• 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโจมตีสนามบิน Dubno ภูมิภาค Rivne ของยูเครน:

    เครื่องบิน MiG-29 ถูกทำลาย 5 ลำ

    ก่อนการโจมตีของรัสเซีย เครื่องบิน F-16 ลำหนึ่งยังอยู่ที่สนามบิน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าถูกโจมตีหรือไม่

    เกิดไฟไหม้รุนแรงภายในสนามบิน จากการระเบิดของคลังเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ถูกโจมตี

    ชาวบ้านในพื้นที่รายงานเหตุระเบิดซ้ำหลายครั้งและรุนแรง ซึ่งยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับการทำลายคลังเก็บขีปนาวุธ

    มีรายงานเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 60 นาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ต่างชาติด้วย
    มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโจมตีสนามบิน Dubno ภูมิภาค Rivne ของยูเครน: 👉เครื่องบิน MiG-29 ถูกทำลาย 5 ลำ 👉ก่อนการโจมตีของรัสเซีย เครื่องบิน F-16 ลำหนึ่งยังอยู่ที่สนามบิน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าถูกโจมตีหรือไม่ 👉เกิดไฟไหม้รุนแรงภายในสนามบิน จากการระเบิดของคลังเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ถูกโจมตี 👉ชาวบ้านในพื้นที่รายงานเหตุระเบิดซ้ำหลายครั้งและรุนแรง ซึ่งยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับการทำลายคลังเก็บขีปนาวุธ 👉มีรายงานเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 60 นาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ต่างชาติด้วย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/MGvp-5Y6NaY?si=5CURc5xljK2TpFor
    https://youtu.be/MGvp-5Y6NaY?si=5CURc5xljK2TpFor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/FIUDxKcHwRA?si=_RZoRjLE3fxdpiVm
    https://youtu.be/FIUDxKcHwRA?si=_RZoRjLE3fxdpiVm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิชัย ประกาศ ‘สส.ชุมพร’ รทสช. 3เขต ไม่เคยลงชื่อ ชง ‘นายกฯ’ ปรับครม.
    https://www.thai-tai.tv/news/19293/
    วิชัย ประกาศ ‘สส.ชุมพร’ รทสช. 3เขต ไม่เคยลงชื่อ ชง ‘นายกฯ’ ปรับครม. https://www.thai-tai.tv/news/19293/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เอกนัฏ” ปฏิเสธเอกสาร 21 สส.รวมไทยสร้างชาติ ขอนายกฯ ปรับ ครม.!! เช็กแล้วไม่จริง สส.ที่มีชื่อโผล่ยืนยันไม่รู้เรื่อง!
    https://www.thai-tai.tv/news/19294/
    “เอกนัฏ” ปฏิเสธเอกสาร 21 สส.รวมไทยสร้างชาติ ขอนายกฯ ปรับ ครม.!! เช็กแล้วไม่จริง สส.ที่มีชื่อโผล่ยืนยันไม่รู้เรื่อง! https://www.thai-tai.tv/news/19294/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/WbwD_aVGFjo?si=b0DgVhr9Uw0pIsqj
    https://youtu.be/WbwD_aVGFjo?si=b0DgVhr9Uw0pIsqj
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/I6H83uMy0Lk?si=VhEJo6ZQSmibQPEv
    https://youtu.be/I6H83uMy0Lk?si=VhEJo6ZQSmibQPEv
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน

    นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้

    นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย

    สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง

    ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา

    #Newskit
    ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้ นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์

    เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus)

    ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ

    สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “*******” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย

    อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ

    ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต

    นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์

    #Newskit
    สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์ เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus) ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “asshole” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์ #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 607 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Panther Lake: ก้าวสำคัญสู่ยุค AI และประสิทธิภาพสูง
    Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Panther Lake ซึ่งเป็น ซีพียูรุ่นใหม่ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) โดยเน้นไปที่ การเพิ่มประสิทธิภาพและการประมวลผล AI

    Panther Lake จะเปิดตัวใน ครึ่งหลังของปี 2025 และจะถูกใช้ใน แล็ปท็อปและอุปกรณ์พกพา โดยใช้ RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Intel Panther Lake จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2025 และวางจำหน่ายในต้นปี 2026
    - ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    - ใช้สถาปัตยกรรม Multi-Chip Module (MCM) แบบ 5 Tile
    - มี Cougar Cove P-cores และ Darkmont E-cores เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    - กราฟิก Xe3 Celestial iGPU อาจเทียบเท่ากับ GPU แยกระดับเริ่มต้น
    - รองรับ LPDDR5X และ DDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำ

    การแข่งขันในตลาด AI และอุปกรณ์พกพา
    Intel ตั้งเป้าให้ Panther Lake แข่งขันกับ Apple Silicon, Snapdragon X Elite และ AMD Strix Point โดยเน้นไปที่ การประมวลผล AI และประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พกพา

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Panther Lake จะไม่มีรุ่นสำหรับเดสก์ท็อปในช่วงเปิดตัว
    - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Xe3 Celestial iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้จริงหรือไม่
    - การใช้กระบวนการผลิต 18A อาจมีความท้าทายด้านต้นทุนและการผลิต
    - ต้องรอดูว่า Intel จะสามารถแข่งขันกับ Apple และ Qualcomm ในตลาด AI ได้หรือไม่

    https://computercity.com/hardware/processors/intel-panther-lake-coming-in-2025-latest-news
    🚀 Intel Panther Lake: ก้าวสำคัญสู่ยุค AI และประสิทธิภาพสูง Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Panther Lake ซึ่งเป็น ซีพียูรุ่นใหม่ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) โดยเน้นไปที่ การเพิ่มประสิทธิภาพและการประมวลผล AI Panther Lake จะเปิดตัวใน ครึ่งหลังของปี 2025 และจะถูกใช้ใน แล็ปท็อปและอุปกรณ์พกพา โดยใช้ RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel Panther Lake จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2025 และวางจำหน่ายในต้นปี 2026 - ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia - ใช้สถาปัตยกรรม Multi-Chip Module (MCM) แบบ 5 Tile - มี Cougar Cove P-cores และ Darkmont E-cores เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ - กราฟิก Xe3 Celestial iGPU อาจเทียบเท่ากับ GPU แยกระดับเริ่มต้น - รองรับ LPDDR5X และ DDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำ 🔥 การแข่งขันในตลาด AI และอุปกรณ์พกพา Intel ตั้งเป้าให้ Panther Lake แข่งขันกับ Apple Silicon, Snapdragon X Elite และ AMD Strix Point โดยเน้นไปที่ การประมวลผล AI และประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พกพา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Panther Lake จะไม่มีรุ่นสำหรับเดสก์ท็อปในช่วงเปิดตัว - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Xe3 Celestial iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้จริงหรือไม่ - การใช้กระบวนการผลิต 18A อาจมีความท้าทายด้านต้นทุนและการผลิต - ต้องรอดูว่า Intel จะสามารถแข่งขันกับ Apple และ Qualcomm ในตลาด AI ได้หรือไม่ https://computercity.com/hardware/processors/intel-panther-lake-coming-in-2025-latest-news
    COMPUTERCITY.COM
    Intel Panther Lake Coming In 2025: Latest News
    Intel’s Panther Lake processors are shaping up to be one of the company’s most ambitious generational shifts in years—bringing together bleeding-edge
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jony Ive ร่วมมือกับ OpenAI พัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภท
    หลังจากที่ OpenAI เข้าซื้อกิจการของ Jony Ive's startup, io ในมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ Ive ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple กำลัง พัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภท ให้กับ OpenAI โดยหนึ่งในนั้นคือ อุปกรณ์พกพาแบบ "pendant" ที่สามารถสวมใส่รอบคอ และ ใช้ ChatGPT ผ่านคำสั่งเสียง

    อุปกรณ์ AI ที่กำลังพัฒนา
    นอกจากอุปกรณ์พกพาแล้ว Ive ยังพัฒนา อุปกรณ์สำหรับบ้านที่ทำงานคล้ายกับลำโพงอัจฉริยะ ซึ่งสามารถ ใช้ ChatGPT ในการดำเนินงานต่าง ๆ นอกจากนี้ OpenAI ยังมี โปรเจคหุ่นยนต์ AI ที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับมนุษย์ แต่ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา

    ข้อมูลจากข่าว
    - OpenAI เข้าซื้อกิจการของ Jony Ive's startup, io ในมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์
    - Jony Ive กำลังพัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภทให้กับ OpenAI
    - หนึ่งในอุปกรณ์คือ "pendant" ที่สามารถสวมใส่รอบคอและใช้ ChatGPT ผ่านคำสั่งเสียง
    - อีกอุปกรณ์คืออุปกรณ์สำหรับบ้านที่ทำงานคล้ายกับลำโพงอัจฉริยะ
    - OpenAI กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ AI ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน
    มีข่าวลือว่า OpenAI กำลังพัฒนา "AI phone" ที่ไม่มีหน้าจอ ซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์เดียวกับที่ Ive กำลังพัฒนา หากอุปกรณ์นี้เปิดตัว อาจเป็นทางเลือกใหม่แทนสมาร์ทโฟนแบบดั้งเดิม และส่งผลกระทบต่อ Apple, Samsung และ Google

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับฟีเจอร์ของอุปกรณ์ AI ที่ Ive กำลังพัฒนา
    - หุ่นยนต์ AI ของ OpenAI ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และอาจใช้เวลาหลายปีในการเปิดตัว
    - หาก AI phone ไม่มีหน้าจอ อาจต้องพึ่งพาการสั่งงานด้วยเสียงเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับทุกคน
    - Apple อาจคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว โดย Eddy Cue เคยกล่าวว่า iPhone อาจไม่มีอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้า

    การร่วมมือระหว่าง Jony Ive และ OpenAI อาจนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ AI ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับอุปกรณ์ที่ไม่มีหน้าจอหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/jony-ive-is-reportedly-working-on-multiple-ai-devices-for-openai-including-a-mobile-gadget/
    🤖 Jony Ive ร่วมมือกับ OpenAI พัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภท หลังจากที่ OpenAI เข้าซื้อกิจการของ Jony Ive's startup, io ในมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ Ive ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple กำลัง พัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภท ให้กับ OpenAI โดยหนึ่งในนั้นคือ อุปกรณ์พกพาแบบ "pendant" ที่สามารถสวมใส่รอบคอ และ ใช้ ChatGPT ผ่านคำสั่งเสียง 🔍 อุปกรณ์ AI ที่กำลังพัฒนา นอกจากอุปกรณ์พกพาแล้ว Ive ยังพัฒนา อุปกรณ์สำหรับบ้านที่ทำงานคล้ายกับลำโพงอัจฉริยะ ซึ่งสามารถ ใช้ ChatGPT ในการดำเนินงานต่าง ๆ นอกจากนี้ OpenAI ยังมี โปรเจคหุ่นยนต์ AI ที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับมนุษย์ แต่ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ✅ ข้อมูลจากข่าว - OpenAI เข้าซื้อกิจการของ Jony Ive's startup, io ในมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ - Jony Ive กำลังพัฒนาอุปกรณ์ AI หลายประเภทให้กับ OpenAI - หนึ่งในอุปกรณ์คือ "pendant" ที่สามารถสวมใส่รอบคอและใช้ ChatGPT ผ่านคำสั่งเสียง - อีกอุปกรณ์คืออุปกรณ์สำหรับบ้านที่ทำงานคล้ายกับลำโพงอัจฉริยะ - OpenAI กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ AI ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน มีข่าวลือว่า OpenAI กำลังพัฒนา "AI phone" ที่ไม่มีหน้าจอ ซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์เดียวกับที่ Ive กำลังพัฒนา หากอุปกรณ์นี้เปิดตัว อาจเป็นทางเลือกใหม่แทนสมาร์ทโฟนแบบดั้งเดิม และส่งผลกระทบต่อ Apple, Samsung และ Google ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับฟีเจอร์ของอุปกรณ์ AI ที่ Ive กำลังพัฒนา - หุ่นยนต์ AI ของ OpenAI ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และอาจใช้เวลาหลายปีในการเปิดตัว - หาก AI phone ไม่มีหน้าจอ อาจต้องพึ่งพาการสั่งงานด้วยเสียงเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับทุกคน - Apple อาจคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว โดย Eddy Cue เคยกล่าวว่า iPhone อาจไม่มีอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้า การร่วมมือระหว่าง Jony Ive และ OpenAI อาจนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ AI ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับอุปกรณ์ที่ไม่มีหน้าจอหรือไม่ https://www.neowin.net/news/jony-ive-is-reportedly-working-on-multiple-ai-devices-for-openai-including-a-mobile-gadget/
    WWW.NEOWIN.NET
    Jony Ive is reportedly working on multiple AI devices for OpenAI, including a mobile gadget
    Bloomberg revealed that OpenAI's new design chief, Jony Ive, is working on a mobile AI gadget that might disrupt the smartphone market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • PayPal เปิดบริการจองโรงแรมโดยตรงผ่านแอป
    PayPal กำลังเข้าสู่ธุรกิจจองโรงแรมด้วยการร่วมมือกับ Selfbook ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจองและชำระเงินที่ช่วยให้โรงแรมสามารถ รับการจองโดยตรงจากผู้ใช้ ผ่านแอป PayPal

    วิธีการทำงานของระบบ
    Selfbook ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มที่ ฝังอยู่ในเว็บไซต์ของโรงแรม จะถูกนำมา รวมเข้ากับแอป PayPal ทำให้ผู้ใช้สามารถ ค้นหาและจองโรงแรมจากเครือข่ายของ Selfbook ได้โดยตรง

    ข้อมูลจากข่าว
    - PayPal ร่วมมือกับ Selfbook เพื่อเปิดบริการจองโรงแรมผ่านแอป
    - Selfbook เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้โรงแรมรับการจองโดยตรงจากผู้ใช้
    - ระบบจะถูกนำมาแสดงในแท็บ Offers ของแอป PayPal
    - ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินผ่าน PayPal หรือ Venmo และเลือกแผน "Buy Now, Pay Later"
    - Selfbook จะย้ายระบบประมวลผลบัตรเครดิตทั้งหมดไปยังแพลตฟอร์ม Enterprise Payments ของ PayPal

    การนำ AI เข้ามาช่วยในการจอง
    PayPal ระบุว่า จะใช้ AI-powered search engine ของ Perplexity เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ AI เกี่ยวกับการเดินทาง และจองโรงแรมได้โดยตรงจากการสนทนา

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Selfbook เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อาจต้องใช้เวลาสำหรับการปรับตัวของผู้ใช้
    - ต้องติดตามว่าการใช้ AI-powered search engine จะช่วยให้การจองโรงแรมสะดวกขึ้นจริงหรือไม่
    - PayPal อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มจองโรงแรมรายใหญ่อย่าง Booking.com และ Expedia
    - ต้องรอดูว่าโรงแรมจะยอมรับระบบนี้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากไม่มีค่าคอมมิชชั่น

    การนำระบบจองโรงแรมเข้ามาในแอป PayPal อาจช่วยให้ผู้ใช้สามารถจองโรงแรมได้สะดวกขึ้น และ ลดค่าธรรมเนียมที่โรงแรมต้องจ่ายให้แพลตฟอร์มจองโรงแรมแบบเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่นี้มากน้อยแค่ไหน

    https://www.neowin.net/news/you-will-soon-be-able-to-book-hotels-directly-through-the-paypal-app/
    🏨 PayPal เปิดบริการจองโรงแรมโดยตรงผ่านแอป PayPal กำลังเข้าสู่ธุรกิจจองโรงแรมด้วยการร่วมมือกับ Selfbook ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจองและชำระเงินที่ช่วยให้โรงแรมสามารถ รับการจองโดยตรงจากผู้ใช้ ผ่านแอป PayPal 🔍 วิธีการทำงานของระบบ Selfbook ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มที่ ฝังอยู่ในเว็บไซต์ของโรงแรม จะถูกนำมา รวมเข้ากับแอป PayPal ทำให้ผู้ใช้สามารถ ค้นหาและจองโรงแรมจากเครือข่ายของ Selfbook ได้โดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าว - PayPal ร่วมมือกับ Selfbook เพื่อเปิดบริการจองโรงแรมผ่านแอป - Selfbook เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้โรงแรมรับการจองโดยตรงจากผู้ใช้ - ระบบจะถูกนำมาแสดงในแท็บ Offers ของแอป PayPal - ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินผ่าน PayPal หรือ Venmo และเลือกแผน "Buy Now, Pay Later" - Selfbook จะย้ายระบบประมวลผลบัตรเครดิตทั้งหมดไปยังแพลตฟอร์ม Enterprise Payments ของ PayPal 🔥 การนำ AI เข้ามาช่วยในการจอง PayPal ระบุว่า จะใช้ AI-powered search engine ของ Perplexity เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ AI เกี่ยวกับการเดินทาง และจองโรงแรมได้โดยตรงจากการสนทนา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Selfbook เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อาจต้องใช้เวลาสำหรับการปรับตัวของผู้ใช้ - ต้องติดตามว่าการใช้ AI-powered search engine จะช่วยให้การจองโรงแรมสะดวกขึ้นจริงหรือไม่ - PayPal อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มจองโรงแรมรายใหญ่อย่าง Booking.com และ Expedia - ต้องรอดูว่าโรงแรมจะยอมรับระบบนี้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากไม่มีค่าคอมมิชชั่น การนำระบบจองโรงแรมเข้ามาในแอป PayPal อาจช่วยให้ผู้ใช้สามารถจองโรงแรมได้สะดวกขึ้น และ ลดค่าธรรมเนียมที่โรงแรมต้องจ่ายให้แพลตฟอร์มจองโรงแรมแบบเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่นี้มากน้อยแค่ไหน https://www.neowin.net/news/you-will-soon-be-able-to-book-hotels-directly-through-the-paypal-app/
    WWW.NEOWIN.NET
    You will soon be able to book hotels directly through the PayPal app
    PayPal has announced that users will soon be able to book hotels directly within the app, thanks to a new partnership with a fintech company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายตลาด AI
    Qualcomm ได้ประกาศเข้าซื้อ Alphawave ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบเซมิคอนดักเตอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล ด้วยมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด AI data center

    เหตุผลที่ Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave
    Qualcomm ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ต้องการลดการพึ่งพาตลาดมือถือ และขยายไปสู่ ศูนย์ข้อมูลและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เนื่องจาก Apple หันไปใช้ชิปที่พัฒนาเอง ทำให้ Qualcomm ต้องหาตลาดใหม่เพื่อรักษาการเติบโต

    ข้อมูลจากข่าว
    - Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์
    - Alphawave เป็นบริษัทออกแบบเซมิคอนดักเตอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล
    - Qualcomm ต้องการลดการพึ่งพาตลาดสมาร์ทโฟนและขยายไปสู่ศูนย์ข้อมูล
    - Alphawave มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่ช่วยเสริมศักยภาพของ Qualcomm
    - การเข้าซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2026

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    Qualcomm ไม่ใช่บริษัทเดียวที่สนใจ Alphawave ก่อนหน้านี้ SoftBank (เจ้าของ Arm) เคยพิจารณาซื้อ Alphawave แต่ตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อ ทำให้ Qualcomm สามารถเข้าซื้อได้โดยไม่มีคู่แข่ง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Qualcomm อาจเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบ แม้ว่านักวิเคราะห์จะมองว่าไม่น่ามีอุปสรรคใหญ่
    - Alphawave เพิ่งถอนตัวจากบริษัทร่วมทุนในจีน อาจช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ
    - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Alphawave จะช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ Nvidia และ AMD ในตลาด AI ได้หรือไม่
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหาการประเมินมูลค่าต่ำ ทำให้บริษัทอังกฤษถูกซื้อโดยบริษัทสหรัฐฯ มากขึ้น

    Qualcomm กำลัง เร่งขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด AI และศูนย์ข้อมูล โดยการเข้าซื้อ Alphawave อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกลยุทธ์ของ Qualcomm ในระยะยาวอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/qualcomm-strengthens-ai-portfolio-with-24-billion-alphawave-deal
    💰 Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายตลาด AI Qualcomm ได้ประกาศเข้าซื้อ Alphawave ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบเซมิคอนดักเตอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล ด้วยมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด AI data center 🔍 เหตุผลที่ Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave Qualcomm ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ต้องการลดการพึ่งพาตลาดมือถือ และขยายไปสู่ ศูนย์ข้อมูลและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เนื่องจาก Apple หันไปใช้ชิปที่พัฒนาเอง ทำให้ Qualcomm ต้องหาตลาดใหม่เพื่อรักษาการเติบโต ✅ ข้อมูลจากข่าว - Qualcomm เข้าซื้อ Alphawave มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ - Alphawave เป็นบริษัทออกแบบเซมิคอนดักเตอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล - Qualcomm ต้องการลดการพึ่งพาตลาดสมาร์ทโฟนและขยายไปสู่ศูนย์ข้อมูล - Alphawave มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่ช่วยเสริมศักยภาพของ Qualcomm - การเข้าซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2026 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Qualcomm ไม่ใช่บริษัทเดียวที่สนใจ Alphawave ก่อนหน้านี้ SoftBank (เจ้าของ Arm) เคยพิจารณาซื้อ Alphawave แต่ตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อ ทำให้ Qualcomm สามารถเข้าซื้อได้โดยไม่มีคู่แข่ง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Qualcomm อาจเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบ แม้ว่านักวิเคราะห์จะมองว่าไม่น่ามีอุปสรรคใหญ่ - Alphawave เพิ่งถอนตัวจากบริษัทร่วมทุนในจีน อาจช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Alphawave จะช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ Nvidia และ AMD ในตลาด AI ได้หรือไม่ - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหาการประเมินมูลค่าต่ำ ทำให้บริษัทอังกฤษถูกซื้อโดยบริษัทสหรัฐฯ มากขึ้น Qualcomm กำลัง เร่งขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด AI และศูนย์ข้อมูล โดยการเข้าซื้อ Alphawave อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกลยุทธ์ของ Qualcomm ในระยะยาวอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/qualcomm-strengthens-ai-portfolio-with-24-billion-alphawave-deal
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Qualcomm strengthens AI portfolio with $2.4 billion Alphawave deal
    (Reuters) -U.S. chipmaker Qualcomm agreed to acquire Alphawave for about $2.4 billion on Monday, as it expands into the booming AI data center market, sending shares of the British semiconductor company surging more than 22%.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง
    IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

    เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics
    Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ

    ข้อมูลจากข่าว
    - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์
    - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ
    - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล
    - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล

    การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่
    - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต

    การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    🧠 IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง IonQ ซึ่งเป็นบริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งจากสหรัฐฯ ได้ประกาศเข้าซื้อ Oxford Ionics ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษ ด้วยมูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม 🔍 เหตุผลที่ IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics Oxford Ionics เป็นบริษัทที่ เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Chris Balance และ Tom Harty ซึ่งเป็นนักวิจัยในสาขานี้ ทั้งสองจะยังคงทำงานกับ IonQ หลังการเข้าซื้อกิจการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - IonQ เข้าซื้อ Oxford Ionics มูลค่า 1.08 พันล้านดอลลาร์ - Oxford Ionics เชี่ยวชาญด้านการควบคุม qubits ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของควอนตัมคอมพิวติ้ง - Chris Balance และ Tom Harty ผู้ก่อตั้ง Oxford Ionics จะยังคงทำงานกับ IonQ - การเข้าซื้อกิจการเป็นแบบเงินสดและหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่ออกจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ IonQ ในช่วง 20 วันก่อนปิดดีล - IonQ มีมูลค่าตลาด 10.15 พันล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% หลังประกาศดีล 🔥 การแข่งขันในตลาดควอนตัมคอมพิวติ้ง ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจาก Microsoft, Google และ IBM ซึ่งลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีนี้ IonQ เองก็ ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Lightsynq ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน quantum memory ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังค่อนข้างต่ำ - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจนกว่าจะใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าการเข้าซื้อ Oxford Ionics จะช่วยให้ IonQ แข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้หรือไม่ - Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI chips กำลังเปิดศูนย์วิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง อาจเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต การเข้าซื้อ Oxford Ionics อาจช่วยให้ IonQ มีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้น และ สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง Google และ IBM ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้หรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/quantum-computing-firm-ionq-to-acquire-uk-based-oxford-ionics-for-108-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    IonQ to buy Oxford Ionics for $1.08 billion to expand quantum computing research
    (Reuters) -IonQ will acquire its British peer Oxford Ionics for $1.08 billion, the companies said on Monday, helping the U.S.-based quantum computing firm deepen its research expertise in the complex technology that is seeing booming investor interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทุนคริปโตทำสถิติสูงสุด นักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
    สินทรัพย์ที่ถือครองโดย กองทุนคริปโต ทำสถิติสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมี เงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ทำให้ มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์

    เหตุผลที่นักลงทุนหันมาใช้คริปโต
    การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง และนักลงทุนบางส่วน ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด รวมถึง กระจายพอร์ตการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในสหรัฐฯ

    ข้อมูลจากข่าว
    - กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม
    - มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์
    - Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 15% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
    - Bitcoin มีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI World (+3.6%) และทองคำ (+13.3%)
    - การอนุมัติ ETF ของ Bitcoin และ Ether ในสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มการลงทุนจากสถาบัน

    การเปลี่ยนแปลงในพอร์ตการลงทุน
    ในขณะที่กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้า กองทุนหุ้นทั่วโลกมีเงินไหลออกสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์ และ กองทุนทองคำมีเงินไหลออกครั้งแรกในรอบ 15 เดือน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Bitcoin จะมีผลตอบแทนสูง แต่ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
    - การลดลงของเงินไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นและทองคำ อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาด
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนในคริปโตจะยังคงแข็งแกร่งหรือไม่ หลังจากกระแส ETF เริ่มนิ่ง
    - นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของคริปโตในระยะยาว แม้ว่าจะมีการใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/crypto-funds039-assets-hit-record-high-as-investors-hedge-and-diversify
    📈 กองทุนคริปโตทำสถิติสูงสุด นักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง สินทรัพย์ที่ถือครองโดย กองทุนคริปโต ทำสถิติสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมี เงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ทำให้ มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์ 🔍 เหตุผลที่นักลงทุนหันมาใช้คริปโต การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง และนักลงทุนบางส่วน ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด รวมถึง กระจายพอร์ตการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลจากข่าว - กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้าสุทธิ 7.05 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม - มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 167 พันล้านดอลลาร์ - Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 15% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา - Bitcoin มีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI World (+3.6%) และทองคำ (+13.3%) - การอนุมัติ ETF ของ Bitcoin และ Ether ในสหรัฐฯ ช่วยเพิ่มการลงทุนจากสถาบัน 🔥 การเปลี่ยนแปลงในพอร์ตการลงทุน ในขณะที่กองทุนคริปโตมีเงินไหลเข้า กองทุนหุ้นทั่วโลกมีเงินไหลออกสุทธิ 5.9 พันล้านดอลลาร์ และ กองทุนทองคำมีเงินไหลออกครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Bitcoin จะมีผลตอบแทนสูง แต่ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง - การลดลงของเงินไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นและทองคำ อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของตลาด - ต้องติดตามว่าการลงทุนในคริปโตจะยังคงแข็งแกร่งหรือไม่ หลังจากกระแส ETF เริ่มนิ่ง - นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของคริปโตในระยะยาว แม้ว่าจะมีการใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/09/crypto-funds039-assets-hit-record-high-as-investors-hedge-and-diversify
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Crypto funds' assets hit record high as investors hedge and diversify
    (Reuters) -Assets held in crypto funds hit a record high in May as easing trade tensions lifted risk appetite and some investors used the digital currencies to hedge against market volatility and diversify from their U.S. holdings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dropbox CEO วิจารณ์นโยบายบังคับกลับเข้าออฟฟิศ เปรียบเทียบกับห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ที่ล้าสมัย
    Drew Houston ซีอีโอของ Dropbox ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย Return-to-Office (RTO) ที่หลายบริษัทบังคับใช้ โดยเปรียบเทียบว่า การบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศก็เหมือนการพยายามบังคับให้คนกลับไปใช้ห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน

    Dropbox เป็นหนึ่งในบริษัทที่ยังคง ยึดแนวทาง "Virtual First" หลังการล็อกดาวน์ โดยใช้ กฎ 90/10 ซึ่งหมายถึง พนักงานทำงานจากที่บ้าน 90% ของปี และเข้าร่วมกิจกรรมออฟไซต์ 10%

    ข้อมูลจากข่าว
    - Drew Houston วิจารณ์นโยบาย RTO ว่าเป็นแนวคิดที่ล้าสมัย
    - เปรียบเทียบการบังคับกลับเข้าออฟฟิศกับการบังคับให้คนกลับไปใช้ห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์
    - Dropbox ใช้แนวทาง "Virtual First" โดยพนักงานทำงานจากบ้าน 90% ของปี
    - Houston เชื่อว่าการทำงานแบบ Remote ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
    - บริษัทอื่น ๆ เช่น EA และ Amazon ยังคงบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์

    ความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
    แม้ว่าพนักงานส่วนใหญ่จะ ชื่นชอบการทำงานจากที่บ้าน แต่ผู้บริหารหลายบริษัท ยังคงเชื่อว่าการทำงานในออฟฟิศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่า Remote Work จะได้รับความนิยม แต่บางบริษัทเชื่อว่าการทำงานในออฟฟิศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    - Amazon และ Dell บังคับให้พนักงานที่อยู่ใกล้ออฟฟิศต้องกลับมาทำงานเต็มเวลา มิฉะนั้นต้องลาออก
    - การทำงานแบบ Hybrid อาจช่วยให้พนักงานมี Work-Life Balance ที่ดีกว่าการทำงานจากที่บ้านเต็มรูปแบบ
    - ต้องติดตามว่าบริษัทอื่น ๆ จะเปลี่ยนแนวทางตาม Dropbox หรือยังคงบังคับใช้ RTO ต่อไป

    การที่ Dropbox ยังคง ยึดแนวทาง Virtual First อาจช่วยให้บริษัทอื่น ๆ พิจารณาปรับนโยบายให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กรและประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108227-dropbox-ceo-slams-return-office-mandates-compares-them.html
    🏢 Dropbox CEO วิจารณ์นโยบายบังคับกลับเข้าออฟฟิศ เปรียบเทียบกับห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ที่ล้าสมัย Drew Houston ซีอีโอของ Dropbox ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย Return-to-Office (RTO) ที่หลายบริษัทบังคับใช้ โดยเปรียบเทียบว่า การบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศก็เหมือนการพยายามบังคับให้คนกลับไปใช้ห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน Dropbox เป็นหนึ่งในบริษัทที่ยังคง ยึดแนวทาง "Virtual First" หลังการล็อกดาวน์ โดยใช้ กฎ 90/10 ซึ่งหมายถึง พนักงานทำงานจากที่บ้าน 90% ของปี และเข้าร่วมกิจกรรมออฟไซต์ 10% ✅ ข้อมูลจากข่าว - Drew Houston วิจารณ์นโยบาย RTO ว่าเป็นแนวคิดที่ล้าสมัย - เปรียบเทียบการบังคับกลับเข้าออฟฟิศกับการบังคับให้คนกลับไปใช้ห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ - Dropbox ใช้แนวทาง "Virtual First" โดยพนักงานทำงานจากบ้าน 90% ของปี - Houston เชื่อว่าการทำงานแบบ Remote ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน - บริษัทอื่น ๆ เช่น EA และ Amazon ยังคงบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ 🔥 ความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารและพนักงาน แม้ว่าพนักงานส่วนใหญ่จะ ชื่นชอบการทำงานจากที่บ้าน แต่ผู้บริหารหลายบริษัท ยังคงเชื่อว่าการทำงานในออฟฟิศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่า Remote Work จะได้รับความนิยม แต่บางบริษัทเชื่อว่าการทำงานในออฟฟิศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ - Amazon และ Dell บังคับให้พนักงานที่อยู่ใกล้ออฟฟิศต้องกลับมาทำงานเต็มเวลา มิฉะนั้นต้องลาออก - การทำงานแบบ Hybrid อาจช่วยให้พนักงานมี Work-Life Balance ที่ดีกว่าการทำงานจากที่บ้านเต็มรูปแบบ - ต้องติดตามว่าบริษัทอื่น ๆ จะเปลี่ยนแนวทางตาม Dropbox หรือยังคงบังคับใช้ RTO ต่อไป การที่ Dropbox ยังคง ยึดแนวทาง Virtual First อาจช่วยให้บริษัทอื่น ๆ พิจารณาปรับนโยบายให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กรและประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร https://www.techspot.com/news/108227-dropbox-ceo-slams-return-office-mandates-compares-them.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Dropbox CEO slams return-to-office mandates, compares them to outdated malls and theaters
    Speaking on an episode of Fortune's "Leadership Next" podcast, Houston said what most people have long thought: that returning to the office is a waste of time...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux Foundation เปิดตัวแพลตฟอร์มกลางเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน WordPress
    Linux Foundation (LF) ได้เปิดตัว Fair Package Manager Project ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับ จัดการและเผยแพร่ปลั๊กอิน, ธีม และเครื่องมือของ WordPress โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine

    เหตุผลที่ Linux Foundation เข้ามาแทรกแซง
    Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress และ WP Engine มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ WordPress.org ซึ่งส่งผลให้ ชุมชน WordPress อาจแตกแยก LF จึงเสนอ แพลตฟอร์มกลางที่เป็นกลางและไม่ขึ้นกับบริษัทใด เพื่อให้ นักพัฒนาและผู้ใช้สามารถเข้าถึงปลั๊กอินและธีมได้อย่างเสรี

    ข้อมูลจากข่าว
    - Linux Foundation เปิดตัว Fair Package Manager Project เพื่อจัดการปลั๊กอินและธีมของ WordPress
    - แพลตฟอร์มนี้เป็นทางเลือกแทน WordPress.org ที่มีการควบคุมแบบรวมศูนย์
    - Fair สามารถใช้เป็นปลั๊กอินแยก หรือเป็น WordPress เวอร์ชันที่ติดตั้งปลั๊กอินนี้มาแล้ว
    - ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งเดียวในการอัปเดต WordPress และปลั๊กอิน
    - แพลตฟอร์มนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับ GDPR และลดการส่งข้อมูลไปยังบริษัทเชิงพาณิชย์

    ความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine
    ในปี 2024 Mullenweg วิจารณ์ WP Engine ว่าใช้ทรัพยากรของ WordPress.org เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน WordPress

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Fair Package Manager Project อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของ WordPress
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้และนักพัฒนาจะยอมรับแพลตฟอร์มใหม่นี้หรือไม่
    - WP Engine อาจตอบโต้ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อแข่งขัน
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพา WordPress.org ในการจัดการปลั๊กอินและธีม

    ผลกระทบต่ออนาคตของ WordPress
    Fair Package Manager Project อาจช่วยให้ WordPress มีความเป็นกลางมากขึ้น และ ลดความขัดแย้งภายในชุมชน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการพัฒนา WordPress ในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108233-linux-foundation-steps-neutral-solution-wordpress-crisis.html
    🔄 Linux Foundation เปิดตัวแพลตฟอร์มกลางเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน WordPress Linux Foundation (LF) ได้เปิดตัว Fair Package Manager Project ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับ จัดการและเผยแพร่ปลั๊กอิน, ธีม และเครื่องมือของ WordPress โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine 🔍 เหตุผลที่ Linux Foundation เข้ามาแทรกแซง Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress และ WP Engine มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ WordPress.org ซึ่งส่งผลให้ ชุมชน WordPress อาจแตกแยก LF จึงเสนอ แพลตฟอร์มกลางที่เป็นกลางและไม่ขึ้นกับบริษัทใด เพื่อให้ นักพัฒนาและผู้ใช้สามารถเข้าถึงปลั๊กอินและธีมได้อย่างเสรี ✅ ข้อมูลจากข่าว - Linux Foundation เปิดตัว Fair Package Manager Project เพื่อจัดการปลั๊กอินและธีมของ WordPress - แพลตฟอร์มนี้เป็นทางเลือกแทน WordPress.org ที่มีการควบคุมแบบรวมศูนย์ - Fair สามารถใช้เป็นปลั๊กอินแยก หรือเป็น WordPress เวอร์ชันที่ติดตั้งปลั๊กอินนี้มาแล้ว - ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งเดียวในการอัปเดต WordPress และปลั๊กอิน - แพลตฟอร์มนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับ GDPR และลดการส่งข้อมูลไปยังบริษัทเชิงพาณิชย์ 🔥 ความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine ในปี 2024 Mullenweg วิจารณ์ WP Engine ว่าใช้ทรัพยากรของ WordPress.org เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน WordPress ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Fair Package Manager Project อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของ WordPress - ต้องติดตามว่าผู้ใช้และนักพัฒนาจะยอมรับแพลตฟอร์มใหม่นี้หรือไม่ - WP Engine อาจตอบโต้ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อแข่งขัน - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพา WordPress.org ในการจัดการปลั๊กอินและธีม 🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของ WordPress Fair Package Manager Project อาจช่วยให้ WordPress มีความเป็นกลางมากขึ้น และ ลดความขัดแย้งภายในชุมชน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการพัฒนา WordPress ในระยะยาวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108233-linux-foundation-steps-neutral-solution-wordpress-crisis.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Linux Foundation steps in with neutral solution to WordPress crisis
    While Matt Mullenweg and WP Engine are fighting for the heart (and money) of WordPress, the Linux Foundation (LF) is trying to bring some semblance of order...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ถูกบังคับให้เก็บข้อมูล ChatGPT ไม่มีกำหนด ตามคำสั่งศาล
    OpenAI ได้ประกาศว่า ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก คดีฟ้องร้องโดย The New York Times ที่ต้องการตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่

    ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้หลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาล บังคับให้บริษัทต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อใช้ในการตรวจสอบทางกฎหมาย

    ข้อมูลจากข่าว
    - OpenAI ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด
    - The New York Times ฟ้องร้อง OpenAI เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่
    - ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลหลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาลบังคับให้เก็บข้อมูลทั้งหมด
    - OpenAI กำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไปก่อน
    - ผู้ใช้ ChatGPT Enterprise และ ChatGPT Edu สามารถกำหนดนโยบายการเก็บข้อมูลได้เอง

    ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    OpenAI ยอมรับว่า นโยบายใหม่นี้อาจขัดแย้งกับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของยุโรป (GDPR) และกำลัง หาทางปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรป

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT จะถูกเก็บไว้โดยไม่มีกำหนด อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัว
    - แม้ OpenAI จะเก็บข้อมูล แต่ไม่ได้แชร์กับ The New York Times หรือองค์กรอื่น ๆ
    - เฉพาะทีมกฎหมายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้
    - ต้องติดตามว่า OpenAI จะสามารถปรับนโยบายให้สอดคล้องกับ GDPR ได้หรือไม่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ OpenAI อาจส่งผลต่อแนวทางการจัดการข้อมูลของบริษัท AI อื่น ๆ และ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108237-lawsuit-forces-openai-archive-all-chatgpt-chats.html
    🔒 OpenAI ถูกบังคับให้เก็บข้อมูล ChatGPT ไม่มีกำหนด ตามคำสั่งศาล OpenAI ได้ประกาศว่า ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก คดีฟ้องร้องโดย The New York Times ที่ต้องการตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้หลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาล บังคับให้บริษัทต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อใช้ในการตรวจสอบทางกฎหมาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - OpenAI ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด - The New York Times ฟ้องร้อง OpenAI เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ - ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลหลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาลบังคับให้เก็บข้อมูลทั้งหมด - OpenAI กำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไปก่อน - ผู้ใช้ ChatGPT Enterprise และ ChatGPT Edu สามารถกำหนดนโยบายการเก็บข้อมูลได้เอง 🔥 ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ OpenAI ยอมรับว่า นโยบายใหม่นี้อาจขัดแย้งกับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของยุโรป (GDPR) และกำลัง หาทางปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT จะถูกเก็บไว้โดยไม่มีกำหนด อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัว - แม้ OpenAI จะเก็บข้อมูล แต่ไม่ได้แชร์กับ The New York Times หรือองค์กรอื่น ๆ - เฉพาะทีมกฎหมายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ - ต้องติดตามว่า OpenAI จะสามารถปรับนโยบายให้สอดคล้องกับ GDPR ได้หรือไม่ 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ OpenAI อาจส่งผลต่อแนวทางการจัดการข้อมูลของบริษัท AI อื่น ๆ และ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต https://www.techspot.com/news/108237-lawsuit-forces-openai-archive-all-chatgpt-chats.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    OpenAI warns ChatGPT logs will be retained "indefinitely," blames court order
    ChatGPT is now one of the world's most visited websites. Millions of people use the service daily, and OpenAI will now store nearly every user interaction in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล หวั่นข้อมูล 3D NAND รั่วไหลไปยัง YMTC
    Micron กำลังต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อ ยกเลิกคำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3D NAND ให้กับ Yangtze Memory Technologies Company (YMTC) ซึ่งเป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

    เหตุผลที่ Micron คัดค้านคำสั่งศาล
    Micron อ้างว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก YMTC มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน และอาจนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับ 3D NAND
    - YMTC เป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
    - Micron อ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
    - YMTC กล่าวหาว่า Micron ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ 3D NAND ในปี 2023
    - ศาลอนุญาตให้ YMTC เข้าถึงเอกสารภายใต้คำสั่งคุ้มครองข้อมูล

    ความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล
    แม้ว่าคำสั่งศาลจะกำหนดให้ YMTC สามารถเข้าถึงเอกสารได้เฉพาะที่ปรึกษาภายนอกและผู้เชี่ยวชาญ แต่ Micron ยังคงกังวลว่า ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Micron อ้างว่า YMTC ขอเอกสารมากกว่าที่จำเป็น และอาจใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของจีน
    - แม้จะมีคำสั่งคุ้มครองข้อมูล แต่ Micron กังวลว่าอาจมีการละเมิดข้อกำหนด
    - การเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - ต้องติดตามว่าศาลจะพิจารณาคำอุทธรณ์ของ Micron อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-seeks-reversal-of-court-order-to-share-73-pages-of-sensitive-data-with-chinas-banned-ymtc-chipmaker-micron-strives-to-protect-ip-from-chinese-chip-firm-on-the-entity-list
    🏛️ Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล หวั่นข้อมูล 3D NAND รั่วไหลไปยัง YMTC Micron กำลังต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อ ยกเลิกคำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3D NAND ให้กับ Yangtze Memory Technologies Company (YMTC) ซึ่งเป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ 🔍 เหตุผลที่ Micron คัดค้านคำสั่งศาล Micron อ้างว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก YMTC มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน และอาจนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับ 3D NAND - YMTC เป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ - Micron อ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ - YMTC กล่าวหาว่า Micron ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ 3D NAND ในปี 2023 - ศาลอนุญาตให้ YMTC เข้าถึงเอกสารภายใต้คำสั่งคุ้มครองข้อมูล 🔥 ความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล แม้ว่าคำสั่งศาลจะกำหนดให้ YMTC สามารถเข้าถึงเอกสารได้เฉพาะที่ปรึกษาภายนอกและผู้เชี่ยวชาญ แต่ Micron ยังคงกังวลว่า ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Micron อ้างว่า YMTC ขอเอกสารมากกว่าที่จำเป็น และอาจใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของจีน - แม้จะมีคำสั่งคุ้มครองข้อมูล แต่ Micron กังวลว่าอาจมีการละเมิดข้อกำหนด - การเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - ต้องติดตามว่าศาลจะพิจารณาคำอุทธรณ์ของ Micron อย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-seeks-reversal-of-court-order-to-share-73-pages-of-sensitive-data-with-chinas-banned-ymtc-chipmaker-micron-strives-to-protect-ip-from-chinese-chip-firm-on-the-entity-list
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอ๊าา AI แพ้ เกม Atari 2600

    ChatGPT พ่ายแพ้ให้กับ Atari 2600 ในเกมหมากรุกระดับเริ่มต้น
    ในเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ChatGPT 4o ของ OpenAI แพ้ให้กับเกม Atari Chess ซึ่งรันบน Atari 2600 คอนโซลเกมยุค 1977 ที่มี ความเร็วเพียง 1.19 MHz โดย Robert Jr. Caruso ผู้เชี่ยวชาญด้าน Citrix Architecture ได้ทดสอบและพบว่า AI ของ OpenAI ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุเกือบ 50 ปีได้

    เหตุผลที่ ChatGPT พ่ายแพ้
    Caruso พบว่า Atari Chess คิดล่วงหน้าเพียง 1-2 ท่า ซึ่งแตกต่างจาก AI สมัยใหม่ที่สามารถ คำนวณหลายล้านท่าต่อวินาที อย่างไรก็ตาม ChatGPT ทำผิดพลาดซ้ำ ๆ จนต้องยอมแพ้ แม้ว่า Caruso จะช่วยปรับไอคอนหมากรุกให้ชัดเจนขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - ChatGPT 4o แพ้ให้กับ Atari Chess ในระดับเริ่มต้น
    - Atari 2600 ใช้ MOS Technology 6507 CPU ที่มีความเร็วเพียง 1.19 MHz
    - Atari Chess คิดล่วงหน้าเพียง 1-2 ท่า แต่ยังสามารถเอาชนะ ChatGPT ได้
    - Caruso ปรับไอคอนหมากรุกให้ชัดเจนขึ้น แต่ ChatGPT ยังทำผิดพลาดซ้ำ ๆ
    - ChatGPT สัญญาว่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ยังคงแพ้ต่อเนื่อง

    ความหมายของเหตุการณ์นี้ต่อ AI และการเล่นหมากรุก
    แม้ว่า AI จะสามารถ คำนวณได้เร็วกว่า แต่ การเล่นหมากรุกต้องอาศัยกลยุทธ์และการตัดสินใจที่แม่นยำ ซึ่ง Atari Chess แม้จะเก่า แต่ยังสามารถเอาชนะ AI ที่ทันสมัยได้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจไม่สามารถเข้าใจกลยุทธ์ของเกมที่มีข้อจำกัดด้านการคำนวณแบบดั้งเดิม
    - แม้ว่า AI จะสามารถคำนวณได้เร็ว แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจทำให้แพ้ได้
    - ต้องติดตามว่า OpenAI จะปรับปรุง ChatGPT ให้สามารถเล่นหมากรุกได้ดีขึ้นหรือไม่
    - เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า AI ยังมีข้อจำกัดในการเข้าใจเกมที่มีตรรกะเฉพาะตัว

    ผลกระทบต่อการพัฒนา AI
    การพ่ายแพ้ของ ChatGPT อาจเป็นบทเรียนสำคัญในการพัฒนา AI ให้เข้าใจกลยุทธ์มากขึ้น และ อาจนำไปสู่การปรับปรุงโมเดล AI ให้สามารถเล่นเกมที่มีตรรกะเฉพาะตัวได้ดีขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-got-absolutely-wrecked-by-atari-2600-in-beginners-chess-match-openais-newest-model-bamboozled-by-1970s-logic
    เอ๊าา⁉️ AI แพ้ เกม Atari 2600 ⁉️ ♟️ ChatGPT พ่ายแพ้ให้กับ Atari 2600 ในเกมหมากรุกระดับเริ่มต้น ในเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ChatGPT 4o ของ OpenAI แพ้ให้กับเกม Atari Chess ซึ่งรันบน Atari 2600 คอนโซลเกมยุค 1977 ที่มี ความเร็วเพียง 1.19 MHz โดย Robert Jr. Caruso ผู้เชี่ยวชาญด้าน Citrix Architecture ได้ทดสอบและพบว่า AI ของ OpenAI ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุเกือบ 50 ปีได้ 🔍 เหตุผลที่ ChatGPT พ่ายแพ้ Caruso พบว่า Atari Chess คิดล่วงหน้าเพียง 1-2 ท่า ซึ่งแตกต่างจาก AI สมัยใหม่ที่สามารถ คำนวณหลายล้านท่าต่อวินาที อย่างไรก็ตาม ChatGPT ทำผิดพลาดซ้ำ ๆ จนต้องยอมแพ้ แม้ว่า Caruso จะช่วยปรับไอคอนหมากรุกให้ชัดเจนขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - ChatGPT 4o แพ้ให้กับ Atari Chess ในระดับเริ่มต้น - Atari 2600 ใช้ MOS Technology 6507 CPU ที่มีความเร็วเพียง 1.19 MHz - Atari Chess คิดล่วงหน้าเพียง 1-2 ท่า แต่ยังสามารถเอาชนะ ChatGPT ได้ - Caruso ปรับไอคอนหมากรุกให้ชัดเจนขึ้น แต่ ChatGPT ยังทำผิดพลาดซ้ำ ๆ - ChatGPT สัญญาว่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ยังคงแพ้ต่อเนื่อง 🔥 ความหมายของเหตุการณ์นี้ต่อ AI และการเล่นหมากรุก แม้ว่า AI จะสามารถ คำนวณได้เร็วกว่า แต่ การเล่นหมากรุกต้องอาศัยกลยุทธ์และการตัดสินใจที่แม่นยำ ซึ่ง Atari Chess แม้จะเก่า แต่ยังสามารถเอาชนะ AI ที่ทันสมัยได้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจไม่สามารถเข้าใจกลยุทธ์ของเกมที่มีข้อจำกัดด้านการคำนวณแบบดั้งเดิม - แม้ว่า AI จะสามารถคำนวณได้เร็ว แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจทำให้แพ้ได้ - ต้องติดตามว่า OpenAI จะปรับปรุง ChatGPT ให้สามารถเล่นหมากรุกได้ดีขึ้นหรือไม่ - เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า AI ยังมีข้อจำกัดในการเข้าใจเกมที่มีตรรกะเฉพาะตัว 🚀 ผลกระทบต่อการพัฒนา AI การพ่ายแพ้ของ ChatGPT อาจเป็นบทเรียนสำคัญในการพัฒนา AI ให้เข้าใจกลยุทธ์มากขึ้น และ อาจนำไปสู่การปรับปรุงโมเดล AI ให้สามารถเล่นเกมที่มีตรรกะเฉพาะตัวได้ดีขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-got-absolutely-wrecked-by-atari-2600-in-beginners-chess-match-openais-newest-model-bamboozled-by-1970s-logic
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ChatGPT 'got absolutely wrecked' by Atari 2600 in beginner's chess match — OpenAI's newest model bamboozled by 1970s logic
    OpenAI's latest and greatest AI model was outclassed by the 1.19 MHz near 50-year-old console gaming legend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน
    Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

    แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป

    ข้อมูลจากข่าว
    - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7
    - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
    - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด
    - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores
    - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050
    แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่
    - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก
    = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    🎮 Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป ✅ ข้อมูลจากข่าว - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7 - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต 🔥 ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050 แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7 - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่ - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX 5050 won't use GDDR7 memory— entry-level GPU tipped to use Samsung & SK hynix GDDR6 modules instead
    Nvidia will utilize different GDDR memory versions on its RTX 50 series graphics cards, just like the Turing generation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • Inversion Semiconductor เตรียมปฏิวัติการผลิตชิปด้วยเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็ก
    Inversion Semiconductor ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก Y Combinator กำลังพัฒนา เครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็กแบบตั้งโต๊ะ ที่สามารถ เพิ่มความเร็วในการผลิตชิปได้ถึง 15 เท่า โดยใช้ เทคนิค Laser Wakefield Acceleration (LWFA)

    วิธีการทำงานของเครื่องเร่งอนุภาค
    เครื่องเร่งอนุภาคของ Inversion Semiconductor มีขนาดเล็กกว่าเครื่องเร่งอนุภาคทั่วไปถึง 1,000 เท่า แต่สามารถ ให้กำลังสูงสุดถึง 10 kW ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยีของ ASML ถึง 10 เท่า

    ข้อมูลจากข่าว
    - Inversion Semiconductor พัฒนาเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็กเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตชิป
    - เทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มความเร็วในการผลิตชิปได้ถึง 15 เท่า
    - ใช้ Laser Wakefield Acceleration (LWFA) ซึ่งช่วยให้สามารถเร่งอิเล็กตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - เครื่องเร่งอนุภาคนี้มีขนาดเล็กกว่าเครื่องเร่งอนุภาคทั่วไปถึง 1,000 เท่า
    - สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 10 kW ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยีของ ASML ถึง 10 เท่า

    ความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยี
    แม้ว่าแนวคิดนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องใช้เลเซอร์ระดับเพตะวัตต์ ซึ่งมีต้นทุนสูงและต้องการระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องใช้เลเซอร์ระดับเพตะวัตต์ ซึ่งมีต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก
    - Inversion Semiconductor ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตเครื่องมือสำหรับโรงงานที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
    - ต้องพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด หากไม่สามารถร่วมมือกับ ASML หรือผู้ผลิตเครื่องมืออื่น ๆ
    - การใช้แหล่งกำเนิดแสงที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่า 10nm อาจมีข้อจำกัดด้านการดูดซับแสงของวัสดุ

    หาก Inversion Semiconductor สามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ การผลิตชิปมีความเร็วสูงขึ้นและลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขข้อจำกัดทางเทคนิคได้หรือไม่


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/plans-to-shrink-particle-accelerators-by-1000x-could-speed-chipmaking-by-15x-inversion-semiconductor-proposes-tabletop-particle-accelerators-with-petawatt-lasers
    ⚡ Inversion Semiconductor เตรียมปฏิวัติการผลิตชิปด้วยเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็ก Inversion Semiconductor ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก Y Combinator กำลังพัฒนา เครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็กแบบตั้งโต๊ะ ที่สามารถ เพิ่มความเร็วในการผลิตชิปได้ถึง 15 เท่า โดยใช้ เทคนิค Laser Wakefield Acceleration (LWFA) 🔍 วิธีการทำงานของเครื่องเร่งอนุภาค เครื่องเร่งอนุภาคของ Inversion Semiconductor มีขนาดเล็กกว่าเครื่องเร่งอนุภาคทั่วไปถึง 1,000 เท่า แต่สามารถ ให้กำลังสูงสุดถึง 10 kW ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยีของ ASML ถึง 10 เท่า ✅ ข้อมูลจากข่าว - Inversion Semiconductor พัฒนาเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็กเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตชิป - เทคโนโลยีนี้สามารถเพิ่มความเร็วในการผลิตชิปได้ถึง 15 เท่า - ใช้ Laser Wakefield Acceleration (LWFA) ซึ่งช่วยให้สามารถเร่งอิเล็กตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เครื่องเร่งอนุภาคนี้มีขนาดเล็กกว่าเครื่องเร่งอนุภาคทั่วไปถึง 1,000 เท่า - สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 10 kW ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยีของ ASML ถึง 10 เท่า 🔥 ความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยี แม้ว่าแนวคิดนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องใช้เลเซอร์ระดับเพตะวัตต์ ซึ่งมีต้นทุนสูงและต้องการระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องใช้เลเซอร์ระดับเพตะวัตต์ ซึ่งมีต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก - Inversion Semiconductor ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตเครื่องมือสำหรับโรงงานที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง - ต้องพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด หากไม่สามารถร่วมมือกับ ASML หรือผู้ผลิตเครื่องมืออื่น ๆ - การใช้แหล่งกำเนิดแสงที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่า 10nm อาจมีข้อจำกัดด้านการดูดซับแสงของวัสดุ หาก Inversion Semiconductor สามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ การผลิตชิปมีความเร็วสูงขึ้นและลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขข้อจำกัดทางเทคนิคได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/plans-to-shrink-particle-accelerators-by-1000x-could-speed-chipmaking-by-15x-inversion-semiconductor-proposes-tabletop-particle-accelerators-with-petawatt-lasers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • GeeFarce 5027 POS: เมื่อ NUC ถูกฝังใน GPU
    CherryTree Inc. ได้สร้าง GeeFarce 5027 POS ซึ่งเป็น การนำ NUC มาฝังไว้ในกราฟิกการ์ด โดยใช้ Gigabyte RTX 20-series รุ่นเก่า และติดตั้ง Asus NUC 13 Pro ที่มาพร้อม Intel Core i7-1360P

    วิธีการทำงานของ GeeFarce 5027 POS
    CherryTree ถอดชิป GPU ออก และแทนที่ด้วย NUC 13 Pro ซึ่งมี 12 คอร์ / 16 เธรด และ กราฟิก Iris Xe พร้อม 64GB DDR4-3200 SO-DIMM และ SSD 2TB PCIe 3.0

    ข้อมูลจากข่าว
    - CherryTree สร้าง GeeFarce 5027 POS โดยฝัง NUC 13 Pro ลงในกราฟิกการ์ด
    - ใช้ Gigabyte RTX 20-series รุ่นเก่าเป็นโครงสร้างหลัก
    - NUC 13 Pro มี Intel Core i7-1360P พร้อม 12 คอร์ / 16 เธรด
    - มาพร้อม 64GB DDR4-3200 SO-DIMM และ SSD 2TB PCIe 3.0
    - สามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ แต่ไม่ได้ใช้การเชื่อมต่อ PCIe จริง

    ประสิทธิภาพและข้อจำกัด
    แม้ว่า GeeFarce 5027 POS จะสามารถรันเกมบางเกมได้ เช่น Doom และ Quantum Break แต่ Iris Xe iGPU ยังไม่สามารถเทียบกับ RTX 2070 Super ได้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - PCIe บนกราฟิกการ์ดไม่สามารถใช้งานได้จริง
    - ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟแยกผ่านอะแดปเตอร์จากเต้ารับ
    - Iris Xe iGPU มีประสิทธิภาพต่ำกว่ากราฟิกการ์ดแยก
    - GeeFarce 5027 POS เป็นเพียงโปรเจคทดลอง และไม่มีจำหน่ายจริง

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/custom-pc-company-stuffs-a-nuc-inside-a-gpu-geefarce-5027-pos-packs-2x-more-memory-than-nvidias-rtx-5090
    🖥️ GeeFarce 5027 POS: เมื่อ NUC ถูกฝังใน GPU CherryTree Inc. ได้สร้าง GeeFarce 5027 POS ซึ่งเป็น การนำ NUC มาฝังไว้ในกราฟิกการ์ด โดยใช้ Gigabyte RTX 20-series รุ่นเก่า และติดตั้ง Asus NUC 13 Pro ที่มาพร้อม Intel Core i7-1360P 🔍 วิธีการทำงานของ GeeFarce 5027 POS CherryTree ถอดชิป GPU ออก และแทนที่ด้วย NUC 13 Pro ซึ่งมี 12 คอร์ / 16 เธรด และ กราฟิก Iris Xe พร้อม 64GB DDR4-3200 SO-DIMM และ SSD 2TB PCIe 3.0 ✅ ข้อมูลจากข่าว - CherryTree สร้าง GeeFarce 5027 POS โดยฝัง NUC 13 Pro ลงในกราฟิกการ์ด - ใช้ Gigabyte RTX 20-series รุ่นเก่าเป็นโครงสร้างหลัก - NUC 13 Pro มี Intel Core i7-1360P พร้อม 12 คอร์ / 16 เธรด - มาพร้อม 64GB DDR4-3200 SO-DIMM และ SSD 2TB PCIe 3.0 - สามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ แต่ไม่ได้ใช้การเชื่อมต่อ PCIe จริง 🔥 ประสิทธิภาพและข้อจำกัด แม้ว่า GeeFarce 5027 POS จะสามารถรันเกมบางเกมได้ เช่น Doom และ Quantum Break แต่ Iris Xe iGPU ยังไม่สามารถเทียบกับ RTX 2070 Super ได้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - PCIe บนกราฟิกการ์ดไม่สามารถใช้งานได้จริง - ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟแยกผ่านอะแดปเตอร์จากเต้ารับ - Iris Xe iGPU มีประสิทธิภาพต่ำกว่ากราฟิกการ์ดแยก - GeeFarce 5027 POS เป็นเพียงโปรเจคทดลอง และไม่มีจำหน่ายจริง https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/custom-pc-company-stuffs-a-nuc-inside-a-gpu-geefarce-5027-pos-packs-2x-more-memory-than-nvidias-rtx-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chrome Extension ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยง AI Overviews ของ Google
    Avram Piltch บรรณาธิการของ Tom's Hardware ได้พัฒนา ส่วนขยาย Chrome ฟรี ที่ชื่อว่า Bye, Bye Google AI ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ลบ AI Overviews ออกจากผลการค้นหาของ Google และ ปรับแต่งหน้าค้นหาให้สะอาดขึ้น

    วิธีการทำงานของ Bye, Bye Google AI
    ส่วนขยายนี้ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถซ่อน AI Overviews, วิดีโอ, โฆษณา และส่วน "People Also Ask" เพื่อให้ ผลการค้นหามีเฉพาะลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Bye, Bye Google AI เป็นส่วนขยาย Chrome ที่ช่วยลบ AI Overviews ออกจากผลการค้นหา
    - พัฒนาโดย Avram Piltch บรรณาธิการของ Tom's Hardware
    - สามารถซ่อน AI Overviews, วิดีโอ, โฆษณา และ "People Also Ask"
    - รองรับ Chrome, Edge และเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chrome Extensions
    - รองรับ 19 ภาษา รวมถึงสเปน, จีน และอาหรับ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และเว็บผู้เผยแพร่
    Google ได้ขยาย AI Overviews ไปยัง หลายภูมิภาคและคำค้นหา ซึ่งทำให้ ผู้ใช้บางส่วนรู้สึกว่าข้อมูลที่ได้รับไม่ถูกต้องหรือคลุมเครือ และ ส่งผลกระทบต่อทราฟฟิกของเว็บผู้เผยแพร่

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI Overviews อาจทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือคลุมเครือ
    - เว็บผู้เผยแพร่อาจได้รับทราฟฟิกลดลง เนื่องจากผู้ใช้ไม่คลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาจริง
    - Google อาจปรับเปลี่ยน AI Overviews ในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหานี้
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะเปลี่ยนไปใช้ส่วนขยายนี้มากน้อยแค่ไหน

    วิธีหลีกเลี่ยง AI Overviews โดยไม่ใช้ส่วนขยาย
    ผู้ใช้สามารถ เพิ่ม “&udm=14” ใน URL ของการค้นหา เพื่อเข้าถึง แท็บ “Web” ที่ไม่มี AI Overviews หรือใช้ tenbluelinks.org เพื่อกำหนดเครื่องมือค้นหาแบบกำหนดเอง

    https://www.techradar.com/pro/this-free-chrome-extension-makes-google-way-better-and-faster-by-getting-rid-of-ai-overviews-and-much-more
    🔍 Chrome Extension ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยง AI Overviews ของ Google Avram Piltch บรรณาธิการของ Tom's Hardware ได้พัฒนา ส่วนขยาย Chrome ฟรี ที่ชื่อว่า Bye, Bye Google AI ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ลบ AI Overviews ออกจากผลการค้นหาของ Google และ ปรับแต่งหน้าค้นหาให้สะอาดขึ้น 🚀 วิธีการทำงานของ Bye, Bye Google AI ส่วนขยายนี้ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถซ่อน AI Overviews, วิดีโอ, โฆษณา และส่วน "People Also Ask" เพื่อให้ ผลการค้นหามีเฉพาะลิงก์ที่เกี่ยวข้อง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Bye, Bye Google AI เป็นส่วนขยาย Chrome ที่ช่วยลบ AI Overviews ออกจากผลการค้นหา - พัฒนาโดย Avram Piltch บรรณาธิการของ Tom's Hardware - สามารถซ่อน AI Overviews, วิดีโอ, โฆษณา และ "People Also Ask" - รองรับ Chrome, Edge และเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chrome Extensions - รองรับ 19 ภาษา รวมถึงสเปน, จีน และอาหรับ 🔥 ผลกระทบต่อผู้ใช้และเว็บผู้เผยแพร่ Google ได้ขยาย AI Overviews ไปยัง หลายภูมิภาคและคำค้นหา ซึ่งทำให้ ผู้ใช้บางส่วนรู้สึกว่าข้อมูลที่ได้รับไม่ถูกต้องหรือคลุมเครือ และ ส่งผลกระทบต่อทราฟฟิกของเว็บผู้เผยแพร่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI Overviews อาจทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือคลุมเครือ - เว็บผู้เผยแพร่อาจได้รับทราฟฟิกลดลง เนื่องจากผู้ใช้ไม่คลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาจริง - Google อาจปรับเปลี่ยน AI Overviews ในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหานี้ - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะเปลี่ยนไปใช้ส่วนขยายนี้มากน้อยแค่ไหน 🚀 วิธีหลีกเลี่ยง AI Overviews โดยไม่ใช้ส่วนขยาย ผู้ใช้สามารถ เพิ่ม “&udm=14” ใน URL ของการค้นหา เพื่อเข้าถึง แท็บ “Web” ที่ไม่มี AI Overviews หรือใช้ tenbluelinks.org เพื่อกำหนดเครื่องมือค้นหาแบบกำหนดเอง https://www.techradar.com/pro/this-free-chrome-extension-makes-google-way-better-and-faster-by-getting-rid-of-ai-overviews-and-much-more
    WWW.TECHRADAR.COM
    New tool helps users remove AI clutter from Google search pages
    Bye, Bye Google AI does exactly what its name suggests
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว