• บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า…

    “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่”

    เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า

    แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน!

    Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น”

    Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี  
    • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง  
    • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน”

    มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ  
    • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ  
    • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน

    Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”  
    • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI  
    • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน

    AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง  
    • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์  
    • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว

    มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”  
    • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์

    ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI  
    • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี

    บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”  
    • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้

    การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด  
    • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด

    แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที  
    • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า… “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่” เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน! Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น” ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี   • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง   • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน” ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ   • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ   • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”   • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI   • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง   • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์   • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”   • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์ ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI   • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”   • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้ ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด   • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที   • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon CEO Andy Jassy tells workers: AI will replace some of you
    In a message sent to employees this week, Jassy said generative AI was a "once-in-a-lifetime" technology that completely changes what's possible for customers and businesses.
    0 Comments 0 Shares 416 Views 0 Reviews
  • “ชาดา” บอกทนฟังคลิป “แพทองธาร-ฮุนเซน” ต่อไม่ได้ ชี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง
    https://www.thai-tai.tv/news/19528/
    “ชาดา” บอกทนฟังคลิป “แพทองธาร-ฮุนเซน” ต่อไม่ได้ ชี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง https://www.thai-tai.tv/news/19528/
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • ผ่านเกณฑ์ ร้านดีการันตีคุณภาพ และ ขอบคุณ Item ป้าย จาก Grab
    สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    ผ่านเกณฑ์ ร้านดีการันตีคุณภาพ และ ขอบคุณ Item ป้าย จาก Grab สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    2 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที.
    ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที. ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    กองทัพสหรัฐฯพร้อมดำเนินการตอบสนองการตัดสินใจใดๆของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องอิหร่าน จากคำยืนยันของ พีท เฮกเซ็ธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) พร้อมบ่งชี้ว่าทิศทางของสหรัฐฯน่าจะมีความชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057558

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 609 Views 0 Reviews
  • ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป

    Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง”

    เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้

    Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่”

    Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง  
    • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี  
    • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence”

    Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI  
    • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ  
    • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta

    ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)  
    • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg  
    • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้

    Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว  
    • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk  
    • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google

    มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU  
    • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย”

    การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร  
    • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร  
    • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง

    Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่  
    • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน

    การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก  
    • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก

    การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน  
    • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ

    https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง” เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้ Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่” ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง   • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี   • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence” ✅ Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI   • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ   • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta ✅ ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)   • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg   • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้ ✅ Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว   • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk   • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google ✅ มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU   • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย” ‼️ การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร   • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร   • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง ‼️ Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่   • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน ‼️ การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก   • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก ‼️ การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน   • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta is offering up to $100 million to lure AI talent, says OpenAI's Sam Altman
    The recruitment drive has a personal element: former Scale AI CEO Alexandr Wang heads Meta's new AI group, and some new hires are said to be working...
    0 Comments 0 Shares 429 Views 0 Reviews
  • "เสธ.โหน่ง"ชี้สนิทแค่ไหนก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์คุยเรื่องสำคัญ
    https://www.thai-tai.tv/news/19529/
    "เสธ.โหน่ง"ชี้สนิทแค่ไหนก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์คุยเรื่องสำคัญ https://www.thai-tai.tv/news/19529/
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย!

    เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ

    แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้!

    นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน

    2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม  
    • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services

    ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส  
    • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ

    บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น  
    • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว

    วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)  
    • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย

    มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ  
    • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที

    การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย  
    • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน

    SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง  
    • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร

    แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่  
    • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง

    ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์  
    • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP

    https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย! เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้! นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน ✅ 2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม   • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services ✅ ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส   • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ ✅ บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น   • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว ✅ วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)   • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย ✅ มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ   • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที ‼️ การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย   • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน ‼️ SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง   • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร ‼️ แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่   • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์   • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Whistleblower warning: 2FA codes sent via SMS are trivially easy to intercept
    Many implementations of two-factor authentication involve sending a one-time passcode to the end user via SMS. Once entered, the user is logged in and it's business as...
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว

    พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง

    ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก

    พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)  
    • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์

    รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง  
    • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot

    ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)  
    • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์  
    • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ  
    • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย

    ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์  
    • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง

    นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย  
    • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ

    องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก  
    • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ

    Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย  
    • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ

    การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม  
    • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน

    แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย  
    • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์

    https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก ✅ พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)   • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์ ✅ รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง   • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot ✅ ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)   • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์   • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ✅ มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ   • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย ✅ ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์   • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง ✅ นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย   • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ ‼️ องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก   • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ ‼️ Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย   • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ ‼️ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม   • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน ‼️ แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย   • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์ https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Keylogger campaign hitting Outlook Web Access on vulnerable Exchange servers goes global
    Researchers from Positive Technologies recently unveiled a new study on a keylogger-based campaign targeting organizations worldwide. The campaign, which resembles a similar attack discovered in 2024, focuses...
    0 Comments 0 Shares 461 Views 0 Reviews
  • ด่วน! อิสราเอลกำลังเตรียมโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Arak ในอิหร่าน

    อิสราเอลมีคำสั่งให้ชาวอิหร่านออกจากพื้นที่โดยรอบแล้ว

    พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของเครื่องปฏิกรณ์ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงงานสำคัญในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้จะเชื่อกันว่า "ไม่ได้ใช้งานแล้ว" แต่เครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลิตผลพลอยได้จากพลูโตเนียม และเป็นจุดสนใจของนานาชาติมาอย่างยาวนาน
    ด่วน! อิสราเอลกำลังเตรียมโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Arak ในอิหร่าน ⚠️ อิสราเอลมีคำสั่งให้ชาวอิหร่านออกจากพื้นที่โดยรอบแล้ว พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของเครื่องปฏิกรณ์ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงงานสำคัญในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้จะเชื่อกันว่า "ไม่ได้ใช้งานแล้ว" แต่เครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลิตผลพลอยได้จากพลูโตเนียม และเป็นจุดสนใจของนานาชาติมาอย่างยาวนาน
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • อิหร่านยึดรถขนโดรนของสายลับมอสสาดของอิเอลได้เพิ่มเติมอีกคัน
    อิหร่านยึดรถขนโดรนของสายลับมอสสาดของอิเอลได้เพิ่มเติมอีกคัน
    0 Comments 0 Shares 215 Views 17 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา Honda จัดการทดสอบ “ยิงจรวดขึ้น – ลงจอดสำเร็จ” อย่างสวยงามในเมืองไทกิ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งมีฉายาว่า “เมืองอวกาศของญี่ปุ่น” เพราะเป็นฐานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของหลายบริษัท

    จรวดต้นแบบของ Honda มีความยาว 6.3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 85 เซนติเมตร หนักรวม 1.3 ตันเมื่อเติมเชื้อเพลิง ตัวเล็กกว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX มาก แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ… มัน สามารถขึ้นไปที่ความสูง 271.4 เมตร และลงจอดกลับมาที่เป้าหมายได้ภายในระยะห่างเพียง 37 เซนติเมตร! ใช้เวลาบินรวมแค่ 56.6 วินาทีเท่านั้น

    Honda บอกว่าเป้าหมายของการทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อความสูงหรือระยะทาง แต่เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี “ขึ้นลงอย่างมีเสถียรภาพ” และ “ลงจอดแบบควบคุมได้” พร้อมทั้งโชว์ระบบความปลอดภัย เช่น การปิดการขับดันอัตโนมัติถ้าทิศทางผิดเพี้ยน

    ทั้งหมดนี้เป็นก้าวแรกเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ: ทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029

    Honda ทดสอบยิงจรวดต้นแบบแบบ reusable สำเร็จในญี่ปุ่น  
    • ความสูงสูงสุด 271.4 เมตร / ใช้เวลา 56.6 วินาที / ลงจอดห่างจากเป้าแค่ 37 ซม.  
    • ทดสอบที่ Taiki Town, Hokkaido — เมืองที่มีศักยภาพด้าน space tech

    จรวดมีขนาดเล็ก: 6.3 ม. / 85 ซม. / น้ำหนักเต็ม 1,312 กก.  
    • เปรียบเทียบแล้วเป็นระดับ subscale test model แต่ครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก

    ตั้งเป้าทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029  
    • หลังจากเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2024 ด้วยการทดสอบเผาไหม้และ hover

    เน้นทดสอบเทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพและระบบลงจอดแบบมี precision  
    • แสดงให้เห็นความพร้อมด้านระบบนำทางและระบบความปลอดภัย

    สร้างโซนจำกัดรัศมี 1 กม. ระหว่างการทดสอบ พร้อมระบบหยุดฉุกเฉิน  
    • แสดงความใส่ใจต่อความปลอดภัยของสาธารณชน

    เป็นหนึ่งในโครงการด้านอวกาศที่เปิดเผยของ Honda หลังเงียบมานาน  
    • ต่อจากโครงการพัฒนา hydrogen system สำหรับใช้บนสถานีอวกาศ ISS

    แม้การทดสอบสำเร็จ แต่ Honda ยังตามหลัง SpaceX และ Blue Origin หลายปีแสง  
    • ทั้งสองบริษัทมีประสบการณ์การบิน suborbital และ orbital หลายสิบเที่ยวแล้ว

    จรวดที่ทดสอบยังอยู่ระดับต้นแบบย่อย (subscale)  
    • ยังไม่พิสูจน์ว่าระบบสามารถนำไปใช้งานจริงหรือรับ payload ได้ในระดับ commercial

    ยังไม่ชัดเจนว่าฮอนด้าจะพัฒนาด้วยทรัพยากรของตัวเองทั้งหมด หรือจับมือกับพันธมิตรในวงการอวกาศ  
    • ความยั่งยืนของโครงการขึ้นกับการจัดหาเงินทุนระยะยาว

    การแข่งขันในวงการ reusable rocket เข้มข้นและต้นทุนสูงมาก  
    • อาจไม่ใช่ตลาดที่ทุกคนจะอยู่รอดได้แม้มีเทคโนโลยี

    https://www.techspot.com/news/108365-honda-celebrates-first-successful-test-reusable-rocket-bid.html
    เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา Honda จัดการทดสอบ “ยิงจรวดขึ้น – ลงจอดสำเร็จ” อย่างสวยงามในเมืองไทกิ จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งมีฉายาว่า “เมืองอวกาศของญี่ปุ่น” เพราะเป็นฐานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของหลายบริษัท จรวดต้นแบบของ Honda มีความยาว 6.3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 85 เซนติเมตร หนักรวม 1.3 ตันเมื่อเติมเชื้อเพลิง ตัวเล็กกว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX มาก แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ… มัน สามารถขึ้นไปที่ความสูง 271.4 เมตร และลงจอดกลับมาที่เป้าหมายได้ภายในระยะห่างเพียง 37 เซนติเมตร! ใช้เวลาบินรวมแค่ 56.6 วินาทีเท่านั้น Honda บอกว่าเป้าหมายของการทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อความสูงหรือระยะทาง แต่เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี “ขึ้นลงอย่างมีเสถียรภาพ” และ “ลงจอดแบบควบคุมได้” พร้อมทั้งโชว์ระบบความปลอดภัย เช่น การปิดการขับดันอัตโนมัติถ้าทิศทางผิดเพี้ยน ทั้งหมดนี้เป็นก้าวแรกเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ: ทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029 ✅ Honda ทดสอบยิงจรวดต้นแบบแบบ reusable สำเร็จในญี่ปุ่น   • ความสูงสูงสุด 271.4 เมตร / ใช้เวลา 56.6 วินาที / ลงจอดห่างจากเป้าแค่ 37 ซม.   • ทดสอบที่ Taiki Town, Hokkaido — เมืองที่มีศักยภาพด้าน space tech ✅ จรวดมีขนาดเล็ก: 6.3 ม. / 85 ซม. / น้ำหนักเต็ม 1,312 กก.   • เปรียบเทียบแล้วเป็นระดับ subscale test model แต่ครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก ✅ ตั้งเป้าทำ suborbital launch ได้ภายในปี 2029   • หลังจากเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2024 ด้วยการทดสอบเผาไหม้และ hover ✅ เน้นทดสอบเทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพและระบบลงจอดแบบมี precision   • แสดงให้เห็นความพร้อมด้านระบบนำทางและระบบความปลอดภัย ✅ สร้างโซนจำกัดรัศมี 1 กม. ระหว่างการทดสอบ พร้อมระบบหยุดฉุกเฉิน   • แสดงความใส่ใจต่อความปลอดภัยของสาธารณชน ✅ เป็นหนึ่งในโครงการด้านอวกาศที่เปิดเผยของ Honda หลังเงียบมานาน   • ต่อจากโครงการพัฒนา hydrogen system สำหรับใช้บนสถานีอวกาศ ISS ‼️ แม้การทดสอบสำเร็จ แต่ Honda ยังตามหลัง SpaceX และ Blue Origin หลายปีแสง   • ทั้งสองบริษัทมีประสบการณ์การบิน suborbital และ orbital หลายสิบเที่ยวแล้ว ‼️ จรวดที่ทดสอบยังอยู่ระดับต้นแบบย่อย (subscale)   • ยังไม่พิสูจน์ว่าระบบสามารถนำไปใช้งานจริงหรือรับ payload ได้ในระดับ commercial ‼️ ยังไม่ชัดเจนว่าฮอนด้าจะพัฒนาด้วยทรัพยากรของตัวเองทั้งหมด หรือจับมือกับพันธมิตรในวงการอวกาศ   • ความยั่งยืนของโครงการขึ้นกับการจัดหาเงินทุนระยะยาว ‼️ การแข่งขันในวงการ reusable rocket เข้มข้นและต้นทุนสูงมาก   • อาจไม่ใช่ตลาดที่ทุกคนจะอยู่รอดได้แม้มีเทคโนโลยี https://www.techspot.com/news/108365-honda-celebrates-first-successful-test-reusable-rocket-bid.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Honda joins space race with first successful reusable rocket test
    The historic flight took place on June 17 at the Honda facility in Taiki Town, Hiroo District, Hokkaido Prefecture, Japan, which has been dubbed as a "space...
    0 Comments 0 Shares 596 Views 0 Reviews
  • 'ภูมิใจไทย' พ้นรัฐบาล ทิ้งเก้าอี้รมต.-รองปธ.สภาฯ 'ประชาชน' กวักมือรอ
    .
    พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หลังไม่พอใจกรณีการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน ชี้กระทบต่ออธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ รัฐมนตรีจากพรรคยื่นลาออกมีผล 19 มิ.ย. พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเตรียมร่วมฝ่ายค้าน ชี้มีอำนาจต่อรองเพิ่ม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057592

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    'ภูมิใจไทย' พ้นรัฐบาล ทิ้งเก้าอี้รมต.-รองปธ.สภาฯ 'ประชาชน' กวักมือรอ . พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หลังไม่พอใจกรณีการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน ชี้กระทบต่ออธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ รัฐมนตรีจากพรรคยื่นลาออกมีผล 19 มิ.ย. พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเตรียมร่วมฝ่ายค้าน ชี้มีอำนาจต่อรองเพิ่ม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057592 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 1545 Views 0 Reviews
  • Salesforce เจ้าของ Slack ประกาศปรับราคาชุดใหญ่ โดยเฉพาะแผน Business+ และ Enterprise+ โดยเพิ่มราคาต่อผู้ใช้รายเดือนขึ้นหลายดอลลาร์ — ยกตัวอย่างแผน Business+ ที่จ่ายรายปีจะขึ้นจาก $12.50 → $15 ต่อผู้ใช้/เดือน และถ้าจ่ายรายเดือนจะโดดเป็น $18 เลยทีเดียว!

    แต่ Salesforce ก็ไม่ได้ขึ้นราคาเฉย ๆ เค้าให้เหตุผลว่า “เพราะเพิ่มฟีเจอร์ AI มาให้” เช่น สรุปบทสนทนาแบบอัตโนมัติ (conversation recap), โน้ตจาก huddle, สรุปไฟล์, AI search, แปลข้อความ และอื่น ๆ

    และถ้ายังไม่พอ Salesforce ยังเปิดตัว Agentforce — แพลตฟอร์มที่ให้องค์กรสร้าง AI agent ใช้เอง เช่น ผู้ช่วยจัดประชุม ผู้ช่วยตอบคำถาม เริ่มต้นที่ $125 จนถึง $550 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน (เฉพาะฟีเจอร์เสริมนี้เท่านั้นนะครับ ยังไม่รวม Slack)

    เบื้องหลังข่าวนี้คือยุคใหม่ของ SaaS ที่ไม่ใช่แค่ “ขึ้นราคา” แต่คือการ “ผูก AI มาพร้อมกันเลย” เพราะบริษัท tech ต่าง ๆ ต้องการให้ AI สร้างรายได้ ไม่ใช่แค่เป็นต้นทุน GPU แพง ๆ โดยไม่ได้กำไรกลับมา

    Salesforce ปรับราคาค่าบริการ Slack Plan แบบจ่ายเงิน (บางแผน)  
    • Business+ จาก $12.50 → $15 ต่อ user/เดือน (จ่ายรายปี)  
    • จ่ายรายเดือน: จาก $15 → $18  • แผน Foundations, Starter, Pro ไม่ขึ้นราคา

    เพิ่มฟีเจอร์ AI มาในทุกแผนแบบจ่ายเงิน  
    • Pro: สรุปบทสนทนา (recaps), สรุป huddle  
    • Business+/Enterprise+: เพิ่ม AI search, สรุปไฟล์, แปลภาษา และอื่น ๆ

    เปิดแผนใหม่ “Enterprise+”  
    • มีฟีเจอร์ด้าน admin, ค้นหาขั้นสูง และระบบควบคุมระดับองค์กร

    เปิดตัว Agentforce: แพลตฟอร์มสร้าง AI agent ขององค์กรเอง  
    • Agentforce 1 Editions เริ่มที่ $125 ถึง $550 ต่อ user/เดือน  
    • สร้าง digital labor (แรงงาน AI) ประจำทีม

    Salesforce ระบุว่าการให้ทุกคนมี AI ใช้งาน “คือยุทธศาสตร์ระดับองค์กร”  
    • เน้นว่าองค์กรที่ไม่เอา AI มาใช้เลย อาจตกขบวน  
    • แต่ก็ยอมรับว่า “หลายองค์กรยังแปลง AI ให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจไม่สำเร็จ”

    ไม่สามารถปฏิเสธ AI ได้ แม้จะไม่ได้ใช้ก็ตาม  
    • ทุกแผนแบบจ่ายเงินจะได้ฟีเจอร์ AI โดยอัตโนมัติ  
    • องค์กรที่ใช้เฉพาะ Slack chat/chatbot อาจต้องจ่ายมากขึ้นโดยไม่คุ้ม

    Agentforce ราคาเริ่มต้นสูงมากสำหรับตลาดทั่วไป  
    • ระดับ $550/user/month ถือว่าสูงเกินการเข้าถึงของ SME หรือ startup  
    • ยิ่งรวมกับราคาของ Slack, ค่าใช้จ่ายต่อ user จะพุ่งขึ้นเร็วมาก

    มีกรณีที่ผ่านมา Salesforce เคยฝึกโมเดล AI โดยใช้ข้อมูลลูกค้า โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า  
    • ทำให้เกิดความกังวลด้าน privacy และการควบคุมข้อมูลขององค์กร

    หลายองค์กรยังไม่แน่ใจว่า AI ใน Slack “ช่วยงานจริง” หรือเป็นแค่ gimmick  
    • มีรายงานว่าองค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง เริ่มถอยจากการใช้ AI แบบเต็มรูปแบบ

    https://www.techspot.com/news/108366-salesforce-latest-price-increase-comes-promise-more-ai.html
    Salesforce เจ้าของ Slack ประกาศปรับราคาชุดใหญ่ โดยเฉพาะแผน Business+ และ Enterprise+ โดยเพิ่มราคาต่อผู้ใช้รายเดือนขึ้นหลายดอลลาร์ — ยกตัวอย่างแผน Business+ ที่จ่ายรายปีจะขึ้นจาก $12.50 → $15 ต่อผู้ใช้/เดือน และถ้าจ่ายรายเดือนจะโดดเป็น $18 เลยทีเดียว! แต่ Salesforce ก็ไม่ได้ขึ้นราคาเฉย ๆ เค้าให้เหตุผลว่า “เพราะเพิ่มฟีเจอร์ AI มาให้” เช่น สรุปบทสนทนาแบบอัตโนมัติ (conversation recap), โน้ตจาก huddle, สรุปไฟล์, AI search, แปลข้อความ และอื่น ๆ และถ้ายังไม่พอ Salesforce ยังเปิดตัว Agentforce — แพลตฟอร์มที่ให้องค์กรสร้าง AI agent ใช้เอง เช่น ผู้ช่วยจัดประชุม ผู้ช่วยตอบคำถาม เริ่มต้นที่ $125 จนถึง $550 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน (เฉพาะฟีเจอร์เสริมนี้เท่านั้นนะครับ ยังไม่รวม Slack) เบื้องหลังข่าวนี้คือยุคใหม่ของ SaaS ที่ไม่ใช่แค่ “ขึ้นราคา” แต่คือการ “ผูก AI มาพร้อมกันเลย” เพราะบริษัท tech ต่าง ๆ ต้องการให้ AI สร้างรายได้ ไม่ใช่แค่เป็นต้นทุน GPU แพง ๆ โดยไม่ได้กำไรกลับมา ✅ Salesforce ปรับราคาค่าบริการ Slack Plan แบบจ่ายเงิน (บางแผน)   • Business+ จาก $12.50 → $15 ต่อ user/เดือน (จ่ายรายปี)   • จ่ายรายเดือน: จาก $15 → $18  • แผน Foundations, Starter, Pro ไม่ขึ้นราคา ✅ เพิ่มฟีเจอร์ AI มาในทุกแผนแบบจ่ายเงิน   • Pro: สรุปบทสนทนา (recaps), สรุป huddle   • Business+/Enterprise+: เพิ่ม AI search, สรุปไฟล์, แปลภาษา และอื่น ๆ ✅ เปิดแผนใหม่ “Enterprise+”   • มีฟีเจอร์ด้าน admin, ค้นหาขั้นสูง และระบบควบคุมระดับองค์กร ✅ เปิดตัว Agentforce: แพลตฟอร์มสร้าง AI agent ขององค์กรเอง   • Agentforce 1 Editions เริ่มที่ $125 ถึง $550 ต่อ user/เดือน   • สร้าง digital labor (แรงงาน AI) ประจำทีม ✅ Salesforce ระบุว่าการให้ทุกคนมี AI ใช้งาน “คือยุทธศาสตร์ระดับองค์กร”   • เน้นว่าองค์กรที่ไม่เอา AI มาใช้เลย อาจตกขบวน   • แต่ก็ยอมรับว่า “หลายองค์กรยังแปลง AI ให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจไม่สำเร็จ” ‼️ ไม่สามารถปฏิเสธ AI ได้ แม้จะไม่ได้ใช้ก็ตาม   • ทุกแผนแบบจ่ายเงินจะได้ฟีเจอร์ AI โดยอัตโนมัติ   • องค์กรที่ใช้เฉพาะ Slack chat/chatbot อาจต้องจ่ายมากขึ้นโดยไม่คุ้ม ‼️ Agentforce ราคาเริ่มต้นสูงมากสำหรับตลาดทั่วไป   • ระดับ $550/user/month ถือว่าสูงเกินการเข้าถึงของ SME หรือ startup   • ยิ่งรวมกับราคาของ Slack, ค่าใช้จ่ายต่อ user จะพุ่งขึ้นเร็วมาก ‼️ มีกรณีที่ผ่านมา Salesforce เคยฝึกโมเดล AI โดยใช้ข้อมูลลูกค้า โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า   • ทำให้เกิดความกังวลด้าน privacy และการควบคุมข้อมูลขององค์กร ‼️ หลายองค์กรยังไม่แน่ใจว่า AI ใน Slack “ช่วยงานจริง” หรือเป็นแค่ gimmick   • มีรายงานว่าองค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง เริ่มถอยจากการใช้ AI แบบเต็มรูปแบบ https://www.techspot.com/news/108366-salesforce-latest-price-increase-comes-promise-more-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Salesforce hikes Slack prices, adds AI tools for all paid users
    According to a recent announcement from Salesforce, Slack customers will now have to pay more but will receive new AI-based features in return. Paid plans for the...
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • ทางเลือก แพทองธาร ยุบสภา-ลาออก ก่อนเกิดรัฐประหาร
    .
    จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในประเทศนั้น ส่วนหนึ่งมีการมองว่าแม้จะเป็นการเสียมารยาททางการทูตก็จริง แต่ถ้อยคำของนายกฯในการสนทนา โดยเฉพาะการพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 และการมุ่งเน้นถึงการรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเป็นสำคัญ ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้นายกฯรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าวทั้งการลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057591

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ทางเลือก แพทองธาร ยุบสภา-ลาออก ก่อนเกิดรัฐประหาร . จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในประเทศนั้น ส่วนหนึ่งมีการมองว่าแม้จะเป็นการเสียมารยาททางการทูตก็จริง แต่ถ้อยคำของนายกฯในการสนทนา โดยเฉพาะการพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 และการมุ่งเน้นถึงการรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเป็นสำคัญ ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้นายกฯรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าวทั้งการลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057591 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    17
    0 Comments 0 Shares 1594 Views 0 Reviews
  • 'อาร์ต พศุตม์' โพสต์เดือด! "เราคือพวกเดียวกับแม่ทัพภาคที่ 2"
    https://www.thai-tai.tv/news/19530/
    'อาร์ต พศุตม์' โพสต์เดือด! "เราคือพวกเดียวกับแม่ทัพภาคที่ 2" https://www.thai-tai.tv/news/19530/
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • ไม่ติดใจคำนายกอิ๊งค์ ทหารทำเพื่อประชาชน : [NEWS UPDATE]

    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีคลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โทรศัพท์คุยกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งได้พาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 น.ส.แพทองธาร ได้โทรศัพท์มาปรับความเข้าใจ อธิบายเนื้อหาการสนทนาเพื่อต้องการให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เบาบางลง ซึ่งได้บอกกับนายกรัฐมนตรีว่า"ผมไม่มีอะไรครับ ผมเข้าใจ" ซึ่งนายกรัฐมนตรี ขอบคุณที่เข้าใจ ถือว่าคุยกันเข้าใจแล้ว ไม่ติดใจอะไร ตนเองทำเพื่อประเทศชาติและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ซึ่งก็ยังทำงานตามปกติ

    -ไม่หวั่นกัมพูชาปลุกม็อบ

    -เตือนคนไทยออกจากพื้นที่

    -นับองค์ประชุมวนไป

    -ชวนจองฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
    ไม่ติดใจคำนายกอิ๊งค์ ทหารทำเพื่อประชาชน : [NEWS UPDATE] พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยกรณีคลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โทรศัพท์คุยกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งได้พาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 น.ส.แพทองธาร ได้โทรศัพท์มาปรับความเข้าใจ อธิบายเนื้อหาการสนทนาเพื่อต้องการให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เบาบางลง ซึ่งได้บอกกับนายกรัฐมนตรีว่า"ผมไม่มีอะไรครับ ผมเข้าใจ" ซึ่งนายกรัฐมนตรี ขอบคุณที่เข้าใจ ถือว่าคุยกันเข้าใจแล้ว ไม่ติดใจอะไร ตนเองทำเพื่อประเทศชาติและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ซึ่งก็ยังทำงานตามปกติ -ไม่หวั่นกัมพูชาปลุกม็อบ -เตือนคนไทยออกจากพื้นที่ -นับองค์ประชุมวนไป -ชวนจองฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 934 Views 35 0 Reviews
  • หลังเปิดตัวที่ Computex ไปอย่างน่าตื่นเต้น คราวนี้ AMD เผยผลทดสอบจริงของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์แล้ว โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ รุ่นธรรมดา HEDT (X) และ รุ่นระดับมือโปร (WX)

    รุ่นท็อป Threadripper Pro 9995WX จัดเต็ม 96 คอร์ 192 เธรด! แถมมี Boost Clock สูงสุด 5.45 GHz พร้อม L3 Cache 384MB และ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน — ข้อมูลที่น่าสนใจคือ AMD เคลมว่าสามารถ “ทำงานเร็วกว่า Xeon W9-3595X สูงสุดถึง 145%” ในงานเรนเดอร์ V-Ray

    ในงานสร้างสรรค์และ AI ก็แรงไม่แพ้กัน เช่น เร็วกว่า 49% ใน LLM ของ DeepSeek R1 32B และเร็วกว่า 28% ในงาน AI video editing บน DaVinci Resolve

    นอกจากนี้ รุ่น HEDT สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ทั่วไป เช่น Threadripper 9980X ก็ทำผลงานดีกว่า Xeon ตัวเดียวกันถึง 108% บน Corona Render, 65% เร็วกว่าใน Unreal Engine และ 22% ใน Premiere Pro

    ฝั่ง AMD ยังไม่บอกราคา แต่เตรียมวางขายในเดือนกรกฎาคมนี้ และสู้กันชัด ๆ กับ Xeon W9 และ Xeon Pro เจเนอเรชันล่าสุดจาก Intel ที่เริ่มเปิดตัวในปีนี้เหมือนกัน

    AMD เผย Benchmark อย่างเป็นทางการของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์  
    • ครอบคลุมทั้งกลุ่ม HEDT (X) และ Workstation Pro (WX)  
    • เทียบกับ Intel Xeon W9-3595X ในหลายงานทั้งสร้างสรรค์ วิศวกรรม และ AI

    Threadripper 9980X (HEDT)  • เร็วกว่าคู่แข่ง Xeon W9-3595X:   
    • 108% บน Corona Render   
    • 65% ใน Unreal Engine build   
    • 41% บน Autodesk Revit   
    • 22% บน Adobe Premiere Pro

    Threadripper Pro 9995WX (Workstation)  
    • เร็วกว่า Threadripper 7995WX รุ่นก่อนหน้า:   
    • 26% บน After Effects   
    • 20% บน V-Ray   
    • 19% บน Cinebench nT

    ด้าน AI/LLM/Creative มี performance เหนือกว่า Xeon  
    • 49% เร็วกว่าใน DeepSeek R1 (LLM 32B)  
    • 34% เร็วกว่าในการสร้างภาพ (text-to-image) ด้วย Flux.1 + ComfyUI  
    • 28% เร็วกว่าใน DaVinci Resolve (AI assisted creation)  
    • 119–145% เร็วกว่าใน V-Ray และ Keyshot

    รายละเอียดสเปก Threadripper Pro 9995WX  
    • 96 คอร์ / 192 เธรด / Boost 5.45GHz  
    • TDP 350W / L3 Cache 384MB / PCIe 5.0 x128 lanes  
    • รองรับ DDR5-6400 ECC

    มีทั้งหมด 10 รุ่นย่อย: 7 รุ่น WX / 3 รุ่น X (non-Pro)  
    • วางขายกรกฎาคม 2025  
    • ราคายังไม่เปิดเผย

    Benchmark ทั้งหมดมาจาก AMD โดยตรง — ต้องรอการทดสอบอิสระเพื่อยืนยัน  
    • ตัวเลขที่ AMD ให้มักมาจาก workloads เฉพาะทาง  
    • อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในงานทั่วไป

    TDP 350W อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนขั้นสูง  
    • โดยเฉพาะหากใช้ในการเรนเดอร์หรือ AI inferencing ต่อเนื่อง

    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาหรือ availability ในตลาดทั่วไป  
    • อาจเริ่มจากเวิร์กสเตชันแบรนด์ OEM ก่อน เช่น Dell, Lenovo

    รุ่น Workstation ต้องใช้แพลตฟอร์มเฉพาะ เช่น WRX90 ซึ่งแพงและมีข้อจำกัดมากกว่า consumer CPU  
    • ไม่สามารถใช้ร่วมกับเมนบอร์ดทั่วไปได้

    https://www.techspot.com/news/108362-amd-claims-ryzen-threadripper-9000-up-145-faster.html
    หลังเปิดตัวที่ Computex ไปอย่างน่าตื่นเต้น คราวนี้ AMD เผยผลทดสอบจริงของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์แล้ว โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ รุ่นธรรมดา HEDT (X) และ รุ่นระดับมือโปร (WX) รุ่นท็อป Threadripper Pro 9995WX จัดเต็ม 96 คอร์ 192 เธรด! แถมมี Boost Clock สูงสุด 5.45 GHz พร้อม L3 Cache 384MB และ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน — ข้อมูลที่น่าสนใจคือ AMD เคลมว่าสามารถ “ทำงานเร็วกว่า Xeon W9-3595X สูงสุดถึง 145%” ในงานเรนเดอร์ V-Ray ในงานสร้างสรรค์และ AI ก็แรงไม่แพ้กัน เช่น เร็วกว่า 49% ใน LLM ของ DeepSeek R1 32B และเร็วกว่า 28% ในงาน AI video editing บน DaVinci Resolve นอกจากนี้ รุ่น HEDT สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ทั่วไป เช่น Threadripper 9980X ก็ทำผลงานดีกว่า Xeon ตัวเดียวกันถึง 108% บน Corona Render, 65% เร็วกว่าใน Unreal Engine และ 22% ใน Premiere Pro ฝั่ง AMD ยังไม่บอกราคา แต่เตรียมวางขายในเดือนกรกฎาคมนี้ และสู้กันชัด ๆ กับ Xeon W9 และ Xeon Pro เจเนอเรชันล่าสุดจาก Intel ที่เริ่มเปิดตัวในปีนี้เหมือนกัน ✅ AMD เผย Benchmark อย่างเป็นทางการของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์   • ครอบคลุมทั้งกลุ่ม HEDT (X) และ Workstation Pro (WX)   • เทียบกับ Intel Xeon W9-3595X ในหลายงานทั้งสร้างสรรค์ วิศวกรรม และ AI ✅ Threadripper 9980X (HEDT)  • เร็วกว่าคู่แข่ง Xeon W9-3595X:    • 108% บน Corona Render    • 65% ใน Unreal Engine build    • 41% บน Autodesk Revit    • 22% บน Adobe Premiere Pro ✅ Threadripper Pro 9995WX (Workstation)   • เร็วกว่า Threadripper 7995WX รุ่นก่อนหน้า:    • 26% บน After Effects    • 20% บน V-Ray    • 19% บน Cinebench nT ✅ ด้าน AI/LLM/Creative มี performance เหนือกว่า Xeon   • 49% เร็วกว่าใน DeepSeek R1 (LLM 32B)   • 34% เร็วกว่าในการสร้างภาพ (text-to-image) ด้วย Flux.1 + ComfyUI   • 28% เร็วกว่าใน DaVinci Resolve (AI assisted creation)   • 119–145% เร็วกว่าใน V-Ray และ Keyshot ✅ รายละเอียดสเปก Threadripper Pro 9995WX   • 96 คอร์ / 192 เธรด / Boost 5.45GHz   • TDP 350W / L3 Cache 384MB / PCIe 5.0 x128 lanes   • รองรับ DDR5-6400 ECC ✅ มีทั้งหมด 10 รุ่นย่อย: 7 รุ่น WX / 3 รุ่น X (non-Pro)   • วางขายกรกฎาคม 2025   • ราคายังไม่เปิดเผย ‼️ Benchmark ทั้งหมดมาจาก AMD โดยตรง — ต้องรอการทดสอบอิสระเพื่อยืนยัน   • ตัวเลขที่ AMD ให้มักมาจาก workloads เฉพาะทาง   • อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในงานทั่วไป ‼️ TDP 350W อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนขั้นสูง   • โดยเฉพาะหากใช้ในการเรนเดอร์หรือ AI inferencing ต่อเนื่อง ‼️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาหรือ availability ในตลาดทั่วไป   • อาจเริ่มจากเวิร์กสเตชันแบรนด์ OEM ก่อน เช่น Dell, Lenovo ‼️ รุ่น Workstation ต้องใช้แพลตฟอร์มเฉพาะ เช่น WRX90 ซึ่งแพงและมีข้อจำกัดมากกว่า consumer CPU   • ไม่สามารถใช้ร่วมกับเมนบอร์ดทั่วไปได้ https://www.techspot.com/news/108362-amd-claims-ryzen-threadripper-9000-up-145-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD claims Ryzen Threadripper 9000 is up to 145% faster than Intel Xeon
    According to AMD, the Threadripper 9980X HEDT processor is up to 108 percent faster than the Xeon W9-3595X in Corona Render, up to 41 percent faster in...
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • ในโลกของการออกแบบทรานซิสเตอร์ (ซึ่งเป็นหัวใจของชิปทุกชิ้น) นักออกแบบต้องหาทางทำให้มันเล็กลง เร็วขึ้น และไม่รั่วพลังงานแบบ “ทะลุทะลวง” ทุก 2–3 ปี ตอนนี้ เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) คือมาตรฐานใหม่ที่ Samsung, Intel, และ TSMC กำลังใช้กับขนาด 2 นาโนเมตร

    แต่พอจะขยับไปใต้ 1 นาโนเมตร… GAA จะไปต่อยาก Imec จึงเสนอ “forksheet transistor” ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งใช้ผนังฉนวนมาช่วยแยกทรานซิสเตอร์ p กับ n ให้ใกล้กันได้แบบไม่รบกวนกัน แต่ปัญหาคือ…โครงสร้างนี้ “ผลิตยากมาก” แถมยังทำให้ทรานซิสเตอร์ควบคุมไฟฟ้าได้แย่กว่า GAA ที่มี gate ครอบรอบช่องนำกระแส

    ทีมของ Imec จึงออกแบบใหม่เป็น “outer wall forksheet” ซึ่งย้ายผนังฉนวนไปอยู่นอกเซลล์ ทำให้โครงสร้างง่ายขึ้น ใส่วัสดุที่แข็งแรงขึ้นได้ แถมให้ gate ควบคุมช่องกระแสได้ดีกว่าแบบเดิมถึง 25% (จากการตัดขอบกำแพงออกแค่ 5 นาโนเมตร!)

    ถึงแม้ดีไซน์ใหม่นี้อาจเสียพื้นที่บ้าง (density ลดลงเล็กน้อย) แต่ข้อได้เปรียบเรื่อง ต้นทุน–เสถียรภาพ–การผลิตจำนวนมาก (volume manufacturing) ทำให้มันมีแนวโน้มจะเป็น “ขั้นบันได” ที่พาเราไปยัง CFET (complementary FET) ที่ซ้อนทรานซิสเตอร์ p กับ n แบบแนวตั้งในอนาคต

    Imec เปิดตัว outer wall forksheet transistor สำหรับเทคโนโลยี A10 (1nm)  
    • ออกแบบให้ผลิตง่ายขึ้นจาก forksheet แบบเดิม (inner wall)  
    • ย้ายผนังฉนวนไปไว้ด้านนอกเซลล์ แทนการฝังระหว่าง pMOS กับ nMOS

    เพิ่มความเสถียรและ performance ได้ดีขึ้น  
    • Gate สามารถควบคุมช่องกระแสได้มากขึ้น (up to 25% drive current)  
    • รองรับเทคนิคเพิ่มความเครียดในช่องนำกระแส (strain engineering) เพื่อเพิ่มความเร็ว

    ใช้วัสดุเดิม (เช่น silicon dioxide) และกระบวนการหลังจากขั้นตอนหลักแล้ว  
    • ทำให้ผนังไม่ถูกกัดเซาะจากขั้นตอนก่อนหน้า  
    • วางระบบ timing และ mask alignment ได้ง่ายกว่า

    ผลจากการจำลองจริงบน SRAM และ oscillator circuits  
    • เทียบกับ A14 nanosheet transistor: พื้นที่ลดลง 22%, ประสิทธิภาพเท่าหรือดีกว่า  
    • ถ้าไม่มีการใส่ strain → performance ลดลง 33%

    เป็นแนวทางกลางระหว่าง GAA → forksheet → CFET  
    • ทำให้ผู้ผลิตสามารถเรียนรู้กระบวนการที่ใช้ร่วมกันได้ ก่อนเข้าสู่ CFET เต็มรูปแบบในทศวรรษหน้า

    outer wall forksheet อาจเสียพื้นที่บ้าง (density ลดลง) เทียบกับ inner wall  
    • เพราะผนังฉนวนกว้างขึ้น (จาก ~8–10nm เป็น ~15nm) แม้จะได้การผลิตที่ง่ายขึ้น

    ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา — ยังไม่มีแผนผลิตเชิงพาณิชย์โดยใครชัดเจน  
    • ต้องรอ Intel, TSMC, หรือ Samsung นำไปรวมใน node จริง

    หากไม่ได้วางระบบ strain อย่างเหมาะสม จะเสีย performance ไปมาก  
    • strain continuity เป็นหัวใจที่ forksheet เดิมขาดไป แต่ต้องทำให้ครบ

    โครงสร้างนี้ซับซ้อนเกินกว่า node 5nm จะใช้ได้ทั่วไป  
    • เน้นเฉพาะ A10 (1nm) ขึ้นไป ใกล้เคียงกับกรอบเวลา 2027–2030+

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/imecs-next-gen-high-speed-chip-transistor-addresses-manufacturing-concerns-outer-wall-forksheet-design-simplifies-production-but-may-sacrifice-density
    ในโลกของการออกแบบทรานซิสเตอร์ (ซึ่งเป็นหัวใจของชิปทุกชิ้น) นักออกแบบต้องหาทางทำให้มันเล็กลง เร็วขึ้น และไม่รั่วพลังงานแบบ “ทะลุทะลวง” ทุก 2–3 ปี ตอนนี้ เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) คือมาตรฐานใหม่ที่ Samsung, Intel, และ TSMC กำลังใช้กับขนาด 2 นาโนเมตร แต่พอจะขยับไปใต้ 1 นาโนเมตร… GAA จะไปต่อยาก Imec จึงเสนอ “forksheet transistor” ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งใช้ผนังฉนวนมาช่วยแยกทรานซิสเตอร์ p กับ n ให้ใกล้กันได้แบบไม่รบกวนกัน แต่ปัญหาคือ…โครงสร้างนี้ “ผลิตยากมาก” แถมยังทำให้ทรานซิสเตอร์ควบคุมไฟฟ้าได้แย่กว่า GAA ที่มี gate ครอบรอบช่องนำกระแส ทีมของ Imec จึงออกแบบใหม่เป็น “outer wall forksheet” ซึ่งย้ายผนังฉนวนไปอยู่นอกเซลล์ ทำให้โครงสร้างง่ายขึ้น ใส่วัสดุที่แข็งแรงขึ้นได้ แถมให้ gate ควบคุมช่องกระแสได้ดีกว่าแบบเดิมถึง 25% (จากการตัดขอบกำแพงออกแค่ 5 นาโนเมตร!) ถึงแม้ดีไซน์ใหม่นี้อาจเสียพื้นที่บ้าง (density ลดลงเล็กน้อย) แต่ข้อได้เปรียบเรื่อง ต้นทุน–เสถียรภาพ–การผลิตจำนวนมาก (volume manufacturing) ทำให้มันมีแนวโน้มจะเป็น “ขั้นบันได” ที่พาเราไปยัง CFET (complementary FET) ที่ซ้อนทรานซิสเตอร์ p กับ n แบบแนวตั้งในอนาคต ✅ Imec เปิดตัว outer wall forksheet transistor สำหรับเทคโนโลยี A10 (1nm)   • ออกแบบให้ผลิตง่ายขึ้นจาก forksheet แบบเดิม (inner wall)   • ย้ายผนังฉนวนไปไว้ด้านนอกเซลล์ แทนการฝังระหว่าง pMOS กับ nMOS ✅ เพิ่มความเสถียรและ performance ได้ดีขึ้น   • Gate สามารถควบคุมช่องกระแสได้มากขึ้น (up to 25% drive current)   • รองรับเทคนิคเพิ่มความเครียดในช่องนำกระแส (strain engineering) เพื่อเพิ่มความเร็ว ✅ ใช้วัสดุเดิม (เช่น silicon dioxide) และกระบวนการหลังจากขั้นตอนหลักแล้ว   • ทำให้ผนังไม่ถูกกัดเซาะจากขั้นตอนก่อนหน้า   • วางระบบ timing และ mask alignment ได้ง่ายกว่า ✅ ผลจากการจำลองจริงบน SRAM และ oscillator circuits   • เทียบกับ A14 nanosheet transistor: พื้นที่ลดลง 22%, ประสิทธิภาพเท่าหรือดีกว่า   • ถ้าไม่มีการใส่ strain → performance ลดลง 33% ✅ เป็นแนวทางกลางระหว่าง GAA → forksheet → CFET   • ทำให้ผู้ผลิตสามารถเรียนรู้กระบวนการที่ใช้ร่วมกันได้ ก่อนเข้าสู่ CFET เต็มรูปแบบในทศวรรษหน้า ‼️ outer wall forksheet อาจเสียพื้นที่บ้าง (density ลดลง) เทียบกับ inner wall   • เพราะผนังฉนวนกว้างขึ้น (จาก ~8–10nm เป็น ~15nm) แม้จะได้การผลิตที่ง่ายขึ้น ‼️ ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา — ยังไม่มีแผนผลิตเชิงพาณิชย์โดยใครชัดเจน   • ต้องรอ Intel, TSMC, หรือ Samsung นำไปรวมใน node จริง ‼️ หากไม่ได้วางระบบ strain อย่างเหมาะสม จะเสีย performance ไปมาก   • strain continuity เป็นหัวใจที่ forksheet เดิมขาดไป แต่ต้องทำให้ครบ ‼️ โครงสร้างนี้ซับซ้อนเกินกว่า node 5nm จะใช้ได้ทั่วไป   • เน้นเฉพาะ A10 (1nm) ขึ้นไป ใกล้เคียงกับกรอบเวลา 2027–2030+ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/imecs-next-gen-high-speed-chip-transistor-addresses-manufacturing-concerns-outer-wall-forksheet-design-simplifies-production-but-may-sacrifice-density
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
  • 'ช่อ' อัด 'นายกฯอิ๊งค์' ไม่ขอโทษประชาชน ไม่มีท่าทีตอบโต้ฮุนเซนเพื่อปกป้องเกียรติภูมิประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/19531/
    'ช่อ' อัด 'นายกฯอิ๊งค์' ไม่ขอโทษประชาชน ไม่มีท่าทีตอบโต้ฮุนเซนเพื่อปกป้องเกียรติภูมิประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/19531/
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต”

    ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน

    แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย!

    Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ  
    • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)  
    • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท

    ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)  
    • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4  
    • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต  
    • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2

    มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน  
    • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem”

    ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ  
    • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง  
    • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่

    TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)  
    • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง

    แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท  
    • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย

    ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”  
    • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต” ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย! ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ   • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)   • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)   • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4   • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต   • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2 ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน   • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem” ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ   • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง   • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่ ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)   • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท   • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”   • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Texas Instruments commits $60 billion to U.S. semiconductor manufacturing — includes planned expansions to Texas, Utah fabs
    Texas Instruments announces investments in seven upcoming U.S. 300mm fabs, though we already knew about five
    0 Comments 0 Shares 558 Views 0 Reviews
  • หลังจากสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดไม่ให้ Nvidia ขายการ์ด AI ระดับสูง (เช่น H100, H200, B200) ให้กับจีนโดยตรง บริษัทจีนหลายแห่งก็พยายาม “หาทางอ้อม” เพื่อใช้งาน GPU เหล่านี้ต่อ

    ล่าสุด มีรายงานว่า ชาวจีน 4 คนบินจากปักกิ่งมามาเลเซีย พร้อมนำฮาร์ดดิสก์ที่บรรจุข้อมูลหลายสิบเทราไบต์ ทั้งวิดีโอ ภาพ และ spreadsheet เพื่อ “ฝึก AI” บนเซิร์ฟเวอร์ที่เช่าผ่าน data center ในมาเลเซีย ที่มี GPU ของ Nvidia ติดตั้งอยู่ราว 2,400 ตัว

    แม้จะฟังดูไม่ใช่คลัสเตอร์ขนาดใหญ่เท่า supercomputer แต่ก็เพียงพอสำหรับ training model ได้สบาย ๆ—ที่สำคัญคือ “เป็นวิธีที่ช่วยให้บริษัทจีนยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ ห้ามขาย” ได้โดยไม่ซื้อโดยตรง

    ประเด็นนี้ทำให้กระทรวงการค้าและการลงทุนของมาเลเซีย (MITI) ต้องออกมายืนยันว่ากำลังสอบสวนร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อดูว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหรือไม่

    กระทรวงการค้าและการลงทุนของมาเลเซีย (MITI) กำลังสอบสวนกรณีบริษัทจีนใช้ GPU Nvidia ผ่าน data center ในมาเลเซีย  
    • เป็นการเช่าเซิร์ฟเวอร์เพื่อ train AI โดยไม่ได้ครอบครองฮาร์ดแวร์โดยตรง  
    • ยังไม่พบการละเมิดกฎหมายในประเทศ ณ เวลานี้

    มีรายงานว่าชาวจีน 4 คนขน HDD หลายสิบเทราไบต์เข้าเครื่องที่เช่าไว้ในมาเลเซีย  
    • ฝึกโมเดล AI บนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Nvidia GPU ~2,400 ตัว  
    • GPU เหล่านี้น่าจะเป็น H100 หรือรุ่นที่สหรัฐห้ามส่งออกไปยังจีน

    มาเลเซียไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ  
    • ทำให้บริษัทในประเทศสามารถนำเข้า GPU ได้อย่างถูกกฎหมาย  
    • แต่ถ้ามีการ “นำ GPU ไปให้จีนใช้ทางอ้อม” ก็อาจละเมิดกฎของสหรัฐฯ

    หน่วยงานด้านการค้าในสหรัฐฯ เคยร้องขอให้มาเลเซียตรวจสอบทุก shipment ที่อาจเกี่ยวข้องกับ GPU ขั้นสูง  
    • หลังพบว่าในปี 2025 การนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันไปยังมาเลเซีย “พุ่งขึ้นถึง 3,400%”

    บริษัทจีนที่ใช้บริการเช่าระยะไกลแบบนี้ อาจเลี่ยงข้อห้ามสหรัฐฯ ได้ชั่วคราวโดยไม่ซื้อตรง  
    • เรียกว่าใช้ “compute-as-a-service” แบบหลบเลี่ยง

    ยังไม่แน่ชัดว่ากรณีนี้จะเข้าข่าย “ละเมิดมาตรการของสหรัฐฯ” หรือไม่ เพราะไม่ได้ส่งมอบฮาร์ดแวร์ไปจีนโดยตรง  
    • หากสหรัฐมองว่า “การให้คนจีนเข้าถึง compute” ถือว่าเข้าข่าย ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อมาเลเซียในอนาคต

    มาเลเซียอาจถูกจับตาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หากพบว่าเป็นจุดผ่านของการ “ลักลอบใช้ GPU ที่ควบคุมอยู่”  
    • ส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในเทคโนโลยี AI

    ผู้ให้บริการ data center ในภูมิภาคอาเซียนอาจต้องเผชิญแรงกดดันเช่นเดียวกัน  
    • หากไม่มีระบบ “ตรวจสอบแหล่งข้อมูลลูกค้า” อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายต่าง ๆ ใช้หลบมาตรการ

    กรณีนี้สะท้อนว่าแม้มาตรการควบคุม GPU จะรุนแรง แต่จีนยังคงหาวิธีเข้าถึงทรัพยากร AI ได้อยู่ดี  
    • เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีข่าวลอบขน GPU ผ่าน “กุ้ง” และ “ซิลิโคนหน้าท้องปลอม”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/malaysia-investigates-chinese-use-of-nvidia-powered-servers-in-the-country-trade-minister-verifying-reports-of-possible-regulation-breach-following-reports-of-smuggled-hard-drives-and-server-rentals
    หลังจากสหรัฐฯ ออกข้อจำกัดไม่ให้ Nvidia ขายการ์ด AI ระดับสูง (เช่น H100, H200, B200) ให้กับจีนโดยตรง บริษัทจีนหลายแห่งก็พยายาม “หาทางอ้อม” เพื่อใช้งาน GPU เหล่านี้ต่อ ล่าสุด มีรายงานว่า ชาวจีน 4 คนบินจากปักกิ่งมามาเลเซีย พร้อมนำฮาร์ดดิสก์ที่บรรจุข้อมูลหลายสิบเทราไบต์ ทั้งวิดีโอ ภาพ และ spreadsheet เพื่อ “ฝึก AI” บนเซิร์ฟเวอร์ที่เช่าผ่าน data center ในมาเลเซีย ที่มี GPU ของ Nvidia ติดตั้งอยู่ราว 2,400 ตัว แม้จะฟังดูไม่ใช่คลัสเตอร์ขนาดใหญ่เท่า supercomputer แต่ก็เพียงพอสำหรับ training model ได้สบาย ๆ—ที่สำคัญคือ “เป็นวิธีที่ช่วยให้บริษัทจีนยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ ห้ามขาย” ได้โดยไม่ซื้อโดยตรง ประเด็นนี้ทำให้กระทรวงการค้าและการลงทุนของมาเลเซีย (MITI) ต้องออกมายืนยันว่ากำลังสอบสวนร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อดูว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหรือไม่ ✅ กระทรวงการค้าและการลงทุนของมาเลเซีย (MITI) กำลังสอบสวนกรณีบริษัทจีนใช้ GPU Nvidia ผ่าน data center ในมาเลเซีย   • เป็นการเช่าเซิร์ฟเวอร์เพื่อ train AI โดยไม่ได้ครอบครองฮาร์ดแวร์โดยตรง   • ยังไม่พบการละเมิดกฎหมายในประเทศ ณ เวลานี้ ✅ มีรายงานว่าชาวจีน 4 คนขน HDD หลายสิบเทราไบต์เข้าเครื่องที่เช่าไว้ในมาเลเซีย   • ฝึกโมเดล AI บนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Nvidia GPU ~2,400 ตัว   • GPU เหล่านี้น่าจะเป็น H100 หรือรุ่นที่สหรัฐห้ามส่งออกไปยังจีน ✅ มาเลเซียไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ   • ทำให้บริษัทในประเทศสามารถนำเข้า GPU ได้อย่างถูกกฎหมาย   • แต่ถ้ามีการ “นำ GPU ไปให้จีนใช้ทางอ้อม” ก็อาจละเมิดกฎของสหรัฐฯ ✅ หน่วยงานด้านการค้าในสหรัฐฯ เคยร้องขอให้มาเลเซียตรวจสอบทุก shipment ที่อาจเกี่ยวข้องกับ GPU ขั้นสูง   • หลังพบว่าในปี 2025 การนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันไปยังมาเลเซีย “พุ่งขึ้นถึง 3,400%” ✅ บริษัทจีนที่ใช้บริการเช่าระยะไกลแบบนี้ อาจเลี่ยงข้อห้ามสหรัฐฯ ได้ชั่วคราวโดยไม่ซื้อตรง   • เรียกว่าใช้ “compute-as-a-service” แบบหลบเลี่ยง ‼️ ยังไม่แน่ชัดว่ากรณีนี้จะเข้าข่าย “ละเมิดมาตรการของสหรัฐฯ” หรือไม่ เพราะไม่ได้ส่งมอบฮาร์ดแวร์ไปจีนโดยตรง   • หากสหรัฐมองว่า “การให้คนจีนเข้าถึง compute” ถือว่าเข้าข่าย ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อมาเลเซียในอนาคต ‼️ มาเลเซียอาจถูกจับตาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หากพบว่าเป็นจุดผ่านของการ “ลักลอบใช้ GPU ที่ควบคุมอยู่”   • ส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในเทคโนโลยี AI ‼️ ผู้ให้บริการ data center ในภูมิภาคอาเซียนอาจต้องเผชิญแรงกดดันเช่นเดียวกัน   • หากไม่มีระบบ “ตรวจสอบแหล่งข้อมูลลูกค้า” อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายต่าง ๆ ใช้หลบมาตรการ ‼️ กรณีนี้สะท้อนว่าแม้มาตรการควบคุม GPU จะรุนแรง แต่จีนยังคงหาวิธีเข้าถึงทรัพยากร AI ได้อยู่ดี   • เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีข่าวลอบขน GPU ผ่าน “กุ้ง” และ “ซิลิโคนหน้าท้องปลอม” https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/malaysia-investigates-chinese-use-of-nvidia-powered-servers-in-the-country-trade-minister-verifying-reports-of-possible-regulation-breach-following-reports-of-smuggled-hard-drives-and-server-rentals
    0 Comments 0 Shares 601 Views 0 Reviews
  • จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในประเทศนั้น ส่วนหนึ่งมีการมองว่าแม้จะเป็นการเสียมารยาททางการทูตก็จริง แต่ถ้อยคำของนายกฯในการสนทนา โดยเฉพาะการพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 และการมุ่งเน้นถึงการรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเป็นสำคัญ ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้นายกฯรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าวทั้งการลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000057593

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในประเทศนั้น ส่วนหนึ่งมีการมองว่าแม้จะเป็นการเสียมารยาททางการทูตก็จริง แต่ถ้อยคำของนายกฯในการสนทนา โดยเฉพาะการพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 และการมุ่งเน้นถึงการรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเป็นสำคัญ ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้นายกฯรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าวทั้งการลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000057593 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 900 Views 0 Reviews
  • FSR หรือ FidelityFX Super Resolution ของ AMD เป็นเทคโนโลยี upscaling แบบ AI ช่วยให้เกมรันที่เฟรมเรตสูงขึ้นบนความละเอียดสูง โดยยังรักษาคุณภาพภาพให้ดูชัดใกล้เคียง 4K แท้ ๆ ซึ่งคู่แข่งของมันคือ DLSS ของ NVIDIA ที่มี Tensor Core พิเศษอยู่บนการ์ด

    ปัญหาคือ… FSR 4 (รุ่นล่าสุด) ยังรองรับเฉพาะการ์ดจอ RX 9000 ซีรีส์ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ใช้ FP8 (floating point 8-bit) แต่ผู้ใช้งาน Reddit นามว่า Virtual-Cobbler-9930 พบว่า Mesa เวอร์ชันล่าสุดบน Linux สามารถ “จำลอง” ความสามารถ FP8 ด้วย FP16 แทน ทำให้ RX 7900 XTX (รุ่นปีที่แล้ว) สามารถใช้งาน FSR 4 ได้!

    เค้าใช้เครื่องมือชื่อ OptiScaler DLL injection ซึ่งแต่เดิมเคยใช้บังคับให้เกมรองรับ DLSS 2 หรือ XeSS ได้ แล้วใช้คำสั่งไม่กี่บรรทัดก็เปิดใช้งาน FSR 4 ในเกมต่าง ๆ ได้เลย

    ทดสอบแล้วพบว่าเกมอย่าง Cyberpunk 2077, Oblivion, และ Marvel Rivals รันได้จริง — โดยเฉพาะ Cyberpunk ได้ภาพที่คมกว่าตอนใช้ FSR 3.1 เยอะเลยครับ (ใบไม้ พุ่มไม้ ชัดขึ้น) แม้จะแลกกับ fps ที่ตกไป 33% จาก 85 เหลือ 56 — ซึ่งก็ยังเล่นได้ลื่นอยู่

    ผู้ใช้ Reddit ดัดแปลงให้ RX 7900 XTX ใช้งาน FSR 4 ได้ โดยไม่รองรับจาก AMD โดยตรง  
    • ใช้ Mesa ใหม่บน Linux ที่จำลอง FP8 ผ่าน FP16  
    • ใช้ OptiScaler DLL injection บังคับให้เกมรองรับ FSR 4

    ทดสอบแล้วทำงานได้จริงในเกมดัง เช่น Cyberpunk 2077 และ Oblivion  
    • คุณภาพดีขึ้นกว่าตอนใช้ FSR 3.1  
    • ภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะ detail พุ่มไม้และใบไม้

    การลด fps มีอยู่แต่ยังอยู่ในระดับเล่นได้  
    • Cyberpunk: จาก 85 → 56 fps  
    • Oblivion: จาก 46 → 36 fps

    ผู้ใช้ทดสอบด้วย Ryzen 7 7700X (จำกัดไฟแค่ 65W), 128GB DDR5 บน Arch Linux  
    • แสดงว่าระบบไม่ต้องแรงแบบสุดทางก็เปิดใช้ได้

    คาดว่าภายในเดือนสิงหาคม Mesa จะออกเวอร์ชันเสถียรที่รวม patch นี้อัตโนมัติ  
    • เว้นแต่ว่า AMD จะขอให้ปิดฟีเจอร์นี้ออกจากโค้ด

    FSR 4 ที่ดัดแปลงใช้งานนี้ “ไม่ได้รับการรับรอง” จาก AMD  
    • อาจมีบั๊ก ความไม่เข้ากัน หรือประสิทธิภาพไม่เสถียร

    การฉีด DLL (DLL injection) อาจถูกแอนตี้ไวรัสหรือระบบความปลอดภัยมองว่าเป็นภัย  
    • ควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับเกมที่มีระบบต่อต้านโกง

    คุณภาพที่ได้สูงขึ้น แต่ถ้ารันความละเอียดต่ำกว่า 4K เช่น 1080p จะไม่มีประโยชน์ชัดเจน  
    • เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นเกมระดับ 4K เท่านั้น

    อาจส่งผลกระทบต่อท่าทีของ AMD ต่อชุมชนนักพัฒนา  
    • หาก AMD เห็นว่าการดัดแปลงนี้ขัดกับแนวทางบริษัท อาจสั่งถอนฟีเจอร์ออกจาก Mesa

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/enthusiast-hacks-fsr-4-onto-rx-7000-series-gpu-without-official-amd-support-returns-better-quality-but-slightly-lower-fps-than-fsr-3-1
    FSR หรือ FidelityFX Super Resolution ของ AMD เป็นเทคโนโลยี upscaling แบบ AI ช่วยให้เกมรันที่เฟรมเรตสูงขึ้นบนความละเอียดสูง โดยยังรักษาคุณภาพภาพให้ดูชัดใกล้เคียง 4K แท้ ๆ ซึ่งคู่แข่งของมันคือ DLSS ของ NVIDIA ที่มี Tensor Core พิเศษอยู่บนการ์ด ปัญหาคือ… FSR 4 (รุ่นล่าสุด) ยังรองรับเฉพาะการ์ดจอ RX 9000 ซีรีส์ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ใช้ FP8 (floating point 8-bit) แต่ผู้ใช้งาน Reddit นามว่า Virtual-Cobbler-9930 พบว่า Mesa เวอร์ชันล่าสุดบน Linux สามารถ “จำลอง” ความสามารถ FP8 ด้วย FP16 แทน ทำให้ RX 7900 XTX (รุ่นปีที่แล้ว) สามารถใช้งาน FSR 4 ได้! เค้าใช้เครื่องมือชื่อ OptiScaler DLL injection ซึ่งแต่เดิมเคยใช้บังคับให้เกมรองรับ DLSS 2 หรือ XeSS ได้ แล้วใช้คำสั่งไม่กี่บรรทัดก็เปิดใช้งาน FSR 4 ในเกมต่าง ๆ ได้เลย ทดสอบแล้วพบว่าเกมอย่าง Cyberpunk 2077, Oblivion, และ Marvel Rivals รันได้จริง — โดยเฉพาะ Cyberpunk ได้ภาพที่คมกว่าตอนใช้ FSR 3.1 เยอะเลยครับ (ใบไม้ พุ่มไม้ ชัดขึ้น) แม้จะแลกกับ fps ที่ตกไป 33% จาก 85 เหลือ 56 — ซึ่งก็ยังเล่นได้ลื่นอยู่ ✅ ผู้ใช้ Reddit ดัดแปลงให้ RX 7900 XTX ใช้งาน FSR 4 ได้ โดยไม่รองรับจาก AMD โดยตรง   • ใช้ Mesa ใหม่บน Linux ที่จำลอง FP8 ผ่าน FP16   • ใช้ OptiScaler DLL injection บังคับให้เกมรองรับ FSR 4 ✅ ทดสอบแล้วทำงานได้จริงในเกมดัง เช่น Cyberpunk 2077 และ Oblivion   • คุณภาพดีขึ้นกว่าตอนใช้ FSR 3.1   • ภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะ detail พุ่มไม้และใบไม้ ✅ การลด fps มีอยู่แต่ยังอยู่ในระดับเล่นได้   • Cyberpunk: จาก 85 → 56 fps   • Oblivion: จาก 46 → 36 fps ✅ ผู้ใช้ทดสอบด้วย Ryzen 7 7700X (จำกัดไฟแค่ 65W), 128GB DDR5 บน Arch Linux   • แสดงว่าระบบไม่ต้องแรงแบบสุดทางก็เปิดใช้ได้ ✅ คาดว่าภายในเดือนสิงหาคม Mesa จะออกเวอร์ชันเสถียรที่รวม patch นี้อัตโนมัติ   • เว้นแต่ว่า AMD จะขอให้ปิดฟีเจอร์นี้ออกจากโค้ด ‼️ FSR 4 ที่ดัดแปลงใช้งานนี้ “ไม่ได้รับการรับรอง” จาก AMD   • อาจมีบั๊ก ความไม่เข้ากัน หรือประสิทธิภาพไม่เสถียร ‼️ การฉีด DLL (DLL injection) อาจถูกแอนตี้ไวรัสหรือระบบความปลอดภัยมองว่าเป็นภัย   • ควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับเกมที่มีระบบต่อต้านโกง ‼️ คุณภาพที่ได้สูงขึ้น แต่ถ้ารันความละเอียดต่ำกว่า 4K เช่น 1080p จะไม่มีประโยชน์ชัดเจน   • เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นเกมระดับ 4K เท่านั้น ‼️ อาจส่งผลกระทบต่อท่าทีของ AMD ต่อชุมชนนักพัฒนา   • หาก AMD เห็นว่าการดัดแปลงนี้ขัดกับแนวทางบริษัท อาจสั่งถอนฟีเจอร์ออกจาก Mesa https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/enthusiast-hacks-fsr-4-onto-rx-7000-series-gpu-without-official-amd-support-returns-better-quality-but-slightly-lower-fps-than-fsr-3-1
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • ชทพ.เรียกประชุมด่วน กก.บห.-สส.-กก.ดำเนินงานพรรค ถกวาระพิเศษเร่งด่วน ขอให้มาพร้อมเพรียง
    https://www.thai-tai.tv/news/19532/
    ชทพ.เรียกประชุมด่วน กก.บห.-สส.-กก.ดำเนินงานพรรค ถกวาระพิเศษเร่งด่วน ขอให้มาพร้อมเพรียง https://www.thai-tai.tv/news/19532/
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • ละครสองเรื่องฉายชนกัน สนุกมาก
    ละครสองเรื่องฉายชนกัน สนุกมาก
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews