• 0 Comments 0 Shares 39 Views 0 0 Reviews
  • วันนี้ 29 ก.ย. เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ที่แฟนเพจ "สโรชา พรอุดมศักดิ์" ของผู้ประกาศข่าวหญิง "แอ้ม" สโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า... "ด่วน! เรียนทุกท่านทราบ ช่วงบ่ายวันนี้คุณแอ้มได้ล้มป่วยจากอาการข้างเคียงโรคมะเร็งที่ตอนนี้กระจายไปหลายจุดของร่างกาย มีอาการชักเกร็งและหมดสติไป

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093231

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    วันนี้ 29 ก.ย. เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ที่แฟนเพจ "สโรชา พรอุดมศักดิ์" ของผู้ประกาศข่าวหญิง "แอ้ม" สโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า... "ด่วน! เรียนทุกท่านทราบ ช่วงบ่ายวันนี้คุณแอ้มได้ล้มป่วยจากอาการข้างเคียงโรคมะเร็งที่ตอนนี้กระจายไปหลายจุดของร่างกาย มีอาการชักเกร็งและหมดสติไป อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093231 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • แคมโบเดียเนสส์ รายงานในเหตุปะทะตามแนวชายแดนกัมพูชาและไทยเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฏาคม ไม่ใช่แค่การต่อสู้กันด้วยปืนใหญ่และแสนยานุภาพทางอากาศเท่านั้น แต่มันยังเป็นการสู้รบกันในหนังสือพิมพ์ หน้าจอโทรทัศน์และทั่วสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมส่งเสียงโวยสื่อระดับโลกทั้งหลาย ให้ความสำคัญกับเรื่องเล่าของไทยมากกว่า และประชาชนคนไทยก็เชื่อตามนิยายคำบอกเล่าเหล่านั้น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093264

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    แคมโบเดียเนสส์ รายงานในเหตุปะทะตามแนวชายแดนกัมพูชาและไทยเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฏาคม ไม่ใช่แค่การต่อสู้กันด้วยปืนใหญ่และแสนยานุภาพทางอากาศเท่านั้น แต่มันยังเป็นการสู้รบกันในหนังสือพิมพ์ หน้าจอโทรทัศน์และทั่วสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมส่งเสียงโวยสื่อระดับโลกทั้งหลาย ให้ความสำคัญกับเรื่องเล่าของไทยมากกว่า และประชาชนคนไทยก็เชื่อตามนิยายคำบอกเล่าเหล่านั้น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093264 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Haha
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 432 Views 0 Reviews
  • “Windows Search อาจเปิดเว็บใน Chrome ได้แล้ว — Microsoft เริ่มทบทวนการบังคับใช้ Edge และ Bing”

    ใครที่ใช้ Windows 11 และรู้สึกหงุดหงิดกับการที่ทุกการค้นหาบน taskbar หรือ Start menu ถูกบังคับให้เปิดใน Microsoft Edge และใช้ Bing โดยไม่สนใจว่าตั้ง Chrome หรือ Firefox เป็นเบราว์เซอร์หลัก — ข่าวดีคือ Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนใจ

    ล่าสุดมีการค้นพบ “experimental flags” ใน Edge Canary ซึ่งเป็นเวอร์ชันทดลองของ Microsoft Edge ที่บ่งชี้ว่า Microsoft กำลังทดสอบการเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์และ search engine เองได้ โดยไม่ต้องถูกผูกกับ Edge และ Bing อีกต่อไป

    ชื่อของ flags ที่พบ เช่น msWSBLaunchNonBingDSEAndNonEdgeDB บ่งบอกว่า Windows Search Bar (WSB) อาจสามารถเปิดผลการค้นหาโดยใช้ Default Search Engine (DSE) ที่ไม่ใช่ Bing และ Default Browser (DB) ที่ไม่ใช่ Edge ได้ เช่น Chrome + Google หรือ Firefox + DuckDuckGo

    หากฟีเจอร์นี้ถูกนำมาใช้จริง ผู้ใช้จะสามารถค้นหาจาก taskbar แล้วเปิดผลลัพธ์ในเบราว์เซอร์ที่ตั้งไว้ เช่น Chrome โดยใช้ Google Search โดยตรง ซึ่งจะเป็นการเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้มากขึ้น และลดความรู้สึก “ถูกบังคับ” ที่หลายคนไม่พอใจมานาน

    แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า Microsoft จะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ แต่การที่มีการทดลองใน Edge Canary ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่ Microsoft อาจกำลังปรับตัวตามเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ และแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft กำลังทดสอบ flags ใหม่ใน Edge Canary ที่อาจเปิดให้ Windows Search ใช้เบราว์เซอร์และ search engine ที่ผู้ใช้ตั้งไว้
    ตัวอย่าง flags ที่พบ ได้แก่ msWSBLaunchNonBingDSE, msWSBLaunchNonEdgeDB, และ msWSBLaunchNonBingDSEAndNonEdgeDB
    หากเปิดใช้งาน ผู้ใช้จะสามารถค้นหาจาก taskbar แล้วเปิดผลลัพธ์ใน Chrome หรือ Firefox ได้
    Search engine ที่ใช้จะเป็น Google, DuckDuckGo หรืออื่น ๆ ตามที่ผู้ใช้ตั้งไว้
    ฟีเจอร์นี้เคยเปิดให้ใช้เฉพาะในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) แต่ตอนนี้อาจขยายสู่ผู้ใช้ทั่วไป
    การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ Windows เคารพการตั้งค่าของผู้ใช้มากขึ้น
    Microsoft ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้เมื่อใด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้ใช้ Windows 11 จำนวนมากหลีกเลี่ยงการใช้ Windows Search เพราะไม่ต้องการใช้ Edge และ Bing
    การบังคับใช้ Edge และ Bing ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการผูกขาดและละเมิดสิทธิ์ผู้ใช้
    ในยุโรป Microsoft ถูกกดดันให้แยกฟีเจอร์บางอย่างออกจาก Edge ตามกฎหมาย DMA
    การเปิดให้ใช้เบราว์เซอร์และ search engine ที่ตั้งไว้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    หากฟีเจอร์นี้ถูกเปิดใช้งานจริง อาจส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Bing และ Edge

    https://securityonline.info/microsoft-may-finally-let-windows-search-results-open-in-your-default-browser/
    🌐 “Windows Search อาจเปิดเว็บใน Chrome ได้แล้ว — Microsoft เริ่มทบทวนการบังคับใช้ Edge และ Bing” ใครที่ใช้ Windows 11 และรู้สึกหงุดหงิดกับการที่ทุกการค้นหาบน taskbar หรือ Start menu ถูกบังคับให้เปิดใน Microsoft Edge และใช้ Bing โดยไม่สนใจว่าตั้ง Chrome หรือ Firefox เป็นเบราว์เซอร์หลัก — ข่าวดีคือ Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนใจ ล่าสุดมีการค้นพบ “experimental flags” ใน Edge Canary ซึ่งเป็นเวอร์ชันทดลองของ Microsoft Edge ที่บ่งชี้ว่า Microsoft กำลังทดสอบการเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกเบราว์เซอร์และ search engine เองได้ โดยไม่ต้องถูกผูกกับ Edge และ Bing อีกต่อไป ชื่อของ flags ที่พบ เช่น msWSBLaunchNonBingDSEAndNonEdgeDB บ่งบอกว่า Windows Search Bar (WSB) อาจสามารถเปิดผลการค้นหาโดยใช้ Default Search Engine (DSE) ที่ไม่ใช่ Bing และ Default Browser (DB) ที่ไม่ใช่ Edge ได้ เช่น Chrome + Google หรือ Firefox + DuckDuckGo หากฟีเจอร์นี้ถูกนำมาใช้จริง ผู้ใช้จะสามารถค้นหาจาก taskbar แล้วเปิดผลลัพธ์ในเบราว์เซอร์ที่ตั้งไว้ เช่น Chrome โดยใช้ Google Search โดยตรง ซึ่งจะเป็นการเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้มากขึ้น และลดความรู้สึก “ถูกบังคับ” ที่หลายคนไม่พอใจมานาน แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า Microsoft จะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ แต่การที่มีการทดลองใน Edge Canary ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่ Microsoft อาจกำลังปรับตัวตามเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ และแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft กำลังทดสอบ flags ใหม่ใน Edge Canary ที่อาจเปิดให้ Windows Search ใช้เบราว์เซอร์และ search engine ที่ผู้ใช้ตั้งไว้ ➡️ ตัวอย่าง flags ที่พบ ได้แก่ msWSBLaunchNonBingDSE, msWSBLaunchNonEdgeDB, และ msWSBLaunchNonBingDSEAndNonEdgeDB ➡️ หากเปิดใช้งาน ผู้ใช้จะสามารถค้นหาจาก taskbar แล้วเปิดผลลัพธ์ใน Chrome หรือ Firefox ได้ ➡️ Search engine ที่ใช้จะเป็น Google, DuckDuckGo หรืออื่น ๆ ตามที่ผู้ใช้ตั้งไว้ ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยเปิดให้ใช้เฉพาะในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) แต่ตอนนี้อาจขยายสู่ผู้ใช้ทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ Windows เคารพการตั้งค่าของผู้ใช้มากขึ้น ➡️ Microsoft ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้เมื่อใด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้ใช้ Windows 11 จำนวนมากหลีกเลี่ยงการใช้ Windows Search เพราะไม่ต้องการใช้ Edge และ Bing ➡️ การบังคับใช้ Edge และ Bing ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการผูกขาดและละเมิดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ในยุโรป Microsoft ถูกกดดันให้แยกฟีเจอร์บางอย่างออกจาก Edge ตามกฎหมาย DMA ➡️ การเปิดให้ใช้เบราว์เซอร์และ search engine ที่ตั้งไว้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ หากฟีเจอร์นี้ถูกเปิดใช้งานจริง อาจส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Bing และ Edge https://securityonline.info/microsoft-may-finally-let-windows-search-results-open-in-your-default-browser/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft May Finally Let Windows Search Results Open in Your Default Browser
    New experimental flags in Microsoft Edge suggest that Microsoft may soon allow Windows Search results to open in your default browser and search engine.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ในไดรเวอร์ GPU ของ Qualcomm ทำ Android ล่ม — PoC เผยจุดอ่อนระดับเคอร์เนลที่อาจถูกโจมตีได้จริง”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ซึ่งใช้ใน GPU ตระกูล Adreno บนอุปกรณ์ Android โดยช่องโหว่นี้เป็น “race condition” ที่เกิดขึ้นเมื่อสองเธรดเข้าถึงรายการข้อมูลเดียวกันพร้อมกัน ส่งผลให้เกิด “use-after-free” ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การล่มของระบบ หรือแม้แต่การโจมตีแบบยกระดับสิทธิ์ (privilege escalation)

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน CVE-2024-38399 และมีการเผยแพร่ PoC (Proof of Concept) ที่สามารถทำให้เคอร์เนลล่มได้จริง โดยใช้การเรียกฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำของ GPU ในจังหวะที่ระบบยังไม่ปลดล็อกการเข้าถึง ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว

    นักวิจัยพบว่าเมื่อเธรดหนึ่งปล่อยหน่วยความจำ และอีกเธรดหนึ่งยังคงเข้าถึงอยู่ จะเกิดการชนกันของข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การล่มของเคอร์เนลทันที โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น การเล่นเกม หรือการเปลี่ยนหน้าจออย่างรวดเร็ว

    Qualcomm ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่มีการแจ้งเตือนให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ Android ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon รุ่นใหม่ ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2024-38399 เกิดจาก race condition ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm
    ใช้ใน GPU Adreno บนอุปกรณ์ Android เช่น สมาร์ตโฟนที่ใช้ Snapdragon
    ช่องโหว่นำไปสู่ use-after-free ซึ่งสามารถทำให้เคอร์เนลล่มหรือถูกโจมตีได้
    มีการเผยแพร่ PoC ที่สามารถทำให้ระบบล่มได้จริง
    เกิดจากการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายเธรดในจังหวะที่ไม่ปลอดภัย
    Qualcomm แจ้งเตือนผู้ผลิตให้ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว
    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น เกมหรือแอปที่เปลี่ยนหน้าจอเร็ว
    ยังไม่มีแพตช์อย่างเป็นทางการจาก Qualcomm ณ วันที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KGSL (Kernel Graphics Support Layer) เป็นไดรเวอร์หลักที่จัดการ GPU บน Android
    Race condition เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการจัดการเธรดไม่ปลอดภัยในระบบหลายเธรด
    Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์
    ช่องโหว่ระดับเคอร์เนลมีความรุนแรงสูง เพราะสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root ได้
    การโจมตีแบบ privilege escalation สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด

    https://securityonline.info/under-the-hood-of-a-kernel-crash-poc-exposes-race-condition-in-qualcomms-driver/
    🧨 “ช่องโหว่ในไดรเวอร์ GPU ของ Qualcomm ทำ Android ล่ม — PoC เผยจุดอ่อนระดับเคอร์เนลที่อาจถูกโจมตีได้จริง” นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ซึ่งใช้ใน GPU ตระกูล Adreno บนอุปกรณ์ Android โดยช่องโหว่นี้เป็น “race condition” ที่เกิดขึ้นเมื่อสองเธรดเข้าถึงรายการข้อมูลเดียวกันพร้อมกัน ส่งผลให้เกิด “use-after-free” ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การล่มของระบบ หรือแม้แต่การโจมตีแบบยกระดับสิทธิ์ (privilege escalation) ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน CVE-2024-38399 และมีการเผยแพร่ PoC (Proof of Concept) ที่สามารถทำให้เคอร์เนลล่มได้จริง โดยใช้การเรียกฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำของ GPU ในจังหวะที่ระบบยังไม่ปลดล็อกการเข้าถึง ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว นักวิจัยพบว่าเมื่อเธรดหนึ่งปล่อยหน่วยความจำ และอีกเธรดหนึ่งยังคงเข้าถึงอยู่ จะเกิดการชนกันของข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การล่มของเคอร์เนลทันที โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น การเล่นเกม หรือการเปลี่ยนหน้าจออย่างรวดเร็ว Qualcomm ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่มีการแจ้งเตือนให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ Android ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon รุ่นใหม่ ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2024-38399 เกิดจาก race condition ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ➡️ ใช้ใน GPU Adreno บนอุปกรณ์ Android เช่น สมาร์ตโฟนที่ใช้ Snapdragon ➡️ ช่องโหว่นำไปสู่ use-after-free ซึ่งสามารถทำให้เคอร์เนลล่มหรือถูกโจมตีได้ ➡️ มีการเผยแพร่ PoC ที่สามารถทำให้ระบบล่มได้จริง ➡️ เกิดจากการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายเธรดในจังหวะที่ไม่ปลอดภัย ➡️ Qualcomm แจ้งเตือนผู้ผลิตให้ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว ➡️ ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น เกมหรือแอปที่เปลี่ยนหน้าจอเร็ว ➡️ ยังไม่มีแพตช์อย่างเป็นทางการจาก Qualcomm ณ วันที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KGSL (Kernel Graphics Support Layer) เป็นไดรเวอร์หลักที่จัดการ GPU บน Android ➡️ Race condition เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการจัดการเธรดไม่ปลอดภัยในระบบหลายเธรด ➡️ Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์ ➡️ ช่องโหว่ระดับเคอร์เนลมีความรุนแรงสูง เพราะสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root ได้ ➡️ การโจมตีแบบ privilege escalation สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด https://securityonline.info/under-the-hood-of-a-kernel-crash-poc-exposes-race-condition-in-qualcomms-driver/
    SECURITYONLINE.INFO
    Under the Hood of a Kernel Crash: PoC Exposes Race Condition in Qualcomm's Driver
    A new PoC reveals a race condition in Qualcomm's KGSL GPU driver (CVE-2024-38399). Two threads can access the same list simultaneously, leading to a Use-After-Free vulnerability.
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • “Broadcom อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน VMware — เสี่ยงถูกยกระดับสิทธิ์และขโมยข้อมูลจาก VM โดยไม่รู้ตัว”

    Broadcom ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ VMware Aria Operations และ VMware Tools ซึ่งถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร โดยช่องโหว่เหล่านี้มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ปานกลางไปจนถึงสำคัญ และอาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์หรือขโมยข้อมูลจากระบบเสมือนจริง (VM)

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-41244 เป็นช่องโหว่แบบ Local Privilege Escalation ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์แอดมินใน VM สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ หาก VM นั้นติดตั้ง VMware Tools และถูกจัดการผ่าน Aria Operations ที่เปิดใช้ SDMP

    ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-41245 เป็นช่องโหว่แบบ Information Disclosure ที่เกิดขึ้นใน Aria Operations โดยผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์แอดมินสามารถเข้าถึงข้อมูล credential ของผู้ใช้อื่นในระบบได้

    ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-41246 เป็นช่องโหว่ Improper Authorization ใน VMware Tools for Windows ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนใน vCenter หรือ ESX สามารถเข้าถึง VM อื่น ๆ ได้โดยไม่ควรจะทำได้

    Broadcom ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน VMware Tools 13.0.5 และ 12.5.4 รวมถึง Aria Operations 8.18.5 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ทั้งหมด และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที เนื่องจากไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวหรือ workaround ใด ๆ ที่ปลอดภัยพอในตอนนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Broadcom แก้ไขช่องโหว่ 3 รายการใน VMware Aria Operations และ VMware Tools
    CVE-2025-41244 เป็นช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จากผู้ใช้ทั่วไปเป็น root บน VM
    ช่องโหว่นี้เกิดเมื่อใช้ VMware Tools ร่วมกับ Aria Operations ที่เปิด SDMP
    CVE-2025-41245 เป็นช่องโหว่เปิดเผยข้อมูล credential ของผู้ใช้อื่นใน Aria Operations
    CVE-2025-41246 เป็นช่องโหว่การควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาดใน VMware Tools for Windows
    ผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนใน vCenter หรือ ESX อาจเข้าถึง VM อื่นได้โดยไม่ถูกจำกัด
    แพตช์ถูกปล่อยใน VMware Tools 13.0.5, 12.5.4 และ Aria Operations 8.18.5
    ช่องโหว่มีผลกระทบต่อ VMware Cloud Foundation และ Telco Cloud Platform

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่แบบ privilege escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีมากที่สุดในองค์กร
    SDMP (Software Defined Monitoring Platform) เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการ VM แต่เพิ่มความเสี่ยงหากไม่ตั้งค่าปลอดภัย
    Aria Operations เป็นเครื่องมือจัดการและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบคลาวด์
    VMware Tools เป็นชุดเครื่องมือที่ติดตั้งใน VM เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ hypervisor
    การอัปเดตไดรเวอร์และเครื่องมือใน VM เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายใน

    https://securityonline.info/broadcom-patches-vmware-flaws-privilege-escalation-and-info-disclosure-vulnerabilities-affect-vmware-tools-and-aria-operations/
    🛡️ “Broadcom อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน VMware — เสี่ยงถูกยกระดับสิทธิ์และขโมยข้อมูลจาก VM โดยไม่รู้ตัว” Broadcom ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ VMware Aria Operations และ VMware Tools ซึ่งถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร โดยช่องโหว่เหล่านี้มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ปานกลางไปจนถึงสำคัญ และอาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์หรือขโมยข้อมูลจากระบบเสมือนจริง (VM) ช่องโหว่แรก CVE-2025-41244 เป็นช่องโหว่แบบ Local Privilege Escalation ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์แอดมินใน VM สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ หาก VM นั้นติดตั้ง VMware Tools และถูกจัดการผ่าน Aria Operations ที่เปิดใช้ SDMP ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-41245 เป็นช่องโหว่แบบ Information Disclosure ที่เกิดขึ้นใน Aria Operations โดยผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์แอดมินสามารถเข้าถึงข้อมูล credential ของผู้ใช้อื่นในระบบได้ ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-41246 เป็นช่องโหว่ Improper Authorization ใน VMware Tools for Windows ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนใน vCenter หรือ ESX สามารถเข้าถึง VM อื่น ๆ ได้โดยไม่ควรจะทำได้ Broadcom ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน VMware Tools 13.0.5 และ 12.5.4 รวมถึง Aria Operations 8.18.5 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ทั้งหมด และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที เนื่องจากไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวหรือ workaround ใด ๆ ที่ปลอดภัยพอในตอนนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Broadcom แก้ไขช่องโหว่ 3 รายการใน VMware Aria Operations และ VMware Tools ➡️ CVE-2025-41244 เป็นช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จากผู้ใช้ทั่วไปเป็น root บน VM ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดเมื่อใช้ VMware Tools ร่วมกับ Aria Operations ที่เปิด SDMP ➡️ CVE-2025-41245 เป็นช่องโหว่เปิดเผยข้อมูล credential ของผู้ใช้อื่นใน Aria Operations ➡️ CVE-2025-41246 เป็นช่องโหว่การควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาดใน VMware Tools for Windows ➡️ ผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนใน vCenter หรือ ESX อาจเข้าถึง VM อื่นได้โดยไม่ถูกจำกัด ➡️ แพตช์ถูกปล่อยใน VMware Tools 13.0.5, 12.5.4 และ Aria Operations 8.18.5 ➡️ ช่องโหว่มีผลกระทบต่อ VMware Cloud Foundation และ Telco Cloud Platform ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่แบบ privilege escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีมากที่สุดในองค์กร ➡️ SDMP (Software Defined Monitoring Platform) เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการ VM แต่เพิ่มความเสี่ยงหากไม่ตั้งค่าปลอดภัย ➡️ Aria Operations เป็นเครื่องมือจัดการและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบคลาวด์ ➡️ VMware Tools เป็นชุดเครื่องมือที่ติดตั้งใน VM เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ hypervisor ➡️ การอัปเดตไดรเวอร์และเครื่องมือใน VM เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายใน https://securityonline.info/broadcom-patches-vmware-flaws-privilege-escalation-and-info-disclosure-vulnerabilities-affect-vmware-tools-and-aria-operations/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom Patches VMware Flaws: Privilege Escalation and Info Disclosure Vulnerabilities Affect VMware Tools and Aria Operations
    Broadcom has patched three flaws in VMware Aria Operations and VMware Tools. The vulnerabilities include privilege escalation and information disclosure.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • “Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — โมเดล AI ที่เข้าใจโค้ดลึกที่สุด พร้อมความสามารถ reasoning ระดับมนุษย์”

    Anthropic ประกาศเปิดตัว Claude Sonnet 4.5 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ดและการใช้คอมพิวเตอร์” โดยไม่ใช่แค่เร็วหรือแม่นยำ แต่ยังสามารถทำงานแบบ agentic ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การวางแผนงานหลายขั้นตอน, การจัดการเครื่องมือ, และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในระดับที่มนุษย์ทำได้ยาก

    Claude Sonnet 4.5 ทำคะแนนสูงสุดในหลาย benchmark เช่น SWE-bench Verified (82.0%), OSWorld (61.4%) และ AIME 2025 ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการ reasoning, คณิตศาสตร์ และการใช้เครื่องมือจริงในโลกการทำงาน โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ความคิดต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง

    ในด้านการใช้งานจริง Claude Sonnet 4.5 ถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร เช่น Canva, GitHub Copilot, Figma, และ CoCounsel โดยช่วยลดเวลาในการพัฒนา, วิเคราะห์ข้อมูลทางกฎหมาย, และสร้างต้นแบบดีไซน์ได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Claude Code เช่น ระบบ checkpoint, VS Code extension, context editor, และ Claude Agent SDK ที่เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent ของตัวเองได้ โดยใช้โครงสร้างเดียวกับที่ Claude ใช้ในการจัดการหน่วยความจำและการทำงานแบบ sub-agent

    ด้านความปลอดภัย Claude Sonnet 4.5 ได้รับการฝึกด้วยแนวทาง AI Safety Level 3 พร้อมระบบ classifier ที่ตรวจจับคำสั่งอันตราย เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์) และมีการลด false positive ลงถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมใช้งานผ่าน API และแอปของ Claude
    เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ด, การใช้คอมพิวเตอร์ และ reasoning
    ทำคะแนนสูงสุดใน SWE-bench Verified (82.0%) และ OSWorld (61.4%)
    สามารถทำงานต่อเนื่องได้มากกว่า 30 ชั่วโมงในงานที่ซับซ้อน
    ถูกนำไปใช้งานจริงในองค์กรใหญ่ เช่น Canva, GitHub, Figma, CoCounsel
    Claude Code เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น checkpoint, VS Code extension, context editor
    Claude Agent SDK เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent แบบเดียวกับ Claude ได้
    Claude Sonnet 4.5 ใช้ระบบ AI Safety Level 3 พร้อม classifier ป้องกันคำสั่งอันตราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Sonnet 4.5 ใช้แนวคิด Constitutional AI และ extended thinking เพื่อ reasoning ที่แม่นยำ
    Claude Agent SDK รองรับการจัดการ sub-agent และการทำงานแบบ parallel tool execution
    SWE-bench Verified เป็น benchmark ที่วัดความสามารถในการแก้ปัญหาซอฟต์แวร์จริง
    OSWorld เป็น benchmark ที่วัดการใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์จริง เช่น การกรอกฟอร์มหรือจัดการไฟล์
    Claude Sonnet 4.5 มี context window สูงถึง 200K tokens และรองรับการคิดแบบ interleaved

    https://www.anthropic.com/news/claude-sonnet-4-5
    🧠 “Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — โมเดล AI ที่เข้าใจโค้ดลึกที่สุด พร้อมความสามารถ reasoning ระดับมนุษย์” Anthropic ประกาศเปิดตัว Claude Sonnet 4.5 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ดและการใช้คอมพิวเตอร์” โดยไม่ใช่แค่เร็วหรือแม่นยำ แต่ยังสามารถทำงานแบบ agentic ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การวางแผนงานหลายขั้นตอน, การจัดการเครื่องมือ, และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในระดับที่มนุษย์ทำได้ยาก Claude Sonnet 4.5 ทำคะแนนสูงสุดในหลาย benchmark เช่น SWE-bench Verified (82.0%), OSWorld (61.4%) และ AIME 2025 ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการ reasoning, คณิตศาสตร์ และการใช้เครื่องมือจริงในโลกการทำงาน โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ความคิดต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง ในด้านการใช้งานจริง Claude Sonnet 4.5 ถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร เช่น Canva, GitHub Copilot, Figma, และ CoCounsel โดยช่วยลดเวลาในการพัฒนา, วิเคราะห์ข้อมูลทางกฎหมาย, และสร้างต้นแบบดีไซน์ได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Claude Code เช่น ระบบ checkpoint, VS Code extension, context editor, และ Claude Agent SDK ที่เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent ของตัวเองได้ โดยใช้โครงสร้างเดียวกับที่ Claude ใช้ในการจัดการหน่วยความจำและการทำงานแบบ sub-agent ด้านความปลอดภัย Claude Sonnet 4.5 ได้รับการฝึกด้วยแนวทาง AI Safety Level 3 พร้อมระบบ classifier ที่ตรวจจับคำสั่งอันตราย เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์) และมีการลด false positive ลงถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Claude Sonnet 4.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมใช้งานผ่าน API และแอปของ Claude ➡️ เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกด้านการเขียนโค้ด, การใช้คอมพิวเตอร์ และ reasoning ➡️ ทำคะแนนสูงสุดใน SWE-bench Verified (82.0%) และ OSWorld (61.4%) ➡️ สามารถทำงานต่อเนื่องได้มากกว่า 30 ชั่วโมงในงานที่ซับซ้อน ➡️ ถูกนำไปใช้งานจริงในองค์กรใหญ่ เช่น Canva, GitHub, Figma, CoCounsel ➡️ Claude Code เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น checkpoint, VS Code extension, context editor ➡️ Claude Agent SDK เปิดให้ผู้พัฒนาสร้าง agent แบบเดียวกับ Claude ได้ ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้ระบบ AI Safety Level 3 พร้อม classifier ป้องกันคำสั่งอันตราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้แนวคิด Constitutional AI และ extended thinking เพื่อ reasoning ที่แม่นยำ ➡️ Claude Agent SDK รองรับการจัดการ sub-agent และการทำงานแบบ parallel tool execution ➡️ SWE-bench Verified เป็น benchmark ที่วัดความสามารถในการแก้ปัญหาซอฟต์แวร์จริง ➡️ OSWorld เป็น benchmark ที่วัดการใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์จริง เช่น การกรอกฟอร์มหรือจัดการไฟล์ ➡️ Claude Sonnet 4.5 มี context window สูงถึง 200K tokens และรองรับการคิดแบบ interleaved https://www.anthropic.com/news/claude-sonnet-4-5
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Introducing Claude Sonnet 4.5
    Claude Sonnet 4.5 is the best coding model in the world, strongest model for building complex agents, and best model at using computers.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่”

    ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic)

    การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น

    แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว

    แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31%
    มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง
    ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ
    ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล
    ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation
    โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน
    โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์
    การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100%
    การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
    ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ
    การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว
    โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน
    ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

    https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    🧬 “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่” ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic) การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31% ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง ➡️ ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ ➡️ ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล ➡️ ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation ➡️ โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน ➡️ โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์ ➡️ การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100% ➡️ การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน ➡️ ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว ➡️ โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน ➡️ ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    LIGHTCAPAI.MEDIUM.COM
    The loneliness epidemic threatens physical health like smoking
    Loneliness increases death risk by 32% but we know how to fix it. Real solutions that cut loneliness in half, from mindfulness to community…
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • “คลิป Airsoft บน YouTube อาจละเมิดสิทธิ — เมื่อความสนุกกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายในยุคดิจิทัล”

    ในช่วงกันยายน 2025 มีการถกเถียงกันในวงการ Airsoft และผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube ในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ “สิทธิความเป็นส่วนตัว” ของผู้ที่ปรากฏในวิดีโอโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเฉพาะในคลิปที่ถ่ายกิจกรรม Airsoft ซึ่งมักเกิดในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนามแข่งขันหรือพื้นที่ฝึกซ้อม

    แม้กิจกรรม Airsoft จะถูกกฎหมายในสหราชอาณาจักรภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธจำลอง แต่การเผยแพร่ภาพบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้ โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า หมายเลขทะเบียนรถ หรือเสียงพูด

    YouTube ได้ปรับนโยบายใหม่ให้ผู้ที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้รับความยินยอมสามารถยื่นคำร้องขอให้ลบวิดีโอผ่านระบบ Privacy Complaint ได้ โดยพิจารณาจากความชัดเจนในการระบุตัวตน, ความอ่อนไหวของเนื้อหา, และความจำเป็นในการเผยแพร่เพื่อสาธารณะ

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดิจิทัลว่า ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือใช้วิธีเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องหรือถูกลบวิดีโอโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    คลิป Airsoft ที่เผยแพร่บน YouTube อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว หากถ่ายบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม
    YouTube เปิดระบบ Privacy Complaint ให้ผู้เสียหายร้องขอลบวิดีโอ
    การพิจารณาขึ้นอยู่กับการระบุตัวตนได้ชัดเจน และความอ่อนไหวของเนื้อหา
    กิจกรรม Airsoft ถูกกฎหมายใน UK ภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายอาวุธจำลอง
    ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่
    การถ่ายในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนาม Airsoft ยังต้องระวังเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
    หากไม่สามารถตกลงกับผู้ถูกถ่ายได้ YouTube อาจลบวิดีโอตามคำร้องโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภายใต้กฎหมาย UK GDPR การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมถือว่าผิดกฎหมาย
    การถ่ายวิดีโอในที่สาธารณะไม่ผิดกฎหมาย แต่การเผยแพร่ที่ทำให้บุคคลเสียหายอาจเข้าข่ายละเมิด
    การใช้ AI สร้างภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าข่ายละเมิดสิทธิ
    YouTube พิจารณาความจำเป็นในการเผยแพร่ เช่น ความสนใจสาธารณะหรือเนื้อหาข่าว
    ผู้สร้างคอนเทนต์สามารถใช้เครื่องมือเบลอภาพและเสียงใน YouTube Studio เพื่อป้องกันปัญหา

    https://neilzone.co.uk/2025/09/what-if-i-dont-want-videos-of-my-hobby-time-available-to-the-entire-world/
    🎥 “คลิป Airsoft บน YouTube อาจละเมิดสิทธิ — เมื่อความสนุกกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายในยุคดิจิทัล” ในช่วงกันยายน 2025 มีการถกเถียงกันในวงการ Airsoft และผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube ในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ “สิทธิความเป็นส่วนตัว” ของผู้ที่ปรากฏในวิดีโอโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเฉพาะในคลิปที่ถ่ายกิจกรรม Airsoft ซึ่งมักเกิดในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนามแข่งขันหรือพื้นที่ฝึกซ้อม แม้กิจกรรม Airsoft จะถูกกฎหมายในสหราชอาณาจักรภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธจำลอง แต่การเผยแพร่ภาพบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้ โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า หมายเลขทะเบียนรถ หรือเสียงพูด YouTube ได้ปรับนโยบายใหม่ให้ผู้ที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้รับความยินยอมสามารถยื่นคำร้องขอให้ลบวิดีโอผ่านระบบ Privacy Complaint ได้ โดยพิจารณาจากความชัดเจนในการระบุตัวตน, ความอ่อนไหวของเนื้อหา, และความจำเป็นในการเผยแพร่เพื่อสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดิจิทัลว่า ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือใช้วิธีเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องหรือถูกลบวิดีโอโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ คลิป Airsoft ที่เผยแพร่บน YouTube อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว หากถ่ายบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม ➡️ YouTube เปิดระบบ Privacy Complaint ให้ผู้เสียหายร้องขอลบวิดีโอ ➡️ การพิจารณาขึ้นอยู่กับการระบุตัวตนได้ชัดเจน และความอ่อนไหวของเนื้อหา ➡️ กิจกรรม Airsoft ถูกกฎหมายใน UK ภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายอาวุธจำลอง ➡️ ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ ➡️ การถ่ายในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนาม Airsoft ยังต้องระวังเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ➡️ หากไม่สามารถตกลงกับผู้ถูกถ่ายได้ YouTube อาจลบวิดีโอตามคำร้องโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภายใต้กฎหมาย UK GDPR การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมถือว่าผิดกฎหมาย ➡️ การถ่ายวิดีโอในที่สาธารณะไม่ผิดกฎหมาย แต่การเผยแพร่ที่ทำให้บุคคลเสียหายอาจเข้าข่ายละเมิด ➡️ การใช้ AI สร้างภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าข่ายละเมิดสิทธิ ➡️ YouTube พิจารณาความจำเป็นในการเผยแพร่ เช่น ความสนใจสาธารณะหรือเนื้อหาข่าว ➡️ ผู้สร้างคอนเทนต์สามารถใช้เครื่องมือเบลอภาพและเสียงใน YouTube Studio เพื่อป้องกันปัญหา https://neilzone.co.uk/2025/09/what-if-i-dont-want-videos-of-my-hobby-time-available-to-the-entire-world/
    NEILZONE.CO.UK
    What if I don't want videos of my hobby time available to the entire world?
    I am very much enjoying my newly-resurrected hobby of Airsoft.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส”

    ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี

    การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก

    F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี

    Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน

    F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป
    รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers
    F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้
    F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้
    Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ
    F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก
    ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน
    F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้
    แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย
    การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS
    นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้
    การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android

    https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    📱 “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส” ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป ➡️ รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers ➡️ F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้ ➡️ F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้ ➡️ Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ ➡️ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก ➡️ ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน ➡️ F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย ➡️ การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS ➡️ นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้ ➡️ การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    F-DROID.ORG
    F-Droid and Google's Developer Registration Decree | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    For the past 15 years, F-Droidhas provided a safe and secure haven for Android users around the world tofind and install free and open source apps. When cont...
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพุธที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพุธที่ 1 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’”

    Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี

    เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต

    Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน

    เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา

    แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

    เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP

    Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี
    เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar
    ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน
    เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank
    เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal
    เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund
    เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ
    พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง
    เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย
    ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก
    หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา
    เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน
    HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง
    เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ

    https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    🕊️ “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’” Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี ➡️ เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar ➡️ ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ➡️ เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank ➡️ เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal ➡️ เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund ➡️ เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ ➡️ พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง ➡️ เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย ➡️ ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก ➡️ หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา ➡️ เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน ➡️ HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง ➡️ เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    HUMBLEDOLLAR.COM
    Farewell Friends - HumbleDollar
    If this post is appearing, it means I’ve succumbed to cancer or one of its side effects. Please don’t feel sad for me. I’ve had a life filled with love, great experiences and wonderful career opportunities. Despite my demise at a relatively young age, I consider myself beyond fortunate. I’m hoping that, under the tree in front of our little Philadelphia rowhome, my wife Elaine will place a stone tablet inscribed with my name, and the year I was born and died.
    0 Comments 0 Shares 379 Views 0 Reviews
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น”

    เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง

    ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream

    แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025
    พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่
    ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด
    ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host
    หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว
    ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream
    รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม
    มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America
    เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime
    Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส
    Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น
    การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง
    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
    เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย
    การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน

    https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    🐧 “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น” เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 ➡️ พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ➡️ ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด ➡️ ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host ➡️ หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว ➡️ ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream ➡️ รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม ➡️ มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America ➡️ เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime ➡️ Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น ➡️ การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ⛔ เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย ⛔ การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    GNU Linux-Libre 6.17 Kernel Is Now Available for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    GNU Linux-libre 6.17 kernel is now available for download based on Linux 6.17 and targeted at those who seek 100% freedom for their PCs.
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • “แม่น้ำในอากาศกำลังเปลี่ยนทิศ — เมื่อเส้นทางความชื้นเคลื่อนสู่ขั้วโลก และโลกต้องเตรียมรับมือกับพายุที่ไม่เคยคาดคิด”

    ในระดับที่สูงเหนือศีรษะของเรา มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำในอากาศ” หรือ Atmospheric Rivers ซึ่งเป็นสายธารของไอน้ำที่ไหลผ่านชั้นบรรยากาศ และมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำของโลก โดยสามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลออกจากปากแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว

    ในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ แม่น้ำในอากาศเหล่านี้ช่วยนำหิมะสู่เทือกเขา Sierra Nevada และเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำในแคลิฟอร์เนีย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เช่นกัน

    จากการศึกษาล่าสุดในวารสาร Science Advances พบว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำในอากาศได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้นถึง 6–10 องศาละติจูด ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางระหว่างลอสแอนเจลิสถึงโอเรกอนตอนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุเหล่านี้ในการเติมน้ำประจำปีอาจเผชิญกับภัยแล้ง ในขณะที่พื้นที่ละติจูดสูงที่ไม่เคยเจอฝนหนักมาก่อน อาจต้องรับมือกับพายุที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม

    สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการหมุนเวียนของบรรยากาศ และทำให้กระแสเจ็ตสตรีมที่ควบคุมแม่น้ำในอากาศเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสภาวะ La Niña อย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ฝนหรือภัยแล้ง แต่ยังรวมถึงการละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติก ซึ่งอาจเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก และทำให้แบบจำลองน้ำฝนเดิมไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แม่น้ำในอากาศคือสายธารของไอน้ำในชั้นบรรยากาศที่มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำ
    สามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับแม่น้ำอเมซอน
    ในสหรัฐฯ ตะวันตกช่วยเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำและนำหิมะสู่เทือกเขา
    เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้น 6–10 องศาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา
    ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุอาจขาดน้ำ และพื้นที่ใหม่อาจเจอพายุรุนแรง
    สาเหตุหลักคืออุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน
    การเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อมโยงกับสภาวะ La Niña ที่เกิดต่อเนื่อง
    แม่น้ำในอากาศเพิ่มขึ้นในละติจูด 50°N และ 50°S แต่ลดลงใน 30°N และ 30°S
    ภายใต้สถานการณ์ปล่อยคาร์บอนสูง แม่น้ำในอากาศอาจเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2100

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แม่น้ำในอากาศมีบทบาทในหลายภูมิภาค เช่น สเปน, ชิลี, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร
    แคลิฟอร์เนียพึ่งพาแม่น้ำในอากาศถึง 50% ของปริมาณน้ำฝนต่อปี
    การละลายของน้ำแข็งจากพายุเหล่านี้อาจเร่งการสูญเสียธารน้ำแข็งในอาร์กติก
    แบบจำลองน้ำฝนและแผนที่น้ำท่วมเดิมอาจไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน
    การจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวตามทิศทางใหม่ของพายุ

    https://www.slashgear.com/1978371/atmospheric-rivers-pole-****-weather-impact-explained/
    🌧️ “แม่น้ำในอากาศกำลังเปลี่ยนทิศ — เมื่อเส้นทางความชื้นเคลื่อนสู่ขั้วโลก และโลกต้องเตรียมรับมือกับพายุที่ไม่เคยคาดคิด” ในระดับที่สูงเหนือศีรษะของเรา มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำในอากาศ” หรือ Atmospheric Rivers ซึ่งเป็นสายธารของไอน้ำที่ไหลผ่านชั้นบรรยากาศ และมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำของโลก โดยสามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลออกจากปากแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว ในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ แม่น้ำในอากาศเหล่านี้ช่วยนำหิมะสู่เทือกเขา Sierra Nevada และเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำในแคลิฟอร์เนีย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เช่นกัน จากการศึกษาล่าสุดในวารสาร Science Advances พบว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำในอากาศได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้นถึง 6–10 องศาละติจูด ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางระหว่างลอสแอนเจลิสถึงโอเรกอนตอนกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุเหล่านี้ในการเติมน้ำประจำปีอาจเผชิญกับภัยแล้ง ในขณะที่พื้นที่ละติจูดสูงที่ไม่เคยเจอฝนหนักมาก่อน อาจต้องรับมือกับพายุที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการหมุนเวียนของบรรยากาศ และทำให้กระแสเจ็ตสตรีมที่ควบคุมแม่น้ำในอากาศเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสภาวะ La Niña อย่างต่อเนื่อง ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ฝนหรือภัยแล้ง แต่ยังรวมถึงการละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติก ซึ่งอาจเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก และทำให้แบบจำลองน้ำฝนเดิมไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แม่น้ำในอากาศคือสายธารของไอน้ำในชั้นบรรยากาศที่มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรน้ำ ➡️ สามารถบรรทุกความชื้นได้เทียบเท่ากับแม่น้ำอเมซอน ➡️ ในสหรัฐฯ ตะวันตกช่วยเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำและนำหิมะสู่เทือกเขา ➡️ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ขั้วโลกมากขึ้น 6–10 องศาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ➡️ ส่งผลให้พื้นที่ที่เคยพึ่งพาพายุอาจขาดน้ำ และพื้นที่ใหม่อาจเจอพายุรุนแรง ➡️ สาเหตุหลักคืออุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่เย็นลงในแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เชื่อมโยงกับสภาวะ La Niña ที่เกิดต่อเนื่อง ➡️ แม่น้ำในอากาศเพิ่มขึ้นในละติจูด 50°N และ 50°S แต่ลดลงใน 30°N และ 30°S ➡️ ภายใต้สถานการณ์ปล่อยคาร์บอนสูง แม่น้ำในอากาศอาจเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2100 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แม่น้ำในอากาศมีบทบาทในหลายภูมิภาค เช่น สเปน, ชิลี, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร ➡️ แคลิฟอร์เนียพึ่งพาแม่น้ำในอากาศถึง 50% ของปริมาณน้ำฝนต่อปี ➡️ การละลายของน้ำแข็งจากพายุเหล่านี้อาจเร่งการสูญเสียธารน้ำแข็งในอาร์กติก ➡️ แบบจำลองน้ำฝนและแผนที่น้ำท่วมเดิมอาจไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ➡️ การจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวตามทิศทางใหม่ของพายุ https://www.slashgear.com/1978371/atmospheric-rivers-pole-shit-weather-impact-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Atmospheric Phenomenon Is Drastically Changing Weather Around The World - SlashGear
    Over the past 40 years, atmospheric rivers carrying moisture from the tropics have migrated between 6 and 10 degrees closer to the Earth's poles.
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • “จีนส่งออกเครื่องบินรบเพิ่มขึ้น — เมื่อ J-10C และ JF-17 กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของประเทศกำลังพัฒนา”

    ในอดีต จีนเคยเป็นผู้รับเทคโนโลยีทางทหารจากโซเวียต แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรมการบินของตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบินรบที่มีความสามารถสูงในระดับโลก โดยมีโมเดลเด่นอย่าง Chengdu J-10, JF-17 Thunder, Shenyang J-16, J-35 และ J-20

    แม้เครื่องบินรบจีนส่วนใหญ่จะใช้ภายในประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มส่งออกเครื่องบินรบไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแอฟริกา เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ เมียนมา ซูดาน แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว

    ปากีสถานถือเป็นพันธมิตรหลักของจีนในด้านการทหาร โดยมีการใช้งานเครื่องบินรบจีนหลายรุ่น เช่น F-7 จำนวน 72 ลำ, J-10C จำนวน 20 ลำ และ JF-17 Thunder จำนวน 123 ลำ ซึ่งรุ่นหลังนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างจีนและปากีสถาน และผลิตในประเทศปากีสถานเอง

    บังกลาเทศใช้ Chengdu F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้งาน F-7 และ FTC-2000 สำหรับฝึกบิน ขณะที่ซูดานกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อ J-10CE ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของ J-10C โดยมีรายงานว่าอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้

    แม้จีนจะยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบเทียบเท่าสหรัฐฯ (ซึ่งมีคำสั่งซื้อกว่า 996 ลำในปี 2024) แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ต้องการอาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองแบบที่ผู้ผลิตตะวันตกมักกำหนด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนพัฒนาเครื่องบินรบของตนเอง เช่น J-10, JF-17, J-16, J-35 และ J-20
    ปากีสถานเป็นผู้นำเข้าหลักของเครื่องบินรบจีน เช่น F-7, J-10C และ JF-17
    JF-17 ผลิตในปากีสถาน โดยร่วมพัฒนากับ Chengdu Aircraft Corporation
    บังกลาเทศใช้ F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้ F-7 และ FTC-2000
    ซูดานอยู่ระหว่างจัดซื้อ J-10CE และอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้
    ประเทศในแอฟริกา เช่น แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ใช้ F-7 และ K-8 สำหรับฝึกบิน
    จีนยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบ โดยมีคำสั่งซื้อเพียง 57 ลำในปี 2024
    สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำด้วยคำสั่งซื้อ 996 ลำ ตามด้วยฝรั่งเศสและรัสเซีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    J-10CE เป็นรุ่นส่งออกของ J-10C ที่มีความสามารถ multirole และใช้ขีปนาวุธ PL-15
    J-20 ถูกห้ามส่งออก เช่นเดียวกับ F-22 ของสหรัฐฯ
    ประเทศอย่างอียิปต์และ UAE สนใจเครื่องบินรบจีน หลังถูกปฏิเสธการขาย F-35 จากสหรัฐฯ
    จีนเสนออาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมือง ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
    การส่งออกอาวุธของจีนช่วยสร้างพันธมิตรและขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://www.slashgear.com/1978439/which-countries-use-chinese-fighter-jets/
    ✈️ “จีนส่งออกเครื่องบินรบเพิ่มขึ้น — เมื่อ J-10C และ JF-17 กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของประเทศกำลังพัฒนา” ในอดีต จีนเคยเป็นผู้รับเทคโนโลยีทางทหารจากโซเวียต แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรมการบินของตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบินรบที่มีความสามารถสูงในระดับโลก โดยมีโมเดลเด่นอย่าง Chengdu J-10, JF-17 Thunder, Shenyang J-16, J-35 และ J-20 แม้เครื่องบินรบจีนส่วนใหญ่จะใช้ภายในประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มส่งออกเครื่องบินรบไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแอฟริกา เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ เมียนมา ซูดาน แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ปากีสถานถือเป็นพันธมิตรหลักของจีนในด้านการทหาร โดยมีการใช้งานเครื่องบินรบจีนหลายรุ่น เช่น F-7 จำนวน 72 ลำ, J-10C จำนวน 20 ลำ และ JF-17 Thunder จำนวน 123 ลำ ซึ่งรุ่นหลังนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างจีนและปากีสถาน และผลิตในประเทศปากีสถานเอง บังกลาเทศใช้ Chengdu F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้งาน F-7 และ FTC-2000 สำหรับฝึกบิน ขณะที่ซูดานกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อ J-10CE ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของ J-10C โดยมีรายงานว่าอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้ แม้จีนจะยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบเทียบเท่าสหรัฐฯ (ซึ่งมีคำสั่งซื้อกว่า 996 ลำในปี 2024) แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ต้องการอาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองแบบที่ผู้ผลิตตะวันตกมักกำหนด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนพัฒนาเครื่องบินรบของตนเอง เช่น J-10, JF-17, J-16, J-35 และ J-20 ➡️ ปากีสถานเป็นผู้นำเข้าหลักของเครื่องบินรบจีน เช่น F-7, J-10C และ JF-17 ➡️ JF-17 ผลิตในปากีสถาน โดยร่วมพัฒนากับ Chengdu Aircraft Corporation ➡️ บังกลาเทศใช้ F-7 จำนวน 36 ลำ ส่วนเมียนมาใช้ F-7 และ FTC-2000 ➡️ ซูดานอยู่ระหว่างจัดซื้อ J-10CE และอาจได้รับเครื่องชุดแรกภายในปีนี้ ➡️ ประเทศในแอฟริกา เช่น แซมเบีย แทนซาเนีย และซิมบับเว ใช้ F-7 และ K-8 สำหรับฝึกบิน ➡️ จีนยังไม่เป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องบินรบ โดยมีคำสั่งซื้อเพียง 57 ลำในปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำด้วยคำสั่งซื้อ 996 ลำ ตามด้วยฝรั่งเศสและรัสเซีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ J-10CE เป็นรุ่นส่งออกของ J-10C ที่มีความสามารถ multirole และใช้ขีปนาวุธ PL-15 ➡️ J-20 ถูกห้ามส่งออก เช่นเดียวกับ F-22 ของสหรัฐฯ ➡️ ประเทศอย่างอียิปต์และ UAE สนใจเครื่องบินรบจีน หลังถูกปฏิเสธการขาย F-35 จากสหรัฐฯ ➡️ จีนเสนออาวุธราคาถูกและไม่มีเงื่อนไขทางการเมือง ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ➡️ การส่งออกอาวุธของจีนช่วยสร้างพันธมิตรและขยายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ https://www.slashgear.com/1978439/which-countries-use-chinese-fighter-jets/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Which Countries Use Chinese Fighter Jets? - SlashGear
    China boasts an extensive arsenal of advanced fighter jets that include the Shenyang J-35, Shenyang J-16, Chengdu J-20, the JF-17 Thunder, and the Chengdu J-10.
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น”

    Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส

    เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ

    Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป

    นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB

    ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ

    สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ
    Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ
    การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ
    Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11
    ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ
    Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key
    Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199
    Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่
    Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร
    Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง
    ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง
    Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    🧠 “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น” Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ ➡️ Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ ➡️ การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ ➡️ Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11 ➡️ ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ ➡️ Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key ➡️ Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199 ➡️ Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่ ➡️ Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร ➡️ Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง ➡️ ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง ➡️ Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Should Move To Linux Instead Of Windows 11 - SlashGear
    With support for Windows 10 ending in late 2025, you might be thinking of updating to Windows 11, but you'd be missing on all that Linux has to offer.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน”

    ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์

    Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด

    เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก

    การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน

    เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง

    แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b
    รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี
    โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง
    ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล
    ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน
    เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี
    ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน
    มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม
    เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย
    Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium
    การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์
    การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน
    โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    🚀 “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน” ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์ Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b ➡️ รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี ➡️ โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง ➡️ ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล ➡️ ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน ➡️ เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี ➡️ ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน ➡️ มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม ➡️ เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ➡️ Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium ➡️ การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ➡️ การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน ➡️ โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This 36-Mile Spacecraft Would Take Humanity To The Stars – With No Way Back - SlashGear
    While it's unlikely to come to fruition, designs for the 2.4-billion-ton Chrysalis could see humanity embark on a four-century journey to a new star.
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์”

    ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ

    Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย

    จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode

    ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน
    ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง
    รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส
    มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI
    ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ
    มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ
    แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน
    รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama
    น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม
    วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก
    รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh
    โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา
    AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้
    หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย

    https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    🎬 “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์” ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน ➡️ ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง ➡️ รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส ➡️ มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI ➡️ ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ ➡️ มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ ➡️ แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama ➡️ น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม ➡️ วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก ➡️ รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh ➡️ โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา ➡️ AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้ ➡️ หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Say Goodbye To Shaky Videos: We Tested Hohem's iSteady V3 Ultra Gimbal - SlashGear
    The Hohem iSteady V3 Ultra Gimbal is made to hold your phone while you capture video with a collection of advanced features, from AI to infinite pan tracking.
    0 Comments 0 Shares 299 Views 0 Reviews
  • “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ”

    ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้

    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ

    วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม

    หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด

    กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย
    หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust
    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น
    ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน
    หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์
    Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน
    กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ
    ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย
    Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน
    กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย
    Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป
    การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์

    https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    🕵️‍♂️ “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ” ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย ➡️ หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust ➡️ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น ➡️ ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน ➡️ หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน ➡️ กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ ➡️ ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย ➡️ Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน ➡️ กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย ➡️ Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป ➡️ การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์ https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    HACKREAD.COM
    Dutch Teens Arrested Over Alleged Spying for Pro-Russian Hackers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 343 Views 0 Reviews
  • “DeepSeek-V3.2-Exp เปิดตัวแล้ว — โมเดล AI จีนที่ท้าชน OpenAI ด้วยประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ”

    DeepSeek บริษัท AI จากเมืองหางโจว ประเทศจีน ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า DeepSeek-V3.2-Exp ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ขั้นกลาง” ก่อนเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ โมเดลนี้ถูกปล่อยผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face และถือเป็นการทดลองเชิงเทคนิคที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกและการประมวลผลข้อความยาว โดยไม่เน้นการไล่คะแนนบน leaderboard แบบเดิม

    จุดเด่นของ V3.2-Exp คือการใช้กลไกใหม่ที่เรียกว่า DeepSeek Sparse Attention (DSA) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการคำนวณอย่างมาก และยังคงคุณภาพของผลลัพธ์ไว้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง V3.1-Terminus โดยทีมงานได้ตั้งค่าการฝึกให้เหมือนกันทุกประการ เพื่อพิสูจน์ว่า “ความเร็วและประสิทธิภาพ” คือสิ่งที่พัฒนาได้จริง โดยไม่ต้องแลกกับคุณภาพ

    นอกจากนี้ DeepSeek ยังประกาศลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในประเทศ เช่น Alibaba Qwen และระดับโลกอย่าง OpenAI ซึ่งถือเป็นการเปิดศึกด้านราคาในตลาดโมเดลภาษาอย่างชัดเจน

    แม้โมเดลนี้จะยังไม่ใช่รุ่น “next-gen” ที่หลายคนรอคอย แต่ก็ถือเป็นการกลับมาอย่างมั่นใจของ DeepSeek หลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้า ทำให้ต้องกลับมาใช้ Nvidia อีกครั้ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อ DeepSeek-V3.2-Exp บน Hugging Face
    เป็นการทดลองเพื่อเตรียมเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปของบริษัท
    ใช้กลไก DeepSeek Sparse Attention (DSA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อความยาว
    ตั้งค่าการฝึกเหมือนกับ V3.1-Terminus เพื่อพิสูจน์ว่า DSA ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าแต่เร็วกว่า
    ลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับ Alibaba และ OpenAI
    ไม่เน้นการไล่คะแนน benchmark แต่เน้นการพิสูจน์ประสิทธิภาพจริง
    โมเดลเปิดให้ใช้งานแบบ open-source ภายใต้ MIT License
    มีการปล่อย kernel สำหรับงานวิจัยและการใช้งานประสิทธิภาพสูง
    เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sparse Attention เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการคำนวณในโมเดล Transformer โดยเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญ
    Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกใช้ในการเผยแพร่และทดลองโมเดล
    การลดราคาการใช้งาน API เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยในการเปิดตลาดใหม่หรือแย่งส่วนแบ่งจากคู่แข่ง
    DeepSeek เคยสร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล V3 และ R1 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ปัญหาการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei สะท้อนความท้าทายของจีนในการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/deepseek-releases-model-it-calls-039intermediate-step039-towards-039next-generation-architecture039
    🧠 “DeepSeek-V3.2-Exp เปิดตัวแล้ว — โมเดล AI จีนที่ท้าชน OpenAI ด้วยประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ” DeepSeek บริษัท AI จากเมืองหางโจว ประเทศจีน ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า DeepSeek-V3.2-Exp ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ขั้นกลาง” ก่อนเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ โมเดลนี้ถูกปล่อยผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face และถือเป็นการทดลองเชิงเทคนิคที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกและการประมวลผลข้อความยาว โดยไม่เน้นการไล่คะแนนบน leaderboard แบบเดิม จุดเด่นของ V3.2-Exp คือการใช้กลไกใหม่ที่เรียกว่า DeepSeek Sparse Attention (DSA) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการคำนวณอย่างมาก และยังคงคุณภาพของผลลัพธ์ไว้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง V3.1-Terminus โดยทีมงานได้ตั้งค่าการฝึกให้เหมือนกันทุกประการ เพื่อพิสูจน์ว่า “ความเร็วและประสิทธิภาพ” คือสิ่งที่พัฒนาได้จริง โดยไม่ต้องแลกกับคุณภาพ นอกจากนี้ DeepSeek ยังประกาศลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในประเทศ เช่น Alibaba Qwen และระดับโลกอย่าง OpenAI ซึ่งถือเป็นการเปิดศึกด้านราคาในตลาดโมเดลภาษาอย่างชัดเจน แม้โมเดลนี้จะยังไม่ใช่รุ่น “next-gen” ที่หลายคนรอคอย แต่ก็ถือเป็นการกลับมาอย่างมั่นใจของ DeepSeek หลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้า ทำให้ต้องกลับมาใช้ Nvidia อีกครั้ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อ DeepSeek-V3.2-Exp บน Hugging Face ➡️ เป็นการทดลองเพื่อเตรียมเข้าสู่สถาปัตยกรรมรุ่นถัดไปของบริษัท ➡️ ใช้กลไก DeepSeek Sparse Attention (DSA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อความยาว ➡️ ตั้งค่าการฝึกเหมือนกับ V3.1-Terminus เพื่อพิสูจน์ว่า DSA ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าแต่เร็วกว่า ➡️ ลดราคาการใช้งาน API ลงกว่า 50% เพื่อแข่งขันกับ Alibaba และ OpenAI ➡️ ไม่เน้นการไล่คะแนน benchmark แต่เน้นการพิสูจน์ประสิทธิภาพจริง ➡️ โมเดลเปิดให้ใช้งานแบบ open-source ภายใต้ MIT License ➡️ มีการปล่อย kernel สำหรับงานวิจัยและการใช้งานประสิทธิภาพสูง ➡️ เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากโมเดล R2 ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sparse Attention เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการคำนวณในโมเดล Transformer โดยเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญ ➡️ Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกใช้ในการเผยแพร่และทดลองโมเดล ➡️ การลดราคาการใช้งาน API เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยในการเปิดตลาดใหม่หรือแย่งส่วนแบ่งจากคู่แข่ง ➡️ DeepSeek เคยสร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล V3 และ R1 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ปัญหาการฝึกบนชิป Ascend ของ Huawei สะท้อนความท้าทายของจีนในการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ภายในประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/deepseek-releases-model-it-calls-039intermediate-step039-towards-039next-generation-architecture039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    DeepSeek releases model it calls 'intermediate step' towards 'next-generation architecture'
    BEIJING (Reuters) -Chinese AI developer DeepSeek has released its latest model which it said was an "experimental release" that was more efficient to train and better at processing long sequences of text than previous iterations.
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX”

    Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง

    หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย

    ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3
    คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง
    หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar
    EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้
    FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
    ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์
    ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026
    การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G
    การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย
    SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต
    การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล
    การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    📡 “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX” Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3 ➡️ คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง ➡️ หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar ➡️ EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้ ➡️ FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ➡️ ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026 ➡️ การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G ➡️ การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย ➡️ SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต ➡️ การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล ➡️ การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Verizon in talks to buy EchoStar wireless spectrum, Bloomberg News reports
    (Reuters) -U.S. telecom company Verizon Communications is in discussions with EchoStar about purchasing some of its wireless spectrum, Bloomberg News reported on Monday, citing people familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 Reviews
  • “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม”

    Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย

    PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)

    Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง

    กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์
    ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25%
    ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน
    EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
    Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California
    PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
    ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)
    EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์
    Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom
    EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC
    การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    🎮 “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม” Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% ➡️ ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน ➡️ EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ➡️ Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California ➡️ PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) ➡️ EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom ➡️ EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC ➡️ การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    EA acquired by Saudi Arabian investment fund and others for $55 billion — largest ever buyout of a public company
    “Our creative and passionate teams at EA have delivered extraordinary experiences for hundreds of millions of fans, built some of the world’s most iconic IP, and created significant value for our business. This moment is a powerful recognition of their remarkable work."
    0 Comments 0 Shares 360 Views 0 Reviews
  • รองนายกฯ สุชาติ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าเริ่มปฏิบัติงานในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
    https://www.thai-tai.tv/news/21676/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #รองนายกฯ #ทำเนียบรัฐบาล #กระทรวงทรัพยากรฯ #เริ่มต้นทำงาน #รัฐมนตรีใหม่ #การเมืองไทย #พระพุทธชินราช
    รองนายกฯ สุชาติ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าเริ่มปฏิบัติงานในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี https://www.thai-tai.tv/news/21676/ . #สุชาติชมกลิ่น #รองนายกฯ #ทำเนียบรัฐบาล #กระทรวงทรัพยากรฯ #เริ่มต้นทำงาน #รัฐมนตรีใหม่ #การเมืองไทย #พระพุทธชินราช
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz

    Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด
    ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน
    Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die
    รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel
    ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี
    AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB
    รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P
    Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก
    AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000
    Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ
    การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    ⚙️ “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด ➡️ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน ➡️ Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die ➡️ รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel ➡️ ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี ➡️ AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB ➡️ รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P ➡️ Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก ➡️ AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000 ➡️ Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ ➡️ การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel aims at AMD's Threadripper with its new Granite Rapids-WS CPU — chip armed with core count approaching the flagship AMD Threadripper 9995WX, boasts a 4.8GHz boost clock
    Granite Rapids-WS has the chance to outdo Threadripper 9000WX in core count, similar to what the architecture has done for Intel on the server side.
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews