• Start Menu ของ Windows 11 กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อดราม่าประจำวงการคอม หลังเปิดตัวในปี 2021 เพราะหลายคนรู้สึกว่าใช้งานยาก ปรับแต่งไม่ได้ และไม่สะดวกแบบ Windows 10 ล่าสุด Microsoft จึงออกแบบใหม่ใน Windows 11 เวอร์ชันทดสอบ (Dev และ Beta channel) เพื่อคืนความสุขให้ผู้ใช้

    ทีมพัฒนาเริ่มจากการเปิด Feedback Hub ให้ผู้ใช้โหวตฟีเจอร์ที่อยากได้มากที่สุด และทำ “Checklist” เทียบว่าอะไรทำแล้ว อะไรยัง ทำให้เรารู้เลยว่าเขา “ฟังจริงแค่ไหน”

    ที่โดดเด่นคือการปิดแถบ Recommended ได้ซะที! ซึ่งคือแถบแนะนำแอป/ไฟล์ที่หลายคนรำคาญ เพราะกินพื้นที่ แต่บางอย่างที่คนเรียกร้อง เช่น Live Tiles หรือ Start Menu เต็มจอแบบ Windows 10 — ยัง “เงียบสนิท”

    นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกับผู้ใช้ (User-driven design) แต่ในบางประเด็นก็ยังสะท้อนความขัดแย้งระหว่าง “แนวคิดมินิมอล” ของ Microsoft กับความต้องการการปรับแต่งของผู้ใช้ระดับ power user

    ✅ Microsoft อัปเดต Start Menu ใหม่ใน Windows 11 เวอร์ชันทดสอบ  
    • เปิดให้ทดสอบใน Dev และ Beta Channel  
    • มีการแก้ไขตามข้อเสนอ 10 อันดับใน Feedback Hub จากผู้ใช้

    ✅ ผู้ใช้สามารถปิดแถบ “Recommended” ได้แล้ว  
    • เป็นคำขอที่มีคนโหวตสูงสุด (17K+)  
    • ช่วยลดความรำคาญและเพิ่มพื้นที่แสดงแอป

    ✅ เพิ่มการเลือกมุมมอง “All Apps” ได้หลายรูปแบบ  
    • สลับได้ทั้งแบบ list, grid, หรือ categorized  
    • ไม่บังคับมุมมองใดมุมมองหนึ่ง

    ✅ ตั้งให้ Start เปิดมาที่รายการ All Apps ได้โดยตรง  
    • ไม่ต้องกดคลิกเพิ่มเพื่อเข้าถึงแอปทั้งหมด

    ✅ ยืนยันว่า Microsoft ไม่กลับไปใช้ Start Menu สไตล์ Windows 10  
    • ผู้ใช้ที่อยากได้แบบเดิมต้องพึ่ง third-party mod เช่น StartIsBack หรือ Start11

    ✅ ปรับปรุงการแสดง Jump List (เมื่อคลิกขวาแอปที่ปักหมุด)  
    • ใช้งานได้แล้วแต่ยังมีบั๊ก: ถ้าปิด Recommended → Jump List หาย!

    ✅ ไม่มีการนำ “Live Tiles” กลับมา และยังไม่รองรับ Start Menu เต็มจอ  
    • แม้มีการโชว์ต้นแบบ Start Menu เต็มจอในอดีต แต่ไม่ถูกเลือกใช้

    ‼️ การปิด Recommended ส่งผลข้างเคียงต่อ Jump List บน Taskbar  
    • หากปิดแถบ Recommended → Jump List บน Start/Taskbar หายไปด้วย  
    • ส่งผลกับผู้ใช้ที่ใช้ฟีเจอร์นี้บ่อยมาก เช่น การเปิดไฟล์ล่าสุดจาก Word หรือ Excel

    ‼️ ยังไม่สามารถปรับขนาด Start Menu ได้ตามใจแบบ Windows 10  
    • แม้จะ adaptive ตามขนาดจอ แต่ไม่มีตัวเลือกปรับขนาดเอง

    ‼️ ยังขาดระบบ “full personalization” สำหรับผู้ใช้สายปรับแต่ง  
    • ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสี ตำแหน่ง หรือเอฟเฟกต์ ต้องใช้ third-party tool

    ‼️ Start Menu ใหม่ยังไม่ปล่อยในเวอร์ชันเสถียร  
    • ฟีเจอร์ทั้งหมดอยู่ใน build สำหรับนักทดสอบเท่านั้น

    https://www.neowin.net/news/redesigned-windows-11-start-menu-what-users-wanted-and-what-microsoft-delivered/
    Start Menu ของ Windows 11 กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อดราม่าประจำวงการคอม หลังเปิดตัวในปี 2021 เพราะหลายคนรู้สึกว่าใช้งานยาก ปรับแต่งไม่ได้ และไม่สะดวกแบบ Windows 10 ล่าสุด Microsoft จึงออกแบบใหม่ใน Windows 11 เวอร์ชันทดสอบ (Dev และ Beta channel) เพื่อคืนความสุขให้ผู้ใช้ ทีมพัฒนาเริ่มจากการเปิด Feedback Hub ให้ผู้ใช้โหวตฟีเจอร์ที่อยากได้มากที่สุด และทำ “Checklist” เทียบว่าอะไรทำแล้ว อะไรยัง ทำให้เรารู้เลยว่าเขา “ฟังจริงแค่ไหน” ที่โดดเด่นคือการปิดแถบ Recommended ได้ซะที! ซึ่งคือแถบแนะนำแอป/ไฟล์ที่หลายคนรำคาญ เพราะกินพื้นที่ แต่บางอย่างที่คนเรียกร้อง เช่น Live Tiles หรือ Start Menu เต็มจอแบบ Windows 10 — ยัง “เงียบสนิท” นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกับผู้ใช้ (User-driven design) แต่ในบางประเด็นก็ยังสะท้อนความขัดแย้งระหว่าง “แนวคิดมินิมอล” ของ Microsoft กับความต้องการการปรับแต่งของผู้ใช้ระดับ power user ✅ Microsoft อัปเดต Start Menu ใหม่ใน Windows 11 เวอร์ชันทดสอบ   • เปิดให้ทดสอบใน Dev และ Beta Channel   • มีการแก้ไขตามข้อเสนอ 10 อันดับใน Feedback Hub จากผู้ใช้ ✅ ผู้ใช้สามารถปิดแถบ “Recommended” ได้แล้ว   • เป็นคำขอที่มีคนโหวตสูงสุด (17K+)   • ช่วยลดความรำคาญและเพิ่มพื้นที่แสดงแอป ✅ เพิ่มการเลือกมุมมอง “All Apps” ได้หลายรูปแบบ   • สลับได้ทั้งแบบ list, grid, หรือ categorized   • ไม่บังคับมุมมองใดมุมมองหนึ่ง ✅ ตั้งให้ Start เปิดมาที่รายการ All Apps ได้โดยตรง   • ไม่ต้องกดคลิกเพิ่มเพื่อเข้าถึงแอปทั้งหมด ✅ ยืนยันว่า Microsoft ไม่กลับไปใช้ Start Menu สไตล์ Windows 10   • ผู้ใช้ที่อยากได้แบบเดิมต้องพึ่ง third-party mod เช่น StartIsBack หรือ Start11 ✅ ปรับปรุงการแสดง Jump List (เมื่อคลิกขวาแอปที่ปักหมุด)   • ใช้งานได้แล้วแต่ยังมีบั๊ก: ถ้าปิด Recommended → Jump List หาย! ✅ ไม่มีการนำ “Live Tiles” กลับมา และยังไม่รองรับ Start Menu เต็มจอ   • แม้มีการโชว์ต้นแบบ Start Menu เต็มจอในอดีต แต่ไม่ถูกเลือกใช้ ‼️ การปิด Recommended ส่งผลข้างเคียงต่อ Jump List บน Taskbar   • หากปิดแถบ Recommended → Jump List บน Start/Taskbar หายไปด้วย   • ส่งผลกับผู้ใช้ที่ใช้ฟีเจอร์นี้บ่อยมาก เช่น การเปิดไฟล์ล่าสุดจาก Word หรือ Excel ‼️ ยังไม่สามารถปรับขนาด Start Menu ได้ตามใจแบบ Windows 10   • แม้จะ adaptive ตามขนาดจอ แต่ไม่มีตัวเลือกปรับขนาดเอง ‼️ ยังขาดระบบ “full personalization” สำหรับผู้ใช้สายปรับแต่ง   • ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสี ตำแหน่ง หรือเอฟเฟกต์ ต้องใช้ third-party tool ‼️ Start Menu ใหม่ยังไม่ปล่อยในเวอร์ชันเสถียร   • ฟีเจอร์ทั้งหมดอยู่ใน build สำหรับนักทดสอบเท่านั้น https://www.neowin.net/news/redesigned-windows-11-start-menu-what-users-wanted-and-what-microsoft-delivered/
    WWW.NEOWIN.NET
    Redesigned Windows 11 Start menu: What users wanted and what Microsoft delivered
    Microsoft recently started public testing a redesigned Start menu for Windows 11. Here is how it compares to users' expectations.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ใครที่เคยใช้ Copilot ใน Excel มาก่อน น่าจะเคยรู้สึกว่า—แม้จะพิมพ์ถามว่า “ข้อมูลนี้บอกอะไร” แต่ Copilot จะทำงานแค่ตามเซลล์ที่คุณคลิกไว้ ถ้าเผลอคลิกผิดก็คือไปคนละทิศเลย

    ล่าสุด Microsoft ปรับให้ “Copilot ฉลาดระดับเข้าใจคุณมากขึ้น” ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Smart Context Awareness คือไม่ต้องคลิกเซลล์หรือไฮไลต์ตารางก่อนถาม เช่น คุณสามารถพิมพ์ว่า “Sort the table in the top-right” หรือ “Show insights about the data I was just analyzing” — แล้ว Copilot จะเข้าใจโดยอิงจากทั้งตำแหน่งข้อมูล + ประวัติแชตที่เพิ่งคุยกัน

    แถม Copilot ยังไฮไลต์ให้ดูเลยว่า “ฉันใช้ข้อมูลส่วนไหนในการวิเคราะห์อยู่” เพื่อความโปร่งใสและช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้ว่าคำตอบนั้นมาจากตรงไหน

    ทั้งหมดนี้พร้อมใช้งานแล้วทั้งบน Excel Web และ Excel เวอร์ชันเดสก์ท็อป (Windows / Mac) ที่อัปเดตล่าสุด

    ✅ Copilot in Excel เพิ่ม Smart Context Awareness เข้าใจคำถามแบบรู้บริบท  
    • ไม่จำเป็นต้องเลือกเซลล์ก่อนถามคำถาม  
    • ใช้ทั้งสัญญาณตำแหน่งเซลล์ + ประวัติการสนทนา เพื่อเดาความต้องการของผู้ใช้

    ✅ รองรับคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น “จัดเรียงตารางด้านขวาบน” หรือ “แสดงข้อมูลที่วิเคราะห์เมื่อกี้”  
    • ทำให้ไม่ต้องใช้สูตรหรือคำสั่งซับซ้อน  
    • ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐาน Excel ขั้นสูง

    ✅ Copilot แสดง Highlight ข้อมูลที่ใช้ในการตอบกลับ  
    • ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลต้นทางที่ Copilot ใช้  
    • เพิ่มความเชื่อมั่นและสามารถปรับข้อมูลให้ตรงเป้าหมายได้

    ✅ ฟีเจอร์ Smart Context ใช้งานได้แล้วบน Excel Web และเวอร์ชันเดสก์ท็อป  
    • Windows: Version 2505 (Build 18623.20058)  
    • Mac: Version 16.95 (Build 2506.3090)

    ✅ Visual Highlighting ใช้งานได้ใน Build ล่าสุดเพิ่มเติม  
    • Windows: Version 2505 (Build 18705.20000)  
    • Mac: Version 16.96 (Build 2506.4070)

    ‼️ Smart Context ยังพึ่งพาการเดาความตั้งใจของผู้ใช้ อาจมีพลาดได้ถ้าข้อมูลคลุมเครือ  
    • เช่น ถ้ามีตารางหลายชุดบนหน้าเดียวกัน คำสั่ง “จัดเรียงตารางขวาบน” อาจเดาผิดได้  
    • ควรตรวจสอบ Highlight ให้แน่ใจก่อนใช้คำสั่งที่มีผลกระทบต่อข้อมูล

    ‼️ Copilot ยังไม่รองรับการเข้าใจภาพรวมหลายชีตหรือหลาย workbook ได้เต็มที่  
    • Smart Context ใช้ข้อมูลในชีตเดียวเป็นหลัก  
    • หากมีการเชื่อมโยงหลายแหล่ง คำตอบอาจไม่แม่นยำเท่าการระบุชัด ๆ

    ‼️ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ Excel ที่อัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดเท่านั้น  
    • ผู้ใช้ที่ยังใช้ Excel เวอร์ชันเก่าอาจไม่เห็นความสามารถนี้  
    • อาจต้องอัปเดต Microsoft 365 ทั้งระบบเพื่อเข้าถึง

    ‼️ ความสามารถของ Copilot ยังคงขึ้นกับความซับซ้อนของข้อมูลและโครงสร้างเอกสาร  
    • ข้อมูลที่ไม่มี header, มีรูปแบบผสม หรือมีสูตรซ้อนซับ อาจทำให้ Copilot สับสน

    https://www.neowin.net/news/copilot-in-excel-just-got-a-major-upgrade/
    ใครที่เคยใช้ Copilot ใน Excel มาก่อน น่าจะเคยรู้สึกว่า—แม้จะพิมพ์ถามว่า “ข้อมูลนี้บอกอะไร” แต่ Copilot จะทำงานแค่ตามเซลล์ที่คุณคลิกไว้ ถ้าเผลอคลิกผิดก็คือไปคนละทิศเลย ล่าสุด Microsoft ปรับให้ “Copilot ฉลาดระดับเข้าใจคุณมากขึ้น” ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Smart Context Awareness คือไม่ต้องคลิกเซลล์หรือไฮไลต์ตารางก่อนถาม เช่น คุณสามารถพิมพ์ว่า “Sort the table in the top-right” หรือ “Show insights about the data I was just analyzing” — แล้ว Copilot จะเข้าใจโดยอิงจากทั้งตำแหน่งข้อมูล + ประวัติแชตที่เพิ่งคุยกัน แถม Copilot ยังไฮไลต์ให้ดูเลยว่า “ฉันใช้ข้อมูลส่วนไหนในการวิเคราะห์อยู่” เพื่อความโปร่งใสและช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้ว่าคำตอบนั้นมาจากตรงไหน ทั้งหมดนี้พร้อมใช้งานแล้วทั้งบน Excel Web และ Excel เวอร์ชันเดสก์ท็อป (Windows / Mac) ที่อัปเดตล่าสุด ✅ Copilot in Excel เพิ่ม Smart Context Awareness เข้าใจคำถามแบบรู้บริบท   • ไม่จำเป็นต้องเลือกเซลล์ก่อนถามคำถาม   • ใช้ทั้งสัญญาณตำแหน่งเซลล์ + ประวัติการสนทนา เพื่อเดาความต้องการของผู้ใช้ ✅ รองรับคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น “จัดเรียงตารางด้านขวาบน” หรือ “แสดงข้อมูลที่วิเคราะห์เมื่อกี้”   • ทำให้ไม่ต้องใช้สูตรหรือคำสั่งซับซ้อน   • ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐาน Excel ขั้นสูง ✅ Copilot แสดง Highlight ข้อมูลที่ใช้ในการตอบกลับ   • ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลต้นทางที่ Copilot ใช้   • เพิ่มความเชื่อมั่นและสามารถปรับข้อมูลให้ตรงเป้าหมายได้ ✅ ฟีเจอร์ Smart Context ใช้งานได้แล้วบน Excel Web และเวอร์ชันเดสก์ท็อป   • Windows: Version 2505 (Build 18623.20058)   • Mac: Version 16.95 (Build 2506.3090) ✅ Visual Highlighting ใช้งานได้ใน Build ล่าสุดเพิ่มเติม   • Windows: Version 2505 (Build 18705.20000)   • Mac: Version 16.96 (Build 2506.4070) ‼️ Smart Context ยังพึ่งพาการเดาความตั้งใจของผู้ใช้ อาจมีพลาดได้ถ้าข้อมูลคลุมเครือ   • เช่น ถ้ามีตารางหลายชุดบนหน้าเดียวกัน คำสั่ง “จัดเรียงตารางขวาบน” อาจเดาผิดได้   • ควรตรวจสอบ Highlight ให้แน่ใจก่อนใช้คำสั่งที่มีผลกระทบต่อข้อมูล ‼️ Copilot ยังไม่รองรับการเข้าใจภาพรวมหลายชีตหรือหลาย workbook ได้เต็มที่   • Smart Context ใช้ข้อมูลในชีตเดียวเป็นหลัก   • หากมีการเชื่อมโยงหลายแหล่ง คำตอบอาจไม่แม่นยำเท่าการระบุชัด ๆ ‼️ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ Excel ที่อัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดเท่านั้น   • ผู้ใช้ที่ยังใช้ Excel เวอร์ชันเก่าอาจไม่เห็นความสามารถนี้   • อาจต้องอัปเดต Microsoft 365 ทั้งระบบเพื่อเข้าถึง ‼️ ความสามารถของ Copilot ยังคงขึ้นกับความซับซ้อนของข้อมูลและโครงสร้างเอกสาร   • ข้อมูลที่ไม่มี header, มีรูปแบบผสม หรือมีสูตรซ้อนซับ อาจทำให้ Copilot สับสน https://www.neowin.net/news/copilot-in-excel-just-got-a-major-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    Copilot in Excel just got a major upgrade
    Microsoft has made Copilot in Excel a whole lot better by giving it smarter context awareness and a visual highlight that makes it easier to trust the AI's responses.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • ทุกวันนี้หลายคนยังใช้รหัสผ่านเดิม ๆ กับหลายบริการ—และแฮกเกอร์ก็ชอบแบบนั้นมาก เพราะพอหลุดรหัสหนึ่งที่ก็ใช้เดาเข้าอีกหลายแอปได้เลย

    แต่ Facebook เพิ่งประกาศว่า… “เราจะไม่ต้องจำรหัสอีกต่อไป!” เพราะตอนนี้แอปมือถือของ Facebook ทั้งบน Android และ iOS สามารถใช้ Passkey ได้แล้ว คือการล็อกอินแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลย ใช้ใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือ PIN เดียวกับที่คุณใช้ปลดล็อกเครื่อง

    และที่น่าตื่นเต้นคือ Facebook กับ Messenger กำลังจะ แชร์ passkey เดียวกันได้ด้วย หมายความว่า “สร้างรอบเดียว ใช้ได้สองแอป”

    คนที่อยากเปิดใช้เข้าไปที่ Settings > Accounts Center > เลือก Passkey ก็เริ่มได้ทันที หรือถ้ายังไม่เคยใช้ Facebook จะมีให้ตั้ง passkey ตอนล็อกอินครั้งต่อไป

    Meta ยังวางแผนจะเอา passkey ไปช่วยเติมข้อมูลบัตรใน Meta Pay อย่างปลอดภัยแบบอัตโนมัติอีกต่างหาก

    ✅ Facebook บนมือถือรองรับ Passkey แล้วอย่างเป็นทางการ  
    • ใช้ได้ทั้งบน iOS และ Android  
    • ใช้การปลดล็อกเครื่อง เช่น Face ID, Fingerprint หรือ PIN มาแทนรหัสผ่าน

    ✅ พัฒนาโดยความร่วมมือของ FIDO Alliance ซึ่ง Meta เป็นสมาชิก  
    • Passkey ปลอดภัยจาก phishing และไม่ถูกขโมยแบบรหัสผ่านทั่วไป

    ✅ สามารถจัดการ Passkey ได้ผ่าน Accounts Center ในแอป  
    • หรือจะตั้งผ่านหน้าล็อกอินครั้งถัดไปก็ได้

    ✅ Messenger จะรองรับ passkey ร่วมกับ Facebook ในไม่กี่เดือนข้างหน้า  
    • ใช้ passkey เดียวกันได้—ล็อกอินเร็วขึ้น

    ✅ Meta วางแผนใช้ Passkey กับ Meta Pay ในอนาคต  
    • ใช้ autofill ข้อมูลการชำระเงินอย่างปลอดภัย

    ‼️ Passkey ยังใช้ไม่ได้กับอุปกรณ์ทุกรุ่นหรือระบบทุกเวอร์ชัน  
    • ถ้าเครื่องเก่าหรือยังไม่รองรับ biometrics อาจยังต้องใช้รหัสผ่านแบบเดิม

    ‼️ Meta ยังไม่ยกเลิกรหัสผ่านเดิม 100%  
    • บัญชีที่สร้างมานาน หรืออุปกรณ์เก่า อาจยังต้องพึ่งพารหัสแบบดั้งเดิม

    ‼️ ถ้าเปลี่ยนอุปกรณ์โดยไม่ได้ backup หรือ sync บัญชี อาจล็อกอินด้วย passkey ไม่ได้  
    • ต้องแน่ใจว่าเปิดระบบ sync หรือใช้บัญชี Google/Apple ที่เชื่อมกับ passkey

    ‼️ บางคนเข้าใจผิดว่า passkey = รหัสผ่านแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่  
    • Passkey คือการยืนยันตัวตนแบบ “ไม่มีรหัสผ่าน” ใช้ biometrics หรือ PIN ในเครื่องแทน

    https://www.neowin.net/news/facebooks-mobile-app-is-finally-getting-support-for-passkeys/
    ทุกวันนี้หลายคนยังใช้รหัสผ่านเดิม ๆ กับหลายบริการ—และแฮกเกอร์ก็ชอบแบบนั้นมาก เพราะพอหลุดรหัสหนึ่งที่ก็ใช้เดาเข้าอีกหลายแอปได้เลย แต่ Facebook เพิ่งประกาศว่า… “เราจะไม่ต้องจำรหัสอีกต่อไป!” เพราะตอนนี้แอปมือถือของ Facebook ทั้งบน Android และ iOS สามารถใช้ Passkey ได้แล้ว คือการล็อกอินแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลย ใช้ใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือ PIN เดียวกับที่คุณใช้ปลดล็อกเครื่อง และที่น่าตื่นเต้นคือ Facebook กับ Messenger กำลังจะ แชร์ passkey เดียวกันได้ด้วย หมายความว่า “สร้างรอบเดียว ใช้ได้สองแอป” คนที่อยากเปิดใช้เข้าไปที่ Settings > Accounts Center > เลือก Passkey ก็เริ่มได้ทันที หรือถ้ายังไม่เคยใช้ Facebook จะมีให้ตั้ง passkey ตอนล็อกอินครั้งต่อไป Meta ยังวางแผนจะเอา passkey ไปช่วยเติมข้อมูลบัตรใน Meta Pay อย่างปลอดภัยแบบอัตโนมัติอีกต่างหาก ✅ Facebook บนมือถือรองรับ Passkey แล้วอย่างเป็นทางการ   • ใช้ได้ทั้งบน iOS และ Android   • ใช้การปลดล็อกเครื่อง เช่น Face ID, Fingerprint หรือ PIN มาแทนรหัสผ่าน ✅ พัฒนาโดยความร่วมมือของ FIDO Alliance ซึ่ง Meta เป็นสมาชิก   • Passkey ปลอดภัยจาก phishing และไม่ถูกขโมยแบบรหัสผ่านทั่วไป ✅ สามารถจัดการ Passkey ได้ผ่าน Accounts Center ในแอป   • หรือจะตั้งผ่านหน้าล็อกอินครั้งถัดไปก็ได้ ✅ Messenger จะรองรับ passkey ร่วมกับ Facebook ในไม่กี่เดือนข้างหน้า   • ใช้ passkey เดียวกันได้—ล็อกอินเร็วขึ้น ✅ Meta วางแผนใช้ Passkey กับ Meta Pay ในอนาคต   • ใช้ autofill ข้อมูลการชำระเงินอย่างปลอดภัย ‼️ Passkey ยังใช้ไม่ได้กับอุปกรณ์ทุกรุ่นหรือระบบทุกเวอร์ชัน   • ถ้าเครื่องเก่าหรือยังไม่รองรับ biometrics อาจยังต้องใช้รหัสผ่านแบบเดิม ‼️ Meta ยังไม่ยกเลิกรหัสผ่านเดิม 100%   • บัญชีที่สร้างมานาน หรืออุปกรณ์เก่า อาจยังต้องพึ่งพารหัสแบบดั้งเดิม ‼️ ถ้าเปลี่ยนอุปกรณ์โดยไม่ได้ backup หรือ sync บัญชี อาจล็อกอินด้วย passkey ไม่ได้   • ต้องแน่ใจว่าเปิดระบบ sync หรือใช้บัญชี Google/Apple ที่เชื่อมกับ passkey ‼️ บางคนเข้าใจผิดว่า passkey = รหัสผ่านแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่   • Passkey คือการยืนยันตัวตนแบบ “ไม่มีรหัสผ่าน” ใช้ biometrics หรือ PIN ในเครื่องแทน https://www.neowin.net/news/facebooks-mobile-app-is-finally-getting-support-for-passkeys/
    WWW.NEOWIN.NET
    Facebook's mobile app is finally getting support for passkeys
    Meta is finally introducing support for passkeys in its Facebook mobile apps on Android and iOS. However, accounts aren't becoming truly passwordless.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • เที่ยว #จีน #ฉางไป๋ซาน
    เริ่ม 35,900 🔥🔥

    🗓 จำนวนวัน 7วัน 5คืน
    ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์
    🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐

    📍 ภูเขาฉางไป๋ซาน
    📍 ล่องแพยาง
    📍 เทศกาลน้ำแข็งฉางชุน
    📍 อุทยานหลี่เค่อหู

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    ☎️: 021166395

    #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยว #จีน #ฉางไป๋ซาน ❄ เริ่ม 35,900 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 7วัน 5คืน ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 ภูเขาฉางไป๋ซาน 📍 ล่องแพยาง 📍 เทศกาลน้ำแข็งฉางชุน 📍 อุทยานหลี่เค่อหู รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 0 Reviews
  • เคยได้ยินชื่อ RPS หรือ FPRPC ไหมครับ? ถ้าไม่รู้จัก นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ขององค์กรหลายแห่ง เพราะมันคือ “โปรโตคอลเก่า” ที่หลายแอปยังแอบใช้เวลาจะเปิดไฟล์หรือเชื่อมต่อ SharePoint, OneDrive หรือ Office 365 โดยไม่รู้ตัว

    Microsoft ประกาศชัดว่า จะเริ่มปิดใช้งานการล็อกอินผ่าน RPS และ FPRPC ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2025 และจะเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในสิงหาคม 2025 การใช้งานพวกนี้จะไม่สามารถเปิดไฟล์ผ่าน browser-based authentication ได้อีกต่อไป

    เหตุผลคือสองโปรโตคอลนี้ เสี่ยงมากต่อการโดน brute-force และ phishing แถมยังมีบั๊กร้ายแรงที่เคยถูกใช้โจมตีระบบในอดีตอีกต่างหาก

    Microsoft จะไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไลเซนส์ใด ๆ แต่จะบังคับใช้ admin consent เป็นขั้นตอนใหม่—เช่น หากแอปที่ 3 ต้องเข้าถึงไฟล์หรือเว็บไซต์ใน Microsoft 365 ผู้ดูแลระบบต้องกดยินยอมก่อนเสมอ

    ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน Secure Future Initiative (SFI) ที่ Microsoft เริ่มผลักดันอย่างจริงจังหลังเจอภัยคุกคามระดับประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    ✅ Microsoft 365 จะปิดใช้งานโปรโตคอลเก่าสำหรับการเข้าถึงไฟล์กลาง ก.ค. 2025  
    • ได้แก่ Relying Party Suite (RPS) และ FrontPage Remote Procedure Call (FPRPC)  
    • มีผลกับ OneDrive, SharePoint และ Microsoft 365 Office Apps

    ✅ เหตุผลหลักคือด้านความปลอดภัย  
    • RPS และ FPRPC ถูกระบุว่าสามารถถูก brute-force และ phishing ได้ง่าย  
    • มีช่องโหว่ที่เคยถูกใช้โจมตีในอดีต

    ✅ ไม่มีผลต่อ licensing เดิม แต่จะเพิ่มการบังคับใช้ admin consent เป็นมาตรฐาน  
    • แอป/บริการที่ต้องการเข้าถึงไฟล์หรือไซต์ ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ดูแลระบบก่อน

    ✅ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Secure Future Initiative (SFI)  
    • Microsoft ต้องการยกระดับความปลอดภัยระบบคลาวด์อย่างครอบคลุม

    ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ‼️ แอปหรือปลั๊กอินเก่าบางตัวอาจหยุดทำงานทันทีหลังการอัปเดตนี้  
    • โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ภายในที่เขียนเองในอดีต  
    • ควรรีบตรวจสอบ dependencies ทั้งหมดก่อนกลางเดือนกรกฎาคม

    ‼️ ระบบอัตโนมัติหรือสคริปต์ที่เข้าถึงไฟล์ผ่านโปรโตคอลเดิม อาจต้องแก้โค้ดใหม่  
    • เพื่อเปลี่ยนเป็น API สมัยใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น Microsoft Graph

    ‼️ องค์กรที่ไม่มีการจัดการ admin consent อย่างเป็นระบบ อาจเจอปัญหาการเชื่อมต่อแอปที่ 3  
    • ผู้ใช้ทั่วไปจะไม่สามารถกด “อนุญาต” เองได้ ต้องผ่าน Admin เสมอ

    ‼️ การใช้ browser authentication แบบเดิมผ่าน iframe หรือ embedded application จะไม่ได้ผลอีกต่อไป  
    • ระบบจะบล็อกทันทีเพื่อป้องกันการ spoofing

    https://www.neowin.net/news/microsoft-365-will-soon-disable-outdated-authentication-protocols-for-file-access/
    เคยได้ยินชื่อ RPS หรือ FPRPC ไหมครับ? ถ้าไม่รู้จัก นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ขององค์กรหลายแห่ง เพราะมันคือ “โปรโตคอลเก่า” ที่หลายแอปยังแอบใช้เวลาจะเปิดไฟล์หรือเชื่อมต่อ SharePoint, OneDrive หรือ Office 365 โดยไม่รู้ตัว Microsoft ประกาศชัดว่า จะเริ่มปิดใช้งานการล็อกอินผ่าน RPS และ FPRPC ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2025 และจะเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในสิงหาคม 2025 การใช้งานพวกนี้จะไม่สามารถเปิดไฟล์ผ่าน browser-based authentication ได้อีกต่อไป เหตุผลคือสองโปรโตคอลนี้ เสี่ยงมากต่อการโดน brute-force และ phishing แถมยังมีบั๊กร้ายแรงที่เคยถูกใช้โจมตีระบบในอดีตอีกต่างหาก Microsoft จะไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไลเซนส์ใด ๆ แต่จะบังคับใช้ admin consent เป็นขั้นตอนใหม่—เช่น หากแอปที่ 3 ต้องเข้าถึงไฟล์หรือเว็บไซต์ใน Microsoft 365 ผู้ดูแลระบบต้องกดยินยอมก่อนเสมอ ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน Secure Future Initiative (SFI) ที่ Microsoft เริ่มผลักดันอย่างจริงจังหลังเจอภัยคุกคามระดับประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ✅ Microsoft 365 จะปิดใช้งานโปรโตคอลเก่าสำหรับการเข้าถึงไฟล์กลาง ก.ค. 2025   • ได้แก่ Relying Party Suite (RPS) และ FrontPage Remote Procedure Call (FPRPC)   • มีผลกับ OneDrive, SharePoint และ Microsoft 365 Office Apps ✅ เหตุผลหลักคือด้านความปลอดภัย   • RPS และ FPRPC ถูกระบุว่าสามารถถูก brute-force และ phishing ได้ง่าย   • มีช่องโหว่ที่เคยถูกใช้โจมตีในอดีต ✅ ไม่มีผลต่อ licensing เดิม แต่จะเพิ่มการบังคับใช้ admin consent เป็นมาตรฐาน   • แอป/บริการที่ต้องการเข้าถึงไฟล์หรือไซต์ ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ดูแลระบบก่อน ✅ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Secure Future Initiative (SFI)   • Microsoft ต้องการยกระดับความปลอดภัยระบบคลาวด์อย่างครอบคลุม ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ แอปหรือปลั๊กอินเก่าบางตัวอาจหยุดทำงานทันทีหลังการอัปเดตนี้   • โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ภายในที่เขียนเองในอดีต   • ควรรีบตรวจสอบ dependencies ทั้งหมดก่อนกลางเดือนกรกฎาคม ‼️ ระบบอัตโนมัติหรือสคริปต์ที่เข้าถึงไฟล์ผ่านโปรโตคอลเดิม อาจต้องแก้โค้ดใหม่   • เพื่อเปลี่ยนเป็น API สมัยใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น Microsoft Graph ‼️ องค์กรที่ไม่มีการจัดการ admin consent อย่างเป็นระบบ อาจเจอปัญหาการเชื่อมต่อแอปที่ 3   • ผู้ใช้ทั่วไปจะไม่สามารถกด “อนุญาต” เองได้ ต้องผ่าน Admin เสมอ ‼️ การใช้ browser authentication แบบเดิมผ่าน iframe หรือ embedded application จะไม่ได้ผลอีกต่อไป   • ระบบจะบล็อกทันทีเพื่อป้องกันการ spoofing https://www.neowin.net/news/microsoft-365-will-soon-disable-outdated-authentication-protocols-for-file-access/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft 365 will soon disable outdated authentication protocols for file access
    Microsoft has announced that it is getting rid of some legacy authentication protocols that are used to access files across Microsoft 365 and SharePoint.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • 1 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก

    จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้:

    1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000  
    • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน  
    • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย

    2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000  
    • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR  
    • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน

    3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance  
    • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000  
    • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ

    4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม  
    • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000  
    • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM

    ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ

    ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง  
    • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%  
    • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security

    ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง  
    • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%  
    • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ

    ✅ สาย GRC ก็มาแรง  
    • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%  
    • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy

    ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น  
    • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%  
    • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity

    ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน  
    • Architect: CISSP, CCSP  
    • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH  
    • GRC: CRISC, CGRC  
    • Analyst: CySA+, SOC certs

    ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน  
    • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย

    ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร  
    • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้

    ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย  
    • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี

    ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer  
    • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill

    ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา  
    • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance

    https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้: 1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000   • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน   • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย 2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000   • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR   • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน 3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance   • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000   • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ 4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม   • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000   • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง   • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%   • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง   • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%   • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ ✅ สาย GRC ก็มาแรง   • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%   • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น   • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%   • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน   • Architect: CISSP, CCSP   • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH   • GRC: CRISC, CGRC   • Analyst: CySA+, SOC certs ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน   • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร   • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้ ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย   • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer   • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา   • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The highest-paying jobs in cybersecurity today
    According to a recent survey by IANS and Artico Search, risk/GRC specialists, along with security architects, analysts, and engineers, report the highest average annual cash compensation in cybersecurity.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน

    Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร

    ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี

    มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว

    ✅ Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ  
    • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้  
    • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม

    ✅ OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น  
    • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่  
    • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม

    ✅ OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด  
    • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์

    ✅ ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด  
    • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI  
    • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล

    ‼️ การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030  
    • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น

    ‼️ OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต  
    • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป

    ‼️ รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด  
    • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI  
    • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ

    ‼️ กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น  
    • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว ✅ Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ   • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้   • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม ✅ OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น   • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่   • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม ✅ OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด   • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์ ✅ ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด   • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI   • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล ‼️ การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030   • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น ‼️ OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต   • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป ‼️ รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด   • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI   • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ ‼️ กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น   • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft prepared to abandon high-stakes talks with OpenAI, FT reports
    (Reuters) -Microsoft is prepared to abandon its high-stakes negotiations with OpenAI over the future of its alliance, the Financial Times reported on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักชื่อ Nat Friedman เท่า Elon หรือ Altman แต่เบื้องหลังเขาคือหนึ่งใน “คนสร้างแรงกระเพื่อม” แห่งโลกโอเพ่นซอร์สและนักลงทุนยุค AI-first ตัวจริง โดยเคยเป็น CEO ของ GitHub (ช่วงที่ Microsoft ซื้อมา) และหลังออกจากตำแหน่ง ก็หันมาเป็น VC เปิดกองทุนร่วมกับ Daniel Gross (อดีตผู้บริหาร Apple และผู้ร่วมก่อตั้ง Cue ที่ถูก Google ซื้อกิจการ)

    ข่าวจาก The Information และ Reuters บอกว่า Meta กำลังเจรจาทาบทามทั้งคู่มาเสริมทัพโปรเจกต์ AI ของบริษัท และอาจถึงขั้น ซื้อหุ้นบางส่วนของกองทุน NFDG ที่พวกเขาร่วมกันตั้งขึ้น เพื่อ “ดึงทรัพยากร AI ทั้งคนและเทคโนโลยี” เข้ามาอยู่ในมือ Meta

    ช่วงนี้ Meta ขยับเร็วมาก—หลังเพิ่งเทเงินกว่า 14.8 พันล้านดอลลาร์ลงทุนใน Scale AI และดึงตัวซีอีโอของ Scale อย่าง Alexandr Wang มานำแผนก “Superintelligence” ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่

    เป้าหมายของ Meta คือสร้างโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่แข่งกับ OpenAI, Google และ Anthropic ให้ได้ โดยมี Llama เป็นแกนหลัก และตอนนี้ต้องการทีมระดับ “ผู้ปั้น ecosystem” มาเสริม ไม่ใช่แค่นักวิจัย

    Nat Friedman เคยอยู่ในคณะที่ปรึกษา Meta มาก่อนด้วย ทำให้คาดว่าดีลนี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงสูง และน่าจะเชื่อมโยงกับทิศทาง AI ด้าน Developer Tools หรือแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สของ Meta ในอนาคต

    ✅ Meta อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nat Friedman (อดีต CEO GitHub) และ Daniel Gross ให้เข้าร่วมภารกิจ AI  
    • ทั้งสองคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน NFDG ซึ่งลงทุนในสตาร์ตอัปสาย AI  
    • Meta เคยดึง Friedman เข้าเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีมาแล้วก่อนหน้านี้

    ✅ มีการพูดคุยถึงการซื้อหุ้นบางส่วนของ NFDG เพื่อควบรวมกำลังด้าน AI  
    • Meta ต้องการเชื่อมโยงแหล่งบุคลากรและบริษัท AI ที่กองทุนสนับสนุนอยู่

    ✅ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลัง Meta เทเงิน $14.8B ลงทุนใน Scale AI  
    • และดึง CEO ของ Scale (Alexandr Wang) มานำทีม Superintelligence Unit

    ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Meta คือเร่งพัฒนา Open-Source AI ให้แข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google, Anthropic ได้  
    • โดยเฉพาะผ่านโมเดล Llama และแพลตฟอร์มที่เน้น Developer เป็นศูนย์กลาง

    ‼️ หาก Meta ซื้อหุ้นใน NFDG จริง อาจเกิดความกังวลเรื่อง “การผูกขาดบุคลากร AI”  
    • Meta อาจเข้าถึง startup และนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ก่อนใครในตลาด  
    • ส่งผลต่อความเป็นอิสระของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส

    ‼️ แผน “เร่งเกม AI” ของ Meta ยังไม่มีโมเดลที่ใช้งานเชิงพาณิชย์เทียบเท่า GPT-4 หรือ Claude 3  
    • แม้จะเปิดตัว Llama และชุด weights ฟรี แต่ยังเน้นด้านนักพัฒนา มากกว่าผู้ใช้งานทั่วไป

    ‼️ การจ้างบุคคลระดับสูงจำนวนมากในระยะสั้น อาจส่งผลกระทบต่อความสอดคล้องของวิสัยทัศน์องค์กร  
    • โดยเฉพาะหากมีหลายทีมที่พัฒนา AI ไปคนละทิศ

    ‼️ ตลาด AI มีการแข่งขันสูง และเคลื่อนไหวเร็ว—อาจทำให้ Meta ต้องทบทวนแผนลงทุนและโครงสร้างบ่อยครั้ง  
    • ส่งผลต่อเสถียรภาพของแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/meta-in-talks-to-hire-former-github-ceo-nat-friedman-to-join-ai-efforts-the-information-reports
    หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักชื่อ Nat Friedman เท่า Elon หรือ Altman แต่เบื้องหลังเขาคือหนึ่งใน “คนสร้างแรงกระเพื่อม” แห่งโลกโอเพ่นซอร์สและนักลงทุนยุค AI-first ตัวจริง โดยเคยเป็น CEO ของ GitHub (ช่วงที่ Microsoft ซื้อมา) และหลังออกจากตำแหน่ง ก็หันมาเป็น VC เปิดกองทุนร่วมกับ Daniel Gross (อดีตผู้บริหาร Apple และผู้ร่วมก่อตั้ง Cue ที่ถูก Google ซื้อกิจการ) ข่าวจาก The Information และ Reuters บอกว่า Meta กำลังเจรจาทาบทามทั้งคู่มาเสริมทัพโปรเจกต์ AI ของบริษัท และอาจถึงขั้น ซื้อหุ้นบางส่วนของกองทุน NFDG ที่พวกเขาร่วมกันตั้งขึ้น เพื่อ “ดึงทรัพยากร AI ทั้งคนและเทคโนโลยี” เข้ามาอยู่ในมือ Meta ช่วงนี้ Meta ขยับเร็วมาก—หลังเพิ่งเทเงินกว่า 14.8 พันล้านดอลลาร์ลงทุนใน Scale AI และดึงตัวซีอีโอของ Scale อย่าง Alexandr Wang มานำแผนก “Superintelligence” ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ เป้าหมายของ Meta คือสร้างโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่แข่งกับ OpenAI, Google และ Anthropic ให้ได้ โดยมี Llama เป็นแกนหลัก และตอนนี้ต้องการทีมระดับ “ผู้ปั้น ecosystem” มาเสริม ไม่ใช่แค่นักวิจัย Nat Friedman เคยอยู่ในคณะที่ปรึกษา Meta มาก่อนด้วย ทำให้คาดว่าดีลนี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงสูง และน่าจะเชื่อมโยงกับทิศทาง AI ด้าน Developer Tools หรือแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สของ Meta ในอนาคต ✅ Meta อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nat Friedman (อดีต CEO GitHub) และ Daniel Gross ให้เข้าร่วมภารกิจ AI   • ทั้งสองคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน NFDG ซึ่งลงทุนในสตาร์ตอัปสาย AI   • Meta เคยดึง Friedman เข้าเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีมาแล้วก่อนหน้านี้ ✅ มีการพูดคุยถึงการซื้อหุ้นบางส่วนของ NFDG เพื่อควบรวมกำลังด้าน AI   • Meta ต้องการเชื่อมโยงแหล่งบุคลากรและบริษัท AI ที่กองทุนสนับสนุนอยู่ ✅ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลัง Meta เทเงิน $14.8B ลงทุนใน Scale AI   • และดึง CEO ของ Scale (Alexandr Wang) มานำทีม Superintelligence Unit ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Meta คือเร่งพัฒนา Open-Source AI ให้แข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google, Anthropic ได้   • โดยเฉพาะผ่านโมเดล Llama และแพลตฟอร์มที่เน้น Developer เป็นศูนย์กลาง ‼️ หาก Meta ซื้อหุ้นใน NFDG จริง อาจเกิดความกังวลเรื่อง “การผูกขาดบุคลากร AI”   • Meta อาจเข้าถึง startup และนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ก่อนใครในตลาด   • ส่งผลต่อความเป็นอิสระของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส ‼️ แผน “เร่งเกม AI” ของ Meta ยังไม่มีโมเดลที่ใช้งานเชิงพาณิชย์เทียบเท่า GPT-4 หรือ Claude 3   • แม้จะเปิดตัว Llama และชุด weights ฟรี แต่ยังเน้นด้านนักพัฒนา มากกว่าผู้ใช้งานทั่วไป ‼️ การจ้างบุคคลระดับสูงจำนวนมากในระยะสั้น อาจส่งผลกระทบต่อความสอดคล้องของวิสัยทัศน์องค์กร   • โดยเฉพาะหากมีหลายทีมที่พัฒนา AI ไปคนละทิศ ‼️ ตลาด AI มีการแข่งขันสูง และเคลื่อนไหวเร็ว—อาจทำให้ Meta ต้องทบทวนแผนลงทุนและโครงสร้างบ่อยครั้ง   • ส่งผลต่อเสถียรภาพของแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/meta-in-talks-to-hire-former-github-ceo-nat-friedman-to-join-ai-efforts-the-information-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta in talks to hire former GitHub CEO Nat Friedman to join AI efforts, The Information reports
    (Reuters) -Meta Platforms is in talks to hire former GitHub CEO Nat Friedman to join the Facebook parent's AI efforts, The Information reported on Wednesday, citing a person familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • หนูนา เดินตามหนูท่อ จ่อโบกมือลานายกฯคนทรยศชาติ เชื่อท็อปวราวุธลาแน่เย็นนี้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    หนูนา เดินตามหนูท่อ จ่อโบกมือลานายกฯคนทรยศชาติ เชื่อท็อปวราวุธลาแน่เย็นนี้ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • ♣ ตอนนี้ คนที่เครียดกว่าอุ๊งอิ๊ง คือ เจี๊ยบ อมรัตน์ จะเบี้ยวก็เสียหน้าจะแก้ผ้าก็เสียคน (เสียสายตาคนดู)
    #7ดอกจิก
    ♣ ตอนนี้ คนที่เครียดกว่าอุ๊งอิ๊ง คือ เจี๊ยบ อมรัตน์ จะเบี้ยวก็เสียหน้าจะแก้ผ้าก็เสียคน (เสียสายตาคนดู) #7ดอกจิก
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน

    ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก

    กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ

    และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว

    ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก  
    • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย  
    • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า

    ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11  
    • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น

    ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”  
    • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย

    ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ  
    • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน  
    • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ

    ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)  
    • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll  
    • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020

    ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  
    • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม

    ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่  
    • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน

    ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา  
    • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่

    ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่  
    • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี

    ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ  
    • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก   • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย   • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11   • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”   • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ   • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน   • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)   • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll   • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020 ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย   • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่   • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา   • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่ ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่   • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ   • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Real risk to youth mental health is ‘addictive use’, not screen time alone, study finds
    Researchers found children with highly addictive use of phones, video games or social media were two to three times as likely to have thoughts of suicide or to harm themselves.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า…

    “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่”

    เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า

    แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน!

    Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น”

    ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี  
    • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง  
    • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน”

    ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ  
    • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ  
    • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน

    ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”  
    • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI  
    • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน

    ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง  
    • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์  
    • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว

    ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”  
    • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์

    ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI  
    • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี

    ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”  
    • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้

    ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด  
    • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด

    ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที  
    • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า… “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่” เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน! Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น” ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี   • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง   • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน” ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ   • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ   • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”   • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI   • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง   • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์   • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”   • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์ ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI   • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”   • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้ ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด   • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที   • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon CEO Andy Jassy tells workers: AI will replace some of you
    In a message sent to employees this week, Jassy said generative AI was a "once-in-a-lifetime" technology that completely changes what's possible for customers and businesses.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “ชาดา” บอกทนฟังคลิป “แพทองธาร-ฮุนเซน” ต่อไม่ได้ ชี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง
    https://www.thai-tai.tv/news/19528/
    “ชาดา” บอกทนฟังคลิป “แพทองธาร-ฮุนเซน” ต่อไม่ได้ ชี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง https://www.thai-tai.tv/news/19528/
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • ผ่านเกณฑ์ ร้านดีการันตีคุณภาพ และ ขอบคุณ Item ป้าย จาก Grab
    สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    ผ่านเกณฑ์ ร้านดีการันตีคุณภาพ และ ขอบคุณ Item ป้าย จาก Grab สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    2 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที.
    ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที. ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    กองทัพสหรัฐฯพร้อมดำเนินการตอบสนองการตัดสินใจใดๆของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องอิหร่าน จากคำยืนยันของ พีท เฮกเซ็ธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) พร้อมบ่งชี้ว่าทิศทางของสหรัฐฯน่าจะมีความชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057558

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป

    Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง”

    เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้

    Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่”

    ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง  
    • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี  
    • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence”

    ✅ Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI  
    • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ  
    • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta

    ✅ ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)  
    • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg  
    • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้

    ✅ Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว  
    • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk  
    • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google

    ✅ มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU  
    • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย”

    ‼️ การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร  
    • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร  
    • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง

    ‼️ Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่  
    • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน

    ‼️ การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก  
    • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก

    ‼️ การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน  
    • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ

    https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง” เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้ Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่” ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง   • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี   • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence” ✅ Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI   • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ   • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta ✅ ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)   • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg   • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้ ✅ Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว   • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk   • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google ✅ มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU   • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย” ‼️ การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร   • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร   • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง ‼️ Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่   • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน ‼️ การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก   • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก ‼️ การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน   • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta is offering up to $100 million to lure AI talent, says OpenAI's Sam Altman
    The recruitment drive has a personal element: former Scale AI CEO Alexandr Wang heads Meta's new AI group, and some new hires are said to be working...
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • "เสธ.โหน่ง"ชี้สนิทแค่ไหนก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์คุยเรื่องสำคัญ
    https://www.thai-tai.tv/news/19529/
    "เสธ.โหน่ง"ชี้สนิทแค่ไหนก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์คุยเรื่องสำคัญ https://www.thai-tai.tv/news/19529/
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย!

    เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ

    แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้!

    นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน

    ✅ 2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม  
    • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services

    ✅ ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส  
    • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ

    ✅ บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น  
    • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว

    ✅ วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)  
    • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย

    ✅ มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ  
    • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที

    ‼️ การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย  
    • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน

    ‼️ SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง  
    • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร

    ‼️ แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่  
    • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง

    ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์  
    • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP

    https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย! เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้! นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน ✅ 2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม   • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services ✅ ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส   • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ ✅ บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น   • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว ✅ วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)   • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย ✅ มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ   • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที ‼️ การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย   • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน ‼️ SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง   • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร ‼️ แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่   • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์   • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Whistleblower warning: 2FA codes sent via SMS are trivially easy to intercept
    Many implementations of two-factor authentication involve sending a one-time passcode to the end user via SMS. Once entered, the user is logged in and it's business as...
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว

    พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง

    ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก

    ✅ พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)  
    • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์

    ✅ รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง  
    • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot

    ✅ ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)  
    • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์  
    • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    ✅ มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ  
    • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย

    ✅ ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์  
    • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง

    ✅ นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย  
    • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ

    ‼️ องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก  
    • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ

    ‼️ Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย  
    • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ

    ‼️ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม  
    • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน

    ‼️ แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย  
    • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์

    https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก ✅ พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)   • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์ ✅ รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง   • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot ✅ ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)   • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์   • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ✅ มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ   • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย ✅ ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์   • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง ✅ นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย   • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ ‼️ องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก   • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ ‼️ Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย   • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ ‼️ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม   • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน ‼️ แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย   • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์ https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Keylogger campaign hitting Outlook Web Access on vulnerable Exchange servers goes global
    Researchers from Positive Technologies recently unveiled a new study on a keylogger-based campaign targeting organizations worldwide. The campaign, which resembles a similar attack discovered in 2024, focuses...
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ด่วน! อิสราเอลกำลังเตรียมโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Arak ในอิหร่าน

    ⚠️ อิสราเอลมีคำสั่งให้ชาวอิหร่านออกจากพื้นที่โดยรอบแล้ว

    พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของเครื่องปฏิกรณ์ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงงานสำคัญในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้จะเชื่อกันว่า "ไม่ได้ใช้งานแล้ว" แต่เครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลิตผลพลอยได้จากพลูโตเนียม และเป็นจุดสนใจของนานาชาติมาอย่างยาวนาน
    ด่วน! อิสราเอลกำลังเตรียมโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Arak ในอิหร่าน ⚠️ อิสราเอลมีคำสั่งให้ชาวอิหร่านออกจากพื้นที่โดยรอบแล้ว พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของเครื่องปฏิกรณ์ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงงานสำคัญในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้จะเชื่อกันว่า "ไม่ได้ใช้งานแล้ว" แต่เครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลิตผลพลอยได้จากพลูโตเนียม และเป็นจุดสนใจของนานาชาติมาอย่างยาวนาน
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • อิหร่านยึดรถขนโดรนของสายลับมอสสาดของอิเอลได้เพิ่มเติมอีกคัน
    อิหร่านยึดรถขนโดรนของสายลับมอสสาดของอิเอลได้เพิ่มเติมอีกคัน
    0 Comments 0 Shares 47 Views 16 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา Honda จัดการทดสอบ “ยิงจรวดขึ้น – ลงจอดสำเร็จ” อย่างสวยงามในเมืองไทกิ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งมีฉายาว่า “เมืองอวกาศของญี่ปุ่น” เพราะเป็นฐานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของหลายบริษัท

    จรวดต้นแบบของ Honda มีความยาว 6.3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 85 เซนติเมตร หนักรวม 1.3 ตันเมื่อเติมเชื้อเพลิง ตัวเล็กกว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX มาก แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ… มัน สามารถขึ้นไปที่ความสูง 271.4 เมตร และลงจอดกลับมาที่เป้าหมายได้ภายในระยะห่างเพียง 37 เซนติเมตร! ใช้เวลาบินรวมแค่ 56.6 วินาทีเท่านั้น

    Honda บอกว่าเป้าหมายของการทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อความสูงหรือระยะทาง แต่เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี “ขึ้นลงอย่างมีเสถียรภาพ” และ “ลงจอดแบบควบคุมได้” พร้อมทั้งโชว์ระบบความปลอดภัย เช่น การปิดการขับดันอัตโนมัติถ้าทิศทางผิดเพี้ยน

    ทั้งหมดนี้เป็นก้าวแรกเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ: ทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029

    ✅ Honda ทดสอบยิงจรวดต้นแบบแบบ reusable สำเร็จในญี่ปุ่น  
    • ความสูงสูงสุด 271.4 เมตร / ใช้เวลา 56.6 วินาที / ลงจอดห่างจากเป้าแค่ 37 ซม.  
    • ทดสอบที่ Taiki Town, Hokkaido — เมืองที่มีศักยภาพด้าน space tech

    ✅ จรวดมีขนาดเล็ก: 6.3 ม. / 85 ซม. / น้ำหนักเต็ม 1,312 กก.  
    • เปรียบเทียบแล้วเป็นระดับ subscale test model แต่ครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก

    ✅ ตั้งเป้าทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029  
    • หลังจากเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2024 ด้วยการทดสอบเผาไหม้และ hover

    ✅ เน้นทดสอบเทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพและระบบลงจอดแบบมี precision  
    • แสดงให้เห็นความพร้อมด้านระบบนำทางและระบบความปลอดภัย

    ✅ สร้างโซนจำกัดรัศมี 1 กม. ระหว่างการทดสอบ พร้อมระบบหยุดฉุกเฉิน  
    • แสดงความใส่ใจต่อความปลอดภัยของสาธารณชน

    ✅ เป็นหนึ่งในโครงการด้านอวกาศที่เปิดเผยของ Honda หลังเงียบมานาน  
    • ต่อจากโครงการพัฒนา hydrogen system สำหรับใช้บนสถานีอวกาศ ISS

    ‼️ แม้การทดสอบสำเร็จ แต่ Honda ยังตามหลัง SpaceX และ Blue Origin หลายปีแสง  
    • ทั้งสองบริษัทมีประสบการณ์การบิน suborbital และ orbital หลายสิบเที่ยวแล้ว

    ‼️ จรวดที่ทดสอบยังอยู่ระดับต้นแบบย่อย (subscale)  
    • ยังไม่พิสูจน์ว่าระบบสามารถนำไปใช้งานจริงหรือรับ payload ได้ในระดับ commercial

    ‼️ ยังไม่ชัดเจนว่าฮอนด้าจะพัฒนาด้วยทรัพยากรของตัวเองทั้งหมด หรือจับมือกับพันธมิตรในวงการอวกาศ  
    • ความยั่งยืนของโครงการขึ้นกับการจัดหาเงินทุนระยะยาว

    ‼️ การแข่งขันในวงการ reusable rocket เข้มข้นและต้นทุนสูงมาก  
    • อาจไม่ใช่ตลาดที่ทุกคนจะอยู่รอดได้แม้มีเทคโนโลยี

    https://www.techspot.com/news/108365-honda-celebrates-first-successful-test-reusable-rocket-bid.html
    เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา Honda จัดการทดสอบ “ยิงจรวดขึ้น – ลงจอดสำเร็จ” อย่างสวยงามในเมืองไทกิ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งมีฉายาว่า “เมืองอวกาศของญี่ปุ่น” เพราะเป็นฐานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของหลายบริษัท จรวดต้นแบบของ Honda มีความยาว 6.3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 85 เซนติเมตร หนักรวม 1.3 ตันเมื่อเติมเชื้อเพลิง ตัวเล็กกว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX มาก แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ… มัน สามารถขึ้นไปที่ความสูง 271.4 เมตร และลงจอดกลับมาที่เป้าหมายได้ภายในระยะห่างเพียง 37 เซนติเมตร! ใช้เวลาบินรวมแค่ 56.6 วินาทีเท่านั้น Honda บอกว่าเป้าหมายของการทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อความสูงหรือระยะทาง แต่เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี “ขึ้นลงอย่างมีเสถียรภาพ” และ “ลงจอดแบบควบคุมได้” พร้อมทั้งโชว์ระบบความปลอดภัย เช่น การปิดการขับดันอัตโนมัติถ้าทิศทางผิดเพี้ยน ทั้งหมดนี้เป็นก้าวแรกเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ: ทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029 ✅ Honda ทดสอบยิงจรวดต้นแบบแบบ reusable สำเร็จในญี่ปุ่น   • ความสูงสูงสุด 271.4 เมตร / ใช้เวลา 56.6 วินาที / ลงจอดห่างจากเป้าแค่ 37 ซม.   • ทดสอบที่ Taiki Town, Hokkaido — เมืองที่มีศักยภาพด้าน space tech ✅ จรวดมีขนาดเล็ก: 6.3 ม. / 85 ซม. / น้ำหนักเต็ม 1,312 กก.   • เปรียบเทียบแล้วเป็นระดับ subscale test model แต่ครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก ✅ ตั้งเป้าทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029   • หลังจากเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2024 ด้วยการทดสอบเผาไหม้และ hover ✅ เน้นทดสอบเทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพและระบบลงจอดแบบมี precision   • แสดงให้เห็นความพร้อมด้านระบบนำทางและระบบความปลอดภัย ✅ สร้างโซนจำกัดรัศมี 1 กม. ระหว่างการทดสอบ พร้อมระบบหยุดฉุกเฉิน   • แสดงความใส่ใจต่อความปลอดภัยของสาธารณชน ✅ เป็นหนึ่งในโครงการด้านอวกาศที่เปิดเผยของ Honda หลังเงียบมานาน   • ต่อจากโครงการพัฒนา hydrogen system สำหรับใช้บนสถานีอวกาศ ISS ‼️ แม้การทดสอบสำเร็จ แต่ Honda ยังตามหลัง SpaceX และ Blue Origin หลายปีแสง   • ทั้งสองบริษัทมีประสบการณ์การบิน suborbital และ orbital หลายสิบเที่ยวแล้ว ‼️ จรวดที่ทดสอบยังอยู่ระดับต้นแบบย่อย (subscale)   • ยังไม่พิสูจน์ว่าระบบสามารถนำไปใช้งานจริงหรือรับ payload ได้ในระดับ commercial ‼️ ยังไม่ชัดเจนว่าฮอนด้าจะพัฒนาด้วยทรัพยากรของตัวเองทั้งหมด หรือจับมือกับพันธมิตรในวงการอวกาศ   • ความยั่งยืนของโครงการขึ้นกับการจัดหาเงินทุนระยะยาว ‼️ การแข่งขันในวงการ reusable rocket เข้มข้นและต้นทุนสูงมาก   • อาจไม่ใช่ตลาดที่ทุกคนจะอยู่รอดได้แม้มีเทคโนโลยี https://www.techspot.com/news/108365-honda-celebrates-first-successful-test-reusable-rocket-bid.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Honda joins space race with first successful reusable rocket test
    The historic flight took place on June 17 at the Honda facility in Taiki Town, Hiroo District, Hokkaido Prefecture, Japan, which has been dubbed as a "space...
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • 'ภูมิใจไทย' พ้นรัฐบาล ทิ้งเก้าอี้รมต.-รองปธ.สภาฯ 'ประชาชน' กวักมือรอ
    .
    พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หลังไม่พอใจกรณีการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน ชี้กระทบต่ออธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ รัฐมนตรีจากพรรคยื่นลาออกมีผล 19 มิ.ย. พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเตรียมร่วมฝ่ายค้าน ชี้มีอำนาจต่อรองเพิ่ม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057592

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    'ภูมิใจไทย' พ้นรัฐบาล ทิ้งเก้าอี้รมต.-รองปธ.สภาฯ 'ประชาชน' กวักมือรอ . พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หลังไม่พอใจกรณีการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน ชี้กระทบต่ออธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ รัฐมนตรีจากพรรคยื่นลาออกมีผล 19 มิ.ย. พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเตรียมร่วมฝ่ายค้าน ชี้มีอำนาจต่อรองเพิ่ม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057592 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews