• ช่วงเวลาที่กองกำลังของรัฐบาลก่อการร้ายซีเรียชุดใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากตุรกี กำลังพยายามกำจัดชาวคริสเตียนและอลาวีในลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย
    ช่วงเวลาที่กองกำลังของรัฐบาลก่อการร้ายซีเรียชุดใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากตุรกี กำลังพยายามกำจัดชาวคริสเตียนและอลาวีในลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • ภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรีย กับกองกำลังอลาวี ซึ่งถูกรัฐบาลซีเรียกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนอีดประธานาธิบดีอัสซาด
    ภาพการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรีย กับกองกำลังอลาวี ซึ่งถูกรัฐบาลซีเรียกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนอีดประธานาธิบดีอัสซาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • https://youtu.be/4aBC03lLvIU?si=TPiXW9CI2plsdo9F
    https://youtu.be/4aBC03lLvIU?si=TPiXW9CI2plsdo9F
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เพิ่งเปิดตัว MacBook Air รุ่น M4 ที่มาพร้อมชิป M4 ใหม่ล่าสุด และจากการทดสอบเบื้องต้น พบว่ามีประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกับ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M4 รุ่นเดียวกัน โดยเฉพาะในด้านการประมวลผลกราฟิก แม้ว่า MacBook Air จะไม่มีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลม แต่ชิป M4 ทำให้การใช้งานทั่วไปมีความลื่นไหลและเหมาะสมกับการทำงานหนักในระดับหนึ่ง

    การทดสอบด้วย Geekbench Metal เผยว่า MacBook Air M4 ทำคะแนนได้ 54,846 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ MacBook Pro M4 ที่ได้ 57,788 คะแนน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพกราฟิกของ MacBook Air M4 ใกล้เคียงกับ MacBook Pro มาก แต่ในชีวิตจริงอาจมีความแตกต่างกันเมื่อใช้งานนาน ๆ เนื่องจาก MacBook Air ไม่มีระบบระบายความร้อนที่เหมาะสำหรับงานที่ใช้ทรัพยากรหนัก

    MacBook Air M4 รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับ RAM 16GB ในราคาเพียง 999 ดอลลาร์ ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ MacBook Pro Apple ยังเพิ่มสีใหม่ Sky Blue ให้เลือกซื้อ เพื่อความสดใหม่จากรุ่นก่อน ๆ

    MacBook Air M4 ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เป็นมิตร โดยเหมาะกับงานประมวลผลทั่วไป การทำงานด้านมัลติมีเดีย และการพกพาที่สะดวก อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการใช้งานกับโปรแกรมหรือกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต่อเนื่อง อาจพบปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว

    https://wccftech.com/m4-macbook-air-metal-benchmarks-performance/
    Apple เพิ่งเปิดตัว MacBook Air รุ่น M4 ที่มาพร้อมชิป M4 ใหม่ล่าสุด และจากการทดสอบเบื้องต้น พบว่ามีประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกับ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M4 รุ่นเดียวกัน โดยเฉพาะในด้านการประมวลผลกราฟิก แม้ว่า MacBook Air จะไม่มีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลม แต่ชิป M4 ทำให้การใช้งานทั่วไปมีความลื่นไหลและเหมาะสมกับการทำงานหนักในระดับหนึ่ง การทดสอบด้วย Geekbench Metal เผยว่า MacBook Air M4 ทำคะแนนได้ 54,846 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ MacBook Pro M4 ที่ได้ 57,788 คะแนน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพกราฟิกของ MacBook Air M4 ใกล้เคียงกับ MacBook Pro มาก แต่ในชีวิตจริงอาจมีความแตกต่างกันเมื่อใช้งานนาน ๆ เนื่องจาก MacBook Air ไม่มีระบบระบายความร้อนที่เหมาะสำหรับงานที่ใช้ทรัพยากรหนัก MacBook Air M4 รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับ RAM 16GB ในราคาเพียง 999 ดอลลาร์ ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ MacBook Pro Apple ยังเพิ่มสีใหม่ Sky Blue ให้เลือกซื้อ เพื่อความสดใหม่จากรุ่นก่อน ๆ MacBook Air M4 ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เป็นมิตร โดยเหมาะกับงานประมวลผลทั่วไป การทำงานด้านมัลติมีเดีย และการพกพาที่สะดวก อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการใช้งานกับโปรแกรมหรือกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต่อเนื่อง อาจพบปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว https://wccftech.com/m4-macbook-air-metal-benchmarks-performance/
    WCCFTECH.COM
    The M4 MacBook Air Is Almost As Capable As The M4 MacBook Pro In New Metal Benchmarks, Minimizing The Performance Gap At A Budget Price
    Apple's M4 chip in new MacBook Air Metal benchmarks have surface, showing performance on par with the M4 MacBook Pro models
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/B3H0bySl-24?si=drNDcUXHvuuvf_rz
    https://youtu.be/B3H0bySl-24?si=drNDcUXHvuuvf_rz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • Crucial ได้เปิดตัว P310 SSD รุ่นใหม่ในตระกูล Gen4 ที่มีความจุ 2TB พร้อมฮีตซิงค์ในรูปแบบ NVMe SSD ขนาด 2280 โดยเจาะตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง SSD นี้ใช้ชิป Micron 232-layer QLC NAND และคอนโทรลเลอร์ Phison E27T ซึ่งสร้างด้วยกระบวนการผลิตขนาด 12 นาโนเมตร โดยคาดหวังว่าจะเป็นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่เหมาะสมกับทั้งการใช้งานพีซีสำหรับเกมเมอร์และอุปกรณ์แบบพกพา

    คุณสมบัติเด่นของ Crucial P310
    - ความเร็วสูง: Crucial P310 SSD ให้ความเร็วในการอ่านต่อเนื่องสูงสุดถึง 7,100 MB/s และเขียนต่อเนื่อง 6,000 MB/s ซึ่งสามารถตอบสนองการทำงานที่ต้องการความเร็วสูงได้อย่างดี
    - ฮีตซิงค์ในตัว: แตกต่างจากรุ่นที่ไม่มีฮีตซิงค์ รุ่นนี้มาพร้อมฮีตซิงค์แบบโลว์โปรไฟล์ ที่ช่วยลดอุณหภูมิของ SSD ได้ถึง 20°C เมื่อเทียบกับรุ่นไม่มีฮีตซิงค์
    - คุณภาพและความทนทาน: SSD นี้รองรับการเขียนข้อมูลสูงสุด 440 TBW และใช้พลังงานต่ำกว่า SSD Gen4 ทั่วไป

    เมื่อเทียบกับ SSD Gen4 ในตลาดเดียวกัน Crucial P310 อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เร็วที่สุดในทุกสถานการณ์ แต่ด้วยการที่มันสามารถประมวลผลได้ดีและอุณหภูมิที่ควบคุมได้เยี่ยม ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานที่มีความต่อเนื่อง

    ในราคาประมาณ $137.99 (ราว 4,700 บาท) Crucial P310 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการ SSD ประสิทธิภาพสูงในงบประมาณที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรด PlayStation 5 เนื่องจากมันรองรับการใช้งานกับคอนโซลนี้ได้

    Crucial P310 Gen4 SSD เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในตลาด SSD โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงราคาที่เข้าถึงได้และความสามารถที่ครอบคลุมทั้งการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม

    https://wccftech.com/review/crucial-p310-2-tb-2280-with-heatsink-nvme-ssd-review-extra-cooling/
    Crucial ได้เปิดตัว P310 SSD รุ่นใหม่ในตระกูล Gen4 ที่มีความจุ 2TB พร้อมฮีตซิงค์ในรูปแบบ NVMe SSD ขนาด 2280 โดยเจาะตลาดผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง SSD นี้ใช้ชิป Micron 232-layer QLC NAND และคอนโทรลเลอร์ Phison E27T ซึ่งสร้างด้วยกระบวนการผลิตขนาด 12 นาโนเมตร โดยคาดหวังว่าจะเป็นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่เหมาะสมกับทั้งการใช้งานพีซีสำหรับเกมเมอร์และอุปกรณ์แบบพกพา คุณสมบัติเด่นของ Crucial P310 - ความเร็วสูง: Crucial P310 SSD ให้ความเร็วในการอ่านต่อเนื่องสูงสุดถึง 7,100 MB/s และเขียนต่อเนื่อง 6,000 MB/s ซึ่งสามารถตอบสนองการทำงานที่ต้องการความเร็วสูงได้อย่างดี - ฮีตซิงค์ในตัว: แตกต่างจากรุ่นที่ไม่มีฮีตซิงค์ รุ่นนี้มาพร้อมฮีตซิงค์แบบโลว์โปรไฟล์ ที่ช่วยลดอุณหภูมิของ SSD ได้ถึง 20°C เมื่อเทียบกับรุ่นไม่มีฮีตซิงค์ - คุณภาพและความทนทาน: SSD นี้รองรับการเขียนข้อมูลสูงสุด 440 TBW และใช้พลังงานต่ำกว่า SSD Gen4 ทั่วไป เมื่อเทียบกับ SSD Gen4 ในตลาดเดียวกัน Crucial P310 อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เร็วที่สุดในทุกสถานการณ์ แต่ด้วยการที่มันสามารถประมวลผลได้ดีและอุณหภูมิที่ควบคุมได้เยี่ยม ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานที่มีความต่อเนื่อง ในราคาประมาณ $137.99 (ราว 4,700 บาท) Crucial P310 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการ SSD ประสิทธิภาพสูงในงบประมาณที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรด PlayStation 5 เนื่องจากมันรองรับการใช้งานกับคอนโซลนี้ได้ Crucial P310 Gen4 SSD เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในตลาด SSD โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงราคาที่เข้าถึงได้และความสามารถที่ครอบคลุมทั้งการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม https://wccftech.com/review/crucial-p310-2-tb-2280-with-heatsink-nvme-ssd-review-extra-cooling/
    WCCFTECH.COM
    Crucial P310 2 TB (2280) With Heatsink NVMe SSD Review - Extra Cooling
    Crucial's P310 SSD now comes in a heatsink version which runs cool and delivers the same high-end performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) ได้เริ่มต้นการสอบสวนบริษัท Scale AI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการติดป้ายข้อมูล (Data Labeling) ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Nvidia, Amazon และ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าบริษัทดำเนินการตามมาตรฐานด้านค่าจ้างและสภาพการทำงานภายใต้กฎหมาย Fair Labor Standards Act หรือไม่

    Scale AI เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และมีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลที่ติดป้ายอย่างถูกต้องเพื่อใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ระดับสูง เช่น OpenAI’s ChatGPT โดยบริษัทมีผู้ร่วมงานจากกว่า 9,000 เมืองทั่วโลก และยังเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ AI ได้

    การสอบสวนนี้เริ่มต้นตั้งแต่เกือบหนึ่งปีที่แล้วภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดี Joe Biden และเน้นไปที่การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างและสภาพการทำงาน Scale AI ระบุว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออธิบายถึงโมเดลธุรกิจและลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเกิดขึ้น

    โฆษกของ Scale AI เปิดเผยว่าผู้มีส่วนร่วม (contributors) ส่วนใหญ่ให้การตอบรับในเชิงบวก และทางบริษัทมีทีมงานที่ดูแลให้การจ่ายค่าจ้างยุติธรรมและสร้างความรู้สึกสนับสนุนให้กับผู้ร่วมงาน พวกเขาอ้างว่าเกือบทุกครั้งบริษัทสามารถแก้ไขข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายเงินได้ภายในสามวัน

    ปัจจุบัน Scale AI มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น OpenAI, Cohere, Microsoft และ Morgan Stanley ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนในรอบท้ายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ Scale AI กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลสำหรับ AI ในตลาดโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Scale AI ต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผลการสอบสวนพบปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน การสอบสวนนี้ยังแสดงถึงความสำคัญของการกำกับดูแลในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/us-labor-department-investigating-nvidia-amazon-backed-startup-scale-ai
    กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) ได้เริ่มต้นการสอบสวนบริษัท Scale AI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการติดป้ายข้อมูล (Data Labeling) ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Nvidia, Amazon และ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าบริษัทดำเนินการตามมาตรฐานด้านค่าจ้างและสภาพการทำงานภายใต้กฎหมาย Fair Labor Standards Act หรือไม่ Scale AI เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และมีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลที่ติดป้ายอย่างถูกต้องเพื่อใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ระดับสูง เช่น OpenAI’s ChatGPT โดยบริษัทมีผู้ร่วมงานจากกว่า 9,000 เมืองทั่วโลก และยังเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ AI ได้ การสอบสวนนี้เริ่มต้นตั้งแต่เกือบหนึ่งปีที่แล้วภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดี Joe Biden และเน้นไปที่การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างและสภาพการทำงาน Scale AI ระบุว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออธิบายถึงโมเดลธุรกิจและลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเกิดขึ้น โฆษกของ Scale AI เปิดเผยว่าผู้มีส่วนร่วม (contributors) ส่วนใหญ่ให้การตอบรับในเชิงบวก และทางบริษัทมีทีมงานที่ดูแลให้การจ่ายค่าจ้างยุติธรรมและสร้างความรู้สึกสนับสนุนให้กับผู้ร่วมงาน พวกเขาอ้างว่าเกือบทุกครั้งบริษัทสามารถแก้ไขข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายเงินได้ภายในสามวัน ปัจจุบัน Scale AI มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น OpenAI, Cohere, Microsoft และ Morgan Stanley ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนในรอบท้ายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ Scale AI กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลสำหรับ AI ในตลาดโลก สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Scale AI ต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผลการสอบสวนพบปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน การสอบสวนนี้ยังแสดงถึงความสำคัญของการกำกับดูแลในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/us-labor-department-investigating-nvidia-amazon-backed-startup-scale-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US Labor Department investigating Nvidia, Amazon-backed startup Scale AI
    (Reuters) - The U.S. Department of Labor is investigating Scale AI, a data labeling startup backed by tech giants Nvidia, Amazon and Meta, for its compliance with the Fair Labor Standards Act, the California-based firm said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติดตามชม live รายการ #SondhiTalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ 7 มี.ค. 2568
    https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw
    ติดตามชม live รายการ #SondhiTalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ 7 มี.ค. 2568 https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6%

    ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

    Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป

    Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6% ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Broadcom shares surge as solid forecast eases demand worries for AI chips
    (Reuters) -Broadcom CEO on Thursday assuaged investor worries about AI chip demand with a strong second-quarter forecast and hinted about new potential customers that could boost revenue in a highly competitive market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • SBI Holdings หรือที่รู้จักในชื่อ Strategic Business Innovator Group เป็นกลุ่มบริษัทด้านบริการทางการเงินที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับ SK Hynix จากเกาหลีใต้ และ UMC จากไต้หวัน เพื่อความร่วมมือในการสร้างโรงงานชิปแห่งใหม่ในจังหวัดมิยากิ ประเทศญี่ปุ่น โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการ DRAM ขั้นปลาย (back-end DRAM processes) ร่วมกับ SK Hynix และการผลิตชิปสำหรับยานยนต์ร่วมกับ UMC ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพในอุตสาหกรรมชิปที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น

    SBI ได้ประกาศยุบโครงการร่วมทุนกับ Powerchip Semiconductor Manufacturing Corp. ของไต้หวันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยในตอนนั้น SBI ระบุว่าจะมองหาพันธมิตรใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับชิป การเจรจากับ SK Hynix และ UMC ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่บ่งบอกถึงทิศทางใหม่ในการขยายธุรกิจ

    สิ่งที่น่าสังเกตคือโครงการนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตซัพพลายเชนระดับโลก

    การสร้างโรงงานในญี่ปุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดชิปในประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าและ AI ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/sbi-negotiating-with-sk-hynix-umc-on-japan-chip-plant-collaboration-report-says
    SBI Holdings หรือที่รู้จักในชื่อ Strategic Business Innovator Group เป็นกลุ่มบริษัทด้านบริการทางการเงินที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับ SK Hynix จากเกาหลีใต้ และ UMC จากไต้หวัน เพื่อความร่วมมือในการสร้างโรงงานชิปแห่งใหม่ในจังหวัดมิยากิ ประเทศญี่ปุ่น โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการ DRAM ขั้นปลาย (back-end DRAM processes) ร่วมกับ SK Hynix และการผลิตชิปสำหรับยานยนต์ร่วมกับ UMC ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพในอุตสาหกรรมชิปที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น SBI ได้ประกาศยุบโครงการร่วมทุนกับ Powerchip Semiconductor Manufacturing Corp. ของไต้หวันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยในตอนนั้น SBI ระบุว่าจะมองหาพันธมิตรใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับชิป การเจรจากับ SK Hynix และ UMC ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่บ่งบอกถึงทิศทางใหม่ในการขยายธุรกิจ สิ่งที่น่าสังเกตคือโครงการนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตซัพพลายเชนระดับโลก การสร้างโรงงานในญี่ปุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดชิปในประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าและ AI ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/sbi-negotiating-with-sk-hynix-umc-on-japan-chip-plant-collaboration-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SBI negotiating with SK Hynix, UMC on Japan chip plant collaboration, report says
    TOKYO (Reuters) - SBI Holdings is negotiating with South Korea's SK Hynix and Taiwan's UMC about collaboration on a chips plant the financial firm is planning in Japan's Miyagi prefecture, Nikkan Kogyo newspaper reported on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw?si=FdK8l-nTIx7mt20y
    https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw?si=FdK8l-nTIx7mt20y
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

    การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก

    การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต

    สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์

    CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning)

    นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์ CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital exits SSD market, shifts focus to hard drives as SanDisk takes over NAND operations
    This move, which had been in development for some time, was finalized last week. The SSD division has been fully spun off into SanDisk, leaving Western Digital...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ NextGenAI ซึ่งเป็นการริเริ่มครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการวิจัยและการศึกษาโดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) OpenAI กำลังทุ่มงบประมาณถึง 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษาและนักวิจัยชั้นนำ โดยมุ่งเน้นการมอบทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ทุนวิจัย, การเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผล, และ API ของโมเดล AI

    สิ่งที่น่าสนใจคือ NextGenAI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการเดียว แต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือครั้งแรกระหว่าง OpenAI และ 15 สถาบันวิจัย ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร อาทิเช่น Harvard University, Duke University, และ Boston Children’s Hospital โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้สถาบันเหล่านี้นำ AI ของ OpenAI มาใช้เพื่อพัฒนาผลงานการวิจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้

    NextGenAI มีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย:
    - ด้านสุขภาพ: Harvard University และ Boston Children’s Hospital ใช้ AI ของ OpenAI เพื่อลดเวลาในการวินิจฉัยผู้ป่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดขั้นตอนที่ซับซ้อน
    - การจัดการความรู้: มหาวิทยาลัย Oxford และ Boston Public Library กำลังใช้ API ของ OpenAI เพื่อดิจิไทซ์หนังสือหายากและเอกสารในที่สาธารณะ ช่วยให้การเข้าถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
    - การศึกษา: University of Mississippi กำลังสำรวจว่าการใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การวิจัย และการบริการได้อย่างไร

    โครงการนี้ยังมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อทำให้นักเรียนและนักวิจัยสามารถเรียนรู้การใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว (AI-fluent) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการยอมรับ AI ในวงกว้างและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต OpenAI มีเป้าหมายให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในทุกระดับ เช่นเดียวกับที่เคยทำกับโปรแกรม ChatGPT Edu ที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษา

    NextGenAI สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นจากสังคม หลังจากที่บริษัทเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้เนื้อหาสร้างรายได้อย่างไม่โปร่งใส การริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับการศึกษาและการวิจัย แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกและเพิ่มการยอมรับในเทคโนโลยีของ OpenAI ในวงกว้าง

    https://www.techspot.com/news/107045-openai-launches-50m-nextgenai-consortium-fund-ai-based.html
    OpenAI ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ NextGenAI ซึ่งเป็นการริเริ่มครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการวิจัยและการศึกษาโดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) OpenAI กำลังทุ่มงบประมาณถึง 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษาและนักวิจัยชั้นนำ โดยมุ่งเน้นการมอบทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ทุนวิจัย, การเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผล, และ API ของโมเดล AI สิ่งที่น่าสนใจคือ NextGenAI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการเดียว แต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือครั้งแรกระหว่าง OpenAI และ 15 สถาบันวิจัย ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร อาทิเช่น Harvard University, Duke University, และ Boston Children’s Hospital โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้สถาบันเหล่านี้นำ AI ของ OpenAI มาใช้เพื่อพัฒนาผลงานการวิจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ NextGenAI มีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย: - ด้านสุขภาพ: Harvard University และ Boston Children’s Hospital ใช้ AI ของ OpenAI เพื่อลดเวลาในการวินิจฉัยผู้ป่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดขั้นตอนที่ซับซ้อน - การจัดการความรู้: มหาวิทยาลัย Oxford และ Boston Public Library กำลังใช้ API ของ OpenAI เพื่อดิจิไทซ์หนังสือหายากและเอกสารในที่สาธารณะ ช่วยให้การเข้าถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น - การศึกษา: University of Mississippi กำลังสำรวจว่าการใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การวิจัย และการบริการได้อย่างไร โครงการนี้ยังมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อทำให้นักเรียนและนักวิจัยสามารถเรียนรู้การใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว (AI-fluent) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการยอมรับ AI ในวงกว้างและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต OpenAI มีเป้าหมายให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในทุกระดับ เช่นเดียวกับที่เคยทำกับโปรแกรม ChatGPT Edu ที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษา NextGenAI สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นจากสังคม หลังจากที่บริษัทเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้เนื้อหาสร้างรายได้อย่างไม่โปร่งใส การริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับการศึกษาและการวิจัย แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกและเพิ่มการยอมรับในเทคโนโลยีของ OpenAI ในวงกว้าง https://www.techspot.com/news/107045-openai-launches-50m-nextgenai-consortium-fund-ai-based.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    OpenAI launches $50M NextGenAI consortium to fund AI-based research and education
    OpenAI recently announced NextGenAI, a new consortium aimed at advancing research and education through AI-driven innovation. The company is committing $50 million from its growing financial reserves...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา

    Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก

    ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ

    โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ

    ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

    โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่

    https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta partnership promises to bring affordable internet to billions worldwide
    Meta is working on different levels to enhance internet connectivity and networking reliability around the planet. The company has invested billions in new subsea infrastructures, laying the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน

    Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน

    Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง

    Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ"

    Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์

    https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ" Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Reinforcement learning pioneers harshly criticize the "unsafe" state of AI development
    Richard Sutton and Andrew Barto won this year's Turing Award, considered the Nobel Prize for computing, for their significant contributions to machine learning development. The two researchers...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก SquareX Labs ได้เปิดเผยถึงการโจมตีแบบ "polymorphic" ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่อันตรายสำหรับส่วนขยาย (extensions) บน Google Chrome โดยส่วนขยายที่เป็นอันตรายนี้สามารถปลอมตัวเป็นส่วนขยายยอดนิยม เช่น password managers, กระเป๋าเงินคริปโต (crypto wallets) และแอปธนาคารออนไลน์ เพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญอย่างแนบเนียน

    == วิธีการโจมตี ==
    1) การหลอกล่อให้ติดตั้ง: ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะถูกนำเสนอใน Chrome Web Store ภายใต้หน้ากากของเครื่องมือ AI การตลาด เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ติดตั้ง
    2) การตรวจสอบส่วนขยายอื่นในเบราว์เซอร์: เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง ส่วนขยายจะใช้ API chrome.management หรือนำสคริปต์เข้าไปในเว็บเพจเพื่อค้นหาส่วนขยายอื่น ๆ ที่ติดตั้งอยู่
    3) การปลอมแปลง: หากพบเป้าหมาย เช่น ส่วนขยาย 1Password ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะเลียนแบบชื่อและไอคอน พร้อมแสดงหน้าต่างล็อกอินปลอมที่เหมือนจริง
    4)การขโมยข้อมูล: เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบผ่านแบบฟอร์มปลอม ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    5) ย้อนกลับสู่สถานะปกติ: หลังจากโจมตีเสร็จ ส่วนขยายจะกลับไปเป็นรูปแบบเดิมเพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย

    == ข้อแนะนำเพื่อป้องกัน ==
    - นักวิจัยแนะนำให้ Google อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงไอคอนและ HTML ของส่วนขยายโดยทันที หรือแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะสำคัญ
    - พิจารณาคลาสสิฟาย API chrome.management ให้เป็นฟังก์ชันที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนสำคัญของการโจมตีนี้

    การโจมตีรูปแบบ polymorphic นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความซับซ้อนและความสามารถของผู้โจมตีในยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการโจมตีส่วนขยายเบราว์เซอร์ซึ่งเคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะไม่มีการป้องกันที่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่การตระหนักถึงภัยคุกคามนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานระมัดระวังการติดตั้งส่วนขยายใหม่ ๆ บนเบราว์เซอร์ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสิทธิ์และแหล่งที่มาของส่วนขยาย

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/malicious-chrome-extensions-can-spoof-password-managers-in-new-attack/
    นักวิจัยจาก SquareX Labs ได้เปิดเผยถึงการโจมตีแบบ "polymorphic" ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่อันตรายสำหรับส่วนขยาย (extensions) บน Google Chrome โดยส่วนขยายที่เป็นอันตรายนี้สามารถปลอมตัวเป็นส่วนขยายยอดนิยม เช่น password managers, กระเป๋าเงินคริปโต (crypto wallets) และแอปธนาคารออนไลน์ เพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญอย่างแนบเนียน == วิธีการโจมตี == 1) การหลอกล่อให้ติดตั้ง: ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะถูกนำเสนอใน Chrome Web Store ภายใต้หน้ากากของเครื่องมือ AI การตลาด เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ติดตั้ง 2) การตรวจสอบส่วนขยายอื่นในเบราว์เซอร์: เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง ส่วนขยายจะใช้ API chrome.management หรือนำสคริปต์เข้าไปในเว็บเพจเพื่อค้นหาส่วนขยายอื่น ๆ ที่ติดตั้งอยู่ 3) การปลอมแปลง: หากพบเป้าหมาย เช่น ส่วนขยาย 1Password ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะเลียนแบบชื่อและไอคอน พร้อมแสดงหน้าต่างล็อกอินปลอมที่เหมือนจริง 4)การขโมยข้อมูล: เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบผ่านแบบฟอร์มปลอม ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี 5) ย้อนกลับสู่สถานะปกติ: หลังจากโจมตีเสร็จ ส่วนขยายจะกลับไปเป็นรูปแบบเดิมเพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย == ข้อแนะนำเพื่อป้องกัน == - นักวิจัยแนะนำให้ Google อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงไอคอนและ HTML ของส่วนขยายโดยทันที หรือแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะสำคัญ - พิจารณาคลาสสิฟาย API chrome.management ให้เป็นฟังก์ชันที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนสำคัญของการโจมตีนี้ การโจมตีรูปแบบ polymorphic นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความซับซ้อนและความสามารถของผู้โจมตีในยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการโจมตีส่วนขยายเบราว์เซอร์ซึ่งเคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะไม่มีการป้องกันที่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่การตระหนักถึงภัยคุกคามนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานระมัดระวังการติดตั้งส่วนขยายใหม่ ๆ บนเบราว์เซอร์ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสิทธิ์และแหล่งที่มาของส่วนขยาย https://www.bleepingcomputer.com/news/security/malicious-chrome-extensions-can-spoof-password-managers-in-new-attack/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Malicious Chrome extensions can spoof password managers in new attack
    A newly devised "polymorphic" attack allows malicious Chrome extensions to morph into other browser extensions, including password managers, crypto wallets, and banking apps, to steal sensitive information.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว