• 🧠 AI กับปัญหางานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน
    การเข้าถึง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ งานวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพมีความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์ลดลง และนำไปสู่ "กระแสงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน" ซึ่งเต็มไปด้วยการวิเคราะห์ที่ผิวเผินและข้อมูลที่ถูกเลือกมาอย่างไม่เหมาะสม

    นักวิจัยจาก University of Surrey และ University of Aberystwyth พบว่า การใช้ AI ในงานวิจัยมักนำไปสู่การวิเคราะห์แบบสูตรสำเร็จ โดยเน้นเพียง ปัจจัยเดียว แทนที่จะใช้แนวทางที่ครอบคลุมมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีการใช้ AI-ready datasets เพื่อสร้างงานวิจัยจำนวนมากโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจนำไปสู่ การเลือกข้อมูลที่ไม่เหมาะสม (cherry-picking) และการเปลี่ยนแปลงคำถามวิจัยหลังจากเห็นผลลัพธ์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AI ทำให้การวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพมีความเข้มงวดลดลง
    - University of Surrey และ University of Aberystwyth พบว่าการใช้ AI มักนำไปสู่การวิเคราะห์แบบสูตรสำเร็จ
    - มีการใช้ AI-ready datasets เพื่อสร้างงานวิจัยจำนวนมากโดยอัตโนมัติ
    - บางงานวิจัยใช้ข้อมูลที่ถูกเลือกมาอย่างไม่เหมาะสม (cherry-picking)
    - นักวิจัยแนะนำให้มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติและการทบทวนโดยเพื่อนร่วมงาน (peer review) อย่างเข้มงวด

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในงานวิจัยอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดและการตีพิมพ์ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ
    - ต้องมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ AI ในการสร้างงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน
    - การเลือกข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงการแพทย์และสุขภาพ
    - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการใช้ AI ในงานวิจัยให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้

    🚀 ผลกระทบต่อวงการวิจัย
    การใช้ AI ในงานวิจัยอาจช่วยให้ การวิเคราะห์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากไม่มีการควบคุมที่ดี อาจนำไปสู่การเผยแพร่งานวิจัยที่ไม่มีคุณภาพ นักวิจัยและสถาบันวิชาการต้อง พัฒนาแนวทางการใช้ AI ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/01/ai-being-used-to-churn-out-deluge-of-dodgy-scientific-research
    🧠 AI กับปัญหางานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน การเข้าถึง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ง่ายขึ้นส่งผลให้ งานวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพมีความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์ลดลง และนำไปสู่ "กระแสงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน" ซึ่งเต็มไปด้วยการวิเคราะห์ที่ผิวเผินและข้อมูลที่ถูกเลือกมาอย่างไม่เหมาะสม นักวิจัยจาก University of Surrey และ University of Aberystwyth พบว่า การใช้ AI ในงานวิจัยมักนำไปสู่การวิเคราะห์แบบสูตรสำเร็จ โดยเน้นเพียง ปัจจัยเดียว แทนที่จะใช้แนวทางที่ครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้ AI-ready datasets เพื่อสร้างงานวิจัยจำนวนมากโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจนำไปสู่ การเลือกข้อมูลที่ไม่เหมาะสม (cherry-picking) และการเปลี่ยนแปลงคำถามวิจัยหลังจากเห็นผลลัพธ์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI ทำให้การวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพมีความเข้มงวดลดลง - University of Surrey และ University of Aberystwyth พบว่าการใช้ AI มักนำไปสู่การวิเคราะห์แบบสูตรสำเร็จ - มีการใช้ AI-ready datasets เพื่อสร้างงานวิจัยจำนวนมากโดยอัตโนมัติ - บางงานวิจัยใช้ข้อมูลที่ถูกเลือกมาอย่างไม่เหมาะสม (cherry-picking) - นักวิจัยแนะนำให้มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติและการทบทวนโดยเพื่อนร่วมงาน (peer review) อย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในงานวิจัยอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดและการตีพิมพ์ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ - ต้องมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ AI ในการสร้างงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐาน - การเลือกข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงการแพทย์และสุขภาพ - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการใช้ AI ในงานวิจัยให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ 🚀 ผลกระทบต่อวงการวิจัย การใช้ AI ในงานวิจัยอาจช่วยให้ การวิเคราะห์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากไม่มีการควบคุมที่ดี อาจนำไปสู่การเผยแพร่งานวิจัยที่ไม่มีคุณภาพ นักวิจัยและสถาบันวิชาการต้อง พัฒนาแนวทางการใช้ AI ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/01/ai-being-used-to-churn-out-deluge-of-dodgy-scientific-research
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI being used to churn out deluge of dodgy scientific research
    Easy access to artificial intelligence (AI) has made medical and health research less scientifically rigorous and has facilitated a "flood" of shoddy journal papers full of superficial analyses based on "cherry-picked" data, a new study reports.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/live/JDTzDwdJFGY?si=hKKCdoqkK_4oS9-R
    https://www.youtube.com/live/JDTzDwdJFGY?si=hKKCdoqkK_4oS9-R
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • 📝 Notepad อัปเดตใหม่: รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown
    Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์การจัดรูปแบบข้อความ ให้กับ Notepad บน Windows 11 ซึ่งทำให้แอปนี้เริ่มมีลักษณะคล้าย โปรแกรมประมวลผลคำ มากขึ้น

    Notepad เวอร์ชันใหม่สำหรับ Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels มาพร้อมกับ แถบเครื่องมือสำหรับจัดรูปแบบข้อความ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ใช้ตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting ได้

    นอกจากนี้ Notepad ยังรองรับ ไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point พร้อมปุ่ม toggle ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Notepad บน Windows 11 รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting
    - Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว
    - รองรับไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point
    - มีปุ่ม toggle สำหรับสลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ
    - ผู้ใช้สามารถปิดการจัดรูปแบบและกลับไปใช้โหมด plaintext ได้ในเมนูการตั้งค่า

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การรองรับตาราง หรือการแก้ไขแบบ collaborative หรือไม่
    - Notepad อาจเริ่มแข่งขันกับแอปอื่น ๆ เช่น Notepad++, Sublime Text และ Visual Studio Code
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลมาจากการเลิกสนับสนุน WordPad ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกกลางระหว่าง Notepad และ Microsoft Word

    การอัปเดตนี้ทำให้ Notepad มีความสามารถมากขึ้นในการจัดการเอกสาร และอาจช่วยให้ผู้ใช้ ไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมประมวลผลคำอื่น ๆ สำหรับงานพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ อีกหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108132-notepad-gets-bold-italics-markdown-support-latest-update.html
    📝 Notepad อัปเดตใหม่: รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์การจัดรูปแบบข้อความ ให้กับ Notepad บน Windows 11 ซึ่งทำให้แอปนี้เริ่มมีลักษณะคล้าย โปรแกรมประมวลผลคำ มากขึ้น Notepad เวอร์ชันใหม่สำหรับ Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels มาพร้อมกับ แถบเครื่องมือสำหรับจัดรูปแบบข้อความ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ใช้ตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting ได้ นอกจากนี้ Notepad ยังรองรับ ไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point พร้อมปุ่ม toggle ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Notepad บน Windows 11 รองรับตัวหนา, ตัวเอียง และ Markdown-style formatting - Windows Insiders ใน Canary และ Dev channels สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว - รองรับไฮเปอร์ลิงก์และรายการ bullet-point - มีปุ่ม toggle สำหรับสลับระหว่าง Markdown ที่จัดรูปแบบแล้วกับโค้ด Markdown ดิบ - ผู้ใช้สามารถปิดการจัดรูปแบบและกลับไปใช้โหมด plaintext ได้ในเมนูการตั้งค่า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การรองรับตาราง หรือการแก้ไขแบบ collaborative หรือไม่ - Notepad อาจเริ่มแข่งขันกับแอปอื่น ๆ เช่น Notepad++, Sublime Text และ Visual Studio Code - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นผลมาจากการเลิกสนับสนุน WordPad ซึ่งเคยเป็นตัวเลือกกลางระหว่าง Notepad และ Microsoft Word การอัปเดตนี้ทำให้ Notepad มีความสามารถมากขึ้นในการจัดการเอกสาร และอาจช่วยให้ผู้ใช้ ไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมประมวลผลคำอื่น ๆ สำหรับงานพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ อีกหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108132-notepad-gets-bold-italics-markdown-support-latest-update.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Notepad gets bold, italics, and Markdown support in latest update
    Windows Insiders can now access a formatting toolbar in Notepad to apply text styling. This feature is currently available in the Canary and Dev channels, and past...
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • เหลี่ยมเขมร!!! ฮุนมาเน็ต เตรียมฟ้องศาลโลก หวังยึด'ปราสาทตาเมือนธม สามเหลี่ยมมรกต' ขู่ใช้กำลังติดอาวุธ หากมีการบุกรุก
    https://www.thai-tai.tv/news/19118/
    เหลี่ยมเขมร!!! ฮุนมาเน็ต เตรียมฟ้องศาลโลก หวังยึด'ปราสาทตาเมือนธม สามเหลี่ยมมรกต' ขู่ใช้กำลังติดอาวุธ หากมีการบุกรุก https://www.thai-tai.tv/news/19118/
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ☕ Java ครบรอบ 30 ปี: ภาษาที่ไม่มีวันตาย
    Java ฉลองครบรอบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวโดย Sun Microsystems เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดยยังคงเป็นหนึ่งในภาษาการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก

    Java ถูกพัฒนาขึ้นโดย James Gosling และทีมงานที่ Sun Microsystems โดยมีเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อใช้กับ ระบบโทรทัศน์แบบอินเทอร์แอคทีฟและอุปกรณ์ฝังตัว ก่อนจะเปลี่ยนไปเน้นที่ แอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต

    จุดเด่นของ Java คือ ความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี Java Virtual Machine (JVM) ด้วยแนวคิด "Write Once, Run Anywhere"

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Java เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดย Sun Microsystems
    - James Gosling ออกแบบ Java ให้เป็น "C++ ที่ปลอดภัยกว่า"
    - Java มีความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ทำให้สามารถรันบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี JVM
    - Sun Microsystems เปิด OpenJDK ในปี 2006 เพื่อให้ Java เป็นโอเพ่นซอร์ส
    - Oracle ซื้อ Sun Microsystems ในปี 2010 และเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน Java

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Oracle มีการเปลี่ยนแปลงด้านลิขสิทธิ์ ทำให้บางองค์กรต้องหาทางเลือกอื่น เช่น OpenJDK จากผู้ให้บริการรายอื่น
    - แม้ Java จะยังคงได้รับความนิยม แต่ต้องแข่งขันกับภาษาใหม่ ๆ เช่น Python และ JavaScript
    - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น Cloud Computing อาจทำให้ Java ต้องปรับตัวต่อไป
    - ต้องติดตามว่า Java จะสามารถรักษาความนิยมในยุค AI และ Quantum Computing ได้หรือไม่

    Java ยังคงเป็น ภาษาหลักในระบบองค์กร, Big Data และ Cloud Computing แม้จะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ ความเสถียรและความเข้ากันได้ย้อนหลัง ทำให้ Java ยังคงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับนักพัฒนา

    https://www.techspot.com/news/108136-java-turns-30-shows-no-signs-slowing-down.html
    ☕ Java ครบรอบ 30 ปี: ภาษาที่ไม่มีวันตาย Java ฉลองครบรอบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวโดย Sun Microsystems เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดยยังคงเป็นหนึ่งในภาษาการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Java ถูกพัฒนาขึ้นโดย James Gosling และทีมงานที่ Sun Microsystems โดยมีเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อใช้กับ ระบบโทรทัศน์แบบอินเทอร์แอคทีฟและอุปกรณ์ฝังตัว ก่อนจะเปลี่ยนไปเน้นที่ แอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต จุดเด่นของ Java คือ ความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี Java Virtual Machine (JVM) ด้วยแนวคิด "Write Once, Run Anywhere" ✅ ข้อมูลจากข่าว - Java เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดย Sun Microsystems - James Gosling ออกแบบ Java ให้เป็น "C++ ที่ปลอดภัยกว่า" - Java มีความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ทำให้สามารถรันบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี JVM - Sun Microsystems เปิด OpenJDK ในปี 2006 เพื่อให้ Java เป็นโอเพ่นซอร์ส - Oracle ซื้อ Sun Microsystems ในปี 2010 และเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน Java ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Oracle มีการเปลี่ยนแปลงด้านลิขสิทธิ์ ทำให้บางองค์กรต้องหาทางเลือกอื่น เช่น OpenJDK จากผู้ให้บริการรายอื่น - แม้ Java จะยังคงได้รับความนิยม แต่ต้องแข่งขันกับภาษาใหม่ ๆ เช่น Python และ JavaScript - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น Cloud Computing อาจทำให้ Java ต้องปรับตัวต่อไป - ต้องติดตามว่า Java จะสามารถรักษาความนิยมในยุค AI และ Quantum Computing ได้หรือไม่ Java ยังคงเป็น ภาษาหลักในระบบองค์กร, Big Data และ Cloud Computing แม้จะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ ความเสถียรและความเข้ากันได้ย้อนหลัง ทำให้ Java ยังคงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับนักพัฒนา https://www.techspot.com/news/108136-java-turns-30-shows-no-signs-slowing-down.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Java turns 30 and shows no signs of slowing down
    Java's origins trace back to the early 1990s, when a team at Sun Microsystems led by James Gosling set out to develop a language for interactive television...
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • 🎮 การกลับมาของเกมในอาณาจักร AI ของ Nvidia
    แม้ว่า Nvidia จะทำรายได้มหาศาลจากธุรกิจ AI data center แต่ไตรมาสล่าสุดกลับมีเซอร์ไพรส์จาก แผนกเกมมิ่ง ที่ทำรายได้สูงถึง $3.8 พันล้าน เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 48% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

    นักวิเคราะห์ชี้ว่า "Blackwell ramp" หรือการเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ อย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย โดย Nvidia อ้างว่า ประสิทธิภาพของ GPU รุ่นใหม่ดีขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อใช้ร่วมกับ DLSS และ Multi-Frame Generation (MFG)

    อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบจริงกลับไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นเท่ากับที่ Nvidia โฆษณา

    อีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกมองข้ามคือ การนำ GPU ระดับสูงไปใช้ในงาน AI ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่กลับลดจำนวน GPU ที่เข้าถึงเกมเมอร์จริง ๆ ส่งผลให้ ราคาสูงขึ้นและเกิดภาวะขาดแคลน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia ทำรายได้จากเกมมิ่งสูงถึง $3.8 พันล้าน เพิ่มขึ้น 42% จากปีที่แล้ว
    - "Blackwell ramp" ช่วยให้ GPU รุ่นใหม่เปิดตัวเร็วขึ้นและกระตุ้นยอดขาย
    - DLSS และ Multi-Frame Generation (MFG) ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    - GPU ระดับสูงถูกนำไปใช้ในงาน AI มากขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
    - แม้รายได้จากเกมจะสูงขึ้น แต่ยังคิดเป็นเพียง 8.5% ของรายได้ทั้งหมดของ Nvidia

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผลการทดสอบจริงไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นเท่ากับที่ Nvidia โฆษณา
    - การนำ GPU ไปใช้ในงาน AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาสูงขึ้นสำหรับเกมเมอร์
    - Nvidia เผชิญกับข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปยังจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ในอนาคต
    - CEO Jensen Huang เตือนว่าจีนกำลังพัฒนา GPU ของตัวเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia

    แม้ว่า เกมมิ่งจะกลับมาเป็นจุดสนใจ แต่ Nvidia ยังคงมุ่งเน้นไปที่ AI infrastructure ซึ่งอาจทำให้เกมเมอร์ต้องเผชิญกับ ราคาที่สูงขึ้นและการขาดแคลน GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าคู่แข่งจากจีนจะสามารถพัฒนา GPU ที่แข่งขันได้หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108143-gaming-makes-comeback-nvidia-ai-dominated-empire.html
    🎮 การกลับมาของเกมในอาณาจักร AI ของ Nvidia แม้ว่า Nvidia จะทำรายได้มหาศาลจากธุรกิจ AI data center แต่ไตรมาสล่าสุดกลับมีเซอร์ไพรส์จาก แผนกเกมมิ่ง ที่ทำรายได้สูงถึง $3.8 พันล้าน เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 48% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน นักวิเคราะห์ชี้ว่า "Blackwell ramp" หรือการเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ อย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย โดย Nvidia อ้างว่า ประสิทธิภาพของ GPU รุ่นใหม่ดีขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อใช้ร่วมกับ DLSS และ Multi-Frame Generation (MFG) อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบจริงกลับไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นเท่ากับที่ Nvidia โฆษณา อีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกมองข้ามคือ การนำ GPU ระดับสูงไปใช้ในงาน AI ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่กลับลดจำนวน GPU ที่เข้าถึงเกมเมอร์จริง ๆ ส่งผลให้ ราคาสูงขึ้นและเกิดภาวะขาดแคลน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia ทำรายได้จากเกมมิ่งสูงถึง $3.8 พันล้าน เพิ่มขึ้น 42% จากปีที่แล้ว - "Blackwell ramp" ช่วยให้ GPU รุ่นใหม่เปิดตัวเร็วขึ้นและกระตุ้นยอดขาย - DLSS และ Multi-Frame Generation (MFG) ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ - GPU ระดับสูงถูกนำไปใช้ในงาน AI มากขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น - แม้รายได้จากเกมจะสูงขึ้น แต่ยังคิดเป็นเพียง 8.5% ของรายได้ทั้งหมดของ Nvidia ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผลการทดสอบจริงไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นเท่ากับที่ Nvidia โฆษณา - การนำ GPU ไปใช้ในงาน AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาสูงขึ้นสำหรับเกมเมอร์ - Nvidia เผชิญกับข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปยังจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ในอนาคต - CEO Jensen Huang เตือนว่าจีนกำลังพัฒนา GPU ของตัวเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia แม้ว่า เกมมิ่งจะกลับมาเป็นจุดสนใจ แต่ Nvidia ยังคงมุ่งเน้นไปที่ AI infrastructure ซึ่งอาจทำให้เกมเมอร์ต้องเผชิญกับ ราคาที่สูงขึ้นและการขาดแคลน GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าคู่แข่งจากจีนจะสามารถพัฒนา GPU ที่แข่งขันได้หรือไม่ https://www.techspot.com/news/108143-gaming-makes-comeback-nvidia-ai-dominated-empire.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Gaming makes a comeback in Nvidia's AI-dominated empire
    As for what's behind the surge, analysts says it's all got to do with Nvidia's "Blackwell ramp." The new GPUs may be rolling out faster than any...
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • ⚡ AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025

    การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025
    - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า
    - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย
    - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์
    - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี
    - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI
    - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน
    - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

    การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม

    https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    ⚡ AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างผลกระทบต่อ โครงสร้างพลังงานโลก โดยมีการคาดการณ์ว่า AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 การขยายตัวของ Generative AI ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลใน ศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ AI accelerators จาก Nvidia และ AMD ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิจัย Alex de Vries-Gao จาก Vrije Universiteit Amsterdam วิเคราะห์ข้อมูลจาก สเปกอุปกรณ์, การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และรายงานของบริษัท เพื่อประเมิน ปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์ AI ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI อาจใช้พลังงานมากกว่าการขุด Bitcoin และบางประเทศภายในปี 2025 - AI คาดว่าจะใช้พลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลทั้งหมดภายในปีหน้า - Nvidia H100 AI accelerator ใช้พลังงาน 700 วัตต์ต่อหน่วย - ฮาร์ดแวร์ AI ที่ผลิตในปี 2023-2024 อาจต้องใช้พลังงานระหว่าง 5.3 ถึง 9.4 กิกะวัตต์ - TSMC วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต CoWoS packaging technology เป็นสองเท่าในปี 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเติบโตของ AI อาจทำให้การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสองปี - บางโครงการกำลังใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4.5 กิกะวัตต์ เพื่อรองรับ AI - การใช้พลังงานของ AI ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน - บริษัทเทคโนโลยีมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม การเติบโตของ AI อาจทำให้ ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลต่อ นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม https://www.techspot.com/news/108140-ai-could-soon-consume-more-electricity-than-bitcoin.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI could soon consume more electricity than Bitcoin mining and entire countries
    The rapid expansion of generative AI has triggered a boom in data center construction and hardware production. As AI applications become more complex and are more widely...
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • 🚗 ความโกลาหลบนถนนเยอรมันจากข้อผิดพลาดของ Google Maps
    Google Maps ทำให้เกิดความวุ่นวายบนถนนในเยอรมนีเมื่อแสดงข้อมูลผิดพลาดว่า ทางหลวงหลายสายถูกปิด ส่งผลให้ผู้ใช้จำนวนมากเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิด การจราจรติดขัดบนถนนสายรอง

    ข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นในช่วง วันหยุด Ascension ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางจำนวนมากในเยอรมนี โดย Google Maps แสดง สัญลักษณ์ปิดถนน บนทางหลวงใน ภาคตะวันตก, ภาคเหนือ, ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคกลางของประเทศ รวมถึงบางส่วนของ เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์

    ผู้ใช้ที่ไม่ได้พึ่งพา Google Maps หรือใช้บริการอื่น เช่น Apple Maps และ Waze ไม่พบปัญหานี้ และสามารถเดินทางได้ตามปกติ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Google Maps แสดงข้อมูลผิดพลาดว่าทางหลวงหลายสายในเยอรมนีถูกปิด
    - เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงวันหยุด Ascension ทำให้มีผู้ใช้จำนวนมากได้รับผลกระทบ
    - ผู้ใช้ที่พึ่งพา Google Maps เปลี่ยนเส้นทางโดยไม่จำเป็น ทำให้ถนนสายรองติดขัด
    - Apple Maps, Waze และรายงานจราจรแสดงว่าทางหลวงยังเปิดตามปกติ
    - Google ระบุว่าข้อมูลมาจากผู้ใช้, หน่วยงานขนส่ง และผู้ให้บริการบุคคลที่สาม

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อผิดพลาดนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนก โดยบางคนคิดว่าเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
    - Google ไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของข้อผิดพลาด
    - AI ที่ถูกเพิ่มเข้าไปใน Google Maps อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้
    - Google Maps เคยมีข้อผิดพลาดร้ายแรงมาก่อน เช่น กรณีที่ผู้ใช้ขับรถตกสะพานที่พังไปแล้วในปี 2023

    เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การพึ่งพาแผนที่ออนไลน์มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาการเดินทาง ผู้ใช้ควร ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง

    https://www.techspot.com/news/108134-german-roads-thrown-chaos-after-google-maps-mislabels.html
    🚗 ความโกลาหลบนถนนเยอรมันจากข้อผิดพลาดของ Google Maps Google Maps ทำให้เกิดความวุ่นวายบนถนนในเยอรมนีเมื่อแสดงข้อมูลผิดพลาดว่า ทางหลวงหลายสายถูกปิด ส่งผลให้ผู้ใช้จำนวนมากเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิด การจราจรติดขัดบนถนนสายรอง ข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นในช่วง วันหยุด Ascension ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางจำนวนมากในเยอรมนี โดย Google Maps แสดง สัญลักษณ์ปิดถนน บนทางหลวงใน ภาคตะวันตก, ภาคเหนือ, ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคกลางของประเทศ รวมถึงบางส่วนของ เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ผู้ใช้ที่ไม่ได้พึ่งพา Google Maps หรือใช้บริการอื่น เช่น Apple Maps และ Waze ไม่พบปัญหานี้ และสามารถเดินทางได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google Maps แสดงข้อมูลผิดพลาดว่าทางหลวงหลายสายในเยอรมนีถูกปิด - เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงวันหยุด Ascension ทำให้มีผู้ใช้จำนวนมากได้รับผลกระทบ - ผู้ใช้ที่พึ่งพา Google Maps เปลี่ยนเส้นทางโดยไม่จำเป็น ทำให้ถนนสายรองติดขัด - Apple Maps, Waze และรายงานจราจรแสดงว่าทางหลวงยังเปิดตามปกติ - Google ระบุว่าข้อมูลมาจากผู้ใช้, หน่วยงานขนส่ง และผู้ให้บริการบุคคลที่สาม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อผิดพลาดนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนก โดยบางคนคิดว่าเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ - Google ไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของข้อผิดพลาด - AI ที่ถูกเพิ่มเข้าไปใน Google Maps อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ - Google Maps เคยมีข้อผิดพลาดร้ายแรงมาก่อน เช่น กรณีที่ผู้ใช้ขับรถตกสะพานที่พังไปแล้วในปี 2023 เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การพึ่งพาแผนที่ออนไลน์มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาการเดินทาง ผู้ใช้ควร ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง https://www.techspot.com/news/108134-german-roads-thrown-chaos-after-google-maps-mislabels.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German roads thrown into chaos after Google Maps mislabels highways as closed
    German motorists likely felt disheartened at the sight of all the stop signs on Google Maps on Thursday. The Guardian reports that major roads in western, northern,...
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • 🚀 บันทึกความเร็วใหม่ของอินเทอร์เน็ต: 1.02 เพตะบิตต่อวินาที
    นักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติญี่ปุ่น (NICT) ร่วมกับ Sumitomo Electric Industries ได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่าน สายไฟเบอร์ออปติก ด้วยความเร็ว 1.02 เพตะบิตต่อวินาที ซึ่งมากพอที่จะดาวน์โหลด ภาพยนตร์ทั้งหมดบน Netflix ได้ถึง 30 รอบ

    สายไฟเบอร์ออปติกที่ใช้ในงานวิจัยนี้มี 19 คอร์ ซึ่งแต่ละคอร์ทำหน้าที่เป็นช่องทางส่งข้อมูลแยกกัน เปรียบเสมือน ทางหลวง 19 เลน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสายไฟเบอร์แบบดั้งเดิม

    เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานได้บน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อ ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - NICT และ Sumitomo Electric Industries สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่านไฟเบอร์ออปติก
    - ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 1.02 เพตะบิตต่อวินาที
    - ใช้สายไฟเบอร์แบบ 19 คอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
    - เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานบน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
    - ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับไฟเบอร์รุ่นก่อนหน้า

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีความเร็วสูง แต่ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการขยายสัญญาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้รองรับการผลิตจำนวนมาก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด
    - การขยายเครือข่ายระดับเพตะบิตอาจต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ในบางพื้นที่

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับเพตะบิตกลายเป็นความจริง และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเครือข่ายที่สามารถรองรับข้อมูลระดับศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง

    https://www.techspot.com/news/108133-ultra-fast-fiber-sets-global-speed-record-102.html
    🚀 บันทึกความเร็วใหม่ของอินเทอร์เน็ต: 1.02 เพตะบิตต่อวินาที นักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติญี่ปุ่น (NICT) ร่วมกับ Sumitomo Electric Industries ได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่าน สายไฟเบอร์ออปติก ด้วยความเร็ว 1.02 เพตะบิตต่อวินาที ซึ่งมากพอที่จะดาวน์โหลด ภาพยนตร์ทั้งหมดบน Netflix ได้ถึง 30 รอบ สายไฟเบอร์ออปติกที่ใช้ในงานวิจัยนี้มี 19 คอร์ ซึ่งแต่ละคอร์ทำหน้าที่เป็นช่องทางส่งข้อมูลแยกกัน เปรียบเสมือน ทางหลวง 19 เลน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสายไฟเบอร์แบบดั้งเดิม เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานได้บน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อ ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - NICT และ Sumitomo Electric Industries สร้างสถิติใหม่ในการส่งข้อมูลผ่านไฟเบอร์ออปติก - ความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 1.02 เพตะบิตต่อวินาที - ใช้สายไฟเบอร์แบบ 19 คอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม - เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานบน C และ L bands ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล - ลดการสูญเสียสัญญาณลง 40% เมื่อเทียบกับไฟเบอร์รุ่นก่อนหน้า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีความเร็วสูง แต่ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการขยายสัญญาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น - การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรมต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้รองรับการผลิตจำนวนมาก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด - การขยายเครือข่ายระดับเพตะบิตอาจต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ในบางพื้นที่ เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับเพตะบิตกลายเป็นความจริง และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเครือข่ายที่สามารถรองรับข้อมูลระดับศูนย์ข้อมูลทั้งแห่งได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง https://www.techspot.com/news/108133-ultra-fast-fiber-sets-global-speed-record-102.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ultra-fast fiber sets global speed record: 1.02 petabits per second over continental distance
    At the heart of this breakthrough – driven by Japan's National Institute of Information and Communications Technology (NICT) and Sumitomo Electric Industries – is a 19-core optical...
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • ดักคอ 'ทักษิณ' อย่างัดมุกติดโควิด เบี้ยวขึ้นศาล 13 มิ.ย.
    https://www.thai-tai.tv/news/19119/
    ดักคอ 'ทักษิณ' อย่างัดมุกติดโควิด เบี้ยวขึ้นศาล 13 มิ.ย. https://www.thai-tai.tv/news/19119/
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • 🔌 Microsoft ปรับปรุงมาตรฐาน USB-C บน Windows 11 เพื่อแก้ปัญหาความสับสน

    Microsoft ได้ประกาศปรับปรุง Windows Hardware Compatibility Program (WHCP) เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล โดยไม่มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์

    ปัญหาหลักของ USB-C คือ การใช้งานที่ไม่สม่ำเสมอในแต่ละอุปกรณ์ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการชาร์จ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการส่งข้อมูล หรือบางพอร์ตรองรับการแสดงผลเท่านั้น

    WHCP ใหม่จะกำหนดให้ ทุกพอร์ต USB-C บนแล็ปท็อปและแท็บเล็ตที่ได้รับการรับรองจาก Windows 11 ต้องรองรับทั้งสามฟังก์ชัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เสียบสายชาร์จหรือจอแสดงผลที่พอร์ตใดก็ได้โดยไม่ต้องเดา

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเพิ่มข้อกำหนดให้ พอร์ต USB 40Gbps รองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - WHCP ใหม่กำหนดให้ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล
    - ช่วยลดความสับสนของผู้ใช้เกี่ยวกับพอร์ต USB-C ที่มีฟังก์ชันแตกต่างกัน
    - พอร์ต USB 40Gbps ต้องรองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3
    - WHCP ใช้ Microsoft driver stack เพื่อให้แน่ใจว่าการอัปเดตด้านความปลอดภัยและฟีเจอร์จะมาผ่าน Windows Update
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับ Windows 11 24H2

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีมาตรฐานใหม่ แต่ระดับการรองรับของแต่ละพอร์ต USB-C อาจยังแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์
    - ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนได้รับการรับรอง WHCP หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ผลิตต้องปรับปรุงฮาร์ดแวร์และไดรเวอร์เพิ่มเติม
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่

    การปรับปรุง WHCP นี้ช่วยให้ การใช้งานพอร์ต USB-C บน Windows 11 มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และลดปัญหาความสับสน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-it-is-ending-usb-c-port-confusion-with-updated-windows-11-certified-program
    🔌 Microsoft ปรับปรุงมาตรฐาน USB-C บน Windows 11 เพื่อแก้ปัญหาความสับสน Microsoft ได้ประกาศปรับปรุง Windows Hardware Compatibility Program (WHCP) เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล โดยไม่มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์ ปัญหาหลักของ USB-C คือ การใช้งานที่ไม่สม่ำเสมอในแต่ละอุปกรณ์ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการชาร์จ บางพอร์ตรองรับเฉพาะการส่งข้อมูล หรือบางพอร์ตรองรับการแสดงผลเท่านั้น WHCP ใหม่จะกำหนดให้ ทุกพอร์ต USB-C บนแล็ปท็อปและแท็บเล็ตที่ได้รับการรับรองจาก Windows 11 ต้องรองรับทั้งสามฟังก์ชัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เสียบสายชาร์จหรือจอแสดงผลที่พอร์ตใดก็ได้โดยไม่ต้องเดา นอกจากนี้ Microsoft ยังเพิ่มข้อกำหนดให้ พอร์ต USB 40Gbps รองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ✅ ข้อมูลจากข่าว - WHCP ใหม่กำหนดให้ทุกพอร์ต USB-C บน Windows 11 รองรับการส่งข้อมูล, การชาร์จ และการแสดงผล - ช่วยลดความสับสนของผู้ใช้เกี่ยวกับพอร์ต USB-C ที่มีฟังก์ชันแตกต่างกัน - พอร์ต USB 40Gbps ต้องรองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 3 - WHCP ใช้ Microsoft driver stack เพื่อให้แน่ใจว่าการอัปเดตด้านความปลอดภัยและฟีเจอร์จะมาผ่าน Windows Update - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับ Windows 11 24H2 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีมาตรฐานใหม่ แต่ระดับการรองรับของแต่ละพอร์ต USB-C อาจยังแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์ - ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนได้รับการรับรอง WHCP หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ผลิตต้องปรับปรุงฮาร์ดแวร์และไดรเวอร์เพิ่มเติม - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่ การปรับปรุง WHCP นี้ช่วยให้ การใช้งานพอร์ต USB-C บน Windows 11 มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และลดปัญหาความสับสน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตพีซีจะนำมาตรฐานนี้ไปใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรือไม่ https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-promises-it-is-ending-usb-c-port-confusion-with-updated-windows-11-certified-program
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • 🚀 AMD เปิดตัว Ryzen AI Max 385: ตัวเลือกที่เข้าถึงได้มากขึ้นในตระกูล Strix Halo
    AMD กำลังขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Ryzen AI Max 385 ซึ่งเป็นรุ่นที่มี 8 คอร์ และ 16 เธรด ในตระกูล Strix Halo โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาด แล็ปท็อปและมินิพีซี ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น

    Ryzen AI Max 385 ใช้ สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อม 32 Compute Units ใน Radeon 8050S GPU และ NPU ที่รองรับ 50 TOPS ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้ว่าจะมี ความเร็วสูงสุด 5 GHz ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นเรือธง Ryzen AI Max+ 395 แต่ผลการทดสอบ Geekbench กลับแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพ ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยทำคะแนน 2,489 (single-core) และ 14,136 (multi-core) ซึ่งต่ำกว่ารุ่น 395 ที่ทำได้ 2,900-3,000 คะแนน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Ryzen AI Max 385 มี 8 คอร์ และ 16 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5
    - มาพร้อมกับ Radeon 8050S GPU ที่มี 32 Compute Units และ NPU 50 TOPS
    - ความเร็วสูงสุด 5 GHz ใกล้เคียงกับ Ryzen AI Max+ 395
    - ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน 2,489 (single-core) และ 14,136 (multi-core)
    - HP ZBook Ultra G1a เป็นหนึ่งในแล็ปท็อปที่ใช้ Ryzen AI Max 385 และมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผลทดสอบ Geekbench อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง เนื่องจากขึ้นอยู่กับการตั้งค่าพลังงานของแล็ปท็อป
    - Ryzen AI Max 385 อาจไม่สามารถแข่งขันกับรุ่นเรือธงในด้านประสิทธิภาพ AI ได้
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำ Ryzen AI Max 385 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - ราคาของแล็ปท็อปที่ใช้ชิปนี้ยังค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นในตลาด

    Ryzen AI Max 385 อาจช่วยให้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องซื้อรุ่นเรือธง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพจริงจะสามารถตอบโจทย์ตลาดได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/more-affordable-strix-halo-model-emerges-early-ryzen-ai-max-385-geekbench-result-reveals-an-eight-core-option
    🚀 AMD เปิดตัว Ryzen AI Max 385: ตัวเลือกที่เข้าถึงได้มากขึ้นในตระกูล Strix Halo AMD กำลังขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Ryzen AI Max 385 ซึ่งเป็นรุ่นที่มี 8 คอร์ และ 16 เธรด ในตระกูล Strix Halo โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาด แล็ปท็อปและมินิพีซี ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น Ryzen AI Max 385 ใช้ สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อม 32 Compute Units ใน Radeon 8050S GPU และ NPU ที่รองรับ 50 TOPS ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมี ความเร็วสูงสุด 5 GHz ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นเรือธง Ryzen AI Max+ 395 แต่ผลการทดสอบ Geekbench กลับแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพ ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยทำคะแนน 2,489 (single-core) และ 14,136 (multi-core) ซึ่งต่ำกว่ารุ่น 395 ที่ทำได้ 2,900-3,000 คะแนน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Ryzen AI Max 385 มี 8 คอร์ และ 16 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 - มาพร้อมกับ Radeon 8050S GPU ที่มี 32 Compute Units และ NPU 50 TOPS - ความเร็วสูงสุด 5 GHz ใกล้เคียงกับ Ryzen AI Max+ 395 - ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน 2,489 (single-core) และ 14,136 (multi-core) - HP ZBook Ultra G1a เป็นหนึ่งในแล็ปท็อปที่ใช้ Ryzen AI Max 385 และมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผลทดสอบ Geekbench อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริง เนื่องจากขึ้นอยู่กับการตั้งค่าพลังงานของแล็ปท็อป - Ryzen AI Max 385 อาจไม่สามารถแข่งขันกับรุ่นเรือธงในด้านประสิทธิภาพ AI ได้ - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำ Ryzen AI Max 385 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - ราคาของแล็ปท็อปที่ใช้ชิปนี้ยังค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นในตลาด Ryzen AI Max 385 อาจช่วยให้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องซื้อรุ่นเรือธง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพจริงจะสามารถตอบโจทย์ตลาดได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/more-affordable-strix-halo-model-emerges-early-ryzen-ai-max-385-geekbench-result-reveals-an-eight-core-option
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • มันชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าความขัดแย้งยูเครน เป็นสงครามที่รัสเซียไม่มีทางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สืบเนื่องจากสถานะนิวเคลียร์ของพวกเขา จากการยอมรับของ โยฮันน์ วาเดอฟุล รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ SZ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051519

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    มันชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าความขัดแย้งยูเครน เป็นสงครามที่รัสเซียไม่มีทางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สืบเนื่องจากสถานะนิวเคลียร์ของพวกเขา จากการยอมรับของ โยฮันน์ วาเดอฟุล รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ SZ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051519 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Wow
    7
    0 Comments 0 Shares 923 Views 0 Reviews
  • ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??!

    🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง

    Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา

    TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป

    ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE
    - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา
    - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน
    - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ
    - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา
    - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป
    - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ
    - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ

    UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??! 🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • 🤖 กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้
    นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln ได้พัฒนา กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญใน เทคโนโลยีหุ่นยนต์อ่อน (soft robotics)

    เทคโนโลยีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ระบบการรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชและสัตว์ โดยใช้ สถาปัตยกรรมหลายชั้น ที่สามารถ ตรวจจับความเสียหาย, ระบุตำแหน่ง และเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติ

    โครงสร้างของกล้ามเนื้อเทียมประกอบด้วย สามชั้นหลัก ได้แก่
    1) ชั้นตรวจจับความเสียหาย – ใช้ ไมโครดรอปเล็ตของโลหะเหลวฝังในซิลิโคนอีลาสโตเมอร์ เพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้าที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ
    2) ชั้นซ่อมแซมตัวเอง – ทำจาก เทอร์โมพลาสติกอีลาสโตเมอร์ ที่สามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน
    3) ชั้นกระตุ้นการเคลื่อนไหว – ควบคุมการหดตัวและขยายตัวของกล้ามเนื้อผ่านแรงดันน้ำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln พัฒนากล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับและซ่อมแซมตัวเองได้
    - ใช้สถาปัตยกรรมสามชั้นที่เลียนแบบระบบรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต
    - ชั้นตรวจจับความเสียหายใช้โลหะเหลวฝังในซิลิโคนเพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้า
    - ชั้นซ่อมแซมตัวเองสามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน
    - เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในหุ่นยนต์เกษตร, อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อประเมินความทนทานในระยะยาว
    - การใช้โลหะเหลวอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและต้นทุนการผลิต
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตหุ่นยนต์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเมื่อใด
    - การซ่อมแซมตัวเองอาจมีข้อจำกัดในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงหรือซ้ำซ้อน

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ หุ่นยนต์อ่อนมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะใน สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/damage-sensing-and-self-healing-artificial-muscles-heralded-as-huge-step-forward-in-robotics
    🤖 กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln ได้พัฒนา กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญใน เทคโนโลยีหุ่นยนต์อ่อน (soft robotics) เทคโนโลยีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ระบบการรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชและสัตว์ โดยใช้ สถาปัตยกรรมหลายชั้น ที่สามารถ ตรวจจับความเสียหาย, ระบุตำแหน่ง และเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติ โครงสร้างของกล้ามเนื้อเทียมประกอบด้วย สามชั้นหลัก ได้แก่ 1) ชั้นตรวจจับความเสียหาย – ใช้ ไมโครดรอปเล็ตของโลหะเหลวฝังในซิลิโคนอีลาสโตเมอร์ เพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้าที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ 2) ชั้นซ่อมแซมตัวเอง – ทำจาก เทอร์โมพลาสติกอีลาสโตเมอร์ ที่สามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน 3) ชั้นกระตุ้นการเคลื่อนไหว – ควบคุมการหดตัวและขยายตัวของกล้ามเนื้อผ่านแรงดันน้ำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln พัฒนากล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับและซ่อมแซมตัวเองได้ - ใช้สถาปัตยกรรมสามชั้นที่เลียนแบบระบบรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต - ชั้นตรวจจับความเสียหายใช้โลหะเหลวฝังในซิลิโคนเพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้า - ชั้นซ่อมแซมตัวเองสามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน - เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในหุ่นยนต์เกษตร, อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อประเมินความทนทานในระยะยาว - การใช้โลหะเหลวอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและต้นทุนการผลิต - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตหุ่นยนต์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเมื่อใด - การซ่อมแซมตัวเองอาจมีข้อจำกัดในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงหรือซ้ำซ้อน เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ หุ่นยนต์อ่อนมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะใน สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/damage-sensing-and-self-healing-artificial-muscles-heralded-as-huge-step-forward-in-robotics
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • ฟันฉับ! ‘ทักษิณ’ ยึด มท. หวังผลเลือกตั้งครั้งหน้า กลบเกลื่อนรัฐบาลอิ๊งค์บริหารปท.ล้มเหลว
    https://www.thai-tai.tv/news/19120/
    ฟันฉับ! ‘ทักษิณ’ ยึด มท. หวังผลเลือกตั้งครั้งหน้า กลบเกลื่อนรัฐบาลอิ๊งค์บริหารปท.ล้มเหลว https://www.thai-tai.tv/news/19120/
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • 📱 Xiaomi XRING 01: ชิปเซ็ตเรือธงที่ท้าทาย Snapdragon และ Apple
    Xiaomi ได้เปิดตัว XRING 01 ซึ่งเป็น ชิปเซ็ตมือถือเรือธง ที่พัฒนาโดยบริษัทเอง หลังจากมีข่าวลือและการทดสอบภายในมานานหลายเดือน

    XRING 01 ใช้ กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตร (N3E) ของ TSMC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ใน Apple A18 Pro และ Qualcomm Snapdragon 8 Elite

    ชิปเซ็ตนี้มี 10 คอร์ ประกอบด้วย 2 Cortex-X925, 4 Cortex-A725, 2 Cortex-A725 และ 2 Cortex-A520 พร้อม GPU Arm Immortalis-G925 MP16 และ NPU 6 คอร์ที่มีแคช 16 MB

    อย่างไรก็ตาม XRING 01 ไม่มีโมเด็ม 5G ในตัว โดยคาดว่า Xiaomi เลือกใช้ โมเด็มภายนอกจาก MediaTek ซึ่งช่วยให้ขนาดของชิปเล็กลง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Xiaomi เปิดตัว XRING 01 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตมือถือเรือธงที่พัฒนาเอง
    - ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตร (N3E) ของ TSMC เช่นเดียวกับ Apple และ Qualcomm
    - มี 10 คอร์ ประกอบด้วย Cortex-X925, Cortex-A725 และ Cortex-A520
    - มาพร้อมกับ GPU Arm Immortalis-G925 MP16 และ NPU 6 คอร์ที่มีแคช 16 MB
    - ไม่มีโมเด็ม 5G ในตัว คาดว่าใช้โมเด็มภายนอกจาก MediaTek

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การไม่มีโมเด็ม 5G ในตัวอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน
    - การตัดสินใจใช้โมเด็มภายนอกอาจเป็นผลจากข้อจำกัดด้านการออกแบบหรือการลดต้นทุน
    - การไม่มี SLC cache อาจทำให้ GPU ใช้พลังงานมากกว่าคู่แข่ง เช่น Dimensity
    - ต้องติดตามว่า Xiaomi จะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของ XRING 01 ในรุ่นต่อไปได้หรือไม่

    https://www.techpowerup.com/337496/xiaomi-xring-01-soc-die-shot-analyzed-by-chinese-tech-youtuber
    📱 Xiaomi XRING 01: ชิปเซ็ตเรือธงที่ท้าทาย Snapdragon และ Apple Xiaomi ได้เปิดตัว XRING 01 ซึ่งเป็น ชิปเซ็ตมือถือเรือธง ที่พัฒนาโดยบริษัทเอง หลังจากมีข่าวลือและการทดสอบภายในมานานหลายเดือน XRING 01 ใช้ กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตร (N3E) ของ TSMC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ใน Apple A18 Pro และ Qualcomm Snapdragon 8 Elite ชิปเซ็ตนี้มี 10 คอร์ ประกอบด้วย 2 Cortex-X925, 4 Cortex-A725, 2 Cortex-A725 และ 2 Cortex-A520 พร้อม GPU Arm Immortalis-G925 MP16 และ NPU 6 คอร์ที่มีแคช 16 MB อย่างไรก็ตาม XRING 01 ไม่มีโมเด็ม 5G ในตัว โดยคาดว่า Xiaomi เลือกใช้ โมเด็มภายนอกจาก MediaTek ซึ่งช่วยให้ขนาดของชิปเล็กลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Xiaomi เปิดตัว XRING 01 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตมือถือเรือธงที่พัฒนาเอง - ใช้กระบวนการผลิต 3 นาโนเมตร (N3E) ของ TSMC เช่นเดียวกับ Apple และ Qualcomm - มี 10 คอร์ ประกอบด้วย Cortex-X925, Cortex-A725 และ Cortex-A520 - มาพร้อมกับ GPU Arm Immortalis-G925 MP16 และ NPU 6 คอร์ที่มีแคช 16 MB - ไม่มีโมเด็ม 5G ในตัว คาดว่าใช้โมเด็มภายนอกจาก MediaTek ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การไม่มีโมเด็ม 5G ในตัวอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน - การตัดสินใจใช้โมเด็มภายนอกอาจเป็นผลจากข้อจำกัดด้านการออกแบบหรือการลดต้นทุน - การไม่มี SLC cache อาจทำให้ GPU ใช้พลังงานมากกว่าคู่แข่ง เช่น Dimensity - ต้องติดตามว่า Xiaomi จะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของ XRING 01 ในรุ่นต่อไปได้หรือไม่ https://www.techpowerup.com/337496/xiaomi-xring-01-soc-die-shot-analyzed-by-chinese-tech-youtuber
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Xiaomi XRING 01 SoC Die Shot Analyzed by Chinese Tech YouTuber
    Three weeks ago, Kurnal and Geekerwan dived deep into Nintendo's alleged Switch 2 chipset. The very brave Chinese leakers are notorious for their acquiring of pre-release and early silicon samples. Last week, their collective attention turned to a brand-new Xiaomi mobile chip: the XRING 01. After mo...
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • 🏆 เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแห่งอนาคต: 360TB Silica Storage
    เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย 5D optical storage media จาก Sphotonix ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว และมีอายุการใช้งานที่อาจยาวนานถึง พันล้านปี

    Sphotonix ใช้ FemtoEtch ซึ่งเป็นเทคโนโลยี เลเซอร์นาโน ในการสร้างโครงสร้าง 5D บนแผ่นแก้ว ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

    เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากถูกนำไปใช้ใน Mission Impossible: The Final Reckoning ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ออกฉายในปี 2025

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Sphotonix เปิดตัว 5D optical storage media ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว
    - ใช้เทคโนโลยี FemtoEtch ซึ่งเป็นเลเซอร์นาโนเพื่อสร้างโครงสร้าง 5D
    - สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึงพันล้านปี และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
    - ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ Mission Impossible: The Final Reckoning
    - เทคโนโลยีนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน LTO tape และ HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีความจุสูง แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูลจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด
    - การผลิตแผ่นแก้วที่มีความแม่นยำสูงอาจมีต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันการอ่านข้อมูลที่สามารถรองรับความหนาแน่นของข้อมูลระดับนี้

    เทคโนโลยี 5D optical storage อาจเป็นก้าวสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/mission-impossible-the-final-reckoning-gets-surprise-guest-appearance-a-revolutionary-360tb-silica-storage-media
    🏆 เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแห่งอนาคต: 360TB Silica Storage เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย 5D optical storage media จาก Sphotonix ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว และมีอายุการใช้งานที่อาจยาวนานถึง พันล้านปี Sphotonix ใช้ FemtoEtch ซึ่งเป็นเทคโนโลยี เลเซอร์นาโน ในการสร้างโครงสร้าง 5D บนแผ่นแก้ว ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากถูกนำไปใช้ใน Mission Impossible: The Final Reckoning ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ออกฉายในปี 2025 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sphotonix เปิดตัว 5D optical storage media ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 360TB บนแผ่นแก้วขนาด 5 นิ้ว - ใช้เทคโนโลยี FemtoEtch ซึ่งเป็นเลเซอร์นาโนเพื่อสร้างโครงสร้าง 5D - สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึงพันล้านปี และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง - ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ Mission Impossible: The Final Reckoning - เทคโนโลยีนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน LTO tape และ HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีความจุสูง แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูลจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงเมื่อใด - การผลิตแผ่นแก้วที่มีความแม่นยำสูงอาจมีต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันการอ่านข้อมูลที่สามารถรองรับความหนาแน่นของข้อมูลระดับนี้ เทคโนโลยี 5D optical storage อาจเป็นก้าวสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่ https://www.techradar.com/pro/mission-impossible-the-final-reckoning-gets-surprise-guest-appearance-a-revolutionary-360tb-silica-storage-media
    WWW.TECHRADAR.COM
    ‘Mission: Impossible – The Final Reckoning’ gets surprise guest appearance: a revolutionary 360TB silica storage media
    DOGE didn’t say what the new media was only to referring to them as “modern digital records”
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • 🛡️ AI-powered “Repeaters”: เทคนิคใหม่ของอาชญากรไซเบอร์
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก AU10TIX ได้ค้นพบกลยุทธ์ใหม่ที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการเจาะระบบของ ธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต โดยใช้ AI-powered Repeaters ซึ่งเป็น ตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ

    Repeaters ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีทันที แต่จะ ทดสอบระบบป้องกันขององค์กร โดยใช้ ตัวตนดิจิทัลที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนใบหน้า, แก้ไขหมายเลขเอกสาร หรือปรับพื้นหลังของภาพ

    เมื่อระบบตรวจสอบแต่ละตัวตนแยกกัน จะไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ ทำให้ Repeaters สามารถ ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ ได้อย่างง่ายดาย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Repeaters เป็นตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อทดสอบระบบป้องกันขององค์กร
    - ใช้เทคนิค deepfake เพื่อเปลี่ยนใบหน้า, หมายเลขเอกสาร และพื้นหลังของภาพ
    - สามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบไบโอเมตริกซ์และ KYC ได้อย่างง่ายดาย
    - AU10TIX เปิดตัว “consortium validation” เพื่อให้หลายองค์กรแชร์ข้อมูลและตรวจจับ Repeaters ได้ดีขึ้น
    - ระบบใหม่ช่วยให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำในหลายแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ระบบตรวจสอบตัวตนแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถรับมือกับ Repeaters ได้
    - อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ Repeaters เพื่อเจาะระบบของธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต
    - ต้องมีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ในหลายแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันการโจมตีแบบเงียบ
    - ไม่มีโซลูชันใดที่สามารถป้องกัน Repeaters ได้ 100% ต้องใช้การตรวจสอบแบบหลายชั้น

    Repeaters แสดงให้เห็นว่า AI กำลังถูกใช้เพื่อพัฒนาเทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น องค์กรต้อง ปรับปรุงระบบตรวจสอบตัวตนให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำ และ ใช้การตรวจสอบแบบพฤติกรรมเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/cybercriminals-are-deploying-deepfake-sentinels-to-test-detection-systems-of-businesses-heres-what-you-need-to-know
    🛡️ AI-powered “Repeaters”: เทคนิคใหม่ของอาชญากรไซเบอร์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก AU10TIX ได้ค้นพบกลยุทธ์ใหม่ที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการเจาะระบบของ ธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต โดยใช้ AI-powered Repeaters ซึ่งเป็น ตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ Repeaters ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีทันที แต่จะ ทดสอบระบบป้องกันขององค์กร โดยใช้ ตัวตนดิจิทัลที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนใบหน้า, แก้ไขหมายเลขเอกสาร หรือปรับพื้นหลังของภาพ เมื่อระบบตรวจสอบแต่ละตัวตนแยกกัน จะไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ ทำให้ Repeaters สามารถ ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ ได้อย่างง่ายดาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Repeaters เป็นตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อทดสอบระบบป้องกันขององค์กร - ใช้เทคนิค deepfake เพื่อเปลี่ยนใบหน้า, หมายเลขเอกสาร และพื้นหลังของภาพ - สามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบไบโอเมตริกซ์และ KYC ได้อย่างง่ายดาย - AU10TIX เปิดตัว “consortium validation” เพื่อให้หลายองค์กรแชร์ข้อมูลและตรวจจับ Repeaters ได้ดีขึ้น - ระบบใหม่ช่วยให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำในหลายแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ระบบตรวจสอบตัวตนแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถรับมือกับ Repeaters ได้ - อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ Repeaters เพื่อเจาะระบบของธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต - ต้องมีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ในหลายแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันการโจมตีแบบเงียบ - ไม่มีโซลูชันใดที่สามารถป้องกัน Repeaters ได้ 100% ต้องใช้การตรวจสอบแบบหลายชั้น Repeaters แสดงให้เห็นว่า AI กำลังถูกใช้เพื่อพัฒนาเทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น องค์กรต้อง ปรับปรุงระบบตรวจสอบตัวตนให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำ และ ใช้การตรวจสอบแบบพฤติกรรมเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/cybercriminals-are-deploying-deepfake-sentinels-to-test-detection-systems-of-businesses-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    This sneaky fraud tactic uses deepfakes to outsmart your favorite digital services
    Repeaters are used to test your system’s defense before large-scale attack
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • *****.....เนื้อนวะ.....(กรรมการ).....สร้าง.....199.....องค์.....*****

    #####.....สืบสานตำนานวิชา...พญาเสือนอนกิน...ขุมทรัพย์วิชาสำนักเขาอ้อ...โดย...อาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม... ศิษย์...หลวงปู่แสง ธมฺมสโร...อริยสงฆ์แห่ง...วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (ในเตา) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง.....#####

    *****.....ตามตำราดั้งเดิมของ...วิชาพญาเสือนอนกิน...สำนักเขาอ้อ...ซึ่ง...หลวงปู่แสง ธมฺมสโร...ได้สืบทอดวิชานี้มาจาก.....พระอาจารย์ทองเฒ่า...แห่งสำนักตักศิลาเขาอ้อ.....ในระหว่างที่ท่านได้มาจำพรรษา...ที่...วัดในเตา... หลวงปู่แสง...ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับ...พระอาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม...หลายวิชาด้วยกัน...ซึ่งวิชาที่ได้ถ่ายทอดนั้น...ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ...เครื่องรางของขลัง...ดีเด่นทางด้าน...เมตตา...มหานิยม...มหาเสน่ห์...โชคลาภ...อุดมโชค...โภคทรัพย์...ค้าขาย...กำบังอำพราง...ให้แคล้วคลาดปลอดภัย.....*****

    *****.....แต่มีวิชาหนึ่ง...ที่...หลวงปู่แสง...นั้นเน้นมากๆๆๆ คือ.....วิชาพญาเสือนอนกิน.....พระอาจารย์ประสูติ.....ได้เล่าให้ฟังว่า...ก่อนจะสอนวิชาให้กับ....ท่านเองนั้น...หลวงปู่แสง...กล่าวไว้ว่า...วิชาพญาเสือ...ทุกอย่างทุกวิชา...อย่าไปเรียน...ไม่ว่าจะเป็น...มหาอุตฆ์...คงกะพัน...มหาอำนาจ...แต่มีวิชาหนึ่งซึ่งเป็นต้นตำหรับ...ของสายวิชาเขาอ้อ คือ...วิชาเสือนอนกิน.....
    หลวงปู่แสง...บอกว่าเป็นวิชาเสือเฒ่า...ซึ่งเป็น...พญาเสือ...โดยมีบริวารมากมาย...มาคอยดูแล...ปกป้องคุ้มครอง...ตลอดจนหาอาหาร...ทุกอย่างไม่ให้ขาดแคลน.....*****

    *****.....ฉะนั้น.....วิชาเสือนอนกิน.....หลวงปู่แสง...กล่าวว่า...เป็นวิชาที่สามารถทำให้...โชคลาภ...เงินทอง...เข้ามาหาเราแบบง่ายๆ...หรืออาจเข้ามาแบบแปลกๆ...ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า...ว่าจะได้..และ...ช่วยในเรื่องของการ...ทำมาหากิน...คล่องตัว...ไม่ขัดสน...หรือติดขัด...นอกจาก...จะดีเด่นทางโภคทรัพย์แล้ว...ยังดีเด่นทางด้านมหาอำนาจ...แคล้วคลาด...คงกะพัน...ของสำนักเขาอ้อ...อีกด้วย...ซึ่งขณะนี้...คาดว่าน่าจะเป็น ...องค์เดียว...เท่านั้น...ที่ได้สืบทอด.....วิชาพญาเสือนอนกิน.....ขุมทรัพย์วิชาของสำนักตักศิลาเขาอ้อ... จ.พัทลุง คือ...อาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม...วัดในเตา.....*****

    #####.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....หรือโทร.....089-471-5666.....#####

    #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....เนื้อนวะ.....(กรรมการ).....สร้าง.....199.....องค์.....***** #####.....สืบสานตำนานวิชา...พญาเสือนอนกิน...ขุมทรัพย์วิชาสำนักเขาอ้อ...โดย...อาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม... ศิษย์...หลวงปู่แสง ธมฺมสโร...อริยสงฆ์แห่ง...วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (ในเตา) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง.....##### *****.....ตามตำราดั้งเดิมของ...วิชาพญาเสือนอนกิน...สำนักเขาอ้อ...ซึ่ง...หลวงปู่แสง ธมฺมสโร...ได้สืบทอดวิชานี้มาจาก.....พระอาจารย์ทองเฒ่า...แห่งสำนักตักศิลาเขาอ้อ.....ในระหว่างที่ท่านได้มาจำพรรษา...ที่...วัดในเตา... หลวงปู่แสง...ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับ...พระอาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม...หลายวิชาด้วยกัน...ซึ่งวิชาที่ได้ถ่ายทอดนั้น...ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ...เครื่องรางของขลัง...ดีเด่นทางด้าน...เมตตา...มหานิยม...มหาเสน่ห์...โชคลาภ...อุดมโชค...โภคทรัพย์...ค้าขาย...กำบังอำพราง...ให้แคล้วคลาดปลอดภัย.....***** *****.....แต่มีวิชาหนึ่ง...ที่...หลวงปู่แสง...นั้นเน้นมากๆๆๆ คือ.....วิชาพญาเสือนอนกิน.....พระอาจารย์ประสูติ.....ได้เล่าให้ฟังว่า...ก่อนจะสอนวิชาให้กับ....ท่านเองนั้น...หลวงปู่แสง...กล่าวไว้ว่า...วิชาพญาเสือ...ทุกอย่างทุกวิชา...อย่าไปเรียน...ไม่ว่าจะเป็น...มหาอุตฆ์...คงกะพัน...มหาอำนาจ...แต่มีวิชาหนึ่งซึ่งเป็นต้นตำหรับ...ของสายวิชาเขาอ้อ คือ...วิชาเสือนอนกิน..... หลวงปู่แสง...บอกว่าเป็นวิชาเสือเฒ่า...ซึ่งเป็น...พญาเสือ...โดยมีบริวารมากมาย...มาคอยดูแล...ปกป้องคุ้มครอง...ตลอดจนหาอาหาร...ทุกอย่างไม่ให้ขาดแคลน.....***** *****.....ฉะนั้น.....วิชาเสือนอนกิน.....หลวงปู่แสง...กล่าวว่า...เป็นวิชาที่สามารถทำให้...โชคลาภ...เงินทอง...เข้ามาหาเราแบบง่ายๆ...หรืออาจเข้ามาแบบแปลกๆ...ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า...ว่าจะได้..และ...ช่วยในเรื่องของการ...ทำมาหากิน...คล่องตัว...ไม่ขัดสน...หรือติดขัด...นอกจาก...จะดีเด่นทางโภคทรัพย์แล้ว...ยังดีเด่นทางด้านมหาอำนาจ...แคล้วคลาด...คงกะพัน...ของสำนักเขาอ้อ...อีกด้วย...ซึ่งขณะนี้...คาดว่าน่าจะเป็น ...องค์เดียว...เท่านั้น...ที่ได้สืบทอด.....วิชาพญาเสือนอนกิน.....ขุมทรัพย์วิชาของสำนักตักศิลาเขาอ้อ... จ.พัทลุง คือ...อาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม...วัดในเตา.....***** #####.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....หรือโทร.....089-471-5666.....##### #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #หลวงปู่ทวด #หลวงพ่อทวด #พ่อท่านคล้าย #ไตรบารมี56 #ทวดคล้าย #หน้าทวดหลังคล้าย #ประสบการณ์จริงเพียบ #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • 'อดีตรมช.สธ.' เตือนอย่าประมาทพลังล็อบบี้ ปลุกเป็นกำแพงหนุน 'แพทยสภา'
    https://www.thai-tai.tv/news/19121/
    'อดีตรมช.สธ.' เตือนอย่าประมาทพลังล็อบบี้ ปลุกเป็นกำแพงหนุน 'แพทยสภา' https://www.thai-tai.tv/news/19121/
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • 🧠 Nord Quantique: ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่อาจพลิกโฉมศูนย์ข้อมูล

    Nord Quantique บริษัทสตาร์ทอัพด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศแผนพัฒนา ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีมากกว่า 1,000 qubits ภายในปี 2031 ซึ่งอาจทำให้ระบบ High-Performance Computing (HPC) แบบดั้งเดิมล้าสมัย

    Nord Quantique ใช้ multimode encoding ผ่าน Tesseract code ซึ่งช่วยให้ แต่ละ cavity สามารถแทนค่ามากกว่าหนึ่งโหมดควอนตัม ทำให้มี การแก้ไขข้อผิดพลาดที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของระบบ

    นอกจากนี้ เครื่องของ Nord Quantique ใช้พื้นที่เพียง 20 ตารางเมตร ซึ่งเล็กกว่าระบบควอนตัมทั่วไปที่ต้องใช้พื้นที่ 1,000–20,000 ตารางเมตร

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nord Quantique ตั้งเป้าพัฒนาเครื่องควอนตัมที่มีมากกว่า 1,000 qubits ภายในปี 2031
    - ใช้ multimode encoding ผ่าน Tesseract code เพื่อเพิ่มความทนทานของข้อมูล
    - เครื่องใช้พื้นที่เพียง 20 ตารางเมตร ซึ่งเล็กกว่าระบบควอนตัมทั่วไป
    - สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวน qubits
    - ระบบสามารถถอดรหัส RSA-830 ได้ภายใน 1 ชั่วโมง โดยใช้พลังงานเพียง 120 kWh

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ดีขึ้น แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมในสภาพแวดล้อมจริง
    - การใช้ post-selection ในการแก้ไขข้อผิดพลาดอาจทำให้ต้องทิ้งข้อมูล 12.6% ต่อรอบ
    - ต้องมีการตรวจสอบอิสระเพื่อยืนยันว่าระบบสามารถทำงานได้ตามที่อ้าง
    - การเปลี่ยนจาก HPC ไปสู่ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจต้องใช้เวลาหลายปี

    หาก Nord Quantique สามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้สำเร็จ อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลสามารถลดการใช้พลังงานลง 99% และ เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของ HPC ไปสู่ยุคควอนตัม อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสามารถของระบบ

    https://www.techradar.com/pro/quantum-computing-startup-wants-to-launch-a-1000-qubit-machine-by-2031-that-could-make-the-traditional-hpc-market-obsolete
    🧠 Nord Quantique: ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่อาจพลิกโฉมศูนย์ข้อมูล Nord Quantique บริษัทสตาร์ทอัพด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศแผนพัฒนา ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีมากกว่า 1,000 qubits ภายในปี 2031 ซึ่งอาจทำให้ระบบ High-Performance Computing (HPC) แบบดั้งเดิมล้าสมัย Nord Quantique ใช้ multimode encoding ผ่าน Tesseract code ซึ่งช่วยให้ แต่ละ cavity สามารถแทนค่ามากกว่าหนึ่งโหมดควอนตัม ทำให้มี การแก้ไขข้อผิดพลาดที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของระบบ นอกจากนี้ เครื่องของ Nord Quantique ใช้พื้นที่เพียง 20 ตารางเมตร ซึ่งเล็กกว่าระบบควอนตัมทั่วไปที่ต้องใช้พื้นที่ 1,000–20,000 ตารางเมตร ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nord Quantique ตั้งเป้าพัฒนาเครื่องควอนตัมที่มีมากกว่า 1,000 qubits ภายในปี 2031 - ใช้ multimode encoding ผ่าน Tesseract code เพื่อเพิ่มความทนทานของข้อมูล - เครื่องใช้พื้นที่เพียง 20 ตารางเมตร ซึ่งเล็กกว่าระบบควอนตัมทั่วไป - สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวน qubits - ระบบสามารถถอดรหัส RSA-830 ได้ภายใน 1 ชั่วโมง โดยใช้พลังงานเพียง 120 kWh ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ดีขึ้น แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมในสภาพแวดล้อมจริง - การใช้ post-selection ในการแก้ไขข้อผิดพลาดอาจทำให้ต้องทิ้งข้อมูล 12.6% ต่อรอบ - ต้องมีการตรวจสอบอิสระเพื่อยืนยันว่าระบบสามารถทำงานได้ตามที่อ้าง - การเปลี่ยนจาก HPC ไปสู่ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจต้องใช้เวลาหลายปี หาก Nord Quantique สามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้สำเร็จ อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลสามารถลดการใช้พลังงานลง 99% และ เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของ HPC ไปสู่ยุคควอนตัม อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสามารถของระบบ https://www.techradar.com/pro/quantum-computing-startup-wants-to-launch-a-1000-qubit-machine-by-2031-that-could-make-the-traditional-hpc-market-obsolete
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • 💾 Seagate เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ด้วยเทคโนโลยี HAMR

    Seagate ได้เผยแผนพัฒนา ฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 150TB โดยใช้ เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งจะช่วยให้สามารถเพิ่มความจุของไดรฟ์ได้อย่างมหาศาล

    Seagate กำลังดำเนินการผ่าน แพลตฟอร์ม Mozaic ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิต แผ่นบันทึกข้อมูล (platters) ขนาด 4TB และมีแผนจะเพิ่มเป็น 10TB ต่อแผ่นภายในปี 2028

    เป้าหมายสูงสุดคือ แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้าง ฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ได้โดยใช้ 10 platters อย่างไรก็ตาม Seagate ระบุว่า ต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Seagate วางแผนพัฒนา HDD ขนาด 150TB โดยใช้เทคโนโลยี HAMR
    - แพลตฟอร์ม Mozaic ปัจจุบันสามารถผลิตแผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 4TB
    - เป้าหมายคือการเพิ่มขนาดแผ่นบันทึกข้อมูลเป็น 10TB ภายในปี 2028
    - แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB จะช่วยให้สามารถสร้าง HDD 150TB ได้
    - Seagate คาดว่า HDD 150TB จะพร้อมใช้งานภายในปี 2035

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีแผนพัฒนา แต่ HDD 150TB ยังต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้
    - HAMR ยังต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระดับอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันกับ HAMR หรือไม่
    - การผลิต HDD ที่มีความจุสูงอาจต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงแรก

    หาก Seagate สามารถพัฒนา HDD 150TB ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถทำได้ตามแผนหรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/seagate-ceo-hints-at-150tb-hard-drives-thanks-to-novel-15tb-platters-but-that-wont-happen-for-another-decade
    💾 Seagate เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ด้วยเทคโนโลยี HAMR Seagate ได้เผยแผนพัฒนา ฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 150TB โดยใช้ เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งจะช่วยให้สามารถเพิ่มความจุของไดรฟ์ได้อย่างมหาศาล Seagate กำลังดำเนินการผ่าน แพลตฟอร์ม Mozaic ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิต แผ่นบันทึกข้อมูล (platters) ขนาด 4TB และมีแผนจะเพิ่มเป็น 10TB ต่อแผ่นภายในปี 2028 เป้าหมายสูงสุดคือ แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้าง ฮาร์ดไดรฟ์ 150TB ได้โดยใช้ 10 platters อย่างไรก็ตาม Seagate ระบุว่า ต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Seagate วางแผนพัฒนา HDD ขนาด 150TB โดยใช้เทคโนโลยี HAMR - แพลตฟอร์ม Mozaic ปัจจุบันสามารถผลิตแผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 4TB - เป้าหมายคือการเพิ่มขนาดแผ่นบันทึกข้อมูลเป็น 10TB ภายในปี 2028 - แผ่นบันทึกข้อมูลขนาด 15TB จะช่วยให้สามารถสร้าง HDD 150TB ได้ - Seagate คาดว่า HDD 150TB จะพร้อมใช้งานภายในปี 2035 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีแผนพัฒนา แต่ HDD 150TB ยังต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่านี้ - HAMR ยังต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในระดับอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันกับ HAMR หรือไม่ - การผลิต HDD ที่มีความจุสูงอาจต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงแรก หาก Seagate สามารถพัฒนา HDD 150TB ได้สำเร็จ อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะสามารถทำได้ตามแผนหรือไม่ https://www.techradar.com/pro/seagate-ceo-hints-at-150tb-hard-drives-thanks-to-novel-15tb-platters-but-that-wont-happen-for-another-decade
    WWW.TECHRADAR.COM
    This Seagate tech could change data storage forever—but we have to wait ten more years
    HAMR technology remains Seagate’s crown jewel for scaling drive capacity
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • 🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing
    Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA

    Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า

    Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า

    นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM
    - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า
    - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า
    - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ
    - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่
    - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร

    Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด

    https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่ - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Agility SDK DirectX Now Adds Shader Execution Reordering & Opacity Micromaps Support, Huge Ray Tracing Improvements On NVIDIA Hardware
    Microsoft has released its latest Agility SDK, DirectX, which brings major ray tracing improvements with SER & OMM support.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews