหม่
    สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น
    Compiler-level security constraints
    Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด
    DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้
    การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก

    แนวโน้มในอนาคต
    Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges
    ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs
    GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม
    มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น
    หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต
    การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    🖥️ Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ 🔒 การป้องกันและมาตรการใหม่ สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น 🎗️ Compiler-level security constraints 🎗️ Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด 🎗️ DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต 🌐 ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก 🔮 แนวโน้มในอนาคต Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges ➡️ ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs ➡️ GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม ➡️ มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น ⛔ หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต ⛔ การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    SECURITYONLINE.INFO
    Post-CrowdStrike: Microsoft to Phase Out OEM Kernel-Level Driver Privileges
    Following major crashes, Microsoft will phase out OEM kernel-level driver privileges, forcing a shift to native drivers or user mode to prevent system-wide operating system failures.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น

    Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้

    Agent Mode ในแอป Office
    Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น
    Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน
    Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier)
    Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน

    Sora 2 และการสร้างวิดีโอ
    Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย

    Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย
    ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป
    Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook
    ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย
    เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents
    เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME

    คำเตือนจากข่าว
    การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้
    การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล

    https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    🧠 ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้ 📊 Agent Mode ในแอป Office Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น 🎗️ Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน 🎗️ Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier) 🎗️ Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน 🎥 Sora 2 และการสร้างวิดีโอ Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย 🛡️ Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป ➡️ Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook ➡️ ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย ➡️ เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents ➡️ เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้ ⛔ การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    SECURITYONLINE.INFO
    Copilot Gets Brains: Microsoft Unveils 'Work IQ' & Agent Mode Integration with GPT-5 and Anthropic
    Microsoft unveiled Work IQ for Copilot, a cognitive upgrade for proactive assistance. New Agent Mode integrates GPT-5, Sora 2, and Anthropic models across M365 apps.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ RCE ใน Apache Causeway

    Apache Causeway ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันเชิงโดเมนด้วย Java ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64408 ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถส่ง payload ผ่าน URL parameters เพื่อให้ระบบทำการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ และนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นในฟีเจอร์ ViewModel ของ Causeway ซึ่งใช้ในการสร้าง web interface และ REST API แบบไดนามิก โดยผู้โจมตีสามารถฝัง object ที่มีโค้ดอันตรายลงใน serialized data และเมื่อระบบทำการ deserialize จะทำให้โค้ดนั้นถูกรันในสิทธิ์ของแอปพลิเคชันทันที ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE)

    การแก้ไขและแพตช์
    ทีม Apache Causeway ได้ออกเวอร์ชัน 3.5.0 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ยังอยู่ในเวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 3.4.0 และ 4.0.0-M1 รีบอัปเดตทันที เนื่องจากช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical Severity และอาจถูกนำไปใช้โจมตีในระบบ production ได้

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    การโจมตีแบบ Java Deserialization เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเฟรมเวิร์ก Java หลายตัว และมักถูกใช้ในการโจมตีจริงในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ตรวจสอบการใช้ serialized objects ในระบบทั้งหมด และใช้วิธีการ serialize ที่ปลอดภัย เช่น JSON หรือ Protocol Buffers แทน

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-64408 พบใน Apache Causeway
    เกิดจากการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ผ่าน URL parameters
    ส่งผลให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถทำ RCE ได้
    แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 3.5.0

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0 → 3.4.0 และ 4.0.0-M1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจทำให้ระบบ production ถูกเข้าควบคุมได้
    การใช้ Java Deserialization โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นช่องโหว่ที่อันตรายมาก

    https://securityonline.info/critical-apache-causeway-rce-flaw-cve-2025-64408-allows-authenticated-code-execution-via-java-deserialization/
    🛡️ ช่องโหว่ RCE ใน Apache Causeway Apache Causeway ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันเชิงโดเมนด้วย Java ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64408 ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถส่ง payload ผ่าน URL parameters เพื่อให้ระบบทำการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ และนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ ⚙️ รายละเอียดช่องโหว่ ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นในฟีเจอร์ ViewModel ของ Causeway ซึ่งใช้ในการสร้าง web interface และ REST API แบบไดนามิก โดยผู้โจมตีสามารถฝัง object ที่มีโค้ดอันตรายลงใน serialized data และเมื่อระบบทำการ deserialize จะทำให้โค้ดนั้นถูกรันในสิทธิ์ของแอปพลิเคชันทันที ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE) 🔒 การแก้ไขและแพตช์ ทีม Apache Causeway ได้ออกเวอร์ชัน 3.5.0 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ยังอยู่ในเวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 3.4.0 และ 4.0.0-M1 รีบอัปเดตทันที เนื่องจากช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical Severity และอาจถูกนำไปใช้โจมตีในระบบ production ได้ 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ การโจมตีแบบ Java Deserialization เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเฟรมเวิร์ก Java หลายตัว และมักถูกใช้ในการโจมตีจริงในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ตรวจสอบการใช้ serialized objects ในระบบทั้งหมด และใช้วิธีการ serialize ที่ปลอดภัย เช่น JSON หรือ Protocol Buffers แทน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-64408 พบใน Apache Causeway ➡️ เกิดจากการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ผ่าน URL parameters ➡️ ส่งผลให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถทำ RCE ได้ ➡️ แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 3.5.0 ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0 → 3.4.0 และ 4.0.0-M1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจทำให้ระบบ production ถูกเข้าควบคุมได้ ⛔ การใช้ Java Deserialization โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นช่องโหว่ที่อันตรายมาก https://securityonline.info/critical-apache-causeway-rce-flaw-cve-2025-64408-allows-authenticated-code-execution-via-java-deserialization/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Apache Causeway RCE Flaw (CVE-2025-64408) Allows Authenticated Code Execution via Java Deserialization
    Apache patched a Critical RCE flaw (CVE-2025-64408) in Causeway allowing authenticated attackers to execute arbitrary code via Java deserialization in the ViewModel component. Update to v3.5.0.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ DLL Hijacking ใน ASUSTOR

    ASUSTOR ออกประกาศเตือนว่าซอฟต์แวร์ ABP เวอร์ชัน ≤ 2.0.7.9050 และ AES เวอร์ชัน ≤ 1.0.6.8290 มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมในไดเรกทอรีที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเขียนได้ เมื่อบริการถูกรีสตาร์ท DLL ปลอมจะถูกโหลดและรันด้วยสิทธิ์ LocalSystem ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
    ช่องโหว่นี้จัดอยู่ในระดับ Important Severity เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องในระดับผู้ใช้ทั่วไป การโจมตีลักษณะนี้อาจถูกใช้เพื่อ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation) และเปิดทางให้มัลแวร์หรือแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบโดยสมบูรณ์

    การแก้ไขและแพตช์
    ASUSTOR ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด:
    ABP (Backup Plan) → 2.0.7.10171 หรือใหม่กว่า
    AES (EZSync) → 1.1.0.10312 หรือใหม่กว่า

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่พบได้บ่อยใน Windows และมักถูกใช้ในการโจมตีจริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที และตรวจสอบสิทธิ์การเขียนไฟล์ในไดเรกทอรีที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-13051 พบใน ABP ≤ 2.0.7.9050 และ AES ≤ 1.0.6.8290
    ช่องโหว่เกิดจาก DLL Hijacking ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดด้วยสิทธิ์ LocalSystem
    ASUSTOR ออกแพตช์แก้ไขใน ABP ≥ 2.0.7.10171 และ AES ≥ 1.1.0.10312

    คำเตือนจากข่าว
    หากไม่อัปเดตแพตช์ ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ
    DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่อง

    https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation/
    🖥️ ช่องโหว่ DLL Hijacking ใน ASUSTOR ASUSTOR ออกประกาศเตือนว่าซอฟต์แวร์ ABP เวอร์ชัน ≤ 2.0.7.9050 และ AES เวอร์ชัน ≤ 1.0.6.8290 มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมในไดเรกทอรีที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเขียนได้ เมื่อบริการถูกรีสตาร์ท DLL ปลอมจะถูกโหลดและรันด้วยสิทธิ์ LocalSystem ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ⚠️ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ช่องโหว่นี้จัดอยู่ในระดับ Important Severity เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องในระดับผู้ใช้ทั่วไป การโจมตีลักษณะนี้อาจถูกใช้เพื่อ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation) และเปิดทางให้มัลแวร์หรือแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบโดยสมบูรณ์ 🔒 การแก้ไขและแพตช์ ASUSTOR ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด: 🎗️ ABP (Backup Plan) → 2.0.7.10171 หรือใหม่กว่า 🎗️ AES (EZSync) → 1.1.0.10312 หรือใหม่กว่า 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่พบได้บ่อยใน Windows และมักถูกใช้ในการโจมตีจริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที และตรวจสอบสิทธิ์การเขียนไฟล์ในไดเรกทอรีที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-13051 พบใน ABP ≤ 2.0.7.9050 และ AES ≤ 1.0.6.8290 ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก DLL Hijacking ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดด้วยสิทธิ์ LocalSystem ➡️ ASUSTOR ออกแพตช์แก้ไขใน ABP ≥ 2.0.7.10171 และ AES ≥ 1.1.0.10312 ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ⛔ DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่อง https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical ASUSTOR Flaw (CVE-2025-13051) Allows Local DLL Hijacking for SYSTEM Privilege Escalation
    A Critical DLL Hijacking flaw (CVE-2025-13051) in ASUSTOR Backup Plan/EZSync allows local attackers to gain SYSTEM privileges by planting a malicious DLL in a user-writable path. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline

    Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea
    กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน

    https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage

    Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน
    มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา

    https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm

    “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน
    กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months

    มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud
    นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ

    https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud

    Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร
    รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล

    https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction

    Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ

    Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ

    https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays

    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel
    หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges

    Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron
    บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron

    https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications

    Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP
    มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers

    CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract
    บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล

    https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs

    Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore

    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น

    https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment

    ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic
    มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต

    https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment

    Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ
    Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure

    Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena
    แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง

    https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro

    Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode
    Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง

    https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations

    เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง

    D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก

    https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ
    มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers

    SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย

    https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass

    การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking
    มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส

    https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers

    ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051)
    ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่

    https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation

    ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล

    https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens

    หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting
    สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก

    https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide

    📌📰🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠📰📌 #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline 🕵️‍♂️ Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน 🔗 https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage 💻 Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา 🔗 https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm 🎩 “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ 🔗 https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months ☁️ มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ 🔗 https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud 🗄️ Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล 🔗 https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction 💻 Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ 🔗 https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays 🛡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ 🔗 https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges 🌐 Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron 🔗 https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications 🔒 Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต 🔗 https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers 📜 CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล 🔗 https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs 🛠️ Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น 🔗 https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment 💰 ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment 🇺🇸 Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ 🔗 https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure 🧠 Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง 🔗 https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro 🎨 Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง 🔗 https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations 📡 เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution ⚙️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 🔗 https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers 🖥️ SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย 🔗 https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass 🪙 การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส 🔗 https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers 🖥️ ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051) ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ 🔗 https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation ⚠️ ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่ มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล 🔗 https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens 🌍 หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก 🔗 https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สกำลังหมดแรงและพร้อมจะเดินออกจากวงการ

    โอเพ่นซอร์สคือรากฐานของโลกดิจิทัลที่เราใช้ทุกวัน ตั้งแต่ฐานข้อมูลไปจนถึงเฟรมเวิร์ก JavaScript แต่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้คือกลุ่มนักพัฒนาที่ทำงานหนักโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม หลายคนต้องทำงานสองกะ—งานประจำกลางวันและงานดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สตอนกลางคืน ส่งผลให้สุขภาพกายและใจทรุดโทรมอย่างต่อเนื่อง

    รายงานล่าสุดชี้ว่า 73% ของนักพัฒนาเคยประสบภาวะ Burnout และกว่า 60% ของผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สคิดจะเลิกทำงานนี้ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวนักพัฒนา แต่ยังเสี่ยงต่อความมั่นคงของซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ เพราะเมื่อผู้ดูแลโครงการถอนตัว โค้ดที่สำคัญอาจถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    นอกจากภาระงานที่หนักแล้ว พฤติกรรมของผู้ใช้และชุมชนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ความคาดหวังที่สูงเกินไปและการวิจารณ์ที่รุนแรงทำให้ผู้ดูแลรู้สึกเหมือนถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง หลายคนถึงขั้นใช้คำว่า “Burnout Death Spiral” เพื่ออธิบายวงจรที่เหนื่อยล้าและความเป็นพิษในชุมชนที่ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

    แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอมีทั้งการจัดหา รายได้ที่มั่นคงให้ผู้ดูแล, การสร้างระบบสนับสนุนทางสังคม เช่นกิจกรรมชุมชน, และการใช้ เครื่องมืออัตโนมัติ เพื่อลดงานซ้ำซาก เช่นการจัดการ Issue หรือการตอบคำถามซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้ผู้ดูแลกลับมามีแรงใจและลดความเสี่ยงที่โครงการสำคัญจะถูกทอดทิ้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สถานการณ์ Burnout ของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส
    73% เคยประสบภาวะ Burnout
    60% ของผู้ดูแลโครงการคิดจะเลิกทำงาน

    สาเหตุหลักของปัญหา
    ไม่มีค่าตอบแทนที่มั่นคง
    ภาระงานหนักและซ้ำซาก
    พฤติกรรมเป็นพิษจากผู้ใช้และชุมชน

    ผลกระทบต่อระบบซอฟต์แวร์โลก
    ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนซอฟต์แวร์
    ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไม่ได้รับการแก้ไข
    โครงการสำคัญอาจถูกทอดทิ้ง

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    จัดหาค่าตอบแทนที่มั่นคง เช่น GitHub Sponsors หรือ Open Collective
    สนับสนุนกิจกรรมชุมชนเพื่อสร้างกำลังใจ
    ใช้ระบบอัตโนมัติช่วยลดงานซ้ำซาก

    คำเตือนที่ต้องระวัง
    หากไม่แก้ไขปัญหา Burnout อาจนำไปสู่การล่มสลายของโครงการสำคัญ
    ความมั่นคงทางไซเบอร์ขององค์กรทั่วโลกอาจถูกคุกคาม
    การใช้ AI สร้างโค้ดคุณภาพต่ำอาจเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลมากขึ้น

    https://itsfoss.com/news/open-source-developers-are-exhausted/
    🖥️ นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สกำลังหมดแรงและพร้อมจะเดินออกจากวงการ โอเพ่นซอร์สคือรากฐานของโลกดิจิทัลที่เราใช้ทุกวัน ตั้งแต่ฐานข้อมูลไปจนถึงเฟรมเวิร์ก JavaScript แต่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้คือกลุ่มนักพัฒนาที่ทำงานหนักโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม หลายคนต้องทำงานสองกะ—งานประจำกลางวันและงานดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สตอนกลางคืน ส่งผลให้สุขภาพกายและใจทรุดโทรมอย่างต่อเนื่อง รายงานล่าสุดชี้ว่า 73% ของนักพัฒนาเคยประสบภาวะ Burnout และกว่า 60% ของผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สคิดจะเลิกทำงานนี้ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวนักพัฒนา แต่ยังเสี่ยงต่อความมั่นคงของซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ เพราะเมื่อผู้ดูแลโครงการถอนตัว โค้ดที่สำคัญอาจถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย นอกจากภาระงานที่หนักแล้ว พฤติกรรมของผู้ใช้และชุมชนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ความคาดหวังที่สูงเกินไปและการวิจารณ์ที่รุนแรงทำให้ผู้ดูแลรู้สึกเหมือนถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง หลายคนถึงขั้นใช้คำว่า “Burnout Death Spiral” เพื่ออธิบายวงจรที่เหนื่อยล้าและความเป็นพิษในชุมชนที่ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอมีทั้งการจัดหา รายได้ที่มั่นคงให้ผู้ดูแล, การสร้างระบบสนับสนุนทางสังคม เช่นกิจกรรมชุมชน, และการใช้ เครื่องมืออัตโนมัติ เพื่อลดงานซ้ำซาก เช่นการจัดการ Issue หรือการตอบคำถามซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้ผู้ดูแลกลับมามีแรงใจและลดความเสี่ยงที่โครงการสำคัญจะถูกทอดทิ้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สถานการณ์ Burnout ของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส ➡️ 73% เคยประสบภาวะ Burnout ➡️ 60% ของผู้ดูแลโครงการคิดจะเลิกทำงาน ✅ สาเหตุหลักของปัญหา ➡️ ไม่มีค่าตอบแทนที่มั่นคง ➡️ ภาระงานหนักและซ้ำซาก ➡️ พฤติกรรมเป็นพิษจากผู้ใช้และชุมชน ✅ ผลกระทบต่อระบบซอฟต์แวร์โลก ➡️ ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ ➡️ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ โครงการสำคัญอาจถูกทอดทิ้ง ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ จัดหาค่าตอบแทนที่มั่นคง เช่น GitHub Sponsors หรือ Open Collective ➡️ สนับสนุนกิจกรรมชุมชนเพื่อสร้างกำลังใจ ➡️ ใช้ระบบอัตโนมัติช่วยลดงานซ้ำซาก ‼️ คำเตือนที่ต้องระวัง ⛔ หากไม่แก้ไขปัญหา Burnout อาจนำไปสู่การล่มสลายของโครงการสำคัญ ⛔ ความมั่นคงทางไซเบอร์ขององค์กรทั่วโลกอาจถูกคุกคาม ⛔ การใช้ AI สร้างโค้ดคุณภาพต่ำอาจเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลมากขึ้น https://itsfoss.com/news/open-source-developers-are-exhausted/
    ITSFOSS.COM
    Open Source Developers Are Exhausted, Unpaid, and Ready to Walk Away
    The foundation of modern software is cracking under the weight of burnout.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง

    Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง

    หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป

    เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์

    คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ
    Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี
    ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร

    เหตุผลในการก้าวลง
    ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์
    การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน

    โครงสร้างใหม่ของ Mastodon
    จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL)
    องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว

    ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่
    Felix Hlatky เป็น Executive Director
    Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ
    สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน

    คำเตือนและความท้าทาย
    การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น
    ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่
    ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech

    https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    🌐 Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์ คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ ➡️ Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี ➡️ ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร ✅ เหตุผลในการก้าวลง ➡️ ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ ➡️ การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน ✅ โครงสร้างใหม่ของ Mastodon ➡️ จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) ➡️ องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว ✅ ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่ ➡️ Felix Hlatky เป็น Executive Director ➡️ Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ ➡️ สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น ⛔ ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่ ⛔ ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    ITSFOSS.COM
    After Nearly 10 Years of Building Mastodon, Eugen Rochko Steps Into Advisory Role
    Mastodon's creator steps back from CEO role, transfers assets to non-profit organization.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน

    แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions
    ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก
    สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้

    สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง
    เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music
    เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด

    มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ
    บันทึกกิจกรรมทั้งหมด
    ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล
    ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน

    คำเตือนและความเสี่ยง
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA)
    อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์
    AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง
    การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    🛡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions ➡️ ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก ➡️ สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้ ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง ➡️ เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music ➡️ เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ ➡️ บันทึกกิจกรรมทั้งหมด ➡️ ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ⛔ อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ ⛔ AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง ⛔ การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    ITSFOSS.COM
    Microsoft's New Windows AI Feature Comes With Warnings About Malware and Data Theft
    New opt-in experimental feature comes with some warnings and requires file access.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE

    Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม

    ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่

    ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้

    Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว KDE Slimbook VII
    ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE
    โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ

    สเปกและดีไซน์
    ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue
    หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB
    คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา

    ประสิทธิภาพภายใน
    AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M
    RAM DDR5 สูงสุด 128 GB
    SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB

    ราคาและโปรโมชั่น
    ลดราคา €70
    ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD)

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป
    อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ

    https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    💻 KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว KDE Slimbook VII ➡️ ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE ➡️ โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ ✅ สเปกและดีไซน์ ➡️ ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB ➡️ คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา ✅ ประสิทธิภาพภายใน ➡️ AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M ➡️ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB ➡️ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ✅ ราคาและโปรโมชั่น ➡️ ลดราคา €70 ➡️ ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD) ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป ⛔ อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    9TO5LINUX.COM
    Slimbook and KDE Celebrate 8th Anniversary with KDE Slimbook VII Linux Laptop - 9to5Linux
    KDE Slimbook VII Linux laptop launches with an AMD Ryzen AI 9 365 CPU, integrated AMD Radeon 880M graphics, and up to 128 GB RAM.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • ทำไม Costco และ Home Depot ยังใช้คอมพิวเตอร์ IBM จากยุค 1980

    หลายคนอาจแปลกใจเมื่อเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์หน้าตาโบราณในร้าน Costco หรือ Home Depot แต่ความจริงคือบริษัทเหล่านี้ยังคงใช้ IBM AS/400 และ IBM 5250 ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 1988 เพื่อจัดการธุรกรรม, ระบบคลังสินค้า, และการเงินของร้านค้า ระบบเหล่านี้ทำงานบน OS/400 และต่อมาพัฒนามาเป็น IBM i ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจาก IBM

    เหตุผลหลักคือ ความปลอดภัย เนื่องจากระบบเหล่านี้ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรงและต้องใช้การเข้าถึงทางกายภาพ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกแฮ็ก อีกทั้งยังมีความ เสถียรสูงมาก โดยมี uptime มากกว่า 99.99% ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบที่ไม่ล่มบ่อย

    อีกปัจจัยคือ ต้นทุนต่ำและความคุ้มค่า Costco เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย โดยจัดสรรงบประมาณเพียง 10% ของรายได้สำหรับการดำเนินงาน การใช้ระบบ IBM รุ่นเก่าจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากเมื่อเทียบกับการลงทุนในระบบใหม่ เช่น Oracle หรือ SAP

    นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากภาครัฐ เช่น กองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เคยใช้คอมพิวเตอร์ IBM Series/1 และแผ่นฟลอปปีดิสก์ 8 นิ้วในการควบคุมระบบอาวุธนิวเคลียร์มานานหลายสิบปี ก่อนจะอัปเดตในปี 2019 เหตุผลก็คล้ายกันคือ ความเชื่อถือได้และความปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุผลที่ยังใช้ IBM รุ่นเก่า
    ความเสถียรสูง (uptime > 99.99%)
    ปลอดภัยจากการถูกแฮ็กเพราะต้องเข้าถึงทางกายภาพ
    ต้นทุนต่ำและคุ้มค่า

    การใช้งานในธุรกิจ
    จัดการธุรกรรม, คลังสินค้า, และการเงิน
    ระบบ IBM AS/400 และ IBM 5250 ยังได้รับการสนับสนุนจาก IBM

    ตัวอย่างจากภาครัฐ
    กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ IBM Series/1 กับฟลอปปีดิสก์ 8 นิ้ว
    อัปเดตระบบในปี 2019 หลังใช้งานมานานหลายสิบปี

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ระบบเก่าอาจไม่รองรับความต้องการใหม่ ๆ เช่น Big Data หรือ Cloud
    การพึ่งพาเทคโนโลยีโบราณอาจทำให้ยากต่อการหาช่างผู้เชี่ยวชาญ
    หาก IBM ยุติการสนับสนุน อาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

    https://www.slashgear.com/2021823/why-costco-home-depot-still-use-1980s-ibm-computers/
    🖥️ ทำไม Costco และ Home Depot ยังใช้คอมพิวเตอร์ IBM จากยุค 1980 หลายคนอาจแปลกใจเมื่อเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์หน้าตาโบราณในร้าน Costco หรือ Home Depot แต่ความจริงคือบริษัทเหล่านี้ยังคงใช้ IBM AS/400 และ IBM 5250 ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 1988 เพื่อจัดการธุรกรรม, ระบบคลังสินค้า, และการเงินของร้านค้า ระบบเหล่านี้ทำงานบน OS/400 และต่อมาพัฒนามาเป็น IBM i ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจาก IBM เหตุผลหลักคือ ความปลอดภัย เนื่องจากระบบเหล่านี้ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรงและต้องใช้การเข้าถึงทางกายภาพ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกแฮ็ก อีกทั้งยังมีความ เสถียรสูงมาก โดยมี uptime มากกว่า 99.99% ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบที่ไม่ล่มบ่อย อีกปัจจัยคือ ต้นทุนต่ำและความคุ้มค่า Costco เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย โดยจัดสรรงบประมาณเพียง 10% ของรายได้สำหรับการดำเนินงาน การใช้ระบบ IBM รุ่นเก่าจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากเมื่อเทียบกับการลงทุนในระบบใหม่ เช่น Oracle หรือ SAP นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากภาครัฐ เช่น กองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เคยใช้คอมพิวเตอร์ IBM Series/1 และแผ่นฟลอปปีดิสก์ 8 นิ้วในการควบคุมระบบอาวุธนิวเคลียร์มานานหลายสิบปี ก่อนจะอัปเดตในปี 2019 เหตุผลก็คล้ายกันคือ ความเชื่อถือได้และความปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุผลที่ยังใช้ IBM รุ่นเก่า ➡️ ความเสถียรสูง (uptime > 99.99%) ➡️ ปลอดภัยจากการถูกแฮ็กเพราะต้องเข้าถึงทางกายภาพ ➡️ ต้นทุนต่ำและคุ้มค่า ✅ การใช้งานในธุรกิจ ➡️ จัดการธุรกรรม, คลังสินค้า, และการเงิน ➡️ ระบบ IBM AS/400 และ IBM 5250 ยังได้รับการสนับสนุนจาก IBM ✅ ตัวอย่างจากภาครัฐ ➡️ กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ IBM Series/1 กับฟลอปปีดิสก์ 8 นิ้ว ➡️ อัปเดตระบบในปี 2019 หลังใช้งานมานานหลายสิบปี ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ระบบเก่าอาจไม่รองรับความต้องการใหม่ ๆ เช่น Big Data หรือ Cloud ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีโบราณอาจทำให้ยากต่อการหาช่างผู้เชี่ยวชาญ ⛔ หาก IBM ยุติการสนับสนุน อาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต https://www.slashgear.com/2021823/why-costco-home-depot-still-use-1980s-ibm-computers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Costco And Home Depot Still Use IBM Computers From The '80s: Here's Why - SlashGear
    Costco sells some of the most advanced computers on the consumer market today, so you'll be surprised to learn their stores rely on computers from the 1980s.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย

    Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet

    HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้

    แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเติบโตของ Starlink
    ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025
    ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย

    ปัญหาของ HughesNet
    ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink
    สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก
    การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน

    การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่
    เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink

    คำเตือนและความเสี่ยง
    HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น
    การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน
    ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์

    https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    🚀 HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้ แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเติบโตของ Starlink ➡️ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ✅ ปัญหาของ HughesNet ➡️ ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink ➡️ สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก ➡️ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ✅ การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่ ➡️ เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น ⛔ การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน ⛔ ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์ https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Major Internet Provider Is Struggling Because Starlink Stole Its Customers - SlashGear
    Starlink's rise to stardom (no pun intended) has had a major impact on HughesNet, which has been one of the best and only Starlink alternatives out there.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • คีย์บอร์ดทางเลือกสำหรับ Android แทน Gboard

    แม้ว่า Gboard ของ Google จะเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Android ด้วยฟีเจอร์ครบครัน เช่น การพิมพ์ด้วยเสียง, การค้นหาในตัว, และการรองรับหลายภาษา แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่มองหาทางเลือกอื่น เนื่องจากกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว หรืออยากได้คีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า

    หนึ่งในทางเลือกยอดนิยมคือ Microsoft SwiftKey ที่มีระบบ AI คาดเดาคำได้แม่นยำ และรองรับการพิมพ์แบบลากนิ้ว (swipe typing) อีกทั้งยังซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ ส่วน Fleksy โดดเด่นด้วยความเร็วและระบบ gesture ที่ช่วยให้การพิมพ์สะดวกขึ้น พร้อมธีมหลากหลายสำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งหน้าตา

    สำหรับผู้ใช้ที่เน้นความเป็นส่วนตัว OpenBoard และ Simple Keyboard เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นโอเพ่นซอร์ส ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว และทำงานได้เบาไม่กินทรัพยากรเครื่อง ขณะที่ Grammarly Keyboard เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดภาษาอังกฤษอย่างละเอียด

    การเลือกคีย์บอร์ดจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ บางคนอาจเน้นความเร็วและการปรับแต่ง บางคนอาจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว หรือฟีเจอร์เฉพาะทาง เช่น การตรวจสอบภาษา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ทางเลือกยอดนิยมแทน Gboard
    Microsoft SwiftKey – เด่นเรื่อง AI คาดเดาคำและการพิมพ์แบบลากนิ้ว
    Fleksy – เน้นความเร็วและ gesture
    Grammarly Keyboard – ตรวจสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

    คีย์บอร์ดโอเพ่นซอร์สเพื่อความเป็นส่วนตัว
    OpenBoard – ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว
    Simple Keyboard – เบาและใช้งานง่าย

    เหตุผลที่ผู้ใช้เลือกทางเลือกอื่น
    กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวจาก Google
    ต้องการคีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า
    อยากได้ฟีเจอร์เฉพาะ เช่น ตรวจสอบภาษา

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    คีย์บอร์ดบางตัวอาจไม่รองรับหลายภาษาเท่ากับ Gboard
    ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การค้นหาในตัว อาจไม่มีในคีย์บอร์ดทางเลือก
    แอปจากนักพัฒนารายเล็กอาจไม่ได้รับการอัปเดตบ่อย

    https://www.slashgear.com/2024575/android-gboard-keyboard-alternatives/
    ⌨️ คีย์บอร์ดทางเลือกสำหรับ Android แทน Gboard แม้ว่า Gboard ของ Google จะเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Android ด้วยฟีเจอร์ครบครัน เช่น การพิมพ์ด้วยเสียง, การค้นหาในตัว, และการรองรับหลายภาษา แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่มองหาทางเลือกอื่น เนื่องจากกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว หรืออยากได้คีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า หนึ่งในทางเลือกยอดนิยมคือ Microsoft SwiftKey ที่มีระบบ AI คาดเดาคำได้แม่นยำ และรองรับการพิมพ์แบบลากนิ้ว (swipe typing) อีกทั้งยังซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ ส่วน Fleksy โดดเด่นด้วยความเร็วและระบบ gesture ที่ช่วยให้การพิมพ์สะดวกขึ้น พร้อมธีมหลากหลายสำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งหน้าตา สำหรับผู้ใช้ที่เน้นความเป็นส่วนตัว OpenBoard และ Simple Keyboard เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นโอเพ่นซอร์ส ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว และทำงานได้เบาไม่กินทรัพยากรเครื่อง ขณะที่ Grammarly Keyboard เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดภาษาอังกฤษอย่างละเอียด การเลือกคีย์บอร์ดจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ บางคนอาจเน้นความเร็วและการปรับแต่ง บางคนอาจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว หรือฟีเจอร์เฉพาะทาง เช่น การตรวจสอบภาษา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ทางเลือกยอดนิยมแทน Gboard ➡️ Microsoft SwiftKey – เด่นเรื่อง AI คาดเดาคำและการพิมพ์แบบลากนิ้ว ➡️ Fleksy – เน้นความเร็วและ gesture ➡️ Grammarly Keyboard – ตรวจสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ✅ คีย์บอร์ดโอเพ่นซอร์สเพื่อความเป็นส่วนตัว ➡️ OpenBoard – ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว ➡️ Simple Keyboard – เบาและใช้งานง่าย ✅ เหตุผลที่ผู้ใช้เลือกทางเลือกอื่น ➡️ กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวจาก Google ➡️ ต้องการคีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า ➡️ อยากได้ฟีเจอร์เฉพาะ เช่น ตรวจสอบภาษา ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ คีย์บอร์ดบางตัวอาจไม่รองรับหลายภาษาเท่ากับ Gboard ⛔ ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การค้นหาในตัว อาจไม่มีในคีย์บอร์ดทางเลือก ⛔ แอปจากนักพัฒนารายเล็กอาจไม่ได้รับการอัปเดตบ่อย https://www.slashgear.com/2024575/android-gboard-keyboard-alternatives/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Android Keyboard Alternatives Put Google's Gboard To Shame - SlashGear
    Google's default Android keyboard, Gboard, isn't the only option users have. Let's take a look at some alternatives that have features Gboard is sorely missing.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • 5 วิธีใหม่ในการใช้ iPad รุ่นเก่าให้เกิดประโยชน์
    แม้ว่า iPad รุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงและระบบ iPadOS ที่ทันสมัย แต่ iPad รุ่นเก่าก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า โดย SlashGear ได้แนะนำ 5 วิธีใหม่ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และลดการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์

    หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือการใช้ iPad เป็น เมนูร้านอาหารหรือเครื่องคิดเงิน (POS) เพราะหน้าจอสามารถแสดงเมนูอาหารได้ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้ง่าย อีกทั้งยังรองรับแอปพลิเคชัน POS ที่ช่วยให้ร้านค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องคิดเงินแบบดั้งเดิม

    อีกทางเลือกคือการใช้ iPad เป็น คอมพิวเตอร์สำรอง โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ iPadOS 26 ซึ่งมีฟีเจอร์ใกล้เคียงกับ MacBook เช่น การจัดการไฟล์และการทำงานแบบหลายหน้าต่าง ทำให้สามารถใช้แทนโน้ตบุ๊คได้ในกรณีฉุกเฉิน

    สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งอุปกรณ์ iPad รุ่นเก่าสามารถ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของระบบ และติดตั้งแอปหรือฟีเจอร์ที่ Apple ไม่อนุญาต อย่างไรก็ตาม การเจลเบรกมีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้หมดประกัน

    นอกจากนี้ยังสามารถใช้ iPad เป็น เครื่องช่วยออกกำลังกาย โดยเชื่อมต่อกับ Apple Fitness+ หรือใช้เป็นหน้าจอสำหรับดูวิดีโอการออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการใช้เป็น เทเลพรอมพ์เตอร์ สำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ซึ่งมีแอปฟรีรองรับการใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายการสิ่งที่ทำได้กับ iPad รุ่นเก่า
    เมนูร้านอาหาร / เครื่องคิดเงิน POS
    ใช้แสดงเมนูอาหารและเครื่องดื่ม
    รองรับแอป POS สำหรับการชำระเงิน

    คอมพิวเตอร์สำรองแทนโน้ตบุ๊ค
    ใช้ iPadOS 26 ที่รองรับ multitasking และจัดการไฟล์
    เหมาะสำหรับพกพาไปทำงานนอกสถานที่

    เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด
    ติดตั้งแอปนอกระบบและปรับแต่งได้มากขึ้น
    ใช้เครื่องมืออย่าง palera1n สำหรับรุ่นที่รองรับ

    เครื่องช่วยออกกำลังกาย
    ใช้กับ Apple Fitness+ หรือวิดีโอออกกำลังกาย
    หน้าจอใหญ่และเสียงดังชัดเจนกว่ามือถือ

    เทเลพรอมพ์เตอร์ (Teleprompter)
    ใช้แอป Teleprompter หรือ Presenter Mode ใน Pages
    เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้ไม่นาน

    https://www.slashgear.com/2026270/more-things-you-can-do-with-old-ipad/
    📱5 วิธีใหม่ในการใช้ iPad รุ่นเก่าให้เกิดประโยชน์ แม้ว่า iPad รุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงและระบบ iPadOS ที่ทันสมัย แต่ iPad รุ่นเก่าก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า โดย SlashGear ได้แนะนำ 5 วิธีใหม่ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และลดการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือการใช้ iPad เป็น เมนูร้านอาหารหรือเครื่องคิดเงิน (POS) เพราะหน้าจอสามารถแสดงเมนูอาหารได้ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้ง่าย อีกทั้งยังรองรับแอปพลิเคชัน POS ที่ช่วยให้ร้านค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องคิดเงินแบบดั้งเดิม อีกทางเลือกคือการใช้ iPad เป็น คอมพิวเตอร์สำรอง โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ iPadOS 26 ซึ่งมีฟีเจอร์ใกล้เคียงกับ MacBook เช่น การจัดการไฟล์และการทำงานแบบหลายหน้าต่าง ทำให้สามารถใช้แทนโน้ตบุ๊คได้ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งอุปกรณ์ iPad รุ่นเก่าสามารถ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของระบบ และติดตั้งแอปหรือฟีเจอร์ที่ Apple ไม่อนุญาต อย่างไรก็ตาม การเจลเบรกมีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้หมดประกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ iPad เป็น เครื่องช่วยออกกำลังกาย โดยเชื่อมต่อกับ Apple Fitness+ หรือใช้เป็นหน้าจอสำหรับดูวิดีโอการออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการใช้เป็น เทเลพรอมพ์เตอร์ สำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ซึ่งมีแอปฟรีรองรับการใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ 📋 รายการสิ่งที่ทำได้กับ iPad รุ่นเก่า ✅ เมนูร้านอาหาร / เครื่องคิดเงิน POS ➡️ ใช้แสดงเมนูอาหารและเครื่องดื่ม ➡️ รองรับแอป POS สำหรับการชำระเงิน ✅ คอมพิวเตอร์สำรองแทนโน้ตบุ๊ค ➡️ ใช้ iPadOS 26 ที่รองรับ multitasking และจัดการไฟล์ ➡️ เหมาะสำหรับพกพาไปทำงานนอกสถานที่ ✅ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด ➡️ ติดตั้งแอปนอกระบบและปรับแต่งได้มากขึ้น ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง palera1n สำหรับรุ่นที่รองรับ ✅ เครื่องช่วยออกกำลังกาย ➡️ ใช้กับ Apple Fitness+ หรือวิดีโอออกกำลังกาย ➡️ หน้าจอใหญ่และเสียงดังชัดเจนกว่ามือถือ ✅ เทเลพรอมพ์เตอร์ (Teleprompter) ➡️ ใช้แอป Teleprompter หรือ Presenter Mode ใน Pages ➡️ เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้ไม่นาน https://www.slashgear.com/2026270/more-things-you-can-do-with-old-ipad/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Things You Can Do With Your Old iPad Instead Of Throwing It Away - SlashGear
    Old iPad gathering dust? Here’s how to turn it into a menu, teleprompter, workout screen, backup computer or more without spending much.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • ชื่นชอบ คงอุดม ออกโรงสอน "น้องลอรี่" หลังกล่าวร้ายถึงพีระพันธุ์ ชี้เป็นคน "เนรคุณ-ใช้ไม่ได้" ไม่รู้จักบุญคุณคน
    https://www.thai-tai.tv/news/22464/
    .
    #พรรครวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #ลอรี่พงศ์พลยอดเมืองเจริญ #ไทยไท #พรรครวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #ลอรี่พงศ์พลยอดเมืองเจริญ #ชื่นชอบคงอุดม #เนรคุณ
    ชื่นชอบ คงอุดม ออกโรงสอน "น้องลอรี่" หลังกล่าวร้ายถึงพีระพันธุ์ ชี้เป็นคน "เนรคุณ-ใช้ไม่ได้" ไม่รู้จักบุญคุณคน https://www.thai-tai.tv/news/22464/ . #พรรครวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #ลอรี่พงศ์พลยอดเมืองเจริญ #ไทยไท #พรรครวมไทยสร้างชาติ #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #ลอรี่พงศ์พลยอดเมืองเจริญ #ชื่นชอบคงอุดม #เนรคุณ
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ทำไมกล้องถ่ายภาพความร้อนถึงเป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟน

    กล้องถ่ายภาพความร้อนที่เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C เช่น Thermal Master P1 กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์อุณหภูมิได้ทันที โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เฉพาะทางราคาแพง จุดเด่นคือพกพาสะดวก ใช้งานง่าย และมีแอปพลิเคชันที่ช่วยวัดค่าอุณหภูมิได้อย่างละเอียด

    รายการ 10 การใช้งาน Thermal Camera
    ตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    หาจุดร้อนในคอมพิวเตอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อปรับปรุงการระบายความร้อน

    ตรวจสอบเครื่องยนต์รถยนต์
    ดูอุณหภูมิที่ผิดปกติในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยวิเคราะห์ปัญหา

    ตรวจสอบการรั่วไหลของความร้อนในบ้าน
    หาจุดที่มีอากาศเย็นรั่วเข้ามา ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

    ตรวจสอบระบบทำความร้อน (Heating System)
    หาจุดรั่วหรือท่อที่มีปัญหาในระบบทำความร้อน

    ตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำและความชื้น
    หาความชื้นสะสมหลังผนังหรือเพดาน ป้องกันเชื้อรา

    ใช้ในการทำอาหารและเบเกอรี่
    ตรวจสอบอุณหภูมิผิวอาหาร น้ำมัน หรือเตาอบ

    ตรวจจับสัตว์และคนในความมืด
    ใช้ดูสัตว์กลางคืน หรือเล่นเกมซ่อนหาในที่มืด

    ใช้ถ่ายภาพเชิงสร้างสรรค์
    ถ่ายภาพวิว เมือง หรือวัตถุในมุมมองความร้อนที่แปลกใหม่

    ใช้เป็นเครื่องมือการศึกษา
    กระตุ้นความสนใจเด็ก ๆ ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    ใช้ในงานมืออาชีพ
    ตรวจสอบอาคาร เครื่องจักร หรือระบบไฟฟ้า พร้อมสร้างรายงานจากแอป

    https://www.slashgear.com/2026375/thermal-camera-best-phone-accessory-reasons-why/
    🔥 ทำไมกล้องถ่ายภาพความร้อนถึงเป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟน กล้องถ่ายภาพความร้อนที่เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C เช่น Thermal Master P1 กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์อุณหภูมิได้ทันที โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เฉพาะทางราคาแพง จุดเด่นคือพกพาสะดวก ใช้งานง่าย และมีแอปพลิเคชันที่ช่วยวัดค่าอุณหภูมิได้อย่างละเอียด 📋 รายการ 10 การใช้งาน Thermal Camera ✅ ตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ หาจุดร้อนในคอมพิวเตอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อปรับปรุงการระบายความร้อน ✅ ตรวจสอบเครื่องยนต์รถยนต์ ➡️ ดูอุณหภูมิที่ผิดปกติในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยวิเคราะห์ปัญหา ✅ ตรวจสอบการรั่วไหลของความร้อนในบ้าน ➡️ หาจุดที่มีอากาศเย็นรั่วเข้ามา ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ✅ ตรวจสอบระบบทำความร้อน (Heating System) ➡️ หาจุดรั่วหรือท่อที่มีปัญหาในระบบทำความร้อน ✅ ตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำและความชื้น ➡️ หาความชื้นสะสมหลังผนังหรือเพดาน ป้องกันเชื้อรา ✅ ใช้ในการทำอาหารและเบเกอรี่ ➡️ ตรวจสอบอุณหภูมิผิวอาหาร น้ำมัน หรือเตาอบ ✅ ตรวจจับสัตว์และคนในความมืด ➡️ ใช้ดูสัตว์กลางคืน หรือเล่นเกมซ่อนหาในที่มืด ✅ ใช้ถ่ายภาพเชิงสร้างสรรค์ ➡️ ถ่ายภาพวิว เมือง หรือวัตถุในมุมมองความร้อนที่แปลกใหม่ ✅ ใช้เป็นเครื่องมือการศึกษา ➡️ กระตุ้นความสนใจเด็ก ๆ ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ✅ ใช้ในงานมืออาชีพ ➡️ ตรวจสอบอาคาร เครื่องจักร หรือระบบไฟฟ้า พร้อมสร้างรายงานจากแอป https://www.slashgear.com/2026375/thermal-camera-best-phone-accessory-reasons-why/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    10 Reasons Why A Thermal Camera Is The Best Accessory For Your Smartphone - SlashGear
    Curious what thermal imaging can actually do on a phone? This guide breaks down the surprising ways a small add-on becomes genuinely practical.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • สหราชอาณาจักรเปิดโปงผู้ให้บริการ Bulletproof Hosting ที่เชื่อมโยงกับ LockBit และ Evil Corp

    Alexander Volosovik หรือที่รู้จักในโลกออนไลน์ว่า “Yalishanda” ถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน Bulletproof Hosting ภายใต้ชื่อบริษัท Media Land LLC และ ML.Cloud LLC ในรัสเซีย โครงสร้างนี้ถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์และอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น LockBit, Evil Corp และ BlackBasta เพื่อดำเนินการโจมตีที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อองค์กรทั่วโลก ทั้งด้านการเงินและการหยุดชะงักของการดำเนินงาน

    บริการ Bulletproof Hosting มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจอาชญากรรมไซเบอร์ เพราะช่วย ซ่อนตัวตนลูกค้า, เพิกเฉยต่อการร้องเรียนการละเมิด, และต่อต้านการถูกปิดโดยหน่วยงานรัฐ ทำให้กลุ่มอาชญากรสามารถดำเนินการโจมตีได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน FCDO ได้ประกาศคว่ำบาตร Volosovik และผู้ร่วมงานอีก 3 คน โดยประสานงานกับ US Treasury’s OFAC และ กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เพื่อสร้างแรงกดดันระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันพันธมิตร Five Eyes (สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์) ได้ออกคำเตือนต่อภาคธุรกิจเกี่ยวกับความเสี่ยงจากบริการโฮสติ้งประเภทนี้

    นอกจากนี้ ตำรวจเนเธอร์แลนด์ยังได้ ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 250 เครื่อง จากผู้ให้บริการ Bulletproof Hosting ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งเชื่อมโยงกับการสอบสวนอาชญากรรมไซเบอร์กว่า 80 คดี การยึดครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักสืบได้เห็นโครงสร้างเบื้องหลังที่สนับสนุนการโจมตีไซเบอร์ขนาดใหญ่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดโปงและคว่ำบาตร
    Alexander Volosovik (“Yalishanda”) ถูกคว่ำบาตรโดย UK, US, และออสเตรเลีย
    โครงสร้าง Media Land LLC และ ML.Cloud LLC สนับสนุน LockBit, Evil Corp, BlackBasta

    บทบาทของ Bulletproof Hosting
    ซ่อนตัวตนลูกค้าและเพิกเฉยต่อการร้องเรียน
    ต่อต้านการถูกปิดโดยหน่วยงานรัฐ
    เป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้แรนซัมแวร์ดำเนินการได้ต่อเนื่อง

    การดำเนินการระหว่างประเทศ
    Five Eyes ออกคำเตือนต่อภาคธุรกิจ
    ตำรวจเนเธอร์แลนด์ยึดเซิร์ฟเวอร์ 250 เครื่อง เชื่อมโยงกับกว่า 80 คดี

    คำเตือนและความเสี่ยง
    บริการ Bulletproof Hosting ทำให้การโจมตีไซเบอร์ยากต่อการหยุดยั้ง
    ภาคธุรกิจที่ใช้บริการเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกคว่ำบาตรและการสอบสวน
    การแพร่กระจายของแรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    https://hackread.com/uk-bulletproof-hosting-operator-lockbit-evil-corp/
    🕵️ สหราชอาณาจักรเปิดโปงผู้ให้บริการ Bulletproof Hosting ที่เชื่อมโยงกับ LockBit และ Evil Corp Alexander Volosovik หรือที่รู้จักในโลกออนไลน์ว่า “Yalishanda” ถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน Bulletproof Hosting ภายใต้ชื่อบริษัท Media Land LLC และ ML.Cloud LLC ในรัสเซีย โครงสร้างนี้ถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์และอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น LockBit, Evil Corp และ BlackBasta เพื่อดำเนินการโจมตีที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อองค์กรทั่วโลก ทั้งด้านการเงินและการหยุดชะงักของการดำเนินงาน บริการ Bulletproof Hosting มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจอาชญากรรมไซเบอร์ เพราะช่วย ซ่อนตัวตนลูกค้า, เพิกเฉยต่อการร้องเรียนการละเมิด, และต่อต้านการถูกปิดโดยหน่วยงานรัฐ ทำให้กลุ่มอาชญากรสามารถดำเนินการโจมตีได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง รัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน FCDO ได้ประกาศคว่ำบาตร Volosovik และผู้ร่วมงานอีก 3 คน โดยประสานงานกับ US Treasury’s OFAC และ กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เพื่อสร้างแรงกดดันระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันพันธมิตร Five Eyes (สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์) ได้ออกคำเตือนต่อภาคธุรกิจเกี่ยวกับความเสี่ยงจากบริการโฮสติ้งประเภทนี้ นอกจากนี้ ตำรวจเนเธอร์แลนด์ยังได้ ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 250 เครื่อง จากผู้ให้บริการ Bulletproof Hosting ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งเชื่อมโยงกับการสอบสวนอาชญากรรมไซเบอร์กว่า 80 คดี การยึดครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักสืบได้เห็นโครงสร้างเบื้องหลังที่สนับสนุนการโจมตีไซเบอร์ขนาดใหญ่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดโปงและคว่ำบาตร ➡️ Alexander Volosovik (“Yalishanda”) ถูกคว่ำบาตรโดย UK, US, และออสเตรเลีย ➡️ โครงสร้าง Media Land LLC และ ML.Cloud LLC สนับสนุน LockBit, Evil Corp, BlackBasta ✅ บทบาทของ Bulletproof Hosting ➡️ ซ่อนตัวตนลูกค้าและเพิกเฉยต่อการร้องเรียน ➡️ ต่อต้านการถูกปิดโดยหน่วยงานรัฐ ➡️ เป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้แรนซัมแวร์ดำเนินการได้ต่อเนื่อง ✅ การดำเนินการระหว่างประเทศ ➡️ Five Eyes ออกคำเตือนต่อภาคธุรกิจ ➡️ ตำรวจเนเธอร์แลนด์ยึดเซิร์ฟเวอร์ 250 เครื่อง เชื่อมโยงกับกว่า 80 คดี ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ บริการ Bulletproof Hosting ทำให้การโจมตีไซเบอร์ยากต่อการหยุดยั้ง ⛔ ภาคธุรกิจที่ใช้บริการเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกคว่ำบาตรและการสอบสวน ⛔ การแพร่กระจายของแรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ https://hackread.com/uk-bulletproof-hosting-operator-lockbit-evil-corp/
    HACKREAD.COM
    UK Exposes Bulletproof Hosting Operator Linked to LockBit and Evil Corp
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • คนสงสัยวัวแต่ไอซ์ตอบควาย ไม่ตอบว่าเอาเงินจากมาบริจาค 2 แสน แต่บอกต้องบริจาคเพราะพรรคไม่มีทุนพลังงาน ทุนค้าปลีก ทุนผู้รับเหมา อ้าวๆ แสดงว่า ทุนชิ้นส่วนยานยนต์ของพรรค เลิกช่วยเหลือพรรคแล้ว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    คนสงสัยวัวแต่ไอซ์ตอบควาย ไม่ตอบว่าเอาเงินจากมาบริจาค 2 แสน แต่บอกต้องบริจาคเพราะพรรคไม่มีทุนพลังงาน ทุนค้าปลีก ทุนผู้รับเหมา อ้าวๆ แสดงว่า ทุนชิ้นส่วนยานยนต์ของพรรค เลิกช่วยเหลือพรรคแล้ว #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “ฟองสบู่ AI? Google เตือนการลงทุนอาจเกินจริง แต่ยังเดินหน้าลงทุนมหาศาลใน UK”

    ในบทสัมภาษณ์กับ BBC, Sundar Pichai CEO ของ Alphabet (Google) กล่าวว่าการลงทุนใน AI ที่กำลังพุ่งสูงนั้นมี “องค์ประกอบของความไร้เหตุผล” แม้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญทางเทคโนโลยี แต่ก็คล้ายกับการลงทุนเกินจริงในยุคดอทคอมที่เคยนำไปสู่การล่มสลายของตลาดเมื่อปี 2000 เขาย้ำว่า ไม่มีบริษัทใดที่จะรอดพ้นผลกระทบหากฟองสบู่ AI แตก แม้แต่ Google เองก็ตาม

    ขณะเดียวกัน Google กำลังขยายการลงทุนในสหราชอาณาจักร โดยประกาศทุ่มงบกว่า £5 พันล้าน (ราว 6.8 พันล้านดอลลาร์) เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและศูนย์วิจัย AI รวมถึงการพัฒนา DeepMind ในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษมองว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้ประเทศขึ้นเป็น “มหาอำนาจ AI อันดับ 3” รองจากสหรัฐฯ และจีน

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่คือ พลังงาน เนื่องจาก AI ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี 2024 ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 415 TWh หรือ 1.5% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 620–1,050 TWh ภายในปี 2030 เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่ทั้งประเทศ เช่น ญี่ปุ่นหรือเยอรมนี สิ่งนี้ทำให้เป้าหมาย Net Zero ของ Google ภายในปี 2030 อาจล่าช้า

    นักวิเคราะห์บางรายมองว่าแม้การลงทุน AI จะสร้างโอกาสมหาศาล แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาด ฟองสบู่ AI อาจแตกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคดอทคอม

    สรุปสาระสำคัญ
    การเตือนเรื่องฟองสบู่ AI
    Sundar Pichai ระบุว่ามี “องค์ประกอบของความไร้เหตุผล” ในการลงทุน AI
    ไม่มีบริษัทใดรอดพ้นผลกระทบหากฟองสบู่แตก

    การลงทุนในสหราชอาณาจักร
    Google ทุ่มงบ £5 พันล้านเพื่อโครงสร้างพื้นฐานและวิจัย AI
    รัฐบาลอังกฤษหวังขึ้นเป็นมหาอำนาจ AI อันดับ 3 ของโลก

    ความต้องการพลังงานมหาศาล
    AI ใช้ไฟฟ้า 1.5% ของโลกในปี 2024 และอาจเพิ่มขึ้นเท่าประเทศใหญ่ภายในปี 2030
    Google ยอมรับว่าเป้าหมาย Net Zero ปี 2030 อาจล่าช้า

    คำเตือนด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
    หากฟองสบู่ AI แตก อาจกระทบตลาดหุ้นและเงินออมประชาชน
    การใช้พลังงานมหาศาลอาจทำให้เกิดวิกฤติพลังงานและชะลอเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

    https://www.bbc.com/news/articles/cwy7vrd8k4eo
    📰 “ฟองสบู่ AI? Google เตือนการลงทุนอาจเกินจริง แต่ยังเดินหน้าลงทุนมหาศาลใน UK” ในบทสัมภาษณ์กับ BBC, Sundar Pichai CEO ของ Alphabet (Google) กล่าวว่าการลงทุนใน AI ที่กำลังพุ่งสูงนั้นมี “องค์ประกอบของความไร้เหตุผล” แม้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญทางเทคโนโลยี แต่ก็คล้ายกับการลงทุนเกินจริงในยุคดอทคอมที่เคยนำไปสู่การล่มสลายของตลาดเมื่อปี 2000 เขาย้ำว่า ไม่มีบริษัทใดที่จะรอดพ้นผลกระทบหากฟองสบู่ AI แตก แม้แต่ Google เองก็ตาม ขณะเดียวกัน Google กำลังขยายการลงทุนในสหราชอาณาจักร โดยประกาศทุ่มงบกว่า £5 พันล้าน (ราว 6.8 พันล้านดอลลาร์) เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและศูนย์วิจัย AI รวมถึงการพัฒนา DeepMind ในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษมองว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้ประเทศขึ้นเป็น “มหาอำนาจ AI อันดับ 3” รองจากสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่คือ พลังงาน เนื่องจาก AI ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี 2024 ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 415 TWh หรือ 1.5% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 620–1,050 TWh ภายในปี 2030 เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่ทั้งประเทศ เช่น ญี่ปุ่นหรือเยอรมนี สิ่งนี้ทำให้เป้าหมาย Net Zero ของ Google ภายในปี 2030 อาจล่าช้า นักวิเคราะห์บางรายมองว่าแม้การลงทุน AI จะสร้างโอกาสมหาศาล แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาด ฟองสบู่ AI อาจแตกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคดอทคอม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเตือนเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Sundar Pichai ระบุว่ามี “องค์ประกอบของความไร้เหตุผล” ในการลงทุน AI ➡️ ไม่มีบริษัทใดรอดพ้นผลกระทบหากฟองสบู่แตก ✅ การลงทุนในสหราชอาณาจักร ➡️ Google ทุ่มงบ £5 พันล้านเพื่อโครงสร้างพื้นฐานและวิจัย AI ➡️ รัฐบาลอังกฤษหวังขึ้นเป็นมหาอำนาจ AI อันดับ 3 ของโลก ✅ ความต้องการพลังงานมหาศาล ➡️ AI ใช้ไฟฟ้า 1.5% ของโลกในปี 2024 และอาจเพิ่มขึ้นเท่าประเทศใหญ่ภายในปี 2030 ➡️ Google ยอมรับว่าเป้าหมาย Net Zero ปี 2030 อาจล่าช้า ‼️ คำเตือนด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ⛔ หากฟองสบู่ AI แตก อาจกระทบตลาดหุ้นและเงินออมประชาชน ⛔ การใช้พลังงานมหาศาลอาจทำให้เกิดวิกฤติพลังงานและชะลอเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม https://www.bbc.com/news/articles/cwy7vrd8k4eo
    WWW.BBC.COM
    Google boss says trillion-dollar AI investment boom has 'elements of irrationality'
    In an exclusive BBC interview, Sundar Pichai hailed artificial intelligence as an "extraordinary moment" but said no company would be immune if bubble burst.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • “สงครามชุมชน Pebble – Core Devices ปะทะ Rebble เรื่องสิทธิ์ข้อมูลและอนาคตสมาร์ทวอทช์”

    Eric Migicovsky เขียนบล็อกเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาที่ Rebble ออกมาโจมตี โดย Rebble กล่าวหาว่า Core Devices “ขโมยงาน” และ “ละเมิดข้อตกลง” ในการใช้ข้อมูลและโค้ดที่เกี่ยวข้องกับ PebbleOS และ Appstore อย่างไรก็ตาม Eric ยืนยันว่า ทุกการพัฒนาเป็นโอเพนซอร์ส และ Core Devices ได้ลงทุนเอง เช่น จ่ายเงินให้บริษัท CodeCoup เพื่อแก้ไขบั๊ก BLE stack ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งอุปกรณ์ใหม่และ Pebble รุ่นเก่า

    ความขัดแย้งหลักอยู่ที่ สิทธิ์ในข้อมูล Appstore ของ Pebble ซึ่งมีแอปและหน้าปัดกว่า 13,000 รายการที่ถูก Rebble เก็บไว้ตั้งแต่ปี 2017 Eric เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ควรถูกเผยแพร่สาธารณะเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้พัฒนาเดิม ไม่ควรถูกกักไว้เป็น “walled garden” ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ขณะที่ Rebble ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็น “ของ Rebble 100%”

    Eric ยังเล่าถึงความพยายามร่วมมือกับ Rebble เช่น การจ้างคนจาก Rebble มาทำงานใน Core Devices และการตกลงจ่ายเงินสนับสนุน $0.20 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน แต่ความสัมพันธ์กลับล้มเหลวเพราะความเห็นต่างเรื่องการเปิดเผยข้อมูล เขาจึงเสนอให้สร้าง Archive สาธารณะบนแพลตฟอร์มกลาง เช่น Archive.org เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงได้อย่างอิสระ

    สำหรับอนาคต Core Devices วางแผนพัฒนา Pebble Appstore ใหม่ในรูปแบบ native บนมือถือ โดยยังใช้ API ของ Rebble แต่ไม่บังคับให้ผู้ใช้สมัครสมาชิกหรือจ่ายเงิน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ฟรี เช่น voice-to-text และข้อมูลสภาพอากาศ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อกล่าวหาจาก Rebble
    กล่าวหาว่า Core Devices ขโมยงานและละเมิดข้อตกลง
    ชี้ว่า Core ใช้ข้อมูลและโค้ดที่ Rebble สนับสนุน

    การชี้แจงของ Eric/Core Devices
    ยืนยันว่าโค้ดทั้งหมดเป็นโอเพนซอร์ส และ Core ลงทุนเอง
    จ่ายเงินแก้บั๊ก BLE stack เพื่อประโยชน์ต่อทุกอุปกรณ์

    ประเด็นขัดแย้งหลัก
    สิทธิ์ในข้อมูล Appstore 13,000 แอปและหน้าปัด
    Eric ต้องการเปิดเผยสาธารณะ แต่ Rebble ยืนยันว่าเป็นของตน

    แผนอนาคตของ Core Devices
    พัฒนา Appstore แบบ native บนมือถือ
    ใช้ API ของ Rebble แต่ไม่บังคับสมัครสมาชิก
    เพิ่มฟีเจอร์ฟรี เช่น voice-to-text และข้อมูลสภาพอากาศ

    คำเตือนต่อชุมชน Pebble
    ความขัดแย้งอาจทำให้ผู้ใช้เสียความเชื่อมั่นและเกิดการแตกแยก
    หากข้อมูลถูกกักไว้โดยองค์กรเดียว อาจขัดต่อหลักการโอเพนซอร์สและเสี่ยงต่อการสูญหาย

    https://ericmigi.com/blog/pebble-rebble-and-a-path-forward
    📰 “สงครามชุมชน Pebble – Core Devices ปะทะ Rebble เรื่องสิทธิ์ข้อมูลและอนาคตสมาร์ทวอทช์” Eric Migicovsky เขียนบล็อกเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาที่ Rebble ออกมาโจมตี โดย Rebble กล่าวหาว่า Core Devices “ขโมยงาน” และ “ละเมิดข้อตกลง” ในการใช้ข้อมูลและโค้ดที่เกี่ยวข้องกับ PebbleOS และ Appstore อย่างไรก็ตาม Eric ยืนยันว่า ทุกการพัฒนาเป็นโอเพนซอร์ส และ Core Devices ได้ลงทุนเอง เช่น จ่ายเงินให้บริษัท CodeCoup เพื่อแก้ไขบั๊ก BLE stack ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งอุปกรณ์ใหม่และ Pebble รุ่นเก่า ความขัดแย้งหลักอยู่ที่ สิทธิ์ในข้อมูล Appstore ของ Pebble ซึ่งมีแอปและหน้าปัดกว่า 13,000 รายการที่ถูก Rebble เก็บไว้ตั้งแต่ปี 2017 Eric เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ควรถูกเผยแพร่สาธารณะเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้พัฒนาเดิม ไม่ควรถูกกักไว้เป็น “walled garden” ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ขณะที่ Rebble ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็น “ของ Rebble 100%” Eric ยังเล่าถึงความพยายามร่วมมือกับ Rebble เช่น การจ้างคนจาก Rebble มาทำงานใน Core Devices และการตกลงจ่ายเงินสนับสนุน $0.20 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน แต่ความสัมพันธ์กลับล้มเหลวเพราะความเห็นต่างเรื่องการเปิดเผยข้อมูล เขาจึงเสนอให้สร้าง Archive สาธารณะบนแพลตฟอร์มกลาง เช่น Archive.org เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงได้อย่างอิสระ สำหรับอนาคต Core Devices วางแผนพัฒนา Pebble Appstore ใหม่ในรูปแบบ native บนมือถือ โดยยังใช้ API ของ Rebble แต่ไม่บังคับให้ผู้ใช้สมัครสมาชิกหรือจ่ายเงิน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ฟรี เช่น voice-to-text และข้อมูลสภาพอากาศ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อกล่าวหาจาก Rebble ➡️ กล่าวหาว่า Core Devices ขโมยงานและละเมิดข้อตกลง ➡️ ชี้ว่า Core ใช้ข้อมูลและโค้ดที่ Rebble สนับสนุน ✅ การชี้แจงของ Eric/Core Devices ➡️ ยืนยันว่าโค้ดทั้งหมดเป็นโอเพนซอร์ส และ Core ลงทุนเอง ➡️ จ่ายเงินแก้บั๊ก BLE stack เพื่อประโยชน์ต่อทุกอุปกรณ์ ✅ ประเด็นขัดแย้งหลัก ➡️ สิทธิ์ในข้อมูล Appstore 13,000 แอปและหน้าปัด ➡️ Eric ต้องการเปิดเผยสาธารณะ แต่ Rebble ยืนยันว่าเป็นของตน ✅ แผนอนาคตของ Core Devices ➡️ พัฒนา Appstore แบบ native บนมือถือ ➡️ ใช้ API ของ Rebble แต่ไม่บังคับสมัครสมาชิก ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ฟรี เช่น voice-to-text และข้อมูลสภาพอากาศ ‼️ คำเตือนต่อชุมชน Pebble ⛔ ความขัดแย้งอาจทำให้ผู้ใช้เสียความเชื่อมั่นและเกิดการแตกแยก ⛔ หากข้อมูลถูกกักไว้โดยองค์กรเดียว อาจขัดต่อหลักการโอเพนซอร์สและเสี่ยงต่อการสูญหาย https://ericmigi.com/blog/pebble-rebble-and-a-path-forward
    ERICMIGI.COM
    Pebble, Rebble, and a Path Forward
    Pebble, Rebble, and a Path Forward
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “GitHub ล่มทั่วโลกเพราะ TLS หมดอายุ – ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง”

    เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC GitHub ประสบปัญหา Git operation ล้มเหลวทั้งหมด ทั้งการเชื่อมต่อผ่าน SSH และ HTTP รวมถึงการเข้าถึงไฟล์โดยตรง เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อบริการที่พึ่งพา Git เช่น Codespaces และระบบอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับ GitHub

    สาเหตุหลักคือ TLS certificate สำหรับการสื่อสารภายในหมดอายุ โดยไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างบริการล้มเหลว ทีมงาน GitHubแก้ไขโดยการเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการที่ได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นระบบจึงกลับมาทำงานตามปกติภายในเวลา 21:34 UTC

    เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ GitHub ได้เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ และกำลังเร่งปรับปรุงให้ การจัดการ certificate ทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ ลดการพึ่งพาการจัดการแบบ manual ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดในอนาคต

    แม้เหตุการณ์นี้จะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า จุดเล็ก ๆ อย่าง certificate หมดอายุสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงักได้ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์ล่มของ GitHub
    เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC
    Git operations ทั้ง SSH และ HTTP ล้มเหลว รวมถึง Codespaces

    สาเหตุและการแก้ไข
    TLS certificate ภายในหมดอายุโดยไม่ถูกตรวจพบ
    ทีมงานเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการ ทำให้ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง

    มาตรการป้องกันในอนาคต
    เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ
    เร่งทำให้การจัดการ certificate เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด

    คำเตือนต่อองค์กรที่ใช้ระบบดิจิทัล
    Certificate หมดอายุแม้เพียงตัวเดียวสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงัก
    การจัดการแบบ manual เสี่ยงต่อความผิดพลาด ควรใช้ระบบอัตโนมัติ

    https://www.githubstatus.com/incidents/5q7nmlxz30sk
    📰 “GitHub ล่มทั่วโลกเพราะ TLS หมดอายุ – ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง” เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC GitHub ประสบปัญหา Git operation ล้มเหลวทั้งหมด ทั้งการเชื่อมต่อผ่าน SSH และ HTTP รวมถึงการเข้าถึงไฟล์โดยตรง เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อบริการที่พึ่งพา Git เช่น Codespaces และระบบอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับ GitHub สาเหตุหลักคือ TLS certificate สำหรับการสื่อสารภายในหมดอายุ โดยไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างบริการล้มเหลว ทีมงาน GitHubแก้ไขโดยการเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการที่ได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นระบบจึงกลับมาทำงานตามปกติภายในเวลา 21:34 UTC เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ GitHub ได้เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ และกำลังเร่งปรับปรุงให้ การจัดการ certificate ทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ ลดการพึ่งพาการจัดการแบบ manual ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดในอนาคต แม้เหตุการณ์นี้จะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า จุดเล็ก ๆ อย่าง certificate หมดอายุสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงักได้ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์ล่มของ GitHub ➡️ เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC ➡️ Git operations ทั้ง SSH และ HTTP ล้มเหลว รวมถึง Codespaces ✅ สาเหตุและการแก้ไข ➡️ TLS certificate ภายในหมดอายุโดยไม่ถูกตรวจพบ ➡️ ทีมงานเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการ ทำให้ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง ✅ มาตรการป้องกันในอนาคต ➡️ เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ ➡️ เร่งทำให้การจัดการ certificate เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ‼️ คำเตือนต่อองค์กรที่ใช้ระบบดิจิทัล ⛔ Certificate หมดอายุแม้เพียงตัวเดียวสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงัก ⛔ การจัดการแบบ manual เสี่ยงต่อความผิดพลาด ควรใช้ระบบอัตโนมัติ https://www.githubstatus.com/incidents/5q7nmlxz30sk
    WWW.GITHUBSTATUS.COM
    Git operation failures
    GitHub's Status Page - Git operation failures.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ”

    บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน

    การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment)

    โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล

    สรุปสาระสำคัญ
    การควบคุมโดย App Store
    Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ
    การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ

    โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์
    Apple บังคับใช้ App Store เดียว
    Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง
    แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต
    App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้

    ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ
    ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent
    ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU

    คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน
    การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ
    การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว

    https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    📰 “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ” บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน 📱 การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment) 🔒 โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้ 👁️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌐 ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การควบคุมโดย App Store ➡️ Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ ➡️ การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ ✅ โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ ➡️ Apple บังคับใช้ App Store เดียว ➡️ Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer ✅ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง ➡️ แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต ➡️ App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้ ✅ ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ ➡️ ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent ➡️ ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน ⛔ การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ ⛔ การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    WWW.ACLU.ORG
    Your Smartphone, Their Rules: How App Stores Enable Corporate-Government Censorship | ACLU
    Big Tech Oligopoly helps the Trump Administration crack down on free speech
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI

    หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน

    ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง
    แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม

    ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง
    หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน

    เป้าหมายของ EU
    ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น

    ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง
    การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม

    การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล
    นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR

    ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก
    ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง

    https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    📰 ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้ ⚖️ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน 🔍 ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม 🌐 ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI ✅ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน ✅ เป้าหมายของ EU ➡️ ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น ‼️ ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง ⛔ การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม ‼️ การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล ⛔ นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR ‼️ ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • Nvidia ดันความต้องการ LPDDR5X สะเทือนตลาดหน่วยความจำ

    รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ก่อนจะพุ่งขึ้นอีก 20% ในต้นปี 2026 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ราคาหน่วยความจำ DDR5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี 2026 การที่ Nvidia ใช้ LPDDR5X ในซีพียู Grace และ Vera ทำให้ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    แต่ละซีพียู Grace ใช้ LPDDR5X ถึง 480GB ในขณะที่สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมใช้เพียง 16GB เท่านั้น การขยายตัวของแพลตฟอร์ม Vera ที่จะใช้หน่วยความจำมากขึ้นยิ่งทำให้ซัพพลายตึงตัว นักวิเคราะห์เตือนว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อาจต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 25% ซึ่งจะกระทบทั้งราคาขายและกำไรของผู้ผลิต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่เพียงแต่สมาร์ทโฟนเท่านั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้ DRAM ในระบบควบคุมและความปลอดภัยก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน SMIC ผู้ผลิตชิปจากจีนเตือนว่าการขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะในภาคยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้า

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ
    การที่ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ห่วงโซ่อุปทานไม่สามารถรองรับได้ทันที หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและราคาที่สูงขึ้นจะยังคงอยู่ต่อเนื่อง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูง
    เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4

    Nvidia ใช้ LPDDR5X ใน Grace และ Vera CPUs
    ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ

    ผลกระทบต่อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นราว 25% ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์
    การขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะและระบบควบคุม

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ
    Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ทำให้ซัพพลายตึงตัว

    การลงทุนผลิตไม่ทันความต้องการ
    หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งขยายกำลังการผลิต ราคาจะยังคงพุ่งต่อเนื่อง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/nvidias-demand-for-lpddr5x-could-double-smartphone-and-server-memory-prices-in-2026-seismic-shift-means-even-smartphone-class-memory-isnt-safe-from-ai-induced-crunch
    💾 Nvidia ดันความต้องการ LPDDR5X สะเทือนตลาดหน่วยความจำ รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ก่อนจะพุ่งขึ้นอีก 20% ในต้นปี 2026 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ราคาหน่วยความจำ DDR5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี 2026 การที่ Nvidia ใช้ LPDDR5X ในซีพียู Grace และ Vera ทำให้ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ ⚡ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ละซีพียู Grace ใช้ LPDDR5X ถึง 480GB ในขณะที่สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมใช้เพียง 16GB เท่านั้น การขยายตัวของแพลตฟอร์ม Vera ที่จะใช้หน่วยความจำมากขึ้นยิ่งทำให้ซัพพลายตึงตัว นักวิเคราะห์เตือนว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อาจต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 25% ซึ่งจะกระทบทั้งราคาขายและกำไรของผู้ผลิต 🚗 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์ ไม่เพียงแต่สมาร์ทโฟนเท่านั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้ DRAM ในระบบควบคุมและความปลอดภัยก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน SMIC ผู้ผลิตชิปจากจีนเตือนว่าการขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะในภาคยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้า 🌐 ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ การที่ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ห่วงโซ่อุปทานไม่สามารถรองรับได้ทันที หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและราคาที่สูงขึ้นจะยังคงอยู่ต่อเนื่อง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูง ➡️ เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ✅ Nvidia ใช้ LPDDR5X ใน Grace และ Vera CPUs ➡️ ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ ✅ ผลกระทบต่อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นราว 25% ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ การขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะและระบบควบคุม ‼️ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ ⛔ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ทำให้ซัพพลายตึงตัว ‼️ การลงทุนผลิตไม่ทันความต้องการ ⛔ หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งขยายกำลังการผลิต ราคาจะยังคงพุ่งต่อเนื่อง https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/nvidias-demand-for-lpddr5x-could-double-smartphone-and-server-memory-prices-in-2026-seismic-shift-means-even-smartphone-class-memory-isnt-safe-from-ai-induced-crunch
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • Windows 11 เปิดตัว Digital Signage Mode

    ในงาน Ignite 2025 Microsoft ได้ประกาศฟีเจอร์ Digital Signage Mode สำหรับ Windows 11 โดยออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเคยเห็น BSOD โผล่บนป้ายโฆษณา LED หรือจอแสดงผลสาธารณะ ฟีเจอร์นี้จะทำให้หน้าจอ BSOD หายไปภายใน 15 วินาทีโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากผู้ดูแลระบบ

    ลดความเสี่ยงต่อการเสียภาพลักษณ์องค์กร
    การที่จอสาธารณะโชว์ BSOD เป็นเวลานานมักสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กรหรือแบรนด์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ป้ายโฆษณาและจอแสดงผลกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเสียโอกาสทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ

    ความแตกต่างจาก Kiosk Mode
    แม้จะคล้ายกับ Kiosk Mode ที่ใช้ในเครื่องบริการตั๋วหรือเคาน์เตอร์สั่งอาหาร แต่ Digital Signage Mode ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอที่แสดงผลโฆษณาหรือข้อมูลแบบไม่โต้ตอบ โดยจะไม่กระทบกับระบบที่ต้องการการทำงานเชิงโต้ตอบ เช่น ตู้บริการอัตโนมัติ

    ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร
    นอกจาก Digital Signage Mode Microsoft ยังเปิดตัวระบบ Point-in-time Restore ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT สามารถกู้คืนระบบได้ละเอียดขึ้น และเพิ่มความสามารถในการจัดการผ่าน Intune เพื่อให้การดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Digital Signage Mode ใน Windows 11
    BSOD จะหายไปภายใน 15 วินาทีโดยอัตโนมัติ

    ลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร
    ป้องกันไม่ให้จอสาธารณะโชว์ข้อผิดพลาดนานเกินไป

    แตกต่างจาก Kiosk Mode
    ใช้กับจอแสดงผลโฆษณา ไม่ใช่ระบบโต้ตอบ

    ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร
    มี Point-in-time Restore และการจัดการผ่าน Intune

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    หากระบบไม่ได้ตั้งค่าอย่างเหมาะสม อาจยังเกิดการหยุดชะงักแม้ BSOD จะหายไปเร็ว

    การใช้งานในจอที่ต้องโต้ตอบ
    Digital Signage Mode ไม่เหมาะกับเครื่องบริการอัตโนมัติหรือระบบที่ต้องการการโต้ตอบ

    https://www.tomshardware.com/software/windows/youre-about-to-see-even-fewer-bsods-in-public-with-windows-11s-new-digital-signage-mode-every-public-blue-screen-will-wither-away-within-15-seconds-of-the-crash
    💻 Windows 11 เปิดตัว Digital Signage Mode ในงาน Ignite 2025 Microsoft ได้ประกาศฟีเจอร์ Digital Signage Mode สำหรับ Windows 11 โดยออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเคยเห็น BSOD โผล่บนป้ายโฆษณา LED หรือจอแสดงผลสาธารณะ ฟีเจอร์นี้จะทำให้หน้าจอ BSOD หายไปภายใน 15 วินาทีโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากผู้ดูแลระบบ ⚡ ลดความเสี่ยงต่อการเสียภาพลักษณ์องค์กร การที่จอสาธารณะโชว์ BSOD เป็นเวลานานมักสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กรหรือแบรนด์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ป้ายโฆษณาและจอแสดงผลกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเสียโอกาสทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ 🔍 ความแตกต่างจาก Kiosk Mode แม้จะคล้ายกับ Kiosk Mode ที่ใช้ในเครื่องบริการตั๋วหรือเคาน์เตอร์สั่งอาหาร แต่ Digital Signage Mode ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอที่แสดงผลโฆษณาหรือข้อมูลแบบไม่โต้ตอบ โดยจะไม่กระทบกับระบบที่ต้องการการทำงานเชิงโต้ตอบ เช่น ตู้บริการอัตโนมัติ 🌐 ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร นอกจาก Digital Signage Mode Microsoft ยังเปิดตัวระบบ Point-in-time Restore ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT สามารถกู้คืนระบบได้ละเอียดขึ้น และเพิ่มความสามารถในการจัดการผ่าน Intune เพื่อให้การดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Digital Signage Mode ใน Windows 11 ➡️ BSOD จะหายไปภายใน 15 วินาทีโดยอัตโนมัติ ✅ ลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร ➡️ ป้องกันไม่ให้จอสาธารณะโชว์ข้อผิดพลาดนานเกินไป ✅ แตกต่างจาก Kiosk Mode ➡️ ใช้กับจอแสดงผลโฆษณา ไม่ใช่ระบบโต้ตอบ ✅ ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร ➡️ มี Point-in-time Restore และการจัดการผ่าน Intune ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ หากระบบไม่ได้ตั้งค่าอย่างเหมาะสม อาจยังเกิดการหยุดชะงักแม้ BSOD จะหายไปเร็ว ‼️ การใช้งานในจอที่ต้องโต้ตอบ ⛔ Digital Signage Mode ไม่เหมาะกับเครื่องบริการอัตโนมัติหรือระบบที่ต้องการการโต้ตอบ https://www.tomshardware.com/software/windows/youre-about-to-see-even-fewer-bsods-in-public-with-windows-11s-new-digital-signage-mode-every-public-blue-screen-will-wither-away-within-15-seconds-of-the-crash
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก

    LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า

    การเชื่อมต่อและพลังงาน
    จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์
    LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น

    ราคาและการเปรียบเทียบ
    LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A)
    ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว

    พาเนล IPS Black
    คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป

    การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5
    รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W

    ฟีเจอร์สำหรับ Mac
    Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด

    ราคาเปิดตัว $1,999
    ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K

    ข้อควรระวังด้านราคา
    แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อจำกัดของพาเนล
    ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    🖥️ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า ⚡ การเชื่อมต่อและพลังงาน จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows 🎨 ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์ LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น 💰 ราคาและการเปรียบเทียบ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A) ➡️ ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว ✅ พาเนล IPS Black ➡️ คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป ✅ การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5 ➡️ รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W ✅ ฟีเจอร์สำหรับ Mac ➡️ Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด ✅ ราคาเปิดตัว $1,999 ➡️ ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K ‼️ ข้อควรระวังด้านราคา ⛔ แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ‼️ ข้อจำกัดของพาเนล ⛔ ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews