• เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน
    Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน)
    และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช
    อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน
    แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน !
    อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ
    แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว
    แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน
    แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน
    เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย
    ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี
    แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 2
ในที่สุดชาวอิรัก ก็ทนเห็นประเทศตัวเอง เป็นหุ่นเชิดของอังกฤษต่อไปอีกไม่ไหว จึงเริ่มบีบกษัตริย์ Faisal ให้เจรจากับอังกฤษ ลดอำนาจการปกครองอังกฤษในอิรักลงบ้าง อย่าให้มันออกหน้าออกตาขนาดนี้เลย การเจรจาใช้เวลาอยู่หลายปี ในที่สุด Anglo – Iraqi Treaty ก็คลอดในปี ค.ศ. 1930 Faisal ไม่ได้เป็นคนมาลงนามในสัญญานี้ ส่งใบลาป่วย อ้างว่าไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน Treaty นี้ ก็ยังให้สิทธิพิเศษแก่คนอังกฤษ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ และลูกจ้างรัฐบาลอังกฤษ ที่อังกฤษส่งมาทำงานในอิรักเหมือนเดิม ที่ดูเหมือนเปลี่ยนไป คือ ข้อตกลงนี้ระบุว่างานบริหารภายในประเทศ ให้เป็นความรับผิดชอบของกษัตริย์ Faisal ส่วนอังกฤษจะรับผิดชอบ ดูแลปกป้องอิรัก จากการจู่โจมภายนอก (แหม ! มันคลับคล้ายเหมือนสัญญาอะไรหนอ ที่สมันน้อยไปทำไว้กับใครเขาทำนองนี้ เมื่อ 60 กว่าปีก่อน) และเพื่อให้อังกฤษสามารถปกป้องอิรักได้เต็มที่ อิรักก็จะต้องให้อังกฤษเช่าสนามบิน โดยไม่คิดค่าเช่า สัญญานี้มีอายุ 25 ปี และจะมีผลต่อเมื่ออิรัก ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ League of Nations ในฐานะประเทศเอกราช อิรักขมักเขม้นทำการบ้าน โดยความหวังที่จะเป็นเอกราช ปลดแอกอังกฤษออกจากบ่า ค.ศ. 1932 สันนิบาตชาติ ซึ่งคุมโดยขาใหญ่ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 (ก็อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละ !) ก็รับอิรักเข้าเป็นสมาชิก คงใช้เวลานานหน่อยกว่าอิรักจะรู้ตัวว่า เขาแค่เปลี่ยนยี่ห้อหม้อต้มเหยื่อเท่านั้นเอง จะหม้อต้มยี่ห้อไหน ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน แต่อิรักไม่ใช่ชาติที่จะยอม งอมืออยู่อย่างนั้น พวกเขาเดินหน้า หาทางหักกับอังกฤษต่อไป รัฐบาลอิรักพยายามแข็งข้อกับอังกฤษอยู่หลายรอบ ครั้งสำคัญคือ ค.ศ. 1941 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมาใกล้ตัว สภาอิรักลงมติไม่สนับสนุนอังกฤษ ในการประกาศสงครามกับเยอรมัน ! อังกฤษเหมือนโดนตีแซกหน้า! ยกทัพเต็มอัตรามาเต็มเมืองอิรัก แล้วปลดรัฐบาลอิรักที่มาจากการ เลือกตั้ง เอานักการเมืองที่ฝักฝ่าย อังกฤษเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน กษัตริย์ Faisal ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตอนที่เซ็นสัญญา Anglo-Iraq : Treaty ก็ส่งใบลาป่วยว่าใส้ติ่งอักเสบส่งตัวแทนมา คราวนี้ไม่รู้อะไรอักเสบ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ความสงบในอิรักยิ่งหายาก ชาวอิรักต้องการเป็นอิสระจากแอกของอังกฤษ พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันต่อต้านและต่อสู้ แต่กำลังอาวุธมันต่างกัน และที่สำคัญหนอนบ่อนไส้ ที่เป็นชาวอิรัก ที่อังกฤษชุบเลี้ยงไว้ให้ทำงาน ยังมีอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ แต่ในที่สุดราชวงศ์ Hashemite ที่น่าสงสาร ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ถูกโค่นในปี ค.ศ. 1958 อังกฤษปล่อยมือจากการชักหุ่น หุ่นไม่มีเชือกชัก ตกพลั่กลงพื้น กษัตริย์ และราชวงศ์ Hashemite ถูกจับติดคุก และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด โดยอังกฤษไม่ยื่นมือ ไม่เหลียวมามอง ได้แต่เก็บของ รีบกลับเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ของตนอย่างรีบด่วน อย่างเดียว แต่ฉากสุดท้ายนี้ มันน่าคิด อยู่ดี ๆ กษัตริย์ Hussein แห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นญาติสนิทของ Faisal และเป็นหุ่นเชิดของอังกฤษเช่นเดียวกัน เกิดประสาทว่าพวกที่ลุกฮือ ไล่ฝรั่งตะวันตกที่เลบานอน จะเลยเถิดเข้ามาถึงจอร์แดนด้วย ขอแรงอิรักส่งกองทัพมาช่วยไล่หน่อยเถิด บรรดาทหารหาญของอิรัก จึงจัดแจงแต่งเครื่องแบบติดอาวุธกองทัพ มุ่งหน้าจะไปจอร์แดน แต่แล้วท่านนายพลคนหนึ่ง Colonel Abd as Salaam Arif ก็สั่งให้กองทัพเลี้ยวกลับมาสู่แบกแดด ส่องปืนใหญ่มาที่วังของ Hashemite เป็นการปฏิวัติของทหารอิรักชนิดไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่มีผู้ต่อต้าน และไม่มีผู้รู้ตัว ขุนนางอิรัก Nuri as Said ที่เป็นขุนคอยพยักให้อังกฤษถูกจับก่อนเพื่อน ระหว่างที่พยายามจะหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นพวกกษัตริย์และราชวงศ์ก็โดนรวบตัว ชาวอิรักต่างไปชุมนุมอยู่หน้าสถานทูตอังกฤษ ด่าทอ ขว้างปา พวกเขามองว่า อังกฤษกับ Hashemite เป็นตัวแทนของกันและกัน เป็นการจบฉากของชาวเกาะผู้ยิ่งใหญ่ในอิรัก ที่ไม่สวยงามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรก จนถึงวันสุดท้าย ผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเหตุการณ์รุนแรง ที่กำลังดำเนินอยู่ในอิรักขณะนี้ โดยเฉพาะที่ Mosul ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มายืนแถลงเมื่อไม่นานมานี้ เลื่อนอันดับภัยจากผู้ก่อการร้าย ในอังกฤษขึ้นสูงถึงระดับรุนแรง (Severe) เนื่องจากเหตุการณ์ในอิรักและซีเรีย มันจะมีรากยาวฝั่งลึก ย้อนไปได้ถึง 100 ปี แม้อังกฤษจะเก็บของกลับเกาะไปแล้ว แต่อังกฤษได้ทิ้งพิษร้ายค้างอยู่ในอิรัก มันมาจากแผนการต้ม การเคี้ยวเหยื่อ ตั้งแต่ต้น มันเป็นแผนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์และธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา อย่างน่าสงสารของเหยื่อ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1”
    การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย
    เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ
    มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป
    นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย
    San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding
    นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ !
    นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company
    เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา
    ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร
    ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง
    ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต
    และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน
    อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา
    San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป
    นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว
    เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้
    เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว
    San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 1” การแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ระหว่างประเทศผู้ชนะสงคราม ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว เดือนเมษายน ค.ศ. 1920 รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชนะสงคราม แอบจัดประชุมกันอีกที่ San Remo ประเทศอิตาลี โดยไม่มีผู้แทนของอเมริกาได้รับเชิญให้เข้าประชุมด้วย !

ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ หัวเรือใหญ่บอก อเมริกามาที่หลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งเค้กที่ได้มาจากการทะลายออตโตมานนี่นา เขามาเกี่ยวตรงไหน เราเป็นคนคิดริเริ่มนะ (เอะ ! พูดแบบนี้ เดี๋ยวสวยแน่ อเมริกาเพิ่งเขี้ยวงอกก็จริง แต่เป็นเขี้ยวเล็กและแหลมคม อย่าได้ประมาทเชียว) การประชุมที่ San Remo จึงเป็นการกำหนดและการกำกับ โดย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และประธานาธิบดีฝรั่งเศส Alexander Millerand ซึ่งไว้ใจกันเองมาก ถึงขนาดเดินประกบกันทุกฝีก้าว เข้าใจว่าใครไปเข้าห้องน้ำ อีกคนคงต้องตามไปด้วย เพื่อเป็นการปิดปากฝรั่งเศส อังกฤษตัดใจประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อหน้าที่ประชุม เรา อังกฤษ ยินดียกหุ้นในบริษัทที่ได้สัมปทานน้ำมันในเมโสโปเตเมีย ให้แก่ฝรั่งเศส มิตรรักร่วมรบ เอาไปเลย 25% ของบริษัท เป็นของขวัญจากเรา แต่เมโสโปเตเมีย ต้องอยู่ในความดูแลของเราอังกฤษ ตกลงตามนี้นะ มันเป็นหุ้น 25% ของ Turkish Petroleum Gesellshaft ที่ Deutsche Bank ตั้งขึ้นภายหลังที่ออตโตมานให้ สิทธิ 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางรถไฟ (Right of way) ของเส้นทาง Berlin Bagdad ส่วนอีก 75% แน่นอน ชาวเกาะบอก ต้องเป็นของเรา โดยมอบให้ Anglo Persian Oil ที่ไปหลอกต้มมาจาก นาย D’Arcy ผู้น่าสมเพชนั่นแหละ เป็นผู้รับโอนไป นี่มันทั้งขยี้เขา แล้วยังขโมยของในบ้านเขาต่ออีกด้วย สันดานแบบนี้ เป็นคนก็คบไม่ได้เลย San Remo Agreement เป็นฝีมือวางแผนของคน ที่ได้ชื่อต่อมาว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ในสมัยนั้น เขาคือ Sir Henry Deterding นาย Deterding เป็นชาวดัชท์ เขาเป็นอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากกัปตัน Fisher ที่เห็นคุณค่า และอานุภาพของน้ำมัน ว่าจะเป็นทรัพยากรที่จะเป็นอาวุธสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ! นาย Deterding ทำงานให้รัฐบาลดัชท์ ในบริษัท Dutch East Indies ที่เกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นอาณานิคมของดัชท์ขณะนั้น สุมาตราก็มีน้ำมันตะเกียง นาย Deterding จึงตั้งบริษัทผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันอินโดนีเซีย ชื่อบริษัท Royal Dutch Oil Company เมื่อธุรกิจนำมันของเขาก้าวหน้า มากขึ้น ค.ศ. 1897 นาย Deterding ตัดสินใจควบบริษัท Royal Dutch Oil Company เข้ากับบริษัท Shell Transport & Trading Company ของนาย Marcus Samuel (ซึ่งต่อมาได้เป็น Lord Bearsted) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเรือขนส่งสินค้า และเป็นผู้ริเริ่มสร้างแท้งค์บรรจุน้ำมัน การควบรวมบริษัทนี้ ทำให้เกิดเป็นบริษัท Royal Dutch Shell Company ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมันของอังกฤษ และทำให้อังกฤษผงาดขึ้นมาเป็นผู้ค้าน้ำมันระดับโลก และในที่สุด เป็นคู่แข่งแบบเผ็ดร้อนกับ Standard Oil Group ของตระกูล Rockefeller ในอเมริกา ความสำเร็จของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ในกิจการน้ำมัน มาจากการวางแผนและสนับสนุนเกินร้อยของรัฐบาลอังกฤษ ภายใต้แผนการใช้ตัวแทน ให้เข้าไปดำเนินการฝังตัวตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาข่าวกรอง และปฎิบัติการลับไปเกือบทุกแห่งในโลก นาย Deterding เองนั้น ภายหลังก็มีข่าวหลุดมาว่า แท้จริงแล้ว เขาสังกัดอยู่ในหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ต้น ถูกส่งให้ไปทำงานตั้งแต่ที่เกาะสุมาตรา ไม่งั้นมันจะไปควบรวม บริษัทใหญ่อย่างนั้นได้ ง่าย ๆ อย่างไร ค.ศ. 1912 ก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษมีส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลก เพียง 12 % หลังสงครามโลก ภายหลังจากการล่าเหยื่อ หลอกเหยื่อ ขยี้เหยื่อ จนเหลือแต่ซากแล้ว ค.ศ. 1925 อังกฤษกลายเป็นขาใหญ่ในวงการน้ำมันโลก ที่กำลังจะมาแรง ปฎิบัติการ San Remo นาย Deterding ทำงานร่วมกับ Sir John Cadman ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษ เข้าไปดูแล Anglo Persian Oil Company ทั้ง 2 คน เดินสายนอกรอบ ทั้งหว่าน ทั้งล้อมฝรั่งเศส ให้ฝรั่งเศสรับ 25% ของหุ้นใน Turkish Petroleum ไป แทนการเอาเมือง Mosul ฝรั่งเศส เหมือนเด็กได้อมยิ้มไป 1 กล่องในวันเดียว ดีใจเกือบตาย แทนที่จะได้ทั้งกล่องทุกวันไปตลอดชีวิต และด้วยอมยิ้ม 1 กล่อง ฝรั่งเศสใจป้ำ ตกลงว่าถ้าขุดน้ำมันเจอจริง และจะต้องวางท่อส่งน้ำมัน ผ่านมาทางซีเรีย ซึ่งฝรั่งเศสได้สิทธิปกครอง ฝรั่งเศสบอกเรายินดีนะ และภาษีอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝรั่งเศสยกเว้นให้หมด เป็นการตอบแทน เอ้อ ! เซ่อได้สมใจ เคี้ยวนุ่มอร่อยนาน อังกฤษมองไกล ต่อไปนี้ ตะวันออกกลาง เค้กทั้งก้อน ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ต้องไม่พ้นมือเรา San Remo Agreement ยังใส่เงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วยอีกว่า ต่างชาติอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีสิทธิมาขุดเจาะ เสาะหาน้ำมันในอาณาบริเวณเมโส โปเตเมีย เขียนแบบนี้ แปลว่า อเมริกาอย่ามาแหยม ! ไม่เชิญเขามาร่วมประชุม ก็หน้าด้านมากพอ แต่นี่ถึงขนาดตัดขาด จากการงานกินเค้ก ในอนาคตด้วยนี่ มันชักส่ออาการตระกรามมากไป นอกจากกันอเมริกาออกไปแล้ว San Remo Agreement ยังระบุด้วยว่า ในเรื่องน้ำมันที่โรมาเนีย และที่รัสเซีย ฝรั่งเศสจะต้องให้ความร่วมมือกับอังกฤษ ตามที่อังกฤษจูงอีกด้วย ข้อตกลงแบบนี้เหมือนการปฏิวัติเงียบ เกี่ยวกับน้ำมันในเมโสโปเตเมีย โดยชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ฯ เลยทีเดียว เมื่อกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา รู้เรื่องการวางไม้ขวางของอังกฤษ จึงทำหนังสือประท้วงการตัดสิทธิของ American Standard Oil ออกไปจากสัมปทานในเมโสโปเตเมีย รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ขณะนั้น Lord Curzon ทำหนังสือลงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1921 แจ้งไปยังทูตอังกฤษที่ประจำอยู่ในวอชิตัน ให้ไปแจ้งต่ออเมริกาว่า อังกฤษเสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะจัดการให้บริษัทน้ำมันอเมริกัน ได้รับสัมปทานในตะวันออกกลางได้ เด็ดขาดจริงลูกพี่ ! เขียนได้เด็ด ! แต่จะขาดกันแค่ไหน เห็นจะต้องดูกันต่อไป นั่นมันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว San Remo Agreement น่าจะเป็นหัวเชื้อ ในการทำสงครามชิงน้ำมัน ในตะวันออกกลางระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเหยื่อที่เป็นเจ้าของน้ำมันตัวจริง ในตะวันออกกลางคงยังกำลังงง ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกับพวกตน และดินแดนของพวกตน และไม่รู้ว่าบัดนี้ยังจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7”
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย
    สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน
    เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส
    เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย
    นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย
    ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร
    อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้
    งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7” สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้ งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 6”
    รัสเซียเองก็มีความฝัน ฝันของรัสเซียยิ่งเฟื่องจัดกว่าฝรั่งเศส รัสเซียอยากสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberian ยาว 5,400 กิโลเมตร ยาวที่สุดที่มีใครเคยคิด ผู้ที่เสนอความคิดนี้คือ Count Sergei Witte รัฐมนตรีคลังของรัสเซีย เส้นทางนี้จะเริ่มที่เมือง Vladivostok วิ่งข้ามภูเขา เขตแดนโซบีเรียไปจบที่จีน โดยปลอดจากการมีส่วนร่วม อิทธิพล และการขัดขวางของอังกฤษ

เค้าท์ Witte บอกว่ารัสเซียควรจะเปลี่ยนสภาพจากการเป็น “ตะกร้าขนมปัง” (bread basket) ให้กับอังกฤษเสียที รัสเซียได้แต่ทำหน้าที่ส่งแป้งสาลีให้อังกฤษมากี่นานแล้ว เปลี่ยนมาทำให้ประเทศของตนเองรวยบ้างเถิด ลืมบอกไป เค้าท์ Witte นี้ ก็เป็นสหายรักกับนาย Hanotaux นักฝันเฟื่องเพื่อให้ประเทศเฟื่องฟูด้วยกัน
    ข่าวเรื่องทางรถไฟ Trans Siberian แน่นอนต้องหลุดไปถึงหูของอังก ฤษ คนแพ้ทางรถไฟ เส้นทาง Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 กิโลเมตร อังกฤษแพ้ขนาดไหน นี่มัน 5,400 กิโลเมตร อาการแพ้ก็ต้องมากกว่า ยิ่งรู้ว่าคนช่วยคิดมันเป็นกลุ่ม ไหน อังกฤษนั่งไม่ติด คันไปหมดทั้งตัว ยิ่งกว่าลมพิษขึ้น มันเป็นพิษของความอิจฉา ที่แรงกว่าพิษใดๆ ยกเว้นลมพิษหึง ตามตำราเขาว่างั้นครับ
    สื่อใหญ่ชื่อ นาย A Colqhum ออกมาแสดงความเห็นทุกวัน “เส้นทางนี้ คงจะเป็นเส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกจะเคยรู้จัก และแน่นอนมันจะเป็นอาวุธทรงอานุภาพในมือของรัสเซีย ซึ่งมีอำนาจและมีความหมายอย่างยากที่จะประเมิน มันจะทำให้รัสเซียเพียงชาติเดียวลำพัง ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าน Dardanelles หรือคลองสุเอช (ที่อังกฤษควบคุม) มันจะทำให้รัสเซียเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความกดดันของใคร เข้มแข็งอย่างชนิดที่รัสเซียไม่เคยฝันว่าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้” โอ้โห ช่างสรรหาถ้อยคำมาพูดจริง พูดออกข่าวทุกวันแบบนี้ ชาวเกาะอยู่เฉยได้ให้มันรู้ไป
    เป็นเวลาหลาย ๆ สิบปีมาแล้ว ที่อังกฤษจัดการวางไม้เสี้ยมและไม้ขวาง เพื่อดุลยอำนาจในยุโรป เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อังกฤษขวางทางความเจริญของเยอรมันทางด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนตุรกีให้ควบคุม Dardanelles ทางที่รัสเซียจะเข้าไปยังแหล่งน้ำอุ่น และแม้ตุรกีจะอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับอังกฤษในการใช้เป็นสนามเล่นวิทยายุทธแม่ไม้ต่าง ๆ แต่เมื่อเยอรมันโตเกิน เกินกว่าที่อังกฤษจะเล่นลำพังได้ อย่างที่เคยเล่าไว้แล้ว อังกฤษจึงจำเป็นต้องมีเพื่อน (หรือเหยื่อ) มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน
    อังกฤษพยายามจะขวางการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียนี้ สาระพัดไม้ที่จะวาง แต่เส้นทางมันไกลกัน ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง ไปไม่ถึง รัสเซียสร้างทางนี้เกือบสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1903 และอังกฤษก็ฉวยโอกาส ขณะที่รัสเซียกำลังหน้าแตก ช้ำใจแพ้ญี่ปุ่นในสงคราม Russo – Japan ค.ศ. 1905 อังกฤษ ผู้ชำนาญในการทูตแบบตวัดลิ้น จึงกลับไปเกี้ยวรัสเซีย ให้มาถล่มเยอรมันด้วยกัน โดยยอมถีบออตโตมานทิ้ง และพร้อมจะยกออตโตมานให้รัสเซีย แต่รัสเซียไม่รู้เลยว่า อังกฤษนั้นอยู่ข้างญี่ปุ่นและสนับสนุนญี่ปุ่นในการสู้รบกับรัสเซีย
    ค.ศ. 1905 เค้าท์ Witte ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และผู้มาแทนเขา แนะนำพระเจ้าชาร์นิโคลัสให้ยอมรับ กลับไปสมานไมตรีกับอังกฤษ โดยรัสเซียบอกเพื่อแสดงไมตรีอันดียิ่ง เราขอยกอาฟกานิสถานและบริเวณส่วนใหญ่ของเปอร์เซียให้แก่อังกฤษ และรับปากว่าจะลดความอยากในเอเซียของรัสเซียลงไปหลายส่วน
    หลังจากนั้นสัญญา 3 ฝ่าย ระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ก็มีการทำขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1907 ผนึกประเทศทั้ง 3 ไว้ด้วยกัน ด้วยกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน เป็นการเตรียมพร้อม ในการปฎิบัติการขยี้เยอรมัน ให้แหลกไปจากเส้นทางเดินเข้าไปกินเค้ก ชิ้นโอชะที่ชื่อ ตะวันออกกลาง
    หลังจากอังกฤษใช้ ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง และกาว สำเร็จตามเป้าหมาย ฉากละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะลงโรง
    ละครฉากแรก เปิดฉากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 เป็นเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากการใช้กาวทาเรียบร้อย อาร์คดยุก เฟอร์ดินานท์ มงกุฎราชกุมารของออสเตรีย ก็ถูกยิงกลางแดด โดยพวกเซิร์บ ละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มต้นแสดง
    การทะยานขึ้นมาทาบรัศมีของเยอ รมัน โดยความเจริญทางอุตสาหกรรม กองเรือขนส่งสินค้า กองทัพเรือ ทางรถไฟ ข้ามตะวันออกกลาง โดยเฉพาะรางรถไฟ ซึ่งวิ่งผ่านแหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษ ไม่อยากให้ใครมาชิงตัดหน้าไปก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคู่แข่ง เป็นสิ่งที่อังกฤษ ชาติมหาอำนาจ นักล่าอาณานิคมหมายเลขหนึ่ง แม้จะเป็นชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อย แต่ฝีมือสูงส่ง นอกเหนือจากการเสี้ยมแล้ว ฝีมือการขวางยิ่งล้ำเลิศ อังกฤษจึงต้อง ทั้งขัด และขวาง ไม่ให้เยอรมันแซงหน้าไปได้
    อังกฤษพร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบายจาก โปรออตโตมาน ขวางรัสเซีย เป็นโปรรัสเซีย ขวางเยอรมัน ได้อย่างง่ายดาย เหมือนพลิกฝ่ามือ นโยบายการทูตของอังกฤษแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยคิดถึงน้ำใจไมตรีที่แท้จริง อังกฤษ มีแต่คำว่า ผลประโยชน์และผลประโยชน์
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 6” รัสเซียเองก็มีความฝัน ฝันของรัสเซียยิ่งเฟื่องจัดกว่าฝรั่งเศส รัสเซียอยากสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberian ยาว 5,400 กิโลเมตร ยาวที่สุดที่มีใครเคยคิด ผู้ที่เสนอความคิดนี้คือ Count Sergei Witte รัฐมนตรีคลังของรัสเซีย เส้นทางนี้จะเริ่มที่เมือง Vladivostok วิ่งข้ามภูเขา เขตแดนโซบีเรียไปจบที่จีน โดยปลอดจากการมีส่วนร่วม อิทธิพล และการขัดขวางของอังกฤษ

เค้าท์ Witte บอกว่ารัสเซียควรจะเปลี่ยนสภาพจากการเป็น “ตะกร้าขนมปัง” (bread basket) ให้กับอังกฤษเสียที รัสเซียได้แต่ทำหน้าที่ส่งแป้งสาลีให้อังกฤษมากี่นานแล้ว เปลี่ยนมาทำให้ประเทศของตนเองรวยบ้างเถิด ลืมบอกไป เค้าท์ Witte นี้ ก็เป็นสหายรักกับนาย Hanotaux นักฝันเฟื่องเพื่อให้ประเทศเฟื่องฟูด้วยกัน ข่าวเรื่องทางรถไฟ Trans Siberian แน่นอนต้องหลุดไปถึงหูของอังก ฤษ คนแพ้ทางรถไฟ เส้นทาง Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 กิโลเมตร อังกฤษแพ้ขนาดไหน นี่มัน 5,400 กิโลเมตร อาการแพ้ก็ต้องมากกว่า ยิ่งรู้ว่าคนช่วยคิดมันเป็นกลุ่ม ไหน อังกฤษนั่งไม่ติด คันไปหมดทั้งตัว ยิ่งกว่าลมพิษขึ้น มันเป็นพิษของความอิจฉา ที่แรงกว่าพิษใดๆ ยกเว้นลมพิษหึง ตามตำราเขาว่างั้นครับ สื่อใหญ่ชื่อ นาย A Colqhum ออกมาแสดงความเห็นทุกวัน “เส้นทางนี้ คงจะเป็นเส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกจะเคยรู้จัก และแน่นอนมันจะเป็นอาวุธทรงอานุภาพในมือของรัสเซีย ซึ่งมีอำนาจและมีความหมายอย่างยากที่จะประเมิน มันจะทำให้รัสเซียเพียงชาติเดียวลำพัง ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าน Dardanelles หรือคลองสุเอช (ที่อังกฤษควบคุม) มันจะทำให้รัสเซียเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความกดดันของใคร เข้มแข็งอย่างชนิดที่รัสเซียไม่เคยฝันว่าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้” โอ้โห ช่างสรรหาถ้อยคำมาพูดจริง พูดออกข่าวทุกวันแบบนี้ ชาวเกาะอยู่เฉยได้ให้มันรู้ไป เป็นเวลาหลาย ๆ สิบปีมาแล้ว ที่อังกฤษจัดการวางไม้เสี้ยมและไม้ขวาง เพื่อดุลยอำนาจในยุโรป เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อังกฤษขวางทางความเจริญของเยอรมันทางด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนตุรกีให้ควบคุม Dardanelles ทางที่รัสเซียจะเข้าไปยังแหล่งน้ำอุ่น และแม้ตุรกีจะอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับอังกฤษในการใช้เป็นสนามเล่นวิทยายุทธแม่ไม้ต่าง ๆ แต่เมื่อเยอรมันโตเกิน เกินกว่าที่อังกฤษจะเล่นลำพังได้ อย่างที่เคยเล่าไว้แล้ว อังกฤษจึงจำเป็นต้องมีเพื่อน (หรือเหยื่อ) มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน อังกฤษพยายามจะขวางการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียนี้ สาระพัดไม้ที่จะวาง แต่เส้นทางมันไกลกัน ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง ไปไม่ถึง รัสเซียสร้างทางนี้เกือบสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1903 และอังกฤษก็ฉวยโอกาส ขณะที่รัสเซียกำลังหน้าแตก ช้ำใจแพ้ญี่ปุ่นในสงคราม Russo – Japan ค.ศ. 1905 อังกฤษ ผู้ชำนาญในการทูตแบบตวัดลิ้น จึงกลับไปเกี้ยวรัสเซีย ให้มาถล่มเยอรมันด้วยกัน โดยยอมถีบออตโตมานทิ้ง และพร้อมจะยกออตโตมานให้รัสเซีย แต่รัสเซียไม่รู้เลยว่า อังกฤษนั้นอยู่ข้างญี่ปุ่นและสนับสนุนญี่ปุ่นในการสู้รบกับรัสเซีย ค.ศ. 1905 เค้าท์ Witte ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และผู้มาแทนเขา แนะนำพระเจ้าชาร์นิโคลัสให้ยอมรับ กลับไปสมานไมตรีกับอังกฤษ โดยรัสเซียบอกเพื่อแสดงไมตรีอันดียิ่ง เราขอยกอาฟกานิสถานและบริเวณส่วนใหญ่ของเปอร์เซียให้แก่อังกฤษ และรับปากว่าจะลดความอยากในเอเซียของรัสเซียลงไปหลายส่วน หลังจากนั้นสัญญา 3 ฝ่าย ระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ก็มีการทำขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1907 ผนึกประเทศทั้ง 3 ไว้ด้วยกัน ด้วยกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน เป็นการเตรียมพร้อม ในการปฎิบัติการขยี้เยอรมัน ให้แหลกไปจากเส้นทางเดินเข้าไปกินเค้ก ชิ้นโอชะที่ชื่อ ตะวันออกกลาง หลังจากอังกฤษใช้ ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง และกาว สำเร็จตามเป้าหมาย ฉากละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะลงโรง ละครฉากแรก เปิดฉากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 เป็นเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากการใช้กาวทาเรียบร้อย อาร์คดยุก เฟอร์ดินานท์ มงกุฎราชกุมารของออสเตรีย ก็ถูกยิงกลางแดด โดยพวกเซิร์บ ละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มต้นแสดง การทะยานขึ้นมาทาบรัศมีของเยอ รมัน โดยความเจริญทางอุตสาหกรรม กองเรือขนส่งสินค้า กองทัพเรือ ทางรถไฟ ข้ามตะวันออกกลาง โดยเฉพาะรางรถไฟ ซึ่งวิ่งผ่านแหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษ ไม่อยากให้ใครมาชิงตัดหน้าไปก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคู่แข่ง เป็นสิ่งที่อังกฤษ ชาติมหาอำนาจ นักล่าอาณานิคมหมายเลขหนึ่ง แม้จะเป็นชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อย แต่ฝีมือสูงส่ง นอกเหนือจากการเสี้ยมแล้ว ฝีมือการขวางยิ่งล้ำเลิศ อังกฤษจึงต้อง ทั้งขัด และขวาง ไม่ให้เยอรมันแซงหน้าไปได้ อังกฤษพร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบายจาก โปรออตโตมาน ขวางรัสเซีย เป็นโปรรัสเซีย ขวางเยอรมัน ได้อย่างง่ายดาย เหมือนพลิกฝ่ามือ นโยบายการทูตของอังกฤษแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยคิดถึงน้ำใจไมตรีที่แท้จริง อังกฤษ มีแต่คำว่า ผลประโยชน์และผลประโยชน์ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 5”
    ความโตเร็วของเยอรมัน เริ่มเห็นชัดตั้งแต่ ค.ศ. 1890 ทำให้อังกฤษทนนั่งดูอยู่เฉยไม่ไหว อังกฤษเตรียมปรับแผนยุทธศาสตร์ที่ใช้อยู่กับพันธมิตรในยุโรป เป็นการปรับชนิด กลับหลัง ตลบหน้า รุนแรงถึงขนาด ปักหมุดให้พันธมิตรเดินตามที่อังกฤษต้องการ หรือหยุดเดินไปในทิศทางที่อังกฤษไม่ต้องการ

เหตุการณ์ที่อียิปต์ Fashoda Crisis คงเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด แต่เดิมที่ผ่านมา อังกฤษและฝรั่งเศสกอดคอเฮฮานั่งกินเหล้าด้วยกันที่อียิปต์ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันในคลองสุเอช แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา กองทัพอังกฤษที่อียิปต์เหมือนจะงอกมากขึ้นเหมือนเห็ดในฤดูฝน และทำท่าว่าไม่ใช่งอกชั่วฤดูกาล แต่ออกอาการว่าจะอยู่ถาวร แถมอังกฤษแต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าใหญ่ เข้าไปสั่งการกับรัฐบาลอียิปต์อีกด้วย ฝรั่งเศษตีโจทย์ไม่ออก นี่มันจะมาไม้ไหน อังกฤษบอกกับฝรั่งเศสว่าไม่ต้องคิดมาก ทุกอย่างที่เราทำ เราทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศเราทั้งสองนะ
    แต่นาย Theophile Déclassé รัฐมนตรีที่ดูแลกิจการอาณานิคมของฝรั่งเศสไม่ยอมคล้อยตาม เขามองว่าอังกฤษกำลังจะฉวยโอกาสฮุบสุเอชและอียิปต์ไว้ฝ่ายเดียว เขาจึงสั่งให้มีการเคลื่อนพล ยกทัพมาจากฝรั่งเศส ข้ามทะเลทรายซาฮาร่า ในปี ค.ศ. 1898 เพื่อไปเผชิญหน้า เตรียมปะทะกับอังกฤษที่รออยู่ที่แม่น้ำไนล์ ให้รู้หมูรู้เสือ
    แค่เงื้อดาบ ยังไม่ทันได้ฟันกัน กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ก็ถูกนายเหนือสั่งให้หยุดการ (เกือบ) ปะทะไว้ชั่วคราว เฮ้ย หยุด หยุด นายเขากำลังเจรจากัน
    ผลการเจรจา ฝรั่งเศสตกหลุมอังกฤษ ยอมถอยทัพ และเสียโอกาสมหาศาล ที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในอาฟริกา นาย Déclassé สั่งเคลื่อนพล โดยไม่ได้หารือ ไม่รู้ถึงแผนลับของรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส ซึ่งป่วยอยู่ในขณะนั้น
    รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส นาย Gabriel Hanotaux มีชื่อเสียงว่า ไม่ชอบหน้าอังกฤษอย่างยิ่ง หรือใช้ว่า เกลียด อาจจะตรงกว่า มีนโยบายที่จะปรับปรุงและสร้างแหล่งอุตสาหกรรมในอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่อยู่ในอาฟริกา นาย Hanotaux ตั้งใจจะผนึกฝรั่งเศสกับอาฟริกาให้แน่นแฟ้น โดยสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่าง Dakar ใน French Senegal มาจนถึง Djibouti ที่ทะเลแดง มันจะเป็นการเชื่อมอาฟริกาตะวันออกถึงตะวันตกโดย “Trans-Sahara Railway Project” (ทางรถไฟอีกแล้ว!)
    เส้นทางรถไฟนี้ ถ้าสำเร็จจะเป็นการขวาง ไม่ให้อังกฤษแต่ฝ่ายเดียว ที่หวังจะเป็นผู้ควบคุมอาฟริกา ทั้งหมดผ่าน อียิปต์ ไปจนถึง อินเดีย นาย Hanotaux ได้แอบปรึกษากับเยอรมัน บอก ทางรถไฟเส้นทางนี้ จะเป็นยากัน การขยายอิทธิพลของอังกฤษอย่างชงัด เรามาปรุงยานี้กันไหม ?
    ค.ศ. 1896 ฝรั่งเศสและเยอรมันหารือกันอีกรอบ “เราควรจะแสดงอิทธิฤทธิให้อังกฤษเห็นบ้างว่า ไม่ใช่อังกฤษฝ่ายเดียว ที่จะเป็นคนตัดสินใจและได้ทุกอย่างไป”
    แต่แล้วก็ เกิดเหตุ Dreyfus Affair สื่อฝรั่งเศสตีข่าวกันใหญ่ว่า นายทหารระดับร้อยเอกของกองทัพฝรั่งเศส ชื่อ Dreyfus ถูกจับข้อหากระทำการจารกรรมต่อเยอรมัน เป็นเรื่องใหญ่นะ ทำให้การเจรจาระหว่าง Hanotaux กับเยอรมันสดุด การปรุงยาชะงักลง เขาต้องออกมาหน้าเครียดแก้ข่าวและเตือนสื่อว่า อย่าใส่สีมากนัก มันจะพาไปสู่สงครามกับเยอรมันได้ อยากได้อย่างนั้นหรือ
    ในที่สุดร้อยเอก Dreyfus ก็ได้รับการปล่อยตัว เมื่อมีการสืบสวน จนได้ความชัดเจนว่า มันเป็นการสร้างหลักฐานปลอมใส่ Dreyfus โดย Count Ferdinand Walsin – Esterhazy (ชื่อยาวจัง !) ซึ่งได้รับจ้างให้ทำเรื่องนี้ ส่วนผู้จ้างคือตระกูล Rothschild ที่ทำธุรกิจธนาคารอยู่ที่ปารีส เรื่องนี้ เล่นกันเองแรงดี ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ไม้ขวางอันนี้ อภินันทนาการจาก Rothschild
    ค.ศ. 1898 Hanotaux ก็พ้นจากตำแหน่ง และผู้มาแทนเขาก็คือ Déclassé เงินใหญ่ จ้างผีระดับไหน ให้โม่แป้งก็ได้!
    หลังจากเหตุการณ์ Fachoda จบลง อังกฤษก็สามารถปักหมุด ฉุด และจูง ให้ฝรั่งเศส ล้มเลิกแผนการปรับปรุงอาณานิคมในอาฟริกา และลดความสนใจในอียิปต์ลงไปได้ อังกฤษบอกแก่ฝรั่งเศส นี่ เพื่อน อย่าไปมัวสนใจอะไร ที่มันเลื่อนลอยเหมือนความฝันเลย อาฟริกานี่ไม่ใช่หมูนะ ไกลบ้านด้วย เพื่อนไปเอาอะไรที่จับต้องได้ ไม่ดีกว่าหรือ เช่นหล็กที่ Alsace- Lorraine ของเยอรมันยังไงล่ะ ดีกว่านะ เราจะสนับสนุนเพื่อนให้ได้เอง แล้วฝรั่งเศษก็ตกหลุมของอังกฤษอีกพลั่ก
    นาย Hanotaux ได้กล่าวภายหลังว่า มันชัดเจนว่าทุกครั้งที่ฝรั่งเศสขยับตัว อังกฤษก็จะเกิดอาการผวา เหมือนเด็กเห็นเงา นึกว่าผีหลอกและเข้ามาขัดขวาง เพราะคิดว่าการดำเนินการของทุกคนนั้น ขัดประโยชน์ของอังกฤษทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่กรณี อียิปต์ ตูนีเซีย มาดาร์กัสการ์ อินโดจีน แม้กระทั่งที่คองโก อังกฤษจะต้องถือไม้ออกมาวางขวางเสมอ
    จากเหตุการณ์ Fachodo อังกฤษกับฝรั่งเศส จึงกลับมาเป็นคู่หูกันอีกครั้ง โดยทำสัญญาลับให้ไว้ต่อกัน มีกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน ทาคู่หูให้ติดกันไว้ นาย Hanotaux บอกว่าอังกฤษเก่งมาก ที่แยกศัตรูไม่ให้รวมตัวกัน เป็นกลยุทธสุดยอดอีกอันหนึ่งของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย (ของเท้าซ้าย)
    ฝรั่งเศสคงไม่ใช่เป็นรายเดียวที่ต้องถูกปักหมุด ให้เดิน หรือเลิกเดิน และใช้กาวยี่ห้อขวางเยอรมันทาติดเอาไว้ รัสเซียเป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 5” ความโตเร็วของเยอรมัน เริ่มเห็นชัดตั้งแต่ ค.ศ. 1890 ทำให้อังกฤษทนนั่งดูอยู่เฉยไม่ไหว อังกฤษเตรียมปรับแผนยุทธศาสตร์ที่ใช้อยู่กับพันธมิตรในยุโรป เป็นการปรับชนิด กลับหลัง ตลบหน้า รุนแรงถึงขนาด ปักหมุดให้พันธมิตรเดินตามที่อังกฤษต้องการ หรือหยุดเดินไปในทิศทางที่อังกฤษไม่ต้องการ

เหตุการณ์ที่อียิปต์ Fashoda Crisis คงเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด แต่เดิมที่ผ่านมา อังกฤษและฝรั่งเศสกอดคอเฮฮานั่งกินเหล้าด้วยกันที่อียิปต์ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันในคลองสุเอช แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา กองทัพอังกฤษที่อียิปต์เหมือนจะงอกมากขึ้นเหมือนเห็ดในฤดูฝน และทำท่าว่าไม่ใช่งอกชั่วฤดูกาล แต่ออกอาการว่าจะอยู่ถาวร แถมอังกฤษแต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าใหญ่ เข้าไปสั่งการกับรัฐบาลอียิปต์อีกด้วย ฝรั่งเศษตีโจทย์ไม่ออก นี่มันจะมาไม้ไหน อังกฤษบอกกับฝรั่งเศสว่าไม่ต้องคิดมาก ทุกอย่างที่เราทำ เราทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศเราทั้งสองนะ แต่นาย Theophile Déclassé รัฐมนตรีที่ดูแลกิจการอาณานิคมของฝรั่งเศสไม่ยอมคล้อยตาม เขามองว่าอังกฤษกำลังจะฉวยโอกาสฮุบสุเอชและอียิปต์ไว้ฝ่ายเดียว เขาจึงสั่งให้มีการเคลื่อนพล ยกทัพมาจากฝรั่งเศส ข้ามทะเลทรายซาฮาร่า ในปี ค.ศ. 1898 เพื่อไปเผชิญหน้า เตรียมปะทะกับอังกฤษที่รออยู่ที่แม่น้ำไนล์ ให้รู้หมูรู้เสือ แค่เงื้อดาบ ยังไม่ทันได้ฟันกัน กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ก็ถูกนายเหนือสั่งให้หยุดการ (เกือบ) ปะทะไว้ชั่วคราว เฮ้ย หยุด หยุด นายเขากำลังเจรจากัน ผลการเจรจา ฝรั่งเศสตกหลุมอังกฤษ ยอมถอยทัพ และเสียโอกาสมหาศาล ที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในอาฟริกา นาย Déclassé สั่งเคลื่อนพล โดยไม่ได้หารือ ไม่รู้ถึงแผนลับของรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส ซึ่งป่วยอยู่ในขณะนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส นาย Gabriel Hanotaux มีชื่อเสียงว่า ไม่ชอบหน้าอังกฤษอย่างยิ่ง หรือใช้ว่า เกลียด อาจจะตรงกว่า มีนโยบายที่จะปรับปรุงและสร้างแหล่งอุตสาหกรรมในอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่อยู่ในอาฟริกา นาย Hanotaux ตั้งใจจะผนึกฝรั่งเศสกับอาฟริกาให้แน่นแฟ้น โดยสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่าง Dakar ใน French Senegal มาจนถึง Djibouti ที่ทะเลแดง มันจะเป็นการเชื่อมอาฟริกาตะวันออกถึงตะวันตกโดย “Trans-Sahara Railway Project” (ทางรถไฟอีกแล้ว!) เส้นทางรถไฟนี้ ถ้าสำเร็จจะเป็นการขวาง ไม่ให้อังกฤษแต่ฝ่ายเดียว ที่หวังจะเป็นผู้ควบคุมอาฟริกา ทั้งหมดผ่าน อียิปต์ ไปจนถึง อินเดีย นาย Hanotaux ได้แอบปรึกษากับเยอรมัน บอก ทางรถไฟเส้นทางนี้ จะเป็นยากัน การขยายอิทธิพลของอังกฤษอย่างชงัด เรามาปรุงยานี้กันไหม ? ค.ศ. 1896 ฝรั่งเศสและเยอรมันหารือกันอีกรอบ “เราควรจะแสดงอิทธิฤทธิให้อังกฤษเห็นบ้างว่า ไม่ใช่อังกฤษฝ่ายเดียว ที่จะเป็นคนตัดสินใจและได้ทุกอย่างไป” แต่แล้วก็ เกิดเหตุ Dreyfus Affair สื่อฝรั่งเศสตีข่าวกันใหญ่ว่า นายทหารระดับร้อยเอกของกองทัพฝรั่งเศส ชื่อ Dreyfus ถูกจับข้อหากระทำการจารกรรมต่อเยอรมัน เป็นเรื่องใหญ่นะ ทำให้การเจรจาระหว่าง Hanotaux กับเยอรมันสดุด การปรุงยาชะงักลง เขาต้องออกมาหน้าเครียดแก้ข่าวและเตือนสื่อว่า อย่าใส่สีมากนัก มันจะพาไปสู่สงครามกับเยอรมันได้ อยากได้อย่างนั้นหรือ ในที่สุดร้อยเอก Dreyfus ก็ได้รับการปล่อยตัว เมื่อมีการสืบสวน จนได้ความชัดเจนว่า มันเป็นการสร้างหลักฐานปลอมใส่ Dreyfus โดย Count Ferdinand Walsin – Esterhazy (ชื่อยาวจัง !) ซึ่งได้รับจ้างให้ทำเรื่องนี้ ส่วนผู้จ้างคือตระกูล Rothschild ที่ทำธุรกิจธนาคารอยู่ที่ปารีส เรื่องนี้ เล่นกันเองแรงดี ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ไม้ขวางอันนี้ อภินันทนาการจาก Rothschild ค.ศ. 1898 Hanotaux ก็พ้นจากตำแหน่ง และผู้มาแทนเขาก็คือ Déclassé เงินใหญ่ จ้างผีระดับไหน ให้โม่แป้งก็ได้! หลังจากเหตุการณ์ Fachoda จบลง อังกฤษก็สามารถปักหมุด ฉุด และจูง ให้ฝรั่งเศส ล้มเลิกแผนการปรับปรุงอาณานิคมในอาฟริกา และลดความสนใจในอียิปต์ลงไปได้ อังกฤษบอกแก่ฝรั่งเศส นี่ เพื่อน อย่าไปมัวสนใจอะไร ที่มันเลื่อนลอยเหมือนความฝันเลย อาฟริกานี่ไม่ใช่หมูนะ ไกลบ้านด้วย เพื่อนไปเอาอะไรที่จับต้องได้ ไม่ดีกว่าหรือ เช่นหล็กที่ Alsace- Lorraine ของเยอรมันยังไงล่ะ ดีกว่านะ เราจะสนับสนุนเพื่อนให้ได้เอง แล้วฝรั่งเศษก็ตกหลุมของอังกฤษอีกพลั่ก นาย Hanotaux ได้กล่าวภายหลังว่า มันชัดเจนว่าทุกครั้งที่ฝรั่งเศสขยับตัว อังกฤษก็จะเกิดอาการผวา เหมือนเด็กเห็นเงา นึกว่าผีหลอกและเข้ามาขัดขวาง เพราะคิดว่าการดำเนินการของทุกคนนั้น ขัดประโยชน์ของอังกฤษทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่กรณี อียิปต์ ตูนีเซีย มาดาร์กัสการ์ อินโดจีน แม้กระทั่งที่คองโก อังกฤษจะต้องถือไม้ออกมาวางขวางเสมอ จากเหตุการณ์ Fachodo อังกฤษกับฝรั่งเศส จึงกลับมาเป็นคู่หูกันอีกครั้ง โดยทำสัญญาลับให้ไว้ต่อกัน มีกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน ทาคู่หูให้ติดกันไว้ นาย Hanotaux บอกว่าอังกฤษเก่งมาก ที่แยกศัตรูไม่ให้รวมตัวกัน เป็นกลยุทธสุดยอดอีกอันหนึ่งของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย (ของเท้าซ้าย) ฝรั่งเศสคงไม่ใช่เป็นรายเดียวที่ต้องถูกปักหมุด ให้เดิน หรือเลิกเดิน และใช้กาวยี่ห้อขวางเยอรมันทาติดเอาไว้ รัสเซียเป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4”
    ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน
    เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย
    อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร
    มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ !
    อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) !
    อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้
    แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ !
    ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน
    ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่
    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ
    ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง
    ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ
    การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน
    อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ
    อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4” ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ ! อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) ! อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้ แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ ! ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 2”

    คงเห็นชัดเจนแล้วว่าอังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟ โดยเฉพาะสาย Berlin Bagdad ซึ่งสร้างโดยเยอรมัน อนุญาตโดยออตโตมาน อังกฤษจะแก้อาการแพ้ทางรถไฟนี้อย่างไร อังกฤษตั้งใจใช้ไม้เสี้ยม หวังให้รางรถไฟแหกโค้ง ตกเขาจบสิ้นไป แต่ถ้าเอาแว่นขยายส่องอีกหน่อย เราจะเห็นความเหี้ยมของอังกฤษว่า ไม่ใช่แค่เสี้ยมให้ทางรถไฟแหกโค้งตกเขา แล้วเรื่องจะจบ อาการแพ้จะหายไป นั่นมันง่ายไป และใจดีไปสำหรับชาวเกาะ มันต้องมีอะไรซับซ้อนซ่อนมากกว่านั้น เกินจิตนาการ เล่าแล้วเหมือนจะทำลายหัวใจ พวกที่นิยมบูชาฝรั่ง

    เริ่มจาก ค.ศ. 1873 เป็นต้นมา ความเจริญทางเศรษฐกิจระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน ดูเหมือนจะใช้อัตราและขนาด ทิ้งห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงระดับที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ต้องถูกจุดให้เกิดระเบิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1914 แต่สาเหตุแท้จริงของการจุดให้เกิดสงครามโลก ได้ถูกซ่อนลึก จนแทบจะไม่มีใครได้รู้จนเวลาผ่านพ้นไปนานพอสมควร

    ประมาณปลายศตวรรษที่ 19 กลุ่มธุรกิจ การเงิน นักการเมือง และพวกอีลิตของชาวเกาะอังกฤษ เริ่มออกอาการ เนื่องจากเห็นความเปลี่ยนแปลง ของพวกอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป ที่ดูจะคึกคักผิดปรกติ

    การเกิดของกองเรือขนส่งสินค้าของเยอรมัน ที่ทำท่าว่ากำลังทำมาค้าขึ้น ข่าวเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ที่จะวิ่งไปตามเส้นทาง ที่จะทำให้ อินเดีย กล่องดวงใจ ของรักของหวงของชาวเกาะ มีโอกาสล่อแหลมที่จะถูกฉกไปเชยชม แบบนี้ชาวเกาะจะไม่รู้สึกว่า มีอาการของกรดไหลย้อนขึ้นมาละหรือ

    ในช่วง ค.ศ. 1890 อุตสาหกรรมของอังกฤษ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งด้านการเกษตร นำหน้าเยอรมันหลายช่วงตัว เรียกว่าเหลียวหลังหันกลับไปมองจนคอจะเคล็ดตาย ยังไม่เห็นแม้เงาราง ๆ ของเยอรมันวิ่งตามมา อังกฤษเจ้าแห่งนักล่าอาณานิคม มองเยอรมันเหมือนคนป่าเถื่อน เทอะทะ เฟอะฟะ พูดจาเหมือนออกมาจากดงดิบ ดีว่าตัวขาวผมทอง ไม่งั้นคงถูกเหมาว่ามาจากแถบอื่น ไม่ใช่ชาวยุโรป
    เมื่อ ค.ศ. 1850 อังกฤษยังเพลิดเพลินและโดดเด่นในการล่าอาณานิคม ขยายอาณาเขตของตัวเองกว้างไกลไปไม่หยุด เพื่อไปขโมยเอาทรัพยากรของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อังกฤษทำเพราะส่วนหนึ่งเกาะตัวเองใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะเอาเนื้อที่ส่วนไหนมาให้ประชาชนทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้า แถมทรัพยากรสำคัญก็ไม่มี มีแต่ถ่านหินที่พอเชิดหน้าชูตาได้ จะกินเข้าไปได้หรือถ่านหินน่ะ อังกฤษจึงใช้ความคิดกับปากเป็นอาวุธสำคัญในการล่าอาณานิคม แต่อาวุธกับปากมันไปเองไม่ได้ จึงต้องมีกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ เพื่อไปหลอก ไปต้ม ไปเสี้ยม ไปล่า ไปเอาอาณานิคมมาเกือบทั้งโลก ก็ต้องยอมรับว่า วิทยายุทธการล่าเหยื่อของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้ายนี้สูงส่งนัก

    แผนการหนึ่งของการล่า คือทำให้เหยื่อเปิดประตูบ้าน ให้นักล่าเข้านอกออกใน และหลังจากนั้น นักล่าชาวเกาะใหญ่นี้ จะได้ไปถอดกลอนประตูบ้านเขาให้ เปิดกว้าง สู่การค้าเสรี การค้าเสรี นักล่ารุ่นเก่าเขาก็ทำนะ อย่านึกว่ามีแต่รุ่นใหม่ มีอะไรเอามาขายให้หมด (ในราคาถูก) เพื่อแลกกับของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อังกฤษนักล่า เอาไปหลอกขาย คิดดูแล้ว ก็เหมือนพ่อค้าเร่ขายยา มีของอยู่เต็มท้ายรถ ไปถึงก็หลอกชาวบ้าน โดยฉายหนังกลางแปลง ชาวบ้านก็หอบลูกจูงหลานมาดู หนังเลิก ก็อดซื้ออะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นติดไม้ติดมือกลับ บ้านไปไม่ได้ พ่อค้าซื้อมาถูกๆ มาขายต่อราคาแพง ๆ กับชาวบ้านต่างถิ่นไกลโพ้น ที่ไม่มีโอกาสเห็นโลกกว้าง เออ! หลอกต้มแบบนี้มาตั้งกะสมัยปู่ย่า ถึงสมัยลูกหลานก็ยังโดนหลอกอยู่เหมือนเดิม

    สินค้าที่พ่อค้าเร่ขายยา นักล่ารุ่นเก่าชอบเอามาหลอกเหยื่อสมัยนั้น ส่วนมากก็เป็นพวกเครื่องมือ เครื่องใช้สมัยใหม่ วิทยาการใหม่ทางวิทยาศาตร์ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ รถราง และเครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น

    แล้วเหยื่อส่วนใหญ่ก็กินเบ็ด เพราะไม่เคยมี ก็อยากมี แต่ไม่มีทุนพอซื้อหรือสร้าง นักล่าบอกไม่เป็นไร มีแผนสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ ได้เลย เดี๋ยวไอจัดการให้ ไอหาเงินกู้ดอกถูกมาให้สร้างเสาโทรเลขดีไหม จะได้ไม่ต้องขี่อูฐกันไป 3 เดือนกว่าจะรู้เรื่อง กดแต๊ก แต๊ก แต๊ก เดี๋ยวเดียว ก็รู้แล้วว่าไอ้คนที่เจ้านายส่งไปดูแลหัวเมืองน่ะ มันทำงาน หรือกลับบ้านไปนอนกลางวันทุกวัน นี่มันคิดหลอกกันแบบนี้ เป็นร้อยปีมากแล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ ลุงนิทานเล่าซ้ำซากด้วยความอ่อนใจ

    เหยื่อส่วนใหญ่ก็ตกลง ให้นักล่าจัดการสร้างโน่น ติดตั้งนี้ ไปเรื่อย ๆ ด้วยเงินกู้ที่นักล่าจัดการให้ แล้วเหยื่อก็เป็นหนี้บานทะโล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งที่ออตโตมานเจ๊ง ถูกเรียกว่าเป็นคนป่วยก็มาจากเหตุนี้แหละ ถูกต้ม ให้ซื้อ ให้ทำสงคราม ให้สร้างกองทัพ ฯลฯ ส่วนนักล่าเมื่อได้เงินมา ส่วนหนึ่งก็ซื้อสินค้าพื้นเมืองราคาถูก กลับไปขายแพงที่บ้าน มีกำไรดี แต่เงินส่วนใหญ่กลับไปหานายธนาคารผู้สนับสนุน ทั้งการเดินทาง และการสร้างของเล่นให้เหยื่อ ทำแบบนี้เหมือนอังกฤษน่าจะรวย แต่ ค.ศ. 1870 อังกฤษเกิดอาการเศรษฐกิจตกสะเก็ด เงินไปกระจุกตัวอยู่ที่นายธนาคารผู้ให้กู้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีกิน
    เยอรมันบอกวิธีนี้ ถ้าเราทำตาม เราก็คงเจ็งตาม เยอรมันจึงเปลี่ยนวิธีการพัฒนาประเทศตนเองใหม่ เน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรม

    ค.ศ. 1890 เยอรมันผลิตถ่านหินได้ 88 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 182 ล้านตัน

    ค.ศ. 1910 การผลิตถ่านหินของเยอรมัน พุ่งขึ้นเป็น 219 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 264 ล้านตัน ความห่างของปริมาณการผลิตเริ่มแคบเข้ามาเรื่อย ๆ
    ค.ศ. 1914 เรือบรรทุกสินค้าของเยอรมัน ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่อังกฤษ เป็นการปรับตัวขยายที่รวดเร็วมาก เยอรมันเปลี่ยนตัวถังเรือจากไม้เป็นเหล็ก และเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องจักรกลขับเคลื่อนเรือ ทำให้ขนาดเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ขึ้น บรรทุกสินค้าได้มากขึ้น และวิ่งเร็วขึ้น เยอรมันกลับกลายเป็นลูกพี่ในการขนส่งสินค้าทางทะเล

    การขนส่งสินค้าทางเรือบรรทุกของเยอรมัน นอกจากเพิ่มจำนวนสินค้าแล้ว ยังมีการประกันภัยสินค้าด้วย ระบบที่ครบถ้วนของเยอรมัน เป็นที่พอใจของผู้ใช้บริการมาก ขนาดฝรั่งเศส คู่หูอังกฤษเอง ยังออกปากว่า การขนส่งสินค้าทางเรือของเยอรมัน ไม่ได้วางระบบให้วิ่งไปหาการค้า แต่วิธีดำเนินการของเยอรมัน ทำให้การค้าวิ่งมาหาเอง มันเหนือกว่าที่เคย ๆ ทำ

    เอะ ! ฝรั่งเศสหมายถึงใคร พูดชมใคร พูดแดกใคร ! แค่เยอรมันเริ่มทาบรัศมีการขนส่งทางเรือ อังกฤษก็ขัดใจแย่แล้ว นี่คู่หูดันไปชื่นชมอีก แบบนี้มันยิ่งกว่าขัดใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 2” คงเห็นชัดเจนแล้วว่าอังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟ โดยเฉพาะสาย Berlin Bagdad ซึ่งสร้างโดยเยอรมัน อนุญาตโดยออตโตมาน อังกฤษจะแก้อาการแพ้ทางรถไฟนี้อย่างไร อังกฤษตั้งใจใช้ไม้เสี้ยม หวังให้รางรถไฟแหกโค้ง ตกเขาจบสิ้นไป แต่ถ้าเอาแว่นขยายส่องอีกหน่อย เราจะเห็นความเหี้ยมของอังกฤษว่า ไม่ใช่แค่เสี้ยมให้ทางรถไฟแหกโค้งตกเขา แล้วเรื่องจะจบ อาการแพ้จะหายไป นั่นมันง่ายไป และใจดีไปสำหรับชาวเกาะ มันต้องมีอะไรซับซ้อนซ่อนมากกว่านั้น เกินจิตนาการ เล่าแล้วเหมือนจะทำลายหัวใจ พวกที่นิยมบูชาฝรั่ง เริ่มจาก ค.ศ. 1873 เป็นต้นมา ความเจริญทางเศรษฐกิจระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน ดูเหมือนจะใช้อัตราและขนาด ทิ้งห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงระดับที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ต้องถูกจุดให้เกิดระเบิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1914 แต่สาเหตุแท้จริงของการจุดให้เกิดสงครามโลก ได้ถูกซ่อนลึก จนแทบจะไม่มีใครได้รู้จนเวลาผ่านพ้นไปนานพอสมควร ประมาณปลายศตวรรษที่ 19 กลุ่มธุรกิจ การเงิน นักการเมือง และพวกอีลิตของชาวเกาะอังกฤษ เริ่มออกอาการ เนื่องจากเห็นความเปลี่ยนแปลง ของพวกอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป ที่ดูจะคึกคักผิดปรกติ การเกิดของกองเรือขนส่งสินค้าของเยอรมัน ที่ทำท่าว่ากำลังทำมาค้าขึ้น ข่าวเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ที่จะวิ่งไปตามเส้นทาง ที่จะทำให้ อินเดีย กล่องดวงใจ ของรักของหวงของชาวเกาะ มีโอกาสล่อแหลมที่จะถูกฉกไปเชยชม แบบนี้ชาวเกาะจะไม่รู้สึกว่า มีอาการของกรดไหลย้อนขึ้นมาละหรือ ในช่วง ค.ศ. 1890 อุตสาหกรรมของอังกฤษ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งด้านการเกษตร นำหน้าเยอรมันหลายช่วงตัว เรียกว่าเหลียวหลังหันกลับไปมองจนคอจะเคล็ดตาย ยังไม่เห็นแม้เงาราง ๆ ของเยอรมันวิ่งตามมา อังกฤษเจ้าแห่งนักล่าอาณานิคม มองเยอรมันเหมือนคนป่าเถื่อน เทอะทะ เฟอะฟะ พูดจาเหมือนออกมาจากดงดิบ ดีว่าตัวขาวผมทอง ไม่งั้นคงถูกเหมาว่ามาจากแถบอื่น ไม่ใช่ชาวยุโรป เมื่อ ค.ศ. 1850 อังกฤษยังเพลิดเพลินและโดดเด่นในการล่าอาณานิคม ขยายอาณาเขตของตัวเองกว้างไกลไปไม่หยุด เพื่อไปขโมยเอาทรัพยากรของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อังกฤษทำเพราะส่วนหนึ่งเกาะตัวเองใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะเอาเนื้อที่ส่วนไหนมาให้ประชาชนทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้า แถมทรัพยากรสำคัญก็ไม่มี มีแต่ถ่านหินที่พอเชิดหน้าชูตาได้ จะกินเข้าไปได้หรือถ่านหินน่ะ อังกฤษจึงใช้ความคิดกับปากเป็นอาวุธสำคัญในการล่าอาณานิคม แต่อาวุธกับปากมันไปเองไม่ได้ จึงต้องมีกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ เพื่อไปหลอก ไปต้ม ไปเสี้ยม ไปล่า ไปเอาอาณานิคมมาเกือบทั้งโลก ก็ต้องยอมรับว่า วิทยายุทธการล่าเหยื่อของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้ายนี้สูงส่งนัก แผนการหนึ่งของการล่า คือทำให้เหยื่อเปิดประตูบ้าน ให้นักล่าเข้านอกออกใน และหลังจากนั้น นักล่าชาวเกาะใหญ่นี้ จะได้ไปถอดกลอนประตูบ้านเขาให้ เปิดกว้าง สู่การค้าเสรี การค้าเสรี นักล่ารุ่นเก่าเขาก็ทำนะ อย่านึกว่ามีแต่รุ่นใหม่ มีอะไรเอามาขายให้หมด (ในราคาถูก) เพื่อแลกกับของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อังกฤษนักล่า เอาไปหลอกขาย คิดดูแล้ว ก็เหมือนพ่อค้าเร่ขายยา มีของอยู่เต็มท้ายรถ ไปถึงก็หลอกชาวบ้าน โดยฉายหนังกลางแปลง ชาวบ้านก็หอบลูกจูงหลานมาดู หนังเลิก ก็อดซื้ออะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นติดไม้ติดมือกลับ บ้านไปไม่ได้ พ่อค้าซื้อมาถูกๆ มาขายต่อราคาแพง ๆ กับชาวบ้านต่างถิ่นไกลโพ้น ที่ไม่มีโอกาสเห็นโลกกว้าง เออ! หลอกต้มแบบนี้มาตั้งกะสมัยปู่ย่า ถึงสมัยลูกหลานก็ยังโดนหลอกอยู่เหมือนเดิม สินค้าที่พ่อค้าเร่ขายยา นักล่ารุ่นเก่าชอบเอามาหลอกเหยื่อสมัยนั้น ส่วนมากก็เป็นพวกเครื่องมือ เครื่องใช้สมัยใหม่ วิทยาการใหม่ทางวิทยาศาตร์ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ รถราง และเครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น แล้วเหยื่อส่วนใหญ่ก็กินเบ็ด เพราะไม่เคยมี ก็อยากมี แต่ไม่มีทุนพอซื้อหรือสร้าง นักล่าบอกไม่เป็นไร มีแผนสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ ได้เลย เดี๋ยวไอจัดการให้ ไอหาเงินกู้ดอกถูกมาให้สร้างเสาโทรเลขดีไหม จะได้ไม่ต้องขี่อูฐกันไป 3 เดือนกว่าจะรู้เรื่อง กดแต๊ก แต๊ก แต๊ก เดี๋ยวเดียว ก็รู้แล้วว่าไอ้คนที่เจ้านายส่งไปดูแลหัวเมืองน่ะ มันทำงาน หรือกลับบ้านไปนอนกลางวันทุกวัน นี่มันคิดหลอกกันแบบนี้ เป็นร้อยปีมากแล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ ลุงนิทานเล่าซ้ำซากด้วยความอ่อนใจ เหยื่อส่วนใหญ่ก็ตกลง ให้นักล่าจัดการสร้างโน่น ติดตั้งนี้ ไปเรื่อย ๆ ด้วยเงินกู้ที่นักล่าจัดการให้ แล้วเหยื่อก็เป็นหนี้บานทะโล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งที่ออตโตมานเจ๊ง ถูกเรียกว่าเป็นคนป่วยก็มาจากเหตุนี้แหละ ถูกต้ม ให้ซื้อ ให้ทำสงคราม ให้สร้างกองทัพ ฯลฯ ส่วนนักล่าเมื่อได้เงินมา ส่วนหนึ่งก็ซื้อสินค้าพื้นเมืองราคาถูก กลับไปขายแพงที่บ้าน มีกำไรดี แต่เงินส่วนใหญ่กลับไปหานายธนาคารผู้สนับสนุน ทั้งการเดินทาง และการสร้างของเล่นให้เหยื่อ ทำแบบนี้เหมือนอังกฤษน่าจะรวย แต่ ค.ศ. 1870 อังกฤษเกิดอาการเศรษฐกิจตกสะเก็ด เงินไปกระจุกตัวอยู่ที่นายธนาคารผู้ให้กู้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีกิน เยอรมันบอกวิธีนี้ ถ้าเราทำตาม เราก็คงเจ็งตาม เยอรมันจึงเปลี่ยนวิธีการพัฒนาประเทศตนเองใหม่ เน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรม ค.ศ. 1890 เยอรมันผลิตถ่านหินได้ 88 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 182 ล้านตัน ค.ศ. 1910 การผลิตถ่านหินของเยอรมัน พุ่งขึ้นเป็น 219 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 264 ล้านตัน ความห่างของปริมาณการผลิตเริ่มแคบเข้ามาเรื่อย ๆ ค.ศ. 1914 เรือบรรทุกสินค้าของเยอรมัน ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่อังกฤษ เป็นการปรับตัวขยายที่รวดเร็วมาก เยอรมันเปลี่ยนตัวถังเรือจากไม้เป็นเหล็ก และเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องจักรกลขับเคลื่อนเรือ ทำให้ขนาดเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ขึ้น บรรทุกสินค้าได้มากขึ้น และวิ่งเร็วขึ้น เยอรมันกลับกลายเป็นลูกพี่ในการขนส่งสินค้าทางทะเล การขนส่งสินค้าทางเรือบรรทุกของเยอรมัน นอกจากเพิ่มจำนวนสินค้าแล้ว ยังมีการประกันภัยสินค้าด้วย ระบบที่ครบถ้วนของเยอรมัน เป็นที่พอใจของผู้ใช้บริการมาก ขนาดฝรั่งเศส คู่หูอังกฤษเอง ยังออกปากว่า การขนส่งสินค้าทางเรือของเยอรมัน ไม่ได้วางระบบให้วิ่งไปหาการค้า แต่วิธีดำเนินการของเยอรมัน ทำให้การค้าวิ่งมาหาเอง มันเหนือกว่าที่เคย ๆ ทำ เอะ ! ฝรั่งเศสหมายถึงใคร พูดชมใคร พูดแดกใคร ! แค่เยอรมันเริ่มทาบรัศมีการขนส่งทางเรือ อังกฤษก็ขัดใจแย่แล้ว นี่คู่หูดันไปชื่นชมอีก แบบนี้มันยิ่งกว่าขัดใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 1”

    อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน

    แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง

    อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ

    สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า

    อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว
    พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน

    ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
    สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน

    อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม

    อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน

    ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น

    การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 1” อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้
    ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago
    นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
    น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้
    นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein
    กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว
    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller
    ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910
    น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น
    เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง
    ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน
    Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ
    แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน
    ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน
    อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้ ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้ นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910 น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557 (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ
    สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ
    สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี
    เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น
    การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!)
    ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น”
    นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ
    ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว
    แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก
    เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้
    เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้
    กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง
    นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น)
    ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี
    หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี
    แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง !
    แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ
    อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ
    ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน!
    ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!) ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น” นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้ กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น) ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง ! แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน! ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 5”
    เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่นักธุรกิจชาว Chicago (มาแล้ว !) ชื่อ Charles Crane และนักเทววิทยา (อีกแล้ว) ชาวอเมริกัน ชื่อ Henry King เดินทางไปทั่วตะวันออกกลางตามที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี Wilson เพื่อสอบถามชาวอาหรับระดับหัวหน้าหลายร้อยคน แม้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะพยายามใช้อิทธิพลของตนเอง กำหนดโผของตนเองให้ชาวอาหรับท่องตาม แต่ผลของการสำรวจก็ดูจะออกมาทางตรงกันข้ามกับโผที่คู่หูคู่กัดอังกฤษฝรั่งเศสที่ไปกำกับบทไว้
    ชาวซีเรียไม่ต้องการอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส และชาวปาเลสไตน์ไม่สนใจที่จะอยู่ในความปกครองของอังกฤษ แต่อังกฤษประสบผลสำเร็จในการสกัดไม่ให้อเมริกาทำการสำรวจในแถบเมโสโปแตเมีย (น่าคิดอังกฤษทำได้อย่างไรนะ)
    เดือนสิงหาคม King และ Crane ส่งรายงานสำรวจ เขาเสนอให้มีการปกครองซีเรียและปาเลสไตน์ร่วมกัน โดยคนกลางคืออเมริกา แทนการปกครองโดยพวกอดีตนักล่าอาณานิคมยุโรป และเสนอให้ Faisal ลูกชายของ Hussein เป็นหัวหน้ารัฐอาหรับ ถือเป็นการพยายามเป็นตาอยู่ของอเมริกาที่น่าสนใจ แม้จะโป๊อล่างฉ่าง ตามสไตล์และตามประสานักล่าหน้าใหม่ แต่ต้องให้คะแนนความกล้าหน้าด้านแข่งกับพวกนักล่ารุ่นเก๋า ในเกมการแย่งชิงชามข้าวหรือขนมเค้ก คติพจน์ที่เราไม่ควรลืมคือ ด้านได้ อาย อด เขาใช้กันมาทุกชาติ ทุกสมัย จนถึงปัจจุบันนี้
    ภายใต้ความกดดันของอังกฤษและของฝรั่งเศส และเพราะความป่วยไข้ของประธานาธิบดี Wilson รายงานนี้ได้ถูกซ่อน และได้นำออกมาเปิดเผย 3 ปีให้หลัง ซึ่งถึงตอนนั้น ปารีสและลอนดอน ก็ตกลงกันในแผนที่ใหม่ของตะวันออกกลางเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งแน่นอนออกมาตรงกันข้ามกับที่ King และ Crane เสนอ
    ฝรั่งเศสตกลงได้ปกครองเลบานอนและซีเรียตามต้องการ
    ส่วนอังกฤษได้ปกครองเมโสโปเตเมีย ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอีรัค ซึ่งได้รวมเอา Mosul ส่วนที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันเข้าไว้ด้วย พร้อมกับได้ปกครองปาเลสไตน์ (ชื่อ Mosul นี้ คงทำให้ท่านผู้อ่านนิทานเริ่มเห็นภาพ หรือเข้าใจบางอย่างได้อย่างลาง ๆ แล้ว)
    ส่วนจอร์แดนให้เป็นรัฐกันชน โดยให้ Prince Abdullah ลูกชายของ Sharif Hussein มาเป็นกษัตริย์ปกครอง ภายใต้การดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็ยังเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง เหนือดินแดนของลูกถูกเสี้ยมทั้งหมด มันเป็นการหลอกและต้ม Sharif Hussein จนเปื่อยยุ่ย
    ส่วนพวกยิว ได้รับอนุญาตจากอังกฤษให้ตั้งรกรากอยู่ที่ปาเลสไตน์ โดยมีข้อจำกัดบางประการ อังกฤษยังไม่พร้อมที่จะให้กลุ่มอาหรับ ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์อยู่แล้วลุกฮือขึ้นมา ดังนั้น จึงพยายามจำกัดจำนวนยิว ที่จะอพยพเข้าไปอยู่ในปาเลสไตน์ การจำกัดจำนวนนี้ ก็ทำให้ฝ่ายยิวไม่พอใจ หาทางที่จะเล็ดลอดอพยพเข้าไปในดินแดนนี้อยู่ดีในช่วงปี ค.ศ. 1920-1940 ขณะเดียวกันฝ่ายอาหรับที่อาศัยตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ก็ถือว่าการอพยพชาวยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ เป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1187
    ข้อตกลงทั้งหมดนี้ ภายหลังได้รับความเห็นชอบและยืนยัน โดยสันนิบาตชาติ (League of Nations ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 1918 ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด หนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อแบ่งสมบัติส่วนที่เคยเป็นอาณาจักรออตโตมาน ในระหว่างฝ่ายผู้ชนะสงคราม
    สันนิบาตชาตินี้ นำโดยสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจที่ชนะสงคราม คือ อังกฤษและฝรั่งเศส อีก 2 ชาติมหาอำนาจ รัสเซียกับเยอรมัน ไม่มีสิทธิร่วมด้วย เพราะเยอรมันเป็นผู้แพ้สงคราม ส่วนรัสเซียหลังสงคราม เกิดปฏิวัติบอคเชวิก เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เป็นสมาชิก การแบ่งเค้กที่ ตกลงข้างต้น จึงไม่มีทางแหกโผของอังกฤษ !
    ต้องยอมรับในความตอแหล หน้าด้านของอังกฤษว่าสามารถจริง ๆ ค.ศ. 1917 โลกส่วนหนึ่งมึนงงกับข้อตกลงที่อังกฤษทำไว้กับ 3 กลุ่ม ตกลงเกี่ยวกับอนาคตของตะวันออกกลาง 3 แบบ พวกอาหรับยืนยันว่าพวกเขาต้องได้อาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่อังกฤษตกลงไว้กับ Sharif Hussein ส่วนฝรั่งเศส และอังกฤษ ตั้งใจที่จะเดินหน้าแบ่งเค้กอาหรับตามที่ตกลงกัน และชาวยิวก็เชื่อว่าตัวเองจะต้องได้ครอบครอง ปาเลสไตน์ ตามที่นาย Balfour รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษตกลงไว้
    อังกฤษทำได้อย่างไร อังกฤษบอกทำได้สบายมาก เพราะเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ โกหก ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ที่ทำมาตลอดในการล่าเหยื่อ และเด็กชายสยามก็เกือบจะไม่รอดจากการเป็นเหยื่อ จากการกระทำเยี่ยงนี้ของอังกฤษ
    ชาวอาหรับบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน ในตะวันออกกลาง ไม่ได้แสดงถึงความขัดแย้งอย่างแท้จริงระหว่างกลุ่มชนพื้นเมือง ระหว่างชาวอิรัค ชาวซีเรีย ชาวจอร์แดน ฯลฯ แต่เป็นความขัดแย้งที่มีรากมาจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่ง “ตั้งใจ” วางรูปแบบและแผนการณ์ที่จะให้มีความขัดแย้ง และการแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มชนชาวอาหรับด้วยกันเองต่างหาก อังกฤษและพวกได้กำหนดเขตแดนของพวกเขาโดยไม่เคารพ ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ถึงจริยธรรมและความต้องการพวกเขา เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนเกี่ยวข้องกับแผนที่และพื้นที่ ราวกับพวกเขาเป็นมนุษย์ล่องหน พวกเขาตกเป็นเหยื่อแห่งความกระหาย ตะกระ ตะกรามของอังกฤษและพวก ซึ่งกำหนดเขตแดนขึ้นมาอย่างชนิดที่ คนที่อยู่ในเขตแดนก็รับไม่ได้ และที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่พอใจ แล้วแบบนี้ความสงบ ความปรองดอง มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นผลงานที่สร้างตะวันออกกลางใหม่ จากอำนาจ และจากความพอใจของผู้สร้าง คือ นักล่าอาณานิคม ที่ควบคุมโดยอังกฤษแต่ผู้เดียว
    มันเป็นการจงใจสร้างให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สามัคคีในระหว่างชาวอาหรับ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั่วทั้งตะวันออกกลาง ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังมีผลสืบเนื่องอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้
    ไม้เสี้ยมของอังกฤษ ยังทำงานได้ผลดีเยี่ยม แม้ว่าจะได้เสียบไว้นาน 100 ปี แล้ว
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 5” เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่นักธุรกิจชาว Chicago (มาแล้ว !) ชื่อ Charles Crane และนักเทววิทยา (อีกแล้ว) ชาวอเมริกัน ชื่อ Henry King เดินทางไปทั่วตะวันออกกลางตามที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี Wilson เพื่อสอบถามชาวอาหรับระดับหัวหน้าหลายร้อยคน แม้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะพยายามใช้อิทธิพลของตนเอง กำหนดโผของตนเองให้ชาวอาหรับท่องตาม แต่ผลของการสำรวจก็ดูจะออกมาทางตรงกันข้ามกับโผที่คู่หูคู่กัดอังกฤษฝรั่งเศสที่ไปกำกับบทไว้ ชาวซีเรียไม่ต้องการอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส และชาวปาเลสไตน์ไม่สนใจที่จะอยู่ในความปกครองของอังกฤษ แต่อังกฤษประสบผลสำเร็จในการสกัดไม่ให้อเมริกาทำการสำรวจในแถบเมโสโปแตเมีย (น่าคิดอังกฤษทำได้อย่างไรนะ) เดือนสิงหาคม King และ Crane ส่งรายงานสำรวจ เขาเสนอให้มีการปกครองซีเรียและปาเลสไตน์ร่วมกัน โดยคนกลางคืออเมริกา แทนการปกครองโดยพวกอดีตนักล่าอาณานิคมยุโรป และเสนอให้ Faisal ลูกชายของ Hussein เป็นหัวหน้ารัฐอาหรับ ถือเป็นการพยายามเป็นตาอยู่ของอเมริกาที่น่าสนใจ แม้จะโป๊อล่างฉ่าง ตามสไตล์และตามประสานักล่าหน้าใหม่ แต่ต้องให้คะแนนความกล้าหน้าด้านแข่งกับพวกนักล่ารุ่นเก๋า ในเกมการแย่งชิงชามข้าวหรือขนมเค้ก คติพจน์ที่เราไม่ควรลืมคือ ด้านได้ อาย อด เขาใช้กันมาทุกชาติ ทุกสมัย จนถึงปัจจุบันนี้ ภายใต้ความกดดันของอังกฤษและของฝรั่งเศส และเพราะความป่วยไข้ของประธานาธิบดี Wilson รายงานนี้ได้ถูกซ่อน และได้นำออกมาเปิดเผย 3 ปีให้หลัง ซึ่งถึงตอนนั้น ปารีสและลอนดอน ก็ตกลงกันในแผนที่ใหม่ของตะวันออกกลางเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งแน่นอนออกมาตรงกันข้ามกับที่ King และ Crane เสนอ ฝรั่งเศสตกลงได้ปกครองเลบานอนและซีเรียตามต้องการ ส่วนอังกฤษได้ปกครองเมโสโปเตเมีย ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอีรัค ซึ่งได้รวมเอา Mosul ส่วนที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันเข้าไว้ด้วย พร้อมกับได้ปกครองปาเลสไตน์ (ชื่อ Mosul นี้ คงทำให้ท่านผู้อ่านนิทานเริ่มเห็นภาพ หรือเข้าใจบางอย่างได้อย่างลาง ๆ แล้ว) ส่วนจอร์แดนให้เป็นรัฐกันชน โดยให้ Prince Abdullah ลูกชายของ Sharif Hussein มาเป็นกษัตริย์ปกครอง ภายใต้การดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็ยังเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง เหนือดินแดนของลูกถูกเสี้ยมทั้งหมด มันเป็นการหลอกและต้ม Sharif Hussein จนเปื่อยยุ่ย ส่วนพวกยิว ได้รับอนุญาตจากอังกฤษให้ตั้งรกรากอยู่ที่ปาเลสไตน์ โดยมีข้อจำกัดบางประการ อังกฤษยังไม่พร้อมที่จะให้กลุ่มอาหรับ ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์อยู่แล้วลุกฮือขึ้นมา ดังนั้น จึงพยายามจำกัดจำนวนยิว ที่จะอพยพเข้าไปอยู่ในปาเลสไตน์ การจำกัดจำนวนนี้ ก็ทำให้ฝ่ายยิวไม่พอใจ หาทางที่จะเล็ดลอดอพยพเข้าไปในดินแดนนี้อยู่ดีในช่วงปี ค.ศ. 1920-1940 ขณะเดียวกันฝ่ายอาหรับที่อาศัยตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ก็ถือว่าการอพยพชาวยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ เป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1187 ข้อตกลงทั้งหมดนี้ ภายหลังได้รับความเห็นชอบและยืนยัน โดยสันนิบาตชาติ (League of Nations ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 1918 ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด หนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อแบ่งสมบัติส่วนที่เคยเป็นอาณาจักรออตโตมาน ในระหว่างฝ่ายผู้ชนะสงคราม สันนิบาตชาตินี้ นำโดยสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจที่ชนะสงคราม คือ อังกฤษและฝรั่งเศส อีก 2 ชาติมหาอำนาจ รัสเซียกับเยอรมัน ไม่มีสิทธิร่วมด้วย เพราะเยอรมันเป็นผู้แพ้สงคราม ส่วนรัสเซียหลังสงคราม เกิดปฏิวัติบอคเชวิก เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เป็นสมาชิก การแบ่งเค้กที่ ตกลงข้างต้น จึงไม่มีทางแหกโผของอังกฤษ ! ต้องยอมรับในความตอแหล หน้าด้านของอังกฤษว่าสามารถจริง ๆ ค.ศ. 1917 โลกส่วนหนึ่งมึนงงกับข้อตกลงที่อังกฤษทำไว้กับ 3 กลุ่ม ตกลงเกี่ยวกับอนาคตของตะวันออกกลาง 3 แบบ พวกอาหรับยืนยันว่าพวกเขาต้องได้อาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่อังกฤษตกลงไว้กับ Sharif Hussein ส่วนฝรั่งเศส และอังกฤษ ตั้งใจที่จะเดินหน้าแบ่งเค้กอาหรับตามที่ตกลงกัน และชาวยิวก็เชื่อว่าตัวเองจะต้องได้ครอบครอง ปาเลสไตน์ ตามที่นาย Balfour รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษตกลงไว้ อังกฤษทำได้อย่างไร อังกฤษบอกทำได้สบายมาก เพราะเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ โกหก ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ที่ทำมาตลอดในการล่าเหยื่อ และเด็กชายสยามก็เกือบจะไม่รอดจากการเป็นเหยื่อ จากการกระทำเยี่ยงนี้ของอังกฤษ ชาวอาหรับบอกว่า จนถึงทุกวันนี้ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน ในตะวันออกกลาง ไม่ได้แสดงถึงความขัดแย้งอย่างแท้จริงระหว่างกลุ่มชนพื้นเมือง ระหว่างชาวอิรัค ชาวซีเรีย ชาวจอร์แดน ฯลฯ แต่เป็นความขัดแย้งที่มีรากมาจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่ง “ตั้งใจ” วางรูปแบบและแผนการณ์ที่จะให้มีความขัดแย้ง และการแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มชนชาวอาหรับด้วยกันเองต่างหาก อังกฤษและพวกได้กำหนดเขตแดนของพวกเขาโดยไม่เคารพ ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ถึงจริยธรรมและความต้องการพวกเขา เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนเกี่ยวข้องกับแผนที่และพื้นที่ ราวกับพวกเขาเป็นมนุษย์ล่องหน พวกเขาตกเป็นเหยื่อแห่งความกระหาย ตะกระ ตะกรามของอังกฤษและพวก ซึ่งกำหนดเขตแดนขึ้นมาอย่างชนิดที่ คนที่อยู่ในเขตแดนก็รับไม่ได้ และที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่พอใจ แล้วแบบนี้ความสงบ ความปรองดอง มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นผลงานที่สร้างตะวันออกกลางใหม่ จากอำนาจ และจากความพอใจของผู้สร้าง คือ นักล่าอาณานิคม ที่ควบคุมโดยอังกฤษแต่ผู้เดียว มันเป็นการจงใจสร้างให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สามัคคีในระหว่างชาวอาหรับ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั่วทั้งตะวันออกกลาง ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังมีผลสืบเนื่องอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม้เสี้ยมของอังกฤษ ยังทำงานได้ผลดีเยี่ยม แม้ว่าจะได้เสียบไว้นาน 100 ปี แล้ว สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4”
    ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน
    สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ !
    สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน
    สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ
    อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ)
    ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน
    จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี
    ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก)
    เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้
    อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง
    ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4” ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ ! สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ) ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก) เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้ อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”

    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3”

    Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence

    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป

    พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย

    อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย)

    เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า !

    เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    18 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3” Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย) เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า ! เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 18 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2”
    Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว !
    เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว
    ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน
    ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ
    โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น
    อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ
    เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
    ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย
    หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน
    อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย
    ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่
    กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2” Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว ! เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่ กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 1”
    ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกกันไว้ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 แต่ความรุนแรงที่สงครามโลก ได้สร้างทิ้งไว้ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะยังไม่จบ การโต้แย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งกำหนดขึ้นโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอังกฤษ เพื่อสนองตัณหาของพวกนักล่า ได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและความเศร้าสลดใจไว้ในภูมิภาคนี้ อย่างยากที่จะหาทางเยียวยา
    ที่เมือง Damascus ในซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมากว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่เห็นเค้าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ กองทัพภาคที่ 4 ของรัฐบาลซีเรีย ขึ้นไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขา Kassioun ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติบอกว่า แก๊สพิษที่ถูกยิงลงมาฟุ้งกระจายอยู่บริเวณเมืองชายขอบของ Damascus เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2013 นั้น ถูกยิงมาจากภูเขาดังกล่าว ทำให้มีคนตายไปประมาณ 1,400 คน เป็นยอดคนตายเฉพาะใน 1 วันเท่านั้น ตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่ม จนถึงปัจจุบัน มีคนตายไปแล้วประมาณ 1.5 แสนคน
    Bagdad เมืองที่เคยเป็นวังเก่าในอิรัค 2 ปี หลังจากที่กองทัพอเมริกันถอนออกไป ชาวอิรัคได้มีโอกาสมาเดินเล่นในส่วนที่เรียกว่าเป็น Green – Zone ที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ Tigris อีกครั้งหนึ่ง มันเป็นส่วนของเมืองแบกแดด ที่ทหารอเมริกันแอบใช้เป็นที่หลบภัย เมื่อทำให้ทั้งประเทศที่พวกเขาไปครอบครองอยู่ กลายเป็นแดนฆาตกรรมหมู่ ปัจจุบันสถานการณ์ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ การเดินเล่นใน Green Zone มีอายุสั้นจริง อีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็น Red-Zone การถูกยิง การตายหมู่ กลับกลายมาเป็นเหตุการณ์ประจำวันอีกครั้ง แม้ทหารอเมริกันจะถอยทัพออกไปแล้ว ความสงบก็ไม่ได้กลับมา มีคนตายไปแล้วเป็นหมื่นคน
    Beirut เมืองหลวงของเลบานอน เมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชมของชาวอาหรับ พวกเขาชอบใช้เบรุตเป็นสถานที่นัดพบ เป็นที่เดินเล่นทอดน่อง จูงมือกัน พักผ่อนหย่อนใจ และแข่งกันทำมาหากิน เป็นเส้นทางขนานคู่ระหว่างศาสนากับโลกีย์ มุสลิมกับคริสเตียน ชีอะห์กับสุหนี่ แล้วกลิ่นไอของการต่อสู้ที่ลิเบีย ซีเรีย และความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน อียิปต์ และอิรัค ก็โชยมาใส่จมูกของชาวเบรุตที่กำลังเดินจูงมือกันอีกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนกลับมาเข้ามาในใจของชาวเลบานอน แล้วเบรุตจะรอดไหม เราจะเจอคลื่นความไม่สงบ ความรุนแรงโหมใส่เราอีกครั้งไหม หรือว่ามันมาคอยเราอยู่แล้ว ตรงหัวมุมถนนอันเป็นที่รักของเราในเบรุตนี้เอง
    2 ปี หลังจากการลุกฮือเหมือนนัดกันในปี ค.ศ. 2011 สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทางความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยวเหมือนอย่างที่ผ่านมา แทบจะไม่มีประเทศใดเลยในภูมิภาคนี้ ที่ไม่เคยผจญกับสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีประเทศไหนเลยที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ ที่จะรับมือกับการจราจลรอบใหม่ ที่อาจจะระเบิดเป็นวงกว้างไปทั่วภูมิภาค ในอนาคตอันใกล้นี้ ขบวนการที่เรียกว่า Arab Spring ดูเหมือนจะจมโคลนไปแล้ว แทนที่จะงอกงาม หรือไม่ก็ถูกต่อต้าน หรือถูกโค่น ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น
    สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวภูมิภาคนี้จากสื่อฟอกย้อม คงมองเห็นว่าการต่อต้าน ลุกฮือที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ และซีเรีย ก็คงเป็นพัฒนาการทางการเมืองตามปรกติของภูมิภาค แต่เปล่าหรอก ความไม่สงบเหล่านั้น มันเป็นหน่อใหม่ที่แตกเพิ่ม มาจากรากเหง้าของความขัดแย้ง ที่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดยั้งมา เป็นเวลาประมาณ 100 ปีแล้ว และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างไร
    ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ที่ผลของมันจะสามารถสร้างความตึงเครียดและขัดแย้ง ให้ใหม่สดเสมอ ต่อเนื่องและยาวนานในตะวันออกกลาง ได้เท่ากับผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
    การสู้รบ ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า European Civil War ที่หมายถึงช่วงเวลาความรุนแรงที่เขย่ายุโรป ตั้งแต่ ค.ศ. 1914 เป็นต้นมาและสิ้นสุดเอาปี ค.ศ. 1945 ต่อด้วยสงครามเย็น ได้จบลงเมื่อ 1990 แต่สำหรับโลกอาหรับ ความตึงเครียดของพวกเขา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันยังคงค้างคาอยู่ บรรดาชาวตะวันออกกลาง พบว่าตัวเองจำเป็นต้องไปฝึกหัดเป็นนักไต่ลวดกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ได้เป็นนักไต่ลวดธรรมดา เขาไต่ลวดและถือดาบไล่ฟันกันระหว่างไต่ลวดด้วย
    นัก (เขียน) ประวัติศาสตร์ฝรั่งบอกว่า ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ มี 2 ประเทศ คือ อียิปต์ และอิหร่าน ที่ดูเหมือนจะพอประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้แม้จะโดนเขย่า โดนโค่นอยู่หลายครั้ง อีก 1 ประเทศ ที่ดูจะชำนาญในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แม้จะถูกบีบถูกถีบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วคือตุรกี และอีก 1 ประเทศที่แม้ไม่ถนัด ในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แต่ใช้วิธีทำตัวอ่อน โอนไปตามกระแส เงินและน้ำมัน คือ Saudi Arabia ประเทศทั้ง 4 นี้ ล้อมรอบใจกลางของตะวันออกกลาง ซึ่งมี 5 ประเทศ และ 1 รัฐพิเศษ คือ เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อีรัค อิสราเอล และปาเลสไตน์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Fromkin เรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า ลูก ๆ ของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ผมอยากจะแย้งนักประวัติศาสตร์ฝรั่งทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็น 4 ประเทศข้างต้น ก็ดูเหมือนจะเอาตัวรอดยาก แม้ว่าต่างจะฝึกเป็นนักไต่ลวดกันเป็นแถว และพวกประเทศที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นลูก ที่นักล่าอาณานิคม “สร้าง” ก็ดูจะเป็นการสร้างขึ้นมาใช้เป็น “ไม้เสี้ยม” ตะวันออกกลาง ให้แตกให้แย้งกันเองอยู่เสมอต่างหาก
    ไม่มีกลุ่มประเทศไหน แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากับกลุ่มเด็กถูกเสี้ยมข้างต้น ที่จะต้องผจญภัยสงคราม การขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง การโค่นล้ม การก่อการร้าย ได้มากเท่าที่กลุ่มเด็กถูกเสี้ยมโดน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
    เพื่อที่จะเข้าใจความผิดปรกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค นี้ เราคงจะต้องตามไปรู้จักหัวหางของเหตุการณ์บางอย่างก่อน เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งความล้มเหลวของเหล่าผู้ปกครองและการเมืองในตะวันออกกลางเอง ที่ไม่สามารถจะต้านทาน หรือแก้เกมการครอบครอง และครอบงำโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติอังกฤษ และที่สำคัญ การค้นพบน้ำมัน การก่อตั้งอิสราเอล ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 สค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 1” ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกกันไว้ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 แต่ความรุนแรงที่สงครามโลก ได้สร้างทิ้งไว้ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะยังไม่จบ การโต้แย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งกำหนดขึ้นโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอังกฤษ เพื่อสนองตัณหาของพวกนักล่า ได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและความเศร้าสลดใจไว้ในภูมิภาคนี้ อย่างยากที่จะหาทางเยียวยา ที่เมือง Damascus ในซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมากว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่เห็นเค้าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ กองทัพภาคที่ 4 ของรัฐบาลซีเรีย ขึ้นไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขา Kassioun ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติบอกว่า แก๊สพิษที่ถูกยิงลงมาฟุ้งกระจายอยู่บริเวณเมืองชายขอบของ Damascus เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2013 นั้น ถูกยิงมาจากภูเขาดังกล่าว ทำให้มีคนตายไปประมาณ 1,400 คน เป็นยอดคนตายเฉพาะใน 1 วันเท่านั้น ตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่ม จนถึงปัจจุบัน มีคนตายไปแล้วประมาณ 1.5 แสนคน Bagdad เมืองที่เคยเป็นวังเก่าในอิรัค 2 ปี หลังจากที่กองทัพอเมริกันถอนออกไป ชาวอิรัคได้มีโอกาสมาเดินเล่นในส่วนที่เรียกว่าเป็น Green – Zone ที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ Tigris อีกครั้งหนึ่ง มันเป็นส่วนของเมืองแบกแดด ที่ทหารอเมริกันแอบใช้เป็นที่หลบภัย เมื่อทำให้ทั้งประเทศที่พวกเขาไปครอบครองอยู่ กลายเป็นแดนฆาตกรรมหมู่ ปัจจุบันสถานการณ์ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ การเดินเล่นใน Green Zone มีอายุสั้นจริง อีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็น Red-Zone การถูกยิง การตายหมู่ กลับกลายมาเป็นเหตุการณ์ประจำวันอีกครั้ง แม้ทหารอเมริกันจะถอยทัพออกไปแล้ว ความสงบก็ไม่ได้กลับมา มีคนตายไปแล้วเป็นหมื่นคน Beirut เมืองหลวงของเลบานอน เมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชมของชาวอาหรับ พวกเขาชอบใช้เบรุตเป็นสถานที่นัดพบ เป็นที่เดินเล่นทอดน่อง จูงมือกัน พักผ่อนหย่อนใจ และแข่งกันทำมาหากิน เป็นเส้นทางขนานคู่ระหว่างศาสนากับโลกีย์ มุสลิมกับคริสเตียน ชีอะห์กับสุหนี่ แล้วกลิ่นไอของการต่อสู้ที่ลิเบีย ซีเรีย และความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน อียิปต์ และอิรัค ก็โชยมาใส่จมูกของชาวเบรุตที่กำลังเดินจูงมือกันอีกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนกลับมาเข้ามาในใจของชาวเลบานอน แล้วเบรุตจะรอดไหม เราจะเจอคลื่นความไม่สงบ ความรุนแรงโหมใส่เราอีกครั้งไหม หรือว่ามันมาคอยเราอยู่แล้ว ตรงหัวมุมถนนอันเป็นที่รักของเราในเบรุตนี้เอง 2 ปี หลังจากการลุกฮือเหมือนนัดกันในปี ค.ศ. 2011 สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทางความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยวเหมือนอย่างที่ผ่านมา แทบจะไม่มีประเทศใดเลยในภูมิภาคนี้ ที่ไม่เคยผจญกับสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีประเทศไหนเลยที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ ที่จะรับมือกับการจราจลรอบใหม่ ที่อาจจะระเบิดเป็นวงกว้างไปทั่วภูมิภาค ในอนาคตอันใกล้นี้ ขบวนการที่เรียกว่า Arab Spring ดูเหมือนจะจมโคลนไปแล้ว แทนที่จะงอกงาม หรือไม่ก็ถูกต่อต้าน หรือถูกโค่น ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวภูมิภาคนี้จากสื่อฟอกย้อม คงมองเห็นว่าการต่อต้าน ลุกฮือที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ และซีเรีย ก็คงเป็นพัฒนาการทางการเมืองตามปรกติของภูมิภาค แต่เปล่าหรอก ความไม่สงบเหล่านั้น มันเป็นหน่อใหม่ที่แตกเพิ่ม มาจากรากเหง้าของความขัดแย้ง ที่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดยั้งมา เป็นเวลาประมาณ 100 ปีแล้ว และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างไร ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ที่ผลของมันจะสามารถสร้างความตึงเครียดและขัดแย้ง ให้ใหม่สดเสมอ ต่อเนื่องและยาวนานในตะวันออกกลาง ได้เท่ากับผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 การสู้รบ ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า European Civil War ที่หมายถึงช่วงเวลาความรุนแรงที่เขย่ายุโรป ตั้งแต่ ค.ศ. 1914 เป็นต้นมาและสิ้นสุดเอาปี ค.ศ. 1945 ต่อด้วยสงครามเย็น ได้จบลงเมื่อ 1990 แต่สำหรับโลกอาหรับ ความตึงเครียดของพวกเขา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันยังคงค้างคาอยู่ บรรดาชาวตะวันออกกลาง พบว่าตัวเองจำเป็นต้องไปฝึกหัดเป็นนักไต่ลวดกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ได้เป็นนักไต่ลวดธรรมดา เขาไต่ลวดและถือดาบไล่ฟันกันระหว่างไต่ลวดด้วย นัก (เขียน) ประวัติศาสตร์ฝรั่งบอกว่า ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ มี 2 ประเทศ คือ อียิปต์ และอิหร่าน ที่ดูเหมือนจะพอประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้แม้จะโดนเขย่า โดนโค่นอยู่หลายครั้ง อีก 1 ประเทศ ที่ดูจะชำนาญในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แม้จะถูกบีบถูกถีบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วคือตุรกี และอีก 1 ประเทศที่แม้ไม่ถนัด ในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แต่ใช้วิธีทำตัวอ่อน โอนไปตามกระแส เงินและน้ำมัน คือ Saudi Arabia ประเทศทั้ง 4 นี้ ล้อมรอบใจกลางของตะวันออกกลาง ซึ่งมี 5 ประเทศ และ 1 รัฐพิเศษ คือ เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อีรัค อิสราเอล และปาเลสไตน์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Fromkin เรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า ลูก ๆ ของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ผมอยากจะแย้งนักประวัติศาสตร์ฝรั่งทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็น 4 ประเทศข้างต้น ก็ดูเหมือนจะเอาตัวรอดยาก แม้ว่าต่างจะฝึกเป็นนักไต่ลวดกันเป็นแถว และพวกประเทศที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นลูก ที่นักล่าอาณานิคม “สร้าง” ก็ดูจะเป็นการสร้างขึ้นมาใช้เป็น “ไม้เสี้ยม” ตะวันออกกลาง ให้แตกให้แย้งกันเองอยู่เสมอต่างหาก ไม่มีกลุ่มประเทศไหน แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากับกลุ่มเด็กถูกเสี้ยมข้างต้น ที่จะต้องผจญภัยสงคราม การขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง การโค่นล้ม การก่อการร้าย ได้มากเท่าที่กลุ่มเด็กถูกเสี้ยมโดน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะเข้าใจความผิดปรกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค นี้ เราคงจะต้องตามไปรู้จักหัวหางของเหตุการณ์บางอย่างก่อน เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งความล้มเหลวของเหล่าผู้ปกครองและการเมืองในตะวันออกกลางเอง ที่ไม่สามารถจะต้านทาน หรือแก้เกมการครอบครอง และครอบงำโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติอังกฤษ และที่สำคัญ การค้นพบน้ำมัน การก่อตั้งอิสราเอล ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 สค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแถมของนิทาน เรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว ตอนที่ 3
    ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”

    ตอนที่ 3/3

    เมื่อสงครามโลกคร้ังที่ 2 มาถึง ตุรกีนิ่งอยูนาน วางตัวเป็นกลาง เพราะความช้ำจาก สงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่จาง แต่ด้วยบริเวณประเทศที่มีอาณาเขตติดกับเหล่านักเล่นสงคราม ถึง 8 ประเทศ ในที่สุด ตุรกี ก็ถูกบีบ ให้เข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีอังกฤษ และรัสเซีย บีบตุรกี อยู่ตรงกลางเหมือนเดิม!

    สงครามโลกคร้ังที่ 1 ตุรกี ถูกบังคับ ให้เลือกข้าง ตุรกีต้องไปอยู่กับข้างที่ไม่ชนะ
    สงครามโลกคร้ังที่ 2 ตุรกี ถูกบีบ ไม่ให้เป็นกลาง ตุรกีถูกผลักให้มาอยู่ข้างไม่แพ้ แต่ตุรกีเหมือนแพ้เพราะมีเชือกผูกคอ ต่อมาถึง 60 ปี

    มาถึงตอนนี้ กลิ่นของสงครามโลกคร้ังที่ 3 กำลังโชยมา ตุรกีก็ยังเดินไต่ลวดเหมือนเดิม และตุรกีกำลังถูกบีบเหมือนเดิมให้เลือกข้าง ระหว่างค่ายอเมริกากับพวก กับ ค่ายพวกไม่เอาอเมริกา ที่มีทั้งมิตรใหม่เช่นอาเฮีย และสตรูเก่าอย่างรัสเซีย ( ซึ่งมาบัดนี้ น่าจะคิดออกแล้ว ว่าสตรูตัวจริงของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นใคร) ร่วมกลุ่มกัน

    ตุรกีคงไม่น่าต้องคิดหนัก

    หลังจากอเมริกา รับไม้ต่อจากอังกฤษ ผูกมิตรกับตุรกี ก็ใช่ว่าเป็นสัมพันธ์ฉันท์มิตรรักแท้จริง อเมริกาต้องการใช้ตุรกี เป็นหมากไว้เดินระหว่างยุโรปกับ ตะวันออกกลาง มันเป็นการ “ใช้” ไม่ต่างกับที่อังกฤษเคยทำ อังกฤษหลอกใช้ตุรกีมา 100 ปี แล้วก็ส่ง ตุรกีมาให้ อเมริกาหลอกใช้ต่ออีก 60 ปี

    คงถึงเวลาแล้วที่ตุรกีจะตัดสินใจได้เสียที ว่าจะให้เขาถีบทิ้งตกจากลวด เหมือนเดิมอีก หรือไหนๆ ถ้าจะต้องตกลงมา ก็ตัดสินใจเตรียมอุปกรณ์การโดดลงมาเสียเอง ไม่ใช่ถูกถีบหัวทิ่มแบบไม่รู้ตัว

    และถ้าตุรกี ตัดสินใจตัดเชือกที่ผูกมา 60 ปี ไปร่วมกับฝ่ายตรงกันข้าม บอกได้เลยว่าสถานการณ์โลกคงร้อนระอุใกล้เดือด เดือนสิงหาคมนี้ อุณหภูมิการเมืองโลกคงสูงใกล้ปรอทแตก หวังว่า คุณสมชายคงจะรู้ ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ให้สมันน้อย ร้อน จนไหม้เกรียม
    แล้วสมันน้อย หรือเด็กชายสยามของคุณครูผู้ปกครอง มีอะไรเหมือน หรือต่างกับ เด็กชายตุรกีบ้าง ต่างก็ต้ังอยู่ในทำเลทอง พร้อมที่จะใช้ประโยชน์ต่อรองได้ และก็พร้อมที่จะซวยได้เช่นกันเพราะเป็น ทำเลที่มีแต่คนอยากได้ หรือไม่ก้อ ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้!

    สำหรับเรื่องเด็กชายสยามของคุณครูผู้ปกครอง จะเดินตามแนวเด็กชายตุรกีหรือเปล่านี่ ผมต้องขอติดค้าง วันนี้ใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือเล่านิทาน ที่คุณหมอออกให้ชั่วคราว หมดเวลาเสียแล้ว ผมจะกลับมาเขียนต่อ หลังซ่อมแซมเครื่อง ออกจากอู่เรียบร้อยแล้ว

    ขอส่งใบลาป่วยสักพักนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 สค. 2557
    ตอนแถมของนิทาน เรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว ตอนที่ 3 ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 3/3 เมื่อสงครามโลกคร้ังที่ 2 มาถึง ตุรกีนิ่งอยูนาน วางตัวเป็นกลาง เพราะความช้ำจาก สงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่จาง แต่ด้วยบริเวณประเทศที่มีอาณาเขตติดกับเหล่านักเล่นสงคราม ถึง 8 ประเทศ ในที่สุด ตุรกี ก็ถูกบีบ ให้เข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีอังกฤษ และรัสเซีย บีบตุรกี อยู่ตรงกลางเหมือนเดิม! สงครามโลกคร้ังที่ 1 ตุรกี ถูกบังคับ ให้เลือกข้าง ตุรกีต้องไปอยู่กับข้างที่ไม่ชนะ สงครามโลกคร้ังที่ 2 ตุรกี ถูกบีบ ไม่ให้เป็นกลาง ตุรกีถูกผลักให้มาอยู่ข้างไม่แพ้ แต่ตุรกีเหมือนแพ้เพราะมีเชือกผูกคอ ต่อมาถึง 60 ปี มาถึงตอนนี้ กลิ่นของสงครามโลกคร้ังที่ 3 กำลังโชยมา ตุรกีก็ยังเดินไต่ลวดเหมือนเดิม และตุรกีกำลังถูกบีบเหมือนเดิมให้เลือกข้าง ระหว่างค่ายอเมริกากับพวก กับ ค่ายพวกไม่เอาอเมริกา ที่มีทั้งมิตรใหม่เช่นอาเฮีย และสตรูเก่าอย่างรัสเซีย ( ซึ่งมาบัดนี้ น่าจะคิดออกแล้ว ว่าสตรูตัวจริงของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นใคร) ร่วมกลุ่มกัน ตุรกีคงไม่น่าต้องคิดหนัก หลังจากอเมริกา รับไม้ต่อจากอังกฤษ ผูกมิตรกับตุรกี ก็ใช่ว่าเป็นสัมพันธ์ฉันท์มิตรรักแท้จริง อเมริกาต้องการใช้ตุรกี เป็นหมากไว้เดินระหว่างยุโรปกับ ตะวันออกกลาง มันเป็นการ “ใช้” ไม่ต่างกับที่อังกฤษเคยทำ อังกฤษหลอกใช้ตุรกีมา 100 ปี แล้วก็ส่ง ตุรกีมาให้ อเมริกาหลอกใช้ต่ออีก 60 ปี คงถึงเวลาแล้วที่ตุรกีจะตัดสินใจได้เสียที ว่าจะให้เขาถีบทิ้งตกจากลวด เหมือนเดิมอีก หรือไหนๆ ถ้าจะต้องตกลงมา ก็ตัดสินใจเตรียมอุปกรณ์การโดดลงมาเสียเอง ไม่ใช่ถูกถีบหัวทิ่มแบบไม่รู้ตัว และถ้าตุรกี ตัดสินใจตัดเชือกที่ผูกมา 60 ปี ไปร่วมกับฝ่ายตรงกันข้าม บอกได้เลยว่าสถานการณ์โลกคงร้อนระอุใกล้เดือด เดือนสิงหาคมนี้ อุณหภูมิการเมืองโลกคงสูงใกล้ปรอทแตก หวังว่า คุณสมชายคงจะรู้ ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ให้สมันน้อย ร้อน จนไหม้เกรียม แล้วสมันน้อย หรือเด็กชายสยามของคุณครูผู้ปกครอง มีอะไรเหมือน หรือต่างกับ เด็กชายตุรกีบ้าง ต่างก็ต้ังอยู่ในทำเลทอง พร้อมที่จะใช้ประโยชน์ต่อรองได้ และก็พร้อมที่จะซวยได้เช่นกันเพราะเป็น ทำเลที่มีแต่คนอยากได้ หรือไม่ก้อ ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้! สำหรับเรื่องเด็กชายสยามของคุณครูผู้ปกครอง จะเดินตามแนวเด็กชายตุรกีหรือเปล่านี่ ผมต้องขอติดค้าง วันนี้ใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือเล่านิทาน ที่คุณหมอออกให้ชั่วคราว หมดเวลาเสียแล้ว ผมจะกลับมาเขียนต่อ หลังซ่อมแซมเครื่อง ออกจากอู่เรียบร้อยแล้ว ขอส่งใบลาป่วยสักพักนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 สค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”

    ตอนที่ 2/3

    แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดผันแปรอย่างกระทันหัน ประมาณปี คศ 1898 อยู่ดีๆ ไกเซอร์แห่งเยอรมัน ก็ยกโขยงบริวารขบวนใหญ่แถวยาว มาเยี่ยมคนป่วย! อะไรนี่ จะมาเป็นคุณหมออีกคนหรือไง นอกจากอังกฤษจะถามเสียงเข้ม แล้ว รัสเซียยังทำเสียงเขียวถามตามด้วย เยอรมันบอก เราทนดูคนป่วยถูกหลอกต่อไปไม่ไหว เราจะมาทำให้เขากระชุ่มกระช่วยแข็งแรง

    นี่ตุรกี กำลังโชคดี หรือโชคร้ายกันแน่

    ขณะเดียวกัน ข่าวที่ลือกันไปทั่วยุโรปคือ เยอรมัน มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟ สาย เบอร์ลิน แบกแดด เส้นทางจะไปแบกแดด แน่นอนต้องผ่านตุรกี มีปัญหาอะไรไหม เรามีเงินเหลือ เรามีเหล็กแยะ และเราอยากจะเชื่อมให้โลกนี้ให้ใกล้ชิดกัน ด้วยทางรถไฟของเรา

    อังกฤษเป็นประเทศชาวเกาะ เกาะอังกฤษ เล็กเท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่อังกฤษคิดว่าตนเองใหญ่ไม่ใช่ใหญ่ธรรมดา แต่โคตรใหญ่ เพราะคิดว่าตนเองโคตรฉลาด โดยเฉพาะในการจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พูดง่ายๆภาษาชาวบ้าน ก็คือเป็นจอมตอแหล หลอกต้มตัวจริงนั่นแหละ ก็รู้อยู่ว่าตนเองเป็นชาวเกาะเล็ก กองทัพที่โม้ไว้มาก ว่าเรี่ยมสุดก็คือ กองทัพเรือ แต่ทางบก บ๊อต๊อ บ่อมี แล้วที่นี้จะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันเอาจริง วางรางแล่นไปทั่วอย่างนั้น อีกหน่อยเศรษฐกิจ มันก็วิ่งตามราง ไม่วิ่งตามเรือเรา ค่าใช้จายทางรางก็ถูกกว่าทางเรือ เพราะไปเร็วกว่า ไปได้ง่ายกว่า และที่สำคัญ รางมันจะพาวิ่งไปตามเมืองสำคัญต่างๆ ที่ปืนเรือรบของอังกฤษ ยิงเข้าไปไม่ถึงแน่ๆ! คิดแล้วอังกฤษแทบจะล้มป่วยเสียเองแทนตุรกี

    อังกฤษ บอกเราต้องระดมพรรคพวกต้านทางรถไฟ ของเยอรมันให้สุดฤทธิ์ ใช้มิตรไม่ได้ ก็ต้องใช้ใม้เสี้ยม เอาให้มันไม่มีทางวางรางไปไหนเกินเมืองเบอร์ลิน เราต้องรักษาตำแหน่งใหญ่ หมายเลขหนึ่งของเราไว้ไม่ให้ใครมาแย่ง

    เดิมคู่กัดเจ้าประจำของอังกฤษคือ ฝรั่งเศษ แต่ดูเหมือนกัดกันไม่จริงจัง แค่ลับเขี้ยวแก้คันเหงือก เพราะกัดๆปล่อยๆ เดี๋ยวรบกันเดี๋ยวแต่งงานกัน ระหว่าง 2 ราชวงศ์ เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยปี คราวนี้อังกฤษกระซิบบอก เฮ้ย เกลอ พักกัดกันชั่วคราวก่อน แล้วเล่าแผนเส้นทางรถไฟของเยอรมันให้ฝรั่งเศษฟัง แถมท้ายว่า เหล็กที่เยอรมันจะเอาไปทำทางรถไฟน่ะ มันน่าจะเป็นเหล็กจาก Alsace/Lorraine ที่ฝรั่งเศษเสียให้เยอรมันต้ังแต่ คศ 1871 นู่นละมังนะ

    โดนไม้เสี้ยมราดน้ำมันแบบนี้ ฝรั่งเศษก็เต้นตามแผน ควันออกหู เรื่องที่กำลังขัดใจกับอังกฤษ รอไว้ก่อน พักบัญชีไว้ เดี๋ยวค่อยมาคิดต่อ ไม่เป็นไร บัญชีระหว่างเรา ยาวเหมือนหางว่าวอยู่แล้ว เรื่องเยอรมัน มันหนักเกินกว่าจะทน

    อย่างที่รู้กัน อังกฤษเป็นเกาะ มีแต่กองทัพเรือที่เป็นหน้าตา ดังนั้นถ้าอังกฤษจะรบกับเยอรมันโดยลำพัง ก็คงเหมือนเดินเอาคอไปวางบนเขียงให้เยอรมันสับเล่น อังกฤษต้องมีกองทัพใหญ่ เช่นของฝรั่งเศษมาร่วมด้วย และจะยิ่งดีใหญ่ ถ้าจะได้กองทัพขนาดใหญ่กว่าของรัสเซีย เอามาบดขยี้เยอรมัน มันถึงจะมันยกร่อง แต่ทำไงล่ะ เหน็บแนมเขามาตลอด แล้วแค่เอาไม้เสี้ยมแบบฝรั่งเศษ ไปแหย่รัสเซียคงไม่สำเร็จ รัสเซียใหญเกินกว่าจะมาสนใจเกมไม้เสี้ยม มันต้องเสี้ยมแบบมีของแถม

    เอายังงี้มั้ย ท่านซาร์ ถ้าฝ่ายเราชนะเยอรมัน กรุงคอนแสตนติโนเปิล ท่านเอาไปเลย ท่านเอาไอ้คนป่วยไปปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็ได้ เราอังกฤษ ฝรั่งเศษ ไม่สนใจ เราแค่อยากอัดหน้าเยอรมัน ที่มันทำซ่าเกินหน้าเราเท่านั่นแหละ

    แล้วสงครามโลกคร้ังที่ 1 ก็เกิดขึ้น สาเหตุที่แท้จริง เพราะอังกฤษยอมไม่ได้ ที่จะให้เยอรมันสร้างทางรถไฟสาย เบอร์ลิน แบกแดด แล้วจะเจริญก้าวหน้า ใหญ่โตเกินหน้าเกินตาอังกฤษ แค่นั้นเอง

    แล้วตุรกี ก็ถึงคราวซวย อย่างเหลือเขื่อ ถูกเพื่อนที่คบกันมานานยาว ราวหนึ่งร้อยปี ถีบตกจากลวด อย่างง่ายดาย แค่เดินไต่ลวดเป็นประจำ อยู่ แถวโรงละครสัตว์ก็เสียวอยู่แล้ว แต่อาศัยที่ถ่วงน้ำหนักดี ตีนเหนียว ประคองเอาตัวรอดมาได้นานพอดู นึกไม่ถึงว่า อยู่ดีๆ จะถูกเพื่อนถืบตกจากลวดเอาง่ายๆ

    ตุรกี แรกๆก็ยังไม่รู้ตัว ว่าถูกใช้เป็นค่าสินบนให้รัสเซียมาร่วมรบ ยังเสนอหน้าพยายามตื้อให้อังกฤษกับพวก รับตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่ม เพื่อสู้กับเยอรมันด้วย แต่อังกฤษ บ่ายเบี่ยงมาตลอด แถมเล่นกลต้มตุ๋นต่อไปอีก

    ส่วนเยอรมัน เมื่อได้ข่าวว่า อังกฤษหนวดกระดิกเรื่องทางรถไฟ ก็ส่งทูตไปเจรจา ว่าเยอรมันยินดีให้อังกฤษร่วมหุ้นด้วยในการสร้างทางรถไฟ แต่อังกฤษบอก สายไปแล้ว มันเสียความรู้สึกที่ดีต่อกันไปแล้ว และคนอังกฤษ รับไม่ได้กับความขี้เบ่งของเยอรมัน (แน่นอน สื่ออังกฤษ ก็ทำเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนเป็น และ
    เก่งจนถึงทุกวันนี้ !)

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจริงๆ ตุรกีไม่มีทางเลือก เมื่อฝ่ายอังกฤษ ถีบตุรกีทิ้งอย่างใจดำ เลือดเย็น ตุรกีก็ต้องจำใจไปเข้าพวกกับเยอรมัน และเป็นฝ่ายแพ้สงครามในที่สุด และทำให้ตุรกี ยิ่งต้องฝึกเอียงหัวและ ไต่ลวดให้ช่ำชองมากขึ้น เพราะตุรกีเป็นเพียงลูกครึ่ง ที่ยังไม่มีใครรับเป็นพวกจริง และบริเวณที่ต้ังตุรกี ก็ยังอยู่ที่เดิม ที่หมิ่นเหม่ เป็นทั้งประโยชน์ และโทษกับตัวเอง ตุรกีเริ่มเรียนรู้ความเป็นลูกครึ่งของตนเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 สค. 2557
    ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 2/3 แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดผันแปรอย่างกระทันหัน ประมาณปี คศ 1898 อยู่ดีๆ ไกเซอร์แห่งเยอรมัน ก็ยกโขยงบริวารขบวนใหญ่แถวยาว มาเยี่ยมคนป่วย! อะไรนี่ จะมาเป็นคุณหมออีกคนหรือไง นอกจากอังกฤษจะถามเสียงเข้ม แล้ว รัสเซียยังทำเสียงเขียวถามตามด้วย เยอรมันบอก เราทนดูคนป่วยถูกหลอกต่อไปไม่ไหว เราจะมาทำให้เขากระชุ่มกระช่วยแข็งแรง นี่ตุรกี กำลังโชคดี หรือโชคร้ายกันแน่ ขณะเดียวกัน ข่าวที่ลือกันไปทั่วยุโรปคือ เยอรมัน มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟ สาย เบอร์ลิน แบกแดด เส้นทางจะไปแบกแดด แน่นอนต้องผ่านตุรกี มีปัญหาอะไรไหม เรามีเงินเหลือ เรามีเหล็กแยะ และเราอยากจะเชื่อมให้โลกนี้ให้ใกล้ชิดกัน ด้วยทางรถไฟของเรา อังกฤษเป็นประเทศชาวเกาะ เกาะอังกฤษ เล็กเท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่อังกฤษคิดว่าตนเองใหญ่ไม่ใช่ใหญ่ธรรมดา แต่โคตรใหญ่ เพราะคิดว่าตนเองโคตรฉลาด โดยเฉพาะในการจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พูดง่ายๆภาษาชาวบ้าน ก็คือเป็นจอมตอแหล หลอกต้มตัวจริงนั่นแหละ ก็รู้อยู่ว่าตนเองเป็นชาวเกาะเล็ก กองทัพที่โม้ไว้มาก ว่าเรี่ยมสุดก็คือ กองทัพเรือ แต่ทางบก บ๊อต๊อ บ่อมี แล้วที่นี้จะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันเอาจริง วางรางแล่นไปทั่วอย่างนั้น อีกหน่อยเศรษฐกิจ มันก็วิ่งตามราง ไม่วิ่งตามเรือเรา ค่าใช้จายทางรางก็ถูกกว่าทางเรือ เพราะไปเร็วกว่า ไปได้ง่ายกว่า และที่สำคัญ รางมันจะพาวิ่งไปตามเมืองสำคัญต่างๆ ที่ปืนเรือรบของอังกฤษ ยิงเข้าไปไม่ถึงแน่ๆ! คิดแล้วอังกฤษแทบจะล้มป่วยเสียเองแทนตุรกี อังกฤษ บอกเราต้องระดมพรรคพวกต้านทางรถไฟ ของเยอรมันให้สุดฤทธิ์ ใช้มิตรไม่ได้ ก็ต้องใช้ใม้เสี้ยม เอาให้มันไม่มีทางวางรางไปไหนเกินเมืองเบอร์ลิน เราต้องรักษาตำแหน่งใหญ่ หมายเลขหนึ่งของเราไว้ไม่ให้ใครมาแย่ง เดิมคู่กัดเจ้าประจำของอังกฤษคือ ฝรั่งเศษ แต่ดูเหมือนกัดกันไม่จริงจัง แค่ลับเขี้ยวแก้คันเหงือก เพราะกัดๆปล่อยๆ เดี๋ยวรบกันเดี๋ยวแต่งงานกัน ระหว่าง 2 ราชวงศ์ เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยปี คราวนี้อังกฤษกระซิบบอก เฮ้ย เกลอ พักกัดกันชั่วคราวก่อน แล้วเล่าแผนเส้นทางรถไฟของเยอรมันให้ฝรั่งเศษฟัง แถมท้ายว่า เหล็กที่เยอรมันจะเอาไปทำทางรถไฟน่ะ มันน่าจะเป็นเหล็กจาก Alsace/Lorraine ที่ฝรั่งเศษเสียให้เยอรมันต้ังแต่ คศ 1871 นู่นละมังนะ โดนไม้เสี้ยมราดน้ำมันแบบนี้ ฝรั่งเศษก็เต้นตามแผน ควันออกหู เรื่องที่กำลังขัดใจกับอังกฤษ รอไว้ก่อน พักบัญชีไว้ เดี๋ยวค่อยมาคิดต่อ ไม่เป็นไร บัญชีระหว่างเรา ยาวเหมือนหางว่าวอยู่แล้ว เรื่องเยอรมัน มันหนักเกินกว่าจะทน อย่างที่รู้กัน อังกฤษเป็นเกาะ มีแต่กองทัพเรือที่เป็นหน้าตา ดังนั้นถ้าอังกฤษจะรบกับเยอรมันโดยลำพัง ก็คงเหมือนเดินเอาคอไปวางบนเขียงให้เยอรมันสับเล่น อังกฤษต้องมีกองทัพใหญ่ เช่นของฝรั่งเศษมาร่วมด้วย และจะยิ่งดีใหญ่ ถ้าจะได้กองทัพขนาดใหญ่กว่าของรัสเซีย เอามาบดขยี้เยอรมัน มันถึงจะมันยกร่อง แต่ทำไงล่ะ เหน็บแนมเขามาตลอด แล้วแค่เอาไม้เสี้ยมแบบฝรั่งเศษ ไปแหย่รัสเซียคงไม่สำเร็จ รัสเซียใหญเกินกว่าจะมาสนใจเกมไม้เสี้ยม มันต้องเสี้ยมแบบมีของแถม เอายังงี้มั้ย ท่านซาร์ ถ้าฝ่ายเราชนะเยอรมัน กรุงคอนแสตนติโนเปิล ท่านเอาไปเลย ท่านเอาไอ้คนป่วยไปปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็ได้ เราอังกฤษ ฝรั่งเศษ ไม่สนใจ เราแค่อยากอัดหน้าเยอรมัน ที่มันทำซ่าเกินหน้าเราเท่านั่นแหละ แล้วสงครามโลกคร้ังที่ 1 ก็เกิดขึ้น สาเหตุที่แท้จริง เพราะอังกฤษยอมไม่ได้ ที่จะให้เยอรมันสร้างทางรถไฟสาย เบอร์ลิน แบกแดด แล้วจะเจริญก้าวหน้า ใหญ่โตเกินหน้าเกินตาอังกฤษ แค่นั้นเอง แล้วตุรกี ก็ถึงคราวซวย อย่างเหลือเขื่อ ถูกเพื่อนที่คบกันมานานยาว ราวหนึ่งร้อยปี ถีบตกจากลวด อย่างง่ายดาย แค่เดินไต่ลวดเป็นประจำ อยู่ แถวโรงละครสัตว์ก็เสียวอยู่แล้ว แต่อาศัยที่ถ่วงน้ำหนักดี ตีนเหนียว ประคองเอาตัวรอดมาได้นานพอดู นึกไม่ถึงว่า อยู่ดีๆ จะถูกเพื่อนถืบตกจากลวดเอาง่ายๆ ตุรกี แรกๆก็ยังไม่รู้ตัว ว่าถูกใช้เป็นค่าสินบนให้รัสเซียมาร่วมรบ ยังเสนอหน้าพยายามตื้อให้อังกฤษกับพวก รับตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่ม เพื่อสู้กับเยอรมันด้วย แต่อังกฤษ บ่ายเบี่ยงมาตลอด แถมเล่นกลต้มตุ๋นต่อไปอีก ส่วนเยอรมัน เมื่อได้ข่าวว่า อังกฤษหนวดกระดิกเรื่องทางรถไฟ ก็ส่งทูตไปเจรจา ว่าเยอรมันยินดีให้อังกฤษร่วมหุ้นด้วยในการสร้างทางรถไฟ แต่อังกฤษบอก สายไปแล้ว มันเสียความรู้สึกที่ดีต่อกันไปแล้ว และคนอังกฤษ รับไม่ได้กับความขี้เบ่งของเยอรมัน (แน่นอน สื่ออังกฤษ ก็ทำเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนเป็น และ เก่งจนถึงทุกวันนี้ !) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจริงๆ ตุรกีไม่มีทางเลือก เมื่อฝ่ายอังกฤษ ถีบตุรกีทิ้งอย่างใจดำ เลือดเย็น ตุรกีก็ต้องจำใจไปเข้าพวกกับเยอรมัน และเป็นฝ่ายแพ้สงครามในที่สุด และทำให้ตุรกี ยิ่งต้องฝึกเอียงหัวและ ไต่ลวดให้ช่ำชองมากขึ้น เพราะตุรกีเป็นเพียงลูกครึ่ง ที่ยังไม่มีใครรับเป็นพวกจริง และบริเวณที่ต้ังตุรกี ก็ยังอยู่ที่เดิม ที่หมิ่นเหม่ เป็นทั้งประโยชน์ และโทษกับตัวเอง ตุรกีเริ่มเรียนรู้ความเป็นลูกครึ่งของตนเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 สค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแถมของนิทาน เรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว ตอนที่ 1
    ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”

    ตอนที่ 1/3

    นิทานเรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว จบไปพักใหญ่แล้ว เข้าใจว่าท่านผู้อ่าน หลายๆท่านยังคงคาใจ ว่าตกลง ตุรกี เป็นอย่างไหนกันแน่ ลูกครึ่ง ครึ่งลูก เต็มใบ หรือ นกสองหัว แล้วเด็กชายสยาม กับ เด็กชายตุรกี ที่มีคุณครูผู้ปกครองคนเดียวกัน ชีวิตภายใต้เชือกจูงดูเหมือนไม่ต่างกัน แล้วต่อไปจะเดินตามเชือกที่จูงเหมือนกันไหม

    แล้วนิทานก็จบไปดื้อๆ ไหนว่าจะเขียนขยาย นอกจากไม่เขียนแล้ว ลุงนิทานยังหายหัว ไม่บอกกล่าว ไม่รายงานตัว แฟนๆบอกนี่ ถ้า ไม่สงสารว่าเป็นคนแก่ช่างเล่านิทาน ฉันจะเลิกตามอ่านแล้วนะ ทำเอาฉันเกิดอารมณ์ค้าง เหมือนดูหนังจวนจะจบแล้ว พระเอกต่อยผู้ร้ายพุ่งถลา หน้ากำลังจะทิ่มดิน แต่ หนังดันขาด เขาเปิดไฟสว่างทั้งโรง ไล่คนดูกลับบ้าน บอกวันหลังมาดูต่อ ทางโรงหนังบอก วันนี้คนแป๊ะสก๊อตเทปต่อหนังคงไม่กลับมาแล้วครับ ลาไปงานบวชต้ังกะก่อนเพล นี่ตะวันตกดินแล้ว ยังไม่กลับมาเลย

    ชาวบ้านบ่นกันพรึม เอะ แล้วตกลงพระเอกชนะแน่หรือเปล่า เออ วันหลังมาดูต่อแล้วกัน บางคนบอก ไม่มาหรอกเสียเวลา วันไหนจะฉายต่อก็ไม่รู้ ขี้เกียจคอย พระเอกต่อยผู้รายจนคว่ำขนาดนั้น มันคงชนะน่า ไม่พลิกหรอก บางคนบอก ไม่แน่นะ บางทีพระเอกดันใจอ่อนกับผู้ร้าย ยอมให้หนี ตัวอย่างมีนี่นา เราไปดูยี่เกเรื่องใหม่ดีกว่า เขาว่าสนุกออก เล่นเก่งทั้งนางเอก ทั้งพระเอก หลอกกันไปมา ไม่รู้ใครจะได้รอยรักฝังใจ หรือ พวงมาลัยมากกว่ากัน

    ลุงนิทาน ขออภัยครับ ที่เขียนเรื่องนกสองหัวเหมือนไม่สุด คิดเอาเองว่า 9 ตอน ที่เขียนไป แนะนำคุณตุรกีเขาพอควรแล้ว ทันการสำหรับการเมืองโลกตอนนี้ ครั้นจะเพิ่มตรงนั้น ต่อตรงนี้ เกรงเรื่องจะยาวเกิน แล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องนกทั้งฝูงไป แต่หลังจากมาอ่านความเห็นของท่านผู้อ่าน ที่มีต่อคุณตุรกีอีกรอบแล้ว ผมคิดว่า โอ้ คนนิทานของผมไม่ธรรมดา มีวิธีคิดวิเคราะห์กันน่าสนใจมาก น่าจะต้องเขียนต่ออีกสักหน่อย เผื่อจะเป็นแว่นทำให้ท่านผู้อ่านมองภาพขัดขึ้น
    กำลังจะเริ่มเขียน ก็ล้มลุกคลุกคลาน อาการคนวัยอาวุโสถามหา ลุงนิทานต้องรีบพาตัวเองไปเข้าอู่ คุณหมอแสนน่ารัก เก็บเครื่องมือเล่านิทานของผมไปเกลี้ยง บังคับให้นอนบ้องแบ้วอยู่หลายวัน นี่ขอต่อรองกัน ขอเขียนเรื่องค้างคาถึงบรรดาแฟนๆ สักหน่อย หลังจากนั้นคงต้องส่งใบลาไปซ่อมเครื่อง สักพักจะกลับมานะครับ ต้องขออภัยอีกครั้ง ที่เขียนตอนต่อช้าไป มาช้าดีกว่า มาไม่ได้เลยนะครับ

    วนสนามหลวงเสียรอบใหญ่ กว่าจะกลับมาเล่าเรื่องคุณตุรกีต่อ

    ตุรกีเป็นชาติที่เหมือนต้นไม้ใหญ่ มีรากยาว ไม่ใช่พวกเพิ่งเพาะเมล็ด หรือต้นใหญ่ แบบต่อตา ตุรกีมีความสืบทอด ทั้งทางวัฒนธรรม ความเจริญใหญ่โต ระดับจักรวรรดิมาก่อน อาณาจักรออตโตมาน มีเรื่องราวให้ศึกษามากมาย ที่สำคัญคือ สถานที่ต้ังของตุรกี อยู่ในที่ ที่ทำให้ตัวเอง สามารถสร้างความสำคัญ และสามารถสร้างความซวยให้กับตัวเอง ได้อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน

    เรื่องนี้เป็นกรณีน่าศึกษาสำหรับสมันน้อยเป็นอย่างยิ่ง

    การประคองตัวของตุรกีให้ผ่านคลื่น ลม แต่ละยุค แต่ละสมัย จึงไม่ง่าย มีบางท่านแหลมคม เปรียบตุรกีเหมือนจราจร อยู่สี่แยกไฟแดง ก็ใช่อยู่ในหลายช่วง แต่ผมว่าบางช่วง ตุรกีน่าระทึกใจกว่าเป็นจราจร เพราะแถบที่ตุรกีอยู่นี่ มันเป็นโรงละครสัตว์ circus of empires ชัดๆ การดำเนินชีวิตแถบนั้น จึงเหมือนเป็นนักไต่ลวดในโรงละครสัตว์มากกว่า ต้องประคองตัวเดินไต่ลวดทุกวัน วันไหนเกิดเสียหลัก ศูนย์ถ่วงเสีย หล่นพลั่กลงมาที่พื้น แถมไม่มีตาข่ายกางรับ ก็จบ เหลือเป็นตำนานเท่าน้ันเอง และตุรกีก็เกือบเป็นอย่างน้ันอยู่หลายครั้ง

    ตุรกี เคยใหญ่โต รุ่งเรืองอย่างยิ่ง เมื่อยังเป็นอาณาจักรออตโตมาน ช่วงประมาณ คศ 1500 กว่า ถึง ประมาณ คศ 1900 ในช่วงที่รุ่งเรือง อาณาจักรออตโตมาน ขยายบ้านเมืองยาวไปรอบด้าน กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมาน จึงเป็นศูนย์กลางการค้า และวัฒนธรรม เชื่อมยุโรป และตะวันออกกลางไว้ด้วยกัน แต่ ทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรหมดหรอก ให้ใหญ่ยังไง ก็มีวันล้ม วันล่มสลายได้ ไอ้ที่ชอบทำตัวเป็นอึ่งอ่าง ลงท้ายก็ไปอย่างเขียดแทบทั้งนั้น

    สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยฉเพาะ ประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งอังกฤษบันทึกไว้ ระบุว่า จักรภพอังกฤษ กับอาณาจักรออตโตมาน มีสัมพันธ์ฉันท์มิตร รักกันหนามายาวนานร่วมศตวรรษ ก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 1จะเกิด
    แต่ความเป็นจริง อังกฤษไม่ได้รักหนักหนาอะไรกับตุรกีหรอก อังกฤษแค่เอาตุรกีมาเป็นตัวเชิด เอามาเป็นก้างวางไว้กลางทาง กันไม่ให้ใครเดินมาตามทาง ที่จะทำให้มาใหญ่กว่าอังกฤษได้เท่าน้ัน ตามสันดานขี้อิจฉาของอังกฤษ บังเอิญตอนนั้นมีจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งนอกจากจะมีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล โอ่อ่า หรูหรา แล้วยังมีกองกำลัง ที่ดูน่าเกรงขามอีกด้วย แน่นอนย่อมเป็นที่หมั่นไส้สุดขีดของอังกฤษ ดีว่าอยู่ไกลเกินจะไปยืนท้าหน้าบ้าน

    ช่วง ศตวรรษ ที่ 19 อังกฤษมองตัวเองว่า เป็น หมายเลขหนึ่งของโลก เป็นจ้าวทางทะเล ส่วนรัสเซีย เป็นจ้าวทางพื้นดิน ด้วยภูมิประเทศของรัสเซีย ก็หาเซียนมาปราบยาก นโปเลียนว่ารบเก่ง พยายามเดินทัพอยู่นานเพื่อไปบุกรัสเซีย รัสเซียแค่ดึงเกมให้ถึงหน้าหนาว หลังจากน้ันให้ธรรมชาติจัดการ กองทัพอันเกรียงไกรของนโปเลียน เจอหิมะรัสเซียกัดหู กัดเท้าร่วงเกือบหมด นโปเลียนก็ต้องตัดสินใจ เก็บความยะโสใส่ห่อ หันทัพเดินรุ่งริ่งกลับบ้าน ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นของนโปเลียน ทำให้ใครที่คิดจะปราบรัสเซีย คิดหนัก อังกฤษ จึงได้แต่หมั่นไส้อยู่ห่างๆ

    ตุรกี หรืออาณาจักรออตโตมาน ขณะนั้น อยู่ครึ่งทาง ระหว่างอังกฤษ กับ รัสเซีย นอกจากนี้ตุรกี ยังอยู่ใกล้อินเดีย เพชรยอดมงกุฏ ของรักของหวงของอังกฤษ อังกฤษไม่มีปัญญาเดินทัพทางบก มาดูแลอินเดียได้บ่อยๆ เพราะฉนั้น อังกฤษ ใช้วิธีเดินเกมแทน สนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน ให้ดูใหญ่ แบบกำลังพอดี พอให้รัสเซีย ไม่กล้าแหยมและให้ทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงอินเดียกลายๆ เป็นการสร้างภาพข่มรัสเซียไว้ เผื่อรัสเซียคิดอยากกินโรตีเมื่อไหร่ ภาพจักรภพอังกฤษ กอดคอจับมือแน่นกับ จักรวรรดิออตโตมาน จะได้หลอนรัสเซียไว้

    คนอังกฤษเขียนไว้เองว่า อังกฤษ เป็น”นักเขียนประวัติศาสตร์” ไม่ใช่ นักประวัติศาสตร์ แต่ละเรื่องที่อังกฤษเขียน จึงต้องดูหูหาหัวให้ครบ!

    การสนับสนุนอาณาจักรออตโตมานของอังกฤษ เป็นตัวอย่างให้เห็นชัด ถึงความจอมปลอมของอังกฤษ และก็เป็นตัวอย่างให้เห็นความซวย จากสถานที่ต้ัง หรือ ชัยภูมิ ของอาณาจักรออตโตมาน
    อังกฤษ สนับสนุนกองทัพออตโตมาน โดยส่งอาวุธไปให้ แต่ขอโทษ เป็นอาวุธเก่าเสียส่วนมาก ถ้าเป็นอาวุธใหม่ ก็ให้ไปแต่อาวุธ กระสุนยังไม่ส่งตามไป หรือตามไปทีละน้อยทีละนิด ฝ่ายออตโตมาน มีอังกฤษมาคอยดูแล ครึ่งหนึ่งที่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง ก็ชื่นใจ คิดว่าทางฝรั่งเขารับตัวเองเป็นพวก ทำให้สุลต่านและพวก ก็เชื่องโดยไม่ต้องมีเชือกจูง อังกฤษให้ทำอะไรก็ทำตาม แล้วออตโตมานก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ถึงขนาด ถูกรัสเซียต้ังชื่อให้ว่าเป็น the Sickman of Europe เจ็บนัก

    แล้วนึกว่ารัสเซีย ซื่อมากนักหรือ หลังจากต้ังชื่อให้ตุรกีเป็นคนป่วย แดกอังกฤษแล้ว รัสเซียก็ออกข่าวว่า อย่างนี้ให้รัสเซียมาดูแลคนป่วย กรุงคอนแสตนติโนเปิล ของออตโตมาน แทนอังกฤษดีกว่าไหม ตุรกี ทั้งปลื้ม ทั้งงง ตกลงใครจะมาอุ้มตูกันแน่ ว่าแล้วสุลต่านเจ้าผู้ครองนครขณะนั้น ก็เดินกลับเข้าฮาเร็ม ปล่อยให้พวกข้าราชการเล่นกันไปเอง ส่วนดีของเรื่องนี้ ก็คือ ทำให้เกิดกลุ่มยังค์เตอร์กในตุรกี ( ไม่ใช่ยังค์เตอร์ก เมษาฮาวายของคุณพี่ มนูญกฤต นะครับ ) แต่เป็นยังค์เตอร์กตัวจริง คือ กลุ่มของนายพันตรี เคมาล อาตาร์เตอร์ก ทหารหนุ่มกลุ่มนี้ อันที่จริงก็ปลื้มอังกฤษ เพราะส่วนใหญ่ก็่เรียนจบจากอังกฤษ ฝรั่งเศษทั้งน้ัน ก็เล่นบทเป็นเพื่อนรัก ต้มกันมาเกือบร้อยปี อิทธิพลทั้งตรงทางอ้อมของอังกฤษ ก็ย่อมครอบงำตุรกีอย่างช่วยไม่ได้ (อย่างนี้พวกที่ถูกต้ม มา 60 ปีจะต่างกันไหมหนอ?!)

    อังกฤษ เจอลูกแดกของรัสเซียเข้า ควันออกหู สั่งเตรียมกองกำลัง กะว่าถ้ารัสเซียเอาจริง จะมาเป็นคุณหมอรักษาตุรกีคนป่วย อังกฤษก็ต้องทำทุกอย่าง ที่จะกันไม่ให้คุณหมอรัสเซียเข้ามายึด กรุงคอนแสตนติโนเปิล เพราะจะทำให้ อินเดีย เพชรยอดมงกุฏ ตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอันดับต่อไปแน่

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 สค. 2557
    ตอนแถมของนิทาน เรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว ตอนที่ 1 ตอนแถมของนิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 1/3 นิทานเรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว จบไปพักใหญ่แล้ว เข้าใจว่าท่านผู้อ่าน หลายๆท่านยังคงคาใจ ว่าตกลง ตุรกี เป็นอย่างไหนกันแน่ ลูกครึ่ง ครึ่งลูก เต็มใบ หรือ นกสองหัว แล้วเด็กชายสยาม กับ เด็กชายตุรกี ที่มีคุณครูผู้ปกครองคนเดียวกัน ชีวิตภายใต้เชือกจูงดูเหมือนไม่ต่างกัน แล้วต่อไปจะเดินตามเชือกที่จูงเหมือนกันไหม แล้วนิทานก็จบไปดื้อๆ ไหนว่าจะเขียนขยาย นอกจากไม่เขียนแล้ว ลุงนิทานยังหายหัว ไม่บอกกล่าว ไม่รายงานตัว แฟนๆบอกนี่ ถ้า ไม่สงสารว่าเป็นคนแก่ช่างเล่านิทาน ฉันจะเลิกตามอ่านแล้วนะ ทำเอาฉันเกิดอารมณ์ค้าง เหมือนดูหนังจวนจะจบแล้ว พระเอกต่อยผู้ร้ายพุ่งถลา หน้ากำลังจะทิ่มดิน แต่ หนังดันขาด เขาเปิดไฟสว่างทั้งโรง ไล่คนดูกลับบ้าน บอกวันหลังมาดูต่อ ทางโรงหนังบอก วันนี้คนแป๊ะสก๊อตเทปต่อหนังคงไม่กลับมาแล้วครับ ลาไปงานบวชต้ังกะก่อนเพล นี่ตะวันตกดินแล้ว ยังไม่กลับมาเลย ชาวบ้านบ่นกันพรึม เอะ แล้วตกลงพระเอกชนะแน่หรือเปล่า เออ วันหลังมาดูต่อแล้วกัน บางคนบอก ไม่มาหรอกเสียเวลา วันไหนจะฉายต่อก็ไม่รู้ ขี้เกียจคอย พระเอกต่อยผู้รายจนคว่ำขนาดนั้น มันคงชนะน่า ไม่พลิกหรอก บางคนบอก ไม่แน่นะ บางทีพระเอกดันใจอ่อนกับผู้ร้าย ยอมให้หนี ตัวอย่างมีนี่นา เราไปดูยี่เกเรื่องใหม่ดีกว่า เขาว่าสนุกออก เล่นเก่งทั้งนางเอก ทั้งพระเอก หลอกกันไปมา ไม่รู้ใครจะได้รอยรักฝังใจ หรือ พวงมาลัยมากกว่ากัน ลุงนิทาน ขออภัยครับ ที่เขียนเรื่องนกสองหัวเหมือนไม่สุด คิดเอาเองว่า 9 ตอน ที่เขียนไป แนะนำคุณตุรกีเขาพอควรแล้ว ทันการสำหรับการเมืองโลกตอนนี้ ครั้นจะเพิ่มตรงนั้น ต่อตรงนี้ เกรงเรื่องจะยาวเกิน แล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องนกทั้งฝูงไป แต่หลังจากมาอ่านความเห็นของท่านผู้อ่าน ที่มีต่อคุณตุรกีอีกรอบแล้ว ผมคิดว่า โอ้ คนนิทานของผมไม่ธรรมดา มีวิธีคิดวิเคราะห์กันน่าสนใจมาก น่าจะต้องเขียนต่ออีกสักหน่อย เผื่อจะเป็นแว่นทำให้ท่านผู้อ่านมองภาพขัดขึ้น กำลังจะเริ่มเขียน ก็ล้มลุกคลุกคลาน อาการคนวัยอาวุโสถามหา ลุงนิทานต้องรีบพาตัวเองไปเข้าอู่ คุณหมอแสนน่ารัก เก็บเครื่องมือเล่านิทานของผมไปเกลี้ยง บังคับให้นอนบ้องแบ้วอยู่หลายวัน นี่ขอต่อรองกัน ขอเขียนเรื่องค้างคาถึงบรรดาแฟนๆ สักหน่อย หลังจากนั้นคงต้องส่งใบลาไปซ่อมเครื่อง สักพักจะกลับมานะครับ ต้องขออภัยอีกครั้ง ที่เขียนตอนต่อช้าไป มาช้าดีกว่า มาไม่ได้เลยนะครับ วนสนามหลวงเสียรอบใหญ่ กว่าจะกลับมาเล่าเรื่องคุณตุรกีต่อ ตุรกีเป็นชาติที่เหมือนต้นไม้ใหญ่ มีรากยาว ไม่ใช่พวกเพิ่งเพาะเมล็ด หรือต้นใหญ่ แบบต่อตา ตุรกีมีความสืบทอด ทั้งทางวัฒนธรรม ความเจริญใหญ่โต ระดับจักรวรรดิมาก่อน อาณาจักรออตโตมาน มีเรื่องราวให้ศึกษามากมาย ที่สำคัญคือ สถานที่ต้ังของตุรกี อยู่ในที่ ที่ทำให้ตัวเอง สามารถสร้างความสำคัญ และสามารถสร้างความซวยให้กับตัวเอง ได้อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน เรื่องนี้เป็นกรณีน่าศึกษาสำหรับสมันน้อยเป็นอย่างยิ่ง การประคองตัวของตุรกีให้ผ่านคลื่น ลม แต่ละยุค แต่ละสมัย จึงไม่ง่าย มีบางท่านแหลมคม เปรียบตุรกีเหมือนจราจร อยู่สี่แยกไฟแดง ก็ใช่อยู่ในหลายช่วง แต่ผมว่าบางช่วง ตุรกีน่าระทึกใจกว่าเป็นจราจร เพราะแถบที่ตุรกีอยู่นี่ มันเป็นโรงละครสัตว์ circus of empires ชัดๆ การดำเนินชีวิตแถบนั้น จึงเหมือนเป็นนักไต่ลวดในโรงละครสัตว์มากกว่า ต้องประคองตัวเดินไต่ลวดทุกวัน วันไหนเกิดเสียหลัก ศูนย์ถ่วงเสีย หล่นพลั่กลงมาที่พื้น แถมไม่มีตาข่ายกางรับ ก็จบ เหลือเป็นตำนานเท่าน้ันเอง และตุรกีก็เกือบเป็นอย่างน้ันอยู่หลายครั้ง ตุรกี เคยใหญ่โต รุ่งเรืองอย่างยิ่ง เมื่อยังเป็นอาณาจักรออตโตมาน ช่วงประมาณ คศ 1500 กว่า ถึง ประมาณ คศ 1900 ในช่วงที่รุ่งเรือง อาณาจักรออตโตมาน ขยายบ้านเมืองยาวไปรอบด้าน กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมาน จึงเป็นศูนย์กลางการค้า และวัฒนธรรม เชื่อมยุโรป และตะวันออกกลางไว้ด้วยกัน แต่ ทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรหมดหรอก ให้ใหญ่ยังไง ก็มีวันล้ม วันล่มสลายได้ ไอ้ที่ชอบทำตัวเป็นอึ่งอ่าง ลงท้ายก็ไปอย่างเขียดแทบทั้งนั้น สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยฉเพาะ ประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งอังกฤษบันทึกไว้ ระบุว่า จักรภพอังกฤษ กับอาณาจักรออตโตมาน มีสัมพันธ์ฉันท์มิตร รักกันหนามายาวนานร่วมศตวรรษ ก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 1จะเกิด แต่ความเป็นจริง อังกฤษไม่ได้รักหนักหนาอะไรกับตุรกีหรอก อังกฤษแค่เอาตุรกีมาเป็นตัวเชิด เอามาเป็นก้างวางไว้กลางทาง กันไม่ให้ใครเดินมาตามทาง ที่จะทำให้มาใหญ่กว่าอังกฤษได้เท่าน้ัน ตามสันดานขี้อิจฉาของอังกฤษ บังเอิญตอนนั้นมีจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งนอกจากจะมีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล โอ่อ่า หรูหรา แล้วยังมีกองกำลัง ที่ดูน่าเกรงขามอีกด้วย แน่นอนย่อมเป็นที่หมั่นไส้สุดขีดของอังกฤษ ดีว่าอยู่ไกลเกินจะไปยืนท้าหน้าบ้าน ช่วง ศตวรรษ ที่ 19 อังกฤษมองตัวเองว่า เป็น หมายเลขหนึ่งของโลก เป็นจ้าวทางทะเล ส่วนรัสเซีย เป็นจ้าวทางพื้นดิน ด้วยภูมิประเทศของรัสเซีย ก็หาเซียนมาปราบยาก นโปเลียนว่ารบเก่ง พยายามเดินทัพอยู่นานเพื่อไปบุกรัสเซีย รัสเซียแค่ดึงเกมให้ถึงหน้าหนาว หลังจากน้ันให้ธรรมชาติจัดการ กองทัพอันเกรียงไกรของนโปเลียน เจอหิมะรัสเซียกัดหู กัดเท้าร่วงเกือบหมด นโปเลียนก็ต้องตัดสินใจ เก็บความยะโสใส่ห่อ หันทัพเดินรุ่งริ่งกลับบ้าน ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นของนโปเลียน ทำให้ใครที่คิดจะปราบรัสเซีย คิดหนัก อังกฤษ จึงได้แต่หมั่นไส้อยู่ห่างๆ ตุรกี หรืออาณาจักรออตโตมาน ขณะนั้น อยู่ครึ่งทาง ระหว่างอังกฤษ กับ รัสเซีย นอกจากนี้ตุรกี ยังอยู่ใกล้อินเดีย เพชรยอดมงกุฏ ของรักของหวงของอังกฤษ อังกฤษไม่มีปัญญาเดินทัพทางบก มาดูแลอินเดียได้บ่อยๆ เพราะฉนั้น อังกฤษ ใช้วิธีเดินเกมแทน สนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน ให้ดูใหญ่ แบบกำลังพอดี พอให้รัสเซีย ไม่กล้าแหยมและให้ทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงอินเดียกลายๆ เป็นการสร้างภาพข่มรัสเซียไว้ เผื่อรัสเซียคิดอยากกินโรตีเมื่อไหร่ ภาพจักรภพอังกฤษ กอดคอจับมือแน่นกับ จักรวรรดิออตโตมาน จะได้หลอนรัสเซียไว้ คนอังกฤษเขียนไว้เองว่า อังกฤษ เป็น”นักเขียนประวัติศาสตร์” ไม่ใช่ นักประวัติศาสตร์ แต่ละเรื่องที่อังกฤษเขียน จึงต้องดูหูหาหัวให้ครบ! การสนับสนุนอาณาจักรออตโตมานของอังกฤษ เป็นตัวอย่างให้เห็นชัด ถึงความจอมปลอมของอังกฤษ และก็เป็นตัวอย่างให้เห็นความซวย จากสถานที่ต้ัง หรือ ชัยภูมิ ของอาณาจักรออตโตมาน อังกฤษ สนับสนุนกองทัพออตโตมาน โดยส่งอาวุธไปให้ แต่ขอโทษ เป็นอาวุธเก่าเสียส่วนมาก ถ้าเป็นอาวุธใหม่ ก็ให้ไปแต่อาวุธ กระสุนยังไม่ส่งตามไป หรือตามไปทีละน้อยทีละนิด ฝ่ายออตโตมาน มีอังกฤษมาคอยดูแล ครึ่งหนึ่งที่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง ก็ชื่นใจ คิดว่าทางฝรั่งเขารับตัวเองเป็นพวก ทำให้สุลต่านและพวก ก็เชื่องโดยไม่ต้องมีเชือกจูง อังกฤษให้ทำอะไรก็ทำตาม แล้วออตโตมานก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ถึงขนาด ถูกรัสเซียต้ังชื่อให้ว่าเป็น the Sickman of Europe เจ็บนัก แล้วนึกว่ารัสเซีย ซื่อมากนักหรือ หลังจากต้ังชื่อให้ตุรกีเป็นคนป่วย แดกอังกฤษแล้ว รัสเซียก็ออกข่าวว่า อย่างนี้ให้รัสเซียมาดูแลคนป่วย กรุงคอนแสตนติโนเปิล ของออตโตมาน แทนอังกฤษดีกว่าไหม ตุรกี ทั้งปลื้ม ทั้งงง ตกลงใครจะมาอุ้มตูกันแน่ ว่าแล้วสุลต่านเจ้าผู้ครองนครขณะนั้น ก็เดินกลับเข้าฮาเร็ม ปล่อยให้พวกข้าราชการเล่นกันไปเอง ส่วนดีของเรื่องนี้ ก็คือ ทำให้เกิดกลุ่มยังค์เตอร์กในตุรกี ( ไม่ใช่ยังค์เตอร์ก เมษาฮาวายของคุณพี่ มนูญกฤต นะครับ ) แต่เป็นยังค์เตอร์กตัวจริง คือ กลุ่มของนายพันตรี เคมาล อาตาร์เตอร์ก ทหารหนุ่มกลุ่มนี้ อันที่จริงก็ปลื้มอังกฤษ เพราะส่วนใหญ่ก็่เรียนจบจากอังกฤษ ฝรั่งเศษทั้งน้ัน ก็เล่นบทเป็นเพื่อนรัก ต้มกันมาเกือบร้อยปี อิทธิพลทั้งตรงทางอ้อมของอังกฤษ ก็ย่อมครอบงำตุรกีอย่างช่วยไม่ได้ (อย่างนี้พวกที่ถูกต้ม มา 60 ปีจะต่างกันไหมหนอ?!) อังกฤษ เจอลูกแดกของรัสเซียเข้า ควันออกหู สั่งเตรียมกองกำลัง กะว่าถ้ารัสเซียเอาจริง จะมาเป็นคุณหมอรักษาตุรกีคนป่วย อังกฤษก็ต้องทำทุกอย่าง ที่จะกันไม่ให้คุณหมอรัสเซียเข้ามายึด กรุงคอนแสตนติโนเปิล เพราะจะทำให้ อินเดีย เพชรยอดมงกุฏ ตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอันดับต่อไปแน่ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 สค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 9 – Swinging State
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 9 “Swinging state ? !” (ตอนจบ)
    ตุรกีเพิ่งมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปรากฎว่าพรรค AKP ของนาย Erdogan ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ได้อยู่ในอำนาจต่อไป นาย Erdogan ได้ประกาศก่อนการเลือกตั้งว่า ถ้าพรรค AKP ของเขาแพ้ เขาจะเลิกเล่นการเมืองเด็ดขาด เป็นการทิ้งไพ่ตายถูกจังหวะปรากฎว่าพรรค AKP ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2009 เป็น 46% ส่วนพรรคฝ่ายค้านได้ประมาณ 28% AKP ชนะขาดลอย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะถูกพายุ ชื่อ Gulen พัดถล่มใส่ แต่ Erdogan ยังยืนอยู่ได้ ไม่ล้มคว่ำตามความตั้งใจของผู้สร้างพายุ ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเขา แสดงว่าพายุ Gulan ระดับไม่น่าจะแรงพอที่จะทลายมือเก๋า อย่างนาย Erdogan ได้ หรือมันเป็นเพียง พายุ Gulen 1 พายุ Gulen 2 อาจรอจังหวะก่อตัว อยู่ที่ Langley !
    ตุรกีจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเดิมเป็นเหมือนตำแหน่งไม้ประดับ แต่ต่อไปอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น นาย Erdogan เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ ค.ศ. 2003 และตามกฎของพรรค AKP เขาหมดสิทธิ์ที่จะได้รับการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว ส่วนนาย Gul ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ตำแหน่งเขาจะหมดลงในเดือนสิงหาคม ที่จะมีการเลือกตั้งกันนี้
    เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ได้มีการปิดประตูนั่งจับเข่ากันระหว่างประธานาธิบดี Gul และนายกรัฐมนตรี Erdogan หลังจากนั้น AKP แถลงข่าวว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคมที่จะมาถึงนี้ นาย Gul จะไม่ลงสมัครและพรรค AKP ตกลงส่งนาย Erdogan ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน
    แค่ออกข่าวว่านาย Erdogan จะลงแข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี สื่อทั่วภูมิภาคและในตุรกีก็ฟันธงเรียบร้อยแล้วว่า ประธานาธิบดีของตุรกีคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม จะเป็นชื่ออื่นไม่ได้ นอกจากชื่อ Erdogan และดูตามแผนการที่วางไว้ นาย Erdogan คงแก้กฎหมายให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้น เพราะ AKP คุมสภาได้อยู่แล้ว และนาย Erdogan น่าจะเป็นประธานาธิบดีติดต่อไป 2 สมัย New York Time ลงข่าวเมื่อ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 ว่า Erdogan น่าจะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดและนานที่สุดของตุรกี ยิ่งกว่าที่ Attaturk เคยมีเสียอีก แถมบอกว่า แผนการแบบนี้ เดินตามรอยของปูตินแห่งรัสเซียเปี้ยบเลย !
    เดือนสิงหาคมยังมาไม่ถึง แต่อุณหภูมิแถวยุโรปเริ่มร้อนชื้นอย่างรวดเร็วแล้ว ข่าวของนาย Erdogan ที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้สหภาพยุโรปอารมณ์บูด (อีกแล้ว) EU ไม่สบอารมณ์ นาย Erdogan มาหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องจะใช้จมูกจีนหายใจ แต่ EU ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรกับนาย Erdogan แม้แต่น้อย นอกจากเรื่องที่ตุรกี ยื่นสมัครเป็นสมาชิก EU ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ใบสมัครยังวางค้างอยู่ข้างโต๊ะ ฝุ่นจับหนาเขรอะ ไม่มีทีท่าว่า EU จะตอบรับประทับตราให้ตุรกีเป็น สมาชิก มีแต่ใบสั่งส่งไปเพิ่ม ให้แก้ไขนี่โน่นไปเรื่อย ๆ เขาว่าตุรกีต้องดำเนินการ ตามเงื่อนไขที่ EU วางไว้ สำหรับตุรกีทั้งหมด 35 ข้อ จนถึงบัดนี้ เพิ่งตกลงกันได้ไปเพียงข้อเดียว
    ตุรกี บอกเศรษฐกิจ เรา ตอนนี้ดีกว่าหลายประเทศใน EU เขาส่งใบสั่งมาผิดที่หรือเปล่านะ ! ?
    เพื่อให้แน่ใจว่า EU ได้รับข้อมูลถูกต้อง หลังจาก AKP ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนา คม มีข่าวลอยลมย้อนไปยุโรปว่า “อันที่จริง ยุโรปต้องการตุรกีมากกว่า ตุรกีต้องการยุโรป” ว่ากันไปตามจริง EU ไม่มีอะไรจะบี้ตุรกีได้เลย ที่สำคัญกองกำลังใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ NATOตั้งอยู่ในตุรกี และอย่าลืมเครื่องเรดาร์ของ NATO“ALTBMD” สำหรับป้องกันยุโรป ที่อเมริกา และ NATOบีบให้ตุรกียอม ก็ยังอยู่บนแผ่นดินตุรกี นี่ยังไม่ได้พูดถึงฐานทัพอเมริกาที่มีอยู่เต็มในตุรกี โดยเฉพาะฐานใหญ่ที่ Incirlik ที่ตุรกีมีสิทธิยกเลิก การให้อเมริกาเข้าใช้ฐานทัพ โดยบอกล่วงหน้า 3 วัน
    คิดดูให้ดี ใครได้ใครเสีย EU และ NATO (รวมทั้งอเมริกาหัวหน้าใหญ่ด้วยนั่นแหละ) อยากจะเปิดแนวรบเพิ่มหรือไง เรื่อง Ukraine ก็ยังไม่จบ รบกับคุณพี่ปูตินของผมก็เหนื่อยแฮ็กแล้ว เจอคุณลูกครึ่ง Erdogan ครึ่งฝรั่ง ครึ่งอาหรับ ครึ่งกล้า ครึ่งกลิ้งบอกได้ว่าไม่หมูครับ
    ผู้นำแถวยุโรป แม้จะไม่สบอารมณ์กับนาย Erdogan แต่จะทำอะไรได้ในเมื่อ ตุรกีตั้งอยู่ตรงนั้น และนาย Erdogan ก็จะอยู่ตรงนั้นไปอีกนานอย่างน้อยที่สุดก็ถึงปี 2019 ! ยกเว้นเสียแต่พายุ Gulen 2 จะก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง จนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคมจะถูกยกเลิก หรือเจอโรคเลื่อน หรือนาย Erdogan จะต้องเลื่อนตัวเองไปอยู่ที่อื่นก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง ! !
    แต่ Erdogan ทุ่มไปสุดตัวแล้ว เขาเลือกเส้นทางเดินของตุรกี และตัวเองแล้ว เขาพร้อมที่จะเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่เป็นจุดสำคัญที่สุด ของบริเวณที่กำลังร้อนที่สุดของโลก เขาจะเป็นตัวเหวี่ยงน้ำหนักให้โลกเห็น อเมริกาจะปล่อยให้น้ำหนักนี้ ไปเพิ่มอยู่กับกลุ่มที่อยู่คนละด้านกับตัวเองหรือ
    ดูตัวอย่าง กรณีนาย Marcos ของฟิลิปปินส์, Shah แห่งอิหร่าน, Saddam Hussain ของ Iraq , Qadaffi ของ Libya, Mubarak ของอียิปต์ ฯลฯ เหล่าเด็กสร้างของอเมริกา เมื่อไปถึงจุดหนึ่ง ไม่หงอมือที่เคยเลี้ยง หรือไม่คุ้มกับการลงทุน จบอย่างไร คงพอเดากันได้ อเมริกาหมดประโยชน์กับใคร คนนั้นก็เหลือแต่ป้ายชื่อเป็นอนุสรณ์ อเมริกาใช้ประโยชน์ที่ใดไม่ได้ ประเทศนั้น ก็เหลือแต่ซาก ใครอื่นก็อย่าหวังจะได้ใช้ประโยชน์ในที่นั้นเช่นเดียวกัน
    แต่โลกวันนี้ใช่ว่าเหมือนเมื่อ 20 ปี ก่อน 10 ปี ก่อน 5 ปี ก่อน หรือแม้แต่ปีก่อน ไม่มีอะไรแน่นอน ลองนึกฝันเล่น ๆ ถ้าเหล่าประเทศ swinging states พร้อมใจกันเอาน้ำหนัก ไปอยู่กับฝ่ายตรงกันข้ามกับอเมริกา เราคงได้เห็นอะไรที่เกินกว่าเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค
    นาย Erdogan สมกับความเป็นนักเอียงหัวตัวกลั่น จนถึงขนาดนี้ ยังคงมีคนไม่แน่ใจว่าเขาจะเอียงหัวไปทางไหน หรือเขาเป็นนกสองหัวตัวจริง เขาแสดงความเก๋า กลิ้ง ได้ทุกกระบวนท่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ตุรกีออกข่าวว่าได้เลื่อนการประกาศผลการคัดเลือกการทำจมูกตุรกีเป็นครั้งที่ 4 โดยเลื่อนออกไปถึงวันที่ 30 สิงหาคม อันเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดี จากนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม คนที่นอนหลับไม่สนิทไม่ควรมีชื่อ Erdogan เพียงคนเดียว
    และจากนี้ไป ท่าทีของตุรกีในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มีต่อหลายประเทศในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็น ซีเรีย อิรัค อิหร่าน และอิสราเอล ฯลฯ เป็นสิ่งที่ชาวเราจะต้องจับตาดู มันคงจะบอกอะไรได้ไม่น้อยว่า swinging state ตัวสำคัญนี้ จะเอียงไปอยู่ข้างใดของขั้วอำนาจโลก ที่กำลังประเมินและอาจจะไปถึงเป็นการประลองกำลังกันด้วยซ้ำ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 9 – Swinging State นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 9 “Swinging state ? !” (ตอนจบ) ตุรกีเพิ่งมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปรากฎว่าพรรค AKP ของนาย Erdogan ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ได้อยู่ในอำนาจต่อไป นาย Erdogan ได้ประกาศก่อนการเลือกตั้งว่า ถ้าพรรค AKP ของเขาแพ้ เขาจะเลิกเล่นการเมืองเด็ดขาด เป็นการทิ้งไพ่ตายถูกจังหวะปรากฎว่าพรรค AKP ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2009 เป็น 46% ส่วนพรรคฝ่ายค้านได้ประมาณ 28% AKP ชนะขาดลอย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะถูกพายุ ชื่อ Gulen พัดถล่มใส่ แต่ Erdogan ยังยืนอยู่ได้ ไม่ล้มคว่ำตามความตั้งใจของผู้สร้างพายุ ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเขา แสดงว่าพายุ Gulan ระดับไม่น่าจะแรงพอที่จะทลายมือเก๋า อย่างนาย Erdogan ได้ หรือมันเป็นเพียง พายุ Gulen 1 พายุ Gulen 2 อาจรอจังหวะก่อตัว อยู่ที่ Langley ! ตุรกีจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเดิมเป็นเหมือนตำแหน่งไม้ประดับ แต่ต่อไปอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น นาย Erdogan เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ ค.ศ. 2003 และตามกฎของพรรค AKP เขาหมดสิทธิ์ที่จะได้รับการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว ส่วนนาย Gul ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ตำแหน่งเขาจะหมดลงในเดือนสิงหาคม ที่จะมีการเลือกตั้งกันนี้ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ได้มีการปิดประตูนั่งจับเข่ากันระหว่างประธานาธิบดี Gul และนายกรัฐมนตรี Erdogan หลังจากนั้น AKP แถลงข่าวว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคมที่จะมาถึงนี้ นาย Gul จะไม่ลงสมัครและพรรค AKP ตกลงส่งนาย Erdogan ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน แค่ออกข่าวว่านาย Erdogan จะลงแข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี สื่อทั่วภูมิภาคและในตุรกีก็ฟันธงเรียบร้อยแล้วว่า ประธานาธิบดีของตุรกีคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม จะเป็นชื่ออื่นไม่ได้ นอกจากชื่อ Erdogan และดูตามแผนการที่วางไว้ นาย Erdogan คงแก้กฎหมายให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้น เพราะ AKP คุมสภาได้อยู่แล้ว และนาย Erdogan น่าจะเป็นประธานาธิบดีติดต่อไป 2 สมัย New York Time ลงข่าวเมื่อ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 ว่า Erdogan น่าจะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดและนานที่สุดของตุรกี ยิ่งกว่าที่ Attaturk เคยมีเสียอีก แถมบอกว่า แผนการแบบนี้ เดินตามรอยของปูตินแห่งรัสเซียเปี้ยบเลย ! เดือนสิงหาคมยังมาไม่ถึง แต่อุณหภูมิแถวยุโรปเริ่มร้อนชื้นอย่างรวดเร็วแล้ว ข่าวของนาย Erdogan ที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้สหภาพยุโรปอารมณ์บูด (อีกแล้ว) EU ไม่สบอารมณ์ นาย Erdogan มาหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องจะใช้จมูกจีนหายใจ แต่ EU ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรกับนาย Erdogan แม้แต่น้อย นอกจากเรื่องที่ตุรกี ยื่นสมัครเป็นสมาชิก EU ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ใบสมัครยังวางค้างอยู่ข้างโต๊ะ ฝุ่นจับหนาเขรอะ ไม่มีทีท่าว่า EU จะตอบรับประทับตราให้ตุรกีเป็น สมาชิก มีแต่ใบสั่งส่งไปเพิ่ม ให้แก้ไขนี่โน่นไปเรื่อย ๆ เขาว่าตุรกีต้องดำเนินการ ตามเงื่อนไขที่ EU วางไว้ สำหรับตุรกีทั้งหมด 35 ข้อ จนถึงบัดนี้ เพิ่งตกลงกันได้ไปเพียงข้อเดียว ตุรกี บอกเศรษฐกิจ เรา ตอนนี้ดีกว่าหลายประเทศใน EU เขาส่งใบสั่งมาผิดที่หรือเปล่านะ ! ? เพื่อให้แน่ใจว่า EU ได้รับข้อมูลถูกต้อง หลังจาก AKP ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนา คม มีข่าวลอยลมย้อนไปยุโรปว่า “อันที่จริง ยุโรปต้องการตุรกีมากกว่า ตุรกีต้องการยุโรป” ว่ากันไปตามจริง EU ไม่มีอะไรจะบี้ตุรกีได้เลย ที่สำคัญกองกำลังใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ NATOตั้งอยู่ในตุรกี และอย่าลืมเครื่องเรดาร์ของ NATO“ALTBMD” สำหรับป้องกันยุโรป ที่อเมริกา และ NATOบีบให้ตุรกียอม ก็ยังอยู่บนแผ่นดินตุรกี นี่ยังไม่ได้พูดถึงฐานทัพอเมริกาที่มีอยู่เต็มในตุรกี โดยเฉพาะฐานใหญ่ที่ Incirlik ที่ตุรกีมีสิทธิยกเลิก การให้อเมริกาเข้าใช้ฐานทัพ โดยบอกล่วงหน้า 3 วัน คิดดูให้ดี ใครได้ใครเสีย EU และ NATO (รวมทั้งอเมริกาหัวหน้าใหญ่ด้วยนั่นแหละ) อยากจะเปิดแนวรบเพิ่มหรือไง เรื่อง Ukraine ก็ยังไม่จบ รบกับคุณพี่ปูตินของผมก็เหนื่อยแฮ็กแล้ว เจอคุณลูกครึ่ง Erdogan ครึ่งฝรั่ง ครึ่งอาหรับ ครึ่งกล้า ครึ่งกลิ้งบอกได้ว่าไม่หมูครับ ผู้นำแถวยุโรป แม้จะไม่สบอารมณ์กับนาย Erdogan แต่จะทำอะไรได้ในเมื่อ ตุรกีตั้งอยู่ตรงนั้น และนาย Erdogan ก็จะอยู่ตรงนั้นไปอีกนานอย่างน้อยที่สุดก็ถึงปี 2019 ! ยกเว้นเสียแต่พายุ Gulen 2 จะก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง จนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคมจะถูกยกเลิก หรือเจอโรคเลื่อน หรือนาย Erdogan จะต้องเลื่อนตัวเองไปอยู่ที่อื่นก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง ! ! แต่ Erdogan ทุ่มไปสุดตัวแล้ว เขาเลือกเส้นทางเดินของตุรกี และตัวเองแล้ว เขาพร้อมที่จะเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่เป็นจุดสำคัญที่สุด ของบริเวณที่กำลังร้อนที่สุดของโลก เขาจะเป็นตัวเหวี่ยงน้ำหนักให้โลกเห็น อเมริกาจะปล่อยให้น้ำหนักนี้ ไปเพิ่มอยู่กับกลุ่มที่อยู่คนละด้านกับตัวเองหรือ ดูตัวอย่าง กรณีนาย Marcos ของฟิลิปปินส์, Shah แห่งอิหร่าน, Saddam Hussain ของ Iraq , Qadaffi ของ Libya, Mubarak ของอียิปต์ ฯลฯ เหล่าเด็กสร้างของอเมริกา เมื่อไปถึงจุดหนึ่ง ไม่หงอมือที่เคยเลี้ยง หรือไม่คุ้มกับการลงทุน จบอย่างไร คงพอเดากันได้ อเมริกาหมดประโยชน์กับใคร คนนั้นก็เหลือแต่ป้ายชื่อเป็นอนุสรณ์ อเมริกาใช้ประโยชน์ที่ใดไม่ได้ ประเทศนั้น ก็เหลือแต่ซาก ใครอื่นก็อย่าหวังจะได้ใช้ประโยชน์ในที่นั้นเช่นเดียวกัน แต่โลกวันนี้ใช่ว่าเหมือนเมื่อ 20 ปี ก่อน 10 ปี ก่อน 5 ปี ก่อน หรือแม้แต่ปีก่อน ไม่มีอะไรแน่นอน ลองนึกฝันเล่น ๆ ถ้าเหล่าประเทศ swinging states พร้อมใจกันเอาน้ำหนัก ไปอยู่กับฝ่ายตรงกันข้ามกับอเมริกา เราคงได้เห็นอะไรที่เกินกว่าเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค นาย Erdogan สมกับความเป็นนักเอียงหัวตัวกลั่น จนถึงขนาดนี้ ยังคงมีคนไม่แน่ใจว่าเขาจะเอียงหัวไปทางไหน หรือเขาเป็นนกสองหัวตัวจริง เขาแสดงความเก๋า กลิ้ง ได้ทุกกระบวนท่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ตุรกีออกข่าวว่าได้เลื่อนการประกาศผลการคัดเลือกการทำจมูกตุรกีเป็นครั้งที่ 4 โดยเลื่อนออกไปถึงวันที่ 30 สิงหาคม อันเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดี จากนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม คนที่นอนหลับไม่สนิทไม่ควรมีชื่อ Erdogan เพียงคนเดียว และจากนี้ไป ท่าทีของตุรกีในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่มีต่อหลายประเทศในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็น ซีเรีย อิรัค อิหร่าน และอิสราเอล ฯลฯ เป็นสิ่งที่ชาวเราจะต้องจับตาดู มันคงจะบอกอะไรได้ไม่น้อยว่า swinging state ตัวสำคัญนี้ จะเอียงไปอยู่ข้างใดของขั้วอำนาจโลก ที่กำลังประเมินและอาจจะไปถึงเป็นการประลองกำลังกันด้วยซ้ำ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 8 “โรงเรียน”
    จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ)
    นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย
    นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ
    Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้
    อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997)
    สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย
    ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง
    Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว
    เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 8 “โรงเรียน” จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้ เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ) นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้ อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997) สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 7 “ครู”
    Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง)
    ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน
    ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ !
    Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!)
    กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี)
    แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า
    “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?)
    หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร
    เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต
    ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 7 “ครู” Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง) ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ ! Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!) กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี) แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?) หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น”
    เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
    โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ
    หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร
    ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่
    ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน !
    เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน
    ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา
    นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014
    จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้
    4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
    นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก
    คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง
    นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว !
    อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน
    ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย
    แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง
    นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา)
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น” เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่ ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน ! เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014 จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว ! อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา) สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 5 – เด็กรับใช้
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 5 “เด็กรับใช้”
    เดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 นาย Philip Giraldi อดีต CIA ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณ Syria สรุปว่า
    “NATO ได้แอบสนับสนุนเหตุการณ์ขัดแย้งใน Syria โดยมีตุรกีนำหน้าในฐานะตัวแทนของอเมริกา รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี นาย Davutoglu เปิดเผยว่า ประเทศเขาพร้อมที่จะบุกเข้าไปในซีเรีย เมื่อมีข้อตกลงระหว่างพันธมิตรทางยุโรป ให้ดำเนินการเช่นนั้น การเข้าไปแทรกแซงจะใช้ข้ออ้างว่า เพื่อมนุษยธรรม เพื่อปกป้องประชาชนที่บริสุทธิ โดยถือเป็นหน้าที่ของทุกประเทศที่ต้องดำรงความยุติธรรม เช่นเดียวกับวิธีที่เข้าไปให้ Libya
    แหล่งข่าวจากตุรกีแจ้งว่า เขาจะเริ่มปฏิบัติการ โดยการใช้วิธีตั้งแนวเขตป้องกัน (buffer zone) ระหว่างชายแดนตุรกีกับซีเรีย และขยายไปถึง Alleppo เมืองใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของซีเรีย และเป็นเป้าหมายสำคัญของฝ่ายกบฎ
    เครื่องบินของ NATO ซึ่งไม่ติดเครื่องหมาย บินเข้าไปถึงฐานทัพของตุรกี ใกล้เมือง Iskenderum ในเขตของซีเรีย เครื่องบินนี้ขนอาวุธซึ่งนำมาจากคลังอาวุธของ Gaddafi ที่ Libya พร้อมทั้งอาสาสมัครจำนวนมากจาก Libyan Transitional National Council ซึ่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับทหารที่ฝึกมาแล้ว เป็นความชำนาญที่พวกเขาได้มาจากการสู้ กับกองทัพของ Gaddafi
    Iskenderum เป็นพื้นที่ของฝ่ายกบฎ คือ Syrain National Council ส่วนที่ติดอาวุธ มีผู้ฝึกจากหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศสและอังกฤษ ได้รออยู่ในพื้นที่แล้ว พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือฝ่าย กบฎซีเรีย ในขณะที่ CIA และหน่วยรบพิเศษของอเมริกา US spec. Ops. ได้ให้เครื่องมือสื่อสาร เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 กองทัพตุรกียิงระเบิดเข้าไปในเขตแดนของซีเรีย หวังจะสร้างเขตกันชน buffer zone ระยะ 10 กิโลเมตร ตลอดแนวเขตรั้วบ้านซีเรีย ทำให้ทั้งชาวซีเรียและชาวเตอร์กตามแนวเขตบาดเจ็บล้มตาย”
    รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกี นาย Davutogulee ซึ่งสนิทชิดใกล้กับกลุ่ม Muslim Brotherhood ของตุรกี เป็นเจ้าของแนวคิดที่จะถล่มรัฐบาล Al-Assad ของซีเรีย
    มีรายงานว่าตั้งแต่ ค.ศ. 2006 เป็นต้นมารัฐบาลอิสลามซุนนี่ห์ ของนายกรัฐมนตรี Erdogam และพรรค AKP ของเขาเป็นพวกนิยม Brotherhood ทำให้ตุรกีกลายเป็นศูนย์กลางของ กลุ่ม Global Muslim Brotherhood การเลือกตั้งของพรรค AKP ของนาย Erdogan เขาได้รับเงินบริจาคช่วยเหลือ เป็นจำนวน 10 พันล้านเหรียญจากราชวงศ์ซาอุดิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม Jihadist Salafism ภายใต้คำสั่งสอนแบบ Wahabism
    ตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา CIA นำสมาชิกระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood จากอียิปต์ไปฝากไว้ที่ Saudi Arabia หลังจากนั้นการผสมผสานระหว่าง Wahabism ของซาอุดิ และความเกรี้ยวกราดของกลุ่มJihadist Brotherhood ก็กลายเป็นเนื้อเดียวกัน
    ไล่เรียงมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นว่าน้ำผึ้งมันจะขมออกเปรี้ยว ขนาดต้องลงข่าวด่าซ้ำซาก แถมลงในปูมสมุดพกความประพฤติอีกด้วย ตกลงอเมริกาไม่พอใจในความประพฤติข้อไหนของตุรกีกันแน่ เริ่มคบก็รู้อยู่แล้วว่าตุรกีเป็นลูกครึ่ง ความประพฤติก็เหมือนลูกกลิ้ง ลูกกลม กลิ้งไปได้เรื่อย ๆ ไม่งั้นจะลงทุนกลายเป็น Langley เลขที่ 2 ให้อเมริกาได้อย่างไร
    อเมริกาลงทุนสนับสนุนตุรกี เรื่องความมั่นคง (จารกรรมน่ะ พูดให้ชัด ๆ ) เรื่องการทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตรา พร้อมตั้งฐานทัพ แถมมีเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งการรบการจารกรรมไว้เต็มเมืองตุรกี แค่นั้นยังไม่พอ เนื่องจากเป็นภูมิศาสตร์สำคัญ พ่วงเอา NATO มาตั้งศูนย์ยิง ศูนย์รบ สาระพัดศูนย์เต็มไปหมด อยู่ดี ๆ ตุรกีก็บอกว่าตัวเองน่าจะมีระบบป้องกันประเทศของตัวเองบ้างเหมือนกัน
    อ้อ ! เรื่องนี้เอง ! ตุรกีมาแปลก ! อเมริกาสงสัย มันกำลังหันหัวไปทางไหนกันแน่ !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 5 – เด็กรับใช้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 5 “เด็กรับใช้” เดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 นาย Philip Giraldi อดีต CIA ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณ Syria สรุปว่า “NATO ได้แอบสนับสนุนเหตุการณ์ขัดแย้งใน Syria โดยมีตุรกีนำหน้าในฐานะตัวแทนของอเมริกา รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี นาย Davutoglu เปิดเผยว่า ประเทศเขาพร้อมที่จะบุกเข้าไปในซีเรีย เมื่อมีข้อตกลงระหว่างพันธมิตรทางยุโรป ให้ดำเนินการเช่นนั้น การเข้าไปแทรกแซงจะใช้ข้ออ้างว่า เพื่อมนุษยธรรม เพื่อปกป้องประชาชนที่บริสุทธิ โดยถือเป็นหน้าที่ของทุกประเทศที่ต้องดำรงความยุติธรรม เช่นเดียวกับวิธีที่เข้าไปให้ Libya แหล่งข่าวจากตุรกีแจ้งว่า เขาจะเริ่มปฏิบัติการ โดยการใช้วิธีตั้งแนวเขตป้องกัน (buffer zone) ระหว่างชายแดนตุรกีกับซีเรีย และขยายไปถึง Alleppo เมืองใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของซีเรีย และเป็นเป้าหมายสำคัญของฝ่ายกบฎ เครื่องบินของ NATO ซึ่งไม่ติดเครื่องหมาย บินเข้าไปถึงฐานทัพของตุรกี ใกล้เมือง Iskenderum ในเขตของซีเรีย เครื่องบินนี้ขนอาวุธซึ่งนำมาจากคลังอาวุธของ Gaddafi ที่ Libya พร้อมทั้งอาสาสมัครจำนวนมากจาก Libyan Transitional National Council ซึ่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับทหารที่ฝึกมาแล้ว เป็นความชำนาญที่พวกเขาได้มาจากการสู้ กับกองทัพของ Gaddafi Iskenderum เป็นพื้นที่ของฝ่ายกบฎ คือ Syrain National Council ส่วนที่ติดอาวุธ มีผู้ฝึกจากหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศสและอังกฤษ ได้รออยู่ในพื้นที่แล้ว พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือฝ่าย กบฎซีเรีย ในขณะที่ CIA และหน่วยรบพิเศษของอเมริกา US spec. Ops. ได้ให้เครื่องมือสื่อสาร เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 กองทัพตุรกียิงระเบิดเข้าไปในเขตแดนของซีเรีย หวังจะสร้างเขตกันชน buffer zone ระยะ 10 กิโลเมตร ตลอดแนวเขตรั้วบ้านซีเรีย ทำให้ทั้งชาวซีเรียและชาวเตอร์กตามแนวเขตบาดเจ็บล้มตาย” รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกี นาย Davutogulee ซึ่งสนิทชิดใกล้กับกลุ่ม Muslim Brotherhood ของตุรกี เป็นเจ้าของแนวคิดที่จะถล่มรัฐบาล Al-Assad ของซีเรีย มีรายงานว่าตั้งแต่ ค.ศ. 2006 เป็นต้นมารัฐบาลอิสลามซุนนี่ห์ ของนายกรัฐมนตรี Erdogam และพรรค AKP ของเขาเป็นพวกนิยม Brotherhood ทำให้ตุรกีกลายเป็นศูนย์กลางของ กลุ่ม Global Muslim Brotherhood การเลือกตั้งของพรรค AKP ของนาย Erdogan เขาได้รับเงินบริจาคช่วยเหลือ เป็นจำนวน 10 พันล้านเหรียญจากราชวงศ์ซาอุดิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม Jihadist Salafism ภายใต้คำสั่งสอนแบบ Wahabism ตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา CIA นำสมาชิกระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood จากอียิปต์ไปฝากไว้ที่ Saudi Arabia หลังจากนั้นการผสมผสานระหว่าง Wahabism ของซาอุดิ และความเกรี้ยวกราดของกลุ่มJihadist Brotherhood ก็กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไล่เรียงมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นว่าน้ำผึ้งมันจะขมออกเปรี้ยว ขนาดต้องลงข่าวด่าซ้ำซาก แถมลงในปูมสมุดพกความประพฤติอีกด้วย ตกลงอเมริกาไม่พอใจในความประพฤติข้อไหนของตุรกีกันแน่ เริ่มคบก็รู้อยู่แล้วว่าตุรกีเป็นลูกครึ่ง ความประพฤติก็เหมือนลูกกลิ้ง ลูกกลม กลิ้งไปได้เรื่อย ๆ ไม่งั้นจะลงทุนกลายเป็น Langley เลขที่ 2 ให้อเมริกาได้อย่างไร อเมริกาลงทุนสนับสนุนตุรกี เรื่องความมั่นคง (จารกรรมน่ะ พูดให้ชัด ๆ ) เรื่องการทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตรา พร้อมตั้งฐานทัพ แถมมีเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งการรบการจารกรรมไว้เต็มเมืองตุรกี แค่นั้นยังไม่พอ เนื่องจากเป็นภูมิศาสตร์สำคัญ พ่วงเอา NATO มาตั้งศูนย์ยิง ศูนย์รบ สาระพัดศูนย์เต็มไปหมด อยู่ดี ๆ ตุรกีก็บอกว่าตัวเองน่าจะมีระบบป้องกันประเทศของตัวเองบ้างเหมือนกัน อ้อ ! เรื่องนี้เอง ! ตุรกีมาแปลก ! อเมริกาสงสัย มันกำลังหันหัวไปทางไหนกันแน่ ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts