• ไม่อยากหมายจองเวรคนเอากัญชา กระท่อม กลับไปเป็นยาเสพติดจริงๆ แต่รอวิบากกรรมอันหนักหน่วงกำลังถาโถมเข้าตัวมัน
    ไม่เข้าใจใครๆ ไม่คิดอภัยผู้ใด ไม่รู้จักปล่อยวางอยู่กับปัจจุบัน หลงไหลคลั่งไคล้ในอดีตที่น่าภาคภูมิใจ ย่อมนำไปสู่หนทางแห่งความวิบัติพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน อย่าง ไอ้ทักษิณ ไอ้เหลือกวิโรจน์ ไอ้โรม อีไอซ์ ไอ้หมูรอมฎอนผีบิน ไอ้สืบแสง ไอ้พิธา ไอ้ไอติม ไอ้ชัชชาติ อีสกาวใจ ไอ้ภูมิธรรม ไอ้สุทิน ไอ้ชลน่าน ไอ้ทราย อีแอนชิลี ไอ้อ้น คนเหี้ยๆแบบนี้ไม่เข้าใจคำว่า อภัย อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรอก คนแบบนี้ สันดาน มุสา กลับกลอก ปลิ้นปล้อน สับปลับ หยาบโลน ชั่วร้ายเลวทราม ประพฤติทรราช เห็นผิดเป็นถูก มาตลอด
    ไม่อยากหมายจองเวรคนเอากัญชา กระท่อม กลับไปเป็นยาเสพติดจริงๆ แต่รอวิบากกรรมอันหนักหน่วงกำลังถาโถมเข้าตัวมัน ไม่เข้าใจใครๆ ไม่คิดอภัยผู้ใด ไม่รู้จักปล่อยวางอยู่กับปัจจุบัน หลงไหลคลั่งไคล้ในอดีตที่น่าภาคภูมิใจ ย่อมนำไปสู่หนทางแห่งความวิบัติพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน อย่าง ไอ้ทักษิณ ไอ้เหลือกวิโรจน์ ไอ้โรม อีไอซ์ ไอ้หมูรอมฎอนผีบิน ไอ้สืบแสง ไอ้พิธา ไอ้ไอติม ไอ้ชัชชาติ อีสกาวใจ ไอ้ภูมิธรรม ไอ้สุทิน ไอ้ชลน่าน ไอ้ทราย อีแอนชิลี ไอ้อ้น คนเหี้ยๆแบบนี้ไม่เข้าใจคำว่า อภัย อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรอก คนแบบนี้ สันดาน มุสา กลับกลอก ปลิ้นปล้อน สับปลับ หยาบโลน ชั่วร้ายเลวทราม ประพฤติทรราช เห็นผิดเป็นถูก มาตลอด
    ตำรวจ ดส.บุกจับร้าน "NASA WEED" ย่านอินทามระ ค้นพบเห็ดเมา กัญชา บุหรี่ไฟฟ้า และบารากู่จำนวนมาก รวบตัวผู้ดูแลร้านดำเนินคดีตามกฎหมาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064740

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนุ่มเครียด! ใช้น้ำมันราดตัวเองแล้วจุดไฟเผาตัวเอง ดับสลดต่อหน้าแม่ คาดเครียดเรื่องที่ป่วยขาเป็นแผลมานานจนทำงานไม่ถนัด ผมอ่านรายละเอียดของข่าวในลิงค์แล้ว ขาเป็นแผล หมอไม่ค่อยรับรักษา ยาที่รักษาก็ไม่ได้ผล ผมนึกถึงตระกูล ส. และ หมอผีหมอมู สปสช. แล้วรู้สึกเจ็บใจว่ะ ถึงว่าทำไมใต้ข้อพับขาขวาคันติดเชื้อราไม่หายไม่พอแถมไปติดข้อพับขาซ้ายอีก เป็นนายตัวเองแต่สำหรับผมขาเป็นแผลไม่ใช่ปัญหา แต่ความคาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้างผมพยายามจะไม่ให้ความสนใจ แต่มาให้ความสนใจจนผมดิ่ง นอยด์ จนผมรู้สึกว่าผมขอลาขาดจากวงคุยการเมืองไปทุกทีๆแล้ว เพราะโหนกระแส บางทีมีนักการเมืองพรรคสีแดง พรรคสีส้ม คอยให้ท้าย โหนกระแสไม่เคยขยี้นักการเมืองส้นตีนพวกนั้นเลย ผมแทบจะยั้งอารมณ์โทสะที่จะนำไปสู่การ ทำร้...ตัวเอง จนนำไปสู่เหตุปัจจัยร้ายแรงต่อไปได้ รู้จักระงับ รู้จักปล่อยวาง แต่ก็จะพยายามละทิ้งไม่ให้จมอยู่กับความคิดและความทรงจำเดิมๆที่มีแต่ความย่ำแย่และพาถอยหลังลงหลุมดำ
    อาชีพช่างออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือวิศวกรเฟอร์นิเจอร์ บางทีถ้าทำงานให้ไอ้เจ้านายปากท็อกซิกผมว่าไม่มีวันรุ่งเรืองในอนาคตหรอก แต่ออกมาเป็นนายตัวเองรุ่งเรืองกว่าเก่านะ แถมได้ฮีลใจไปด้วย มีเวลาว่างเที่ยวกินเท่าไหร่ก็ได้ตามใจฉัน แต่ขอใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
    วันนี้นอยด์สุดๆเลย นึกว่าทำงานเสร็จหมดแล้ว ที่ไหนได้ จัดฉากให้ผมมารู้ทีหลังว่างานยังไม่เสร็จ บางทีอยากเป็นไอ้เด็กเร่ร่อนโง่ๆดีกว่าเป็นวัวเป็นควายเป็นลูกจ้างเป็นทาสชั้นต่ำให้คนอย่างพวกเขา
    ลิงค์ที่มาของข่าว อัมรินทร์ ทีวี (ไม่ใช่ของอ่ำ อัมรินทร์)
    https://www.amarintv.com/news/social/219340
    หนุ่มเครียด! ใช้น้ำมันราดตัวเองแล้วจุดไฟเผาตัวเอง ดับสลดต่อหน้าแม่ คาดเครียดเรื่องที่ป่วยขาเป็นแผลมานานจนทำงานไม่ถนัด ผมอ่านรายละเอียดของข่าวในลิงค์แล้ว ขาเป็นแผล หมอไม่ค่อยรับรักษา ยาที่รักษาก็ไม่ได้ผล ผมนึกถึงตระกูล ส. และ หมอผีหมอมู สปสช. แล้วรู้สึกเจ็บใจว่ะ ถึงว่าทำไมใต้ข้อพับขาขวาคันติดเชื้อราไม่หายไม่พอแถมไปติดข้อพับขาซ้ายอีก เป็นนายตัวเองแต่สำหรับผมขาเป็นแผลไม่ใช่ปัญหา แต่ความคาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้างผมพยายามจะไม่ให้ความสนใจ แต่มาให้ความสนใจจนผมดิ่ง นอยด์ จนผมรู้สึกว่าผมขอลาขาดจากวงคุยการเมืองไปทุกทีๆแล้ว เพราะโหนกระแส บางทีมีนักการเมืองพรรคสีแดง พรรคสีส้ม คอยให้ท้าย โหนกระแสไม่เคยขยี้นักการเมืองส้นตีนพวกนั้นเลย ผมแทบจะยั้งอารมณ์โทสะที่จะนำไปสู่การ ทำร้...ตัวเอง จนนำไปสู่เหตุปัจจัยร้ายแรงต่อไปได้ รู้จักระงับ รู้จักปล่อยวาง แต่ก็จะพยายามละทิ้งไม่ให้จมอยู่กับความคิดและความทรงจำเดิมๆที่มีแต่ความย่ำแย่และพาถอยหลังลงหลุมดำ อาชีพช่างออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือวิศวกรเฟอร์นิเจอร์ บางทีถ้าทำงานให้ไอ้เจ้านายปากท็อกซิกผมว่าไม่มีวันรุ่งเรืองในอนาคตหรอก แต่ออกมาเป็นนายตัวเองรุ่งเรืองกว่าเก่านะ แถมได้ฮีลใจไปด้วย มีเวลาว่างเที่ยวกินเท่าไหร่ก็ได้ตามใจฉัน แต่ขอใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง วันนี้นอยด์สุดๆเลย นึกว่าทำงานเสร็จหมดแล้ว ที่ไหนได้ จัดฉากให้ผมมารู้ทีหลังว่างานยังไม่เสร็จ บางทีอยากเป็นไอ้เด็กเร่ร่อนโง่ๆดีกว่าเป็นวัวเป็นควายเป็นลูกจ้างเป็นทาสชั้นต่ำให้คนอย่างพวกเขา ลิงค์ที่มาของข่าว อัมรินทร์ ทีวี (ไม่ใช่ของอ่ำ อัมรินทร์) https://www.amarintv.com/news/social/219340
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจ สรยุทธ์ สุทัศนจินดา 9/7/68

    “‘ทักษิณ’ ลั่นเมืองไทยไม่มีทางตัน แค่มีคนอุดไว้ บอก นายกฯ อิ๊งค์ ยังอยากให้ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล แต่เขาใช้คลิปฮุนเซน เป็นจังหวะเตะลูก พร้อมแฉกลฮั้วสว.วางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง สส. รับตกใจเห็นวิสัยทัศน์แยบยล ขาย สส.พ่วง สว. มั่นใจความบริสุทธิ์ลูกสาว หวังศาลรับฟัง ไม่ปิดประตู มีโอกาสกลืนเลือด 4 ปี๊บ จูบปาก ‘ภท.’ รอบสาม หากติดคณิตศาสตร์การเมือง ลั่น ผมหมูจะตาย มีแต่ช่วยคน จะกลัวผมทำไม ชี้ ผมต้องช่วยประเทศ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เผย ไม่ได้คุยกับ ‘เนวิน - อนุทิน’ เลย มอง ภท. เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน ลั่น พ่อนายกอยู่นี่ เชื่อการเมืองไม่มีสูญญากาศ แม้ ‘อิ๊งค์’ ถูกสั่งพักงาน ชม มท.1 คนใหม่ มาถูกทาง สั่งโยกย้ายทันทีหลังเริ่มงาน บอก river of no return หากจะรีเทิร์นต้องรอสมัยหน้า

    เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 กรกฎาคม ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ 55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก กับ 4 ผู้นำทางความคิด ร่วมชี้ทางรอดการเมือง ทางออกประเทศไทย 3 บก. ถาม บก.ที่ 4 ตอบ

    โดยก่อนเริ่มถ่ายทอดสด พิธีกรได้เชิญนายทักษิณขึ้นบนเวที โดยนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะพ่อนายกฯ ขณะเดียวกันพิธีได้ถามนายทักษิณว่า ไปไหนมาไหนต้องมีลูกสาวเกาะติดเป็นผู้ติดตามตลอด

    นายทักษิณ ยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกๆ 17 ปีที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกๆ กลับมาเขาก็ต้องมาคอยเป็นห่วงเป็นใย”

    จากนั้นเข้าสู่การถ่ายทอดสด โดยพิธีได้ถามว่า วันนี้ประเทศถึงทางตันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “แสดงว่ามีคนอุดไว้ มันถึงจะตัน เหตุเกิดที่ไหนดับที่นั่น”

    ส่วนเป็นกลุ่มใด องค์กรใดที่ไปอุดไว้ทำให้เกิดทางตัน นายทักษิณ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองไทยเรานี้ คนอยากเป็นนายกฯ ก็เยอะ ลูกชายไปเที่ยวเมืองนอกก็ประกาศเลยว่า พ่อจะต้องเป็นนายกฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตนจะเล่าให้ฟังคนที่อยากไปเป็นนายกฯ นี่ เขายอมทำทุกอย่าง เพราะอยากให้หมอดูแม่น เดี๋ยวหมอดูจะไม่แม่นไป

    เมื่อถามว่า เขาทำเพื่อหมอดูหรือเพื่อตัวเอง นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ด้วยกัน ส่วนจะได้เป็นนายกหรือไม่นั้นตนไม่รู้เพราะเห็นว่าลูกชายพูดแบบนั้น

    จากนั้นพิธีกร ถามว่าในแคนดิเดตนายกฯ ส่วนใหญ่มีแต่ลูกสาว แต่มีอยู่คนเดียว คือ น.หนูอนุทินแน่ๆ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดนะ

    พิธีย้อนถามถึงปัญหาทางตันที่เกิดขึ้น นายทักษิณ กล่าวว่า การเมืองมีหลายรูปแบบโดยเฉพาะเรื่องนิติสงครามเข้ามาด้วย บางทีก็เป็นเรื่องของตัวเลขในสภาฯ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมือง ทุกคนเก่งคณิตคณิตศาสตร์หมด มันไม่มีอะไรเกินกว่าที่ไม่สามารถแก้ได้ ตนบอกเลยว่าไม่ตัน

    เมื่อถามถึง การเอาที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากรัฐบาลจะทำให้เกิดทางตันหรือไม่ นายทักษิณ ย้ำว่าไม่ได้ขอให้ออก เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต้องมีผลงานเพราะชอบสู้ด้วยนโยบาย เพราะแถลงไปแล้วมันเป็นไปตามที่แถลงก็ต้องพยามผลักดัน แต่มันไปติดที่กระทรวงมหาดไทย ก็นโยบายหลายเรื่องทั้งยาเสพติดและการแก้ไขปัญหาความยากจน ทุกอย่างเรื่องหนี้ เรื่องโอทอป มันต้องอาศัยกลไกของมหาดไทยทั้งนั้น เเม้กระทั่ง เรื่องสร้างบ้านให้คนไทย ที่ต้องทำสัญญา 99 ปีก็ต้องไปผ่านมหาดไทย

    ”พูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยบอกว่าขอมหาดไทยคืน แต่เขาไม่ตกลง เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะออกหรือไม่ นายกเล่าให้ตนฟังว่า ยังอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ทำด้วยกัน พอดีมีเหตุฮุนเซน ก็ได้จังหวะเตะลูกพร้อม“

    พิธีกร ถามว่า เขามีการคอนเน็คติ้งกันหรือไม่ ระหว่างกัมพูชา ในไทยกับกัมพูชาในกัมพูชา นายทักษิณ กล่าวว่า ผมไม่กลัาจะไปปรักปรำใคร มันบังเอิญ

    นายทักษิณ ยังย้ำว่าการแก้ไขทางตันนั้นไม่มีปัญหาอะไรต้องแก้ไปด้วยคณิตศาสตร์ทางการเมือง พร้อมยืนยันเสถียรภาพรัฐบาล ยังไม่ใช่ตันเลย

    พิธีกรได้ถามถึงพรรคภูมิใจไทยที่ออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้วขย่มร่วมกับกลไกของ สว. จนทำให้นายกฯ ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนจะเล่าให้ฟัง เรื่องการฮั้วสว. ซึ่งสวโดนกล่าวหา ว่ามีการฮั้ว ซึ่งพูดเพราะไปนะ ต้องใช้คำว่าโกงเลือกตั้ง เรื่องนี้จริยธรรมมันไม่มีแล้ว แล้วจะมาร้องจริยธรรมทำไม ในเมื่อคนร้องไม่มีจริยธรรมแล้วจะมาร้องจริยธรรมคนอื่น เป็นเรื่องที่จะทำยังไงให้รัฐบาลล่ม ให้ทันกรกฎาคน มันกลายเป็นว่า zero-sum game แล้วเป็น Race Against Time

    “ผมถามเรื่องสว.พรรคร่วมรัฐบาลจะเอายังไงกันดี ทุกคนบอกไม่มีใครยุ่ง แต่ตนเห็นมีรายงานการสืบสวนที่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่ามีเตรียมการตั้งแต่เลือกตั้งสส. ตนตกใจสุดขีดว่าวิสัยทัศน์เขาดีมาก ที่สส.เลือกตั้งก่อน แล้วใครคุมสส. 15 คนจะได้โควตา สว.หนึ่งคน นายทักษิณ กล่าว

    พิธีกร ย้อนถามเรื่องเสียงในสภาฯ ที่ปริ่มน้ำจะต้องทำยังไง นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องบริหารและเพิ่มคนไป เดี๋ยวก็ต้องร้องเพลง ” ฉันป่าวนะเขามาเอง“ก็ไม่มีปัญหา พวกเราเป็นเบิร์ด เพราะรักทุกๆคน ปัญหาเขามีไว้ให้แก้เขาไม่ได้มีไว้ให้แบก ตนมองปัญหาเป็นความท้าทาย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาก็เครียดตายไม่ต้องนอน

    “ เราอยู่ในโลกที่มีกติกาก็ต้องเคารพกติกาแต่เมื่อศาลบอกว่าให้พักปฎิบัติหน้าที่เราก็พักซะ แต่คนมีหน้าที่ก็ทำไป เป็นเรื่องที่เราต้องทำตามกติกา ถ้าเราไม่เคารพกติกาไปบิดเบี้ยวกติกา มันก็อยู่ด้วยกันยาก “ นายทักษิณ กล่าว

    ส่วนถ้าคนชกนอกกติกา นายทักษิณ กล่าวว่า ตนก็กระทืบเท้าเขา จะกระทืบตัวเองทำไม

    นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สมัยนี้นิติสงครามไม่เหมือนเดิม ไม่แรงกว่าเดิม สมัยก่อนมีระบบคอมแมนคอนโทรล สมัยนี้ร้องและทำหน้าที่พิจารณา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม ระบบยังมีกติกาของมันอยู่ แม้จะหยุมหยิม แต่มีหลักมีเกณฑ์กว่าสมัยก่อน ส่วนที่องค์กรอิสระไม่กี่คนมาตัดสิน จริงๆ แล้ว ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเราเข้ามาแล้วมีกติกาแบบนี้ ก็ต้องเดินไปก่อน โดนจนชินแล้ว เป็นเรื่องที่เราก็ต้องสู้ไป แก้ไป อะไรแก้ได้ก็แก้ อะไรแก้ไม่ได้ก็ต้องอยู่ในกติกานั้น

    นายทักษิณ มองว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสมากกว่า คนละเรื่องกับการตัดสิน ส่วนวิตกกังวลหรือไม่ว่าน.ส.แพทองธารจะพ้นจากหน้าที่นายกรัฐมนตรี แล้วทำให้เกมการเมืองถึงขั้นยุบสภาฯ นายทักษิณยืนยันว่าตนมั่นใจตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและมั่นใจความบริสุทธิ์ใจของลูกสาว เชื่อว่าศาลน่าจะรับฟังด้วยเหตุและผลว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็อธิบายได้หมดทุกอย่าง ส่วนพรรคที่ออกไป เพราะคิดว่าน.ส.แพทองธารไม่รอดนั้น ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือไม่

    หากเขาไปสุมหัวจะตั้งรัฐบาลแล้ว นายทักษิณ บอกว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตนเดาอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขาออก แต่เขาอยากออก แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เราไม่สามารถควบคุมได้เพราะเราชวนเขาแล้ว เขาไม่เอา ไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็อยู่ได้ เพราะแลกกระทรวงอื่นเขาก็ไม่เอา เขาจะเอากระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้นั้นเพราะเรารู้อดีตเขา

    สำหรับกรณีที่หากย้อนกลับไปแล้วผิดหวังกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยรอบแรกปี 2551 ที่พรรค ภท. ไปตั้งพรรคของตัวเองแล้วไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกขั้วหนึ่ง ส่วนรอบนี้ก็ผิดหวังอีกนั้น นายทักษิณ บอกว่าการเมืองต้องเข้าใจว่าการเมืองบ้านเรามีกฎไว้เลี่ยง ผมกลับมาลืมอดีตหมดแล้ว พยายามจะเริ่มต้นใหม่ ส่วนจะมีรอบที่สามกับภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายทักษิณ บอกว่า การเมืองบ้านเรา วันนี้เป็นการออกแบบการเมืองที่แย่ที่สุด ตั้งแต่ทหารปฏิวัติมาเนี่ยแหละ เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญ เขาเห็นหน้าผมอยู่ กันผมในทุกรูปแบบ กันจนผลสุดท้ายบ้านเมืองมีปัญหา การเมืองแบบหัวแตก พรรคเล็กพรรคน้อยเยอะแยะ ทำงานยาก ไม่เหมือนตอนตนแก้ปัญหาต้มยำกุ้ง เพราะเป็นพรรคใหญ่ ไม่มีระบบสัมปทานกระทรวง มาวันนี้มันแย่แล้ว ให้ไปบริหารแต่กับไปทำธุรการกับธุรกิจ ธุรการคือแต่งตั้งโยกย้าย ธุรกิจคือวางไข่ออกไข่ วันนี้กติกาแบบนี้สร้างวัฒนธรรม ไม่ทำไม่ผิด เมื่อถามย้ำ จะมีรอบสาม กับภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ ระบุการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เมื่อการเมืองออกแบบแบบนี้ ไม่สามารถที่จะบอกว่าจะอยู่คนเดียวในรัฐบาลนี้ สูตรคณิตศาสตร์ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นก็ต้องกลืนเลือด ซัก 3-4 ปี๊ป ก็ว่าไป ไม่ปิดโอกาสร่วมมือพรรคส้ม แต่วันนี้ยังไม่จำเป็น บอกสีน้ำเงินส้ม จับมือกันได้หลวมๆ เหตุเป็นปลาคนละน้ำ ชี้บริบทรัฐบาล มีหลายออฟชั่น

    นายทักษิณ ยังตอบคำถามกรณีตนเองเป็นทางตันหรือไม่ และปัญหาทั้งหมดเกิดเพราะท่านหรือไม่นั้น ว่า หลายคนอาจจะไม่ชอบหน้าเป็นพิเศษ จึงทำให้ตนมีขาประจำ ซึ่งตนเมินขาประจำที่เป็นมา 20 ปี พ่อเสียชีวิตก็ลืมถามว่าพ่อของใครมีปัญหากับพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนที่เหตุใดจึงไม่สามารถโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ได้นั้น ตนมองว่าหากคนกลุ่มนี้มาพูดคุยกับตน ซึ่งบางคนไม่รู้จักตนด้วยซ้ำ ไม่เคยเจอเห็นแต่ในทีวี แต่เมื่อเห็นก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว ซึ่งตนเป็นคนที่สร้างตัวจากไม่มีอะไรมาด้วยตัวเอง จึงไม่ค่อยอะไร

    ส่วนมาถามว่าเพราะอะไรถึงเห็นในทีวีแล้วหมั่นไส้ นายทักษิณ ระบุว่า ตนยังคงงงอยู่ ส่วนนายกฯ แพทองธาร เคยถามหรือไม่ว่าไปทำอะไรให้คนกลุ่มนั้น ถึงมาเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน นายทักษิณ ตอบสั้นๆ ว่า “ผมก็กวาดน้ำ อย่าไปคิดอะไรมาก”

    ส่วนในฐานะที่คลุกคลีกับการเมืองมา 51 ปี โอกาสที่พรรคสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยจะไปผสมกับพรรคประชาชนนายทักษิณ ระบุว่า “ในวันนี้ยังไม่มีมีความจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นศรัตรูกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ยืนยันว่าไม่ได้เป็น แต่การจะทำงานกับใครต้องมั่นใจว่าเราไปด้วยกันได้ และไม่ขัดนโยบายหลักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถาบัน เรื่องเจ้านาย เพราะตนได้รับพระเมตตาสูงสุด ดังนั้นตนจะไม่มีทางที่จะไปทำงานกับใครที่กระทบกระเทือนกับสถาบัน

    หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาสีส้มไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นมาตรา 112 จะสามารถร่วมมือกันได้หรือไม่ นายทักษิณ ตอบ ”ไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกันเลย“

    สำหรับสีน้ำเงินกับสีส้มมีโอกาสจับมือกันได้หรือไม่ในขณะที่เป็น ตนมองว่า หากจะจับก็จับหลวมๆ เพราะเป็นปลาคนละน้ำ ส่วนน้ำของแดงกับส้มใกล้เคียงกว่ากันนั้นหรือไม่ หากพูดความจริงเป็นพรรคที่เกิดจากนโยบายพรรคที่เกิดจากการหาเสียงมาสไตล์เดียวกัน ถ้าเห็นไทยรักไทยอย่างไรพรรคส้มก็คล้ายๆ กัน

    อย่างนั้นส้มกับน้ำเงินปลาคนละน้ำ แต่แดงกับส้มปลาน้ำกันใช่หรือไม่ นายทักษิณ บอกว่า เป็นวงสีธรรมชาติ สีส้มเกิดจากสีแดงรวมกับสีเหลือง ถ้าแดงแยกไปประสมกับน้ำเงินจะเป็นสีม่วง และสีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว ถ้าสีม่วงกับสีเหลืองไปผสมกันจะเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง สีไม่สวย ส่วนสีแดงผสมกับสีส้มจะเป็นสีแสด ซึ่งสีแสดมันแรงไป

    ส่วนที่อดีตนายกวิเคราะห์ ยังไม่จำเป็นที่จะจับมือกับสีส้ม เสียงอย่างพอ โดยนายทักษิณระบุว่า พรรคแกนนำรัฐบาลยังมีความสามัคคีทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องคุมในสภามาให้โดสภาแค่นั้นเอง ไม่ให้โดดกฎหมายสำคัญ
    ส่วนหลังจากนั้นหนูเปล่านะเขามาเอง

    ส่วนกลไกการเมืองในปัจจุบัน เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในปัจจุบัน นายทักษิณ ระบุว่า มีปัญหาไว้ให้แก้เมื่อมีอุปสรรคต้องแก้ไป หากถามว่าถึงทางตันหรือไม่ไม่ตัน ส่วนกลไกบริบทปัจจุบันทำให้นายกรัฐมนตรีไปสู่การติดกับดัก และรักการนายกฯ ต้องประคองต่อ หรือหากไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา รัฐบาลจะอายุสั้น นายทักษิณ ระบุว่า มีหลาย option 1.คือนายกแพทองธารทองคำรอด ก็สามารถกลับไปทำงานเต็มที่และทำยาว 2. แต่ถ้าสมมุติว่าไม่รอดมี 2 ทางเลือก คือเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หรือยุบสภา และตอนนี้นายชัยเกษมก็ยังฟิต อยู่ตีกอล์ฟสบายมาก

    เมื่อถามว่า ท่านดูอารมณ์ของคนไทย ที่ถูกตั้งคำถามเหมือนกัน เพื่อไทยที่เป็นแกนนำ มีอาวุธอยู่สองอาวุธ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ติดกับดักจริยธรรมของ ศาลรัฐธรรมนูญ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ติดกับดักของศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ท่านคิดว่านายชัยเกษม ที่เป็นกลไกที่สาม จะเป็นทางรอดของประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังอยู่เอาออกไม่ได้ ตนยังเป็นสทร. เหมือนเดิม ผมไม่ยอม อายุ 76 ปียังหนุ่มอยู่ ขอให้บ้านเมืองรอด เอาเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก

    เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกับช่วงสิงหาคมปี 2566 มีทัวร์ลงเยอะ วิบากกรรมเยอะขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ตื่นเช้ามาวันนี้ต้องขึ้นศาลก็ขึ้นไป มันแก่แล้วปล่อยวางไปเยอะแล้ว ผมหยุดแล้วแต่ท่านไม่หยุด ตนต้องทำให้บ้านเมือง จะให้ทำอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจในวันนี้ ถ้าตนไม่เสือกแล้วใครจะเสือก มันยากนะ วันนี้ปัญหาบ้านเมืองตนอยู่เฉยไม่ได้ ในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและลูกเป็นนายกรัฐมนตรี มีอะไรก็ต้องช่วยกัน วันนี้ประชุมว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งตนออกนอกประเทศไม่ได้ถ้าออกได้จะสนุกกว่านี้

    เมื่อถามว่าอยากจะออกไปช่วย แล้วมีคดีมองว่าเหมือนมีใครมาล่ามขาไว้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว ตอนที่ปฏิวัติปี 2549 คดีของตนจะหมดอายุความก็เลยล็อคไว้ก่อน โดยใช้การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับม. 112 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งตนไม่กังวล เราไม่มีอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นภาวะปกติ ก็คงไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาแต่เป็นภาวะพิเศษ

    เมื่อถามว่า ในกลไกบริบททางการเมือง ในปัจจุบันทั้งกลไกเรื่องฝ่ายค้าน กลไกนิติสงครามทางข้อกฎหมาย กลไกองค์การอิสระ จะมีกลไกมีอำนาจอะไรที่เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ที่จะทำให้การทำงานของรัฐบาลเดินต่อไปไม่ค่อยได้ สะดุดตลอด นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความหยุมหยิมของระบบ ซึ่งต้องแก้ระบบการเมืองที่วางไว้ องค์การอิสระที่อนุญาตให้ใครก็ได้มาร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คดีหลบไปหมด ซึ่งอาจจะส่งเสริมอาชีพนักร้อง บางคนรับจ้างร้องหรือบางคนรับจ้างหยุดร้อง

    เมื่อถามว่า การกลับมาเป็น สทร. กลัวจะมีอำนาจอะไรหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า อย่ามากลัวตน หมูเรียกพี่ใครเจอตน ผมหมูจะตาย ไม่เคยฆ่าใครมีแต่ช่วยคน

    เมื่อถามว่า สายน้ำเงิน บอกว่าไม่กลัวลูกแต่กลัวพ่อนายทักษิณ กล่าวว่า ตนคุยชัดเจนจะตาย ถ้าชัดเจนแบบที่ตนบอกก็จบไปแล้ว

    เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับนายเนวิน หรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่าไม่ได้คุยเลย เพราะเขาไม่คุยกับตน พรรคที่ร่วมรัฐบาล แปลสภาพมาเป็นฝ่ายค้าน

    เมื่อถามว่า ไม่รู้จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายแค้น นายทักษิณ กล่าวว่า น่าจะแค้นมากกว่าค้าน เมื่อถามถึงเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงมหาดไทยที่เข้าไปดูแลกรมที่ดิน ประเมินเรื่องเขากระโดงอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา และกฎหมาย ซึ่งที่ดินอัลไพน์ก็โดนสั่งถอน ว่ากันไปตามกติกามีสิทธิ์ก็รักษาสิทธิ์ไป ใครนั่งทับสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องโดน ม. 157 และเดี๋ยวอีกไม่นานก็ต้องมีคนมาร้อง มท.1ใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็มาแล้ว เป็นอย่างที่เขาบอกว่าบ้านเมืองเราไม่ใช่ผู้เสียหายก็ร้องได้เลอะเทอะไปหมด

    ส่วนเรื่องการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ มีการโยกย้ายทันที ถือว่ามาถูกทางหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าต้องเห็นใจ เขามาจากกระทรวงกลาโหม มาถึงตรงนี้ต้องเด็ดขาด และมองว่ากลไกกระทรวงมหาดไทยเริ่มทำงานแล้ว ได้ข่าวรัฐมนตรีบอกว่าจะดุเอง บอกว่าไม่ต้องมาต้อนรับ หากผู้ว่าฯไม่ทำงานก็จะโดน

    ส่วนในแง่การทำงานระหว่างที่นางสาวแพทองธารถูกพักการทำหน้าที่ จะสร้างความมั่นใจให้คนอย่างไรว่ารัฐบาลยังไม่ถึงจุดอับ ทักษิณกล่าวว่า

    “พ่อนายกอยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่ มีอะไรก็บอกให้รัฐมนตรีช่วยกันทำเชื่อว่าไม่มีสูญญากาศ ส่วนที่บอกว่าข้าราชการจะเกียร์ว่างนั้นไม่ต้องว่าง ไม่ต้องรอสถานการณ์การเมือง อย่าไปคิดว่า river จะ return”

    เมื่อถามว่าระบบราชการหลังรัฐประหารเปลี่ยนไป นายทักษิณยอมรับว่า เปลี่ยนไป ข้าราชการบางคนบอกว่าจะกลับมา แต่ตนขอบอกว่า river of no return จะรีเทิร์นต้องรอเลือกตั้งสมัยหน้า

    เมื่อถามว่าคะแนนนิยมที่ลดลง น่าห่วงหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า การเมืองเป็นกระแส ต้องดูว่าในภาวะการณ์ไหน หากโดนรุมอย่างนี้ หากเป็นทางโซเชียลมีเดีย ซอมบี้ทั้งหลาย ก็จะมีการปั่นกันโกรธกัน สักเดี๋ยวก็หยุด

    ส่วนจะขับเคลื่อนโครงการใหญ่ได้อย่างไร ในช่วงที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพ นายทักษิณกล่าวว่าอะไรที่เคลื่อนได้ก็ต้องเคลื่อน อะไรที่เป็นรูทีนก็ต้องขับเคลื่อนทั้งเรื่องยาเสพติดการแก้หนี้การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องโครงการใหญ่ใหญ่อยู่ในแนยทางอยู่แล้วก็ต้องทำไปส่วนเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์วันนี้ถอนออกมาเพราะไม่อยากให้สับสน ซึ่งช่วงนี้ต้องเรียงลำดับความสำคัญก็ไม่เป็นไร”
    รีโพสต์เพจ สรยุทธ์ สุทัศนจินดา 9/7/68 “‘ทักษิณ’ ลั่นเมืองไทยไม่มีทางตัน แค่มีคนอุดไว้ บอก นายกฯ อิ๊งค์ ยังอยากให้ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล แต่เขาใช้คลิปฮุนเซน เป็นจังหวะเตะลูก พร้อมแฉกลฮั้วสว.วางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง สส. รับตกใจเห็นวิสัยทัศน์แยบยล ขาย สส.พ่วง สว. มั่นใจความบริสุทธิ์ลูกสาว หวังศาลรับฟัง ไม่ปิดประตู มีโอกาสกลืนเลือด 4 ปี๊บ จูบปาก ‘ภท.’ รอบสาม หากติดคณิตศาสตร์การเมือง ลั่น ผมหมูจะตาย มีแต่ช่วยคน จะกลัวผมทำไม ชี้ ผมต้องช่วยประเทศ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เผย ไม่ได้คุยกับ ‘เนวิน - อนุทิน’ เลย มอง ภท. เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน ลั่น พ่อนายกอยู่นี่ เชื่อการเมืองไม่มีสูญญากาศ แม้ ‘อิ๊งค์’ ถูกสั่งพักงาน ชม มท.1 คนใหม่ มาถูกทาง สั่งโยกย้ายทันทีหลังเริ่มงาน บอก river of no return หากจะรีเทิร์นต้องรอสมัยหน้า เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 กรกฎาคม ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ 55 ปี เนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟ ทอล์ก กับ 4 ผู้นำทางความคิด ร่วมชี้ทางรอดการเมือง ทางออกประเทศไทย 3 บก. ถาม บก.ที่ 4 ตอบ โดยก่อนเริ่มถ่ายทอดสด พิธีกรได้เชิญนายทักษิณขึ้นบนเวที โดยนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะพ่อนายกฯ ขณะเดียวกันพิธีได้ถามนายทักษิณว่า ไปไหนมาไหนต้องมีลูกสาวเกาะติดเป็นผู้ติดตามตลอด นายทักษิณ ยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกๆ 17 ปีที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกๆ กลับมาเขาก็ต้องมาคอยเป็นห่วงเป็นใย” จากนั้นเข้าสู่การถ่ายทอดสด โดยพิธีได้ถามว่า วันนี้ประเทศถึงทางตันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “แสดงว่ามีคนอุดไว้ มันถึงจะตัน เหตุเกิดที่ไหนดับที่นั่น” ส่วนเป็นกลุ่มใด องค์กรใดที่ไปอุดไว้ทำให้เกิดทางตัน นายทักษิณ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองไทยเรานี้ คนอยากเป็นนายกฯ ก็เยอะ ลูกชายไปเที่ยวเมืองนอกก็ประกาศเลยว่า พ่อจะต้องเป็นนายกฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตนจะเล่าให้ฟังคนที่อยากไปเป็นนายกฯ นี่ เขายอมทำทุกอย่าง เพราะอยากให้หมอดูแม่น เดี๋ยวหมอดูจะไม่แม่นไป เมื่อถามว่า เขาทำเพื่อหมอดูหรือเพื่อตัวเอง นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ด้วยกัน ส่วนจะได้เป็นนายกหรือไม่นั้นตนไม่รู้เพราะเห็นว่าลูกชายพูดแบบนั้น จากนั้นพิธีกร ถามว่าในแคนดิเดตนายกฯ ส่วนใหญ่มีแต่ลูกสาว แต่มีอยู่คนเดียว คือ น.หนูอนุทินแน่ๆ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดนะ พิธีย้อนถามถึงปัญหาทางตันที่เกิดขึ้น นายทักษิณ กล่าวว่า การเมืองมีหลายรูปแบบโดยเฉพาะเรื่องนิติสงครามเข้ามาด้วย บางทีก็เป็นเรื่องของตัวเลขในสภาฯ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมือง ทุกคนเก่งคณิตคณิตศาสตร์หมด มันไม่มีอะไรเกินกว่าที่ไม่สามารถแก้ได้ ตนบอกเลยว่าไม่ตัน เมื่อถามถึง การเอาที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากรัฐบาลจะทำให้เกิดทางตันหรือไม่ นายทักษิณ ย้ำว่าไม่ได้ขอให้ออก เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต้องมีผลงานเพราะชอบสู้ด้วยนโยบาย เพราะแถลงไปแล้วมันเป็นไปตามที่แถลงก็ต้องพยามผลักดัน แต่มันไปติดที่กระทรวงมหาดไทย ก็นโยบายหลายเรื่องทั้งยาเสพติดและการแก้ไขปัญหาความยากจน ทุกอย่างเรื่องหนี้ เรื่องโอทอป มันต้องอาศัยกลไกของมหาดไทยทั้งนั้น เเม้กระทั่ง เรื่องสร้างบ้านให้คนไทย ที่ต้องทำสัญญา 99 ปีก็ต้องไปผ่านมหาดไทย ”พูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยบอกว่าขอมหาดไทยคืน แต่เขาไม่ตกลง เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะออกหรือไม่ นายกเล่าให้ตนฟังว่า ยังอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ทำด้วยกัน พอดีมีเหตุฮุนเซน ก็ได้จังหวะเตะลูกพร้อม“ พิธีกร ถามว่า เขามีการคอนเน็คติ้งกันหรือไม่ ระหว่างกัมพูชา ในไทยกับกัมพูชาในกัมพูชา นายทักษิณ กล่าวว่า ผมไม่กลัาจะไปปรักปรำใคร มันบังเอิญ นายทักษิณ ยังย้ำว่าการแก้ไขทางตันนั้นไม่มีปัญหาอะไรต้องแก้ไปด้วยคณิตศาสตร์ทางการเมือง พร้อมยืนยันเสถียรภาพรัฐบาล ยังไม่ใช่ตันเลย พิธีกรได้ถามถึงพรรคภูมิใจไทยที่ออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้วขย่มร่วมกับกลไกของ สว. จนทำให้นายกฯ ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนจะเล่าให้ฟัง เรื่องการฮั้วสว. ซึ่งสวโดนกล่าวหา ว่ามีการฮั้ว ซึ่งพูดเพราะไปนะ ต้องใช้คำว่าโกงเลือกตั้ง เรื่องนี้จริยธรรมมันไม่มีแล้ว แล้วจะมาร้องจริยธรรมทำไม ในเมื่อคนร้องไม่มีจริยธรรมแล้วจะมาร้องจริยธรรมคนอื่น เป็นเรื่องที่จะทำยังไงให้รัฐบาลล่ม ให้ทันกรกฎาคน มันกลายเป็นว่า zero-sum game แล้วเป็น Race Against Time “ผมถามเรื่องสว.พรรคร่วมรัฐบาลจะเอายังไงกันดี ทุกคนบอกไม่มีใครยุ่ง แต่ตนเห็นมีรายงานการสืบสวนที่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่ามีเตรียมการตั้งแต่เลือกตั้งสส. ตนตกใจสุดขีดว่าวิสัยทัศน์เขาดีมาก ที่สส.เลือกตั้งก่อน แล้วใครคุมสส. 15 คนจะได้โควตา สว.หนึ่งคน นายทักษิณ กล่าว พิธีกร ย้อนถามเรื่องเสียงในสภาฯ ที่ปริ่มน้ำจะต้องทำยังไง นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องบริหารและเพิ่มคนไป เดี๋ยวก็ต้องร้องเพลง ” ฉันป่าวนะเขามาเอง“ก็ไม่มีปัญหา พวกเราเป็นเบิร์ด เพราะรักทุกๆคน ปัญหาเขามีไว้ให้แก้เขาไม่ได้มีไว้ให้แบก ตนมองปัญหาเป็นความท้าทาย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาก็เครียดตายไม่ต้องนอน “ เราอยู่ในโลกที่มีกติกาก็ต้องเคารพกติกาแต่เมื่อศาลบอกว่าให้พักปฎิบัติหน้าที่เราก็พักซะ แต่คนมีหน้าที่ก็ทำไป เป็นเรื่องที่เราต้องทำตามกติกา ถ้าเราไม่เคารพกติกาไปบิดเบี้ยวกติกา มันก็อยู่ด้วยกันยาก “ นายทักษิณ กล่าว ส่วนถ้าคนชกนอกกติกา นายทักษิณ กล่าวว่า ตนก็กระทืบเท้าเขา จะกระทืบตัวเองทำไม นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สมัยนี้นิติสงครามไม่เหมือนเดิม ไม่แรงกว่าเดิม สมัยก่อนมีระบบคอมแมนคอนโทรล สมัยนี้ร้องและทำหน้าที่พิจารณา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม ระบบยังมีกติกาของมันอยู่ แม้จะหยุมหยิม แต่มีหลักมีเกณฑ์กว่าสมัยก่อน ส่วนที่องค์กรอิสระไม่กี่คนมาตัดสิน จริงๆ แล้ว ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเราเข้ามาแล้วมีกติกาแบบนี้ ก็ต้องเดินไปก่อน โดนจนชินแล้ว เป็นเรื่องที่เราก็ต้องสู้ไป แก้ไป อะไรแก้ได้ก็แก้ อะไรแก้ไม่ได้ก็ต้องอยู่ในกติกานั้น นายทักษิณ มองว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสมากกว่า คนละเรื่องกับการตัดสิน ส่วนวิตกกังวลหรือไม่ว่าน.ส.แพทองธารจะพ้นจากหน้าที่นายกรัฐมนตรี แล้วทำให้เกมการเมืองถึงขั้นยุบสภาฯ นายทักษิณยืนยันว่าตนมั่นใจตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและมั่นใจความบริสุทธิ์ใจของลูกสาว เชื่อว่าศาลน่าจะรับฟังด้วยเหตุและผลว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็อธิบายได้หมดทุกอย่าง ส่วนพรรคที่ออกไป เพราะคิดว่าน.ส.แพทองธารไม่รอดนั้น ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือไม่ หากเขาไปสุมหัวจะตั้งรัฐบาลแล้ว นายทักษิณ บอกว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตนเดาอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขาออก แต่เขาอยากออก แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เราไม่สามารถควบคุมได้เพราะเราชวนเขาแล้ว เขาไม่เอา ไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็อยู่ได้ เพราะแลกกระทรวงอื่นเขาก็ไม่เอา เขาจะเอากระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้นั้นเพราะเรารู้อดีตเขา สำหรับกรณีที่หากย้อนกลับไปแล้วผิดหวังกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยรอบแรกปี 2551 ที่พรรค ภท. ไปตั้งพรรคของตัวเองแล้วไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกขั้วหนึ่ง ส่วนรอบนี้ก็ผิดหวังอีกนั้น นายทักษิณ บอกว่าการเมืองต้องเข้าใจว่าการเมืองบ้านเรามีกฎไว้เลี่ยง ผมกลับมาลืมอดีตหมดแล้ว พยายามจะเริ่มต้นใหม่ ส่วนจะมีรอบที่สามกับภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายทักษิณ บอกว่า การเมืองบ้านเรา วันนี้เป็นการออกแบบการเมืองที่แย่ที่สุด ตั้งแต่ทหารปฏิวัติมาเนี่ยแหละ เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญ เขาเห็นหน้าผมอยู่ กันผมในทุกรูปแบบ กันจนผลสุดท้ายบ้านเมืองมีปัญหา การเมืองแบบหัวแตก พรรคเล็กพรรคน้อยเยอะแยะ ทำงานยาก ไม่เหมือนตอนตนแก้ปัญหาต้มยำกุ้ง เพราะเป็นพรรคใหญ่ ไม่มีระบบสัมปทานกระทรวง มาวันนี้มันแย่แล้ว ให้ไปบริหารแต่กับไปทำธุรการกับธุรกิจ ธุรการคือแต่งตั้งโยกย้าย ธุรกิจคือวางไข่ออกไข่ วันนี้กติกาแบบนี้สร้างวัฒนธรรม ไม่ทำไม่ผิด เมื่อถามย้ำ จะมีรอบสาม กับภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ ระบุการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เมื่อการเมืองออกแบบแบบนี้ ไม่สามารถที่จะบอกว่าจะอยู่คนเดียวในรัฐบาลนี้ สูตรคณิตศาสตร์ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นก็ต้องกลืนเลือด ซัก 3-4 ปี๊ป ก็ว่าไป ไม่ปิดโอกาสร่วมมือพรรคส้ม แต่วันนี้ยังไม่จำเป็น บอกสีน้ำเงินส้ม จับมือกันได้หลวมๆ เหตุเป็นปลาคนละน้ำ ชี้บริบทรัฐบาล มีหลายออฟชั่น นายทักษิณ ยังตอบคำถามกรณีตนเองเป็นทางตันหรือไม่ และปัญหาทั้งหมดเกิดเพราะท่านหรือไม่นั้น ว่า หลายคนอาจจะไม่ชอบหน้าเป็นพิเศษ จึงทำให้ตนมีขาประจำ ซึ่งตนเมินขาประจำที่เป็นมา 20 ปี พ่อเสียชีวิตก็ลืมถามว่าพ่อของใครมีปัญหากับพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนที่เหตุใดจึงไม่สามารถโน้มน้าวคนกลุ่มนี้ได้นั้น ตนมองว่าหากคนกลุ่มนี้มาพูดคุยกับตน ซึ่งบางคนไม่รู้จักตนด้วยซ้ำ ไม่เคยเจอเห็นแต่ในทีวี แต่เมื่อเห็นก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว ซึ่งตนเป็นคนที่สร้างตัวจากไม่มีอะไรมาด้วยตัวเอง จึงไม่ค่อยอะไร ส่วนมาถามว่าเพราะอะไรถึงเห็นในทีวีแล้วหมั่นไส้ นายทักษิณ ระบุว่า ตนยังคงงงอยู่ ส่วนนายกฯ แพทองธาร เคยถามหรือไม่ว่าไปทำอะไรให้คนกลุ่มนั้น ถึงมาเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน นายทักษิณ ตอบสั้นๆ ว่า “ผมก็กวาดน้ำ อย่าไปคิดอะไรมาก” ส่วนในฐานะที่คลุกคลีกับการเมืองมา 51 ปี โอกาสที่พรรคสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยจะไปผสมกับพรรคประชาชนนายทักษิณ ระบุว่า “ในวันนี้ยังไม่มีมีความจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นศรัตรูกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ยืนยันว่าไม่ได้เป็น แต่การจะทำงานกับใครต้องมั่นใจว่าเราไปด้วยกันได้ และไม่ขัดนโยบายหลักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถาบัน เรื่องเจ้านาย เพราะตนได้รับพระเมตตาสูงสุด ดังนั้นตนจะไม่มีทางที่จะไปทำงานกับใครที่กระทบกระเทือนกับสถาบัน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาสีส้มไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นมาตรา 112 จะสามารถร่วมมือกันได้หรือไม่ นายทักษิณ ตอบ ”ไม่รู้ เพราะไม่ได้คุยกันเลย“ สำหรับสีน้ำเงินกับสีส้มมีโอกาสจับมือกันได้หรือไม่ในขณะที่เป็น ตนมองว่า หากจะจับก็จับหลวมๆ เพราะเป็นปลาคนละน้ำ ส่วนน้ำของแดงกับส้มใกล้เคียงกว่ากันนั้นหรือไม่ หากพูดความจริงเป็นพรรคที่เกิดจากนโยบายพรรคที่เกิดจากการหาเสียงมาสไตล์เดียวกัน ถ้าเห็นไทยรักไทยอย่างไรพรรคส้มก็คล้ายๆ กัน อย่างนั้นส้มกับน้ำเงินปลาคนละน้ำ แต่แดงกับส้มปลาน้ำกันใช่หรือไม่ นายทักษิณ บอกว่า เป็นวงสีธรรมชาติ สีส้มเกิดจากสีแดงรวมกับสีเหลือง ถ้าแดงแยกไปประสมกับน้ำเงินจะเป็นสีม่วง และสีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว ถ้าสีม่วงกับสีเหลืองไปผสมกันจะเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง สีไม่สวย ส่วนสีแดงผสมกับสีส้มจะเป็นสีแสด ซึ่งสีแสดมันแรงไป ส่วนที่อดีตนายกวิเคราะห์ ยังไม่จำเป็นที่จะจับมือกับสีส้ม เสียงอย่างพอ โดยนายทักษิณระบุว่า พรรคแกนนำรัฐบาลยังมีความสามัคคีทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องคุมในสภามาให้โดสภาแค่นั้นเอง ไม่ให้โดดกฎหมายสำคัญ ส่วนหลังจากนั้นหนูเปล่านะเขามาเอง ส่วนกลไกการเมืองในปัจจุบัน เป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในปัจจุบัน นายทักษิณ ระบุว่า มีปัญหาไว้ให้แก้เมื่อมีอุปสรรคต้องแก้ไป หากถามว่าถึงทางตันหรือไม่ไม่ตัน ส่วนกลไกบริบทปัจจุบันทำให้นายกรัฐมนตรีไปสู่การติดกับดัก และรักการนายกฯ ต้องประคองต่อ หรือหากไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา รัฐบาลจะอายุสั้น นายทักษิณ ระบุว่า มีหลาย option 1.คือนายกแพทองธารทองคำรอด ก็สามารถกลับไปทำงานเต็มที่และทำยาว 2. แต่ถ้าสมมุติว่าไม่รอดมี 2 ทางเลือก คือเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หรือยุบสภา และตอนนี้นายชัยเกษมก็ยังฟิต อยู่ตีกอล์ฟสบายมาก เมื่อถามว่า ท่านดูอารมณ์ของคนไทย ที่ถูกตั้งคำถามเหมือนกัน เพื่อไทยที่เป็นแกนนำ มีอาวุธอยู่สองอาวุธ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ติดกับดักจริยธรรมของ ศาลรัฐธรรมนูญ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ติดกับดักของศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ท่านคิดว่านายชัยเกษม ที่เป็นกลไกที่สาม จะเป็นทางรอดของประเทศหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังอยู่เอาออกไม่ได้ ตนยังเป็นสทร. เหมือนเดิม ผมไม่ยอม อายุ 76 ปียังหนุ่มอยู่ ขอให้บ้านเมืองรอด เอาเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกับช่วงสิงหาคมปี 2566 มีทัวร์ลงเยอะ วิบากกรรมเยอะขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร ตื่นเช้ามาวันนี้ต้องขึ้นศาลก็ขึ้นไป มันแก่แล้วปล่อยวางไปเยอะแล้ว ผมหยุดแล้วแต่ท่านไม่หยุด ตนต้องทำให้บ้านเมือง จะให้ทำอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจในวันนี้ ถ้าตนไม่เสือกแล้วใครจะเสือก มันยากนะ วันนี้ปัญหาบ้านเมืองตนอยู่เฉยไม่ได้ ในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและลูกเป็นนายกรัฐมนตรี มีอะไรก็ต้องช่วยกัน วันนี้ประชุมว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งตนออกนอกประเทศไม่ได้ถ้าออกได้จะสนุกกว่านี้ เมื่อถามว่าอยากจะออกไปช่วย แล้วมีคดีมองว่าเหมือนมีใครมาล่ามขาไว้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว ตอนที่ปฏิวัติปี 2549 คดีของตนจะหมดอายุความก็เลยล็อคไว้ก่อน โดยใช้การสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับม. 112 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งตนไม่กังวล เราไม่มีอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นภาวะปกติ ก็คงไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาแต่เป็นภาวะพิเศษ เมื่อถามว่า ในกลไกบริบททางการเมือง ในปัจจุบันทั้งกลไกเรื่องฝ่ายค้าน กลไกนิติสงครามทางข้อกฎหมาย กลไกองค์การอิสระ จะมีกลไกมีอำนาจอะไรที่เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ที่จะทำให้การทำงานของรัฐบาลเดินต่อไปไม่ค่อยได้ สะดุดตลอด นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความหยุมหยิมของระบบ ซึ่งต้องแก้ระบบการเมืองที่วางไว้ องค์การอิสระที่อนุญาตให้ใครก็ได้มาร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คดีหลบไปหมด ซึ่งอาจจะส่งเสริมอาชีพนักร้อง บางคนรับจ้างร้องหรือบางคนรับจ้างหยุดร้อง เมื่อถามว่า การกลับมาเป็น สทร. กลัวจะมีอำนาจอะไรหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า อย่ามากลัวตน หมูเรียกพี่ใครเจอตน ผมหมูจะตาย ไม่เคยฆ่าใครมีแต่ช่วยคน เมื่อถามว่า สายน้ำเงิน บอกว่าไม่กลัวลูกแต่กลัวพ่อนายทักษิณ กล่าวว่า ตนคุยชัดเจนจะตาย ถ้าชัดเจนแบบที่ตนบอกก็จบไปแล้ว เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับนายเนวิน หรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่าไม่ได้คุยเลย เพราะเขาไม่คุยกับตน พรรคที่ร่วมรัฐบาล แปลสภาพมาเป็นฝ่ายค้าน เมื่อถามว่า ไม่รู้จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายแค้น นายทักษิณ กล่าวว่า น่าจะแค้นมากกว่าค้าน เมื่อถามถึงเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงมหาดไทยที่เข้าไปดูแลกรมที่ดิน ประเมินเรื่องเขากระโดงอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา และกฎหมาย ซึ่งที่ดินอัลไพน์ก็โดนสั่งถอน ว่ากันไปตามกติกามีสิทธิ์ก็รักษาสิทธิ์ไป ใครนั่งทับสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องโดน ม. 157 และเดี๋ยวอีกไม่นานก็ต้องมีคนมาร้อง มท.1ใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็มาแล้ว เป็นอย่างที่เขาบอกว่าบ้านเมืองเราไม่ใช่ผู้เสียหายก็ร้องได้เลอะเทอะไปหมด ส่วนเรื่องการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ มีการโยกย้ายทันที ถือว่ามาถูกทางหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าต้องเห็นใจ เขามาจากกระทรวงกลาโหม มาถึงตรงนี้ต้องเด็ดขาด และมองว่ากลไกกระทรวงมหาดไทยเริ่มทำงานแล้ว ได้ข่าวรัฐมนตรีบอกว่าจะดุเอง บอกว่าไม่ต้องมาต้อนรับ หากผู้ว่าฯไม่ทำงานก็จะโดน ส่วนในแง่การทำงานระหว่างที่นางสาวแพทองธารถูกพักการทำหน้าที่ จะสร้างความมั่นใจให้คนอย่างไรว่ารัฐบาลยังไม่ถึงจุดอับ ทักษิณกล่าวว่า “พ่อนายกอยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่ มีอะไรก็บอกให้รัฐมนตรีช่วยกันทำเชื่อว่าไม่มีสูญญากาศ ส่วนที่บอกว่าข้าราชการจะเกียร์ว่างนั้นไม่ต้องว่าง ไม่ต้องรอสถานการณ์การเมือง อย่าไปคิดว่า river จะ return” เมื่อถามว่าระบบราชการหลังรัฐประหารเปลี่ยนไป นายทักษิณยอมรับว่า เปลี่ยนไป ข้าราชการบางคนบอกว่าจะกลับมา แต่ตนขอบอกว่า river of no return จะรีเทิร์นต้องรอเลือกตั้งสมัยหน้า เมื่อถามว่าคะแนนนิยมที่ลดลง น่าห่วงหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า การเมืองเป็นกระแส ต้องดูว่าในภาวะการณ์ไหน หากโดนรุมอย่างนี้ หากเป็นทางโซเชียลมีเดีย ซอมบี้ทั้งหลาย ก็จะมีการปั่นกันโกรธกัน สักเดี๋ยวก็หยุด ส่วนจะขับเคลื่อนโครงการใหญ่ได้อย่างไร ในช่วงที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพ นายทักษิณกล่าวว่าอะไรที่เคลื่อนได้ก็ต้องเคลื่อน อะไรที่เป็นรูทีนก็ต้องขับเคลื่อนทั้งเรื่องยาเสพติดการแก้หนี้การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องโครงการใหญ่ใหญ่อยู่ในแนยทางอยู่แล้วก็ต้องทำไปส่วนเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์วันนี้ถอนออกมาเพราะไม่อยากให้สับสน ซึ่งช่วงนี้ต้องเรียงลำดับความสำคัญก็ไม่เป็นไร”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ใช้เน็ตมือถือ(โปรไม่อั้นจ่ายรายเดือน เล่นได้ตลอดปี)เล่น Maplestory เพราะ Wi-Fi 5GHz เน็ตบ้านมันเข้าเล่นไม่ได้ แชร์เน็ตมือถือเข้าเล่นเกมส์ได้เฉย เอาเป็นว่าวันนี้ยังไม่สิ้นสุด เพราะหนทางยังอีกยาวไกล ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน พยายามไม่หยุดเดิน เหนื่อยก็พัก
    ซื้อเครื่องดื่มผสมกระทิงแดงที่พันธุ์ไทย ผมลองของผมบ้าง เอากระทิงแดงผสมจีบีท กลายเป็น มิโนทอร์คะนองภูผาแมมมอธไปเลยทีเดียว
    และตอนนี้ผมคงทำใจได้ ปล่อยวางเพราะฐานข้อมูลเก่ามันรก ตัวโปรแกรมก็มีความซับซ้อนเยอะ เลยหาทางปรับเมนูหน้าร้านให้ไม่ตรงกับร้านต้นฉบับ
    ทุเรียน 1-2 หยุม พยุงให้ผมฮึดสู้ตั้งแต่กลับมาจากชุมพร และได้เสื้อช็อปวิศวฯ ไว้ระลึกเพื่อให้มีแรงในการสู้งานต่อได้
    วันนี้ใช้เน็ตมือถือ(โปรไม่อั้นจ่ายรายเดือน เล่นได้ตลอดปี)เล่น Maplestory เพราะ Wi-Fi 5GHz เน็ตบ้านมันเข้าเล่นไม่ได้ แชร์เน็ตมือถือเข้าเล่นเกมส์ได้เฉย เอาเป็นว่าวันนี้ยังไม่สิ้นสุด เพราะหนทางยังอีกยาวไกล ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน พยายามไม่หยุดเดิน เหนื่อยก็พัก ซื้อเครื่องดื่มผสมกระทิงแดงที่พันธุ์ไทย ผมลองของผมบ้าง เอากระทิงแดงผสมจีบีท กลายเป็น มิโนทอร์คะนองภูผาแมมมอธไปเลยทีเดียว และตอนนี้ผมคงทำใจได้ ปล่อยวางเพราะฐานข้อมูลเก่ามันรก ตัวโปรแกรมก็มีความซับซ้อนเยอะ เลยหาทางปรับเมนูหน้าร้านให้ไม่ตรงกับร้านต้นฉบับ ทุเรียน 1-2 หยุม พยุงให้ผมฮึดสู้ตั้งแต่กลับมาจากชุมพร และได้เสื้อช็อปวิศวฯ ไว้ระลึกเพื่อให้มีแรงในการสู้งานต่อได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายสัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเรื่องหินสามชาติ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน (แม่น้ำลืมเลือน) วันนี้เลยมาคุยกันอีกสักนิดถึงแม่น้ำวั่งชวนนี้ หากใครได้ดูละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> จะเห็นฉากที่นางเอกลงไปลุยแม่น้ำวั่งชวน รูปแม่น้ำตามรูปขวา (จากในละคร) แลเห็นมีแสงเขียวเป็นดวงๆ อยู่ในน้ำ ซึ่งตามตำนานนั้นพวกนี้ก็คือดวงวิญญาน

    ความมีอยู่ว่า
    ...ข้ายกขาก้าวลงไปในแม่น้ำวั่งชวนอย่างไม่ลังเล มิใยที่เหล่าวิญญาณที่กำลังคร่ำครวญโหยหวนต่างกรูกันเข้ามา เพียงชั่วขณะจิตก็ฉุดรั้งครึ่งท่อนล่างของร่างข้าลงไป ข้าใช้มือแกะเส้นสายดวงวิญญาณในน้ำเหล่านี้ออกไป พลางพินิจดูดวงวิญญาณในน้ำนั้น ข้าเชื่อว่า ขอเพียงข้าเสาะหาอย่างไม่หยุดยั้ง ต่อให้แม่น้ำวั่งชวนจะมีกี่ล้านพันล้านดวงวิญญาณ ข้าก็จะยังหาพบเสี้ยวหนึ่งของเขา...
    - จากเรื่อง <มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง> ผู้แต่ง เตี้ยนเสี้ยน
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เพื่อนเพจแฟนคลับนิยายจีนแนวเทพเซียนคงคุ้นเคยดีกับเรื่องน้ำแกงยายเมิ่งที่ทำให้คนลืมอดีตชาติเพื่อไปเกิดใหม่ ว่ากันว่ายายเมิ่งแจกจ่ายน้ำแกงนี้ให้ดวงวิญญาณกินก่อนจะก้าวข้ามผ่านสะพานไน่เหอ (เคยมีคนแปลไว้ว่าสะพานอนิจจัง) เพื่อไปสู่ภพชาติใหม่ ผู้ใดไม่ยอมดื่มน้ำแกงยายเมิ่งก็ข้ามสะพานไน่เหอไปเกิดใหม่ไม่ได้ สะพานไน่เหอนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวั่งชวน (แต่ในละครไม่มี) ตามตำนานนั้นสะพานไน่เหอมีสามชั้น ชั้นบนสุดปลอดภัยเดินสะดวก เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่มีจิตใจปราณี ชั้นที่สองเดินลำบากหน่อยแต่ไม่อันตราย เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่ทำผิดเล็กน้อยมาบ้างทำดีมาบ้าง ส่วนชั้นล่างอันตรายสุดมีงูทองแดงและสุนัขเหล็กคอยจู่โจม เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่เคยทำเรื่องชั่วร้าย

    วั่งชวน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแม่น้ำลืมเลือน แล้วทำไมจึงมีดวงวิญญาณ? คำตอบก็คือ 1) คนที่ข้ามสะพานไม่ผ่านแล้วหล่นลงมา (ก็จากสะพานชั้นล่างที่อันตรายสุดตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นที่เล่าขานว่าดวงวิญญาณในแม่น้ำวั่งชวนส่วนใหญ่เป็นวิญญาณร้าย) และ 2) คนที่ไม่สามารถปล่อยวางอดีต ไม่ยอมกินน้ำแกงยายเมิ่ง ข้ามสะพานไน่เหอไม่ได้ ได้แต่กระโดดลงไปในแม่น้ำวั่งชวนเพื่อรอคอยคนรัก และต้องรอนานถึงหนึ่งพันปี

    สำหรับคนที่กระโดดลงน้ำเพื่อรอคอยคนรัก เชื่อว่ามันคงเป็นการรอคอยที่ทรมาน เพราะภายในหนึ่งพันปีนั้น เขาอาจได้เห็นคนรักดื่มน้ำแกงยายเมิ่งข้ามสะพานแล้วลืมอดีตชาติลืมตนเองไปโดยไม่ทันได้มองลงมาเห็นตน และอาจบางทีเขาต้องมองคนคนนั้นก้าวข้ามผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า เศร้าไหม? แต่หากอดทนได้พันปีไม่ลืมรักก็จะมีโอกาสไปเกิดใหม่เพื่อตามหารักนั้นอีกครั้ง… ย้ำ: ถ้าอดทนได้หนึ่งพันปี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://wallpapercave.com/ashes-of-love-wallpapers
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.360doc.com/content/17/0124/22/31610762_624607651.shtml
    https://www.bilibili.com/read/cv8965867/
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/27278819

    #มธุรสหวานล้ำ #เถ้ามธุรส #วั่งชวน #ตำนานจีน StoryfromStory
    หลายสัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเรื่องหินสามชาติ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน (แม่น้ำลืมเลือน) วันนี้เลยมาคุยกันอีกสักนิดถึงแม่น้ำวั่งชวนนี้ หากใครได้ดูละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> จะเห็นฉากที่นางเอกลงไปลุยแม่น้ำวั่งชวน รูปแม่น้ำตามรูปขวา (จากในละคร) แลเห็นมีแสงเขียวเป็นดวงๆ อยู่ในน้ำ ซึ่งตามตำนานนั้นพวกนี้ก็คือดวงวิญญาน ความมีอยู่ว่า ...ข้ายกขาก้าวลงไปในแม่น้ำวั่งชวนอย่างไม่ลังเล มิใยที่เหล่าวิญญาณที่กำลังคร่ำครวญโหยหวนต่างกรูกันเข้ามา เพียงชั่วขณะจิตก็ฉุดรั้งครึ่งท่อนล่างของร่างข้าลงไป ข้าใช้มือแกะเส้นสายดวงวิญญาณในน้ำเหล่านี้ออกไป พลางพินิจดูดวงวิญญาณในน้ำนั้น ข้าเชื่อว่า ขอเพียงข้าเสาะหาอย่างไม่หยุดยั้ง ต่อให้แม่น้ำวั่งชวนจะมีกี่ล้านพันล้านดวงวิญญาณ ข้าก็จะยังหาพบเสี้ยวหนึ่งของเขา... - จากเรื่อง <มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง> ผู้แต่ง เตี้ยนเสี้ยน (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่อง <เถ้ามธุรส> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เพื่อนเพจแฟนคลับนิยายจีนแนวเทพเซียนคงคุ้นเคยดีกับเรื่องน้ำแกงยายเมิ่งที่ทำให้คนลืมอดีตชาติเพื่อไปเกิดใหม่ ว่ากันว่ายายเมิ่งแจกจ่ายน้ำแกงนี้ให้ดวงวิญญาณกินก่อนจะก้าวข้ามผ่านสะพานไน่เหอ (เคยมีคนแปลไว้ว่าสะพานอนิจจัง) เพื่อไปสู่ภพชาติใหม่ ผู้ใดไม่ยอมดื่มน้ำแกงยายเมิ่งก็ข้ามสะพานไน่เหอไปเกิดใหม่ไม่ได้ สะพานไน่เหอนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำวั่งชวน (แต่ในละครไม่มี) ตามตำนานนั้นสะพานไน่เหอมีสามชั้น ชั้นบนสุดปลอดภัยเดินสะดวก เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่มีจิตใจปราณี ชั้นที่สองเดินลำบากหน่อยแต่ไม่อันตราย เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่ทำผิดเล็กน้อยมาบ้างทำดีมาบ้าง ส่วนชั้นล่างอันตรายสุดมีงูทองแดงและสุนัขเหล็กคอยจู่โจม เป็นชั้นเดินของวิญญาณที่เคยทำเรื่องชั่วร้าย วั่งชวน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแม่น้ำลืมเลือน แล้วทำไมจึงมีดวงวิญญาณ? คำตอบก็คือ 1) คนที่ข้ามสะพานไม่ผ่านแล้วหล่นลงมา (ก็จากสะพานชั้นล่างที่อันตรายสุดตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นที่เล่าขานว่าดวงวิญญาณในแม่น้ำวั่งชวนส่วนใหญ่เป็นวิญญาณร้าย) และ 2) คนที่ไม่สามารถปล่อยวางอดีต ไม่ยอมกินน้ำแกงยายเมิ่ง ข้ามสะพานไน่เหอไม่ได้ ได้แต่กระโดดลงไปในแม่น้ำวั่งชวนเพื่อรอคอยคนรัก และต้องรอนานถึงหนึ่งพันปี สำหรับคนที่กระโดดลงน้ำเพื่อรอคอยคนรัก เชื่อว่ามันคงเป็นการรอคอยที่ทรมาน เพราะภายในหนึ่งพันปีนั้น เขาอาจได้เห็นคนรักดื่มน้ำแกงยายเมิ่งข้ามสะพานแล้วลืมอดีตชาติลืมตนเองไปโดยไม่ทันได้มองลงมาเห็นตน และอาจบางทีเขาต้องมองคนคนนั้นก้าวข้ามผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า เศร้าไหม? แต่หากอดทนได้พันปีไม่ลืมรักก็จะมีโอกาสไปเกิดใหม่เพื่อตามหารักนั้นอีกครั้ง… ย้ำ: ถ้าอดทนได้หนึ่งพันปี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://wallpapercave.com/ashes-of-love-wallpapers Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.360doc.com/content/17/0124/22/31610762_624607651.shtml https://www.bilibili.com/read/cv8965867/ https://zhuanlan.zhihu.com/p/27278819 #มธุรสหวานล้ำ #เถ้ามธุรส #วั่งชวน #ตำนานจีน StoryfromStory
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อใจนึกถึงพระ...ใจก็ไม่ตกต่ำอีกเลย

    เมื่อจิตนึกถึงพระ
    คือจิตกำลังผูกอยู่กับของสูง
    ไม่ว่าโลกจะกดดัน บีบคั้น หรือพาให้ทุกข์เพียงใด
    ตราบใดจิตยังนึกถึงพระ จิตจะไม่ตกต่ำลงได้เลย

    เหมือนคนกำลังจะล้ม
    แต่มีเชือกเส้นหนึ่งดึงไว้
    ไม่ให้ร่วงลงสู่เหวลึก

    การสวดมนต์
    ไม่ใช่แค่การท่องบทศักดิ์สิทธิ์
    แต่เป็นการ “เปลี่ยนคลื่นใจ”
    ให้หันออกจากความกลัว ความทุกข์ ความอาฆาต
    มาผูกไว้กับพลังแห่งการพ้นทุกข์
    ผูกไว้กับคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    พลังพุทธคุณ
    คือพลังแห่งแสงสว่างที่อยู่เหนือความมืดทุกชนิด
    คือแรงส่งที่ไม่ต้องร้องขอ
    แต่ได้มาเพราะเปิดใจยอมรับความสว่างนั้น
    ด้วยการสรรเสริญ ไม่ใช่การเรียกร้อง
    ด้วยความน้อม ไม่ใช่ความอยาก

    บทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
    คือบทที่สวดออกจากศรัทธา
    โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต่อรอง
    ไม่ใช่บทที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวอักษร
    แต่ศักดิ์สิทธิ์เพราะทำให้ใจสงบ
    ทำให้เราน้อมลง
    และเปิดประตูให้ความดีงามเข้ามาในชีวิต

    สวดอย่างไรให้ได้พลังพุทธคุณ?
    ไม่ใช่แค่จำบทได้ครบ
    แต่คือสวดแล้ว “ใจเบา”
    สวดแล้ว “อัตตาลด”
    สวดแล้ว “พร้อมจะเจริญสติ”
    มองเห็นความไม่เที่ยง
    เห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง

    ถ้าสวดแล้วรู้สึกโล่ง
    รู้สึกอยากทำดี
    รู้สึกอยากปล่อยวาง
    รู้สึกพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใจที่สงบกว่าเดิม
    แปลว่า…คุณสวดถูกทางแล้ว

    เพียงแค่ใจผูกไว้กับพระ จิตก็เหมือนมีที่ยึด
    ที่ไม่หวั่นไหวตามคลื่นโลก
    ไม่ว่าข้างนอกจะมีเรื่องเลวร้ายขนาดไหน
    แต่ข้างใน...ยังมีแสงแห่งพระรัตนตรัย
    เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ปลอดภัยและบริสุทธิ์ที่สุด

    #พลังพุทธคุณ
    #สวดมนต์เพื่อพ้นทุกข์
    #ธรรมะเยียวยาหัวใจ
    #การสวดมนต์ไม่ใช่แค่บทท่องจำ
    #แต่คือบทแปรเปลี่ยนจิต
    🕯️ เมื่อใจนึกถึงพระ...ใจก็ไม่ตกต่ำอีกเลย เมื่อจิตนึกถึงพระ คือจิตกำลังผูกอยู่กับของสูง ไม่ว่าโลกจะกดดัน บีบคั้น หรือพาให้ทุกข์เพียงใด ตราบใดจิตยังนึกถึงพระ จิตจะไม่ตกต่ำลงได้เลย เหมือนคนกำลังจะล้ม แต่มีเชือกเส้นหนึ่งดึงไว้ ไม่ให้ร่วงลงสู่เหวลึก 📿 การสวดมนต์ ไม่ใช่แค่การท่องบทศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการ “เปลี่ยนคลื่นใจ” ให้หันออกจากความกลัว ความทุกข์ ความอาฆาต มาผูกไว้กับพลังแห่งการพ้นทุกข์ ผูกไว้กับคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ✨ พลังพุทธคุณ คือพลังแห่งแสงสว่างที่อยู่เหนือความมืดทุกชนิด คือแรงส่งที่ไม่ต้องร้องขอ แต่ได้มาเพราะเปิดใจยอมรับความสว่างนั้น ด้วยการสรรเสริญ ไม่ใช่การเรียกร้อง ด้วยความน้อม ไม่ใช่ความอยาก 🙏 บทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก คือบทที่สวดออกจากศรัทธา โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต่อรอง ไม่ใช่บทที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวอักษร แต่ศักดิ์สิทธิ์เพราะทำให้ใจสงบ ทำให้เราน้อมลง และเปิดประตูให้ความดีงามเข้ามาในชีวิต 🧘‍♂️ สวดอย่างไรให้ได้พลังพุทธคุณ? ไม่ใช่แค่จำบทได้ครบ แต่คือสวดแล้ว “ใจเบา” สวดแล้ว “อัตตาลด” สวดแล้ว “พร้อมจะเจริญสติ” มองเห็นความไม่เที่ยง เห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง 🌿 ถ้าสวดแล้วรู้สึกโล่ง รู้สึกอยากทำดี รู้สึกอยากปล่อยวาง รู้สึกพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใจที่สงบกว่าเดิม แปลว่า…คุณสวดถูกทางแล้ว 🕊️ เพียงแค่ใจผูกไว้กับพระ จิตก็เหมือนมีที่ยึด ที่ไม่หวั่นไหวตามคลื่นโลก ไม่ว่าข้างนอกจะมีเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แต่ข้างใน...ยังมีแสงแห่งพระรัตนตรัย เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ปลอดภัยและบริสุทธิ์ที่สุด #พลังพุทธคุณ #สวดมนต์เพื่อพ้นทุกข์ #ธรรมะเยียวยาหัวใจ #การสวดมนต์ไม่ใช่แค่บทท่องจำ #แต่คือบทแปรเปลี่ยนจิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค่เห็นหน้าก็รัก...แต่รู้ว่ารักไม่ได้

    หลายคนไม่สบายใจกับการ “แอบรักใครบางคน”
    ทั้งที่ตัวเองไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดร้อน
    แค่ใจมันรู้สึก…ก็รู้สึกผิดแล้ว
    กลัวว่า “รักแบบนี้” จะเป็นบาป
    กลัวว่า “คิดแบบนี้” จะทำลายศีล
    กลัวว่า “รู้สึกแบบนี้” จะทำให้เป็นคนไม่ดี

    แต่ในทางธรรม…
    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ปฏิเสธความรู้สึก
    ท่านสอนให้ รู้เท่าทันมัน

    ราคะไม่ได้ผิดโดยตัวมันเอง
    ความรู้สึกอยากได้ อยากครอบครอง อยากใกล้ชิด
    เป็นเพียงกระแสธรรมชาติของใจมนุษย์
    เราไม่ต้องไปเกลียดมัน ไม่ต้องไปรีบตัดทิ้ง
    แค่ให้ “รู้ว่าเกิด” “รู้ว่ามี” “รู้ว่าเป็นไป”

    เหมือนลมผ่าน
    ไม่ต้องจับ ไม่ต้องผลัก
    ไม่ต้องเอา ไม่ต้องต้าน
    รู้เฉยๆ ว่ามันพัดผ่าน

    เมื่อ “ราคะเกิดขึ้น” ก็แค่รู้ว่าราคะเกิด
    เมื่อ “ราคะหายไป” ก็รู้ว่าราคะหาย
    เมื่อเห็นบ่อยๆ ว่ามันมาแล้วก็ไป
    ใจจะเริ่มเบาลง
    ไม่ใช่เพราะเรา บังคับตัวเองให้ตัดใจได้
    แต่เพราะเรา ไม่ยึด กับมันอีกต่อไป

    เจริญสติในจิตตานุปัสสนา
    คือการเฝ้าดู “ความรู้สึก” ที่เกิดในใจ
    อย่างไม่ตัดสิน ไม่สรุปว่าเลวหรือดี
    ไม่ต้องรู้สึกผิดที่รักใคร
    ไม่ต้องรู้สึกดีที่รักใคร
    ให้รู้ทัน...แล้ววางลง

    แต่ถ้าใจเรายังอยากตัดใจ
    ยังอยากเลิกรู้สึก
    ยังคิดว่า “รักเขาไม่ได้ ต้องเลิกรักให้ได้”
    นั่นแหละ...คือการยึดรูปแบบใหม่
    ยึดในฐานะของ “คนผิด”
    ยึดในฐานะของ “ความรู้สึกไม่เหมาะสม”
    เป็นการลงโทษตัวเองซ้ำๆ
    แทนที่จะ “รู้แล้ววาง”

    แต่ถ้าใจเราเป็นกลางได้เมื่อไหร่
    ใจจะคลายได้เอง
    ไม่จำเป็นต้องตัด
    ไม่จำเป็นต้องบังคับ
    แค่รู้ว่าราคะมา ก็รู้
    ราคะหาย ก็รู้
    ในที่สุดใจจะ ไม่แคร์ว่ามันจะมาอีกไหม

    นี่คือการฝึกปล่อยวางอย่างแท้จริง
    ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องอาลัย
    ไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่ใจรู้สึก

    เพราะเมื่อสติสว่าง
    ใจจะเห็นเองว่า
    ความรักแบบนี้...ก็แค่ผ่านมา และจะผ่านไป
    เหมือนทุกสิ่งในโลกนี้

    #รักได้แต่ไม่ต้องทุกข์
    #ธรรมะเยียวยาหัวใจ
    #เจริญสติอย่างไม่ตัดสิน
    #ความรักกับการปล่อยวาง
    #เห็นราคะเป็นธรรมดา
    #DhammaHealing
    🌱 แค่เห็นหน้าก็รัก...แต่รู้ว่ารักไม่ได้ หลายคนไม่สบายใจกับการ “แอบรักใครบางคน” ทั้งที่ตัวเองไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดร้อน แค่ใจมันรู้สึก…ก็รู้สึกผิดแล้ว กลัวว่า “รักแบบนี้” จะเป็นบาป กลัวว่า “คิดแบบนี้” จะทำลายศีล กลัวว่า “รู้สึกแบบนี้” จะทำให้เป็นคนไม่ดี แต่ในทางธรรม… พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ปฏิเสธความรู้สึก ท่านสอนให้ รู้เท่าทันมัน 💔 ราคะไม่ได้ผิดโดยตัวมันเอง ความรู้สึกอยากได้ อยากครอบครอง อยากใกล้ชิด เป็นเพียงกระแสธรรมชาติของใจมนุษย์ เราไม่ต้องไปเกลียดมัน ไม่ต้องไปรีบตัดทิ้ง แค่ให้ “รู้ว่าเกิด” “รู้ว่ามี” “รู้ว่าเป็นไป” 🌬️ เหมือนลมผ่าน ไม่ต้องจับ ไม่ต้องผลัก ไม่ต้องเอา ไม่ต้องต้าน รู้เฉยๆ ว่ามันพัดผ่าน เมื่อ “ราคะเกิดขึ้น” ก็แค่รู้ว่าราคะเกิด เมื่อ “ราคะหายไป” ก็รู้ว่าราคะหาย เมื่อเห็นบ่อยๆ ว่ามันมาแล้วก็ไป ใจจะเริ่มเบาลง ไม่ใช่เพราะเรา บังคับตัวเองให้ตัดใจได้ แต่เพราะเรา ไม่ยึด กับมันอีกต่อไป ☸️ เจริญสติในจิตตานุปัสสนา คือการเฝ้าดู “ความรู้สึก” ที่เกิดในใจ อย่างไม่ตัดสิน ไม่สรุปว่าเลวหรือดี ไม่ต้องรู้สึกผิดที่รักใคร ไม่ต้องรู้สึกดีที่รักใคร ให้รู้ทัน...แล้ววางลง 🔥 แต่ถ้าใจเรายังอยากตัดใจ ยังอยากเลิกรู้สึก ยังคิดว่า “รักเขาไม่ได้ ต้องเลิกรักให้ได้” นั่นแหละ...คือการยึดรูปแบบใหม่ ยึดในฐานะของ “คนผิด” ยึดในฐานะของ “ความรู้สึกไม่เหมาะสม” เป็นการลงโทษตัวเองซ้ำๆ แทนที่จะ “รู้แล้ววาง” 🍃 แต่ถ้าใจเราเป็นกลางได้เมื่อไหร่ ใจจะคลายได้เอง ไม่จำเป็นต้องตัด ไม่จำเป็นต้องบังคับ แค่รู้ว่าราคะมา ก็รู้ ราคะหาย ก็รู้ ในที่สุดใจจะ ไม่แคร์ว่ามันจะมาอีกไหม 💡 นี่คือการฝึกปล่อยวางอย่างแท้จริง ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องอาลัย ไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่ใจรู้สึก เพราะเมื่อสติสว่าง ใจจะเห็นเองว่า ความรักแบบนี้...ก็แค่ผ่านมา และจะผ่านไป เหมือนทุกสิ่งในโลกนี้ #รักได้แต่ไม่ต้องทุกข์ #ธรรมะเยียวยาหัวใจ #เจริญสติอย่างไม่ตัดสิน #ความรักกับการปล่อยวาง #เห็นราคะเป็นธรรมดา #DhammaHealing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪷 ไม่มีวันไหนที่สูญเปล่า…ถ้าใจเรารู้ทัน

    บางวัน…อาจไม่ได้ภาวนาได้นาน
    บางวัน…อาจโกรธจนอยากตอบโต้
    บางวัน…อาจฟุ้งซ่านจนหาทางนิ่งไม่เจอ

    แต่ถ้า แค่เห็น ว่า "ความโกรธนี้"
    เกิดจากใจที่ไปผูกกับความเจ็บ
    แล้วรู้ว่าการปล่อยวางทำให้สุขขึ้น

    หรือ แค่เห็น ว่า "ความฟุ้งซ่านนี้"
    มาจากภาระชีวิตที่ยังต้องคิดต้องจัดการ
    แล้วเลิกเพ่งว่าจิตต้องนิ่งให้ได้วันนี้

    …ก็ถือว่า “วันนั้นไม่สูญเปล่าแล้ว”

    การเจริญสติแบบพุทธ
    ไม่ใช่การบังคับให้ชีวิตสงบเหมือนเดิมทุกวัน
    แต่คือการ “เห็นความต่าง” อย่างเข้าใจ

    เห็นว่าแม้วันนี้จิตจะไม่เหมือนเมื่อวาน
    แต่ก็เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป
    และถ้ารู้เหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้น
    เราจะค่อยๆ ปล่อยจาก อุปาทาน ที่เคยครอบงำจิตได้จริง

    แม้วันนั้นจะไม่สงบ
    แม้จะไม่ได้นั่งนาน
    แต่ถ้ามี “สติรู้ทันใจ” แม้เพียงครั้งเดียว
    ก็ถือว่าเราได้ ใช้ชีวิตอยู่เหนือชะตาเดิมแล้ว

    และนั่นคือสิ่งที่พุทธะเรียกว่า "ปัญญา"

    อย่าตั้งสเปคว่าต้องสงบ ต้องนิ่ง ต้องดีขึ้นทุกวัน
    แต่ให้ตั้งจิตไว้ที่ความจริงว่า
    "ขอแค่วันนี้…ได้เห็นใจตัวเองอย่างที่เป็น"

    ก็ไม่มีวันไหนในชีวิต…ที่สูญเปล่าเลย

    #เจริญสติไม่ใช่การบังคับจิต
    #แต่คือการเรียนรู้จิตด้วยความเข้าใจ
    #ธรรมะกลางวันธรรมดา
    #เห็นใจตัวเองด้วยใจที่เข้าใจ
    🪷 ไม่มีวันไหนที่สูญเปล่า…ถ้าใจเรารู้ทัน บางวัน…อาจไม่ได้ภาวนาได้นาน บางวัน…อาจโกรธจนอยากตอบโต้ บางวัน…อาจฟุ้งซ่านจนหาทางนิ่งไม่เจอ แต่ถ้า แค่เห็น ว่า "ความโกรธนี้" เกิดจากใจที่ไปผูกกับความเจ็บ แล้วรู้ว่าการปล่อยวางทำให้สุขขึ้น หรือ แค่เห็น ว่า "ความฟุ้งซ่านนี้" มาจากภาระชีวิตที่ยังต้องคิดต้องจัดการ แล้วเลิกเพ่งว่าจิตต้องนิ่งให้ได้วันนี้ …ก็ถือว่า “วันนั้นไม่สูญเปล่าแล้ว” ✨ การเจริญสติแบบพุทธ ไม่ใช่การบังคับให้ชีวิตสงบเหมือนเดิมทุกวัน แต่คือการ “เห็นความต่าง” อย่างเข้าใจ เห็นว่าแม้วันนี้จิตจะไม่เหมือนเมื่อวาน แต่ก็เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป และถ้ารู้เหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้น เราจะค่อยๆ ปล่อยจาก อุปาทาน ที่เคยครอบงำจิตได้จริง แม้วันนั้นจะไม่สงบ แม้จะไม่ได้นั่งนาน แต่ถ้ามี “สติรู้ทันใจ” แม้เพียงครั้งเดียว ก็ถือว่าเราได้ ใช้ชีวิตอยู่เหนือชะตาเดิมแล้ว และนั่นคือสิ่งที่พุทธะเรียกว่า "ปัญญา" 💬 อย่าตั้งสเปคว่าต้องสงบ ต้องนิ่ง ต้องดีขึ้นทุกวัน แต่ให้ตั้งจิตไว้ที่ความจริงว่า "ขอแค่วันนี้…ได้เห็นใจตัวเองอย่างที่เป็น" ก็ไม่มีวันไหนในชีวิต…ที่สูญเปล่าเลย #เจริญสติไม่ใช่การบังคับจิต #แต่คือการเรียนรู้จิตด้วยความเข้าใจ #ธรรมะกลางวันธรรมดา #เห็นใจตัวเองด้วยใจที่เข้าใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาศึกษาวิธีการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องลังเลอะไร ไม่ต้องกังวลอะไรเยอะแยะ คนตื่นธรรม โจนจันได ดูให้เยอะๆ ทุกวันนี้ยังฟังคนตื่นธรรมอยู่เลย จิตใจของผมเริ่มกะเทาะออกมากระจ่างขึ้น และฟังควบคู่กับทานยาไปด้วย จัดสรรเวลาให้ Balance สำหรับผมและในแบของผม
    เรื่อง Youtube Premium อันนี้วางลงไปก่อน ไม่ได้ใช้พรีเมี่ยมนานแล้ว แต่พยายามอดทนกับโฆษณาที่ไม่ถูกกับจริตและโฉลกของผม ใครว่าผมไม่มีอะไรทำ ผมก็มีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะ ทั้งเสพเทรลเลอร์เกมส์และหนัง หาเวลามาทำโจทย์เพื่อประเทืองสมอง หาอะไรที่อยากดูก็ดู แต่พยายามดูจนจบ
    ตอนนี้อย่าคิดเรื่องจ่ายค่าพรีเมียมเดือนละ 179 บาท แต่คงต้องปรับจูนแนวความคิดและชุดความคิดส่วนตัวใหม่ ลำพังเงินกินข้าวแทบจะไม่มีเลย
    หลังจากที่ปล่อยวางเลิกคิดเรื่องฟรีแลนซ์ที่ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ เหมือนทำงานให้เขาฟรีๆ โดนโทรตามจิกถี่ทั้งวันทั้งคืน แถมรับงานหน้าเดิมๆแต่ไม่เปลี่ยนลูกค้าเพราะเกรงใจลูกค้าเดิมมากเกินไป เกือบจะเป็นทาส เป็นขี้ข้าให้เขา 1 ปีเต็มๆ แต่ก็ออกมาได้เพราะรู้สึกอึดอัด แก้ไปร้อยๆพันๆรอบแล้วจะโทรจิกบ่อยจนผมไม่มีสมาธิที่มั่นคง สุดท้ายก็บอกยกเลิกจ็อบไป และไม่คุยกับ 2 คนนั้นอีกต่อไปแล้ว
    ปัญหาคือลูกค้าเดิมให้ผมใช้เฟรมเวิร์กเวอร์ชั่นเก่าในการพัฒนา แต่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก PHP 8.4 แต่ยังให้ใช้ PHP 7.4 ไม่คิดจะใช้เวอร์ชั่นปัจจุบันกันนักรึไง
    เว็บขายผลงานยังไม่ได้ลงมือทำเลย พอร์ตฟอลิโอ้ เรซุเม่ ก็ยังไม่รีเมคเลย คือตามงานไปหลายรอบ แก้ไปหลายรอบแล้ว แต่ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ค่อยมีเวลาสงบสติอารมณ์ แต่จำเป็นต้องยกเลิกงานให้คนในบริษัทมันทำ คือเป็นฟรีแลนซ์แล้วรู้สึกถูกกดค่างาน ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่ กกต.ดึงตัวผมไปเป็นผู้ช่วยพร้อมย้ายทะเบียนบ้านทำบัตรใหม่ทั้งๆที่ผมไม่ต้องการแบบนี้ด้วยซ้ำ จุดนั้นทำให้ผมพังทลายไปเยอะ แต่กว่าจะกู้คืนกลับมาก็ยาก แต่ตอนนี้ควรโฟกัสสิ่งที่ผมควรจะทำก่อน ไม่รำลึกนึกถึงอดีต
    เวลาศึกษาวิธีการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องลังเลอะไร ไม่ต้องกังวลอะไรเยอะแยะ คนตื่นธรรม โจนจันได ดูให้เยอะๆ ทุกวันนี้ยังฟังคนตื่นธรรมอยู่เลย จิตใจของผมเริ่มกะเทาะออกมากระจ่างขึ้น และฟังควบคู่กับทานยาไปด้วย จัดสรรเวลาให้ Balance สำหรับผมและในแบของผม เรื่อง Youtube Premium อันนี้วางลงไปก่อน ไม่ได้ใช้พรีเมี่ยมนานแล้ว แต่พยายามอดทนกับโฆษณาที่ไม่ถูกกับจริตและโฉลกของผม ใครว่าผมไม่มีอะไรทำ ผมก็มีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะ ทั้งเสพเทรลเลอร์เกมส์และหนัง หาเวลามาทำโจทย์เพื่อประเทืองสมอง หาอะไรที่อยากดูก็ดู แต่พยายามดูจนจบ ตอนนี้อย่าคิดเรื่องจ่ายค่าพรีเมียมเดือนละ 179 บาท แต่คงต้องปรับจูนแนวความคิดและชุดความคิดส่วนตัวใหม่ ลำพังเงินกินข้าวแทบจะไม่มีเลย หลังจากที่ปล่อยวางเลิกคิดเรื่องฟรีแลนซ์ที่ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ เหมือนทำงานให้เขาฟรีๆ โดนโทรตามจิกถี่ทั้งวันทั้งคืน แถมรับงานหน้าเดิมๆแต่ไม่เปลี่ยนลูกค้าเพราะเกรงใจลูกค้าเดิมมากเกินไป เกือบจะเป็นทาส เป็นขี้ข้าให้เขา 1 ปีเต็มๆ แต่ก็ออกมาได้เพราะรู้สึกอึดอัด แก้ไปร้อยๆพันๆรอบแล้วจะโทรจิกบ่อยจนผมไม่มีสมาธิที่มั่นคง สุดท้ายก็บอกยกเลิกจ็อบไป และไม่คุยกับ 2 คนนั้นอีกต่อไปแล้ว ปัญหาคือลูกค้าเดิมให้ผมใช้เฟรมเวิร์กเวอร์ชั่นเก่าในการพัฒนา แต่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก PHP 8.4 แต่ยังให้ใช้ PHP 7.4 ไม่คิดจะใช้เวอร์ชั่นปัจจุบันกันนักรึไง เว็บขายผลงานยังไม่ได้ลงมือทำเลย พอร์ตฟอลิโอ้ เรซุเม่ ก็ยังไม่รีเมคเลย คือตามงานไปหลายรอบ แก้ไปหลายรอบแล้ว แต่ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ค่อยมีเวลาสงบสติอารมณ์ แต่จำเป็นต้องยกเลิกงานให้คนในบริษัทมันทำ คือเป็นฟรีแลนซ์แล้วรู้สึกถูกกดค่างาน ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่ กกต.ดึงตัวผมไปเป็นผู้ช่วยพร้อมย้ายทะเบียนบ้านทำบัตรใหม่ทั้งๆที่ผมไม่ต้องการแบบนี้ด้วยซ้ำ จุดนั้นทำให้ผมพังทลายไปเยอะ แต่กว่าจะกู้คืนกลับมาก็ยาก แต่ตอนนี้ควรโฟกัสสิ่งที่ผมควรจะทำก่อน ไม่รำลึกนึกถึงอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกที่เต็มไปด้วยคน “ครึ่งดี ครึ่งร้าย”

    ในโลกนี้...
    แม้แต่โจร หรือผู้ก่อการร้าย
    ยังมีมุมดีๆ ให้กับลูกเมีย พวกพ้อง
    ไม่มีใครร้ายล้วน — ไม่มีใครดีล้วน
    เราเองก็เช่นกัน
    ---

    แต่ถ้ามองโลกด้วยใจระแวง
    เราจะค่อยๆ เชื่อว่า

    "ถ้าไม่เป็นเสือ ก็ต้องเป็นเหยื่อ"

    แล้วพอใครขย้ำเรา
    เราก็จะอยากขย้ำเขาคืน
    หรือเผลอขย้ำใครต่อไปอีก…
    ---

    ทางของผู้รู้กรรม

    ต่อให้คุณทำดีได้เท่าพระพุทธเจ้า
    ก็ยังต้องเจอ “พระเทวทัต” และ “นางจิญจมาณวิกา”
    เพราะแม้แต่พระองค์ยังต้องใช้กรรมเก่า
    ที่เคยทำมาในภพชาตินับไม่ถ้วน

    อย่าคิดว่าการทำดีวันนี้
    จะกันภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
    แต่จงรู้ว่า...

    ความดีวันนี้ กำลังสะสม “เขตปลอดภัย” ของตนในวันข้างหน้า
    ---

    จงเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ของโลก

    เมื่อรู้ว่าโลกไม่ปลอดภัย
    อย่าไปรอให้คนอื่นหยุดร้าย
    แต่จงเริ่มจาก “เราหยุดร้าย” ให้ได้ก่อน

    รักษาศีล เพื่อไม่เป็นภัยกับใคร

    ให้ทาน เพื่อคลายทุกข์ให้ผู้อื่น

    ปล่อยวาง เพื่อไม่จองเวรต่อกัน
    ---

    เมื่อทำดีเป็นนิจ
    ใจจะเห็นความดีในตัวเอง
    มากกว่าจับผิดความเลวของคนอื่น

    คุณจะรู้จักระวังภัย
    โดยไม่เผลอเป็นภัย
    นี่แหละ...คนที่เริ่ม “เป็นแสงสว่าง” ให้โลก
    🌍 โลกที่เต็มไปด้วยคน “ครึ่งดี ครึ่งร้าย” ในโลกนี้... แม้แต่โจร หรือผู้ก่อการร้าย ยังมีมุมดีๆ ให้กับลูกเมีย พวกพ้อง ไม่มีใครร้ายล้วน — ไม่มีใครดีล้วน เราเองก็เช่นกัน --- แต่ถ้ามองโลกด้วยใจระแวง เราจะค่อยๆ เชื่อว่า "ถ้าไม่เป็นเสือ ก็ต้องเป็นเหยื่อ" แล้วพอใครขย้ำเรา เราก็จะอยากขย้ำเขาคืน หรือเผลอขย้ำใครต่อไปอีก… --- 👣 ทางของผู้รู้กรรม ต่อให้คุณทำดีได้เท่าพระพุทธเจ้า ก็ยังต้องเจอ “พระเทวทัต” และ “นางจิญจมาณวิกา” เพราะแม้แต่พระองค์ยังต้องใช้กรรมเก่า ที่เคยทำมาในภพชาตินับไม่ถ้วน อย่าคิดว่าการทำดีวันนี้ จะกันภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จงรู้ว่า... ความดีวันนี้ กำลังสะสม “เขตปลอดภัย” ของตนในวันข้างหน้า --- 🔒 จงเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ของโลก เมื่อรู้ว่าโลกไม่ปลอดภัย อย่าไปรอให้คนอื่นหยุดร้าย แต่จงเริ่มจาก “เราหยุดร้าย” ให้ได้ก่อน รักษาศีล เพื่อไม่เป็นภัยกับใคร ให้ทาน เพื่อคลายทุกข์ให้ผู้อื่น ปล่อยวาง เพื่อไม่จองเวรต่อกัน --- 🕯️ เมื่อทำดีเป็นนิจ ใจจะเห็นความดีในตัวเอง มากกว่าจับผิดความเลวของคนอื่น คุณจะรู้จักระวังภัย โดยไม่เผลอเป็นภัย นี่แหละ...คนที่เริ่ม “เป็นแสงสว่าง” ให้โลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • อธิษฐานแบบพุทธ...ไม่ได้ขอให้ “ได้” แต่ขอให้ “เป็น”

    เราโตมากับการสอนว่า
    “ทำบุญแล้วก็ขอให้ถูกหวย ขอให้รวย ขอให้เจอคนดี ขอให้สมหวังในรัก...”
    ฟังดูดี...แต่จริงๆ แล้วอันตรายไม่น้อย
    เพราะมันปลูกนิสัย “รอรับ” มากกว่า “ลุกขึ้นทำ”

    อธิษฐานแบบขอทำ ไม่ใช่ขอรับ

    การอธิษฐานตามแนวพุทธ
    ไม่ใช่ขอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้จากฟ้า
    แต่คือการเปล่งเจตนาอย่างรู้ตัว
    ในจิตที่สว่าง สดชื่นหลังทำความดี
    เพื่อ หนุนใจให้ลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้อง

    “ขอให้บุญนี้ ช่วยให้ใจไม่ย่อท้อ
    ขอให้ความดีที่ทำ เป็นแรงค้ำให้ก้าวเดินด้วยตัวเอง”

    ขอให้เกิดผลทางใจ ไม่ใช่ผลทางกาย

    ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการอธิษฐาน
    ไม่ใช่บ้าน รถ เงินทอง
    แต่คือ ใจที่มั่นคงขึ้น สว่างขึ้น แข็งแกร่งขึ้น
    เมื่ออธิษฐานในจังหวะที่จิตละเอียด
    จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่มีพลังที่สุด

    “ขอให้ข้าพเจ้า…เลิกฟุ้งซ่านได้
    เพราะรู้สึกถึงใจอ่อนโยนที่เกิดจากการกราบพระ”

    🪷 อธิษฐานให้ปล่อย ไม่ใช่ผูก

    การอธิษฐานที่ลึกที่สุด
    ไม่ใช่ “ขอให้ได้ชาติหน้าดีๆ”
    แต่คือ “ขอให้ปล่อยวางได้ก่อนหมดลมหายใจ”
    เพราะนั่นแหละ…คือ การไม่ผูกกรรมเพิ่ม

    “ขอให้บุญที่ทำทั้งหมด เป็นเหตุให้ใจนี้
    ยอมคืนขันธ์ทั้งหลายได้ด้วยความสงบ”

    ธรรมแท้ไม่สอนให้ขอพร
    แต่สอนให้ ใช้พรในใจเราเองให้เต็มกำลัง

    จะอธิษฐานอะไรก็ตาม
    ขอให้ลงท้ายด้วย...การเป็นคนที่กล้าทำ กล้าปล่อย
    และกล้ารับผิดชอบชีวิตตนเองอย่างแท้จริง
    🕯️ อธิษฐานแบบพุทธ...ไม่ได้ขอให้ “ได้” แต่ขอให้ “เป็น” เราโตมากับการสอนว่า “ทำบุญแล้วก็ขอให้ถูกหวย ขอให้รวย ขอให้เจอคนดี ขอให้สมหวังในรัก...” ฟังดูดี...แต่จริงๆ แล้วอันตรายไม่น้อย เพราะมันปลูกนิสัย “รอรับ” มากกว่า “ลุกขึ้นทำ” 💬 อธิษฐานแบบขอทำ ไม่ใช่ขอรับ การอธิษฐานตามแนวพุทธ ไม่ใช่ขอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้จากฟ้า แต่คือการเปล่งเจตนาอย่างรู้ตัว ในจิตที่สว่าง สดชื่นหลังทำความดี เพื่อ หนุนใจให้ลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้อง “ขอให้บุญนี้ ช่วยให้ใจไม่ย่อท้อ ขอให้ความดีที่ทำ เป็นแรงค้ำให้ก้าวเดินด้วยตัวเอง” 🌱 ขอให้เกิดผลทางใจ ไม่ใช่ผลทางกาย ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการอธิษฐาน ไม่ใช่บ้าน รถ เงินทอง แต่คือ ใจที่มั่นคงขึ้น สว่างขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เมื่ออธิษฐานในจังหวะที่จิตละเอียด จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่มีพลังที่สุด “ขอให้ข้าพเจ้า…เลิกฟุ้งซ่านได้ เพราะรู้สึกถึงใจอ่อนโยนที่เกิดจากการกราบพระ” 🪷 อธิษฐานให้ปล่อย ไม่ใช่ผูก การอธิษฐานที่ลึกที่สุด ไม่ใช่ “ขอให้ได้ชาติหน้าดีๆ” แต่คือ “ขอให้ปล่อยวางได้ก่อนหมดลมหายใจ” เพราะนั่นแหละ…คือ การไม่ผูกกรรมเพิ่ม “ขอให้บุญที่ทำทั้งหมด เป็นเหตุให้ใจนี้ ยอมคืนขันธ์ทั้งหลายได้ด้วยความสงบ” ✨ ธรรมแท้ไม่สอนให้ขอพร แต่สอนให้ ใช้พรในใจเราเองให้เต็มกำลัง จะอธิษฐานอะไรก็ตาม ขอให้ลงท้ายด้วย...การเป็นคนที่กล้าทำ กล้าปล่อย และกล้ารับผิดชอบชีวิตตนเองอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    อายุก็เป็นตัวนับอายุเวลาตั้งวันเกิดไปถึงวันตาย ปล่อยวางมันให้เร่งมาสร้างบุญ สร้างภาวนาให้เร็วๆ ดวงจิตดวงวิญญาณต้องไปต่อไม่มีที่สิ้นสุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความมีอยู่ว่า...

    ... เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ย “หลานจ้าน! อย่า! เจ้าอย่ายอมถอย!”
    หากแต่หลานว่างจีถอยไปห้าก้าวแล้วอย่างไม่ลังเล จินกวงเหยาจึงกล่าว “ดีมาก ขั้นต่อมาก็คือขอให้ท่านนำกระบี่ปี้เฉินเก็บเข้าฝักด้วย”
    ในความเงียบ หลานว่างจีทำตามอย่างไม่ชักช้า เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าว “เจ้าอย่าได้คืบเอาศอก!”
    จินกวงเหยากล่าว “เพียงเท่านี้ก็เรียกได้คืบเอาศอก? ข้าพเจ้ากำลังจะขอให้ท่านหานกวงจวินจี้สกัดจุดพลังของตนเองอยู่เชียว เช่นนั้นจะเรียกว่าอย่างไร?” ...

    - จากเรื่อง <ปรมาจารย์ลัทธิมาร>

    เพียงคนเดียวแต่กลับเรียกขานด้วยถึงสามชื่อ คือ หลานจ้าน หลานว่างจี และหานกวงจวิน ลูกเพจเคยสงสัยไหมคะว่าทำไม?

    ชื่อจีนในสมัยโบราณ มีคำว่า หมิง (名) จึ้อ (字) และอาจมี ฮ่าว (号)

    หมิง (名) คือชื่อที่ครอบครัวตั้งให้ มีทั้งที่มีความหมายดี หรือบางครั้งก็เป็นชื่อเรียกเล่นๆ ในที่นี่หลานจ้านของเรามีชื่อ (หรือหมิง) ว่า “จ้าน” ซึ่งแปลว่าความกระจ่างหรือความลึกซึ้ง

    ส่วน จึ้อ (字) คือชื่อรอง หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นชื่อที่ครูบาอาจารย์หรือผู้ใหญ่ที่นับถือตั้งให้สำหรับผู้ที่ได้ผ่านการเล่าเรียนมา โดยทั่วไปจะได้รับการตั้งชื่อเมื่อสตรีอายุครบสิบห้าปี (หรือวัยปักปิ่น) หรือเมื่อบุรุษอายุครบยี่สิบปี (หรือวัยครอบมงกฎผม) ซึ่งชื่อนี้มักเป็นชื่อที่บ่งบอกคุณธรรมประจำตัวของลูกศิษย์ที่อาจารย์ได้สังเกตเห็น เมื่อมีชื่อเป็นทางการนี้แล้ว คนทั่วไปจะต้องเรียกขานเขาผู้นั้นด้วยชื่อทางการนี้เพื่อแสดงการให้เกียรติ ในขณะที่ชื่อที่ครอบครัวตั้งให้จะมีเฉพาะคนในครอบครัวหรือคนที่สนิทจริงๆ จึงจะเรียกได้ โดยสังเกตได้จากในเนื้อเรื่องที่มีเพียงพระเอก(เว่ยอู๋เซี่ยน)และพี่ชายของหลานจ้านที่เรียกเขาด้วยนามนี้ ซึ่ง “ว่างจี” เป็นชื่อทางการ มีความหมายว่าลืมหรือปล่อยวางเล่ห์กลหรือความคิดไม่สุจริต

    ส่วนฮ่าว (号) ก็คือฉายา ซึ่งลูกเพจที่คุ้นเคยกับนิยายกำลังภายในจะคุ้นกับการมีฉายาบ้าง ในจีนโบราณไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฉายา คนที่ได้รับการตั้งฉายาจะเป็นผู้ที่มีสถานะหรือตำแหน่งสูงส่ง เพราะเป็นการเรียกอย่างยกย่องยิ่ง หลานจ้านมีฉายาว่า “หานกวงจวิน” แปลได้ว่าผู้ซึ่งมีแสงสว่างอยู่ภายใน

    Credit รูปภาพจาก: https://filmdaily.co/obsessions/the-untamed-supporting-characters/
    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    http://m.tianya999.com/question/2019/0902/18259581.html
    https://www.sohu.com/a/205641364_786465
    https://www.xingming.com/xmzs/1584.html

    #ปรมาจารย์ลัทธิมาร #ชื่อแซ่จีน StoryfromStory
    ความมีอยู่ว่า... ... เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ย “หลานจ้าน! อย่า! เจ้าอย่ายอมถอย!” หากแต่หลานว่างจีถอยไปห้าก้าวแล้วอย่างไม่ลังเล จินกวงเหยาจึงกล่าว “ดีมาก ขั้นต่อมาก็คือขอให้ท่านนำกระบี่ปี้เฉินเก็บเข้าฝักด้วย” ในความเงียบ หลานว่างจีทำตามอย่างไม่ชักช้า เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าว “เจ้าอย่าได้คืบเอาศอก!” จินกวงเหยากล่าว “เพียงเท่านี้ก็เรียกได้คืบเอาศอก? ข้าพเจ้ากำลังจะขอให้ท่านหานกวงจวินจี้สกัดจุดพลังของตนเองอยู่เชียว เช่นนั้นจะเรียกว่าอย่างไร?” ... - จากเรื่อง <ปรมาจารย์ลัทธิมาร> เพียงคนเดียวแต่กลับเรียกขานด้วยถึงสามชื่อ คือ หลานจ้าน หลานว่างจี และหานกวงจวิน ลูกเพจเคยสงสัยไหมคะว่าทำไม? ชื่อจีนในสมัยโบราณ มีคำว่า หมิง (名) จึ้อ (字) และอาจมี ฮ่าว (号) หมิง (名) คือชื่อที่ครอบครัวตั้งให้ มีทั้งที่มีความหมายดี หรือบางครั้งก็เป็นชื่อเรียกเล่นๆ ในที่นี่หลานจ้านของเรามีชื่อ (หรือหมิง) ว่า “จ้าน” ซึ่งแปลว่าความกระจ่างหรือความลึกซึ้ง ส่วน จึ้อ (字) คือชื่อรอง หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นชื่อที่ครูบาอาจารย์หรือผู้ใหญ่ที่นับถือตั้งให้สำหรับผู้ที่ได้ผ่านการเล่าเรียนมา โดยทั่วไปจะได้รับการตั้งชื่อเมื่อสตรีอายุครบสิบห้าปี (หรือวัยปักปิ่น) หรือเมื่อบุรุษอายุครบยี่สิบปี (หรือวัยครอบมงกฎผม) ซึ่งชื่อนี้มักเป็นชื่อที่บ่งบอกคุณธรรมประจำตัวของลูกศิษย์ที่อาจารย์ได้สังเกตเห็น เมื่อมีชื่อเป็นทางการนี้แล้ว คนทั่วไปจะต้องเรียกขานเขาผู้นั้นด้วยชื่อทางการนี้เพื่อแสดงการให้เกียรติ ในขณะที่ชื่อที่ครอบครัวตั้งให้จะมีเฉพาะคนในครอบครัวหรือคนที่สนิทจริงๆ จึงจะเรียกได้ โดยสังเกตได้จากในเนื้อเรื่องที่มีเพียงพระเอก(เว่ยอู๋เซี่ยน)และพี่ชายของหลานจ้านที่เรียกเขาด้วยนามนี้ ซึ่ง “ว่างจี” เป็นชื่อทางการ มีความหมายว่าลืมหรือปล่อยวางเล่ห์กลหรือความคิดไม่สุจริต ส่วนฮ่าว (号) ก็คือฉายา ซึ่งลูกเพจที่คุ้นเคยกับนิยายกำลังภายในจะคุ้นกับการมีฉายาบ้าง ในจีนโบราณไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฉายา คนที่ได้รับการตั้งฉายาจะเป็นผู้ที่มีสถานะหรือตำแหน่งสูงส่ง เพราะเป็นการเรียกอย่างยกย่องยิ่ง หลานจ้านมีฉายาว่า “หานกวงจวิน” แปลได้ว่าผู้ซึ่งมีแสงสว่างอยู่ภายใน Credit รูปภาพจาก: https://filmdaily.co/obsessions/the-untamed-supporting-characters/ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: http://m.tianya999.com/question/2019/0902/18259581.html https://www.sohu.com/a/205641364_786465 https://www.xingming.com/xmzs/1584.html #ปรมาจารย์ลัทธิมาร #ชื่อแซ่จีน StoryfromStory
    FILMDAILY.CO
    'The Untamed': Don't overlook these amazing supporting characters – Film Daily
    Here are some of the best supporting characters in 'The Untamed' that cannot go overlooked in this C-drama fantasy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออร่าแห่งจิต…อยู่ที่ใจไม่หดหู่

    > “ออร่า” ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่แสงรอบตัว
    แต่คือ พลังจิตที่ส่งออกมาจากข้างใน
    สัมผัสได้ทั้งด้วยตา…และด้วยใจ!

    บางคน…แค่เดินมา ก็เหมือนแสงสว่างเปิดทาง
    บางคน…แค่ยิ้มมา ก็เหมือนใจเราหายเหนื่อย
    นั่นไม่ใช่เพราะหน้าตาเขาดี
    แต่เพราะจิตเขาสดชื่นจน “เปล่งประกาย” ได้จริง

    ---

    แต่คนดีจำนวนไม่น้อย…กลับไม่มีออร่า

    เพราะทำดีไปก็ น้อยใจชีวิตไป
    ทำใจดีแต่ กลับใจหดหู่ในใจลึกๆ
    เมื่อจิตตกบ่อยๆ
    แม้บุญจะอยู่ในใจ...ก็ไม่มีแสงส่องออกมาข้างนอก

    ออร่าความรัก ความน่าอยู่ ความเป็นที่รัก
    หายไปในวันที่คุณยอมให้ใจหดหู่บ่อยๆ

    เหมือนกุหลาบเหี่ยวที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
    ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เพราะ จิตไม่มีพลัง

    ---

    จิตแบบไหน...สร้างออร่าให้ตัวเองได้?

    จิตที่รู้จัก “หัวเราะให้ตัวเอง” แม้ในวันที่เหนื่อย

    จิตที่ “มองบวกได้” แม้มีข่าวร้าย

    จิตที่ “ปล่อยวางได้เร็ว” ไม่กอดเก็บความทุกข์เป็นห่อของขวัญ

    จิตที่ “หายใจยาว” ได้วันละหลายครั้ง
    และบอกตัวเองว่า “ฉันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ…ก็สดชื่นได้”

    ---

    ฝึกออร่าแบบไม่ต้องงมงาย

    1. ดูแลใจ ก่อนดูแลหน้า
    อย่าให้โทรศัพท์เป็นของที่เราเห็นมากกว่าหน้าตัวเองในกระจก

    2. แต่งกายให้สดใส เหมือนแต่งจิตให้เบิกบาน
    สีเสื้อผ้าอาจไม่เปลี่ยนโชคชะตา
    แต่จิตที่เลือก “ลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรักตัวเอง” นั่นแหละ…เปลี่ยนชะตาได้

    3. หายใจยาวๆ ช้าๆ
    ทุกครั้งที่รู้ตัวว่ากำลังหดหู่
    อย่ารีบเปลี่ยนโลก แต่ให้เปลี่ยนจังหวะหายใจ
    แล้วโลกจะเบาขึ้นทันตาเห็น

    4. ยอมรับความไม่เที่ยงของจิต
    ไม่มีใครหายใจสวยๆ ได้ทั้งวัน
    ไม่มีใครสดใสได้ทุกนาที
    แต่คนที่ “หมั่นรู้ทันความหดหู่” และไม่ยอมจำนน
    นั่นแหละ…จะกลายเป็นจิตที่เปล่งแสง!

    ---

    > จงอย่าเป็นคนดีที่ไร้ออร่า เพราะใจหดหู่ครองพื้นที่นานเกินไป
    แต่จงเป็นคนธรรมดาที่มีออร่าสดใส
    เพราะรู้จักปลุก “ใจสดชื่น” ให้กลับมาได้...ทุกวัน!
    ออร่าแห่งจิต…อยู่ที่ใจไม่หดหู่ > “ออร่า” ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่แสงรอบตัว แต่คือ พลังจิตที่ส่งออกมาจากข้างใน สัมผัสได้ทั้งด้วยตา…และด้วยใจ! บางคน…แค่เดินมา ก็เหมือนแสงสว่างเปิดทาง บางคน…แค่ยิ้มมา ก็เหมือนใจเราหายเหนื่อย นั่นไม่ใช่เพราะหน้าตาเขาดี แต่เพราะจิตเขาสดชื่นจน “เปล่งประกาย” ได้จริง --- แต่คนดีจำนวนไม่น้อย…กลับไม่มีออร่า เพราะทำดีไปก็ น้อยใจชีวิตไป ทำใจดีแต่ กลับใจหดหู่ในใจลึกๆ เมื่อจิตตกบ่อยๆ แม้บุญจะอยู่ในใจ...ก็ไม่มีแสงส่องออกมาข้างนอก ออร่าความรัก ความน่าอยู่ ความเป็นที่รัก หายไปในวันที่คุณยอมให้ใจหดหู่บ่อยๆ เหมือนกุหลาบเหี่ยวที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เพราะ จิตไม่มีพลัง --- จิตแบบไหน...สร้างออร่าให้ตัวเองได้? จิตที่รู้จัก “หัวเราะให้ตัวเอง” แม้ในวันที่เหนื่อย จิตที่ “มองบวกได้” แม้มีข่าวร้าย จิตที่ “ปล่อยวางได้เร็ว” ไม่กอดเก็บความทุกข์เป็นห่อของขวัญ จิตที่ “หายใจยาว” ได้วันละหลายครั้ง และบอกตัวเองว่า “ฉันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ…ก็สดชื่นได้” --- ฝึกออร่าแบบไม่ต้องงมงาย 1. ดูแลใจ ก่อนดูแลหน้า อย่าให้โทรศัพท์เป็นของที่เราเห็นมากกว่าหน้าตัวเองในกระจก 2. แต่งกายให้สดใส เหมือนแต่งจิตให้เบิกบาน สีเสื้อผ้าอาจไม่เปลี่ยนโชคชะตา แต่จิตที่เลือก “ลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรักตัวเอง” นั่นแหละ…เปลี่ยนชะตาได้ 3. หายใจยาวๆ ช้าๆ ทุกครั้งที่รู้ตัวว่ากำลังหดหู่ อย่ารีบเปลี่ยนโลก แต่ให้เปลี่ยนจังหวะหายใจ แล้วโลกจะเบาขึ้นทันตาเห็น 4. ยอมรับความไม่เที่ยงของจิต ไม่มีใครหายใจสวยๆ ได้ทั้งวัน ไม่มีใครสดใสได้ทุกนาที แต่คนที่ “หมั่นรู้ทันความหดหู่” และไม่ยอมจำนน นั่นแหละ…จะกลายเป็นจิตที่เปล่งแสง! --- > จงอย่าเป็นคนดีที่ไร้ออร่า เพราะใจหดหู่ครองพื้นที่นานเกินไป แต่จงเป็นคนธรรมดาที่มีออร่าสดใส เพราะรู้จักปลุก “ใจสดชื่น” ให้กลับมาได้...ทุกวัน!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากที่ “หนุ่มทีเค ธนกฤต ทรัพย์ทวีวศิน” อดีตศิลปินฝึกหัดจากค่าย Mchoice Music พ่อของลูกในท้อง “บีเบล ไอยา” ยูทูปเบอร์สาวล้านซับ ได้ออกมายืนกรานว่าตนไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่ขอเวลาไตร่ตรอง รวมทั้งปกป้องครอบครัว ยืนยันว่าฝ่ายหญิงและครอบครัว ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่ค่าฝากครรภ์ ค่าคลอด ค่าที่พักอาศัยของแม่และเด็ก ไปจนถึงค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง

    ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดตนไม่มีโอกาสและไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการเลี้ยงดูเด็กเลย ทำให้ไม่สามารถตอบรับข้อเสนอทั้งหมดได้ในทันที และยังอยู่ระหว่างการปรึกษากันเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดกับทุกฝ่าย เกิดผลกระทบกับแม่และเด็กให้น้อยที่สุด
    ส่วนกรณีที่ฝ่ายหญิงกล่าวถึงพ่อว่า ‘ไม่มีอะไรจะต้องคุยแล้ว’ และไม่ได้ตอบกลับนั้น หมายถึงหากจะคุยเรื่องข้อเสนอที่มีการเรียกร้องเกินสมควร ทางครอบครัวยังไม่สามารถที่จะตอบรับข้อเสนอนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น

    ยืนยันว่าได้ลองใช้ชีวิตร่วมกัน และวางแผนครอบครัวด้วยกัน แต่สุดท้ายตนและฝ่ายหญิงมีทัศนคติที่ไม่ตรงกันในหลายๆ เรื่อง ทำให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง จนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์

    ภายหลังคำชี้แจงของหนุ่มทีเค บีเบลก็งัดหลักฐานแชตมาโต้กลับ โดยเป็นคำพูดของคุณพ่อฝ่ายชาย ที่บอกว่าไม่น่ามีอะไรต้องคุยกันแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่อ่าน ไม่ตอบกลับ ทำให้ครอบครัวปล่อยวาง พร้อมโพสต์ข้อความว่า

    “จากที่ฝ่ายชายบอกว่าไม่มีโอกาสและไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องข้อตกลงค่าใช้จ่าย ทางเบลและครอบครัวขอยืนยันว่าเราได้ส่งแบบร่างข้อตกลงค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ล่วงหน้าแล้ว โดยรอให้ทางพ่อฝ่ายชายติดต่อกลับมาเพื่อที่จะนัดเจรจาในข้อตกลงอีกที (ในส่วนนี้ก็เลยไม่เข้าใจว่าทางเราไม่ให้โอกาสมีส่วนร่วมตอนไหน) แต่ว่าสิ่งสิ่งที่ได้ตอบรับกลับมานั้น พ่อฝ่ายชายตอบข้อความกลับว่า “ทางผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว สวัสดีครับ” ทางเบลและครอบครัวจึงเลือกที่จะปล่อยวาง ไม่กลับไปในความสัมพันธ์ที่วนลูปและสร้างความเสียใจให้เบลอีก”

    #MGROnline #ทีเคธนกฤต #บีเบล
    หลังจากที่ “หนุ่มทีเค ธนกฤต ทรัพย์ทวีวศิน” อดีตศิลปินฝึกหัดจากค่าย Mchoice Music พ่อของลูกในท้อง “บีเบล ไอยา” ยูทูปเบอร์สาวล้านซับ ได้ออกมายืนกรานว่าตนไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่ขอเวลาไตร่ตรอง รวมทั้งปกป้องครอบครัว ยืนยันว่าฝ่ายหญิงและครอบครัว ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่ค่าฝากครรภ์ ค่าคลอด ค่าที่พักอาศัยของแม่และเด็ก ไปจนถึงค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง • ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดตนไม่มีโอกาสและไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการเลี้ยงดูเด็กเลย ทำให้ไม่สามารถตอบรับข้อเสนอทั้งหมดได้ในทันที และยังอยู่ระหว่างการปรึกษากันเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดกับทุกฝ่าย เกิดผลกระทบกับแม่และเด็กให้น้อยที่สุด ส่วนกรณีที่ฝ่ายหญิงกล่าวถึงพ่อว่า ‘ไม่มีอะไรจะต้องคุยแล้ว’ และไม่ได้ตอบกลับนั้น หมายถึงหากจะคุยเรื่องข้อเสนอที่มีการเรียกร้องเกินสมควร ทางครอบครัวยังไม่สามารถที่จะตอบรับข้อเสนอนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น • ยืนยันว่าได้ลองใช้ชีวิตร่วมกัน และวางแผนครอบครัวด้วยกัน แต่สุดท้ายตนและฝ่ายหญิงมีทัศนคติที่ไม่ตรงกันในหลายๆ เรื่อง ทำให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง จนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ • ภายหลังคำชี้แจงของหนุ่มทีเค บีเบลก็งัดหลักฐานแชตมาโต้กลับ โดยเป็นคำพูดของคุณพ่อฝ่ายชาย ที่บอกว่าไม่น่ามีอะไรต้องคุยกันแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่อ่าน ไม่ตอบกลับ ทำให้ครอบครัวปล่อยวาง พร้อมโพสต์ข้อความว่า • “จากที่ฝ่ายชายบอกว่าไม่มีโอกาสและไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องข้อตกลงค่าใช้จ่าย ทางเบลและครอบครัวขอยืนยันว่าเราได้ส่งแบบร่างข้อตกลงค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ล่วงหน้าแล้ว โดยรอให้ทางพ่อฝ่ายชายติดต่อกลับมาเพื่อที่จะนัดเจรจาในข้อตกลงอีกที (ในส่วนนี้ก็เลยไม่เข้าใจว่าทางเราไม่ให้โอกาสมีส่วนร่วมตอนไหน) แต่ว่าสิ่งสิ่งที่ได้ตอบรับกลับมานั้น พ่อฝ่ายชายตอบข้อความกลับว่า “ทางผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว สวัสดีครับ” ทางเบลและครอบครัวจึงเลือกที่จะปล่อยวาง ไม่กลับไปในความสัมพันธ์ที่วนลูปและสร้างความเสียใจให้เบลอีก” • #MGROnline #ทีเคธนกฤต #บีเบล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานตรง2535 วัน1เราฝันว่ามีงูมากัดก้นเรา เห็นรู2รูมีเลือดไหลซึมออกมาชัดครั้นรุ่งนำความฝันเล่าสู่ให้อาจารย์ทราบอาจารย์แนะให้ทำกิจบางอย่าง เราก้อทำตามคำแนะนั้น ขณะทำพบดวงจิต1ผมยาวแขวนคอตาย จึงนำเล่าให้อาจารย์ทราบ ถามต่อว่าใครครับ นั่นคือน้องสาวเราในอดีตที่รักเรามาก แต่ด้วยเสียใจมากเพราะดุว่ากล่าว น้องสาวจึงคิดสั้น หลังจากนั้นเราก้อปล่อยวางความคิดนั้นลง วัน1พบสาวท่าน1น่ารักมากฐานะดีเยี่ยมมีบทบาทกับงานที่เราทำอยู่ในขณะนั้นในคืนวัน1เราฝันมีสาวนาง1เข้ามาหาเราพูดว่ารักเราอีกคนได้มั้ย เราจำได้แม่นว่าสาวนั้นเป็นใครในภพชาตินี้ เราลุกขึ้นนั่งพูดกับสาวว่าไม่ได้ หากมาครั้งนี้มาทำบุญร่วมกันก้อมานะในคืนต่อมาสาวก้อมากับแม่ซึ่งจำได้ว่าเป็นแม่สาวนี้ในภพชาตินี้เราเคยพบก้อยังถามเช่นเดิม เราก้อตอบไปเช่นคืนก่อนหลังจากนั้นประมาณ5-6เดือนทราบข่าวว่าสาวเข้าพิธีแต่งงานมีครอบครัว....ยินดีนะ เราฝันเรื่องงูกัดหลายครั้งพบทุกครั้ง จนสุดท้ายฝันพบงูเราจักตีตายหมดภพชาติมีจริงสิ่งที่พบล้วนเขียนขีดไว้ด้วยกายวาจาใจตนมีผลเสมอดั่งเงาตนยามช่วงจังหวะกาลเวลานั้น
    นิทานตรง2535 วัน1เราฝันว่ามีงูมากัดก้นเรา เห็นรู2รูมีเลือดไหลซึมออกมาชัดครั้นรุ่งนำความฝันเล่าสู่ให้อาจารย์ทราบอาจารย์แนะให้ทำกิจบางอย่าง เราก้อทำตามคำแนะนั้น ขณะทำพบดวงจิต1ผมยาวแขวนคอตาย จึงนำเล่าให้อาจารย์ทราบ ถามต่อว่าใครครับ นั่นคือน้องสาวเราในอดีตที่รักเรามาก แต่ด้วยเสียใจมากเพราะดุว่ากล่าว น้องสาวจึงคิดสั้น หลังจากนั้นเราก้อปล่อยวางความคิดนั้นลง วัน1พบสาวท่าน1น่ารักมากฐานะดีเยี่ยมมีบทบาทกับงานที่เราทำอยู่ในขณะนั้นในคืนวัน1เราฝันมีสาวนาง1เข้ามาหาเราพูดว่ารักเราอีกคนได้มั้ย เราจำได้แม่นว่าสาวนั้นเป็นใครในภพชาตินี้ เราลุกขึ้นนั่งพูดกับสาวว่าไม่ได้ หากมาครั้งนี้มาทำบุญร่วมกันก้อมานะในคืนต่อมาสาวก้อมากับแม่ซึ่งจำได้ว่าเป็นแม่สาวนี้ในภพชาตินี้เราเคยพบก้อยังถามเช่นเดิม เราก้อตอบไปเช่นคืนก่อนหลังจากนั้นประมาณ5-6เดือนทราบข่าวว่าสาวเข้าพิธีแต่งงานมีครอบครัว....ยินดีนะ เราฝันเรื่องงูกัดหลายครั้งพบทุกครั้ง จนสุดท้ายฝันพบงูเราจักตีตายหมดภพชาติมีจริงสิ่งที่พบล้วนเขียนขีดไว้ด้วยกายวาจาใจตนมีผลเสมอดั่งเงาตนยามช่วงจังหวะกาลเวลานั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทาน ศีล มรรค ปล่อยวาง ปัญญา
    ทาน ศีล มรรค ปล่อยวาง ปัญญา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ เป็นเพราะการเอาแต่ใจตนเอง คิดเป็นใหญ่เกินตัวจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลให้แพ้คดีความในภายหลัง ควรไตร่ตรองคิดพิจารณาให้รอบคอบรอบด้านก่อนการตัดสินใจลงนามในหนังสือเอกสารสัญญาใดๆก็ตาม อีกทั้งลูกหลานและบริวารจะเป็นต้นเหตุให้เสียหาย รู้จักการวางเฉย ปล่อยวาง ตั้งสติให้มั่น เพราะการคิดไม่ตกจากเรื่องที่ต้องขบคิดทำให้เกิดความเครียดเข้าครอบงำ ควรพิจารณาให้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงเพราะทุกๆปัญหาย่อมมีหนทางการแก้ไข อีกทั้งยามค่ำคืนควรจะหลีกเลี่ยงที่เปลี่ยว อย่าไปที่ไหนเพียงลำพังคนเดียว อาจจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุ เภทภัยได้ ควรรู้จักนอนหลับพักผ่อนออกกำลังกายให้พอเหมาะ สุขภาพร่างกายจะได้ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องเสียทรัพย์ไปกับการรักษาพยาบาล

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนนี้ เป็นเพราะการเอาแต่ใจตนเอง คิดเป็นใหญ่เกินตัวจะถูกฟ้องร้องฟ้องศาลให้แพ้คดีความในภายหลัง ควรไตร่ตรองคิดพิจารณาให้รอบคอบรอบด้านก่อนการตัดสินใจลงนามในหนังสือเอกสารสัญญาใดๆก็ตาม อีกทั้งลูกหลานและบริวารจะเป็นต้นเหตุให้เสียหาย รู้จักการวางเฉย ปล่อยวาง ตั้งสติให้มั่น เพราะการคิดไม่ตกจากเรื่องที่ต้องขบคิดทำให้เกิดความเครียดเข้าครอบงำ ควรพิจารณาให้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงเพราะทุกๆปัญหาย่อมมีหนทางการแก้ไข อีกทั้งยามค่ำคืนควรจะหลีกเลี่ยงที่เปลี่ยว อย่าไปที่ไหนเพียงลำพังคนเดียว อาจจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุ เภทภัยได้ ควรรู้จักนอนหลับพักผ่อนออกกำลังกายให้พอเหมาะ สุขภาพร่างกายจะได้ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องเสียทรัพย์ไปกับการรักษาพยาบาล ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตปกติ สติ มรรค ปล่อยวาง ปัญญา
    เส้นทางนี้เดินลำพัง
    จิตปกติ สติ มรรค ปล่อยวาง ปัญญา เส้นทางนี้เดินลำพัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 'ทักษิณ' ลุ้นระทึกศาลฎีกา ยิ้มสู้ปล่อยวางทุกอย่าง ให้กระบวนการทำงาน
    .
    วันที่ 30 เมษายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้อง มาฟังคำสั่งในคำร้องที่ก่อนหน้านี้นายชาญชัยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 10 มกราคม2568 เพื่อขอให้ศาลฎีกาฯไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000039314

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    'ทักษิณ' ลุ้นระทึกศาลฎีกา ยิ้มสู้ปล่อยวางทุกอย่าง ให้กระบวนการทำงาน . วันที่ 30 เมษายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้อง มาฟังคำสั่งในคำร้องที่ก่อนหน้านี้นายชาญชัยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 10 มกราคม2568 เพื่อขอให้ศาลฎีกาฯไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000039314 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1138 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์

    ---

    1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง

    > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

    ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ”

    ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง"

    ---

    2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี”

    ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน

    ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก

    ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม

    การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง"

    ---

    3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น

    > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน”

    เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา

    จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา

    และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที"

    ---

    4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา

    > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน"

    คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม

    แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง

    เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น

    > ธรรมะสำคัญ:
    "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้"

    ---

    สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้

    แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่

    ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง

    การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า

    เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์

    ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน

    "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด"

    "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง"

    "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง"

    "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม"

    "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ"

    ---
    “แพ้–ชนะ” ไปสู่ความเข้าใจระดับธรรมะสูง ว่า การรู้จักแพ้ให้เป็น คือประตูที่นำไปสู่ ชัยชนะที่แท้จริงทางจิตวิญญาณ — ชัยชนะที่ไม่ต้องอิงการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองอย่างสมบูรณ์ --- 1. ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มของการเติบโตที่แท้จริง > "แพ้" คือโอกาสที่ชีวิตหยิบยื่นมาให้เรารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ชัยชนะที่ต่อเนื่องมากเกินไป อาจทำให้เกิด ความหลงตัว โอหัง ประมาท และถูกล้อมด้วย “ศัตรูเงียบ” ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ให้บทเรียนเรื่อง ความถ่อมตัว อดทน ใคร่ครวญ และปัญญาในการมองต่างมุม > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้คือสนามฝึกใจให้เลิกหลงตัวเอง" --- 2. ผู้แพ้มีสิทธิ์เก็บเกี่ยว “คุณค่าที่ผู้ชนะไม่มี” ความโล่งใจเมื่อยอมสละการแข่งขัน ความเข้มแข็งจากการล้มแล้วลุก ความสามารถในการแยกตัวออกจากการแข่งเร่งฝีเท้าไร้สติของสังคม การเห็นคุณค่าใหม่ของการแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การแพ้ช่วยวางมือจากการแข่งขันที่ไร้แก่นสาร และหันกลับมาแข่งขันกับอัตตาของตนเอง" --- 3. พลิกความรู้สึกแพ้ให้กลายเป็นวิถีแห่งการหลุดพ้น > “รู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็เป็นเพียง ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน” เมื่อมองเห็นว่า แพ้ หรือ ชนะ เป็นเพียง อนิจจัง คือ สิ่งไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่พิจารณาเช่นนี้ได้ จะแตะถึงภาวะ ว่างจากอัตตา และความพ่ายแพ้จะกลายเป็น สะพานสู่การปล่อยวาง > ธรรมะสำคัญ: "เห็นแพ้เห็นชนะเป็นของไม่เที่ยง ใจก็เบาขึ้นทันที" --- 4. ชัยชนะในขั้นสุดท้าย คือชัยชนะเหนืออัตตา > "แพ้ก่อน เพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้ เพราะได้ชนะก่อน" คนที่เอาแต่ชนะภายนอก มักพ่ายแพ้ภายในอย่างไม่มีวันลืม แต่คนที่ยอมรับการแพ้ระหว่างทางด้วยใจสงบ จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในวันหนึ่ง เพราะชัยชนะที่แท้จริง คือ การ ชนะกิเลส ไม่ใช่ ชนะคนอื่น > ธรรมะสำคัญ: "การเอาชนะตัวเองเป็นชัยชนะที่ไม่มีใครแย่งไปได้" --- สรุปใจกลางธรรมะของบทความนี้ แพ้ไม่ใช่ความย่อยยับ แต่คือโอกาสปลูกจิตใหม่ ความพ่ายแพ้พาเราออกจากความหลงตัวเองได้จริง การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้คือการเติบโตที่มั่นคงกว่า เห็นแพ้–ชนะเป็นแค่ของชั่วคราว ใจก็ไม่ผูกพัน ไม่ทุกข์ ผู้ที่ยอมแพ้ต่ออัตตา คือผู้ที่ชนะทุกสนามในใจ --- ธรรมะสั้นจากบทความ ใช้ต่อยอดในโพสต์หรือข้อคิดประจำวัน "แพ้เพื่อเรียนรู้ ดีกว่าชนะเพื่อหลงผิด" "รู้แพ้ให้เป็น คือรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง" "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะความหลงยึดในใจตัวเอง" "ความพ่ายแพ้ทางโลก อาจเป็นชัยชนะทางธรรม" "เห็นแพ้–ชนะเป็นของอนิจจัง ใจก็เป็นอิสระ" ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

    เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต

    บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด

    ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ...

    วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร?

    ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด
    ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง

    ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป

    บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว...

    ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ?

    เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่

    มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป”

    ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้

    และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

    เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

    ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย

    ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ

    ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ

    บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ

    และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ

    บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่...

    เคยโทรหากันทุกคืน
    เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า
    เคยไปทุกที่ด้วยกัน
    เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร

    แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ

    “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

    คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก
    บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ
    และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง

    ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ

    แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร?

    ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน

    ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ

    เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต

    แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ

    เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป

    แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ...

    🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ
    เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
    และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป

    เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง?

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568

    #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ
    #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา 💔 แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา 🕊️ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ... วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร? 🌒 ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง 📱 ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว... ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ? เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่ 🌀 มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป” ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ 🧱 เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 🚶‍♂️🚶‍♀️ ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย ❤️ ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ 🌿 ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ 💬 บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่... 📌 เคยโทรหากันทุกคืน 📌 เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า 📌 เคยไปทุกที่ด้วยกัน 📌 เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ 👤 คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก 👤 บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ 👤 และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร? ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ 🕊️ เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ... 🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ 📌 เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา 🌱 และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง? 💫 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568 📱 #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 652 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและยังไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับผม แต่ที่แน่ๆถ้าจะให้ผมเป็นลูกจ้างกระจอกๆ งานหนักเงินน้อยเหมือนครั้งก่อน ผมขอบายละ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บางแสนไม่ก็พัทยา บางทีทำงานในสังคมที่ไม่ใช่ หน้าที่ที่ไม่ใช่ มันนอกจากจะน่าเบื่อไม่พอยังทำให้ผมดิ่งลงไปเรื่อยๆจนผมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และสติ ไปยาวๆเลย ส่วนตัวผมมองว่าสุขภาพตัวเองสำคัญสุด เห็นแก่เงินบางทีได้เงินน้อยมันไม่คุ้ม และทำในสิ่งที่ชอบคุ้มค่ากว่าเยอะ คุ้มค่ากำลังใจ คุ้มค่าแรงทำงานตามอิสระไม่ตามแรงบันดาลใจใคร จะได้ปล่อยวางเรื่องแย่ๆที่วกวนอยู่ในหัวจนกัดกร่อนจิตใจผมจนผมไม่สามารถคิดดำเนินชีวิตทางบวกต่อไปได้
    วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและยังไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับผม แต่ที่แน่ๆถ้าจะให้ผมเป็นลูกจ้างกระจอกๆ งานหนักเงินน้อยเหมือนครั้งก่อน ผมขอบายละ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บางแสนไม่ก็พัทยา บางทีทำงานในสังคมที่ไม่ใช่ หน้าที่ที่ไม่ใช่ มันนอกจากจะน่าเบื่อไม่พอยังทำให้ผมดิ่งลงไปเรื่อยๆจนผมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และสติ ไปยาวๆเลย ส่วนตัวผมมองว่าสุขภาพตัวเองสำคัญสุด เห็นแก่เงินบางทีได้เงินน้อยมันไม่คุ้ม และทำในสิ่งที่ชอบคุ้มค่ากว่าเยอะ คุ้มค่ากำลังใจ คุ้มค่าแรงทำงานตามอิสระไม่ตามแรงบันดาลใจใคร จะได้ปล่อยวางเรื่องแย่ๆที่วกวนอยู่ในหัวจนกัดกร่อนจิตใจผมจนผมไม่สามารถคิดดำเนินชีวิตทางบวกต่อไปได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts