• Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง”

    Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว

    จุดเด่นของ Grokipedia

    สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์
    ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด
    ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม

    จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ
    แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่
    Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า”

    เน้นความจริงและลดอคติ
    Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ
    Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์

    มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน
    หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0”
    Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต

    อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk
    หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ
    ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม
    ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา
    ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข

    เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง
    รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง
    บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia

    ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ
    ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์
    ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android

    https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    📚🤖 Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง” Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว ✅ จุดเด่นของ Grokipedia ✅ สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์ ➡️ ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด ➡️ ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม ✅ จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ ➡️ แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่ ➡️ Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า” ✅ เน้นความจริงและลดอคติ ➡️ Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ ➡️ Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์ ✅ มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน ➡️ หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0” ➡️ Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต ✅ อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk ➡️ หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ ➡️ ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด ‼️ ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม ⛔ ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา ⛔ ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข ‼️ เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง ⛔ รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง ⛔ บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia ‼️ ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ ⛔ ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์ ⛔ ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grokipedia Launches: Elon Musk's xAI Debuts AI Encyclopedia to Rival Wikipedia
    Elon Musk's xAI launched Grokipedia, an AI-generated encyclopedia powered by Grok that aims to challenge Wikipedia's bias with transparent sourcing
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร

    Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า

    การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS

    จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ
    ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก
    คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด

    สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน
    ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด
    ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด
    เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS

    แผนการแจ้งปลดพนักงาน
    จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น
    บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด

    แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon
    หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง
    เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน

    การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน
    งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025
    ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS

    ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร
    พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด
    ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

    การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท
    แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต

    https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    🏢📉 Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS ✅ จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก ➡️ คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด ✅ สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน ➡️ ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด ➡️ ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด ➡️ เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS ✅ แผนการแจ้งปลดพนักงาน ➡️ จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ➡️ บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด ✅ แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon ➡️ หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง ➡️ เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน ✅ การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน ➡️ งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025 ➡️ ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS ‼️ ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร ⛔ พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด ⛔ ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ‼️ การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ⛔ แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    SECURITYONLINE.INFO
    One in Nine: Amazon Prepares for Massive Layoff of 30,000 Corporate Staff
    Amazon is reportedly planning to cut 30,000 corporate jobs across logistics, payments, and AWS as part of a major post-pandemic cost reduction effort.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี

    แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก

    ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X

    Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย.
    ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com
    ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม

    ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ
    คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com
    ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com

    ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว
    ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ)
    ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง

    X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย
    ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี
    การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี

    หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที
    ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง
    การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก

    ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน
    เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม
    ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com

    https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    🔐📤 X เตรียมยกเลิกโดเมน Twitter.com วันที่ 10 พ.ย. — ผู้ใช้ที่ใช้ passkey ต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อไม่ให้ล็อกบัญชี แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประกาศว่าจะ เลิกใช้งานโดเมน Twitter.com อย่างถาวรในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ที่ใช้ passkey หรือ security key สำหรับการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) ต้องรีเซ็ตและผูกคีย์ใหม่กับโดเมน x.com มิฉะนั้นบัญชีจะถูกล็อก ✅ ข้อมูลสำคัญจากประกาศของ X ✅ Twitter.com จะหยุด redirect ไปยัง X.com หลังวันที่ 10 พ.ย. ➡️ ลิงก์เก่า เช่น tweet ที่เคยแชร์ไว้ จะไม่สามารถเข้าถึงได้หากยังใช้ twitter.com ➡️ ผู้ใช้ต้องอัปเดตลิงก์หรือบุ๊กมาร์กที่ใช้โดเมนเดิม ✅ ผู้ใช้ passkey หรือ security key ต้องรีเซ็ตก่อนวันหมดอายุ ➡️ คีย์เดิมถูกผูกไว้กับโดเมน twitter.com ซึ่งจะไม่สามารถใช้ได้กับ x.com ➡️ ต้องเข้าไปที่ Settings → Security → Two-factor authentication → Add another key เพื่อผูกคีย์ใหม่กับ x.com ✅ ผู้ใช้ที่ไม่รีเซ็ตจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว ➡️ ทางเลือกคือ: รีเซ็ต passkey, เปลี่ยนไปใช้วิธี 2FA อื่น เช่นรหัส 6 หลัก, หรือปิดการใช้ 2FA (ไม่แนะนำ) ➡️ ระบบยังรองรับการใช้ numeric verification code เป็นทางเลือกสำรอง ✅ X แนะนำให้ใช้ทั้ง passkey และรหัส 2FA เพื่อความปลอดภัย ➡️ ระบบ passkey ยังมีปัญหาด้านความเสถียรในบางกรณี ➡️ การมีวิธีสำรองช่วยให้ไม่สูญเสียการเข้าถึงบัญชี ‼️ หากไม่รีเซ็ต passkey ก่อนวันที่ 10 พ.ย. บัญชีจะถูกล็อกทันที ⛔ ต้องดำเนินการก่อนวันหมดอายุเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียการเข้าถึง ⛔ การใช้ passkey ที่ผูกกับ twitter.com จะไม่สามารถใช้งานได้อีก ‼️ ลิงก์เก่าและระบบอัตโนมัติที่ใช้ twitter.com อาจหยุดทำงาน ⛔ เช่น embed tweets, API calls, หรือ automation tools ที่ยังใช้โดเมนเดิม ⛔ ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบที่เชื่อมกับ twitter.com https://securityonline.info/rip-twitter-com-x-retires-old-domain-forcing-passkey-reset-by-nov-10/
    SECURITYONLINE.INFO
    RIP Twitter.com: X Retires Old Domain, Forcing Passkey Reset by Nov 10
    X is retiring the Twitter.com domain, requiring users with passkeys or security keys to re-enroll by Nov 10 to avoid being locked out of their accounts.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Microsoft Teams เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ติดตามสถานที่ทำงานผ่าน Wi-Fi — เริ่มใช้ธันวาคมนี้แบบ opt-in

    Microsoft Teams จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเดือนธันวาคม 2025 ที่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi เพื่อปรับสถานะ “สถานที่ทำงาน” ของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของออฟฟิศ ระบบจะตั้งสถานะเป็น “in the office” และหากเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอื่นหรือ cellular data ก็จะเปลี่ยนเป็น “working remotely”

    ฟีเจอร์จะเปิดใช้งานแบบ opt-in เท่านั้น
    เริ่มต้นจะถูกปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น
    ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งานจาก admin console
    พนักงานสามารถเลือกเข้าร่วมได้เอง

    การเปลี่ยนสถานะทำงานจะขึ้นอยู่กับ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อ
    หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ที่องค์กรกำหนด จะถูกระบุว่า “in the office”
    หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ภายนอกหรือ cellular data จะเปลี่ยนเป็น “remote”

    ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น
    เพื่อนร่วมงานสามารถรู้ได้ว่าควรเดินไปหาที่โต๊ะหรือโทรหาแทน
    ลดความไม่แน่นอนในการติดต่อกันในทีมขนาดใหญ่

    Microsoft ตระหนักถึงความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    ฟีเจอร์นี้ไม่ได้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ต้องยินยอมก่อนจึงจะมีการติดตามสถานที่ผ่าน Wi-Fi

    แนวโน้มการใช้ฟีเจอร์นี้ในยุคกลับเข้าออฟฟิศ (RTO)
    บริษัทต่าง ๆ ต้องการวิธีตรวจสอบการกลับมาทำงานในสถานที่จริง
    ฟีเจอร์นี้อาจช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมการเข้าออฟฟิศของทีม

    https://securityonline.info/microsoft-teams-will-auto-track-office-location-via-wi-fi/
    📍💼 Microsoft Teams เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ติดตามสถานที่ทำงานผ่าน Wi-Fi — เริ่มใช้ธันวาคมนี้แบบ opt-in Microsoft Teams จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเดือนธันวาคม 2025 ที่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi เพื่อปรับสถานะ “สถานที่ทำงาน” ของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของออฟฟิศ ระบบจะตั้งสถานะเป็น “in the office” และหากเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอื่นหรือ cellular data ก็จะเปลี่ยนเป็น “working remotely” ✅ ฟีเจอร์จะเปิดใช้งานแบบ opt-in เท่านั้น ➡️ เริ่มต้นจะถูกปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งานจาก admin console ➡️ พนักงานสามารถเลือกเข้าร่วมได้เอง ✅ การเปลี่ยนสถานะทำงานจะขึ้นอยู่กับ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อ ➡️ หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ที่องค์กรกำหนด จะถูกระบุว่า “in the office” ➡️ หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ภายนอกหรือ cellular data จะเปลี่ยนเป็น “remote” ✅ ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ➡️ เพื่อนร่วมงานสามารถรู้ได้ว่าควรเดินไปหาที่โต๊ะหรือโทรหาแทน ➡️ ลดความไม่แน่นอนในการติดต่อกันในทีมขนาดใหญ่ ✅ Microsoft ตระหนักถึงความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ ฟีเจอร์นี้ไม่ได้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ต้องยินยอมก่อนจึงจะมีการติดตามสถานที่ผ่าน Wi-Fi ✅ แนวโน้มการใช้ฟีเจอร์นี้ในยุคกลับเข้าออฟฟิศ (RTO) ➡️ บริษัทต่าง ๆ ต้องการวิธีตรวจสอบการกลับมาทำงานในสถานที่จริง ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมการเข้าออฟฟิศของทีม https://securityonline.info/microsoft-teams-will-auto-track-office-location-via-wi-fi/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Will Auto-Track Office Location via Wi-Fi
    Microsoft Teams is rolling out a new opt-in feature in December to automatically detect if employees are in the office by monitoring their Wi-Fi connection.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-61481 ใน MikroTik เปิดทางขโมยรหัสผ่านผู้ดูแลผ่าน WebFig ที่ไม่เข้ารหัส — คะแนนร้ายแรงระดับ 10 เต็ม

    ช่องโหว่ใหม่ใน MikroTik RouterOS และ SwitchOS เปิดเผยว่าหน้า WebFig ซึ่งใช้จัดการอุปกรณ์จะทำงานผ่าน HTTP แบบไม่เข้ารหัสโดยค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านผู้ดูแลระบบได้ง่าย ๆ หากอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนก่อน

    ข้อมูลสำคัญจากช่องโหว่ CVE-2025-61481
    กระทบ MikroTik RouterOS v7.14.2 และ SwitchOS v2.18
    WebFig เปิดใช้งานผ่าน HTTP โดยไม่มีการ redirect ไป HTTPS
    หลัง factory reset หน้า login และ JavaScript ทั้งหมดโหลดผ่าน HTTP

    ข้อมูลรับรองถูกส่งแบบ cleartext ผ่าน port 80
    JavaScript ฝั่ง client เก็บรหัสผ่านไว้ใน window.sessionStorage
    Packet capture ยืนยันว่า traffic และ credentials ถูกส่งแบบไม่เข้ารหัส

    ผู้โจมตีสามารถดักจับและแก้ไขข้อมูลได้ทันที
    แค่เชื่อมต่ออยู่ใน LAN หรือ Wi-Fi เดียวกันก็สามารถทำ MitM ได้
    เมื่อได้รหัสผ่านแล้ว สามารถเปลี่ยน routing, firewall หรือฝังสคริปต์ RCE ได้

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึงรุ่นยอดนิยม เช่น CRS326-24G-2S+
    มีแนวโน้มว่าอุปกรณ์อื่นที่ใช้ WebFig component เดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    พบมากใน SMB และ ISP ที่ใช้ WebFig สำหรับตั้งค่าภายใน

    คำแนะนำจากนักวิจัย
    จำกัดการเข้าถึง WebFig เฉพาะ VLAN หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้
    เปิดใช้งาน HTTPS ด้วยตนเองในหน้า config
    ใช้ SSH หรือ VPN แทน WebFig หากเป็นไปได้
    ปิดการเข้าถึง HTTP หากไม่จำเป็น

    https://securityonline.info/critical-mikrotik-flaw-cve-2025-61481-cvss-10-0-exposes-router-admin-credentials-over-unencrypted-http-webfig/
    ⚠️🔓 ช่องโหว่ CVE-2025-61481 ใน MikroTik เปิดทางขโมยรหัสผ่านผู้ดูแลผ่าน WebFig ที่ไม่เข้ารหัส — คะแนนร้ายแรงระดับ 10 เต็ม ช่องโหว่ใหม่ใน MikroTik RouterOS และ SwitchOS เปิดเผยว่าหน้า WebFig ซึ่งใช้จัดการอุปกรณ์จะทำงานผ่าน HTTP แบบไม่เข้ารหัสโดยค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านผู้ดูแลระบบได้ง่าย ๆ หากอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนก่อน ✅ ข้อมูลสำคัญจากช่องโหว่ CVE-2025-61481 ✅ กระทบ MikroTik RouterOS v7.14.2 และ SwitchOS v2.18 ➡️ WebFig เปิดใช้งานผ่าน HTTP โดยไม่มีการ redirect ไป HTTPS ➡️ หลัง factory reset หน้า login และ JavaScript ทั้งหมดโหลดผ่าน HTTP ✅ ข้อมูลรับรองถูกส่งแบบ cleartext ผ่าน port 80 ➡️ JavaScript ฝั่ง client เก็บรหัสผ่านไว้ใน window.sessionStorage ➡️ Packet capture ยืนยันว่า traffic และ credentials ถูกส่งแบบไม่เข้ารหัส ✅ ผู้โจมตีสามารถดักจับและแก้ไขข้อมูลได้ทันที ➡️ แค่เชื่อมต่ออยู่ใน LAN หรือ Wi-Fi เดียวกันก็สามารถทำ MitM ได้ ➡️ เมื่อได้รหัสผ่านแล้ว สามารถเปลี่ยน routing, firewall หรือฝังสคริปต์ RCE ได้ ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึงรุ่นยอดนิยม เช่น CRS326-24G-2S+ ➡️ มีแนวโน้มว่าอุปกรณ์อื่นที่ใช้ WebFig component เดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ พบมากใน SMB และ ISP ที่ใช้ WebFig สำหรับตั้งค่าภายใน ✅ คำแนะนำจากนักวิจัย ➡️ จำกัดการเข้าถึง WebFig เฉพาะ VLAN หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้ ➡️ เปิดใช้งาน HTTPS ด้วยตนเองในหน้า config ➡️ ใช้ SSH หรือ VPN แทน WebFig หากเป็นไปได้ ➡️ ปิดการเข้าถึง HTTP หากไม่จำเป็น https://securityonline.info/critical-mikrotik-flaw-cve-2025-61481-cvss-10-0-exposes-router-admin-credentials-over-unencrypted-http-webfig/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical MikroTik Flaw (CVE-2025-61481, CVSS 10.0) Exposes Router Admin Credentials Over Unencrypted HTTP WebFig
    A Critical (CVSS 10.0) flaw (CVE-2025-61481) in MikroTik RouterOS/SwOS exposes the WebFig management interface over unencrypted HTTP by default, allowing remote credential theft via MitM.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Magento (CVE-2025-54236) ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว — เสี่ยงถูกยึด session และรันโค้ดโดยไม่ต้องล็อกอิน

    ช่องโหว่ CVE-2025-54236 หรือชื่อเล่น “SessionReaper” เป็นช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Magento (Adobe Commerce) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถ ยึด session ของผู้ใช้ และในบางกรณี รันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งขณะนี้มีการโจมตีจริงเกิดขึ้นแล้วในวงกว้าง

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ input ไม่เหมาะสมในระบบจัดการ session
    สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ takeover session ของผู้ใช้ที่ล็อกอินอยู่
    หาก chain กับช่องโหว่อื่น จะสามารถรันโค้ด PHP ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน

    มีการโจมตีจริงแล้วกว่า 300 ครั้งใน 48 ชั่วโมงแรก
    Akamai ตรวจพบการโจมตีจาก IP ต่าง ๆ อย่างน้อย 11 แห่ง
    เป้าหมายคือร้านค้า Magento ที่เปิด public endpoint

    มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว
    ทำให้เกิดการสแกนและโจมตีอัตโนมัติในวงกว้าง
    payload ที่ใช้รวมถึง phpinfo probes และ web shells

    ผลกระทบของการโจมตี
    ขโมยข้อมูลลูกค้าและบัตรเครดิต
    สร้างบัญชีแอดมินปลอม
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ Magento เป็นฐานโจมตีระบบอื่น

    Magento ได้ออกแพตช์แล้วตั้งแต่ 9 กันยายน 2025
    แต่ยังมีร้านค้ากว่า 60% ที่ยังไม่ได้อัปเดต

    https://securityonline.info/critical-magento-flaw-cve-2025-54236-actively-exploited-for-session-hijacking-and-unauthenticated-rce/
    🛒💥 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Magento (CVE-2025-54236) ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว — เสี่ยงถูกยึด session และรันโค้ดโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ CVE-2025-54236 หรือชื่อเล่น “SessionReaper” เป็นช่องโหว่ระดับวิกฤตใน Magento (Adobe Commerce) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถ ยึด session ของผู้ใช้ และในบางกรณี รันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งขณะนี้มีการโจมตีจริงเกิดขึ้นแล้วในวงกว้าง ✅ ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบ input ไม่เหมาะสมในระบบจัดการ session ➡️ สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อ takeover session ของผู้ใช้ที่ล็อกอินอยู่ ➡️ หาก chain กับช่องโหว่อื่น จะสามารถรันโค้ด PHP ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ มีการโจมตีจริงแล้วกว่า 300 ครั้งใน 48 ชั่วโมงแรก ➡️ Akamai ตรวจพบการโจมตีจาก IP ต่าง ๆ อย่างน้อย 11 แห่ง ➡️ เป้าหมายคือร้านค้า Magento ที่เปิด public endpoint ✅ มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ➡️ ทำให้เกิดการสแกนและโจมตีอัตโนมัติในวงกว้าง ➡️ payload ที่ใช้รวมถึง phpinfo probes และ web shells ✅ ผลกระทบของการโจมตี ➡️ ขโมยข้อมูลลูกค้าและบัตรเครดิต ➡️ สร้างบัญชีแอดมินปลอม ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ Magento เป็นฐานโจมตีระบบอื่น ✅ Magento ได้ออกแพตช์แล้วตั้งแต่ 9 กันยายน 2025 ➡️ แต่ยังมีร้านค้ากว่า 60% ที่ยังไม่ได้อัปเดต https://securityonline.info/critical-magento-flaw-cve-2025-54236-actively-exploited-for-session-hijacking-and-unauthenticated-rce/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Magento Flaw (CVE-2025-54236) Actively Exploited for Session Hijacking and Unauthenticated RCE
    Akamai warns of active exploitation of Magento's SessionReaper flaw (CVE-2025-54236). The critical (CVSS 9.8) vulnerability allows session hijacking and unauthenticated RCE via web shells.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-12080 บน Wear OS เปิดทางให้แอปใดก็ได้ส่ง SMS/MMS/RCS โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ — มี PoC แล้ว

    ช่องโหว่ CVE-2025-12080 ถูกค้นพบในแอป Google Messages บน Wear OS ซึ่งเปิดให้แอปใดก็ตามที่ติดตั้งอยู่สามารถส่งข้อความ SMS, MMS หรือ RCS ไปยังเบอร์ใดก็ได้ โดยไม่ต้องขอสิทธิ์หรือยืนยันจากผู้ใช้ — ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการโจมตีแบบลับ

    เกิดจากการจัดการ intent ที่ผิดพลาดใน Google Messages บน Wear OS
    เมื่อ Google Messages ถูกตั้งเป็นแอปส่งข้อความหลัก ระบบจะจัดการ ACTION_SENDTO ที่ใช้ URI เช่น sms:, smsto:, mms:, mmsto: โดยไม่แสดงหน้าจอยืนยัน
    แอปใดก็ตามที่สามารถเรียก intent นี้ได้ จะสามารถส่งข้อความทันทีโดยไม่ต้องมีสิทธิ์ SEND_SMS

    พฤติกรรมนี้เปลี่ยน Google Messages ให้กลายเป็น “confused deputy”
    คือแอปที่มีสิทธิ์สูงแต่ถูกใช้โดยแอปที่ไม่มีสิทธิ์เพื่อทำงานอันตราย
    แอปที่ดู harmless เช่น แอปฟิตเนสหรือพยากรณ์อากาศ อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี

    มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่แล้วบน GitHub
    ทดสอบบน Pixel Watch 3 ที่ใช้ Wear OS (Android 15) และ Google Messages เวอร์ชัน 2025_0225_RC03.wear_dynamic
    แอป PoC จะส่งข้อความทันทีเมื่อเปิด โดยไม่แสดงหน้าจอยืนยันใด ๆ

    การโจมตีไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือโค้ดอันตราย
    แอปไม่ต้องมี permission ใด ๆ ก็สามารถส่งข้อความได้
    ทำให้การตรวจจับและป้องกันทำได้ยาก

    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบกว้าง เพราะ Google Messages เป็นแอปหลักบน Wear OS
    อุปกรณ์ส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่นในการส่งข้อความ
    ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว

    แอปใดก็ได้สามารถส่งข้อความโดยไม่ต้องขอสิทธิ์
    เสี่ยงต่อการถูกใช้ส่งข้อความไปยังเบอร์พรีเมียม, phishing หรือ C2 server
    ผู้ใช้จะไม่รู้เลยว่าเกิดการส่งข้อความ

    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตี
    แอปที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดเรียก intent ที่ใช้ช่องโหว่นี้
    ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก Play Store

    นักพัฒนา Wear OS ควรหลีกเลี่ยงการใช้ intent แบบนี้จนกว่าจะมีแพตช์
    การใช้ ACTION_SENDTO โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้แอปถูกมองว่าเป็นภัย
    ควรรอการแก้ไขจาก Google หรือใช้วิธีอื่นในการส่งข้อความ

    https://securityonline.info/wear-os-messages-flaw-cve-2025-12080-allows-unprivileged-apps-to-send-sms-rcs-without-permission-poc-available/
    📱📨 ช่องโหว่ CVE-2025-12080 บน Wear OS เปิดทางให้แอปใดก็ได้ส่ง SMS/MMS/RCS โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ — มี PoC แล้ว ช่องโหว่ CVE-2025-12080 ถูกค้นพบในแอป Google Messages บน Wear OS ซึ่งเปิดให้แอปใดก็ตามที่ติดตั้งอยู่สามารถส่งข้อความ SMS, MMS หรือ RCS ไปยังเบอร์ใดก็ได้ โดยไม่ต้องขอสิทธิ์หรือยืนยันจากผู้ใช้ — ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการโจมตีแบบลับ ✅ เกิดจากการจัดการ intent ที่ผิดพลาดใน Google Messages บน Wear OS ➡️ เมื่อ Google Messages ถูกตั้งเป็นแอปส่งข้อความหลัก ระบบจะจัดการ ACTION_SENDTO ที่ใช้ URI เช่น sms:, smsto:, mms:, mmsto: โดยไม่แสดงหน้าจอยืนยัน ➡️ แอปใดก็ตามที่สามารถเรียก intent นี้ได้ จะสามารถส่งข้อความทันทีโดยไม่ต้องมีสิทธิ์ SEND_SMS ✅ พฤติกรรมนี้เปลี่ยน Google Messages ให้กลายเป็น “confused deputy” ➡️ คือแอปที่มีสิทธิ์สูงแต่ถูกใช้โดยแอปที่ไม่มีสิทธิ์เพื่อทำงานอันตราย ➡️ แอปที่ดู harmless เช่น แอปฟิตเนสหรือพยากรณ์อากาศ อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ✅ มี PoC (proof-of-concept) เผยแพร่แล้วบน GitHub ➡️ ทดสอบบน Pixel Watch 3 ที่ใช้ Wear OS (Android 15) และ Google Messages เวอร์ชัน 2025_0225_RC03.wear_dynamic ➡️ แอป PoC จะส่งข้อความทันทีเมื่อเปิด โดยไม่แสดงหน้าจอยืนยันใด ๆ ✅ การโจมตีไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือโค้ดอันตราย ➡️ แอปไม่ต้องมี permission ใด ๆ ก็สามารถส่งข้อความได้ ➡️ ทำให้การตรวจจับและป้องกันทำได้ยาก ✅ ช่องโหว่นี้มีผลกระทบกว้าง เพราะ Google Messages เป็นแอปหลักบน Wear OS ➡️ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่นในการส่งข้อความ ➡️ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว ‼️ แอปใดก็ได้สามารถส่งข้อความโดยไม่ต้องขอสิทธิ์ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้ส่งข้อความไปยังเบอร์พรีเมียม, phishing หรือ C2 server ⛔ ผู้ใช้จะไม่รู้เลยว่าเกิดการส่งข้อความ ‼️ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตี ⛔ แอปที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดเรียก intent ที่ใช้ช่องโหว่นี้ ⛔ ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก Play Store ‼️ นักพัฒนา Wear OS ควรหลีกเลี่ยงการใช้ intent แบบนี้จนกว่าจะมีแพตช์ ⛔ การใช้ ACTION_SENDTO โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้แอปถูกมองว่าเป็นภัย ⛔ ควรรอการแก้ไขจาก Google หรือใช้วิธีอื่นในการส่งข้อความ https://securityonline.info/wear-os-messages-flaw-cve-2025-12080-allows-unprivileged-apps-to-send-sms-rcs-without-permission-poc-available/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wear OS Messages Flaw (CVE-2025-12080) Allows Unprivileged Apps to Send SMS/RCS Without Permission, PoC Available
    A flaw (CVE-2025-12080) in Google Messages for Wear OS allows any installed app to send SMS/RCS messages without permission by abusing ACTION_SENDTO intents.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-62725 ใน Docker Compose เปิดทางให้เขียนทับไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง — แม้ใช้แค่คำสั่ง read-only

    ช่องโหว่ระดับสูงใน Docker Compose (CVE-2025-62725, CVSS 8.9) เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถใช้ไฟล์ compose จากแหล่ง OCI ปลอมเพื่อเขียนทับไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง host โดยไม่ต้องรัน container — แค่ใช้คำสั่ง read-only เช่น docker compose config ก็เพียงพอแล้ว.

    Docker Compose เชื่อข้อมูล path จาก artifact โดยไม่ตรวจสอบ
    เมื่อใช้ไฟล์ compose จาก remote OCI registry ที่มี annotation เช่น com.docker.compose.extends หรือ com.docker.compose.envfile
    Compose จะรวม path ที่ผู้โจมตีระบุไว้กับ cache directory แล้วเขียนไฟล์ลงไปโดยตรง

    สามารถใช้ path traversal เช่น ../../../../../etc/passwd เพื่อเขียนทับไฟล์ระบบ
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการเชื่อมั่น annotation โดยไม่มีการ sanitize
    ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถหลุดออกจาก cache directory และเข้าถึงไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง

    คำสั่ง read-only ก็สามารถ trigger ช่องโหว่ได้
    เช่น docker compose config, docker compose ps ซึ่งมักใช้ใน CI/CD pipeline หรือขั้นตอน linting
    ไม่จำเป็นต้อง build หรือ run container ก็สามารถโจมตีได้

    กระทบทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ remote OCI compose artifacts
    Docker Desktop, Linux binaries, CI runners, cloud dev environments
    โดยเฉพาะระบบที่ดึงไฟล์ compose จาก registry ภายนอกหรือ third-party

    Docker ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน Compose v2.40.2
    เพิ่มการตรวจสอบ path และการ sanitize annotation
    แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดตทันที

    การใช้ไฟล์ compose จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือมีความเสี่ยงสูง
    แม้จะใช้แค่คำสั่ง read-only ก็สามารถถูกโจมตีได้
    CI/CD pipeline ที่ดึงไฟล์จาก registry อัตโนมัติอาจเป็นเป้าหมาย

    ระบบที่ไม่ได้อัปเดต Compose v2.40.2 เสี่ยงต่อการถูกเขียนทับไฟล์สำคัญ
    เช่น /etc/passwd, .bashrc, หรือไฟล์ config อื่น ๆ
    อาจถูกใช้เป็นช่องทางฝัง backdoor หรือเปลี่ยนพฤติกรรมระบบ

    ควรหลีกเลี่ยงการใช้ annotation ที่ไม่จำเป็นใน OCI compose artifacts
    หรือใช้ระบบตรวจสอบก่อนนำเข้าไฟล์จาก registry

    https://securityonline.info/docker-compose-path-traversal-cve-2025-62725-allows-arbitrary-file-overwrite-via-oci-artifacts/
    🛠️📂 ช่องโหว่ CVE-2025-62725 ใน Docker Compose เปิดทางให้เขียนทับไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง — แม้ใช้แค่คำสั่ง read-only ช่องโหว่ระดับสูงใน Docker Compose (CVE-2025-62725, CVSS 8.9) เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถใช้ไฟล์ compose จากแหล่ง OCI ปลอมเพื่อเขียนทับไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง host โดยไม่ต้องรัน container — แค่ใช้คำสั่ง read-only เช่น docker compose config ก็เพียงพอแล้ว. ✅ Docker Compose เชื่อข้อมูล path จาก artifact โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เมื่อใช้ไฟล์ compose จาก remote OCI registry ที่มี annotation เช่น com.docker.compose.extends หรือ com.docker.compose.envfile ➡️ Compose จะรวม path ที่ผู้โจมตีระบุไว้กับ cache directory แล้วเขียนไฟล์ลงไปโดยตรง ✅ สามารถใช้ path traversal เช่น ../../../../../etc/passwd เพื่อเขียนทับไฟล์ระบบ ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดจากการเชื่อมั่น annotation โดยไม่มีการ sanitize ➡️ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถหลุดออกจาก cache directory และเข้าถึงไฟล์ใดก็ได้บนเครื่อง ✅ คำสั่ง read-only ก็สามารถ trigger ช่องโหว่ได้ ➡️ เช่น docker compose config, docker compose ps ซึ่งมักใช้ใน CI/CD pipeline หรือขั้นตอน linting ➡️ ไม่จำเป็นต้อง build หรือ run container ก็สามารถโจมตีได้ ✅ กระทบทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ remote OCI compose artifacts ➡️ Docker Desktop, Linux binaries, CI runners, cloud dev environments ➡️ โดยเฉพาะระบบที่ดึงไฟล์ compose จาก registry ภายนอกหรือ third-party ✅ Docker ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน Compose v2.40.2 ➡️ เพิ่มการตรวจสอบ path และการ sanitize annotation ➡️ แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดตทันที ‼️ การใช้ไฟล์ compose จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือมีความเสี่ยงสูง ⛔ แม้จะใช้แค่คำสั่ง read-only ก็สามารถถูกโจมตีได้ ⛔ CI/CD pipeline ที่ดึงไฟล์จาก registry อัตโนมัติอาจเป็นเป้าหมาย ‼️ ระบบที่ไม่ได้อัปเดต Compose v2.40.2 เสี่ยงต่อการถูกเขียนทับไฟล์สำคัญ ⛔ เช่น /etc/passwd, .bashrc, หรือไฟล์ config อื่น ๆ ⛔ อาจถูกใช้เป็นช่องทางฝัง backdoor หรือเปลี่ยนพฤติกรรมระบบ ‼️ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ annotation ที่ไม่จำเป็นใน OCI compose artifacts ⛔ หรือใช้ระบบตรวจสอบก่อนนำเข้าไฟล์จาก registry https://securityonline.info/docker-compose-path-traversal-cve-2025-62725-allows-arbitrary-file-overwrite-via-oci-artifacts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Docker Compose Path Traversal (CVE-2025-62725) Allows Arbitrary File Overwrite via OCI Artifacts
    A path traversal flaw (CVE-2025-62725) in Docker Compose lets attackers overwrite host files via remote OCI artifact annotations, triggered by read-only commands.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • ออสเตรียเดินหน้าสู่อธิปไตยดิจิทัล: กระทรวงเศรษฐกิจฯ ย้ายจาก Microsoft ไปใช้ Nextcloud ภายใน 4 เดือน

    รัฐบาลออสเตรียประกาศความสำเร็จในการย้ายระบบของกระทรวงเศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว (BMWET) จาก Microsoft ไปใช้ Nextcloud เพื่อจัดการข้อมูลภายในและการทำงานร่วมกัน โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้ภายในประเทศ — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 4 เดือน.

    ความเคลื่อนไหวสำคัญของ BMWET

    ย้ายพนักงาน 1,200 คนไปใช้ Nextcloud
    ใช้สำหรับการทำงานร่วมกันภายในและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย
    ดำเนินการบนโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมโดยออสเตรียเอง

    ดำเนินการร่วมกับ Atos Austria และทีม Nextcloud
    ปรับแต่งระบบให้ตรงตามข้อกำหนดด้านกฎหมายและเทคนิค
    ใช้แนวทาง hybrid โดยยังคง Microsoft Teams สำหรับการประชุมภายนอก

    รวมระบบ Outlook ผ่าน Sendent เพื่อไม่ให้กระทบ workflow เดิม
    พนักงานยังสามารถใช้อีเมลและปฏิทินแบบเดิมได้
    ลดแรงต้านจากการเปลี่ยนระบบใหม่

    เหตุผลหลักคือความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและ GDPR
    การวิเคราะห์ความเสี่ยงพบว่า cloud จากต่างประเทศไม่ผ่านข้อกำหนด
    เตรียมรับมือกับกฎใหม่ NIS2 ที่เน้นความมั่นคงของข้อมูล

    การเตรียมพนักงานคือหัวใจของความสำเร็จ
    มีการจัดอบรม, วิดีโอสอน, และ wiki ภายใน
    พนักงานตอบรับดีและไม่เกิดการหยุดชะงักในการทำงาน

    การย้ายระบบต้องมีการวางแผนและสนับสนุนจากผู้บริหาร
    หากไม่มีการเตรียมพนักงาน อาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง
    การเปลี่ยนระบบโดยไม่ค่อยอธิบายเหตุผลอาจทำให้เกิดแรงต้าน

    การใช้ cloud จากต่างประเทศอาจขัดกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวในยุโรป
    ข้อมูลของประชาชนและองค์กรรัฐต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ชัดเจน
    การพึ่งพาบริษัทนอกยุโรปอาจเสี่ยงต่อการละเมิด GDPR และ NIS2

    https://news.itsfoss.com/austrian-ministry-kicks-out-microsoft/
    🇦🇹☁️ ออสเตรียเดินหน้าสู่อธิปไตยดิจิทัล: กระทรวงเศรษฐกิจฯ ย้ายจาก Microsoft ไปใช้ Nextcloud ภายใน 4 เดือน รัฐบาลออสเตรียประกาศความสำเร็จในการย้ายระบบของกระทรวงเศรษฐกิจ พลังงาน และการท่องเที่ยว (BMWET) จาก Microsoft ไปใช้ Nextcloud เพื่อจัดการข้อมูลภายในและการทำงานร่วมกัน โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมได้ภายในประเทศ — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 4 เดือน. ✅ ความเคลื่อนไหวสำคัญของ BMWET ✅ ย้ายพนักงาน 1,200 คนไปใช้ Nextcloud ➡️ ใช้สำหรับการทำงานร่วมกันภายในและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ➡️ ดำเนินการบนโครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมโดยออสเตรียเอง ✅ ดำเนินการร่วมกับ Atos Austria และทีม Nextcloud ➡️ ปรับแต่งระบบให้ตรงตามข้อกำหนดด้านกฎหมายและเทคนิค ➡️ ใช้แนวทาง hybrid โดยยังคง Microsoft Teams สำหรับการประชุมภายนอก ✅ รวมระบบ Outlook ผ่าน Sendent เพื่อไม่ให้กระทบ workflow เดิม ➡️ พนักงานยังสามารถใช้อีเมลและปฏิทินแบบเดิมได้ ➡️ ลดแรงต้านจากการเปลี่ยนระบบใหม่ ✅ เหตุผลหลักคือความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและ GDPR ➡️ การวิเคราะห์ความเสี่ยงพบว่า cloud จากต่างประเทศไม่ผ่านข้อกำหนด ➡️ เตรียมรับมือกับกฎใหม่ NIS2 ที่เน้นความมั่นคงของข้อมูล ✅ การเตรียมพนักงานคือหัวใจของความสำเร็จ ➡️ มีการจัดอบรม, วิดีโอสอน, และ wiki ภายใน ➡️ พนักงานตอบรับดีและไม่เกิดการหยุดชะงักในการทำงาน ‼️ การย้ายระบบต้องมีการวางแผนและสนับสนุนจากผู้บริหาร ⛔ หากไม่มีการเตรียมพนักงาน อาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง ⛔ การเปลี่ยนระบบโดยไม่ค่อยอธิบายเหตุผลอาจทำให้เกิดแรงต้าน ‼️ การใช้ cloud จากต่างประเทศอาจขัดกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวในยุโรป ⛔ ข้อมูลของประชาชนและองค์กรรัฐต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ชัดเจน ⛔ การพึ่งพาบริษัทนอกยุโรปอาจเสี่ยงต่อการละเมิด GDPR และ NIS2 https://news.itsfoss.com/austrian-ministry-kicks-out-microsoft/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Good News! Austrian Ministry Kicks Out Microsoft in Favor of Nextcloud
    The BMWET migrates 1,200 employees to sovereign cloud in just four months.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Ubuntu Unity กำลังขาดแรงพัฒนา — ทีมเรียกร้องความช่วยเหลือก่อนจะถึงจุดจบ

    Ubuntu Unity ซึ่งเป็นหนึ่งใน official flavor ของ Ubuntu กำลังเผชิญวิกฤตด้านการพัฒนาอย่างหนัก หลังจากผู้ดูแลหลักหายไปจากโครงการ ทำให้ไม่มีใครตรวจสอบบั๊กหรือทดสอบ ISO ที่ปล่อยออกมา ส่งผลให้เวอร์ชันล่าสุดไม่สามารถใช้งานได้อย่างเสถียร และอาจไม่มีเวอร์ชันใหม่ในอนาคตหากไม่มีผู้ช่วยเหลือเข้ามา

    โครงการเริ่มต้นจากความคิดถึง Unity7 หลัง Canonical ยกเลิกในปี 2017
    เปิดตัวในปี 2020 โดย Rudra Saraswat เป็น remix ที่ไม่เป็นทางการ
    ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ที่ชอบอินเทอร์เฟซแบบ macOS

    กลายเป็น official flavor ตั้งแต่ Ubuntu 22.10
    เข้าร่วมกับ Kubuntu, Xubuntu, Lubuntu อย่างเป็นทางการ
    ถือเป็นก้าวสำคัญของโครงการโอเพ่นซอร์สที่เริ่มจากชุมชน

    ปัจจุบันขาดผู้ดูแลที่มีทักษะด้านเทคนิค
    Maik Adamietz และ Rudra ไม่สามารถดูแลโครงการได้เต็มเวลา
    ไม่มีการตรวจสอบ ISO ที่ปล่อยอัตโนมัติ และบั๊กไม่ได้รับการแก้ไข

    Ubuntu Unity 25.10 ไม่สามารถปล่อยเวอร์ชันเสถียรได้
    มีบั๊กสำคัญที่ทำให้การอัปเกรดจาก 25.04 หรือการติดตั้งบน flavor อื่นล้มเหลว
    ทีมงาน Fuseteam และ Maik ไม่มีทักษะด้านเทคนิคเพียงพอในการแก้ไข

    เป้าหมายคือการอยู่รอดจนถึง Ubuntu Unity 26.04 LTS
    ต้องการผู้ช่วยที่สามารถแก้บั๊ก, ทดสอบระบบ, และพอร์ตแพ็กเกจ
    มีการเรียกร้องให้ชุมชนเข้ามาช่วยเหลือผ่าน GitLab และ Discord

    งานเร่งด่วนที่ชุมชนเสนอให้ช่วย

    เปลี่ยนระบบควบคุมเวอร์ชันจาก Bazaar เป็น Git
    เพื่อให้สามารถ build แพ็กเกจได้อีกครั้ง

    พอร์ตไลบรารีจาก pcre3 ไป pcre2 และ libsoup2.4 ไป libsoup3
    ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากไลบรารีที่ไม่ได้รับการดูแล

    แทนที่ Compiz ด้วย Wayland-compatible compositor
    เช่น Wayfire หรือ Mir-based compositor เพื่อรองรับอนาคต

    หากไม่มีผู้ดูแลใหม่ โครงการอาจหยุดพัฒนาอย่างถาวร
    Unity desktop อาจหายไปจากโลก Linux อีกครั้ง
    ผู้ใช้ที่อัปเกรดหรือใช้งานเวอร์ชันล่าสุดอาจเจอบั๊กที่ไม่มีใครแก้

    การใช้ ISO ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจเสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือความปลอดภัย
    ไม่มีการทดสอบก่อนปล่อย ทำให้ผู้ใช้ต้องรับความเสี่ยงเอง
    ควรใช้เวอร์ชัน 24.04 LTS ที่ยังเสถียรเป็นหลัก

    สำหรับลุงแล้ว ลุงคิดว่า Unity ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
    ตลอดเวลาที่ Ubuntu desktop เริ่มหันมาใช้ Unity ลุงไม่เคยใช้ กันไปใช้ Lubuntu แทน

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-unity-needs-help/
    🆘🖥️ Ubuntu Unity กำลังขาดแรงพัฒนา — ทีมเรียกร้องความช่วยเหลือก่อนจะถึงจุดจบ Ubuntu Unity ซึ่งเป็นหนึ่งใน official flavor ของ Ubuntu กำลังเผชิญวิกฤตด้านการพัฒนาอย่างหนัก หลังจากผู้ดูแลหลักหายไปจากโครงการ ทำให้ไม่มีใครตรวจสอบบั๊กหรือทดสอบ ISO ที่ปล่อยออกมา ส่งผลให้เวอร์ชันล่าสุดไม่สามารถใช้งานได้อย่างเสถียร และอาจไม่มีเวอร์ชันใหม่ในอนาคตหากไม่มีผู้ช่วยเหลือเข้ามา ✅ โครงการเริ่มต้นจากความคิดถึง Unity7 หลัง Canonical ยกเลิกในปี 2017 ➡️ เปิดตัวในปี 2020 โดย Rudra Saraswat เป็น remix ที่ไม่เป็นทางการ ➡️ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ที่ชอบอินเทอร์เฟซแบบ macOS ✅ กลายเป็น official flavor ตั้งแต่ Ubuntu 22.10 ➡️ เข้าร่วมกับ Kubuntu, Xubuntu, Lubuntu อย่างเป็นทางการ ➡️ ถือเป็นก้าวสำคัญของโครงการโอเพ่นซอร์สที่เริ่มจากชุมชน ✅ ปัจจุบันขาดผู้ดูแลที่มีทักษะด้านเทคนิค ➡️ Maik Adamietz และ Rudra ไม่สามารถดูแลโครงการได้เต็มเวลา ➡️ ไม่มีการตรวจสอบ ISO ที่ปล่อยอัตโนมัติ และบั๊กไม่ได้รับการแก้ไข ✅ Ubuntu Unity 25.10 ไม่สามารถปล่อยเวอร์ชันเสถียรได้ ➡️ มีบั๊กสำคัญที่ทำให้การอัปเกรดจาก 25.04 หรือการติดตั้งบน flavor อื่นล้มเหลว ➡️ ทีมงาน Fuseteam และ Maik ไม่มีทักษะด้านเทคนิคเพียงพอในการแก้ไข ✅ เป้าหมายคือการอยู่รอดจนถึง Ubuntu Unity 26.04 LTS ➡️ ต้องการผู้ช่วยที่สามารถแก้บั๊ก, ทดสอบระบบ, และพอร์ตแพ็กเกจ ➡️ มีการเรียกร้องให้ชุมชนเข้ามาช่วยเหลือผ่าน GitLab และ Discord 🚨🆘 งานเร่งด่วนที่ชุมชนเสนอให้ช่วย ✅ เปลี่ยนระบบควบคุมเวอร์ชันจาก Bazaar เป็น Git ➡️ เพื่อให้สามารถ build แพ็กเกจได้อีกครั้ง ✅ พอร์ตไลบรารีจาก pcre3 ไป pcre2 และ libsoup2.4 ไป libsoup3 ➡️ ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากไลบรารีที่ไม่ได้รับการดูแล ✅ แทนที่ Compiz ด้วย Wayland-compatible compositor ➡️ เช่น Wayfire หรือ Mir-based compositor เพื่อรองรับอนาคต ‼️ หากไม่มีผู้ดูแลใหม่ โครงการอาจหยุดพัฒนาอย่างถาวร ⛔ Unity desktop อาจหายไปจากโลก Linux อีกครั้ง ⛔ ผู้ใช้ที่อัปเกรดหรือใช้งานเวอร์ชันล่าสุดอาจเจอบั๊กที่ไม่มีใครแก้ ‼️ การใช้ ISO ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจเสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือความปลอดภัย ⛔ ไม่มีการทดสอบก่อนปล่อย ทำให้ผู้ใช้ต้องรับความเสี่ยงเอง ⛔ ควรใช้เวอร์ชัน 24.04 LTS ที่ยังเสถียรเป็นหลัก สำหรับลุงแล้ว ลุงคิดว่า Unity ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ‼️ ตลอดเวลาที่ Ubuntu desktop เริ่มหันมาใช้ Unity ลุงไม่เคยใช้ กันไปใช้ Lubuntu แทน 🐧 https://news.itsfoss.com/ubuntu-unity-needs-help/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ubuntu Unity Maintainers Sound the Alarm, Official Flavor Needs Help!
    Without help soon, the beloved Unity desktop Ubuntu flavor may not survive much longer.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ทนายเดรัฐฉาน
    ไม่หยุดย่ำกัน
    เตรียมร้องไลฟ์สดขายของไร้ใบอนุญาตขายตรง ตัวมันเองถูกร้องถอนตั๋วทนายเพียบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ทนายเดรัฐฉาน ไม่หยุดย่ำกัน เตรียมร้องไลฟ์สดขายของไร้ใบอนุญาตขายตรง ตัวมันเองถูกร้องถอนตั๋วทนายเพียบ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • บิ๊กข้าวต้มเละหวังกลับมาใหญ่ แฉสีเทารัวๆ ยกเว้นเส้นเทาตัวเอง ไอ่ฉัด!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    บิ๊กข้าวต้มเละหวังกลับมาใหญ่ แฉสีเทารัวๆ ยกเว้นเส้นเทาตัวเอง ไอ่ฉัด! #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • โจ๊กกับเสรีเตฯพ่อบุญธรรมแท็กทีมหมาแก่ จะขุดโจ๊กขึ้นจากหลุม ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    โจ๊กกับเสรีเตฯพ่อบุญธรรมแท็กทีมหมาแก่ จะขุดโจ๊กขึ้นจากหลุม ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ดร.ก้องศักด เผย มาราธอนกรุงเทพฯ ได้รับความนิยมเทียบเท่าระดับเมเจอร์ของโลก ดึงนักวิ่งนานาชาติเข้าร่วมจำนวนมาก
    https://www.thai-tai.tv/news/22095/
    .
    #ไทยไท #AmazingThailandMarathon #อรรถกรศิริลัทธยากร #WorldClassEvent #WorldCapitalMarathon #กกท

    ดร.ก้องศักด เผย มาราธอนกรุงเทพฯ ได้รับความนิยมเทียบเท่าระดับเมเจอร์ของโลก ดึงนักวิ่งนานาชาติเข้าร่วมจำนวนมาก https://www.thai-tai.tv/news/22095/ . #ไทยไท #AmazingThailandMarathon #อรรถกรศิริลัทธยากร #WorldClassEvent #WorldCapitalMarathon #กกท
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • พวกนักสังเกตการณ์สถานการณ์ชายแดนกัมพูชา-ไทย เรียกร้องรัฐบาลให้เสริมความเข้มแข็งในศักยภาพภายในประเทศและกองกำลังป้องกันชาติ แม้ทำข้อตกลงสันติภาพกับไทย อ้างว่าศักยภาพที่แข็งแกร่งในด้านการป้องกันชาติเท่านั้น ที่จะรับประกันสันติภาพอันยาวนาน ตามรายงานของ kampucheathmey สื่อมวลชนกัมพูชา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103088

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    พวกนักสังเกตการณ์สถานการณ์ชายแดนกัมพูชา-ไทย เรียกร้องรัฐบาลให้เสริมความเข้มแข็งในศักยภาพภายในประเทศและกองกำลังป้องกันชาติ แม้ทำข้อตกลงสันติภาพกับไทย อ้างว่าศักยภาพที่แข็งแกร่งในด้านการป้องกันชาติเท่านั้น ที่จะรับประกันสันติภาพอันยาวนาน ตามรายงานของ kampucheathmey สื่อมวลชนกัมพูชา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103088 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด

    KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม.

    ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1
    แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า
    แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD

    ปรับปรุง Kickoff launcher
    สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน
    เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด

    ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี
    ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด

    แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น
    ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว
    แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด

    แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings
    มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม
    แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…”

    Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export
    แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar
    แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด

    แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ
    ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม
    ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง

    ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง
    ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม

    ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer
    หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก

    การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash
    เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร

    การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า
    เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้

    https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    🖥️🔧 KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม. ✅ ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1 ✅ แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD ✅ ปรับปรุง Kickoff launcher ➡️ สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด ✅ ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี ➡️ ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด ✅ แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น ➡️ ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว ➡️ แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด ✅ แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings ➡️ มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม ➡️ แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…” ✅ Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export ➡️ แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar ➡️ แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด ✅ แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ ➡️ ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม ➡️ ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง ✅ ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง ➡️ ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม ‼️ ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer ⛔ หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก ‼️ การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash ⛔ เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร ‼️ การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า ⛔ เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้ https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    9TO5LINUX.COM
    KDE Plasma 6.5.1 Is Out to Fix Compatibility Issues with Older AMD GPUs - 9to5Linux
    KDE Plasma 6.5.1 is now available as the first maintenance update to the KDE Plasma 6.5 desktop environment series with various improvements.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer.

    ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43

    ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม

    GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก
    GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation
    KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition

    Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins
    ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ

    รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare
    เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่

    ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer
    ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM

    เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed
    ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต

    บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit
    ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป
    ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ

    อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ
    เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0

    ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้
    ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง

    การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland
    ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้

    https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    🧑‍💻🚀 Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer. 🐧 ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43 ✅ ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม ✅ GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก ➡️ GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation ➡️ KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition ✅ Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins ➡️ ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ ✅ รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare ➡️ เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่ ✅ ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer ➡️ ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM ✅ เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed ➡️ ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต ✅ บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit ➡️ ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป ➡️ ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ ➡️ เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0 ‼️ ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้ ⛔ ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland ⛔ ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้ https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    9TO5LINUX.COM
    Fedora Linux 43 Officially Released, Now Available for Download - 9to5Linux
    Fedora Linux 43 distribution is now available for download, powered by Linux kernel 6.17 and featuring the GNOME 49 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Tor Browser 15.0 เปิดตัวแล้ว! ปรับปรุง UI, เพิ่มความปลอดภัย และเป็นรุ่นสุดท้ายที่รองรับ Linux 32-bit

    Tor Browser 15.0 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการโดยทีม Tor Project โดยใช้ฐานจาก Firefox 140 ESR พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทั้งในเดสก์ท็อปและ Android — และยังเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่รองรับ Linux 32-bit และ Android รุ่นเก่า.

    ใช้ Firefox 140 ESR เป็นฐานหลัก
    ได้รับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น vertical tabs, tab groups, unified search button

    ปรับปรุง UI เพื่อการจัดการแท็บที่ดีขึ้น
    แม้แท็บยังเป็นแบบ private แต่สามารถจัดกลุ่มและค้นหาได้ง่ายขึ้น
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เปิดหลายแท็บพร้อมกัน เช่น นักวิจัยหรือผู้จัดการโปรเจกต์

    เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยบน Android
    มี screen lock เพื่อป้องกันการเข้าถึงเบราว์เซอร์
    สามารถตั้งค่าให้ล้าง session เมื่อปิดแอป

    ปรับการจัดการ WebAssembly (Wasm)
    การบล็อก Wasm ถูกย้ายไปจัดการผ่าน NoScript เพื่อความยืดหยุ่น
    ช่วยลดความเสี่ยงจากการรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัย

    รองรับ Linux 32-bit และ Android 5.0–7.0 เป็นครั้งสุดท้าย
    Tor Browser 16.0 จะไม่รองรับระบบเหล่านี้อีก
    ผู้ใช้ควรเตรียมอัปเกรดระบบหากต้องการใช้งานต่อในอนาคต

    Tor Browser 16.0 จะไม่รองรับ Linux 32-bit และ Android ต่ำกว่า 8.0
    หากยังใช้ระบบเหล่านี้ จะไม่สามารถอัปเดตได้อีก
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไข

    การใช้ Wasm อาจเปิดช่องให้รันโค้ดอันตรายได้
    ควรใช้ NoScript เพื่อควบคุมการทำงานของ Wasm และ JavaScript
    ผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงควรปิด Wasm โดยสมบูรณ์

    https://9to5linux.com/tor-browser-15-0-anonymous-web-browser-is-out-based-on-firefox-140-esr-series
    🕵️‍♀️🌐 Tor Browser 15.0 เปิดตัวแล้ว! ปรับปรุง UI, เพิ่มความปลอดภัย และเป็นรุ่นสุดท้ายที่รองรับ Linux 32-bit Tor Browser 15.0 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการโดยทีม Tor Project โดยใช้ฐานจาก Firefox 140 ESR พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทั้งในเดสก์ท็อปและ Android — และยังเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่รองรับ Linux 32-bit และ Android รุ่นเก่า. ✅ ใช้ Firefox 140 ESR เป็นฐานหลัก ➡️ ได้รับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น vertical tabs, tab groups, unified search button ✅ ปรับปรุง UI เพื่อการจัดการแท็บที่ดีขึ้น ➡️ แม้แท็บยังเป็นแบบ private แต่สามารถจัดกลุ่มและค้นหาได้ง่ายขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เปิดหลายแท็บพร้อมกัน เช่น นักวิจัยหรือผู้จัดการโปรเจกต์ ✅ เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยบน Android ➡️ มี screen lock เพื่อป้องกันการเข้าถึงเบราว์เซอร์ ➡️ สามารถตั้งค่าให้ล้าง session เมื่อปิดแอป ✅ ปรับการจัดการ WebAssembly (Wasm) ➡️ การบล็อก Wasm ถูกย้ายไปจัดการผ่าน NoScript เพื่อความยืดหยุ่น ➡️ ช่วยลดความเสี่ยงจากการรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัย ✅ รองรับ Linux 32-bit และ Android 5.0–7.0 เป็นครั้งสุดท้าย ➡️ Tor Browser 16.0 จะไม่รองรับระบบเหล่านี้อีก ➡️ ผู้ใช้ควรเตรียมอัปเกรดระบบหากต้องการใช้งานต่อในอนาคต ‼️ Tor Browser 16.0 จะไม่รองรับ Linux 32-bit และ Android ต่ำกว่า 8.0 ⛔ หากยังใช้ระบบเหล่านี้ จะไม่สามารถอัปเดตได้อีก ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ‼️ การใช้ Wasm อาจเปิดช่องให้รันโค้ดอันตรายได้ ⛔ ควรใช้ NoScript เพื่อควบคุมการทำงานของ Wasm และ JavaScript ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงควรปิด Wasm โดยสมบูรณ์ https://9to5linux.com/tor-browser-15-0-anonymous-web-browser-is-out-based-on-firefox-140-esr-series
    9TO5LINUX.COM
    Tor Browser 15.0 Anonymous Web Browser Is Out Based on Firefox 140 ESR Series - 9to5Linux
    Tor Browser 15.0 open-source anonymous web browser is now available for download based on the Mozilla Firefox 140 ESR series.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • บิ๊กโจร หรือโจ๊ก 500 สบจังหวะหาแสง โบ้ยไปทั่ว แท้จริงแล้วมีทั้ง ช.ช้างตัวเดียว และช.ช้าง 2 ตัว เดี๋ยวมันอาจไปเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น สุรเชชชชชษฐ์
    #คิงส์โพธิ์แดง
    บิ๊กโจร หรือโจ๊ก 500 สบจังหวะหาแสง โบ้ยไปทั่ว แท้จริงแล้วมีทั้ง ช.ช้างตัวเดียว และช.ช้าง 2 ตัว เดี๋ยวมันอาจไปเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น สุรเชชชชชษฐ์ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ

    บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น

    ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid
    Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง
    เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส

    F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย
    แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย
    ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ

    การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล
    บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน
    Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU

    Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก
    ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser
    มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading

    F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย
    ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build
    สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build

    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ
    แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility
    ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid

    การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น
    ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์
    อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต

    https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    📲🔓 Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น 📰 ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid ✅ Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง ➡️ เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส ✅ F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย ➡️ แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ ✅ การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล ➡️ บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน ➡️ Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU ✅ Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก ➡️ ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser ➡️ มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading ✅ F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build ➡️ สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build ‼️ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ ⛔ แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility ⛔ ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์ ⛔ อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    F-DROID.ORG
    What We Talk About When We Talk About Sideloading | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    We recently published a blog post with our reaction to the new Google Developer Program and how it impacts your freedom to use the devices that you own in th...
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพฤหัสบดีที่ 30 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 30 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • OpenAI เผย: กว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์พูดคุยกับ ChatGPT เรื่องการฆ่าตัวตาย — สะท้อนบทบาทใหม่ของ AI ในสุขภาพจิต

    บทความจาก TechCrunch รายงานว่า OpenAI เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์พูดคุยกับ ChatGPT เกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายหรือปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ AI ในการเป็น “ที่พึ่งทางอารมณ์” แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยตรง

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ OpenAI

    ChatGPT ถูกใช้เป็นพื้นที่ปลอดภัยในการระบายความรู้สึก
    ผู้ใช้จำนวนมากพูดถึงความเครียด, ความเหงา, ความวิตกกังวล และความคิดฆ่าตัวตาย
    บางคนใช้ ChatGPT เป็น “เพื่อนคุย” หรือ “ที่ปรึกษา” ในยามวิกฤต

    OpenAI ยอมรับว่า AI ไม่สามารถแทนที่นักบำบัดได้
    บริษัทระบุว่า ChatGPT ไม่ใช่เครื่องมือรักษาทางจิตเวช
    แต่สามารถเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่ช่วยให้ผู้ใช้กล้าขอความช่วยเหลือจากมนุษย์

    มีการฝึก AI ให้ตอบสนองอย่างเห็นอกเห็นใจและปลอดภัย
    ChatGPT ได้รับการฝึกให้หลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่อาจเป็นอันตราย
    หากตรวจพบคำพูดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง ระบบจะกระตุ้นให้ผู้ใช้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือสายด่วน

    OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตเพิ่มเติม
    มีการร่วมมือกับองค์กรด้านสุขภาพจิตเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของ AI
    อาจมีการสร้างฟีเจอร์เฉพาะสำหรับการสนับสนุนทางอารมณ์ในอนาคต

    AI ไม่สามารถแทนที่การดูแลจากมนุษย์ได้
    ChatGPT ไม่สามารถวินิจฉัยหรือรักษาโรคทางจิตเวช
    การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจทำให้ปัญหาถูกละเลย

    การพูดคุยกับ AI อาจช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่ใช่การรักษา
    ควรใช้เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ทางออกหลัก
    การพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญยังคงสำคัญที่สุด

    https://techcrunch.com/2025/10/27/openai-says-over-a-million-people-talk-to-chatgpt-about-suicide-weekly/
    🧠💬 OpenAI เผย: กว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์พูดคุยกับ ChatGPT เรื่องการฆ่าตัวตาย — สะท้อนบทบาทใหม่ของ AI ในสุขภาพจิต บทความจาก TechCrunch รายงานว่า OpenAI เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์พูดคุยกับ ChatGPT เกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายหรือปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ AI ในการเป็น “ที่พึ่งทางอารมณ์” แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยตรง ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ OpenAI ✅ ChatGPT ถูกใช้เป็นพื้นที่ปลอดภัยในการระบายความรู้สึก ➡️ ผู้ใช้จำนวนมากพูดถึงความเครียด, ความเหงา, ความวิตกกังวล และความคิดฆ่าตัวตาย ➡️ บางคนใช้ ChatGPT เป็น “เพื่อนคุย” หรือ “ที่ปรึกษา” ในยามวิกฤต ✅ OpenAI ยอมรับว่า AI ไม่สามารถแทนที่นักบำบัดได้ ➡️ บริษัทระบุว่า ChatGPT ไม่ใช่เครื่องมือรักษาทางจิตเวช ➡️ แต่สามารถเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่ช่วยให้ผู้ใช้กล้าขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ ✅ มีการฝึก AI ให้ตอบสนองอย่างเห็นอกเห็นใจและปลอดภัย ➡️ ChatGPT ได้รับการฝึกให้หลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่อาจเป็นอันตราย ➡️ หากตรวจพบคำพูดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง ระบบจะกระตุ้นให้ผู้ใช้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือสายด่วน ✅ OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตเพิ่มเติม ➡️ มีการร่วมมือกับองค์กรด้านสุขภาพจิตเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของ AI ➡️ อาจมีการสร้างฟีเจอร์เฉพาะสำหรับการสนับสนุนทางอารมณ์ในอนาคต ‼️ AI ไม่สามารถแทนที่การดูแลจากมนุษย์ได้ ⛔ ChatGPT ไม่สามารถวินิจฉัยหรือรักษาโรคทางจิตเวช ⛔ การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจทำให้ปัญหาถูกละเลย ‼️ การพูดคุยกับ AI อาจช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่ใช่การรักษา ⛔ ควรใช้เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ทางออกหลัก ⛔ การพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญยังคงสำคัญที่สุด https://techcrunch.com/2025/10/27/openai-says-over-a-million-people-talk-to-chatgpt-about-suicide-weekly/
    TECHCRUNCH.COM
    OpenAI says over a million people talk to ChatGPT about suicide weekly | TechCrunch
    OpenAI released data on just how many of ChatGPT's users are facing mental health challenges, and how it's addressing them.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯเปิดช่องลดภาษี แลก MOU แรร์เอิร์ธ : [NEWS UPDATE]
    นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เผยถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแร่หายากของโลก หรือ แร่แรร์เอิร์ธ(Rare Earth) กับสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์การเจรจาที่ดำเนินการร่วมกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ซึ่งต้องลงรายละเอียดอีกเยอะ แต่เป็นบวกสำหรับประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง MOU ที่จะให้ร่วมลงทุนและศึกษา แต่เปิดโอกาสให้ไทยเจรจาต่อรองเรื่องการค้าต่างตอบแทน ซึ่งสหรัฐฯ เปิดช่องในเอกสารแนบท้าย สามารถให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรอง เพื่อให้สินค้าหรือบริการบางประเภทได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษี 19 % กรอบใหญ่ หรือลดภาษีบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งต้องเจรจาต่อไป


    ตั้ง 3 อนุกก.ปราบสแกมเมอร์

    คำตัดสินศาลโลกปิดปากไทย

    แก๊งคอลสะเทือน

    เริ่มใช้คนละครึ่ง พลัส
    สหรัฐฯเปิดช่องลดภาษี แลก MOU แรร์เอิร์ธ : [NEWS UPDATE] นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เผยถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแร่หายากของโลก หรือ แร่แรร์เอิร์ธ(Rare Earth) กับสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์การเจรจาที่ดำเนินการร่วมกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ซึ่งต้องลงรายละเอียดอีกเยอะ แต่เป็นบวกสำหรับประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง MOU ที่จะให้ร่วมลงทุนและศึกษา แต่เปิดโอกาสให้ไทยเจรจาต่อรองเรื่องการค้าต่างตอบแทน ซึ่งสหรัฐฯ เปิดช่องในเอกสารแนบท้าย สามารถให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรอง เพื่อให้สินค้าหรือบริการบางประเภทได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษี 19 % กรอบใหญ่ หรือลดภาษีบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งต้องเจรจาต่อไป ตั้ง 3 อนุกก.ปราบสแกมเมอร์ คำตัดสินศาลโลกปิดปากไทย แก๊งคอลสะเทือน เริ่มใช้คนละครึ่ง พลัส
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 0 Reviews
  • Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้

    บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น.

    แนวคิดหลักจากบทความ

    Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects
    ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก
    สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้

    Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก
    เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์
    ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง

    ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ
    โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก
    โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails()
    Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...)

    ข้อดีของแนวทางนี้
    ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network
    ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core
    ดูแลรักษาง่าย

    ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ

    ก่อน (ผสม logic กับ side effects):

    function sendUserExpiryEmail() {
    for (const user of db.getUsers()) {
    if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue;
    if (user.isFreeTrial) continue;
    email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + ".");
    }
    }

    หลัง (แยก core และ shell):

    function getExpiredUsers(users, cutoff) {
    return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial);
    }

    function generateExpiryEmails(users) {
    return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]);
    }

    email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now())));

    การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming
    แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure
    ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก
    ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell
    ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network

    https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    🧼🧠 Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้ บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น. ✅ แนวคิดหลักจากบทความ ✅ Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects ➡️ ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก ➡️ สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ✅ Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก ➡️ เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์ ➡️ ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง ✅ ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ ➡️ โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก ➡️ โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails() ➡️ Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...) ✅ ข้อดีของแนวทางนี้ ➡️ ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network ➡️ ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core ➡️ ดูแลรักษาง่าย 🛠️ ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ 🔖 ก่อน (ผสม logic กับ side effects): function sendUserExpiryEmail() { for (const user of db.getUsers()) { if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue; if (user.isFreeTrial) continue; email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + "."); } } 🔖 หลัง (แยก core และ shell): function getExpiredUsers(users, cutoff) { return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial); } function generateExpiryEmails(users) { return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]); } email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now()))); การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว ✅ สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming ➡️ แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure ➡️ ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก ➡️ ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell ➡️ ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    TESTING.GOOGLEBLOG.COM
    Simplify Your Code: Functional Core, Imperative Shell
    This article was adapted from a Google Tech on the Toilet (TotT) episode. You can download a printer-friendly version of this TotT epis...
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews