• เกรกอรี ดับเบิลยู มีคส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เผยแพร่ถ้อยแถลงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกรณีปลดมาตรการปิดล้อมทางอาวุธที่เคยกำหนดเล่นงานกัมพูชา โดยเฉพาะเป็นการดำเนินการโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหรือปรึกษาหารือใดๆกับสภาคองเกรส

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106329

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    เกรกอรี ดับเบิลยู มีคส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เผยแพร่ถ้อยแถลงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกรณีปลดมาตรการปิดล้อมทางอาวุธที่เคยกำหนดเล่นงานกัมพูชา โดยเฉพาะเป็นการดำเนินการโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหรือปรึกษาหารือใดๆกับสภาคองเกรส อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106329 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • “ICC ปลดพันธนาการจาก Microsoft 365 – เลือกใช้ Open Desk เพื่ออธิปไตยดิจิทัล”
    ลองจินตนาการว่าองค์กรระดับโลกอย่างศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ตัดสินใจเลิกใช้ Microsoft 365 แล้วหันไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของยุโรปแทน…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาครัฐของยุโรป

    ICC ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮก ได้ประกาศเปลี่ยนมาใช้ “Open Desk” ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สำนักงานแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zentrum Digitale Souveränität (Zendis) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Digital Commons European Digital Infrastructure Consortium (DC-EDIC) ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ Microsoft ตัดการเข้าถึงอีเมล Outlook ของหัวหน้าอัยการ ICC นาย Karim Khan โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยและอธิปไตยของข้อมูล

    นอกจาก ICC แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มทดลองใช้ Open Desk ภายใต้โครงการ “Mijn Bureau” ร่วมกับเทศบาลอัมสเตอร์ดัมและสมาคม VNG เพื่อสร้างระบบทำงานร่วมกันที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ

    ICC เลิกใช้ Microsoft 365 และเปลี่ยนมาใช้ Open Desk
    เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zendis จากเยอรมนี
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ DC-EDIC เพื่ออธิปไตยดิจิทัลของยุโรป

    Microsoft เคยตัดการเข้าถึงอีเมลของหัวหน้าอัยการ ICC
    นาย Karim Khan ถูกตัดออกจากบริการ Outlook โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
    Microsoft ยืนยันว่าไม่ได้หยุดบริการต่อองค์กร ICC โดยรวม

    ความกังวลเรื่องการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
    โดยเฉพาะหลังจาก Donald Trump กลับมาเป็นประธานาธิบดี
    เกิดแรงผลักดันให้ภาครัฐยุโรปหันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมได้เอง

    โครงการ “Mijn Bureau” ในเนเธอร์แลนด์เริ่มทดลองใช้ Open Desk
    ร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง เมืองอัมสเตอร์ดัม และ VNG
    ใช้สำหรับอีเมลและการทำงานร่วมกันในภาครัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Open Desk เป็นตัวอย่างของแนวคิด “Digital Sovereignty” ที่เน้นการควบคุมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน
    หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้ LibreOffice, Nextcloud และ Matrix แทนบริการจาก Big Tech
    การใช้โอเพ่นซอร์สช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานภาครัฐ

    https://www.binnenlandsbestuur.nl/digitaal/internationaal-strafhof-neemt-afscheid-van-microsoft-365
    🏛️ “ICC ปลดพันธนาการจาก Microsoft 365 – เลือกใช้ Open Desk เพื่ออธิปไตยดิจิทัล” ลองจินตนาการว่าองค์กรระดับโลกอย่างศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ตัดสินใจเลิกใช้ Microsoft 365 แล้วหันไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของยุโรปแทน…นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาครัฐของยุโรป ICC ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮก ได้ประกาศเปลี่ยนมาใช้ “Open Desk” ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์สำนักงานแบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zentrum Digitale Souveränität (Zendis) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Digital Commons European Digital Infrastructure Consortium (DC-EDIC) ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ Microsoft ตัดการเข้าถึงอีเมล Outlook ของหัวหน้าอัยการ ICC นาย Karim Khan โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยและอธิปไตยของข้อมูล นอกจาก ICC แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มทดลองใช้ Open Desk ภายใต้โครงการ “Mijn Bureau” ร่วมกับเทศบาลอัมสเตอร์ดัมและสมาคม VNG เพื่อสร้างระบบทำงานร่วมกันที่ไม่ขึ้นกับบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ ✅ ICC เลิกใช้ Microsoft 365 และเปลี่ยนมาใช้ Open Desk ➡️ เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Zendis จากเยอรมนี ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ DC-EDIC เพื่ออธิปไตยดิจิทัลของยุโรป ✅ Microsoft เคยตัดการเข้าถึงอีเมลของหัวหน้าอัยการ ICC ➡️ นาย Karim Khan ถูกตัดออกจากบริการ Outlook โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ➡️ Microsoft ยืนยันว่าไม่ได้หยุดบริการต่อองค์กร ICC โดยรวม ✅ ความกังวลเรื่องการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ➡️ โดยเฉพาะหลังจาก Donald Trump กลับมาเป็นประธานาธิบดี ➡️ เกิดแรงผลักดันให้ภาครัฐยุโรปหันมาใช้ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมได้เอง ✅ โครงการ “Mijn Bureau” ในเนเธอร์แลนด์เริ่มทดลองใช้ Open Desk ➡️ ร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง เมืองอัมสเตอร์ดัม และ VNG ➡️ ใช้สำหรับอีเมลและการทำงานร่วมกันในภาครัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Open Desk เป็นตัวอย่างของแนวคิด “Digital Sovereignty” ที่เน้นการควบคุมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้ LibreOffice, Nextcloud และ Matrix แทนบริการจาก Big Tech ➡️ การใช้โอเพ่นซอร์สช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานภาครัฐ https://www.binnenlandsbestuur.nl/digitaal/internationaal-strafhof-neemt-afscheid-van-microsoft-365
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • สะเทือนวงการเว็บเก็บข้อมูล! FBI สั่งผู้ให้บริการเผยตัวตนผู้ใช้ Archive.today

    ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและความลับ เว็บไซต์ Archive.today ถือเป็นหนึ่งในแหล่งเก็บข้อมูลเว็บเพจที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและเข้าถึงหน้าเว็บในอดีตได้โดยไม่ต้องผ่านข้อจำกัดใด ๆ เช่นเดียวกับ Wayback Machine แต่มีความเป็นอิสระและไม่เปิดเผยตัวตนมากกว่า

    ล่าสุด เว็บไซต์นี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของ FBI ที่ออกคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการโดเมน Tucows ในแคนาดา ส่งมอบข้อมูลผู้ใช้ที่อยู่เบื้องหลัง Archive.today ซึ่งรวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน โดยมีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม

    เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโพสต์ลึกลับในบัญชี X (Twitter เดิม) ของ Archive.today ที่เงียบหายไปนานกว่า 1 ปี โดยโพสต์คำว่า “Canary” พร้อมลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยในเหมืองถ่านหินยุคเก่า ว่าอาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นกำลังใกล้เข้ามา

    แม้คำสั่งศาลจะยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ แต่ก็จุดกระแสให้เกิดการขุดคุ้ยถึงตัวตนของผู้ดำเนินการเว็บไซต์นี้ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย ขณะที่อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในนิวยอร์ก

    นอกจากประเด็นด้านลิขสิทธิ์แล้ว ยังมีข้อสงสัยเรื่องการใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หน่วยงานสืบสวนของสหรัฐฯ ให้ความสนใจ

    Archive.today คืออะไร
    เป็นเว็บไซต์ที่เก็บ snapshot ของหน้าเว็บในอดีต โดยไม่สนข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกลบหรืออยู่หลัง paywall ได้

    คำสั่งศาลจาก FBI
    สั่งให้ Tucows ผู้ให้บริการโดเมนในแคนาดา ส่งข้อมูลผู้ใช้ของ Archive.today
    รวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน
    หากไม่ส่งข้อมูลตามคำสั่ง จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย

    สัญญาณเตือนจากโพสต์ “Canary”
    เป็นสัญลักษณ์เตือนภัยแบบลับ ๆ ว่าเว็บไซต์อาจกำลังเผชิญอันตราย
    ลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ที่อ้างว่าเป็นคำสั่งศาล

    ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนผู้ดำเนินการ
    บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
    อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาจากนิวยอร์ก
    ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด

    พฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิด
    ใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูล
    อาจละเมิดลิขสิทธิ์จากการเผยแพร่เนื้อหาหลัง paywall

    https://www.heise.de/en/news/Archive-today-FBI-Demands-Data-from-Provider-Tucows-11066346.html
    🕵️‍♂️ สะเทือนวงการเว็บเก็บข้อมูล! FBI สั่งผู้ให้บริการเผยตัวตนผู้ใช้ Archive.today ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและความลับ เว็บไซต์ Archive.today ถือเป็นหนึ่งในแหล่งเก็บข้อมูลเว็บเพจที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและเข้าถึงหน้าเว็บในอดีตได้โดยไม่ต้องผ่านข้อจำกัดใด ๆ เช่นเดียวกับ Wayback Machine แต่มีความเป็นอิสระและไม่เปิดเผยตัวตนมากกว่า ล่าสุด เว็บไซต์นี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของ FBI ที่ออกคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการโดเมน Tucows ในแคนาดา ส่งมอบข้อมูลผู้ใช้ที่อยู่เบื้องหลัง Archive.today ซึ่งรวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน โดยมีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโพสต์ลึกลับในบัญชี X (Twitter เดิม) ของ Archive.today ที่เงียบหายไปนานกว่า 1 ปี โดยโพสต์คำว่า “Canary” พร้อมลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยในเหมืองถ่านหินยุคเก่า ว่าอาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นกำลังใกล้เข้ามา แม้คำสั่งศาลจะยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ แต่ก็จุดกระแสให้เกิดการขุดคุ้ยถึงตัวตนของผู้ดำเนินการเว็บไซต์นี้ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย ขณะที่อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในนิวยอร์ก นอกจากประเด็นด้านลิขสิทธิ์แล้ว ยังมีข้อสงสัยเรื่องการใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หน่วยงานสืบสวนของสหรัฐฯ ให้ความสนใจ ✅ Archive.today คืออะไร ➡️ เป็นเว็บไซต์ที่เก็บ snapshot ของหน้าเว็บในอดีต โดยไม่สนข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป ➡️ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกลบหรืออยู่หลัง paywall ได้ ✅ คำสั่งศาลจาก FBI ➡️ สั่งให้ Tucows ผู้ให้บริการโดเมนในแคนาดา ส่งข้อมูลผู้ใช้ของ Archive.today ➡️ รวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน ➡️ หากไม่ส่งข้อมูลตามคำสั่ง จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย ✅ สัญญาณเตือนจากโพสต์ “Canary” ➡️ เป็นสัญลักษณ์เตือนภัยแบบลับ ๆ ว่าเว็บไซต์อาจกำลังเผชิญอันตราย ➡️ ลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ที่อ้างว่าเป็นคำสั่งศาล ✅ ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนผู้ดำเนินการ ➡️ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย ➡️ อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาจากนิวยอร์ก ➡️ ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด ✅ พฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิด ➡️ ใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูล ➡️ อาจละเมิดลิขสิทธิ์จากการเผยแพร่เนื้อหาหลัง paywall https://www.heise.de/en/news/Archive-today-FBI-Demands-Data-from-Provider-Tucows-11066346.html
    WWW.HEISE.DE
    Archive.today: FBI Demands Data from Provider Tucows
    The mysterious website Archive.today is coming under the FBI's crosshairs. A court order is forcing the provider Tucows to hand over user data.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • นวัตกรรมฟื้นฟูฟัน! เจลโปรตีนใหม่จากอังกฤษอาจเปลี่ยนโลกทันตกรรม

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nottingham ได้พัฒนาเจลโปรตีนชนิดใหม่ที่สามารถฟื้นฟูเคลือบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาฟลูออไรด์อีกต่อไป เจลนี้เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติที่ช่วยสร้างเคลือบฟันในวัยเด็ก และสามารถกระตุ้นการเติบโตของผลึกแร่ฟันใหม่ได้อย่างเป็นระบบ

    เจลจะถูกทาเหมือนกับการเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า เพราะมันสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวของฟัน และทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับแคลเซียมและฟอสเฟตจากน้ำลาย เพื่อสร้างเคลือบฟันใหม่ในกระบวนการที่เรียกว่า “epitaxial mineralization” ซึ่งช่วยให้ผลึกแร่ฟันใหม่เชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิมได้อย่างแนบเนียน

    นอกจากการฟื้นฟูเคลือบฟัน เจลนี้ยังสามารถสร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบนเนื้อฟันที่เปิดเผย (dentine) ซึ่งช่วยลดอาการเสียวฟัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของวัสดุอุดฟัน

    การทดลองในสภาพจำลองการใช้งานจริง เช่น การแปรงฟัน การเคี้ยว และการสัมผัสกับอาหารเปรี้ยว พบว่าเคลือบฟันที่ฟื้นฟูขึ้นมานั้นมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง

    เจลโปรตีนฟื้นฟูเคลือบฟัน
    พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Nottingham ร่วมกับนักวิจัยนานาชาติ
    ไม่ใช้ฟลูออไรด์ แต่เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติ
    กระตุ้นการสร้างผลึกแร่ฟันใหม่อย่างเป็นระบบ

    วิธีการทำงานของเจล
    ทาเหมือนเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป
    แทรกซึมรอยร้าวและสร้างโครงสร้างรองรับแร่ธาตุ
    ใช้กระบวนการ epitaxial mineralization เพื่อเชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิม

    ประโยชน์เพิ่มเติม
    สร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบน dentine
    ลดอาการเสียวฟัน
    เพิ่มประสิทธิภาพการยึดติดของวัสดุอุดฟัน

    การทดลองและผลลัพธ์
    ทดสอบในสภาพจำลองจริง เช่น การแปรงฟันและเคี้ยวอาหาร
    เคลือบฟันที่ฟื้นฟูมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติ

    การพัฒนาเชิงพาณิชย์
    เริ่มต้นโดยบริษัท Mintech-Bio
    คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปีหน้า

    https://www.nottingham.ac.uk/news/new-gel-restores-dental-enamel-and-could-revolutionise-tooth-repair
    🦷 นวัตกรรมฟื้นฟูฟัน! เจลโปรตีนใหม่จากอังกฤษอาจเปลี่ยนโลกทันตกรรม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nottingham ได้พัฒนาเจลโปรตีนชนิดใหม่ที่สามารถฟื้นฟูเคลือบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาฟลูออไรด์อีกต่อไป เจลนี้เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติที่ช่วยสร้างเคลือบฟันในวัยเด็ก และสามารถกระตุ้นการเติบโตของผลึกแร่ฟันใหม่ได้อย่างเป็นระบบ เจลจะถูกทาเหมือนกับการเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า เพราะมันสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวของฟัน และทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับแคลเซียมและฟอสเฟตจากน้ำลาย เพื่อสร้างเคลือบฟันใหม่ในกระบวนการที่เรียกว่า “epitaxial mineralization” ซึ่งช่วยให้ผลึกแร่ฟันใหม่เชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิมได้อย่างแนบเนียน นอกจากการฟื้นฟูเคลือบฟัน เจลนี้ยังสามารถสร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบนเนื้อฟันที่เปิดเผย (dentine) ซึ่งช่วยลดอาการเสียวฟัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของวัสดุอุดฟัน การทดลองในสภาพจำลองการใช้งานจริง เช่น การแปรงฟัน การเคี้ยว และการสัมผัสกับอาหารเปรี้ยว พบว่าเคลือบฟันที่ฟื้นฟูขึ้นมานั้นมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง ✅ เจลโปรตีนฟื้นฟูเคลือบฟัน ➡️ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Nottingham ร่วมกับนักวิจัยนานาชาติ ➡️ ไม่ใช้ฟลูออไรด์ แต่เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติ ➡️ กระตุ้นการสร้างผลึกแร่ฟันใหม่อย่างเป็นระบบ ✅ วิธีการทำงานของเจล ➡️ ทาเหมือนเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป ➡️ แทรกซึมรอยร้าวและสร้างโครงสร้างรองรับแร่ธาตุ ➡️ ใช้กระบวนการ epitaxial mineralization เพื่อเชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิม ✅ ประโยชน์เพิ่มเติม ➡️ สร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบน dentine ➡️ ลดอาการเสียวฟัน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดติดของวัสดุอุดฟัน ✅ การทดลองและผลลัพธ์ ➡️ ทดสอบในสภาพจำลองจริง เช่น การแปรงฟันและเคี้ยวอาหาร ➡️ เคลือบฟันที่ฟื้นฟูมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติ ✅ การพัฒนาเชิงพาณิชย์ ➡️ เริ่มต้นโดยบริษัท Mintech-Bio ➡️ คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปีหน้า https://www.nottingham.ac.uk/news/new-gel-restores-dental-enamel-and-could-revolutionise-tooth-repair
    WWW.NOTTINGHAM.AC.UK
    News - New gel restores dental enamel and could revolutionise tooth repair - University of Nottingham
    A new material has been used to create a gel that can repair and regenerate tooth enamel, opening up new possibilities for effective and long-lasting preventive and restorative dental treatment.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต

    ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป

    แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม

    Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?”

    เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง

    ความฉลาดแบบดั้งเดิม
    นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้
    วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ
    ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก

    ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข
    คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป
    บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย
    ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ

    ปัญหาแบบ poorly-defined
    ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต
    ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ
    ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก

    ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด
    ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน
    การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน
    อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom”

    ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด
    นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
    อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด
    แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข

    https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    🧠 ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?” เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง ✅ ความฉลาดแบบดั้งเดิม ➡️ นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้ ➡️ วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ ➡️ ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก ✅ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข ➡️ คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป ➡️ บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย ➡️ ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ ✅ ปัญหาแบบ poorly-defined ➡️ ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ ➡️ ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก ✅ ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด ➡️ ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน ➡️ การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน ➡️ อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom” ✅ ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด ➡️ นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ➡️ อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด ➡️ แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงเรียนที่ไร้สมาร์ทโฟน

    เมื่อโรงเรียน Cardozo เริ่มใช้มาตรการแบนสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังในปี 2025 โดยให้นักเรียนเก็บโทรศัพท์ไว้ในซองแม่เหล็กที่บล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต บรรยากาศในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ช่วงพักกลางวันเงียบสงัดเพราะทุกคนก้มหน้าอยู่กับหน้าจอ กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกมกระดานที่ครูบริจาคให้

    นักเรียนหลายคนบอกว่าพวกเขาได้ลองเล่นเกมอย่าง Jenga, Scrabble, Chess และ Clue เป็นครั้งแรก และรู้สึกสนุกกับการเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากขึ้น ขณะที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนรายงานว่าการมีส่วนร่วมในห้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นักเรียนมีสมาธิและพูดคุยกันมากขึ้น

    แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการหรือผู้เรียนภาษาอังกฤษ แต่โดยรวมแล้วนโยบายนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากทั้งครูและนักเรียน แม้จะมีบางคนแอบใช้ “โทรศัพท์สำรอง” หรือพยายามฝ่าฝืนกฎก็ตาม

    บรรยากาศใหม่ในโรงเรียน
    จากความเงียบเหงา กลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกม
    นักเรียนเริ่มอ่านหนังสือจริงมากขึ้น เช่น “Lord of the Flies”
    การพูดคุยและสร้างมิตรภาพเพิ่มขึ้น

    นโยบายแบนสมาร์ทโฟน
    ใช้ซองแม่เหล็กบล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต
    มีข้อยกเว้นสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการและผู้เรียนภาษาอังกฤษ
    โรงเรียนอื่นใช้วิธีเก็บในล็อกเกอร์หรือกระเป๋า

    ผลลัพธ์จากการแบน
    89% ของครูรายงานว่าสภาพแวดล้อมดีขึ้น
    76% บอกว่านักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียนมากขึ้น
    นักเรียนต้องทำวิจัยจริงแทนการใช้ AI หรือ Google

    กิจกรรมย้อนยุคกลับมา
    เกมกระดาน, การส่งโน้ต, กล้องโพลารอยด์
    นักเรียนบางคนเริ่มเรียนรู้การดูนาฬิกาแบบเข็ม

    https://gothamist.com/news/ny-smartphone-ban-has-made-lunch-loud-again
    🏫 เรื่องเล่าจากโรงเรียนที่ไร้สมาร์ทโฟน เมื่อโรงเรียน Cardozo เริ่มใช้มาตรการแบนสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังในปี 2025 โดยให้นักเรียนเก็บโทรศัพท์ไว้ในซองแม่เหล็กที่บล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต บรรยากาศในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ช่วงพักกลางวันเงียบสงัดเพราะทุกคนก้มหน้าอยู่กับหน้าจอ กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกมกระดานที่ครูบริจาคให้ นักเรียนหลายคนบอกว่าพวกเขาได้ลองเล่นเกมอย่าง Jenga, Scrabble, Chess และ Clue เป็นครั้งแรก และรู้สึกสนุกกับการเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากขึ้น ขณะที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนรายงานว่าการมีส่วนร่วมในห้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นักเรียนมีสมาธิและพูดคุยกันมากขึ้น แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการหรือผู้เรียนภาษาอังกฤษ แต่โดยรวมแล้วนโยบายนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากทั้งครูและนักเรียน แม้จะมีบางคนแอบใช้ “โทรศัพท์สำรอง” หรือพยายามฝ่าฝืนกฎก็ตาม ✅ บรรยากาศใหม่ในโรงเรียน ➡️ จากความเงียบเหงา กลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกม ➡️ นักเรียนเริ่มอ่านหนังสือจริงมากขึ้น เช่น “Lord of the Flies” ➡️ การพูดคุยและสร้างมิตรภาพเพิ่มขึ้น ✅ นโยบายแบนสมาร์ทโฟน ➡️ ใช้ซองแม่เหล็กบล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต ➡️ มีข้อยกเว้นสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการและผู้เรียนภาษาอังกฤษ ➡️ โรงเรียนอื่นใช้วิธีเก็บในล็อกเกอร์หรือกระเป๋า ✅ ผลลัพธ์จากการแบน ➡️ 89% ของครูรายงานว่าสภาพแวดล้อมดีขึ้น ➡️ 76% บอกว่านักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียนมากขึ้น ➡️ นักเรียนต้องทำวิจัยจริงแทนการใช้ AI หรือ Google ✅ กิจกรรมย้อนยุคกลับมา ➡️ เกมกระดาน, การส่งโน้ต, กล้องโพลารอยด์ ➡️ นักเรียนบางคนเริ่มเรียนรู้การดูนาฬิกาแบบเข็ม https://gothamist.com/news/ny-smartphone-ban-has-made-lunch-loud-again
    GOTHAMIST.COM
    New York school phone ban has made lunch loud again
    Two months into the school year, students say they are adjusting to life without their smart devices. Teachers report more focused pupils.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • กลุ่มแฮกเกอร์ Cavalry Werewolf โจมตีรัฐบาลรัสเซียด้วยมัลแวร์ ShellNET – ใช้ Telegram ควบคุมระบบจากระยะไกล

    กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อว่า Cavalry Werewolf ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีแบบเจาะจงต่อหน่วยงานรัฐบาลรัสเซีย โดยใช้มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ BackDoor.ShellNET.1 ที่สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายผ่าน Telegram และเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับและโครงสร้างเครือข่ายภายใน

    การโจมตีเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 เมื่อองค์กรเป้าหมายพบว่าอีเมลสแปมถูกส่งออกจากระบบของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนภายในและพบว่าเป็นการโจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยใช้ไฟล์เอกสารปลอมที่ถูกเข้ารหัสด้วยรหัสผ่านเพื่อหลอกให้เปิดใช้งานมัลแวร์

    มัลแวร์ ShellNET ใช้โค้ดจากโปรเจกต์โอเพ่นซอร์ส Reverse-Shell-CS เมื่อถูกเปิดใช้งานจะสร้าง reverse shell เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถสั่งงานจากระยะไกล และดาวน์โหลดเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ และ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้าง SOCKS5 tunnel เพื่อสื่อสารแบบลับ

    กลุ่มนี้ยังใช้ Telegram bots เป็นเครื่องมือควบคุมมัลแวร์ ซึ่งช่วยซ่อนโครงสร้างพื้นฐานของผู้โจมตีได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีการใช้โปรแกรมยอดนิยมที่ถูกดัดแปลง เช่น WinRAR, 7-Zip และ Visual Studio Code เพื่อเปิดช่องให้มัลแวร์ตัวอื่นทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรมเหล่านี้

    ลักษณะการโจมตี
    เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอม
    ใช้มัลแวร์ ShellNET สร้าง reverse shell
    ดาวน์โหลดเครื่องมือขโมยข้อมูลและควบคุมระบบเพิ่มเติม

    เครื่องมือที่ใช้ในการโจมตี
    Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์
    BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้างช่องทางสื่อสารลับ
    Telegram bots สำหรับควบคุมมัลแวร์จากระยะไกล

    การใช้โปรแกรมปลอม
    ดัดแปลงโปรแกรมยอดนิยมให้เปิดมัลแวร์
    เช่น WinRAR, 7-Zip, Visual Studio Code

    เป้าหมายของการโจมตี
    ข้อมูลลับขององค์กรรัฐบาล
    โครงสร้างเครือข่ายภายใน
    ข้อมูลผู้ใช้และระบบที่เชื่อมต่อ

    ประวัติของกลุ่ม Cavalry Werewolf
    เคยโจมตีหน่วยงานรัฐและอุตสาหกรรมในรัสเซีย
    ใช้ชื่อปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลคีร์กีซ
    มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม Silent Lynx และ YoroTrooper

    https://hackread.com/cavalry-werewolf-russia-government-shellnet-backdoor/
    🎯 กลุ่มแฮกเกอร์ Cavalry Werewolf โจมตีรัฐบาลรัสเซียด้วยมัลแวร์ ShellNET – ใช้ Telegram ควบคุมระบบจากระยะไกล กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อว่า Cavalry Werewolf ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีแบบเจาะจงต่อหน่วยงานรัฐบาลรัสเซีย โดยใช้มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ BackDoor.ShellNET.1 ที่สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายผ่าน Telegram และเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับและโครงสร้างเครือข่ายภายใน การโจมตีเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 เมื่อองค์กรเป้าหมายพบว่าอีเมลสแปมถูกส่งออกจากระบบของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนภายในและพบว่าเป็นการโจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยใช้ไฟล์เอกสารปลอมที่ถูกเข้ารหัสด้วยรหัสผ่านเพื่อหลอกให้เปิดใช้งานมัลแวร์ มัลแวร์ ShellNET ใช้โค้ดจากโปรเจกต์โอเพ่นซอร์ส Reverse-Shell-CS เมื่อถูกเปิดใช้งานจะสร้าง reverse shell เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถสั่งงานจากระยะไกล และดาวน์โหลดเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ และ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้าง SOCKS5 tunnel เพื่อสื่อสารแบบลับ กลุ่มนี้ยังใช้ Telegram bots เป็นเครื่องมือควบคุมมัลแวร์ ซึ่งช่วยซ่อนโครงสร้างพื้นฐานของผู้โจมตีได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีการใช้โปรแกรมยอดนิยมที่ถูกดัดแปลง เช่น WinRAR, 7-Zip และ Visual Studio Code เพื่อเปิดช่องให้มัลแวร์ตัวอื่นทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรมเหล่านี้ ✅ ลักษณะการโจมตี ➡️ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอม ➡️ ใช้มัลแวร์ ShellNET สร้าง reverse shell ➡️ ดาวน์โหลดเครื่องมือขโมยข้อมูลและควบคุมระบบเพิ่มเติม ✅ เครื่องมือที่ใช้ในการโจมตี ➡️ Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ ➡️ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้างช่องทางสื่อสารลับ ➡️ Telegram bots สำหรับควบคุมมัลแวร์จากระยะไกล ✅ การใช้โปรแกรมปลอม ➡️ ดัดแปลงโปรแกรมยอดนิยมให้เปิดมัลแวร์ ➡️ เช่น WinRAR, 7-Zip, Visual Studio Code ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ ข้อมูลลับขององค์กรรัฐบาล ➡️ โครงสร้างเครือข่ายภายใน ➡️ ข้อมูลผู้ใช้และระบบที่เชื่อมต่อ ✅ ประวัติของกลุ่ม Cavalry Werewolf ➡️ เคยโจมตีหน่วยงานรัฐและอุตสาหกรรมในรัสเซีย ➡️ ใช้ชื่อปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลคีร์กีซ ➡️ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม Silent Lynx และ YoroTrooper https://hackread.com/cavalry-werewolf-russia-government-shellnet-backdoor/
    HACKREAD.COM
    Cavalry Werewolf Hit Russian Government with New ShellNET Backdoor
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก

    รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ

    ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น:

    ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

    0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ

    นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง:

    Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe

    Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง

    Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน

    James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด


    ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5
    พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ
    ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats

    Prompt Injection แบบใหม่
    Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก
    AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที

    เทคนิคการโจมตีที่ใช้
    ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก
    ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI
    ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน
    ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว
    การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก
    ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร


    https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    ⚠️ พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น: 💬 ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว 🌐 0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง: 🔗 Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe 🧩 Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง 🧠 Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ✅ ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5 ➡️ พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ ➡️ ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats ✅ Prompt Injection แบบใหม่ ➡️ Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก ➡️ AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที ✅ เทคนิคการโจมตีที่ใช้ ➡️ ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก ➡️ ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI ➡️ ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน ➡️ ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ➡️ การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก ➡️ ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    HACKREAD.COM
    New ChatGPT Vulnerabilities Let Hackers Steal Data, Hijack Memory
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • ระวังภัยเงียบ! รู้จัก Account Takeover (ATO) และวิธีป้องกันก่อนข้อมูลคุณจะถูกยึดครอง

    การยึดครองบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover หรือ ATO) คือภัยไซเบอร์ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 มีความเสียหายทั่วโลกจาก ATO สูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นกว่า 354% ต่อปี

    ATO คือการที่แฮกเกอร์สามารถเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้วิธีเจาะระบบแบบรุนแรง แต่ใช้การหลอกลวงและช่องโหว่พฤติกรรม เช่น การใช้ข้อมูลจากการรั่วไหล การหลอกถามรหัสผ่าน หรือการใช้มัลแวร์เพื่อดักจับข้อมูล

    เมื่อบัญชีถูกยึด แฮกเกอร์สามารถใช้เพื่อ:
    เข้าถึงระบบภายในองค์กร
    ขายข้อมูลในตลาดมืด
    ส่งอีเมลฟิชชิ่งจากบัญชีที่ดูน่าเชื่อถือ
    ทำธุรกรรมทางการเงินหรือหลอกลวงผู้อื่น

    กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ธนาคาร, แพลตฟอร์มคริปโต, อีคอมเมิร์ซ, โรงพยาบาล, บริษัทเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงหรือมีข้อมูลสำคัญ

    ความหมายของ Account Takeover (ATO)
    การที่ผู้ไม่หวังดีเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    ใช้การหลอกลวงมากกว่าการเจาะระบบโดยตรง

    ความเสียหายจาก ATO
    ความเสียหายทางการเงินสูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
    ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร
    อาจนำไปสู่การโจมตีอื่น ๆ เช่น ransomware หรือการจารกรรมข้อมูล

    กลุ่มเป้าหมายที่เสี่ยง
    ธนาคาร, แพลตฟอร์มคริปโต, อีคอมเมิร์ซ, โรงพยาบาล, บริษัท SaaS, มหาวิทยาลัย
    บัญชีที่มีข้อมูลส่วนตัวหรือสิทธิ์เข้าถึงสูง

    วิธีการโจมตี
    ใช้ข้อมูลจากการรั่วไหล
    หลอกถามรหัสผ่านผ่าน vishing, smishing, pretexting
    ใช้มัลแวร์ เช่น Emotet หรือ TrickBot ใช้เทคนิค credential stuffing, password spraying, session hijacking, SIM swapping

    วิธีป้องกัน
    ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ปลอดภัย เช่น hardware token หรือ TOTP
    ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกัน
    ใช้ Zero Trust Architecture เพื่อลดสิทธิ์การเข้าถึง
    ตรวจสอบพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบอย่างสม่ำเสมอ
    ใช้การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์และระบบตรวจจับการมีชีวิต (liveness detection)

    https://hackread.com/account-takeover-what-is-it-how-to-fight-it/
    🔐 ระวังภัยเงียบ! รู้จัก Account Takeover (ATO) และวิธีป้องกันก่อนข้อมูลคุณจะถูกยึดครอง การยึดครองบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover หรือ ATO) คือภัยไซเบอร์ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 มีความเสียหายทั่วโลกจาก ATO สูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นกว่า 354% ต่อปี ATO คือการที่แฮกเกอร์สามารถเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้วิธีเจาะระบบแบบรุนแรง แต่ใช้การหลอกลวงและช่องโหว่พฤติกรรม เช่น การใช้ข้อมูลจากการรั่วไหล การหลอกถามรหัสผ่าน หรือการใช้มัลแวร์เพื่อดักจับข้อมูล เมื่อบัญชีถูกยึด แฮกเกอร์สามารถใช้เพื่อ: 🕵️‍♀️ เข้าถึงระบบภายในองค์กร 🕵️‍♀️ ขายข้อมูลในตลาดมืด 🕵️‍♀️ ส่งอีเมลฟิชชิ่งจากบัญชีที่ดูน่าเชื่อถือ 🕵️‍♀️ ทำธุรกรรมทางการเงินหรือหลอกลวงผู้อื่น กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ธนาคาร, แพลตฟอร์มคริปโต, อีคอมเมิร์ซ, โรงพยาบาล, บริษัทเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงหรือมีข้อมูลสำคัญ ✅ ความหมายของ Account Takeover (ATO) ➡️ การที่ผู้ไม่หวังดีเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ใช้การหลอกลวงมากกว่าการเจาะระบบโดยตรง ✅ ความเสียหายจาก ATO ➡️ ความเสียหายทางการเงินสูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ➡️ ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร ➡️ อาจนำไปสู่การโจมตีอื่น ๆ เช่น ransomware หรือการจารกรรมข้อมูล ✅ กลุ่มเป้าหมายที่เสี่ยง ➡️ ธนาคาร, แพลตฟอร์มคริปโต, อีคอมเมิร์ซ, โรงพยาบาล, บริษัท SaaS, มหาวิทยาลัย ➡️ บัญชีที่มีข้อมูลส่วนตัวหรือสิทธิ์เข้าถึงสูง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ข้อมูลจากการรั่วไหล ➡️ หลอกถามรหัสผ่านผ่าน vishing, smishing, pretexting ➡️ ใช้มัลแวร์ เช่น Emotet หรือ TrickBot ➡️ ใช้เทคนิค credential stuffing, password spraying, session hijacking, SIM swapping ✅ วิธีป้องกัน ➡️ ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ปลอดภัย เช่น hardware token หรือ TOTP ➡️ ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ซ้ำกัน ➡️ ใช้ Zero Trust Architecture เพื่อลดสิทธิ์การเข้าถึง ➡️ ตรวจสอบพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ใช้การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์และระบบตรวจจับการมีชีวิต (liveness detection) https://hackread.com/account-takeover-what-is-it-how-to-fight-it/
    HACKREAD.COM
    Account Takeover: What Is It and How to Fight It
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน
    ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs)

    บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี

    ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน

    วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization
    องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย
    ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security
    CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ

    บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้
    ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม
    การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang”
    ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน

    แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs
    สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ
    เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี
    วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ
    สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
    ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI

    คำเตือนจากบทเรียน ERP
    การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน
    การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง
    การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน

    ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    🛡️ จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs) บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization ➡️ องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย ➡️ ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security ➡️ CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้ ➡️ ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม ➡️ การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang” ➡️ ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน ✅ แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ ➡️ เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี ➡️ วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ ➡️ สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้ ➡️ ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI ‼️ คำเตือนจากบทเรียน ERP ⛔ การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน ⛔ การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง ⛔ การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What past ERP mishaps can teach CISOs about security platformization
    CISOs should study ERP challenges and best practices to pursue a successful transition from security point tools to integrated platforms.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเด็ก

    ในเมืองเล็กชื่อ Almendralejo ทางตอนใต้ของสเปน มีรายงานว่ามีการสร้างและเผยแพร่ภาพลามกของเด็กโดยใช้ AI ที่นำใบหน้าจริงของผู้เยาว์ไปใส่ในภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เหมาะสม สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของสเปน (AEPD) ได้สืบสวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และพบว่าผู้กระทำละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR)

    แม้ภาพจะถูกสร้างขึ้นโดย AI แต่การใช้ใบหน้าจริงของเด็กถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ผู้กระทำถูกปรับเป็นเงิน 2,000 ยูโร แต่ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิดและชำระเงินโดยสมัครใจ

    กรณีนี้ไม่เพียงเป็นครั้งแรกในยุโรปที่มีการลงโทษทางการเงินในลักษณะนี้ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในด้านที่อาจกระทบต่อสิทธิเด็กและความปลอดภัยสาธารณะ

    กรณีการลงโทษครั้งแรกในยุโรป
    สเปนปรับบุคคลที่ใช้ AI สร้างภาพลามกเด็กโดยใช้ใบหน้าจริง
    เป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป
    ปรับเงิน 2,000 ยูโร ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิด

    ความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ต่อสิทธิเด็ก
    AI สามารถสร้างภาพเหมือนจริงที่อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    การใช้ใบหน้าจริงในภาพปลอมถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
    เด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ

    บทเรียนสำหรับการกำกับดูแล AI
    ต้องมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ AI
    หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลต้องมีอำนาจในการลงโทษ
    สังคมต้องตระหนักถึงผลกระทบของ deepfake และ AI-generated content

    คำเตือนจากกรณีนี้
    AI สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง
    การเผยแพร่ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจและสังคม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดกรณีคล้ายกันในประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/spain-issues-fine-for-ai-generated-sexual-images-of-minors
    📣 เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเด็ก ในเมืองเล็กชื่อ Almendralejo ทางตอนใต้ของสเปน มีรายงานว่ามีการสร้างและเผยแพร่ภาพลามกของเด็กโดยใช้ AI ที่นำใบหน้าจริงของผู้เยาว์ไปใส่ในภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เหมาะสม สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของสเปน (AEPD) ได้สืบสวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และพบว่าผู้กระทำละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR) แม้ภาพจะถูกสร้างขึ้นโดย AI แต่การใช้ใบหน้าจริงของเด็กถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ผู้กระทำถูกปรับเป็นเงิน 2,000 ยูโร แต่ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิดและชำระเงินโดยสมัครใจ กรณีนี้ไม่เพียงเป็นครั้งแรกในยุโรปที่มีการลงโทษทางการเงินในลักษณะนี้ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในด้านที่อาจกระทบต่อสิทธิเด็กและความปลอดภัยสาธารณะ ✅ กรณีการลงโทษครั้งแรกในยุโรป ➡️ สเปนปรับบุคคลที่ใช้ AI สร้างภาพลามกเด็กโดยใช้ใบหน้าจริง ➡️ เป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ➡️ ปรับเงิน 2,000 ยูโร ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิด ✅ ความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ต่อสิทธิเด็ก ➡️ AI สามารถสร้างภาพเหมือนจริงที่อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ➡️ การใช้ใบหน้าจริงในภาพปลอมถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ➡️ เด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ ✅ บทเรียนสำหรับการกำกับดูแล AI ➡️ ต้องมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ AI ➡️ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลต้องมีอำนาจในการลงโทษ ➡️ สังคมต้องตระหนักถึงผลกระทบของ deepfake และ AI-generated content ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ AI สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง ⛔ การเผยแพร่ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจและสังคม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดกรณีคล้ายกันในประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/spain-issues-fine-for-ai-generated-sexual-images-of-minors
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Spain issues fine for AI-generated sexual images of minors
    (Reuters) -Spain's data protection agency on Thursday said it had fined a person for sharing AI-generated sexual images of minors using real faces, in what Spanish media said was the first case in Europe of a financial penalty for this type of content.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้

    ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้

    Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน

    เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ

    ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon
    Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน
    ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน
    เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร
    เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ
    ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก
    ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม
    เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน
    เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ
    ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ
    ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    🚀 Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้ ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้ Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon ➡️ Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน ➡️ ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน ➡️ เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม ✅ เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร ➡️ เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ ➡️ ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก ➡️ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม ➡️ เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน ➡️ เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ ⛔ ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ ⛔ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Starlink signs landmark global direct-to-cell deal with Veon as satellite-to-phone race heats up
    (Reuters) -Elon Musk's Starlink, a subsidiary of SpaceX, secured its largest direct-to-cell deal yet with telecoms group Veon, granting access to over 150 million potential customers, both companies said on Thursday, as competition in satellite-to-smartphone connectivity intensifies.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย

    ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ

    ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต

    คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง

    หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน

    คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี
    Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด
    คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์
    หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี
    ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน
    ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด
    ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ

    การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ
    Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก
    Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว
    Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้

    ความสำคัญของคดีนี้
    เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี

    คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย
    เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป
    การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    📱 เมื่อโซเชียลกลายเป็นจำเลย ศาลสูงลอสแอนเจลิสมีคำสั่งให้ Meta (Facebook, Instagram), ByteDance (TikTok), Alphabet (YouTube) และ Snap (Snapchat) ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2026 หลังจากมีการฟ้องร้องต่อเนื่องกว่า 3 ปีจากผู้ใช้, โรงเรียน และอัยการรัฐ ข้อกล่าวหาคือบริษัทเหล่านี้ออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติดการใช้งานผ่านฟีเจอร์อย่างการเลื่อนแบบไม่รู้จบ (endless scrolling), การแจ้งเตือนเฉพาะบุคคล และอัลกอริทึมที่คัดสรรเนื้อหาอย่างจงใจ ส่งผลให้ผู้ใช้วัยรุ่นจำนวนมากเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, มีปัญหาการกิน และบางรายถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือเสียชีวิต คดีแรกจะเริ่มวันที่ 27 มกราคม โดยมีหญิงสาววัย 19 ปีจากแคลิฟอร์เนียเป็นโจทก์ เธออ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เธอเกิดภาวะติดโซเชียลและส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง หากบริษัทแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาล และถูกบังคับให้เปลี่ยนวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชน ✅ คำสั่งศาลให้เข้าสู่การพิจารณาคดี ➡️ Meta, TikTok, YouTube และ Snapchat ถูกสั่งให้ขึ้นศาลในคดีออกแบบแพลตฟอร์มให้เยาวชนติด ➡️ คดีแรกเริ่ม 27 มกราคม 2026 โดยมีผู้ใช้วัยรุ่นเป็นโจทก์ ➡️ หากแพ้คดี อาจต้องจ่ายค่าชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อกล่าวหาหลักต่อบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ใช้อัลกอริทึมคัดสรรเนื้อหาเพื่อกระตุ้นการใช้งาน ➡️ ฟีเจอร์อย่าง endless scrolling และ personalized notifications ทำให้ผู้ใช้ติด ➡️ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, นอนไม่หลับ, การกินผิดปกติ ✅ การตอบโต้จากบริษัทต่างๆ ➡️ Google ระบุว่า YouTube เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก ➡️ Snap ชี้แจงว่า Snapchat ออกแบบให้เน้นความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับครอบครัว ➡️ Meta และ TikTok ยังไม่ให้ความเห็นในขณะนี้ ✅ ความสำคัญของคดีนี้ ➡️ เป็นการทดสอบขอบเขตของกฎหมาย Section 230 ที่เคยคุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิด ➡️ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและแนวทางการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดทางให้ผู้ใช้มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย ⛔ เยาวชนจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมากเกินไป ⛔ การออกแบบแพลตฟอร์มที่เน้น engagement อาจละเมิดจริยธรรม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสังคมและระบบการศึกษา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/social-media-giants-must-stand-trial-on-addiction-claims
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Social media giants must stand trial on addiction claims
    Meta Platforms Inc, ByteDance Ltd, Alphabet Inc and Snap Inc must face trial over claims that they designed social media platforms to addict youths, a judge ruled, clearing the way for the first of thousands of cases to be presented to juries.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดทีม “Superintelligence” ลุยวินิจฉัยโรค – จุดเริ่มต้น AI ที่เก่งกว่ามนุษย์

    Microsoft กำลังเปิดศักราชใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการตั้งทีม “MAI Superintelligence” ที่มีเป้าหมายสร้าง AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจาก “การวินิจฉัยทางการแพทย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงและมีผลต่อชีวิตคนโดยตรง

    Microsoft ประกาศตั้งทีม MAI Superintelligence โดยมีเป้าหมายสร้าง AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจากการวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ความแม่นยำ และการตัดสินใจที่ซับซ้อน

    แนวคิดนี้คล้ายกับความพยายามของบริษัทอื่น เช่น Meta และ Safe Superintelligence Inc ที่ต้องการสร้าง AI ที่ไม่ใช่แค่ “เลียนแบบมนุษย์” แต่ “เหนือกว่า” ในด้านเฉพาะ

    แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดนี้อาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากไม่มีการค้นพบทางเทคนิคใหม่ๆ ที่พลิกวงการ

    Microsoft ตั้งทีม MAI Superintelligence
    เป้าหมายคือสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในบางด้าน
    เริ่มต้นจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนและมีผลต่อชีวิต
    เป็นหนึ่งในความพยายามระดับโลกในการสร้าง “superintelligence”

    ความหมายของ “Superintelligence”
    ไม่ใช่แค่ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจได้ดีกว่ามนุษย์
    อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์, วิศวกรรม, การวิจัย
    ต้องอาศัยการพัฒนาอัลกอริทึมและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำหน้า

    ความท้าทายและข้อจำกัด
    ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI สามารถ “เหนือกว่า” มนุษย์ในงานวินิจฉัยโรคได้จริง
    ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้อง ความโปร่งใส และจริยธรรมในการใช้งาน
    การนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    การคาดหวังว่า AI จะมาแทนแพทย์อาจสร้างความเข้าใจผิด
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การวินิจฉัยผิดพลาด
    ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/microsoft-launches-039superintelligence039-team-targeting-medical-diagnosis-to-start
    🧠 Microsoft เปิดทีม “Superintelligence” ลุยวินิจฉัยโรค – จุดเริ่มต้น AI ที่เก่งกว่ามนุษย์ Microsoft กำลังเปิดศักราชใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการตั้งทีม “MAI Superintelligence” ที่มีเป้าหมายสร้าง AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจาก “การวินิจฉัยทางการแพทย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงและมีผลต่อชีวิตคนโดยตรง Microsoft ประกาศตั้งทีม MAI Superintelligence โดยมีเป้าหมายสร้าง AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในบางด้าน โดยเริ่มจากการวินิจฉัยโรค ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ความแม่นยำ และการตัดสินใจที่ซับซ้อน แนวคิดนี้คล้ายกับความพยายามของบริษัทอื่น เช่น Meta และ Safe Superintelligence Inc ที่ต้องการสร้าง AI ที่ไม่ใช่แค่ “เลียนแบบมนุษย์” แต่ “เหนือกว่า” ในด้านเฉพาะ แม้จะมีความคาดหวังสูง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าแนวคิดนี้อาจยังห่างไกลจากความเป็นจริง หากไม่มีการค้นพบทางเทคนิคใหม่ๆ ที่พลิกวงการ ✅ Microsoft ตั้งทีม MAI Superintelligence ➡️ เป้าหมายคือสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในบางด้าน ➡️ เริ่มต้นจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนและมีผลต่อชีวิต ➡️ เป็นหนึ่งในความพยายามระดับโลกในการสร้าง “superintelligence” ✅ ความหมายของ “Superintelligence” ➡️ ไม่ใช่แค่ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์, วิศวกรรม, การวิจัย ➡️ ต้องอาศัยการพัฒนาอัลกอริทึมและโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำหน้า ✅ ความท้าทายและข้อจำกัด ➡️ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI สามารถ “เหนือกว่า” มนุษย์ในงานวินิจฉัยโรคได้จริง ➡️ ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้อง ความโปร่งใส และจริยธรรมในการใช้งาน ➡️ การนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ การคาดหวังว่า AI จะมาแทนแพทย์อาจสร้างความเข้าใจผิด ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การวินิจฉัยผิดพลาด ⛔ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/microsoft-launches-039superintelligence039-team-targeting-medical-diagnosis-to-start
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft launches 'superintelligence' team targeting medical diagnosis to start
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Microsoft is forming a new team that wants to build artificial intelligence that is vastly more capable than humans in certain domains, starting with medical diagnostics, the executive leading the effort told Reuters.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • คนนึงก็โดนปลด ใกล้โดนถอดยศ ใกล้ครุก จึงต้องเกาะส้มเน่าเอาตัวรอด หวังเป็นสส.ในถิ่นสะตอ อีกคนเคยเกาะชายกระโปรงคุณหญิง แล้วชิ่งหนีไปเชียร์ส้ม หวังชิงผู้ว่าฯ กทม. ถุยยยย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    คนนึงก็โดนปลด ใกล้โดนถอดยศ ใกล้ครุก จึงต้องเกาะส้มเน่าเอาตัวรอด หวังเป็นสส.ในถิ่นสะตอ อีกคนเคยเกาะชายกระโปรงคุณหญิง แล้วชิ่งหนีไปเชียร์ส้ม หวังชิงผู้ว่าฯ กทม. ถุยยยย #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • จากภาพปลอมสู่สิทธิ์จริง – เดนมาร์กลุกขึ้นสู้ Deepfake

    Marie Watson สตรีมเมอร์ชาวเดนมาร์กเคยได้รับภาพปลอมของตนเองจากบัญชี Instagram นิรนาม ภาพนั้นเป็นภาพวันหยุดที่เธอเคยโพสต์ แต่ถูกดัดแปลงให้ดูเหมือนเปลือยโดยใช้เทคโนโลยี deepfake เธอร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของเธอถูกทำลาย

    กรณีของ Watson ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมได้อย่างสมจริง โดยใช้เครื่องมือที่หาได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต เช่น “deepfake generator” หรือ “AI voice clone”

    รัฐบาลเดนมาร์กจึงเสนอร่างกฎหมายใหม่ที่จะให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง หากมีการเผยแพร่เนื้อหา deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของใบหน้าสามารถเรียกร้องให้แพลตฟอร์มลบเนื้อหานั้นได้ทันที

    กฎหมายนี้ยังเปิดช่องให้มีการใช้ deepfake ในเชิงล้อเลียนหรือเสียดสีได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะกำหนดขอบเขตอย่างไร

    ร่างกฎหมายใหม่ของเดนมาร์ก
    ให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง
    สามารถเรียกร้องให้ลบเนื้อหา deepfake ที่เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
    คาดว่าจะผ่านในต้นปีหน้า และได้รับความสนใจจากหลายประเทศใน EU

    ความรุนแรงของปัญหา deepfake
    เทคโนโลยี AI ทำให้ภาพและเสียงปลอมสมจริงขึ้นมาก
    ใช้ในทางที่ผิด เช่น ล้อเลียนคนดัง, สร้างภาพลามก, ปลอมตัวนักการเมือง
    ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือของข้อมูล

    ปฏิกิริยาจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กร
    Henry Ajder ชี้ว่า “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันตัวเองจาก deepfake ได้จริง”
    Danish Rights Alliance สนับสนุนกฎหมาย เพราะกฎหมายเดิมไม่ครอบคลุม
    David Bateson นักพากย์เสียงถูกนำเสียงไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความเคลื่อนไหวระดับโลก
    สหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามเผยแพร่ภาพลามกโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึง deepfake
    เกาหลีใต้เพิ่มบทลงโทษและควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลที่เผยแพร่ deepfake
    เดนมาร์กในฐานะประธาน EU ได้รับความสนใจจากฝรั่งเศสและไอร์แลนด์

    คำเตือนจากกรณีของ Watson
    ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง
    เครื่องมือสร้าง deepfake หาได้ง่ายและใช้ได้แม้ไม่มีทักษะ
    เมื่อภาพเผยแพร่แล้ว “คุณควบคุมไม่ได้อีกต่อไป”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/denmark-eyes-new-law-to-protect-citizens-from-ai-deepfakes
    🧠 จากภาพปลอมสู่สิทธิ์จริง – เดนมาร์กลุกขึ้นสู้ Deepfake Marie Watson สตรีมเมอร์ชาวเดนมาร์กเคยได้รับภาพปลอมของตนเองจากบัญชี Instagram นิรนาม ภาพนั้นเป็นภาพวันหยุดที่เธอเคยโพสต์ แต่ถูกดัดแปลงให้ดูเหมือนเปลือยโดยใช้เทคโนโลยี deepfake เธอร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของเธอถูกทำลาย กรณีของ Watson ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมได้อย่างสมจริง โดยใช้เครื่องมือที่หาได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต เช่น “deepfake generator” หรือ “AI voice clone” รัฐบาลเดนมาร์กจึงเสนอร่างกฎหมายใหม่ที่จะให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง หากมีการเผยแพร่เนื้อหา deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของใบหน้าสามารถเรียกร้องให้แพลตฟอร์มลบเนื้อหานั้นได้ทันที กฎหมายนี้ยังเปิดช่องให้มีการใช้ deepfake ในเชิงล้อเลียนหรือเสียดสีได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะกำหนดขอบเขตอย่างไร ✅ ร่างกฎหมายใหม่ของเดนมาร์ก ➡️ ให้ประชาชนมีลิขสิทธิ์เหนือรูปลักษณ์และเสียงของตนเอง ➡️ สามารถเรียกร้องให้ลบเนื้อหา deepfake ที่เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ คาดว่าจะผ่านในต้นปีหน้า และได้รับความสนใจจากหลายประเทศใน EU ✅ ความรุนแรงของปัญหา deepfake ➡️ เทคโนโลยี AI ทำให้ภาพและเสียงปลอมสมจริงขึ้นมาก ➡️ ใช้ในทางที่ผิด เช่น ล้อเลียนคนดัง, สร้างภาพลามก, ปลอมตัวนักการเมือง ➡️ ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือของข้อมูล ✅ ปฏิกิริยาจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กร ➡️ Henry Ajder ชี้ว่า “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันตัวเองจาก deepfake ได้จริง” ➡️ Danish Rights Alliance สนับสนุนกฎหมาย เพราะกฎหมายเดิมไม่ครอบคลุม ➡️ David Bateson นักพากย์เสียงถูกนำเสียงไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ ความเคลื่อนไหวระดับโลก ➡️ สหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามเผยแพร่ภาพลามกโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึง deepfake ➡️ เกาหลีใต้เพิ่มบทลงโทษและควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลที่เผยแพร่ deepfake ➡️ เดนมาร์กในฐานะประธาน EU ได้รับความสนใจจากฝรั่งเศสและไอร์แลนด์ ‼️ คำเตือนจากกรณีของ Watson ⛔ ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างรุนแรง ⛔ เครื่องมือสร้าง deepfake หาได้ง่ายและใช้ได้แม้ไม่มีทักษะ ⛔ เมื่อภาพเผยแพร่แล้ว “คุณควบคุมไม่ได้อีกต่อไป” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/denmark-eyes-new-law-to-protect-citizens-from-ai-deepfakes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Denmark eyes new law to protect citizens from AI deepfakes
    In 2021, Danish video game live-streamer Marie Watson received an image of herself from an unknown Instagram account.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000”

    เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว

    แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง”

    น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น

    ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง
    ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด
    ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES”
    คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว

    มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง
    ปี 2014 โดย ANSSI
    ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ
    ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่
    ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล

    ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง
    กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง”
    ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา

    ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย
    แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร
    ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล

    การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย
    Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ

    การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ
    ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์บุกพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ – รหัสผ่านคือชื่อสถานที่! ระบบยังใช้ Windows 2000” เรื่องเล่าจากปารีสที่ฟังแล้วต้องอึ้ง! พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศิลปะที่สำคัญที่สุดของโลก ถูกโจรกรรมเครื่องประดับมูลค่ากว่า 101 ล้านดอลลาร์กลางวันแสก ๆ เหตุการณ์นี้เปิดโปงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปในปี 2014 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของฝรั่งเศส (ANSSI) ได้ทำการตรวจสอบระบบของลูฟวร์ พบว่ารหัสผ่านของระบบกล้องวงจรปิดคือ “LOUVRE” และระบบอื่นที่พัฒนาโดยบริษัท Thales ก็ใช้รหัสว่า “THALES” เช่นกัน! นอกจากนี้ยังพบว่าคอมพิวเตอร์ในระบบอัตโนมัติของพิพิธภัณฑ์ยังคงใช้ Windows 2000 ซึ่ง Microsoft ยุติการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แม้จะมีการตรวจสอบซ้ำในปี 2017 และอีกครั้งในปี 2021 แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิดเหตุโจรกรรมครั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งทำให้ผู้บริหารต้องออกมายอมรับว่า “ระบบต้องได้รับการปรับปรุงอย่างแท้จริง” น่าสนใจคือ ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่นชื่อสถานที่หรือองค์กรนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะสามารถถูกเดาได้ง่ายโดยแฮกเกอร์ และการใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยก็เปิดช่องให้มัลแวร์หรือการเจาะระบบได้ง่ายขึ้น ✅ ระบบความปลอดภัยของลูฟวร์มีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ ใช้รหัสผ่าน “LOUVRE” สำหรับระบบกล้องวงจรปิด ➡️ ระบบของบริษัท Thales ใช้รหัส “THALES” ➡️ คอมพิวเตอร์ในระบบยังใช้ Windows 2000 ซึ่งหมดการสนับสนุนแล้ว ✅ มีการตรวจสอบระบบหลายครั้ง ➡️ ปี 2014 โดย ANSSI ➡️ ปี 2017 โดยสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ ➡️ ปี 2021 ยังพบว่าใช้ระบบเก่าอยู่ ➡️ ปี 2025 มีการตรวจสอบใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยผล ✅ ผู้บริหารยอมรับว่าระบบต้องปรับปรุง ➡️ กล่าวต่อวุฒิสภาฝรั่งเศสว่า “ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง” ➡️ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ยืนยันว่ารับรู้ถึงปัญหา ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านง่าย ⛔ แฮกเกอร์สามารถเดาได้ง่ายจากชื่อสถานที่หรือองค์กร ⛔ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล ‼️ การใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย ⛔ Windows 2000 ไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือการเจาะระบบ ‼️ การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ รายงานตรวจสอบถูกตีตรา “ลับ” และไม่ได้รับการดำเนินการ ⛔ ปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้นานนับสิบปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/louvre-heist-reveals-glaring-security-weaknesses-previous-reports-say-museum-used-louvre-as-password-for-its-video-surveillance-still-has-workstations-with-windows-2000
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • หยุดใช้เครื่องทำลายเอกสารกากๆ!
    อัปเกรดงานรีไซเคิล/ทำลายเอกสารของคุณให้เป็นระบบอุตสาหกรรม ด้วย #เครื่องหั่นรุ่นหัวนิ่ง จาก ย.ย่งฮะเฮง!

    ไม่ว่าจะเป็นกองกระดาษลังหนาๆ หรือเอกสารเก่า เครื่องเดียวจบทุกปัญหา!

    สเปคที่ต้องรู้!
    ใบมีด 10 มม. เป๊ะ! ตัดเป็นเส้นสวย ตามมาตรฐาน
    มอเตอร์ 2 แรงม้า (2 HP) อึด ถึก ทน ไม่สะดุดงานหนัก
    กำลังผลิต 100 กก./ชม. เร็วกว่า แรงกว่า ประหยัดเวลากว่าเครื่องทั่วไปเยอะ!
    ใบมีด SUS420 Food Grade คมทนระดับมืออาชีพ เปลี่ยนเฉพาะใบที่เสียได้
    ทนทานยาวๆ: หั่นได้ทั้งกระดาษ, เนื้อสัตว์, ใบมะกรูด (อเนกประสงค์ตัวจริง!)

    เปลี่ยนต้นทุนให้เป็นกำไร เริ่มวันนี้!

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com
    ดูสินค้าจริงได้ที่: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (จันทร์-เสาร์)

    #ย่อยกระดาษ #เครื่องย่อยกระดาษ #เครื่องทำลายเอกสาร #เครื่องหั่นกระดาษ10มม #เครื่องรีไซเคิล #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #2แรงม้า #PaperShredder #SUS420 #อุตสาหกรรม #เครื่องจักรทนทาน #บรรทัดทอง #ศูนย์รวมเครื่องจักร #เครื่องหั่น #เครื่องสับ #เครื่องบด #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจรีไซเคิล #ลดต้นทุน #BONNY
    🚨 หยุดใช้เครื่องทำลายเอกสารกากๆ! 🚨 อัปเกรดงานรีไซเคิล/ทำลายเอกสารของคุณให้เป็นระบบอุตสาหกรรม ด้วย #เครื่องหั่นรุ่นหัวนิ่ง จาก ย.ย่งฮะเฮง! ไม่ว่าจะเป็นกองกระดาษลังหนาๆ หรือเอกสารเก่า เครื่องเดียวจบทุกปัญหา! 💥 สเปคที่ต้องรู้! 💥 ✅ ใบมีด 10 มม. เป๊ะ! ตัดเป็นเส้นสวย ตามมาตรฐาน ✅ มอเตอร์ 2 แรงม้า (2 HP) อึด ถึก ทน ไม่สะดุดงานหนัก ✅ กำลังผลิต 100 กก./ชม. เร็วกว่า แรงกว่า ประหยัดเวลากว่าเครื่องทั่วไปเยอะ! ✅ ใบมีด SUS420 Food Grade คมทนระดับมืออาชีพ เปลี่ยนเฉพาะใบที่เสียได้ ✅ ทนทานยาวๆ: หั่นได้ทั้งกระดาษ, เนื้อสัตว์, ใบมะกรูด (อเนกประสงค์ตัวจริง!) 🔥🔥 เปลี่ยนต้นทุนให้เป็นกำไร เริ่มวันนี้! 🔥🔥 ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com 📍 ดูสินค้าจริงได้ที่: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (จันทร์-เสาร์) #ย่อยกระดาษ #เครื่องย่อยกระดาษ #เครื่องทำลายเอกสาร #เครื่องหั่นกระดาษ10มม #เครื่องรีไซเคิล #ยย่งฮะเฮง #เครื่องจักรคุณภาพ #2แรงม้า #PaperShredder #SUS420 #อุตสาหกรรม #เครื่องจักรทนทาน #บรรทัดทอง #ศูนย์รวมเครื่องจักร #เครื่องหั่น #เครื่องสับ #เครื่องบด #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ธุรกิจรีไซเคิล #ลดต้นทุน #BONNY
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • “ยุโรปร่วมมือทลายแก๊งหลอกลงทุนคริปโต สูญเงินกว่า 689 ล้านดอลลาร์!”

    เรื่องเล่าที่ต้องฟังให้จบ! ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปถึงปี 2025 กลับยังมีมิจฉาชีพใช้ช่องทางดิจิทัลหลอกลวงผู้คนอย่างแยบยล ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในยุโรป เมื่อเจ้าหน้าที่จากฝรั่งเศส เบลเยียม ไซปรัส สเปน และเยอรมนี ร่วมมือกันจับกุมขบวนการฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่ากว่า 689 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!

    ขบวนการนี้สร้างแพลตฟอร์มลงทุนคริปโตปลอมหลายแห่ง อ้างผลตอบแทนสูงล่อเหยื่อผ่านโซเชียลมีเดียและการโทรเย็น (cold call) เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าไป เงินก็ถูกดูดหายไปทันที และถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชนต่าง ๆ อย่างแนบเนียน

    การจับกุมเกิดขึ้นในวันที่ 27 และ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย Eurojust หน่วยงานความร่วมมือด้านตุลาการของสหภาพยุโรปเป็นผู้ประสานงานหลัก มีการยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งเงินสด บัญชีธนาคาร คริปโต และนาฬิกาหรู รวมมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

    คดีนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2023 และเป็นหนึ่งในหลายคดีที่สะท้อนว่าการหลอกลวงในโลกคริปโตยังคงระบาดหนัก แม้จะมีความพยายามออกกฎหมายควบคุมอย่าง MiCA ก็ตาม

    ขบวนการหลอกลงทุนคริปโตถูกจับกุมในยุโรป
    มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $689 ล้าน
    จับกุมผู้ต้องหา 9 คนในหลายประเทศ
    ยึดทรัพย์สินรวมหลายล้านดอลลาร์ ทั้งเงินสด คริปโต และนาฬิกาหรู

    วิธีการหลอกลวงของขบวนการ
    สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม
    ใช้โซเชียลมีเดียและโทรเย็นล่อเหยื่อ
    เงินที่โอนเข้าไปถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชน

    การดำเนินการของเจ้าหน้าที่
    เริ่มจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสปี 2023
    Eurojust เป็นผู้ประสานงานหลัก
    การจับกุมเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025

    ความพยายามควบคุมตลาดคริปโต
    กฎหมาย MiCA ของสหภาพยุโรปช่วยให้ตรวจสอบแพลตฟอร์มได้
    นักลงทุนสามารถตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มได้รับการรับรองหรือไม่

    ความเสี่ยงจากการลงทุนในคริปโตที่ไม่ตรวจสอบ
    แพลตฟอร์มปลอมมักอ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง
    เมื่อโอนเงินแล้วมักไม่สามารถเรียกคืนได้

    การฟอกเงินผ่านบล็อกเชน
    ใช้เครื่องมือดิจิทัลซับซ้อนในการซ่อนเส้นทางเงิน
    ยากต่อการติดตามและตรวจสอบหากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ

    การหลอกลวงยังคงระบาดแม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้า
    อีเมลฟิชชิ่งและการแอบอ้างยังพบได้บ่อย
    เหยื่อมักถูกล่อด้วยความโลภและความไม่รู้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/crypto-fraud-and-laundering-ring-that-stole-eur600m-usd689m-busted-by-european-authorities-9-arrests-made-across-multiple-countries-perps-face-a-decade-behind-bars-and-huge-fines
    🕵️‍♀️ “ยุโรปร่วมมือทลายแก๊งหลอกลงทุนคริปโต สูญเงินกว่า 689 ล้านดอลลาร์!” เรื่องเล่าที่ต้องฟังให้จบ! ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปถึงปี 2025 กลับยังมีมิจฉาชีพใช้ช่องทางดิจิทัลหลอกลวงผู้คนอย่างแยบยล ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในยุโรป เมื่อเจ้าหน้าที่จากฝรั่งเศส เบลเยียม ไซปรัส สเปน และเยอรมนี ร่วมมือกันจับกุมขบวนการฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่ากว่า 689 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! ขบวนการนี้สร้างแพลตฟอร์มลงทุนคริปโตปลอมหลายแห่ง อ้างผลตอบแทนสูงล่อเหยื่อผ่านโซเชียลมีเดียและการโทรเย็น (cold call) เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าไป เงินก็ถูกดูดหายไปทันที และถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชนต่าง ๆ อย่างแนบเนียน การจับกุมเกิดขึ้นในวันที่ 27 และ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย Eurojust หน่วยงานความร่วมมือด้านตุลาการของสหภาพยุโรปเป็นผู้ประสานงานหลัก มีการยึดทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งเงินสด บัญชีธนาคาร คริปโต และนาฬิกาหรู รวมมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ คดีนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2023 และเป็นหนึ่งในหลายคดีที่สะท้อนว่าการหลอกลวงในโลกคริปโตยังคงระบาดหนัก แม้จะมีความพยายามออกกฎหมายควบคุมอย่าง MiCA ก็ตาม ✅ ขบวนการหลอกลงทุนคริปโตถูกจับกุมในยุโรป ➡️ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $689 ล้าน ➡️ จับกุมผู้ต้องหา 9 คนในหลายประเทศ ➡️ ยึดทรัพย์สินรวมหลายล้านดอลลาร์ ทั้งเงินสด คริปโต และนาฬิกาหรู ✅ วิธีการหลอกลวงของขบวนการ ➡️ สร้างแพลตฟอร์มลงทุนปลอม ➡️ ใช้โซเชียลมีเดียและโทรเย็นล่อเหยื่อ ➡️ เงินที่โอนเข้าไปถูกฟอกผ่านเครื่องมือบล็อกเชน ✅ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ➡️ เริ่มจากการร้องเรียนในฝรั่งเศสปี 2023 ➡️ Eurojust เป็นผู้ประสานงานหลัก ➡️ การจับกุมเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ความพยายามควบคุมตลาดคริปโต ➡️ กฎหมาย MiCA ของสหภาพยุโรปช่วยให้ตรวจสอบแพลตฟอร์มได้ ➡️ นักลงทุนสามารถตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มได้รับการรับรองหรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการลงทุนในคริปโตที่ไม่ตรวจสอบ ⛔ แพลตฟอร์มปลอมมักอ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง ⛔ เมื่อโอนเงินแล้วมักไม่สามารถเรียกคืนได้ ‼️ การฟอกเงินผ่านบล็อกเชน ⛔ ใช้เครื่องมือดิจิทัลซับซ้อนในการซ่อนเส้นทางเงิน ⛔ ยากต่อการติดตามและตรวจสอบหากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ ‼️ การหลอกลวงยังคงระบาดแม้มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ⛔ อีเมลฟิชชิ่งและการแอบอ้างยังพบได้บ่อย ⛔ เหยื่อมักถูกล่อด้วยความโลภและความไม่รู้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/crypto-fraud-and-laundering-ring-that-stole-eur600m-usd689m-busted-by-european-authorities-9-arrests-made-across-multiple-countries-perps-face-a-decade-behind-bars-and-huge-fines
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน

    Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ

    แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว

    Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI
    เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย
    จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล
    สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ

    Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI
    สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน
    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด

    ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
    หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง
    เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ
    ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia

    สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน
    บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก
    Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ

    ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI
    อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น
    ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia

    ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ
    พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    🧠 “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว ✅ Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI ➡️ เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย ➡️ จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ✅ Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI ➡️ สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ✅ ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ➡️ หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง ➡️ เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ ➡️ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia ✅ สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก ➡️ Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI ⛔ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น ⛔ ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia ‼️ ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ ⛔ พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม ⛔ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • กลาโหมย้ำ "2 รูปธรรม" ปล่อยเชลยศึก พล.อ.ณัฐพล ลั่นต้องถอนอาวุธหนัก-เก็บกู้ทุ่นระเบิด 5 พื้นที่ให้เสร็จก่อน 12 พ.ย.
    https://www.thai-tai.tv/news/22254/
    .
    #ไทยไท #ถอนอาวุธหนัก #เก็บกู้ทุ่นระเบิด #ปล่อยเชลยศึก #ปราสาทตาควาย #สันติวิธี

    กลาโหมย้ำ "2 รูปธรรม" ปล่อยเชลยศึก พล.อ.ณัฐพล ลั่นต้องถอนอาวุธหนัก-เก็บกู้ทุ่นระเบิด 5 พื้นที่ให้เสร็จก่อน 12 พ.ย. https://www.thai-tai.tv/news/22254/ . #ไทยไท #ถอนอาวุธหนัก #เก็บกู้ทุ่นระเบิด #ปล่อยเชลยศึก #ปราสาทตาควาย #สันติวิธี
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • รองนายกฯ สุชาติ เดินหน้าเต็มที่ เจรจาขอ "พลายประตูผา-พลายศรีณรงค์" คืนจากศรีลังกา
    https://www.thai-tai.tv/news/22251/
    .
    #ไทยไท #ทวงคืนช้าง #พลายประตูผา #ศรีลังกา #สุชาติชมกลิ่น #เจรจาการทูต

    รองนายกฯ สุชาติ เดินหน้าเต็มที่ เจรจาขอ "พลายประตูผา-พลายศรีณรงค์" คืนจากศรีลังกา https://www.thai-tai.tv/news/22251/ . #ไทยไท #ทวงคืนช้าง #พลายประตูผา #ศรีลังกา #สุชาติชมกลิ่น #เจรจาการทูต
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ดร.เอ้ สุชัชวีร์ นำทีม "ไทยก้าวใหม่" เสนอโมเดลวิศวกรรมสู้ภัยน้ำทะเลหนุน ชี้ต้องใช้เวลา 20 ปี วอนขอโอกาสทำงาน
    https://www.thai-tai.tv/news/22252/
    .
    #ไทยไท #สุชัชวีร์ #น้ำท่วมซ้ำซาก #แนวป้องกันน้ำทะเลหนุน #วิศวกรรมแก้ปัญหา #ไทยก้าวใหม่

    ดร.เอ้ สุชัชวีร์ นำทีม "ไทยก้าวใหม่" เสนอโมเดลวิศวกรรมสู้ภัยน้ำทะเลหนุน ชี้ต้องใช้เวลา 20 ปี วอนขอโอกาสทำงาน https://www.thai-tai.tv/news/22252/ . #ไทยไท #สุชัชวีร์ #น้ำท่วมซ้ำซาก #แนวป้องกันน้ำทะเลหนุน #วิศวกรรมแก้ปัญหา #ไทยก้าวใหม่
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “Dave Plummer ย้อนยุค! ยกไดรฟ์แม่เหล็ก 200 ปอนด์จากยุค 80 กลับมาใช้งาน Unix บน PDP-11”

    เรื่องเล่าจากอดีตที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager และเกม Pinball บน Windows ได้ทำภารกิจสุดแปลกแต่ทรงคุณค่า—เขายกไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 หนักเกือบ 200 ปอนด์กลับมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ PDP-11/73 จากปี 1983 เพื่อรันระบบ Unix แบบดั้งเดิม

    Plummer เล่าว่าแม้จะมีทางเลือกใหม่ ๆ เช่น SCSI หรือ SD card ที่สะดวกกว่า แต่เขาต้องการ “ความถูกต้องตามยุค” ทั้งเสียงกลไกที่ดังสนั่น ความยุ่งยากในการติดตั้ง และข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่า ซึ่งเขามองว่าเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน

    การติดตั้งไม่ง่ายเลย—ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค และใช้สาย coaxial ยาว 15 ฟุตเชื่อมต่อกับ PDP-11 หลังจากฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างพาร์ทิชัน เขาก็สามารถติดตั้ง Unix ได้สำเร็จ พร้อมเสียง “วูบวาบ” ของจานแม่เหล็กที่หมุนอย่างทรงพลัง

    Plummer ยกย่องว่า DEC ทำไดรฟ์นี้ได้ดีมาก เพราะมีระบบวินิจฉัยตัวเองและสามารถจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ ซึ่งถือว่า “ฉลาด” มากสำหรับเทคโนโลยีในยุคนั้น

    Dave Plummer นำไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 กลับมาใช้งาน
    น้ำหนักเกือบ 200 ปอนด์ ความจุเพียง 622 MB
    ใช้กับ PDP-11/73 คอมพิวเตอร์ 16 บิตจากปี 1983
    ติดตั้ง Unix บนไดรฟ์หลังฟอร์แมตและสร้างพาร์ทิชันใหม่

    เหตุผลที่เลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    ต้องการความ “ถูกต้องตามยุค” และประสบการณ์จริง
    เสียงกลไกและข้อจำกัดเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์
    ไม่พอใจการใช้ SD card หรือ SCSI ที่ทันสมัยเกินไป

    ความสามารถของไดรฟ์ DEC RA82
    มีระบบวินิจฉัยและจัดการปัญหาอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ไม่ต้องควบคุมความเร็วจานหรือการทำงานภายใน
    ถือว่า “ฉลาด” สำหรับเทคโนโลยีในยุค 1980

    ความท้าทายในการติดตั้งและใช้งาน
    ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค
    ต้องใช้สาย coaxial ยาวและหัวต่อเฉพาะของ DEC
    ต้องฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างระบบไฟล์ด้วยตนเอง

    ความเสี่ยงจากการใช้ฮาร์ดแวร์เก่า
    อุปกรณ์อาจเสียหายหรือไม่สามารถซ่อมแซมได้
    อาจไม่มีอะไหล่หรือคู่มือสนับสนุนในปัจจุบัน
    ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการติดตั้งและใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/legendary-windows-pinball-developer-rescues-200lb-magnetic-disc-drive-from-the-1980s-requires-a-scissor-lift-to-move-it-only-has-622-mb-of-storage
    🎮 “Dave Plummer ย้อนยุค! ยกไดรฟ์แม่เหล็ก 200 ปอนด์จากยุค 80 กลับมาใช้งาน Unix บน PDP-11” เรื่องเล่าจากอดีตที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager และเกม Pinball บน Windows ได้ทำภารกิจสุดแปลกแต่ทรงคุณค่า—เขายกไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 หนักเกือบ 200 ปอนด์กลับมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ PDP-11/73 จากปี 1983 เพื่อรันระบบ Unix แบบดั้งเดิม Plummer เล่าว่าแม้จะมีทางเลือกใหม่ ๆ เช่น SCSI หรือ SD card ที่สะดวกกว่า แต่เขาต้องการ “ความถูกต้องตามยุค” ทั้งเสียงกลไกที่ดังสนั่น ความยุ่งยากในการติดตั้ง และข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่า ซึ่งเขามองว่าเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การติดตั้งไม่ง่ายเลย—ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค และใช้สาย coaxial ยาว 15 ฟุตเชื่อมต่อกับ PDP-11 หลังจากฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างพาร์ทิชัน เขาก็สามารถติดตั้ง Unix ได้สำเร็จ พร้อมเสียง “วูบวาบ” ของจานแม่เหล็กที่หมุนอย่างทรงพลัง Plummer ยกย่องว่า DEC ทำไดรฟ์นี้ได้ดีมาก เพราะมีระบบวินิจฉัยตัวเองและสามารถจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ ซึ่งถือว่า “ฉลาด” มากสำหรับเทคโนโลยีในยุคนั้น ✅ Dave Plummer นำไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 กลับมาใช้งาน ➡️ น้ำหนักเกือบ 200 ปอนด์ ความจุเพียง 622 MB ➡️ ใช้กับ PDP-11/73 คอมพิวเตอร์ 16 บิตจากปี 1983 ➡️ ติดตั้ง Unix บนไดรฟ์หลังฟอร์แมตและสร้างพาร์ทิชันใหม่ ✅ เหตุผลที่เลือกใช้เทคโนโลยีเก่า ➡️ ต้องการความ “ถูกต้องตามยุค” และประสบการณ์จริง ➡️ เสียงกลไกและข้อจำกัดเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ ➡️ ไม่พอใจการใช้ SD card หรือ SCSI ที่ทันสมัยเกินไป ✅ ความสามารถของไดรฟ์ DEC RA82 ➡️ มีระบบวินิจฉัยและจัดการปัญหาอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องควบคุมความเร็วจานหรือการทำงานภายใน ➡️ ถือว่า “ฉลาด” สำหรับเทคโนโลยีในยุค 1980 ‼️ ความท้าทายในการติดตั้งและใช้งาน ⛔ ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค ⛔ ต้องใช้สาย coaxial ยาวและหัวต่อเฉพาะของ DEC ⛔ ต้องฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างระบบไฟล์ด้วยตนเอง ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ⛔ อุปกรณ์อาจเสียหายหรือไม่สามารถซ่อมแซมได้ ⛔ อาจไม่มีอะไหล่หรือคู่มือสนับสนุนในปัจจุบัน ⛔ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการติดตั้งและใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/legendary-windows-pinball-developer-rescues-200lb-magnetic-disc-drive-from-the-1980s-requires-a-scissor-lift-to-move-it-only-has-622-mb-of-storage
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews