• https://youtu.be/0yxwPjOMwiE?si=c25ia09Cpt5cNcWg
    https://youtu.be/0yxwPjOMwiE?si=c25ia09Cpt5cNcWg
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร แถลงอ้างพร้อมประกาศเจอภัยคุกคามใหญ่สุดในรอบ 100 ปี เชื่อสหรัฐฯส่งกองเรือรบ 8 ลำเข้าน่านน้ำแคริบเบียนพร้อมมิสไซล์ 1,200 ลูกเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนรัฐบาลคาราคัส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084098

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร แถลงอ้างพร้อมประกาศเจอภัยคุกคามใหญ่สุดในรอบ 100 ปี เชื่อสหรัฐฯส่งกองเรือรบ 8 ลำเข้าน่านน้ำแคริบเบียนพร้อมมิสไซล์ 1,200 ลูกเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนรัฐบาลคาราคัส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084098 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • แรงงานกัมพูชาถูกบีบหนัก ค่าแรงขั้นต่ำไม่พอเลี้ยงชีพ ท่ามกลางเงินเฟ้อ-หนี้ท่วม ขณะที่สหภาพแรงงานเร่งจี้ปรับค่าจ้างขึ้นอย่างน้อย 232 ดอลลาร์ต่อเดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084106

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    แรงงานกัมพูชาถูกบีบหนัก ค่าแรงขั้นต่ำไม่พอเลี้ยงชีพ ท่ามกลางเงินเฟ้อ-หนี้ท่วม ขณะที่สหภาพแรงงานเร่งจี้ปรับค่าจ้างขึ้นอย่างน้อย 232 ดอลลาร์ต่อเดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084106 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับสุขภาพของเขา ในนั้นรวมถึงคำกล่าวอ้างที่ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ระบุ "เป็นข่าวปลอมชัดๆ"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084103

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับสุขภาพของเขา ในนั้นรวมถึงคำกล่าวอ้างที่ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ระบุ "เป็นข่าวปลอมชัดๆ" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000084103 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • ด่วนที่สุด! พรรคประชาชนแถลงมีมติโหวต ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เป็นนายกฯ คนที่ 32
    https://www.thai-tai.tv/news/21279/
    .
    #ไทยไท #พรรคประชาชน #อนุทินชาญวีรกูล #ภูมิใจไทย #โหวตนายก #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    ด่วนที่สุด! พรรคประชาชนแถลงมีมติโหวต ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เป็นนายกฯ คนที่ 32 https://www.thai-tai.tv/news/21279/ . #ไทยไท #พรรคประชาชน #อนุทินชาญวีรกูล #ภูมิใจไทย #โหวตนายก #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • หมอวรงค์ ประกาศ “วันล่มสลายระบอบทักษิณ” ชี้ชัด 6 ปัจจัยหลักที่ทำให้ระบอบการเมืองนี้ถึงจุดจบ
    https://www.thai-tai.tv/news/21281/
    .
    #ไทยไท #วรงค์เดชกิจวิกรม #ระบอบทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร #ฮุนเซน #ภูมิธรรมเวชยชัย #แม่ทัพภาค2 #รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    หมอวรงค์ ประกาศ “วันล่มสลายระบอบทักษิณ” ชี้ชัด 6 ปัจจัยหลักที่ทำให้ระบอบการเมืองนี้ถึงจุดจบ https://www.thai-tai.tv/news/21281/ . #ไทยไท #วรงค์เดชกิจวิกรม #ระบอบทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร #ฮุนเซน #ภูมิธรรมเวชยชัย #แม่ทัพภาค2 #รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • "Bouquet" showcasing in pointillism painting
    "Bouquet" showcasing in pointillism painting
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ด่วน! "ภูมิธรรม" ยื่นทูลเกล้า "ยุบสภาฯ" แล้ว ตัดหน้า พรรคภูมิใจไทย จับมือ พรรคประชาชน จัดตั้งรัฐบาล
    https://www.thai-tai.tv/news/21282/
    .
    #ไทยไท #เพื่อไทย #ยุบสภา #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    ด่วน! "ภูมิธรรม" ยื่นทูลเกล้า "ยุบสภาฯ" แล้ว ตัดหน้า พรรคภูมิใจไทย จับมือ พรรคประชาชน จัดตั้งรัฐบาล https://www.thai-tai.tv/news/21282/ . #ไทยไท #เพื่อไทย #ยุบสภา #จัดตั้งรัฐบาล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • พรรคประชาชน ประกาศสนับสนุน 'อนุทิน' นั่งนายกฯ ทางการแล้ว พร้อมเงื่อนไขยุบสภาภายใน 4 เดือน ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อ-ไม่ส่งตัวแทนรับตำแหน่งรัฐมนตรี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000084119

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    พรรคประชาชน ประกาศสนับสนุน 'อนุทิน' นั่งนายกฯ ทางการแล้ว พร้อมเงื่อนไขยุบสภาภายใน 4 เดือน ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อ-ไม่ส่งตัวแทนรับตำแหน่งรัฐมนตรี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000084119 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/9FTXdqr1GH0?si=tI5tIVbsVPG7ThJ6
    https://youtu.be/9FTXdqr1GH0?si=tI5tIVbsVPG7ThJ6
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์

    แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์

    ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต

    ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ
    Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป
    ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า
    แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง

    ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม
    ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome
    ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น
    ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี

    ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น
    หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก
    หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่
    นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท

    การขยายผลไปยัง GenAI
    ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search
    ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI
    เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด

    https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์ ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต ✅ ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ ➡️ Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป ➡️ ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า ➡️ แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง ✅ ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม ➡️ ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome ➡️ ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น ➡️ ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี ✅ ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น ➡️ หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก ➡️ หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่ ➡️ นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท ✅ การขยายผลไปยัง GenAI ➡️ ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search ➡️ ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI ➡️ เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    WWW.CNBC.COM
    Google stock jumps 8% after search giant avoids worst-case penalties in antitrust case
    The ruling comes nearly a year after a U.S. judge ruled that Google holds an illegal monopoly in its core market of internet search.
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Otherbranch: เมื่อการตามหาวิศวกรที่ “ดีที่สุด” กลายเป็นศัตรูของการจ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง”

    ในโลกของสตาร์ทอัพ การจ้างงานคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง แต่หลายบริษัทกลับติดกับดักความคิดว่า “เราต้องการคนที่ดีที่สุดเท่านั้น” โดยไม่รู้ว่าความคิดนี้กำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา เสียโอกาส และเสีย momentum ไปอย่างเงียบ ๆ

    บทความจาก Otherbranch ชี้ให้เห็นว่า “วิศวกรที่ดีที่สุด” มักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้—เงินเดือนสูงกว่าทั้งทีม, ต้องการ remote work, ไม่ยอมรับเทคโนโลยีที่มี tech debt, และไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction ชัดเจน พวกเขามีตัวเลือกมากมาย และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับสตาร์ทอัพที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเอง

    ในทางกลับกัน “วิศวกรที่ดีมาก” ซึ่งอาจไม่ใช่ระดับท็อปของโลก แต่มีความสามารถจริง พร้อมเรียนรู้ และสามารถ onboard ได้เร็ว กลับถูกมองข้ามเพราะไม่ตรงกับ “เช็กลิสต์ในฝัน” ที่ผู้ก่อตั้งตั้งไว้

    การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว และการยึดติดกับมาตรฐานที่ไม่มีใครผ่านได้ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ทั้งที่เวลาในสตาร์ทอัพคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

    ปัญหาของการตั้งเป้าหมาย “ต้องการคนที่ดีที่สุด”
    คนที่ดีที่สุดมักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้
    พวกเขาไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction หรือยัง early stage
    ต้องการเงินเดือนสูง, remote work, และอิสระในการตัดสินใจ

    ผลกระทบจากการยึดติดกับมาตรฐานสูงเกินไป
    ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม
    เสียเวลาในช่วงที่ควรเร่งสร้าง product และ iterate
    สุดท้ายต้อง “ยอม” จ้างคนที่ไม่ตรงสเปกหลังจากเสียเวลาไปนาน

    ทางเลือกที่ดีกว่า: จ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง”
    วิศวกร mid-level ที่มีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ onboard ได้เร็ว
    สามารถทำงานได้เต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ แทนที่จะรอคนที่ “พร้อมตั้งแต่วันแรก”
    ช่วยให้บริษัทเดินหน้าได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากการรอ

    แนวคิดการจ้างงานแบบมี trade-off
    การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว
    ต้องคิดว่า “วันนี้เราต้องการอะไรจริง ๆ” และยอมแลกบางอย่างเพื่อได้สิ่งนั้น
    การยอมลดบางเงื่อนไข เช่น ชั่วโมงทำงาน หรือประสบการณ์ startup อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

    https://www.otherbranch.com/shared/blog/no-you-dont-want-to-hire-the-best-engineers
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Otherbranch: เมื่อการตามหาวิศวกรที่ “ดีที่สุด” กลายเป็นศัตรูของการจ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง” ในโลกของสตาร์ทอัพ การจ้างงานคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง แต่หลายบริษัทกลับติดกับดักความคิดว่า “เราต้องการคนที่ดีที่สุดเท่านั้น” โดยไม่รู้ว่าความคิดนี้กำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา เสียโอกาส และเสีย momentum ไปอย่างเงียบ ๆ บทความจาก Otherbranch ชี้ให้เห็นว่า “วิศวกรที่ดีที่สุด” มักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้—เงินเดือนสูงกว่าทั้งทีม, ต้องการ remote work, ไม่ยอมรับเทคโนโลยีที่มี tech debt, และไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction ชัดเจน พวกเขามีตัวเลือกมากมาย และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับสตาร์ทอัพที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเอง ในทางกลับกัน “วิศวกรที่ดีมาก” ซึ่งอาจไม่ใช่ระดับท็อปของโลก แต่มีความสามารถจริง พร้อมเรียนรู้ และสามารถ onboard ได้เร็ว กลับถูกมองข้ามเพราะไม่ตรงกับ “เช็กลิสต์ในฝัน” ที่ผู้ก่อตั้งตั้งไว้ การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว และการยึดติดกับมาตรฐานที่ไม่มีใครผ่านได้ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ทั้งที่เวลาในสตาร์ทอัพคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ✅ ปัญหาของการตั้งเป้าหมาย “ต้องการคนที่ดีที่สุด” ➡️ คนที่ดีที่สุดมักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้ ➡️ พวกเขาไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction หรือยัง early stage ➡️ ต้องการเงินเดือนสูง, remote work, และอิสระในการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบจากการยึดติดกับมาตรฐานสูงเกินไป ➡️ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ➡️ เสียเวลาในช่วงที่ควรเร่งสร้าง product และ iterate ➡️ สุดท้ายต้อง “ยอม” จ้างคนที่ไม่ตรงสเปกหลังจากเสียเวลาไปนาน ✅ ทางเลือกที่ดีกว่า: จ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง” ➡️ วิศวกร mid-level ที่มีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ onboard ได้เร็ว ➡️ สามารถทำงานได้เต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ แทนที่จะรอคนที่ “พร้อมตั้งแต่วันแรก” ➡️ ช่วยให้บริษัทเดินหน้าได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากการรอ ✅ แนวคิดการจ้างงานแบบมี trade-off ➡️ การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว ➡️ ต้องคิดว่า “วันนี้เราต้องการอะไรจริง ๆ” และยอมแลกบางอย่างเพื่อได้สิ่งนั้น ➡️ การยอมลดบางเงื่อนไข เช่น ชั่วโมงทำงาน หรือประสบการณ์ startup อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า https://www.otherbranch.com/shared/blog/no-you-dont-want-to-hire-the-best-engineers
    WWW.OTHERBRANCH.COM
    No, you don't want to hire "the best engineers" - Otherbranch
    I think this might be the meanest thing I've ever written.
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • การเมืองสนุกมาก เท้งประกาศแบบนี้ อ้วนมีควันออกหู (3/9/68)

    #TruthFromThailand
    #เท้ง
    #อ้วน
    #การเมืองไทย
    #ข่าวการเมือง
    #ดราม่าการเมือง
    #ข่าวด่วน
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวดัง
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #ThaiPolitics
    #BreakingNews
    #ElectionThailand
    การเมืองสนุกมาก เท้งประกาศแบบนี้ อ้วนมีควันออกหู (3/9/68) #TruthFromThailand #เท้ง #อ้วน #การเมืองไทย #ข่าวการเมือง #ดราม่าการเมือง #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ThaiTimes #news1 #shorts #ThaiPolitics #BreakingNews #ElectionThailand
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค

    ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return”

    เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry”

    คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า

    จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้

    เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key

    เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

    จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด
    เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่
    กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา
    ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล

    การแยก CR และ LF บน teletypes
    Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย
    Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่
    ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor
    Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า
    การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key
    เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ

    การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์
    ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง”
    IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return
    ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์

    ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่
    ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line
    Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม
    การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา

    https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return” เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry” คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้ เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด ➡️ เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา ➡️ ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล ✅ การแยก CR และ LF บน teletypes ➡️ Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย ➡️ Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor ➡️ Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ➡️ การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key ➡️ เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ ✅ การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง” ➡️ IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return ➡️ ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์ ✅ ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่ ➡️ ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line ➡️ Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม ➡️ การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    ARESLUNA.ORG
    The day Return became Enter
    A deep dive into the convoluted and fascinating story of one of the most important keys on the keyboard
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Zero Trust: เมื่อแนวคิด “ไม่เชื่อใครเลย” กลายเป็นสิ่งที่องค์กรยังไม่พร้อมจะเชื่อ

    ในรายงานล่าสุดจาก Accenture ที่สำรวจ CISO และ CIO จากองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก พบว่า 88% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยพบว่าการนำ Zero Trust มาใช้จริงนั้น “ยากมาก” และอีก 80% ยังไม่สามารถปกป้องระบบ cyber-physical ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Zero Trust ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจาก “เชื่อภายใน perimeter” ไปสู่ “ไม่เชื่อใครเลยแม้แต่ในระบบของตัวเอง” ซึ่งขัดกับวิธีคิดที่องค์กรใช้มานานหลายสิบปี

    Prashant Deo จาก Tata Consultancy Services อธิบายว่า Zero Trust คือการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่การติดตั้งระบบแบบ tactical และต้องใช้การวางแผนแบบ phased และ use-case centric ที่ใช้เวลานานถึง 10–12 ปีในการสร้าง foundation ที่แท้จริง

    ปัญหาหลักคือ Zero Trust ไม่มีนิยามที่ชัดเจน—บางคนคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ บางคนคิดว่าเป็น buzzword และบางคนคิดว่าเป็นแค่แนวทางการออกแบบระบบ ทำให้เกิดความสับสนทั้งในระดับผู้บริหารและทีมเทคนิค

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ทำให้ Zero Trust ถูกละเลย เช่น ไม่มี incentive ที่ชัดเจน, ไม่สามารถวัด ROI ได้ทันที, และ compensation ของ CISO ไม่ผูกกับเป้าหมายด้าน Zero Trust โดยตรง

    สถิติจากรายงาน Accenture
    88% ของ CISO พบว่าการนำ Zero Trust มาใช้เป็นเรื่องยาก
    80% ยังไม่สามารถปกป้องระบบ cyber-physical ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    Zero Trust ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์มากกว่าการติดตั้งระบบ

    ความซับซ้อนของ Zero Trust
    ไม่มีนิยามที่ชัดเจน—บางคนมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ บางคนมองว่าเป็นแนวคิด
    ต้องปรับ mindset จาก “เชื่อภายในระบบ” ไปสู่ “ไม่เชื่อใครเลย”
    ต้องใช้การวางแผนแบบ phased และ use-case centric

    ปัจจัยที่ทำให้การนำ Zero Trust ล่าช้า
    ไม่มี incentive ที่ชัดเจนสำหรับผู้บริหาร
    ROI ไม่สามารถวัดได้ทันที ทำให้ไม่ถูก prioritize
    Compensation ของ CISO ไม่ผูกกับเป้าหมายด้าน Zero Trust

    ความแตกต่างของแต่ละองค์กร
    Compliance, geography, vertical, partner ecosystem ต่างกันมาก
    ทำให้ไม่สามารถใช้ template เดียวกันได้ในการ implement
    ต้องปรับตาม on-prem, cloud, IoT, legacy และ remote site

    https://www.csoonline.com/article/4048002/88-of-cisos-struggle-to-implement-zero-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Zero Trust: เมื่อแนวคิด “ไม่เชื่อใครเลย” กลายเป็นสิ่งที่องค์กรยังไม่พร้อมจะเชื่อ ในรายงานล่าสุดจาก Accenture ที่สำรวจ CISO และ CIO จากองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก พบว่า 88% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยพบว่าการนำ Zero Trust มาใช้จริงนั้น “ยากมาก” และอีก 80% ยังไม่สามารถปกป้องระบบ cyber-physical ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Zero Trust ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจาก “เชื่อภายใน perimeter” ไปสู่ “ไม่เชื่อใครเลยแม้แต่ในระบบของตัวเอง” ซึ่งขัดกับวิธีคิดที่องค์กรใช้มานานหลายสิบปี Prashant Deo จาก Tata Consultancy Services อธิบายว่า Zero Trust คือการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่การติดตั้งระบบแบบ tactical และต้องใช้การวางแผนแบบ phased และ use-case centric ที่ใช้เวลานานถึง 10–12 ปีในการสร้าง foundation ที่แท้จริง ปัญหาหลักคือ Zero Trust ไม่มีนิยามที่ชัดเจน—บางคนคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ บางคนคิดว่าเป็น buzzword และบางคนคิดว่าเป็นแค่แนวทางการออกแบบระบบ ทำให้เกิดความสับสนทั้งในระดับผู้บริหารและทีมเทคนิค นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ทำให้ Zero Trust ถูกละเลย เช่น ไม่มี incentive ที่ชัดเจน, ไม่สามารถวัด ROI ได้ทันที, และ compensation ของ CISO ไม่ผูกกับเป้าหมายด้าน Zero Trust โดยตรง ✅ สถิติจากรายงาน Accenture ➡️ 88% ของ CISO พบว่าการนำ Zero Trust มาใช้เป็นเรื่องยาก ➡️ 80% ยังไม่สามารถปกป้องระบบ cyber-physical ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ Zero Trust ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์มากกว่าการติดตั้งระบบ ✅ ความซับซ้อนของ Zero Trust ➡️ ไม่มีนิยามที่ชัดเจน—บางคนมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ บางคนมองว่าเป็นแนวคิด ➡️ ต้องปรับ mindset จาก “เชื่อภายในระบบ” ไปสู่ “ไม่เชื่อใครเลย” ➡️ ต้องใช้การวางแผนแบบ phased และ use-case centric ✅ ปัจจัยที่ทำให้การนำ Zero Trust ล่าช้า ➡️ ไม่มี incentive ที่ชัดเจนสำหรับผู้บริหาร ➡️ ROI ไม่สามารถวัดได้ทันที ทำให้ไม่ถูก prioritize ➡️ Compensation ของ CISO ไม่ผูกกับเป้าหมายด้าน Zero Trust ✅ ความแตกต่างของแต่ละองค์กร ➡️ Compliance, geography, vertical, partner ecosystem ต่างกันมาก ➡️ ทำให้ไม่สามารถใช้ template เดียวกันได้ในการ implement ➡️ ต้องปรับตาม on-prem, cloud, IoT, legacy และ remote site https://www.csoonline.com/article/4048002/88-of-cisos-struggle-to-implement-zero-trust.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    88% of CISOs struggle to implement zero trust
    Vaguely defined, minimally incentivized, and often unending, the zero trust journey is notably challenging and complex. Says one authentication manager: ‘I want to meet the 12% who have not found it a struggle.’
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • บิ๊กกุ้งพูดนิ่มๆ นักการเมืองอย่าเอาอำนาจผิดๆมาสั่งทหาร (3/9/68)

    #TruthFromThailand
    #บิ๊กกุ้ง
    #แม่ทัพภาค2
    #กองทัพไทย
    #นักการเมืองไทย
    #อำนาจการเมือง
    #ข่าวการเมือง
    #การเมืองไทย
    #ข่าวด่วน
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวดัง
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #ThaiPolitics
    #BreakingNews
    บิ๊กกุ้งพูดนิ่มๆ นักการเมืองอย่าเอาอำนาจผิดๆมาสั่งทหาร (3/9/68) #TruthFromThailand #บิ๊กกุ้ง #แม่ทัพภาค2 #กองทัพไทย #นักการเมืองไทย #อำนาจการเมือง #ข่าวการเมือง #การเมืองไทย #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ThaiTimes #news1 #shorts #ThaiPolitics #BreakingNews
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 0 Reviews
  • แพ็คเกจล่องเรือฝรั่งเศสเหนือ 8 วัน บน Scenic Amber เรือหรูระดับ 5 ดาว จากปารีสสู่เมืองคลาสสิกริมแม่น้ำแซน

    ปารีส – รูอ็อง – อ็องเฟลอร์ – เวอร์นอน – ลา โรช กียง

    เดินทาง มี.ค. - ต.ค. 2569

    ⭕️ ราคาเริ่มต้นปกติ 3,99 5EUR > เหลือเพียง 3,545 EUR

    ราคานี้รวมครบ
    ห้องพักบนเรือสำราญ
    กิจกรรม Scenic Freechoice ที่รวมในแพ็คเกจ
    อาหารทุกมื้อบนเรือ
    เครื่องดื่มพรีเมี่ยมแบบไม่จำกัดตลอดวัน

    รหัสแพคเกจทัวร์ : SRCP-8D7N-PAR-PAR-2610291
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e6a8

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #ScenicAmber #Scenicluxurycruise #SeineRiver #Normandy #France #Paris #LuxuryCruise #ล่องเรือยุโรป #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    แพ็คเกจล่องเรือฝรั่งเศสเหนือ 8 วัน บน Scenic Amber เรือหรูระดับ 5 ดาว จากปารีสสู่เมืองคลาสสิกริมแม่น้ำแซน ✨ ➡️ ปารีส – รูอ็อง – อ็องเฟลอร์ – เวอร์นอน – ลา โรช กียง 📅 เดินทาง มี.ค. - ต.ค. 2569 ⭕️ ราคาเริ่มต้นปกติ 3,99 5EUR > เหลือเพียง 3,545 EUR ✨ ราคานี้รวมครบ ✅ ห้องพักบนเรือสำราญ ✅ กิจกรรม Scenic Freechoice ที่รวมในแพ็คเกจ ✅ อาหารทุกมื้อบนเรือ ✅ เครื่องดื่มพรีเมี่ยมแบบไม่จำกัดตลอดวัน ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : SRCP-8D7N-PAR-PAR-2610291 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e6a8 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #ScenicAmber #Scenicluxurycruise #SeineRiver #Normandy #France #Paris #LuxuryCruise #ล่องเรือยุโรป #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/EzDFoGZNogQ?si=WsyCrvpbZWyZuZCI
    https://youtu.be/EzDFoGZNogQ?si=WsyCrvpbZWyZuZCI
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch

    แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays

    แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง

    Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่

    โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256
    ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs
    แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking
    ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray

    สถาปัตยกรรมของ Verano CPU
    ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่
    ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet
    ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ

    เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ
    Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node
    รองรับ external throughput ระดับ 800G
    ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU

    แผนการเปิดตัว
    MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026
    MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027
    เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC

    https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UAL256: เมื่อ AMD สร้างระบบ rack-scale ที่ไม่ใช่แค่แรง แต่ “เชื่อมโยงทุกอย่าง” ด้วย Ultra Ethernet และ Vulcano switch แม้ AMD ยังไม่เปิดตัว Instinct MI400 อย่างเป็นทางการ แต่บริษัทก็เริ่มเผยโครงสร้างของรุ่นถัดไป—Instinct MI500 UAL256 ซึ่งเป็น rack-scale system รุ่นที่สอง ต่อจาก MI450X “Helios” ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ในระบบ UAL256 แต่ละ compute node จะประกอบด้วย 1 CPU รหัส “Verano” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 7 และ 4 GPU รุ่น MI500 โดยรวมแล้ว Mega Pod หนึ่งชุดจะมี 64 CPU และ 256 GPU กระจายอยู่ในสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และเชื่อมต่อกันด้วยแร็คกลางที่มี 18 networking trays แต่ละ tray จะใช้ Vulcano switch ASICs จำนวน 4 ตัว ที่รองรับ throughput ระดับ 800G ต่อ tray และผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเชื่อมต่อภายใน rack-scale system อย่างแท้จริง Verano CPU จะใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink และ Ultra Ethernet ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ AMD กำลังผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI/HPC ในยุคถัดไป โดยยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจเหมือน Venice หรือไม่ ✅ โครงสร้างของ Instinct MI500 UAL256 ➡️ ประกอบด้วย 64 Verano CPUs และ 256 MI500 GPUs ➡️ แบ่งเป็นสองแร็คหลัก (32-node ต่อแร็ค) และแร็คกลางสำหรับ networking ➡️ ใช้ Vulcano switch ASICs ที่รองรับ 800G throughput ต่อ tray ✅ สถาปัตยกรรมของ Verano CPU ➡️ ใช้ Zen 7 microarchitecture ที่เน้น IPC และ instruction set ใหม่ ➡️ ยังคงใช้ Socket SP7 และรองรับ PCIe Gen 6, UALink, Ultra Ethernet ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะเพิ่ม core count เกิน 256 cores ต่อแพ็กเกจ ✅ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในระบบ ➡️ Vulcano switch ผลิตบน TSMC 3nm node ➡️ รองรับ external throughput ระดับ 800G ➡️ ใช้ Ultra Ethernet เป็นโครงสร้างหลักในการเชื่อมต่อ GPU/CPU ✅ แผนการเปิดตัว ➡️ MI450X “Helios” จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ MI500 UAL256 Mega Pod จะเปิดตัวในปี 2027 ➡️ เป็นระบบ rack-scale รุ่นที่สองของ AMD สำหรับ AI และ HPC https://www.techpowerup.com/340598/amd-instinct-mi500-ual256-mega-pod-to-scale-up-to-256-gpus-64-verano-cpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Instinct MI500 UAL256 Mega Pod to Scale up to 256 GPUs, 64 "Verano" CPUs
    While AMD hasn't launched its upcoming Instinct MI400 series of accelerators yet, the company has started preparing its supply chain for what comes after. Thanks to SemiAnalysis, we have a clearer picture of what AMD's Instinct MI500 UAL256 rack will look like. At the base of each compute node, ther...
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพกุ้งพูดแบบนี้ ทหารคนไหนที่ชอบอำนาจการเมือง ต้องมีกระอักสำลัก (3/9/68)

    #TruthFromThailand
    #แม่ทัพกุ้ง
    #แม่ทัพภาค2
    #กองทัพไทย
    #อำนาจการเมือง
    #ทหารการเมือง
    #ข่าวการเมือง
    #การเมืองไทย
    #ข่าวด่วน
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวดัง
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #ThaiPolitics
    #BreakingNews
    แม่ทัพกุ้งพูดแบบนี้ ทหารคนไหนที่ชอบอำนาจการเมือง ต้องมีกระอักสำลัก (3/9/68) #TruthFromThailand #แม่ทัพกุ้ง #แม่ทัพภาค2 #กองทัพไทย #อำนาจการเมือง #ทหารการเมือง #ข่าวการเมือง #การเมืองไทย #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ThaiTimes #news1 #shorts #ThaiPolitics #BreakingNews
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน

    เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์

    แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต

    การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส

    นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว

    การค้นพบของ MIT
    ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์
    พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์
    การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ

    เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย
    ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน
    ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain
    ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป
    ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์
    เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง

    ทีมวิจัยและการสนับสนุน
    นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta
    ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ
    ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์ แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว ✅ การค้นพบของ MIT ➡️ ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์ ➡️ พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์ ➡️ การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ✅ เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย ➡️ ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน ➡️ ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain ➡️ ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์ ➡️ เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง ✅ ทีมวิจัยและการสนับสนุน ➡️ นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta ➡️ ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ➡️ ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    WWW.TRENDLYNEWS.IN
    MIT scientists find X-ray technique that could enhance durability of nuclear materials and computer chips
    Trending News, Listen News, Top Trending Topics, Videos, Popular News #love #photooftheday #instagood #picoftheday #bestoftheday #giveaway #crypto #ai
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก ConcreteSC: เมื่อการสื่อสารไร้สายเรียนรู้ที่จะ “เข้าใจ” มากกว่าแค่ “ส่ง”

    ในอดีต การส่งข้อมูลไร้สายคือการพยายามถ่ายทอดทุกบิตให้ตรงที่สุด—ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือข้อความ ทุกพิกเซลต้องถูกส่งอย่างแม่นยำ แต่ในยุคที่ AI และอุปกรณ์ IoT กำลังครองโลก แนวคิดนี้เริ่มล้าสมัย เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ “ข้อมูลดิบ” แต่คือ “ความหมายที่เข้าใจได้”

    ทีมวิจัยจาก Seoul National University of Science and Technology นำโดย Dr. Dong Jin Ji ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า ConcreteSC ซึ่งเป็น framework สำหรับ “semantic communication” ที่ไม่ส่งข้อมูลแบบเดิม แต่ส่ง “สิ่งที่ข้อมูลนั้นหมายถึง” โดยตรง

    ConcreteSC ไม่ใช้ codebook ขนาดใหญ่แบบ vector quantization (VQ) ซึ่งมักมีปัญหาเรื่อง noise และความซับซ้อนในการฝึกโมเดล แต่ใช้ distribution แบบ “concrete” ที่สามารถแปลงข้อมูลต่อเนื่องให้เป็นบิตได้โดยตรง และรองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวน

    เมื่อทดสอบกับชุดข้อมูล ImageNet ภายใต้เงื่อนไข Rayleigh และ Rician fading ซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมไร้สายจริง ConcreteSC ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน structural similarity และ peak signal-to-noise ratio พร้อมลดความซับซ้อนของระบบลงอย่างมาก

    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ใน smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมากโดยไม่ต้องใช้สาย, หรือในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ที่ต้องการความแม่นยำแต่ไม่สามารถส่งข้อมูลจำนวนมากได้

    แนวคิดหลักของ ConcreteSC
    เป็น framework สำหรับ semantic communication ที่เน้นการส่ง “ความหมาย” มากกว่าข้อมูลดิบ
    ใช้ concrete distribution แทน codebook ขนาดใหญ่แบบ VQ
    รองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มี noise

    ผลการทดสอบและประสิทธิภาพ
    ทดสอบกับ ImageNet ภายใต้ Rayleigh และ Rician fading
    ให้ผลลัพธ์ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน SSIM และ PSNR
    ลดความซับซ้อน เพราะ scaling ตาม bit length ไม่ใช่ขนาด codebook

    การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม
    เหมาะกับ smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมาก
    ใช้ในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุ
    รองรับการทำงานของ AI บนอุปกรณ์ขนาดเล็กโดยไม่ต้องใช้ bandwidth สูง

    ความก้าวหน้าทางเทคนิค
    สามารถฝึกโมเดลแบบ multi-feedback-length ด้วย masking scheme ที่เรียบง่าย
    เป็น framework ที่ fully differentiable และสามารถ integrate กับระบบอื่นได้ง่าย
    เปิดทางให้ใช้ semantic communication เป็นแกนหลักของ 6G

    https://www.techradar.com/pro/korean-researchers-develop-new-technology-that-could-boost-processing-unit-by-being-more-human-semantic-communication-focuses-on-the-bigger-picture-literally
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ConcreteSC: เมื่อการสื่อสารไร้สายเรียนรู้ที่จะ “เข้าใจ” มากกว่าแค่ “ส่ง” ในอดีต การส่งข้อมูลไร้สายคือการพยายามถ่ายทอดทุกบิตให้ตรงที่สุด—ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือข้อความ ทุกพิกเซลต้องถูกส่งอย่างแม่นยำ แต่ในยุคที่ AI และอุปกรณ์ IoT กำลังครองโลก แนวคิดนี้เริ่มล้าสมัย เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ “ข้อมูลดิบ” แต่คือ “ความหมายที่เข้าใจได้” ทีมวิจัยจาก Seoul National University of Science and Technology นำโดย Dr. Dong Jin Ji ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า ConcreteSC ซึ่งเป็น framework สำหรับ “semantic communication” ที่ไม่ส่งข้อมูลแบบเดิม แต่ส่ง “สิ่งที่ข้อมูลนั้นหมายถึง” โดยตรง ConcreteSC ไม่ใช้ codebook ขนาดใหญ่แบบ vector quantization (VQ) ซึ่งมักมีปัญหาเรื่อง noise และความซับซ้อนในการฝึกโมเดล แต่ใช้ distribution แบบ “concrete” ที่สามารถแปลงข้อมูลต่อเนื่องให้เป็นบิตได้โดยตรง และรองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวน เมื่อทดสอบกับชุดข้อมูล ImageNet ภายใต้เงื่อนไข Rayleigh และ Rician fading ซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมไร้สายจริง ConcreteSC ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน structural similarity และ peak signal-to-noise ratio พร้อมลดความซับซ้อนของระบบลงอย่างมาก เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ใน smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมากโดยไม่ต้องใช้สาย, หรือในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ที่ต้องการความแม่นยำแต่ไม่สามารถส่งข้อมูลจำนวนมากได้ ✅ แนวคิดหลักของ ConcreteSC ➡️ เป็น framework สำหรับ semantic communication ที่เน้นการส่ง “ความหมาย” มากกว่าข้อมูลดิบ ➡️ ใช้ concrete distribution แทน codebook ขนาดใหญ่แบบ VQ ➡️ รองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มี noise ✅ ผลการทดสอบและประสิทธิภาพ ➡️ ทดสอบกับ ImageNet ภายใต้ Rayleigh และ Rician fading ➡️ ให้ผลลัพธ์ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน SSIM และ PSNR ➡️ ลดความซับซ้อน เพราะ scaling ตาม bit length ไม่ใช่ขนาด codebook ✅ การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ➡️ เหมาะกับ smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมาก ➡️ ใช้ในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุ ➡️ รองรับการทำงานของ AI บนอุปกรณ์ขนาดเล็กโดยไม่ต้องใช้ bandwidth สูง ✅ ความก้าวหน้าทางเทคนิค ➡️ สามารถฝึกโมเดลแบบ multi-feedback-length ด้วย masking scheme ที่เรียบง่าย ➡️ เป็น framework ที่ fully differentiable และสามารถ integrate กับระบบอื่นได้ง่าย ➡️ เปิดทางให้ใช้ semantic communication เป็นแกนหลักของ 6G https://www.techradar.com/pro/korean-researchers-develop-new-technology-that-could-boost-processing-unit-by-being-more-human-semantic-communication-focuses-on-the-bigger-picture-literally
    WWW.TECHRADAR.COM
    ConcreteSC is a new idea from South Korean scientists that could make 6G networks work better
    ConcreteSC tech could deliver 39x speed boost for next-gen wireless networks
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Pezy SC4s: เมื่อ CPU ไม่ใช่แค่สมองกลาง แต่กลายเป็น “เครือข่ายของหมู่บ้านที่คิดเองได้”

    ในงาน Hot Chips 2025 บริษัท Pezy Computing จากญี่ปุ่นได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า SC4s ซึ่งใช้แนวคิด MIMD (Multiple Instructions, Multiple Data) แทนที่จะเป็น SIMD หรือ SIMT แบบที่ CPU ทั่วไปใช้กัน

    Pezy เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมของตัวเองกับ “สังคมของรัฐ จังหวัด เมือง และหมู่บ้าน” ที่แต่ละหน่วยสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากศูนย์กลาง ซึ่งต่างจาก CPU ทั่วไปที่มักใช้การประมวลผลแบบ lockstep หรือควบคุมจาก instruction เดียว

    SC4s ถูกผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC และมีขนาด die ใหญ่ถึง 556mm² ซึ่งถือว่า “มหึมา” เมื่อเทียบกับ CPU ทั่วไป แต่ Pezy ไม่สนใจเรื่องพื้นที่ซิลิคอน เพราะเป้าหมายคือการทดสอบว่า “การขยายขนาดแบบสุดโต่ง” จะให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าหรือไม่

    แม้จะยังไม่มีชิปจริงออกมา แต่ Pezy ได้เผยผลการจำลองการทำงานของ SC4s ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการประมวลผล DGEMM (matrix multiplication) ชิปนี้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า และในการรันอัลกอริธึม Smith-Waterman สำหรับ genome alignment ก็เร็วขึ้นถึง 4 เท่า

    Pezy ยังประกาศว่ากำลังพัฒนา SC5 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่านั้น และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 แม้จะรู้ดีว่า timeline แบบนี้มักจะเปลี่ยนได้ตลอด

    สถาปัตยกรรม MIMD ของ Pezy SC4s
    ใช้แนวคิด “หลายคำสั่ง หลายข้อมูล” แทน “คำสั่งเดียว หลายข้อมูล”
    เหมาะกับงานที่มี thread อิสระจำนวนมาก เช่น genome alignment หรือ AI inference
    เปรียบเทียบกับสังคมที่แต่ละหน่วยตัดสินใจเอง ไม่ต้องรอศูนย์กลาง

    ข้อมูลทางเทคนิคของ SC4s
    ผลิตบน TSMC 5nm
    ขนาด die ประมาณ 556mm² ใหญ่กว่าชิปทั่วไป
    ไม่เน้นลดพื้นที่ แต่เน้นทดสอบประสิทธิภาพจากการขยายขนาด

    ผลการจำลองประสิทธิภาพ
    DGEMM: ประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า
    Smith-Waterman: เร็วขึ้นเกือบ 4 เท่า
    ยังไม่มีผลการทดสอบจากชิปจริง

    แผนการพัฒนาในอนาคต
    SC5 จะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่า
    ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027
    ยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและจำลอง

    https://www.techradar.com/pro/security/states-prefectures-cities-and-villages-how-one-tiny-japanese-cpu-maker-is-taking-a-radically-different-route-to-making-processors-with-thousands-of-cores
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pezy SC4s: เมื่อ CPU ไม่ใช่แค่สมองกลาง แต่กลายเป็น “เครือข่ายของหมู่บ้านที่คิดเองได้” ในงาน Hot Chips 2025 บริษัท Pezy Computing จากญี่ปุ่นได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า SC4s ซึ่งใช้แนวคิด MIMD (Multiple Instructions, Multiple Data) แทนที่จะเป็น SIMD หรือ SIMT แบบที่ CPU ทั่วไปใช้กัน Pezy เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมของตัวเองกับ “สังคมของรัฐ จังหวัด เมือง และหมู่บ้าน” ที่แต่ละหน่วยสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากศูนย์กลาง ซึ่งต่างจาก CPU ทั่วไปที่มักใช้การประมวลผลแบบ lockstep หรือควบคุมจาก instruction เดียว SC4s ถูกผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC และมีขนาด die ใหญ่ถึง 556mm² ซึ่งถือว่า “มหึมา” เมื่อเทียบกับ CPU ทั่วไป แต่ Pezy ไม่สนใจเรื่องพื้นที่ซิลิคอน เพราะเป้าหมายคือการทดสอบว่า “การขยายขนาดแบบสุดโต่ง” จะให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าหรือไม่ แม้จะยังไม่มีชิปจริงออกมา แต่ Pezy ได้เผยผลการจำลองการทำงานของ SC4s ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการประมวลผล DGEMM (matrix multiplication) ชิปนี้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า และในการรันอัลกอริธึม Smith-Waterman สำหรับ genome alignment ก็เร็วขึ้นถึง 4 เท่า Pezy ยังประกาศว่ากำลังพัฒนา SC5 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่านั้น และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 แม้จะรู้ดีว่า timeline แบบนี้มักจะเปลี่ยนได้ตลอด ✅ สถาปัตยกรรม MIMD ของ Pezy SC4s ➡️ ใช้แนวคิด “หลายคำสั่ง หลายข้อมูล” แทน “คำสั่งเดียว หลายข้อมูล” ➡️ เหมาะกับงานที่มี thread อิสระจำนวนมาก เช่น genome alignment หรือ AI inference ➡️ เปรียบเทียบกับสังคมที่แต่ละหน่วยตัดสินใจเอง ไม่ต้องรอศูนย์กลาง ✅ ข้อมูลทางเทคนิคของ SC4s ➡️ ผลิตบน TSMC 5nm ➡️ ขนาด die ประมาณ 556mm² ใหญ่กว่าชิปทั่วไป ➡️ ไม่เน้นลดพื้นที่ แต่เน้นทดสอบประสิทธิภาพจากการขยายขนาด ✅ ผลการจำลองประสิทธิภาพ ➡️ DGEMM: ประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า ➡️ Smith-Waterman: เร็วขึ้นเกือบ 4 เท่า ➡️ ยังไม่มีผลการทดสอบจากชิปจริง ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต ➡️ SC5 จะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่า ➡️ ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 ➡️ ยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและจำลอง https://www.techradar.com/pro/security/states-prefectures-cities-and-villages-how-one-tiny-japanese-cpu-maker-is-taking-a-radically-different-route-to-making-processors-with-thousands-of-cores
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • คงสถานะฝ่ายค้าน ล้มรัฐบาลเสียงข้างน้อย : [NEWS UPDATE]
    นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน เผยถึงแนวทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่าย เราเห็นตรงกันว่า ไม่ใช่การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด แต่เลือกนายกที่มีโอกาสยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญมากที่สุด ส่วนการไม่ร่วมเป็นรัฐบาลจะปิดโอกาสประเทศหรือไม่นั้น เมื่อไหร่ที่พรรคผิดคำพูดกับประชาชนจะไม่น่าเชื่อถือ เราต้องการคงสถานะฝ่ายค้าน เพื่อให้มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เราสามารถควบคุมให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยรักษาสัญญา ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไปร่วมรัฐบาลจะกลายเป็นว่าเราไม่สามารถเป็นฝ่ายค้านที่ล้มรัฐบาลได้ เพราะรัฐบาลที่จะตอบโจทย์ประเทศคือที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า 


    ยุบสภาเป็นขั้นต่อไป

    เห็นตรง ครม. ชั่วคราว

    พร้อมทำตามคำสั่งที่ถูก

    ต้องการคนดีและเก่ง
    คงสถานะฝ่ายค้าน ล้มรัฐบาลเสียงข้างน้อย : [NEWS UPDATE] นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน เผยถึงแนวทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่าย เราเห็นตรงกันว่า ไม่ใช่การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด แต่เลือกนายกที่มีโอกาสยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญมากที่สุด ส่วนการไม่ร่วมเป็นรัฐบาลจะปิดโอกาสประเทศหรือไม่นั้น เมื่อไหร่ที่พรรคผิดคำพูดกับประชาชนจะไม่น่าเชื่อถือ เราต้องการคงสถานะฝ่ายค้าน เพื่อให้มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เราสามารถควบคุมให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยรักษาสัญญา ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไปร่วมรัฐบาลจะกลายเป็นว่าเราไม่สามารถเป็นฝ่ายค้านที่ล้มรัฐบาลได้ เพราะรัฐบาลที่จะตอบโจทย์ประเทศคือที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า  ยุบสภาเป็นขั้นต่อไป เห็นตรง ครม. ชั่วคราว พร้อมทำตามคำสั่งที่ถูก ต้องการคนดีและเก่ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ”

    ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้

    UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น

    แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน

    Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที

    ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น

    โครงสร้างของ UB-Mesh
    ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack
    รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น
    ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่

    เป้าหมายของ UB-Mesh
    เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center
    ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น
    ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล

    ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม
    Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์
    Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที
    ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว

    การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน
    Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า
    หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน
    ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น

    การทดสอบและการใช้งานจริง
    Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด
    UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน
    เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง

    https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ” ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้ UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น ✅ โครงสร้างของ UB-Mesh ➡️ ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack ➡️ รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น ➡️ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ เป้าหมายของ UB-Mesh ➡️ เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center ➡️ ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น ➡️ ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล ✅ ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม ➡️ Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ ➡️ Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ➡️ ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว ✅ การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน ➡️ Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า ➡️ หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน ➡️ ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น ✅ การทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด ➡️ UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน ➡️ เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews