• รอมฎอน ปันจอร์ สส.พรรคส้ม ออกหน้าปกป้องพี่เขย ซึ่งเป็นคนที่นำกลุ่มวัยรุ่นบุกคุกคามข่มขู่เจ้าหน้าที่ ให้มอบศพผู้ก่อการ BRN นี่แม่งแนบสนิทชิดใกล้กับโจรใต้แบบนี้ ประชาธิปไตยที่มึงเรียกร้องคงมีเบื้องหลังคือการแบ่งแยกดินแดนชัวร์
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #รอมฎอนพรรคส้ม
    รอมฎอน ปันจอร์ สส.พรรคส้ม ออกหน้าปกป้องพี่เขย ซึ่งเป็นคนที่นำกลุ่มวัยรุ่นบุกคุกคามข่มขู่เจ้าหน้าที่ ให้มอบศพผู้ก่อการ BRN นี่แม่งแนบสนิทชิดใกล้กับโจรใต้แบบนี้ ประชาธิปไตยที่มึงเรียกร้องคงมีเบื้องหลังคือการแบ่งแยกดินแดนชัวร์ #คิงส์โพธิ์แดง #รอมฎอนพรรคส้ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า

    ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก

    แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ

    Nano Banana สามารถ:
    สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล
    รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด”

    YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน

    ข้อมูลในข่าว
    Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ
    เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025
    รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง
    รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ”
    YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด
    Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic
    ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android
    รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt

    https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    🍌 “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ Nano Banana สามารถ: 🖼️ สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ 🖼️ แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน 🖼️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล 🖼️ รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ ➡️ เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ ➡️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง ➡️ รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ ➡️ สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ” ➡️ YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ➡️ ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด ➡️ Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic ➡️ ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android ➡️ รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gemini Just Dethroned ChatGPT Thanks To This New Fan-Favorite Feature - SlashGear
    Google Gemini recently released its new image generating tool, Nano Banana. Reviewers are saying it produces far more realistic images than ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 วิธีแปลงเคสคอมเก่าให้กลายเป็นของใช้สุดเจ๋ง” — จากสวนพกพาไปจนถึงเตาย่างบาร์บีคิว

    หากคุณมีเคสคอมพิวเตอร์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าเพิ่งรีบเอาไปทิ้ง! บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 วิธีสุดสร้างสรรค์ในการนำเคสเก่ากลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรืออุปกรณ์ใช้งานจริง โดยอาศัยความแข็งแรงของโครงสร้างเหล็กและพื้นที่ภายในที่ดัดแปลงได้หลากหลาย

    ไอเดียแปลงเคสคอมเก่า
    1. สวนพกพา (Portable Garden)
       - ติดตั้งหลอดไฟปลูกต้นไม้และพัดลมระบายอากาศ
      - ใช้ Mylar สะท้อนแสงภายใน และวางกระถางต้นไม้ขนาดเล็ก
      - เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้

    2. ตู้จดหมายแนวไอที (Novelty Mailbox)
      - ถอดชิ้นส่วนภายใน ติดตั้งฐานรอง และเจาะช่องรับจดหมาย
      - ถ้าเคสมีช่อง CD-ROM เดิม ก็ใช้เป็นช่องรับจดหมายได้เลย
      - สร้างความโดดเด่นให้หน้าบ้านแบบ geek ๆ

    3. ชั้นวางของติดผนัง (Stackable Shelving)
      - ถอดแผงด้านข้างและยึดเคสเข้ากับผนัง
      - วางซ้อนกันหลายเคสเพื่อสร้างชั้นวางแบบโมดูลาร์
      - ใช้เก็บหนังสือ ของตกแต่ง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    4. กล่องเก็บเครื่องมือ (Tool Storage)
      - ใช้พื้นที่ภายในติดกล่องเก็บของขนาดเล็ก
      - ดัดแปลงให้มีลิ้นชักเลื่อนออกด้านหลัง
      - ติดสายสะพายเพื่อพกพาไปใช้งานนอกสถานที่

    5. เตาย่างบาร์บีคิว (Portable BBQ Grill)
      - วางถ่านในแนวนอน ติดตั้งตะแกรงย่างด้านบน
      - ใช้พัดลมของเคสควบคุมอุณหภูมิ
      - เหมาะกับการตั้งบนโต๊ะที่รองด้วยฟอยล์กันความร้อน

    https://www.slashgear.com/1999044/5-unexpected-uses-old-pc-towers/
    🖥️ “5 วิธีแปลงเคสคอมเก่าให้กลายเป็นของใช้สุดเจ๋ง” — จากสวนพกพาไปจนถึงเตาย่างบาร์บีคิว หากคุณมีเคสคอมพิวเตอร์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าเพิ่งรีบเอาไปทิ้ง! บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 วิธีสุดสร้างสรรค์ในการนำเคสเก่ากลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรืออุปกรณ์ใช้งานจริง โดยอาศัยความแข็งแรงของโครงสร้างเหล็กและพื้นที่ภายในที่ดัดแปลงได้หลากหลาย ✅ ไอเดียแปลงเคสคอมเก่า ➡️ 1. สวนพกพา (Portable Garden)    - ติดตั้งหลอดไฟปลูกต้นไม้และพัดลมระบายอากาศ   - ใช้ Mylar สะท้อนแสงภายใน และวางกระถางต้นไม้ขนาดเล็ก   - เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ ➡️ 2. ตู้จดหมายแนวไอที (Novelty Mailbox)   - ถอดชิ้นส่วนภายใน ติดตั้งฐานรอง และเจาะช่องรับจดหมาย   - ถ้าเคสมีช่อง CD-ROM เดิม ก็ใช้เป็นช่องรับจดหมายได้เลย   - สร้างความโดดเด่นให้หน้าบ้านแบบ geek ๆ ➡️ 3. ชั้นวางของติดผนัง (Stackable Shelving)   - ถอดแผงด้านข้างและยึดเคสเข้ากับผนัง   - วางซ้อนกันหลายเคสเพื่อสร้างชั้นวางแบบโมดูลาร์   - ใช้เก็บหนังสือ ของตกแต่ง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ 4. กล่องเก็บเครื่องมือ (Tool Storage)   - ใช้พื้นที่ภายในติดกล่องเก็บของขนาดเล็ก   - ดัดแปลงให้มีลิ้นชักเลื่อนออกด้านหลัง   - ติดสายสะพายเพื่อพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ➡️ 5. เตาย่างบาร์บีคิว (Portable BBQ Grill)   - วางถ่านในแนวนอน ติดตั้งตะแกรงย่างด้านบน   - ใช้พัดลมของเคสควบคุมอุณหภูมิ   - เหมาะกับการตั้งบนโต๊ะที่รองด้วยฟอยล์กันความร้อน https://www.slashgear.com/1999044/5-unexpected-uses-old-pc-towers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Unexpected Uses For Old PC Towers - SlashGear
    Many of us have old computer parts lying around, but what are you supposed to do with old PC towers? Use your creativity, and repurpose them in unexpected ways.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หลอกลวงใหม่ใช้โลโก้ Microsoft ล็อกเบราว์เซอร์เพื่อขโมยข้อมูล” — เทคนิคใหม่ของ scammer ที่สร้างสถานการณ์ปลอมให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก

    รายงานจาก Cofense Phishing Defense Centre เผยการโจมตีแบบใหม่ที่ใช้แบรนด์ Microsoft เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้โทรหาเบอร์สนับสนุนปลอม โดยเริ่มจากอีเมลที่เสนอ “เงินคืน” จากบริษัทปลอม เช่น Syria Rent a Car เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกลิงก์

    เมื่อคลิกแล้ว ผู้ใช้จะถูกนำไปยัง CAPTCHA ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลบเลี่ยงระบบตรวจจับอัตโนมัติ หลังจากผ่าน CAPTCHA จะเข้าสู่หน้าเว็บที่แสดง popup ปลอมว่าเครื่องติดไวรัส พร้อมข้อความเตือนจาก “Microsoft” และเบอร์โทรปลอม

    เบราว์เซอร์จะถูกทำให้ดูเหมือน “ล็อก” โดยผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมเมาส์ได้ สร้างความตื่นตระหนกและทำให้ผู้ใช้โทรหาเบอร์ที่แสดง ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ “ช่างเทคนิคปลอม” ที่พยายามขโมยข้อมูลบัญชี หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อเข้าถึงเครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเบราว์เซอร์ไม่ได้ถูกล็อกจริง และสามารถกด ESC เพื่อออกจากสถานการณ์ได้

    ข้อมูลในข่าว
    การโจมตีเริ่มจากอีเมลหลอกลวงที่เสนอเงินคืนจากบริษัทปลอม
    ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่ CAPTCHA ปลอมเพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ
    หน้าเว็บสุดท้ายแสดง popup ปลอมว่าเครื่องติดไวรัส
    ใช้โลโก้ Microsoft และข้อความปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    เบราว์เซอร์ถูกทำให้ดูเหมือนล็อก และเมาส์ไม่ตอบสนอง
    ผู้ใช้ถูกหลอกให้โทรหาเบอร์ปลอมที่แสดงบนหน้าจอ
    “ช่างเทคนิคปลอม” พยายามขโมยข้อมูลหรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล
    เบราว์เซอร์ไม่ได้ถูกล็อกจริง และสามารถกด ESC เพื่อออกจากสถานการณ์
    เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลและเข้าถึงระบบของผู้ใช้
    Cofense เตือนว่าเป็นการใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง

    https://hackread.com/tech-support-scam-microsoft-logo-browser-lock-data/
    🔒 “หลอกลวงใหม่ใช้โลโก้ Microsoft ล็อกเบราว์เซอร์เพื่อขโมยข้อมูล” — เทคนิคใหม่ของ scammer ที่สร้างสถานการณ์ปลอมให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก รายงานจาก Cofense Phishing Defense Centre เผยการโจมตีแบบใหม่ที่ใช้แบรนด์ Microsoft เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้โทรหาเบอร์สนับสนุนปลอม โดยเริ่มจากอีเมลที่เสนอ “เงินคืน” จากบริษัทปลอม เช่น Syria Rent a Car เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ เมื่อคลิกแล้ว ผู้ใช้จะถูกนำไปยัง CAPTCHA ปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลบเลี่ยงระบบตรวจจับอัตโนมัติ หลังจากผ่าน CAPTCHA จะเข้าสู่หน้าเว็บที่แสดง popup ปลอมว่าเครื่องติดไวรัส พร้อมข้อความเตือนจาก “Microsoft” และเบอร์โทรปลอม เบราว์เซอร์จะถูกทำให้ดูเหมือน “ล็อก” โดยผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมเมาส์ได้ สร้างความตื่นตระหนกและทำให้ผู้ใช้โทรหาเบอร์ที่แสดง ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ “ช่างเทคนิคปลอม” ที่พยายามขโมยข้อมูลบัญชี หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อเข้าถึงเครื่อง ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเบราว์เซอร์ไม่ได้ถูกล็อกจริง และสามารถกด ESC เพื่อออกจากสถานการณ์ได้ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การโจมตีเริ่มจากอีเมลหลอกลวงที่เสนอเงินคืนจากบริษัทปลอม ➡️ ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่ CAPTCHA ปลอมเพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ ➡️ หน้าเว็บสุดท้ายแสดง popup ปลอมว่าเครื่องติดไวรัส ➡️ ใช้โลโก้ Microsoft และข้อความปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ เบราว์เซอร์ถูกทำให้ดูเหมือนล็อก และเมาส์ไม่ตอบสนอง ➡️ ผู้ใช้ถูกหลอกให้โทรหาเบอร์ปลอมที่แสดงบนหน้าจอ ➡️ “ช่างเทคนิคปลอม” พยายามขโมยข้อมูลหรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล ➡️ เบราว์เซอร์ไม่ได้ถูกล็อกจริง และสามารถกด ESC เพื่อออกจากสถานการณ์ ➡️ เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลและเข้าถึงระบบของผู้ใช้ ➡️ Cofense เตือนว่าเป็นการใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง https://hackread.com/tech-support-scam-microsoft-logo-browser-lock-data/
    HACKREAD.COM
    New Tech Support Scam Uses Microsoft Logo to Fake Browser Lock, Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำได้ไหม เปิดตัวพรรคประชาชน คุยโวโอ้อวดยอดเงินบริจาคทะลุ 25 ล้าน แต่กลับแจ้ง กกต.ว่าได้รับบริจาค 9ล้าน7แสน เงินบริจาคหายไปไหน 15 ล้านว่ะ เข้ากระเป๋าหรือลงขวดลงพอด ทำเชี้ยเอาไว้แต่เสืออยากตราหน้าคนอื่น อยากตรวจสอบคนอื่น เหมือนที่แม่งูอ้างประชาธิปไตยแต่ในพรรคยังเหลื่อมล้ำ เล่นพรรคเล่นพวก เรียกร้องความเท่าเทียมแต่ในพรรคไม่เทียมเท่า ต่อต้านคุกคามแต่พวกมันแหละตัวพ่อคุกคาม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #กันจอมพลัง
    จำได้ไหม เปิดตัวพรรคประชาชน คุยโวโอ้อวดยอดเงินบริจาคทะลุ 25 ล้าน แต่กลับแจ้ง กกต.ว่าได้รับบริจาค 9ล้าน7แสน เงินบริจาคหายไปไหน 15 ล้านว่ะ เข้ากระเป๋าหรือลงขวดลงพอด ทำเชี้ยเอาไว้แต่เสืออยากตราหน้าคนอื่น อยากตรวจสอบคนอื่น เหมือนที่แม่งูอ้างประชาธิปไตยแต่ในพรรคยังเหลื่อมล้ำ เล่นพรรคเล่นพวก เรียกร้องความเท่าเทียมแต่ในพรรคไม่เทียมเท่า ต่อต้านคุกคามแต่พวกมันแหละตัวพ่อคุกคาม #คิงส์โพธิ์แดง #กันจอมพลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ คนหลงดีใจ ว่าการรถไฟฟ้องซ้อต่ายรุกเขากระโดง แต่พอเปิดคำฟ้อง กลับพบว่า เรียกชดใช้ค่าเช่าเพียง 1 ปีย้อนหลัง ทั้งๆ ที่บุกรุกครอบครองมา 28 ปี พื้นที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา คิดเป็น 59,860 ตารางเมตร คิดเป็นเงินค่าใช้ประโยชน์ปีละ 2,394,400 บาท หรือเดือนละ 199,534 บาท ที่เหลืออีก 27 ปี เป็นเงินกว่า 646 ล้านบาทกลับไม่เรียกให้ชดใช้ หรือแอบตกลงกันจ่ายนอกรอบ เข้ากระเป๋าใคร
    #7ดอกจิก
    ♣ คนหลงดีใจ ว่าการรถไฟฟ้องซ้อต่ายรุกเขากระโดง แต่พอเปิดคำฟ้อง กลับพบว่า เรียกชดใช้ค่าเช่าเพียง 1 ปีย้อนหลัง ทั้งๆ ที่บุกรุกครอบครองมา 28 ปี พื้นที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา คิดเป็น 59,860 ตารางเมตร คิดเป็นเงินค่าใช้ประโยชน์ปีละ 2,394,400 บาท หรือเดือนละ 199,534 บาท ที่เหลืออีก 27 ปี เป็นเงินกว่า 646 ล้านบาทกลับไม่เรียกให้ชดใช้ หรือแอบตกลงกันจ่ายนอกรอบ เข้ากระเป๋าใคร #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกเนวินโอด! ทำอะไรก็โดน ย้ำเดินหน้าปราบสแกมเมอร์ไม่หยุด พร้อมศึกษา กม.ใหม่ “Active Cyber Defence” แฮกกลับได้แบบญี่ปุ่น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099146

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ลูกเนวินโอด! ทำอะไรก็โดน ย้ำเดินหน้าปราบสแกมเมอร์ไม่หยุด พร้อมศึกษา กม.ใหม่ “Active Cyber Defence” แฮกกลับได้แบบญี่ปุ่น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099146 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฝึกพนักงานให้รู้ทันฟิชชิ่ง — ทำไมการเทรนแบบเดิมถึงยังล้มเหลว?” — เจาะลึกงานวิจัยใหม่ที่ชี้ว่า phishing training แบบเดิมไม่ได้ผล และแนวทางใหม่ที่องค์กรควรพิจารณา

    แม้หลายองค์กรจะลงทุนใน phishing training เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่หวัง งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและ UC San Diego พบว่า training แบบเดิม เช่น annual training และ embedded training ไม่ได้ช่วยลดอัตราการคลิกลิงก์ฟิชชิ่งอย่างมีนัยสำคัญ

    ปัญหาหลักคือพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ไม่เปลี่ยน แม้จะรู้ว่าฟิชชิ่งอันตราย แต่เมื่อเจออีเมลจริงในช่วงงานยุ่ง ก็ยังคลิกโดยไม่คิด การฝึกแบบ “เช็คกล่อง” ไม่ช่วยให้เกิดพฤติกรรมอัตโนมัติที่ปลอดภัย

    ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางใหม่ เช่น:
    ใช้ gamification เพื่อเพิ่ม engagement
    ให้รางวัลเล็ก ๆ เช่น gift card หรือกิจกรรมสนุก
    สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย
    ฝึกให้ผู้ใช้มี “go-to action” เมื่อเจออีเมลน่าสงสัย เช่น รายงานผ่าน hotline
    วิเคราะห์พฤติกรรมตามอุปกรณ์ เช่น ผู้ใช้ PC มีแนวโน้มคลิกมากกว่าผู้ใช้มือถือ

    ข้อมูลในข่าว
    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและ UC San Diego วิเคราะห์พฤติกรรมพนักงานกว่า 20,000 คน
    พบว่า annual training และ embedded training ไม่ช่วยลดอัตราการคลิกลิงก์ฟิชชิ่ง
    ผู้ใช้มักไม่ engage กับ training และมี retention ต่ำ
    พฤติกรรมผู้ใช้ไม่เปลี่ยน แม้จะรู้ว่าฟิชชิ่งอันตราย
    ผู้ใช้ PC มีแนวโน้มคลิกลิงก์ฟิชชิ่งมากกว่าผู้ใช้มือถือ
    การฝึกแบบเดิมเป็น “เช็คกล่อง” ไม่สร้างพฤติกรรมอัตโนมัติ
    ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ใช้ gamification และ incentive เพื่อเพิ่ม engagement
    ควรมี “go-to action” ที่ชัดเจน เช่น hotline หรือปุ่มรายงาน
    วัฒนธรรมองค์กรต้องสนับสนุนความปลอดภัย ไม่ใช่แค่การเทรน
    การวัดผลควรดูจากอัตราการคลิกจริงและการรายงาน ไม่ใช่แค่ completion rate

    https://www.csoonline.com/article/4071289/what-to-consider-to-make-your-enterprise-phishing-training-effective.html
    🎯 “ฝึกพนักงานให้รู้ทันฟิชชิ่ง — ทำไมการเทรนแบบเดิมถึงยังล้มเหลว?” — เจาะลึกงานวิจัยใหม่ที่ชี้ว่า phishing training แบบเดิมไม่ได้ผล และแนวทางใหม่ที่องค์กรควรพิจารณา แม้หลายองค์กรจะลงทุนใน phishing training เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่หวัง งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและ UC San Diego พบว่า training แบบเดิม เช่น annual training และ embedded training ไม่ได้ช่วยลดอัตราการคลิกลิงก์ฟิชชิ่งอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหลักคือพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ไม่เปลี่ยน แม้จะรู้ว่าฟิชชิ่งอันตราย แต่เมื่อเจออีเมลจริงในช่วงงานยุ่ง ก็ยังคลิกโดยไม่คิด การฝึกแบบ “เช็คกล่อง” ไม่ช่วยให้เกิดพฤติกรรมอัตโนมัติที่ปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางใหม่ เช่น: 📍 ใช้ gamification เพื่อเพิ่ม engagement 📍 ให้รางวัลเล็ก ๆ เช่น gift card หรือกิจกรรมสนุก 📍 สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย 📍 ฝึกให้ผู้ใช้มี “go-to action” เมื่อเจออีเมลน่าสงสัย เช่น รายงานผ่าน hotline 📍 วิเคราะห์พฤติกรรมตามอุปกรณ์ เช่น ผู้ใช้ PC มีแนวโน้มคลิกมากกว่าผู้ใช้มือถือ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและ UC San Diego วิเคราะห์พฤติกรรมพนักงานกว่า 20,000 คน ➡️ พบว่า annual training และ embedded training ไม่ช่วยลดอัตราการคลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ➡️ ผู้ใช้มักไม่ engage กับ training และมี retention ต่ำ ➡️ พฤติกรรมผู้ใช้ไม่เปลี่ยน แม้จะรู้ว่าฟิชชิ่งอันตราย ➡️ ผู้ใช้ PC มีแนวโน้มคลิกลิงก์ฟิชชิ่งมากกว่าผู้ใช้มือถือ ➡️ การฝึกแบบเดิมเป็น “เช็คกล่อง” ไม่สร้างพฤติกรรมอัตโนมัติ ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ใช้ gamification และ incentive เพื่อเพิ่ม engagement ➡️ ควรมี “go-to action” ที่ชัดเจน เช่น hotline หรือปุ่มรายงาน ➡️ วัฒนธรรมองค์กรต้องสนับสนุนความปลอดภัย ไม่ใช่แค่การเทรน ➡️ การวัดผลควรดูจากอัตราการคลิกจริงและการรายงาน ไม่ใช่แค่ completion rate https://www.csoonline.com/article/4071289/what-to-consider-to-make-your-enterprise-phishing-training-effective.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Phishing training needs a new hook — here’s how to rethink your approach
    Phishing training exercises are a staple of enterprise security strategy, but research shows current approaches aren’t all that effective.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ปลอมเสียงศิลปินดังในคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk” — เมื่อ YouTube กลายเป็นเวทีของบทเพลงที่ไม่มีใครร้องจริง

    ผู้ใช้ YouTube หลายคนตกใจเมื่อพบคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่ถูกลอบสังหาร โดยมีเสียงร้องจากศิลปินดังอย่าง Adele, Ed Sheeran และ Justin Bieber — แต่ทั้งหมดเป็นเสียงที่สร้างจาก AI โดยไม่มีการร้องจริงหรือรับรู้จากเจ้าตัว

    คลิปเหล่านี้ใช้ภาพประกอบที่ดูสมจริง เช่น thumbnails ที่ศิลปินร้องไห้ พร้อมเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นจาก prompt เช่น “The angels sing your name” หรือ “Your story’s written in the stars” ซึ่งสร้างความซาบซึ้งให้ผู้ชมจำนวนมาก แม้เสียงจะไม่เหมือนต้นฉบับก็ตาม

    AI music generators อย่าง Suno สามารถสร้างเพลงจากข้อความง่าย ๆ เช่น “ทำเพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” หรือ “เพลงแนว house เกี่ยวกับลาออกจากงาน” และเมื่อสื่อ AFP ทดสอบด้วย prompt ไว้อาลัยนักเคลื่อนไหว ก็ได้เพลงชื่อ “Star Gone Too Soon” และ “Echoes of a Flame” ภายในไม่กี่วินาที

    แม้ YouTube จะมีนโยบายให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องเปิดเผยว่าใช้ AI แต่หลายคลิปกลับซ่อนข้อมูลไว้ในคำอธิบายที่ต้องคลิกขยายถึงจะเห็น

    นักวิจารณ์เช่น Alex Mahadevan จาก Poynter เตือนว่า “อินเทอร์เน็ตที่เคยเต็มไปด้วยคนสร้างสรรค์กำลังถูกแทนที่ด้วย AI slop ที่สร้างเพื่อเงิน” และ Lucas Hansen จาก CivAI เสริมว่า “การลอกเลียนเสียงและภาพควรได้รับการคุ้มครอง แม้จะเป็นคนที่เสียชีวิตแล้วก็ตาม”

    ข้อมูลในข่าว
    คลิปไว้อาลัย Charlie Kirk ใช้เสียง AI ปลอมเป็นศิลปินดัง
    มี thumbnails ปลอม เช่นภาพศิลปินร้องไห้
    เนื้อเพลงสร้างจาก prompt เช่น “Your story’s written in the stars”
    AI music generators อย่าง Suno สร้างเพลงจากข้อความได้ภายในวินาที
    YouTube มีนโยบายให้เปิดเผยการใช้ AI แต่หลายคลิปซ่อนข้อมูลไว้
    คลิปเหล่านี้มีผู้ชมหลายล้านและคอมเมนต์ขอบคุณศิลปินที่ไม่ได้ร้องจริง
    Alex Mahadevan เตือนว่าอินเทอร์เน็ตกำลังถูกแทนที่ด้วย “AI slop”
    Lucas Hansen เสนอให้คุ้มครองเสียงและภาพของบุคคล แม้จะเสียชีวิตแล้ว
    The Velvet Sundown วง AI บน Spotify มีผู้ฟังเกิน 200,000 คน
    Suno เสนอ prompt เช่น “เพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/youtube-users-trip-over-fake-ai-tributes-to-charlie-kirk
    🎤 “AI ปลอมเสียงศิลปินดังในคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk” — เมื่อ YouTube กลายเป็นเวทีของบทเพลงที่ไม่มีใครร้องจริง ผู้ใช้ YouTube หลายคนตกใจเมื่อพบคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่ถูกลอบสังหาร โดยมีเสียงร้องจากศิลปินดังอย่าง Adele, Ed Sheeran และ Justin Bieber — แต่ทั้งหมดเป็นเสียงที่สร้างจาก AI โดยไม่มีการร้องจริงหรือรับรู้จากเจ้าตัว คลิปเหล่านี้ใช้ภาพประกอบที่ดูสมจริง เช่น thumbnails ที่ศิลปินร้องไห้ พร้อมเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นจาก prompt เช่น “The angels sing your name” หรือ “Your story’s written in the stars” ซึ่งสร้างความซาบซึ้งให้ผู้ชมจำนวนมาก แม้เสียงจะไม่เหมือนต้นฉบับก็ตาม AI music generators อย่าง Suno สามารถสร้างเพลงจากข้อความง่าย ๆ เช่น “ทำเพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” หรือ “เพลงแนว house เกี่ยวกับลาออกจากงาน” และเมื่อสื่อ AFP ทดสอบด้วย prompt ไว้อาลัยนักเคลื่อนไหว ก็ได้เพลงชื่อ “Star Gone Too Soon” และ “Echoes of a Flame” ภายในไม่กี่วินาที แม้ YouTube จะมีนโยบายให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องเปิดเผยว่าใช้ AI แต่หลายคลิปกลับซ่อนข้อมูลไว้ในคำอธิบายที่ต้องคลิกขยายถึงจะเห็น นักวิจารณ์เช่น Alex Mahadevan จาก Poynter เตือนว่า “อินเทอร์เน็ตที่เคยเต็มไปด้วยคนสร้างสรรค์กำลังถูกแทนที่ด้วย AI slop ที่สร้างเพื่อเงิน” และ Lucas Hansen จาก CivAI เสริมว่า “การลอกเลียนเสียงและภาพควรได้รับการคุ้มครอง แม้จะเป็นคนที่เสียชีวิตแล้วก็ตาม” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ คลิปไว้อาลัย Charlie Kirk ใช้เสียง AI ปลอมเป็นศิลปินดัง ➡️ มี thumbnails ปลอม เช่นภาพศิลปินร้องไห้ ➡️ เนื้อเพลงสร้างจาก prompt เช่น “Your story’s written in the stars” ➡️ AI music generators อย่าง Suno สร้างเพลงจากข้อความได้ภายในวินาที ➡️ YouTube มีนโยบายให้เปิดเผยการใช้ AI แต่หลายคลิปซ่อนข้อมูลไว้ ➡️ คลิปเหล่านี้มีผู้ชมหลายล้านและคอมเมนต์ขอบคุณศิลปินที่ไม่ได้ร้องจริง ➡️ Alex Mahadevan เตือนว่าอินเทอร์เน็ตกำลังถูกแทนที่ด้วย “AI slop” ➡️ Lucas Hansen เสนอให้คุ้มครองเสียงและภาพของบุคคล แม้จะเสียชีวิตแล้ว ➡️ The Velvet Sundown วง AI บน Spotify มีผู้ฟังเกิน 200,000 คน ➡️ Suno เสนอ prompt เช่น “เพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/youtube-users-trip-over-fake-ai-tributes-to-charlie-kirk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    YouTube users trip over fake AI tributes to Charlie Kirk
    Rapidly evolving artificial intelligence tools can now create songs from simple text prompts, mimicking the voices of celebrity artists to produce tributes or entire performances on demand, often without their knowledge or consent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sora และยุคใหม่ของวิดีโอปลอม” — เมื่อ AI ทำให้ภาพเคลื่อนไหวไม่ใช่หลักฐานอีกต่อไป

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่าเทคโนโลยี AI video generators อย่าง Sora จาก OpenAI ได้พัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างวิดีโอสมจริงจากข้อความสั้น ๆ ได้ภายในไม่กี่วินาที เช่น “ภาพจากกล้องตำรวจจับสุนัขขโมยเนื้อที่ Costco” หรือ “แรคคูนบนเครื่องบิน” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคลิปจริงแต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI

    แม้จะมีคลิปที่สร้างเพื่อความบันเทิง แต่ก็มีผู้ใช้บางกลุ่มนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น สร้างภาพเหตุการณ์อาชญากรรมปลอม หรือข่าวปลอมที่ดูเหมือนออกจากสถานีโทรทัศน์จริง ๆ ซึ่งสร้างความกังวลในวงกว้าง

    ผู้เชี่ยวชาญจาก UC Berkeley เตือนว่า “สมองของเราถูกฝึกให้เชื่อสิ่งที่เห็น แต่เราต้องเริ่มตั้งคำถามกับทุกวิดีโอ” เพราะวิดีโอเคยเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้เมื่อภาพนิ่งถูกปลอมได้ง่าย แต่ตอนนี้ AI ทำให้วิดีโอปลอมได้ไม่แพ้กัน

    Sora ยังถูกวิจารณ์จากวงการภาพยนตร์ว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ของตัวละครและเนื้อหาที่มีอยู่ โดย OpenAI ระบุว่าจะเปิดให้เจ้าของลิขสิทธิ์ควบคุมการใช้งานและหารายได้จากระบบนี้ในอนาคต

    ข้อมูลในข่าว
    Sora เป็นแอปจาก OpenAI ที่สร้างวิดีโอสมจริงจากข้อความ
    ตัวอย่าง prompt เช่น “กล้องตำรวจจับสุนัขขโมยเนื้อ” หรือ “แรคคูนบนเครื่องบิน”
    ผู้ใช้บางคนสร้างคลิปปลอม เช่น dashcam อุบัติเหตุ หรือข่าวปลอม
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ตั้งคำถามกับวิดีโอทุกคลิป
    วิดีโอเคยเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ แต่ AI ทำให้ปลอมได้ง่าย
    Sora ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และตัวละคร
    OpenAI ระบุว่าจะให้เจ้าของลิขสิทธิ์ควบคุมการใช้งานในอนาคต
    Sora มี watermark และ metadata ฝังในไฟล์เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอ AI
    แอป Sora เป็นแบบเชิญเท่านั้น แต่มีการแจก invite code บน Reddit และ Discord
    ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพจริงเพื่อสร้างวิดีโอจากภาพนั้นได้
    วิดีโอจาก Sora มีความยาวประมาณ 10 วินาที และมีคุณภาพใกล้ระดับ Hollywood

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/ai-video-generators-are-now-so-good-you-can-no-longer-trust-your-eyes
    🎥 “Sora และยุคใหม่ของวิดีโอปลอม” — เมื่อ AI ทำให้ภาพเคลื่อนไหวไม่ใช่หลักฐานอีกต่อไป บทความจาก The Star เปิดเผยว่าเทคโนโลยี AI video generators อย่าง Sora จาก OpenAI ได้พัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างวิดีโอสมจริงจากข้อความสั้น ๆ ได้ภายในไม่กี่วินาที เช่น “ภาพจากกล้องตำรวจจับสุนัขขโมยเนื้อที่ Costco” หรือ “แรคคูนบนเครื่องบิน” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคลิปจริงแต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI แม้จะมีคลิปที่สร้างเพื่อความบันเทิง แต่ก็มีผู้ใช้บางกลุ่มนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น สร้างภาพเหตุการณ์อาชญากรรมปลอม หรือข่าวปลอมที่ดูเหมือนออกจากสถานีโทรทัศน์จริง ๆ ซึ่งสร้างความกังวลในวงกว้าง ผู้เชี่ยวชาญจาก UC Berkeley เตือนว่า “สมองของเราถูกฝึกให้เชื่อสิ่งที่เห็น แต่เราต้องเริ่มตั้งคำถามกับทุกวิดีโอ” เพราะวิดีโอเคยเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้เมื่อภาพนิ่งถูกปลอมได้ง่าย แต่ตอนนี้ AI ทำให้วิดีโอปลอมได้ไม่แพ้กัน Sora ยังถูกวิจารณ์จากวงการภาพยนตร์ว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ของตัวละครและเนื้อหาที่มีอยู่ โดย OpenAI ระบุว่าจะเปิดให้เจ้าของลิขสิทธิ์ควบคุมการใช้งานและหารายได้จากระบบนี้ในอนาคต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Sora เป็นแอปจาก OpenAI ที่สร้างวิดีโอสมจริงจากข้อความ ➡️ ตัวอย่าง prompt เช่น “กล้องตำรวจจับสุนัขขโมยเนื้อ” หรือ “แรคคูนบนเครื่องบิน” ➡️ ผู้ใช้บางคนสร้างคลิปปลอม เช่น dashcam อุบัติเหตุ หรือข่าวปลอม ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ตั้งคำถามกับวิดีโอทุกคลิป ➡️ วิดีโอเคยเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ แต่ AI ทำให้ปลอมได้ง่าย ➡️ Sora ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และตัวละคร ➡️ OpenAI ระบุว่าจะให้เจ้าของลิขสิทธิ์ควบคุมการใช้งานในอนาคต ➡️ Sora มี watermark และ metadata ฝังในไฟล์เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอ AI ➡️ แอป Sora เป็นแบบเชิญเท่านั้น แต่มีการแจก invite code บน Reddit และ Discord ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพจริงเพื่อสร้างวิดีโอจากภาพนั้นได้ ➡️ วิดีโอจาก Sora มีความยาวประมาณ 10 วินาที และมีคุณภาพใกล้ระดับ Hollywood https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/ai-video-generators-are-now-so-good-you-can-no-longer-trust-your-eyes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI video generators are now so good you can no longer trust your eyes
    The arrival of Sora, along with similar AI-powered video generators released by Meta and Google this year, has major implications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • สคบ.เตือนแรง! แม่ค้า-อินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ อวดยอดขายเสี่ยงผิดกฎหมาย รายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องขึ้นทะเบียนขายตรง มิฉะนั้นมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099148

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สคบ.เตือนแรง! แม่ค้า-อินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ อวดยอดขายเสี่ยงผิดกฎหมาย รายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องขึ้นทะเบียนขายตรง มิฉะนั้นมีโทษทั้งจำทั้งปรับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099148 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DDR5 ทะลุ 13,000 MT/s ครั้งแรก!” — Corsair Vengeance และ GIGABYTE Z890 สร้างสถิติใหม่ในโลกการโอเวอร์คล็อก

    ในโลกของการโอเวอร์คล็อก หนึ่งในเป้าหมายที่นักเล่นระดับสูงไล่ล่ามานานคือการทำให้ DDR5 ทะลุความเร็ว 13,000 MT/s และล่าสุดก็มีคนทำสำเร็จแล้ว! นักโอเวอร์คล็อกชาวเยอรมันชื่อ “sergmann” ได้สร้างสถิติใหม่ด้วย Corsair Vengeance DDR5 บนเมนบอร์ด GIGABYTE Z890 Aorus Tachyon ICE โดยจับคู่กับซีพียู Intel Core Ultra 9 285K และใช้ไนโตรเจนเหลวในการระบายความร้อน

    ก่อนหน้านี้ “saltycroissant” เคยทำสถิติไว้ที่ 12,920 MT/s และเกือบจะทะลุ 13,000 MT/s แต่ sergmann แซงหน้าไปด้วยความเร็ว 13,010 MT/s ซึ่งได้รับการยืนยันจาก HWBot และ CPU-Z

    แม้ความเร็วจะสูงมาก แต่ latency ก็สูงเช่นกัน (CL68-127-127-127-2) ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่ถือเป็นชัยชนะเชิงเทคนิคที่แสดงถึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะเมนบอร์ด Z890 และหน่วยความจำ DDR5 รุ่นล่าสุด

    ข้อมูลในข่าว
    DDR5 ถูกโอเวอร์คล็อกทะลุ 13,000 MT/s เป็นครั้งแรก
    นักโอเวอร์คล็อก “sergmann” ใช้ Corsair Vengeance DDR5 และ GIGABYTE Z890 Aorus Tachyon ICE
    ซีพียูที่ใช้คือ Intel Core Ultra 9 285K
    ใช้ไนโตรเจนเหลวในการระบายความร้อน
    ความเร็วที่ทำได้คือ 13,010 MT/s (6504 MHz)
    ได้รับการยืนยันจาก HWBot และ CPU-Z
    ค่า latency อยู่ที่ CL68-127-127-127-2
    IMC to Memory Clock ratio อยู่ที่ 3:190
    ความเร็วระดับนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่เป็นการโชว์ศักยภาพ
    เมนบอร์ด Z890 และซีพียู Ultra 200S มี memory controller ที่รองรับความเร็วสูง
    Corsair, Gigabyte, Seasonic และ ThermalGrizzly มีส่วนสนับสนุนการทดสอบ

    https://wccftech.com/ddr5-memory-officially-pushed-over-13000-mt-s-for-the-first-time/
    🚀 “DDR5 ทะลุ 13,000 MT/s ครั้งแรก!” — Corsair Vengeance และ GIGABYTE Z890 สร้างสถิติใหม่ในโลกการโอเวอร์คล็อก ในโลกของการโอเวอร์คล็อก หนึ่งในเป้าหมายที่นักเล่นระดับสูงไล่ล่ามานานคือการทำให้ DDR5 ทะลุความเร็ว 13,000 MT/s และล่าสุดก็มีคนทำสำเร็จแล้ว! นักโอเวอร์คล็อกชาวเยอรมันชื่อ “sergmann” ได้สร้างสถิติใหม่ด้วย Corsair Vengeance DDR5 บนเมนบอร์ด GIGABYTE Z890 Aorus Tachyon ICE โดยจับคู่กับซีพียู Intel Core Ultra 9 285K และใช้ไนโตรเจนเหลวในการระบายความร้อน ก่อนหน้านี้ “saltycroissant” เคยทำสถิติไว้ที่ 12,920 MT/s และเกือบจะทะลุ 13,000 MT/s แต่ sergmann แซงหน้าไปด้วยความเร็ว 13,010 MT/s ซึ่งได้รับการยืนยันจาก HWBot และ CPU-Z แม้ความเร็วจะสูงมาก แต่ latency ก็สูงเช่นกัน (CL68-127-127-127-2) ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่ถือเป็นชัยชนะเชิงเทคนิคที่แสดงถึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะเมนบอร์ด Z890 และหน่วยความจำ DDR5 รุ่นล่าสุด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ DDR5 ถูกโอเวอร์คล็อกทะลุ 13,000 MT/s เป็นครั้งแรก ➡️ นักโอเวอร์คล็อก “sergmann” ใช้ Corsair Vengeance DDR5 และ GIGABYTE Z890 Aorus Tachyon ICE ➡️ ซีพียูที่ใช้คือ Intel Core Ultra 9 285K ➡️ ใช้ไนโตรเจนเหลวในการระบายความร้อน ➡️ ความเร็วที่ทำได้คือ 13,010 MT/s (6504 MHz) ➡️ ได้รับการยืนยันจาก HWBot และ CPU-Z ➡️ ค่า latency อยู่ที่ CL68-127-127-127-2 ➡️ IMC to Memory Clock ratio อยู่ที่ 3:190 ➡️ ความเร็วระดับนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่เป็นการโชว์ศักยภาพ ➡️ เมนบอร์ด Z890 และซีพียู Ultra 200S มี memory controller ที่รองรับความเร็วสูง ➡️ Corsair, Gigabyte, Seasonic และ ThermalGrizzly มีส่วนสนับสนุนการทดสอบ https://wccftech.com/ddr5-memory-officially-pushed-over-13000-mt-s-for-the-first-time/
    WCCFTECH.COM
    It's Official: DDR5 Speed Pushed Over 13000 MT/s For The First Time With Corsair Vengeance Memory
    For the first time ever, an overclocker has broke the 13010 MT/s barrier on DDR5 memory, making a new world record.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่

    นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย

    แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ

    ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง

    ข้อมูลในข่าว
    Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ
    พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air
    Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision
    iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย
    Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026
    อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ
    Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์
    ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน
    Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI
    ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่
    Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    🍎 “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ ➡️ พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision ➡️ iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย ➡️ Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 ➡️ อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน ➡️ Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI ➡️ ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    WCCFTECH.COM
    China's Government Just Gave Apple Its Strong Support For Continuing Operations In The Country
    According to Global Times' interpretation, China just gave a strong nod to Apple's domestic operations in the country.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung เปิดตัว HBM4E ความเร็วทะลุ 3.25 TB/s” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของหน่วยความจำเพื่อ AI ยุคใหม่

    Samsung ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญในงาน Open Compute Project (OCP) Global Summit โดยเปิดตัวหน่วยความจำ HBM4E ที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 13 Gbps ต่อ stack และให้แบนด์วิดธ์รวมสูงสุด 3.25 TB/s ซึ่งเร็วกว่า HBM3E ถึง 2.5 เท่า

    HBM4E ไม่เพียงแค่เร็วขึ้น แต่ยังมีประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ดีกว่าเดิมถึงสองเท่า และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm ที่ Samsung สามารถควบคุมได้เองผ่านแผนก foundry ทำให้สามารถกำหนดราคาที่แข่งขันได้เพื่อดึงดูดลูกค้าอย่าง NVIDIA และ AMD

    นอกจากนี้ Samsung ยังพัฒนา HBM4 ที่มีความเร็ว pin speed สูงถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่ามาตรฐาน JEDEC และตอบสนองต่อความต้องการของ NVIDIA ที่ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูงสำหรับสถาปัตยกรรม Rubin

    Samsung วางแผนเริ่มผลิต HBM4 และ HBM4E ในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง SK hynix และ Micron กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

    ข้อมูลในข่าว
    Samsung เปิดตัว HBM4E ที่มีแบนด์วิดธ์สูงสุด 3.25 TB/s
    ความเร็ว pin speed สูงสุด 13 Gbps ต่อ stack
    เร็วกว่า HBM3E ถึง 2.5 เท่า
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเดิมถึงสองเท่า
    ใช้เทคโนโลยีการผลิต 4nm ที่ Samsung ควบคุมเอง
    ตอบสนองต่อความต้องการของ NVIDIA สำหรับสถาปัตยกรรม Rubin
    HBM4 มีความเร็ว pin speed สูงถึง 11 Gbps
    เริ่มผลิต HBM4 และ HBM4E ในช่วงต้นปี 2026
    Samsung ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาด HBM โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาและเทคโนโลยี
    คู่แข่งอย่าง SK hynix และ Micron เผชิญการแข่งขันที่รุนแรง

    https://wccftech.com/samsung-hbm4e-set-to-deliver-a-significant-bandwidth/
    🚀 “Samsung เปิดตัว HBM4E ความเร็วทะลุ 3.25 TB/s” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของหน่วยความจำเพื่อ AI ยุคใหม่ Samsung ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญในงาน Open Compute Project (OCP) Global Summit โดยเปิดตัวหน่วยความจำ HBM4E ที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 13 Gbps ต่อ stack และให้แบนด์วิดธ์รวมสูงสุด 3.25 TB/s ซึ่งเร็วกว่า HBM3E ถึง 2.5 เท่า HBM4E ไม่เพียงแค่เร็วขึ้น แต่ยังมีประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ดีกว่าเดิมถึงสองเท่า และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm ที่ Samsung สามารถควบคุมได้เองผ่านแผนก foundry ทำให้สามารถกำหนดราคาที่แข่งขันได้เพื่อดึงดูดลูกค้าอย่าง NVIDIA และ AMD นอกจากนี้ Samsung ยังพัฒนา HBM4 ที่มีความเร็ว pin speed สูงถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่ามาตรฐาน JEDEC และตอบสนองต่อความต้องการของ NVIDIA ที่ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูงสำหรับสถาปัตยกรรม Rubin Samsung วางแผนเริ่มผลิต HBM4 และ HBM4E ในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง SK hynix และ Micron กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Samsung เปิดตัว HBM4E ที่มีแบนด์วิดธ์สูงสุด 3.25 TB/s ➡️ ความเร็ว pin speed สูงสุด 13 Gbps ต่อ stack ➡️ เร็วกว่า HBM3E ถึง 2.5 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีกว่าเดิมถึงสองเท่า ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 4nm ที่ Samsung ควบคุมเอง ➡️ ตอบสนองต่อความต้องการของ NVIDIA สำหรับสถาปัตยกรรม Rubin ➡️ HBM4 มีความเร็ว pin speed สูงถึง 11 Gbps ➡️ เริ่มผลิต HBM4 และ HBM4E ในช่วงต้นปี 2026 ➡️ Samsung ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาด HBM โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาและเทคโนโลยี ➡️ คู่แข่งอย่าง SK hynix และ Micron เผชิญการแข่งขันที่รุนแรง https://wccftech.com/samsung-hbm4e-set-to-deliver-a-significant-bandwidth/
    WCCFTECH.COM
    Samsung’s HBM4E Set to Deliver 3.25 TB/s Bandwidth; Nearly 2.5× Faster Than HBM3E, Driving AI Computing to New Levels
    Samsung has become one of the first HBM manufacturers to announce progress on HBM4E at the OCP, showcasing significant upgrades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกเนวินโอด! ทำอะไรก็โดน ย้ำเดินหน้าปราบสแกมเมอร์ไม่หยุด พร้อมศึกษา กม.ใหม่ “Active Cyber Defence” แฮกกลับได้แบบญี่ปุ่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099154

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ลูกเนวินโอด! ทำอะไรก็โดน ย้ำเดินหน้าปราบสแกมเมอร์ไม่หยุด พร้อมศึกษา กม.ใหม่ “Active Cyber Defence” แฮกกลับได้แบบญี่ปุ่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099154 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์

    D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch

    จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access

    แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน:

    🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า
    🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า
    🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา

    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน

    ข้อมูลในข่าว
    D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000
    รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
    มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก
    รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
    DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่
    DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น
    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน
    มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต

    https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    🌐 “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน: 🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า 🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า 🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ➡️ รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย ➡️ มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก ➡️ รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ➡️ DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ➡️ DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น ➡️ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน ➡️ มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    D-Link Unveils Nuclias Network Controllers for Businesses
    D-Link Corporation (TWSE: 2332), one of the global leaders in networking solutions, today announced the launch of its next-generation Nuclias Network Controllers—DNH-1000, DNH-3000, and DNC-5000. Engineered for businesses of all sizes, these controllers offer centralized management, real-time visibi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • สคบ.เตือน! แม่ค้า-อินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ อวดยอดขายเสี่ยงผิดกฎหมาย รายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องขึ้นทะเบียนขายตรง มิฉะนั้นมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099155

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    สคบ.เตือน! แม่ค้า-อินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ อวดยอดขายเสี่ยงผิดกฎหมาย รายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องขึ้นทะเบียนขายตรง มิฉะนั้นมีโทษทั้งจำทั้งปรับ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099155 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography

    ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต

    ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ

    การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน

    ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73

    ข้อมูลในข่าว
    ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC)
    ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber)
    ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น
    ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later”
    ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC
    ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ
    ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น
    เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73
    เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง

    https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    🔐 “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ➡️ ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber) ➡️ ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น ➡️ ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC ➡️ ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ ➡️ ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น ➡️ เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ➡️ เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASUSTOR NAS Devices Now PQC Ready
    Facing the arrival of the quantum computing era and the potential risks to traditional encryption algorithms, ASUSTOR Inc. has announced that its NAS operating system, ADM 5.1, will fully adopt post-quantum cryptography (PQC) technology approved by the US National Institute of Standards and Technolo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tachyum Prodigy เลื่อนอีกครั้ง แต่เพิ่มเป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต” — พร้อมดีล 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป

    Tachyum ประกาศอัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับชิป Prodigy ที่ตั้งเป้าเป็นโปรเซสเซอร์อเนกประสงค์สำหรับงาน AI และ HPC โดยเพิ่มจำนวนคอร์ต่อชิปเล็ตจากเดิม 192 เป็น 256 คอร์ เพื่อผลักดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าของซีพียู x86 ชั้นนำ และ 6 เท่าของ GPGPU สำหรับงาน HPC

    แม้จะมีความคืบหน้าเรื่องสเปก แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่มีการล็อกสเปกสุดท้าย ทำให้การผลิตเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มได้ในปี 2027 ซึ่งถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดเดิมหลายปี

    Tachyum ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป และยังได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายเดียวกัน โดยเงินทุนนี้จะใช้ในการเร่งขั้นตอน tape-out และการออกแบบขั้นสุดท้าย

    บริษัทคาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในช่วงต้นปี 2026 และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มส่งมอบเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปี 2027 ซึ่งอาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของ Tachyum

    ข้อมูลในข่าว
    Tachyum เพิ่มจำนวนคอร์ใน Prodigy เป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต
    เป้าหมายคือประสิทธิภาพสูงกว่า x86 และ GPGPU ชั้นนำ
    ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่ล็อกสเปกสุดท้าย
    ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์
    ได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป
    คาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในต้นปี 2026
    การส่งมอบเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มกลางปี 2027
    อาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของบริษัท
    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm-class จาก TSMC
    การพัฒนา Prodigy ใช้เวลานานกว่า 10 ปี

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    Prodigy ยังไม่เข้าสู่ tape-out ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังไม่สามารถวัดได้
    การเปลี่ยนแปลงสเปกระหว่างการพัฒนาอาจทำให้ timeline ล่าช้า
    การพึ่งพา TSMC อาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    การพัฒนา 10 ปีอาจทำให้เทคโนโลยีบางส่วนล้าสมัยเมื่อเปิดตัว
    หาก validation ล่าช้า การส่งมอบอาจเลื่อนออกไปอีก
    การตั้งเป้าประสิทธิภาพสูงเกินไปอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเมื่อผลิตจริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/tachyums-general-purpose-prodigy-chip-delayed-again-now-with-256-cores-per-chiplet-and-a-usd500-million-purchase-order-from-eu-investor
    🧠 “Tachyum Prodigy เลื่อนอีกครั้ง แต่เพิ่มเป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต” — พร้อมดีล 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป Tachyum ประกาศอัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับชิป Prodigy ที่ตั้งเป้าเป็นโปรเซสเซอร์อเนกประสงค์สำหรับงาน AI และ HPC โดยเพิ่มจำนวนคอร์ต่อชิปเล็ตจากเดิม 192 เป็น 256 คอร์ เพื่อผลักดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าของซีพียู x86 ชั้นนำ และ 6 เท่าของ GPGPU สำหรับงาน HPC แม้จะมีความคืบหน้าเรื่องสเปก แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่มีการล็อกสเปกสุดท้าย ทำให้การผลิตเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มได้ในปี 2027 ซึ่งถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดเดิมหลายปี Tachyum ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป และยังได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายเดียวกัน โดยเงินทุนนี้จะใช้ในการเร่งขั้นตอน tape-out และการออกแบบขั้นสุดท้าย บริษัทคาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในช่วงต้นปี 2026 และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มส่งมอบเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปี 2027 ซึ่งอาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของ Tachyum ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tachyum เพิ่มจำนวนคอร์ใน Prodigy เป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต ➡️ เป้าหมายคือประสิทธิภาพสูงกว่า x86 และ GPGPU ชั้นนำ ➡️ ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่ล็อกสเปกสุดท้าย ➡️ ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์ ➡️ ได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป ➡️ คาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในต้นปี 2026 ➡️ การส่งมอบเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มกลางปี 2027 ➡️ อาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของบริษัท ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm-class จาก TSMC ➡️ การพัฒนา Prodigy ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ tape-out ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังไม่สามารถวัดได้ ⛔ การเปลี่ยนแปลงสเปกระหว่างการพัฒนาอาจทำให้ timeline ล่าช้า ⛔ การพึ่งพา TSMC อาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain ⛔ การพัฒนา 10 ปีอาจทำให้เทคโนโลยีบางส่วนล้าสมัยเมื่อเปิดตัว ⛔ หาก validation ล่าช้า การส่งมอบอาจเลื่อนออกไปอีก ⛔ การตั้งเป้าประสิทธิภาพสูงเกินไปอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเมื่อผลิตจริง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/tachyums-general-purpose-prodigy-chip-delayed-again-now-with-256-cores-per-chiplet-and-a-usd500-million-purchase-order-from-eu-investor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/kBYKFU6d5JY?si=KSpLfOa6oQ8HQsCP
    https://youtu.be/kBYKFU6d5JY?si=KSpLfOa6oQ8HQsCP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/DkqIK19PeXY?si=NG8RL7CxOcwpzY-t #AMARINTVONLINE #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    https://youtu.be/DkqIK19PeXY?si=NG8RL7CxOcwpzY-t #AMARINTVONLINE #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด

    ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย

    กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card

    ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic

    สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง

    ข้อมูลในข่าว
    พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย
    กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร
    ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์
    การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62
    กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง
    พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD
    ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute
    ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic
    กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก



    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    🧠 “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย ➡️ กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ➡️ การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62 ➡️ กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง ➡️ พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD ➡️ ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute ➡️ ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic ➡️ กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Paxos พิมพ์เหรียญ Stablecoin เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ” — มากกว่าสองเท่าของ GDP โลก!

    ในเหตุการณ์ที่ทำให้วงการคริปโตต้องตะลึง Paxos ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ PYUSD ให้กับ PayPal ได้พิมพ์เหรียญ stablecoin จำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของ GDP โลกที่ประมาณ 125 ล้านล้านดอลลาร์

    เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. ตามเวลาสหรัฐฯ โดย Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอนภายในระบบ แม้จะรีบแก้ไขโดยการ “burn” เหรียญที่พิมพ์เกินไปภายใน 20 นาที แต่ก็สร้างความกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบ

    PYUSD เป็น stablecoin ที่อ้างว่า “ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด” แต่จำนวนที่พิมพ์เกินไปนั้นไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้เลย

    แม้ Paxos จะยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัยและเงินของลูกค้าปลอดภัย แต่การสื่อสารของบริษัทกลับดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของระบบ stablecoin ที่ควรจะ “มั่นคง” ตามชื่อ

    ข้อมูลในข่าว
    Paxos พิมพ์เหรียญ PYUSD เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ
    เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. EST
    Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอน
    เหรียญถูก “burn” ภายใน 20 นาทีหลังพบข้อผิดพลาด
    PYUSD อ้างว่าได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากและพันธบัตร
    จำนวนที่พิมพ์เกินไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้
    Paxos ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย
    เงินของลูกค้าปลอดภัยตามคำแถลงของบริษัท
    การสื่อสารของ Paxos ดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก
    เหตุการณ์สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและความมั่นคงของระบบ stablecoin

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/paypal-crypto-partner-accidentally-mints-stablecoins-worth-double-the-worlds-total-gdp-paxos-undersells-usd300-trillion-incident-as-an-internal-technical-error
    💥 “Paxos พิมพ์เหรียญ Stablecoin เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ” — มากกว่าสองเท่าของ GDP โลก! ในเหตุการณ์ที่ทำให้วงการคริปโตต้องตะลึง Paxos ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ PYUSD ให้กับ PayPal ได้พิมพ์เหรียญ stablecoin จำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของ GDP โลกที่ประมาณ 125 ล้านล้านดอลลาร์ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. ตามเวลาสหรัฐฯ โดย Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอนภายในระบบ แม้จะรีบแก้ไขโดยการ “burn” เหรียญที่พิมพ์เกินไปภายใน 20 นาที แต่ก็สร้างความกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบ PYUSD เป็น stablecoin ที่อ้างว่า “ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด” แต่จำนวนที่พิมพ์เกินไปนั้นไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้เลย แม้ Paxos จะยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัยและเงินของลูกค้าปลอดภัย แต่การสื่อสารของบริษัทกลับดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของระบบ stablecoin ที่ควรจะ “มั่นคง” ตามชื่อ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Paxos พิมพ์เหรียญ PYUSD เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ➡️ เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. EST ➡️ Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอน ➡️ เหรียญถูก “burn” ภายใน 20 นาทีหลังพบข้อผิดพลาด ➡️ PYUSD อ้างว่าได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากและพันธบัตร ➡️ จำนวนที่พิมพ์เกินไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้ ➡️ Paxos ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย ➡️ เงินของลูกค้าปลอดภัยตามคำแถลงของบริษัท ➡️ การสื่อสารของ Paxos ดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ➡️ เหตุการณ์สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและความมั่นคงของระบบ stablecoin https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/paypal-crypto-partner-accidentally-mints-stablecoins-worth-double-the-worlds-total-gdp-paxos-undersells-usd300-trillion-incident-as-an-internal-technical-error
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC ทำสถิติรายได้สูงสุดไตรมาสล่าสุด” — แรงหนุนจาก AI และ HPC ดันรายได้ทะลุ $33.1 พันล้าน

    TSMC รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดด้วยรายได้สูงถึง $33.1 พันล้าน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการชิปสำหรับ AI และโครงสร้างพื้นฐาน HPC ที่คิดเป็นสองในสามของรายได้ทั้งหมด

    รายได้เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 10.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน และอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% แม้จะมีต้นทุนจากการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

    TSMC เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P เช่น A19 และ M5-series ซึ่งใช้ใน iPhone 17 และ Mac รุ่นล่าสุด โดยเทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ทั้งหมด

    กลุ่ม HPC ยังคงเป็นผู้นำด้านรายได้ที่ 57% ตามด้วยสมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5% และ IoT 5% โดย TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025

    ข้อมูลในข่าว
    TSMC รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดที่ $33.1 พันล้าน
    เพิ่มขึ้น 40.8% จากปีก่อน และ 10.1% จากไตรมาสก่อน
    กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน
    อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5%
    รายได้หลักมาจากชิป AI และ HPC คิดเป็นสองในสามของรายได้
    เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี N3P
    เทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer
    กลุ่ม HPC มีสัดส่วนรายได้ 57%, สมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5%, IoT 5%
    TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025
    มีการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-posts-record-quarter-results-as-skyrocketing-ai-and-hpc-demand-drives-two-thirds-of-revenue-company-pulls-in-usd33-1-billion
    📈 “TSMC ทำสถิติรายได้สูงสุดไตรมาสล่าสุด” — แรงหนุนจาก AI และ HPC ดันรายได้ทะลุ $33.1 พันล้าน TSMC รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดด้วยรายได้สูงถึง $33.1 พันล้าน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการชิปสำหรับ AI และโครงสร้างพื้นฐาน HPC ที่คิดเป็นสองในสามของรายได้ทั้งหมด รายได้เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 10.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน และอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% แม้จะมีต้นทุนจากการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ TSMC เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P เช่น A19 และ M5-series ซึ่งใช้ใน iPhone 17 และ Mac รุ่นล่าสุด โดยเทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ทั้งหมด กลุ่ม HPC ยังคงเป็นผู้นำด้านรายได้ที่ 57% ตามด้วยสมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5% และ IoT 5% โดย TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ TSMC รายงานรายได้ไตรมาสล่าสุดที่ $33.1 พันล้าน ➡️ เพิ่มขึ้น 40.8% จากปีก่อน และ 10.1% จากไตรมาสก่อน ➡️ กำไรสุทธิอยู่ที่ $14.77 พันล้าน ➡️ อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 59.5% ➡️ รายได้หลักมาจากชิป AI และ HPC คิดเป็นสองในสามของรายได้ ➡️ เริ่มรับรู้รายได้จากชิป Apple รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี N3P ➡️ เทคโนโลยีระดับ 3nm คิดเป็น 23% ของรายได้ wafer ➡️ กลุ่ม HPC มีสัดส่วนรายได้ 57%, สมาร์ตโฟน 30%, ยานยนต์ 5%, IoT 5% ➡️ TSMC คาดว่าความต้องการชิป AI จะยังคงแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2025 ➡️ มีการขยายโรงงานในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-posts-record-quarter-results-as-skyrocketing-ai-and-hpc-demand-drives-two-thirds-of-revenue-company-pulls-in-usd33-1-billion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EXO Labs ผสาน DGX Spark กับ Mac Studio สร้างระบบ LLM ความเร็วทะลุ 2.8 เท่า” — ยุคใหม่ของ AI inference แบบแยกส่วนที่ใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไป

    EXO Labs ได้สาธิตระบบ AI inference แบบใหม่ที่ใช้แนวคิด “disaggregated inference” โดยผสานฮาร์ดแวร์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ 2 เครื่อง NVIDIA DGX Spark กับ Mac Studio ที่ใช้ชิป M3 Ultra ผ่านเครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เพื่อแบ่งงานประมวลผลตามจุดแข็งของแต่ละเครื่อง

    ระบบนี้ใช้ซอฟต์แวร์ EXO ซึ่งเป็น open-source framework ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายงาน inference ของ LLM ไปยังอุปกรณ์หลายชนิด เช่น desktop, server, laptop หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU เดียวกัน

    หลักการทำงานคือแบ่งขั้นตอน inference ออกเป็น 2 ส่วน:

    Prefill stage: อ่านและประมวลผล prompt ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูง — ให้ DGX Spark ทำ
    Decode stage: สร้าง token ทีละตัว ซึ่งต้องใช้ bandwidth สูง — ให้ Mac Studio ทำ

    EXO stream ข้อมูลภายในของโมเดล (KV cache) แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันโดยไม่ต้องรอกัน ส่งผลให้ความเร็วรวมเพิ่มขึ้นถึง 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เพียงเครื่องเดียว

    การทดสอบใช้โมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B กับ prompt ยาว 8,000 token และพบว่าแม้จะเป็นโมเดลขนาดกลาง แต่การแบ่งงานแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลในข่าว
    EXO Labs สาธิตระบบ AI inference แบบ disaggregated โดยใช้ DGX Spark กับ Mac Studio
    ใช้เครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เชื่อมต่อระหว่างเครื่อง
    ซอฟต์แวร์ EXO เป็น open-source framework สำหรับกระจายงาน inference
    ระบบแบ่งงานเป็น prefill (DGX Spark) และ decode (Mac Studio)
    ใช้การ stream KV cache แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน
    ความเร็วรวมเพิ่มขึ้น 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เดี่ยว
    ทดสอบกับโมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B และ prompt ยาว 8K token
    EXO 1.0 ยังอยู่ในช่วง early access และไม่ใช่ซอฟต์แวร์ plug-and-play
    NVIDIA เตรียมใช้แนวคิดนี้ในแพลตฟอร์ม Rubin CPX
    Dynamo framework ของ NVIDIA มีเป้าหมายคล้ายกันแต่ไม่มีระบบ subscription อัตโนมัติ

    https://www.tomshardware.com/software/two-nvidia-dgx-spark-systems-combined-with-m3-ultra-mac-studio-to-create-blistering-llm-system-exo-labs-demonstrates-disaggregated-ai-inference-and-achieves-a-2-8-benchmark-boost
    ⚡ “EXO Labs ผสาน DGX Spark กับ Mac Studio สร้างระบบ LLM ความเร็วทะลุ 2.8 เท่า” — ยุคใหม่ของ AI inference แบบแยกส่วนที่ใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไป EXO Labs ได้สาธิตระบบ AI inference แบบใหม่ที่ใช้แนวคิด “disaggregated inference” โดยผสานฮาร์ดแวร์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ 2 เครื่อง NVIDIA DGX Spark กับ Mac Studio ที่ใช้ชิป M3 Ultra ผ่านเครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เพื่อแบ่งงานประมวลผลตามจุดแข็งของแต่ละเครื่อง ระบบนี้ใช้ซอฟต์แวร์ EXO ซึ่งเป็น open-source framework ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายงาน inference ของ LLM ไปยังอุปกรณ์หลายชนิด เช่น desktop, server, laptop หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU เดียวกัน หลักการทำงานคือแบ่งขั้นตอน inference ออกเป็น 2 ส่วน: ⚛️ Prefill stage: อ่านและประมวลผล prompt ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูง — ให้ DGX Spark ทำ ⚛️ Decode stage: สร้าง token ทีละตัว ซึ่งต้องใช้ bandwidth สูง — ให้ Mac Studio ทำ EXO stream ข้อมูลภายในของโมเดล (KV cache) แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันโดยไม่ต้องรอกัน ส่งผลให้ความเร็วรวมเพิ่มขึ้นถึง 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เพียงเครื่องเดียว การทดสอบใช้โมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B กับ prompt ยาว 8,000 token และพบว่าแม้จะเป็นโมเดลขนาดกลาง แต่การแบ่งงานแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ EXO Labs สาธิตระบบ AI inference แบบ disaggregated โดยใช้ DGX Spark กับ Mac Studio ➡️ ใช้เครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เชื่อมต่อระหว่างเครื่อง ➡️ ซอฟต์แวร์ EXO เป็น open-source framework สำหรับกระจายงาน inference ➡️ ระบบแบ่งงานเป็น prefill (DGX Spark) และ decode (Mac Studio) ➡️ ใช้การ stream KV cache แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน ➡️ ความเร็วรวมเพิ่มขึ้น 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เดี่ยว ➡️ ทดสอบกับโมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B และ prompt ยาว 8K token ➡️ EXO 1.0 ยังอยู่ในช่วง early access และไม่ใช่ซอฟต์แวร์ plug-and-play ➡️ NVIDIA เตรียมใช้แนวคิดนี้ในแพลตฟอร์ม Rubin CPX ➡️ Dynamo framework ของ NVIDIA มีเป้าหมายคล้ายกันแต่ไม่มีระบบ subscription อัตโนมัติ https://www.tomshardware.com/software/two-nvidia-dgx-spark-systems-combined-with-m3-ultra-mac-studio-to-create-blistering-llm-system-exo-labs-demonstrates-disaggregated-ai-inference-and-achieves-a-2-8-benchmark-boost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว