• “Doomscrolling: The Game — เมื่อการเลื่อนหน้าจอกลายเป็นเกมที่ทั้งเสียดสีและเสพติด”

    David Friedman นักเขียนจาก Ironic Sans ได้สร้างเกมที่ไม่เหมือนใครในชื่อว่า “Doomscrolling: The Game” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมของผู้คนที่เลื่อนฟีดข่าวอย่างไม่หยุดยั้งจนรู้สึกหดหู่ หรือที่เรียกว่า doomscrolling โดยเขาตั้งคำถามว่า “ถ้า Doom เป็นเกมที่เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น จะเป็นอย่างไร?” และคำตอบก็คือเกมนี้ — ที่คุณไม่ต้องกระโดด ไม่ต้องเคลื่อนที่ด้านข้าง แค่เลื่อนลงไปเรื่อย ๆ

    เกมนี้เริ่มต้นจากความล้มเหลว เพราะ GPT-4 ไม่สามารถเข้าใจแนวคิด “เลื่อนลง = พื้นหลังเลื่อนขึ้น” ได้เลย แต่เมื่อ GPT-5 เปิดตัว Friedman กลับมาลองใหม่ และสามารถสร้างต้นแบบเกมได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยใช้ vibe coding และการทดลองผ่าน “lab pages” ที่ให้เขาปรับค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น สีพื้นหลัง, รูปแบบใยแมงมุม, หรือดีไซน์แผ่นป้ายข่าว

    ตัวเกมมีระบบที่กระตุ้นให้ผู้เล่นเคลื่อนไหว เช่น อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า, กำแพงไฟที่ไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป, และสิ่งกีดขวางอย่างใยแมงมุมหรือกำแพงอิฐ นอกจากนี้ยังมี “แผ่นป้ายข่าว” ที่แสดงพาดหัวข่าวจริงจาก RSS ของ New York Times เพื่อสร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง — อ่านแล้วหดหู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนต่อ

    แม้ Friedman จะไม่ใช่นักพัฒนาเกมมืออาชีพ แต่เขาใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างเกมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเปิดให้เล่นฟรีทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป โดยสามารถบันทึกเกมไว้ในหน้าจอหลักให้เหมือนแอปจริงได้

    จุดเด่นของ Doomscrolling: The Game
    เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น — ไม่มีการเคลื่อนที่ด้านข้างหรือกระโดด
    ได้แรงบันดาลใจจากเกม Doom และพฤติกรรม doomscrolling
    ใช้ GPT-5 ในการสร้างต้นแบบเกมภายในเวลาอันสั้น
    ใช้ vibe coding และ lab pages เพื่อปรับแต่งองค์ประกอบเกม

    ระบบเกมที่กระตุ้นให้เคลื่อนไหว
    อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า
    กำแพงไฟไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป
    มีสิ่งกีดขวาง เช่น ใยแมงมุมและกำแพงอิฐ
    มี health potion และระบบบันทึกระยะทางที่ทำได้

    การผสานข่าวจริงเข้ากับเกม
    ใช้ RSS feed จาก New York Times แสดงพาดหัวข่าวบนแผ่นป้าย
    ข่าวไม่มีผลต่อเกม แต่สร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง
    ผู้เล่นอาจถูกดึงดูดให้หยุดอ่านข่าวระหว่างเล่น
    เป็นการเสียดสีพฤติกรรมเสพข่าวที่ไม่มีวันจบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมนี้เป็นตัวอย่างของ “vibe-coded” project ที่ใช้ AI อย่างสร้างสรรค์
    Friedman ใช้ lab pages เพื่อปรับค่ากราฟิก เช่น ใยแมงมุมและแผ่นป้าย
    เกมสามารถเล่นได้ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อปอย่างลื่นไหล
    มีผู้เล่นบางรายรายงานปัญหาเรื่องการเลื่อนหน้าจอบนบางเบราว์เซอร์

    https://ironicsans.ghost.io/doomscrolling-the-game/
    🕹️ “Doomscrolling: The Game — เมื่อการเลื่อนหน้าจอกลายเป็นเกมที่ทั้งเสียดสีและเสพติด” David Friedman นักเขียนจาก Ironic Sans ได้สร้างเกมที่ไม่เหมือนใครในชื่อว่า “Doomscrolling: The Game” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมของผู้คนที่เลื่อนฟีดข่าวอย่างไม่หยุดยั้งจนรู้สึกหดหู่ หรือที่เรียกว่า doomscrolling โดยเขาตั้งคำถามว่า “ถ้า Doom เป็นเกมที่เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น จะเป็นอย่างไร?” และคำตอบก็คือเกมนี้ — ที่คุณไม่ต้องกระโดด ไม่ต้องเคลื่อนที่ด้านข้าง แค่เลื่อนลงไปเรื่อย ๆ เกมนี้เริ่มต้นจากความล้มเหลว เพราะ GPT-4 ไม่สามารถเข้าใจแนวคิด “เลื่อนลง = พื้นหลังเลื่อนขึ้น” ได้เลย แต่เมื่อ GPT-5 เปิดตัว Friedman กลับมาลองใหม่ และสามารถสร้างต้นแบบเกมได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยใช้ vibe coding และการทดลองผ่าน “lab pages” ที่ให้เขาปรับค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น สีพื้นหลัง, รูปแบบใยแมงมุม, หรือดีไซน์แผ่นป้ายข่าว ตัวเกมมีระบบที่กระตุ้นให้ผู้เล่นเคลื่อนไหว เช่น อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า, กำแพงไฟที่ไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป, และสิ่งกีดขวางอย่างใยแมงมุมหรือกำแพงอิฐ นอกจากนี้ยังมี “แผ่นป้ายข่าว” ที่แสดงพาดหัวข่าวจริงจาก RSS ของ New York Times เพื่อสร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง — อ่านแล้วหดหู่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนต่อ แม้ Friedman จะไม่ใช่นักพัฒนาเกมมืออาชีพ แต่เขาใช้ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างเกมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเปิดให้เล่นฟรีทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป โดยสามารถบันทึกเกมไว้ในหน้าจอหลักให้เหมือนแอปจริงได้ ✅ จุดเด่นของ Doomscrolling: The Game ➡️ เล่นด้วยการเลื่อนหน้าจอเท่านั้น — ไม่มีการเคลื่อนที่ด้านข้างหรือกระโดด ➡️ ได้แรงบันดาลใจจากเกม Doom และพฤติกรรม doomscrolling ➡️ ใช้ GPT-5 ในการสร้างต้นแบบเกมภายในเวลาอันสั้น ➡️ ใช้ vibe coding และ lab pages เพื่อปรับแต่งองค์ประกอบเกม ✅ ระบบเกมที่กระตุ้นให้เคลื่อนไหว ➡️ อัปเกรดอาวุธทุก 100 ตัวที่ฆ่า ➡️ กำแพงไฟไล่ตามถ้าหยุดนานเกินไป ➡️ มีสิ่งกีดขวาง เช่น ใยแมงมุมและกำแพงอิฐ ➡️ มี health potion และระบบบันทึกระยะทางที่ทำได้ ✅ การผสานข่าวจริงเข้ากับเกม ➡️ ใช้ RSS feed จาก New York Times แสดงพาดหัวข่าวบนแผ่นป้าย ➡️ ข่าวไม่มีผลต่อเกม แต่สร้างบรรยากาศ doomscrolling อย่างแท้จริง ➡️ ผู้เล่นอาจถูกดึงดูดให้หยุดอ่านข่าวระหว่างเล่น ➡️ เป็นการเสียดสีพฤติกรรมเสพข่าวที่ไม่มีวันจบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมนี้เป็นตัวอย่างของ “vibe-coded” project ที่ใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ ➡️ Friedman ใช้ lab pages เพื่อปรับค่ากราฟิก เช่น ใยแมงมุมและแผ่นป้าย ➡️ เกมสามารถเล่นได้ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อปอย่างลื่นไหล ➡️ มีผู้เล่นบางรายรายงานปัญหาเรื่องการเลื่อนหน้าจอบนบางเบราว์เซอร์ https://ironicsans.ghost.io/doomscrolling-the-game/
    IRONICSANS.GHOST.IO
    Doomscrolling: The Game
    Can a game work where all you do is scroll?
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : August 2025

    bipartisan
    adjective: representing, characterized by, or including members from two parties or factions

    From the headlines: The Trump administration’s decision to cut funding for the Open Technology Fund (OTF) has raised concerns among lawmakers, who see it as a vital tool against internet censorship in authoritarian regimes. Trump’s executive order effectively terminated the OTF’s budget, prompting bipartisan efforts to save the program. Advocates warn that without OTF-backed tools, many citizens and activists could lose secure communication channels, increasing their risk of surveillance and persecution.

    bounty
    noun: a premium or reward, especially one offered by a government

    From the headlines: The United States has lifted bounties on three senior Taliban figures. The three members of the Haqqani militant network in Afghanistan were allegedly involved in planning deadly attacks during the war with the U.S., some of which killed American citizens. Until this week, the State Department had offered rewards of up to $10 million for the death or capture of the militant leaders. The move follows last week’s release of a U.S. hostage who had been held by the Taliban since 2022.

    breach
    noun: an infraction or violation, such as of a law, contract, trust, or promise

    Jeffrey Goldberg, editor-in-chief of The Atlantic, disclosed that he was inadvertently added to a private Signal group chat used by U.S. national security officials. This unexpected breach exposed sensitive information, including details about military strikes in Yemen. The incident underscored a serious protocol violation, as national security deliberations are typically confined to secure, classified settings rather than informal messaging platforms.

    cartography
    noun: the production of maps, including construction of projections, design, compilation, drafting, and reproduction

    From the headlines: After more than a decade of unraveling the mysteries of the universe, the space telescope Gaia has officially powered down. In its ten years of operation, Gaia meticulously mapped nearly 2 billion stars, 150,000 asteroids, and countless other celestial wonders. This cartography resulted in a precise, three-dimensional map of our solar system, which has transformed our understanding of the Milky Way.

    civil liberty
    noun: the freedom of a citizen to exercise customary rights, as of speech or assembly, without unwarranted or arbitrary interference by the government

    From the headlines: Legal experts say surveillance methods being used by colleges and universities on their students may violate their civil liberties. When investigating vandalism connected to political protests, campus police have been using new tactics, including seizing students’ phones and laptops. They have also issued warrants based on social media posts or participation in campus protests. Civil liberties experts say these actions amount to stifling university students’ right to free speech.

    confiscate
    verb: to seize as forfeited to the public domain; appropriate, by way of penalty, for public use

    From the headlines: A kite was briefly confiscated after it came into contact with a United Airlines plane near Washington, D.C. The aircraft landed safely at Ronald Reagan National Airport following reports of a kite hitting it. Police seized the kite from a family at nearby Gravelly Point park, but returned it later. Despite the fact that kite flying is banned there because the sky overhead is “restricted airspace,” about a dozen people had reportedly been flying kites at the park that day.

    defraud
    verb: to deprive of a right, money, or property by fraud

    From the headlines: Hollywood writer-director Carl Erik Rinsch was arrested for defrauding Netflix of $11 million, meant for his unfinished sci-fi show White Horse. Prosecutors say he spent around $10 million on luxury purchases, including Rolls-Royces, a Ferrari, and antiques. Prosecutors also claim that he used the money to pay legal fees to sue Netflix for additional money. Rinsch has been charged with wire fraud and money laundering, while Netflix has declined to comment.

    embezzlement
    noun: the stealing of money entrusted to one’s care

    From the headlines: French politician Marine Le Pen was convicted of embezzlement and barred from public office for five years. Le Pen, who leads the far-right National Rally party, had planned to run for president in 2027. She was also sentenced to four years in prison for spending $4.3 million in European Parliament funds on her own party expenses.

    Fun fact: Embezzlement is from the Anglo-French enbesiler, “cause to disappear,” and an Old French root meaning “to destroy or gouge.”

    fairway
    noun: Golf. the part of the course where the grass is cut short between the tees and the putting greens

    From the headlines: When golf courses close, research shows the surrounding environment improves. With declining interest in golf, nearby neighborhoods report benefits like less flooding and reduced pesticide runoff. Across the U.S., many former courses have been repurposed as nature reserves, where manicured fairways have been replaced by thriving wildflower meadows.

    forage
    verb: to wander or go in search of provisions

    From the headlines: A new online map shows where 1.6 million edible plants grow in cities around the world. The guide, called Falling Fruit, is meant to help urban dwellers and visitors forage for food. Its open source design means people can add locations, mapping additional fruit trees, berry bushes, beehives, and plants that might otherwise go unnoticed.

    franchise
    noun: Sports. a professional sports team

    From the headlines: A group led by Bill Chisholm has agreed to buy the Boston Celtics for $6.1 billion, making it the most expensive franchise sale in North American sports history. The Celtics, fresh off their 18th NBA title, are facing significant financial challenges under the new collective bargaining agreement, but remain favorites to repeat as champions.

    geriatric
    adjective: noting or relating to aged people or animals

    From the headlines: The New England Aquarium in Boston has introduced a new “retirement home” for geriatric aquarium penguins, relocating six elderly birds to a designated island. While wild penguins typically live about ten years, the new aquarium houses twenty penguins in their twenties and thirties. This specialized haven ensures these aging animals receive monitoring for conditions such as arthritis and cataracts.

    Fun fact: The Greek gērōs, “old,” is the root of geriatric.

    iguana
    noun: a large, arboreal lizard, native to Central and South America, having stout legs and a crest of spines from neck to tail

    From the headlines: A recent study sheds light on how North American iguanas may have reached a remote island in Fiji. Genetic analysis suggests that these large reptiles likely traversed thousands of miles across the Pacific Ocean by drifting on makeshift rafts of fallen trees. If confirmed, this would represent the longest documented oceanic migration by any terrestrial vertebrate, apart from humans.

    inaccessible
    adjective: not accessible; unapproachable

    From the headlines: Researchers investigating why we can’t remember being babies found evidence that those memories still exist in our brains, but are inaccessible. Scientists have long suspected that infants don’t create memories at all. A new study using MRI imaging to observe babies’ brains found that around 12 months old, they do begin storing memories of specific images. Neuroscientists are now focused on learning why these early recollections become locked away and out of reach as we grow older.

    magnitude
    noun: greatness of size or amount

    From the headlines: A devastating 7.7 magnitude earthquake struck Myanmar, killing over 3,000 people and leaving hundreds missing. The tremors were so intense they reached 600 miles to Bangkok, where skyscrapers swayed. In response, China, India, and Russia sent rescue teams, while countries like Thailand, Malaysia, and Vietnam offered aid.

    manipulate
    verb: to adapt or change (accounts, figures, etc.) to suit one’s purpose or advantage

    From the headlines: A cheating scandal shook the world of professional ski jumping this week. Several members of Team Norway were suspended after officials found evidence that their ski suits had been manipulated to make the athletes more aerodynamic. The team’s manager admitted to illegally adding an extra seam where the legs are sewn together; more material there was hoped to give the jumpers extra lift and allow air to flow around them more efficiently.

    mush
    verb: to drive or spur on (sled dogs or a sled drawn by dogs)

    From the headlines: Greenland’s annual dog sledding race attracted unusual international attention when the White House said the vice president’s wife, Usha Vance, would attend. Vance canceled her trip after Greenlanders planned to protest her presence at the event. Competitors in the Avannaata Qimussersua, or “Great Race of the North,” mushed their dogs over 26 snowy miles. Henrik Jensen, a musher from northern Greenland, crossed the finish line in first place, pulled by his team of Greenlandic sled dogs.

    ovine
    adjective: pertaining to, of the nature of, or like sheep

    From the headlines: The world’s first known case of bird flu in sheep was diagnosed in Yorkshire, England. After the H5N1 virus was found among birds on a farm, health officials also tested its flock of sheep; only one ovine case was detected. The infected sheep was euthanized to prevent the disease from spreading, and officials said “the risk to livestock remains low.”

    pontiff
    noun: Ecclesiastical. the Roman Catholic pope, the Bishop of Rome

    From the headlines: Following the release of Pope Francis from the hospital on March 23, his lead physician said the pontiff had faced such grave danger that his medical team considered halting treatment. During his hospitalization, the pope endured two critical health crises, prompting intense deliberations over whether aggressive interventions should continue, given the potential risks to his internal organs. Ultimately, the doctors opted to pursue “all available medicines and treatments,” a decision that proved pivotal to his recovery.

    populism
    noun: grass-roots democracy; working-class activism; egalitarianism

    From the headlines: Bernie Sanders is drawing unprecedented crowds on his “Fighting Oligarchy” tour, fueled by a message rooted in economic populism. His rhetoric resonates with disillusioned voters seeking an alternative to both President Trump and the Democratic Party. The independent senator from Vermont frequently denounces what he terms a “government of the billionaires, by the billionaires, and for the billionaires,” while chastising Democrats for failing to adequately champion the interests of the working class.

    prescription
    noun: a direction, usually written, by the physician to the pharmacist for the preparation and use of a medicine or remedy

    From the headlines: A new trend is emerging in healthcare — doctors are now prescribing museum visits. Backed by research showing that time spent in cultural spots can boost mental health and ease loneliness, more physicians are encouraging patients to explore art galleries, theaters, concert halls, and libraries. These cultural outings are said to reduce stress, alleviate mild anxiety and depression, and even improve conditions like high blood pressure. It’s the prescription you didn’t know you needed.

    pristine
    adjective: having its original purity; uncorrupted or unsullied

    From the headlines: Many countries are looking to Switzerland as a model, hoping to replicate its transformation of once heavily polluted rivers and lakes into some of the most pristine in Europe. In the 1960s, Swiss waterways were choked with algae and dead fish due to sewage and industrial pollution. However, over the following decades, the country made significant investments in advanced water treatment facilities. Today, nearly all of its lakes and rivers are once again pristine and safe for swimming.

    prolong
    verb: to lengthen out in time; extend the duration of; cause to continue longer

    From the headlines: After their quick trip to the International Space Station turned out to have an unexpectedly long duration, two NASA astronauts have been safely returned to Earth. What began as an eight-day mission for Butch Wilmore and Suni Williams had to be prolonged after their Starliner spacecraft experienced helium leaks and thruster problems. The two ended up staying on the ISS for more than nine months, until two seats were available on a returning space capsule.

    recruit
    verb: to attempt to acquire the services of (a person) for an employer

    From the headlines: As the White House cuts funding for scientific research, European countries are stepping up to recruit top U.S. scientists. Experts in climate change and vaccine safety are now eyeing job offers across the Atlantic, with France and the Netherlands boosting their budgets to hire talent for their universities.

    reinstate
    verb: to put back or establish again, as in a former position or state

    From the headlines: On March 24, a South Korean court reinstated impeached Prime Minister Han Duck-soo. Han was returned to the government and named acting leader once his impeachment was overturned. President Yoon Suk Yeol, who was also removed from office, is still awaiting a verdict. Han and Yoon were both suspended by South Korea’s National Assembly in December.

    repatriation
    noun: the act or process of returning a person or thing to the country of origin

    From the headlines: After several weeks of refusal, Venezuela agreed to accept repatriation flights from the United States, and the first plane carrying Venezuelan migrants back to their home country landed on March 24. About 200 people who had been deported from the U.S. were on the initial flight. Conflicts between the two countries had previously put the returns on hold.

    serenade
    verb: to entertain with or perform with vocal or instrumental music

    From the headlines: After an incredible 70-year career, Johnny Mathis, the legendary crooner with the famously smooth “velvet voice,” has announced his retirement at the age of 89. Known for his romantic ballads, jazz classics, and soft rock hits, Mathis has been serenading audiences since his teenage years. With more albums sold than any pop artist except Frank Sinatra, his voice has been the soundtrack to countless memories.

    tuition
    noun: the charge or fee for instruction, as at a private school or a college or university

    From the headlines: Starting this fall, attending Harvard University will cost nothing for most students. The school announced that tuition will be free for people whose families earn less than $200,000 per year. The average household income in the U.S. is $80,000. Food, housing, health insurance, and travel will also be free for less wealthy students. The University of Pennsylvania and the Massachusetts Institute of Technology have adopted the same financial aid policy.

    unredacted
    adjective: (of a document) with confidential or sensitive information included or visible

    From the headlines: The Trump administration released over 2,000 documents on JFK’s assassination, leading to a search for new insights. While the unredacted files do not dispute that Lee Harvey Oswald acted alone, they reveal long-hidden details about CIA agents and operations. Attorney Larry Schnapf, who has pushed for their release, argues the disclosures highlight excessive government secrecy. He believes the unredacted documents demonstrate how overclassification has been misused by national security officials.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : August 2025 bipartisan adjective: representing, characterized by, or including members from two parties or factions From the headlines: The Trump administration’s decision to cut funding for the Open Technology Fund (OTF) has raised concerns among lawmakers, who see it as a vital tool against internet censorship in authoritarian regimes. Trump’s executive order effectively terminated the OTF’s budget, prompting bipartisan efforts to save the program. Advocates warn that without OTF-backed tools, many citizens and activists could lose secure communication channels, increasing their risk of surveillance and persecution. bounty noun: a premium or reward, especially one offered by a government From the headlines: The United States has lifted bounties on three senior Taliban figures. The three members of the Haqqani militant network in Afghanistan were allegedly involved in planning deadly attacks during the war with the U.S., some of which killed American citizens. Until this week, the State Department had offered rewards of up to $10 million for the death or capture of the militant leaders. The move follows last week’s release of a U.S. hostage who had been held by the Taliban since 2022. breach noun: an infraction or violation, such as of a law, contract, trust, or promise Jeffrey Goldberg, editor-in-chief of The Atlantic, disclosed that he was inadvertently added to a private Signal group chat used by U.S. national security officials. This unexpected breach exposed sensitive information, including details about military strikes in Yemen. The incident underscored a serious protocol violation, as national security deliberations are typically confined to secure, classified settings rather than informal messaging platforms. cartography noun: the production of maps, including construction of projections, design, compilation, drafting, and reproduction From the headlines: After more than a decade of unraveling the mysteries of the universe, the space telescope Gaia has officially powered down. In its ten years of operation, Gaia meticulously mapped nearly 2 billion stars, 150,000 asteroids, and countless other celestial wonders. This cartography resulted in a precise, three-dimensional map of our solar system, which has transformed our understanding of the Milky Way. civil liberty noun: the freedom of a citizen to exercise customary rights, as of speech or assembly, without unwarranted or arbitrary interference by the government From the headlines: Legal experts say surveillance methods being used by colleges and universities on their students may violate their civil liberties. When investigating vandalism connected to political protests, campus police have been using new tactics, including seizing students’ phones and laptops. They have also issued warrants based on social media posts or participation in campus protests. Civil liberties experts say these actions amount to stifling university students’ right to free speech. confiscate verb: to seize as forfeited to the public domain; appropriate, by way of penalty, for public use From the headlines: A kite was briefly confiscated after it came into contact with a United Airlines plane near Washington, D.C. The aircraft landed safely at Ronald Reagan National Airport following reports of a kite hitting it. Police seized the kite from a family at nearby Gravelly Point park, but returned it later. Despite the fact that kite flying is banned there because the sky overhead is “restricted airspace,” about a dozen people had reportedly been flying kites at the park that day. defraud verb: to deprive of a right, money, or property by fraud From the headlines: Hollywood writer-director Carl Erik Rinsch was arrested for defrauding Netflix of $11 million, meant for his unfinished sci-fi show White Horse. Prosecutors say he spent around $10 million on luxury purchases, including Rolls-Royces, a Ferrari, and antiques. Prosecutors also claim that he used the money to pay legal fees to sue Netflix for additional money. Rinsch has been charged with wire fraud and money laundering, while Netflix has declined to comment. embezzlement noun: the stealing of money entrusted to one’s care From the headlines: French politician Marine Le Pen was convicted of embezzlement and barred from public office for five years. Le Pen, who leads the far-right National Rally party, had planned to run for president in 2027. She was also sentenced to four years in prison for spending $4.3 million in European Parliament funds on her own party expenses. Fun fact: Embezzlement is from the Anglo-French enbesiler, “cause to disappear,” and an Old French root meaning “to destroy or gouge.” fairway noun: Golf. the part of the course where the grass is cut short between the tees and the putting greens From the headlines: When golf courses close, research shows the surrounding environment improves. With declining interest in golf, nearby neighborhoods report benefits like less flooding and reduced pesticide runoff. Across the U.S., many former courses have been repurposed as nature reserves, where manicured fairways have been replaced by thriving wildflower meadows. forage verb: to wander or go in search of provisions From the headlines: A new online map shows where 1.6 million edible plants grow in cities around the world. The guide, called Falling Fruit, is meant to help urban dwellers and visitors forage for food. Its open source design means people can add locations, mapping additional fruit trees, berry bushes, beehives, and plants that might otherwise go unnoticed. franchise noun: Sports. a professional sports team From the headlines: A group led by Bill Chisholm has agreed to buy the Boston Celtics for $6.1 billion, making it the most expensive franchise sale in North American sports history. The Celtics, fresh off their 18th NBA title, are facing significant financial challenges under the new collective bargaining agreement, but remain favorites to repeat as champions. geriatric adjective: noting or relating to aged people or animals From the headlines: The New England Aquarium in Boston has introduced a new “retirement home” for geriatric aquarium penguins, relocating six elderly birds to a designated island. While wild penguins typically live about ten years, the new aquarium houses twenty penguins in their twenties and thirties. This specialized haven ensures these aging animals receive monitoring for conditions such as arthritis and cataracts. Fun fact: The Greek gērōs, “old,” is the root of geriatric. iguana noun: a large, arboreal lizard, native to Central and South America, having stout legs and a crest of spines from neck to tail From the headlines: A recent study sheds light on how North American iguanas may have reached a remote island in Fiji. Genetic analysis suggests that these large reptiles likely traversed thousands of miles across the Pacific Ocean by drifting on makeshift rafts of fallen trees. If confirmed, this would represent the longest documented oceanic migration by any terrestrial vertebrate, apart from humans. inaccessible adjective: not accessible; unapproachable From the headlines: Researchers investigating why we can’t remember being babies found evidence that those memories still exist in our brains, but are inaccessible. Scientists have long suspected that infants don’t create memories at all. A new study using MRI imaging to observe babies’ brains found that around 12 months old, they do begin storing memories of specific images. Neuroscientists are now focused on learning why these early recollections become locked away and out of reach as we grow older. magnitude noun: greatness of size or amount From the headlines: A devastating 7.7 magnitude earthquake struck Myanmar, killing over 3,000 people and leaving hundreds missing. The tremors were so intense they reached 600 miles to Bangkok, where skyscrapers swayed. In response, China, India, and Russia sent rescue teams, while countries like Thailand, Malaysia, and Vietnam offered aid. manipulate verb: to adapt or change (accounts, figures, etc.) to suit one’s purpose or advantage From the headlines: A cheating scandal shook the world of professional ski jumping this week. Several members of Team Norway were suspended after officials found evidence that their ski suits had been manipulated to make the athletes more aerodynamic. The team’s manager admitted to illegally adding an extra seam where the legs are sewn together; more material there was hoped to give the jumpers extra lift and allow air to flow around them more efficiently. mush verb: to drive or spur on (sled dogs or a sled drawn by dogs) From the headlines: Greenland’s annual dog sledding race attracted unusual international attention when the White House said the vice president’s wife, Usha Vance, would attend. Vance canceled her trip after Greenlanders planned to protest her presence at the event. Competitors in the Avannaata Qimussersua, or “Great Race of the North,” mushed their dogs over 26 snowy miles. Henrik Jensen, a musher from northern Greenland, crossed the finish line in first place, pulled by his team of Greenlandic sled dogs. ovine adjective: pertaining to, of the nature of, or like sheep From the headlines: The world’s first known case of bird flu in sheep was diagnosed in Yorkshire, England. After the H5N1 virus was found among birds on a farm, health officials also tested its flock of sheep; only one ovine case was detected. The infected sheep was euthanized to prevent the disease from spreading, and officials said “the risk to livestock remains low.” pontiff noun: Ecclesiastical. the Roman Catholic pope, the Bishop of Rome From the headlines: Following the release of Pope Francis from the hospital on March 23, his lead physician said the pontiff had faced such grave danger that his medical team considered halting treatment. During his hospitalization, the pope endured two critical health crises, prompting intense deliberations over whether aggressive interventions should continue, given the potential risks to his internal organs. Ultimately, the doctors opted to pursue “all available medicines and treatments,” a decision that proved pivotal to his recovery. populism noun: grass-roots democracy; working-class activism; egalitarianism From the headlines: Bernie Sanders is drawing unprecedented crowds on his “Fighting Oligarchy” tour, fueled by a message rooted in economic populism. His rhetoric resonates with disillusioned voters seeking an alternative to both President Trump and the Democratic Party. The independent senator from Vermont frequently denounces what he terms a “government of the billionaires, by the billionaires, and for the billionaires,” while chastising Democrats for failing to adequately champion the interests of the working class. prescription noun: a direction, usually written, by the physician to the pharmacist for the preparation and use of a medicine or remedy From the headlines: A new trend is emerging in healthcare — doctors are now prescribing museum visits. Backed by research showing that time spent in cultural spots can boost mental health and ease loneliness, more physicians are encouraging patients to explore art galleries, theaters, concert halls, and libraries. These cultural outings are said to reduce stress, alleviate mild anxiety and depression, and even improve conditions like high blood pressure. It’s the prescription you didn’t know you needed. pristine adjective: having its original purity; uncorrupted or unsullied From the headlines: Many countries are looking to Switzerland as a model, hoping to replicate its transformation of once heavily polluted rivers and lakes into some of the most pristine in Europe. In the 1960s, Swiss waterways were choked with algae and dead fish due to sewage and industrial pollution. However, over the following decades, the country made significant investments in advanced water treatment facilities. Today, nearly all of its lakes and rivers are once again pristine and safe for swimming. prolong verb: to lengthen out in time; extend the duration of; cause to continue longer From the headlines: After their quick trip to the International Space Station turned out to have an unexpectedly long duration, two NASA astronauts have been safely returned to Earth. What began as an eight-day mission for Butch Wilmore and Suni Williams had to be prolonged after their Starliner spacecraft experienced helium leaks and thruster problems. The two ended up staying on the ISS for more than nine months, until two seats were available on a returning space capsule. recruit verb: to attempt to acquire the services of (a person) for an employer From the headlines: As the White House cuts funding for scientific research, European countries are stepping up to recruit top U.S. scientists. Experts in climate change and vaccine safety are now eyeing job offers across the Atlantic, with France and the Netherlands boosting their budgets to hire talent for their universities. reinstate verb: to put back or establish again, as in a former position or state From the headlines: On March 24, a South Korean court reinstated impeached Prime Minister Han Duck-soo. Han was returned to the government and named acting leader once his impeachment was overturned. President Yoon Suk Yeol, who was also removed from office, is still awaiting a verdict. Han and Yoon were both suspended by South Korea’s National Assembly in December. repatriation noun: the act or process of returning a person or thing to the country of origin From the headlines: After several weeks of refusal, Venezuela agreed to accept repatriation flights from the United States, and the first plane carrying Venezuelan migrants back to their home country landed on March 24. About 200 people who had been deported from the U.S. were on the initial flight. Conflicts between the two countries had previously put the returns on hold. serenade verb: to entertain with or perform with vocal or instrumental music From the headlines: After an incredible 70-year career, Johnny Mathis, the legendary crooner with the famously smooth “velvet voice,” has announced his retirement at the age of 89. Known for his romantic ballads, jazz classics, and soft rock hits, Mathis has been serenading audiences since his teenage years. With more albums sold than any pop artist except Frank Sinatra, his voice has been the soundtrack to countless memories. tuition noun: the charge or fee for instruction, as at a private school or a college or university From the headlines: Starting this fall, attending Harvard University will cost nothing for most students. The school announced that tuition will be free for people whose families earn less than $200,000 per year. The average household income in the U.S. is $80,000. Food, housing, health insurance, and travel will also be free for less wealthy students. The University of Pennsylvania and the Massachusetts Institute of Technology have adopted the same financial aid policy. unredacted adjective: (of a document) with confidential or sensitive information included or visible From the headlines: The Trump administration released over 2,000 documents on JFK’s assassination, leading to a search for new insights. While the unredacted files do not dispute that Lee Harvey Oswald acted alone, they reveal long-hidden details about CIA agents and operations. Attorney Larry Schnapf, who has pushed for their release, argues the disclosures highlight excessive government secrecy. He believes the unredacted documents demonstrate how overclassification has been misused by national security officials. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องตลก

    เมื่อวันก่อน นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เรียกร้องไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO), สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (WFMH), United for Global Mental Health และเครือข่ายนวัตกรรมสุขภาพจิต (MHIN) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หยุดการใช้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเครื่องมือโจมตีในพื้นที่สื่อของไทย โดยประณามการกระทำของผู้จัดรายการที่มีชื่อเสียงรายหนึ่ง นำอาการป่วยของนักการเมืองหญิงรายหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่าเป็นโรคซึมเศร้า มาโจมตีอย่างรุนแรงในรายการออนไลน์ ไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกสังคมตีตราและตัดสิน คำพูดที่ขาดความรับผิดชอบกำลังทำร้ายผู้คนและบ่อนทำลายความพยายามด้านสาธารณสุขทั่วโลก

    โดยเรียกร้องให้หน่วยงานดังกล่าว ออกแถลงการณ์ในระดับนานาชาติเพื่อประณามการใช้ข้อมูลสุขภาพจิตในทางที่ผิด และเรียกร้องให้สื่อมวลชนและบุคคลสาธารณะในไทยยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมกับกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับสื่อ โดยทำงานร่วมกับองค์กรสื่อในไทยเพื่อสร้างและบังคับใช้แนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการรายงานข่าวและการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสนับสนุนภาคประชาสังคม โดยเพิ่มการสนับสนุนองค์กรในประเทศไทยที่ทำงานเพื่อรณรงค์ลดอคติและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สาธารณชน

    เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้จัดรายการคนดังกล่าวระบุถึงนักการเมืองหญิงรายหนึ่งด้วยความตลกขบขัน เรียกชื่อต่อด้วยคำว่าซึมเศร้า พร้อมขอให้ซึมเศร้าร้องไห้ในสภาฯ อีกเยอะๆ คล้ายกับการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ในวัยเรียน กลายเป็นวิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งผู้จัดรายการคนดังกล่าว ขอยุติการจัดรายการทางทีวีดิจิทัลแห่งหนึ่ง ด้านสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เน้นย้ำให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนรักษามาตรฐานการแสดงออกให้เหมาะสม และไม่ใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การดูหมิ่น กดทับ หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

    ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2563-2567 คนไทยมากกว่า 8% เผชิญกับภาวะความเครียดสูง เกือบ 10% มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และมากกว่า 5% เผชิญกับความเสี่ยงในการจบชีวิตตัวเอง โดยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี อีกทั้งในปี 2567 ประเทศไทยมีเหตุการณ์ความรุนแรงเฉลี่ย 42 ครั้งต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดและปัญหาสุขภาพจิต

    #Newskit
    โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องตลก เมื่อวันก่อน นายระวี ตะวันธรงค์ กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เรียกร้องไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO), สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (WFMH), United for Global Mental Health และเครือข่ายนวัตกรรมสุขภาพจิต (MHIN) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หยุดการใช้ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเครื่องมือโจมตีในพื้นที่สื่อของไทย โดยประณามการกระทำของผู้จัดรายการที่มีชื่อเสียงรายหนึ่ง นำอาการป่วยของนักการเมืองหญิงรายหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่าเป็นโรคซึมเศร้า มาโจมตีอย่างรุนแรงในรายการออนไลน์ ไม่เพียงแต่ทำลายศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวจะถูกสังคมตีตราและตัดสิน คำพูดที่ขาดความรับผิดชอบกำลังทำร้ายผู้คนและบ่อนทำลายความพยายามด้านสาธารณสุขทั่วโลก โดยเรียกร้องให้หน่วยงานดังกล่าว ออกแถลงการณ์ในระดับนานาชาติเพื่อประณามการใช้ข้อมูลสุขภาพจิตในทางที่ผิด และเรียกร้องให้สื่อมวลชนและบุคคลสาธารณะในไทยยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมกับกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับสื่อ โดยทำงานร่วมกับองค์กรสื่อในไทยเพื่อสร้างและบังคับใช้แนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการรายงานข่าวและการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสนับสนุนภาคประชาสังคม โดยเพิ่มการสนับสนุนองค์กรในประเทศไทยที่ทำงานเพื่อรณรงค์ลดอคติและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สาธารณชน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้จัดรายการคนดังกล่าวระบุถึงนักการเมืองหญิงรายหนึ่งด้วยความตลกขบขัน เรียกชื่อต่อด้วยคำว่าซึมเศร้า พร้อมขอให้ซึมเศร้าร้องไห้ในสภาฯ อีกเยอะๆ คล้ายกับการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ในวัยเรียน กลายเป็นวิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งผู้จัดรายการคนดังกล่าว ขอยุติการจัดรายการทางทีวีดิจิทัลแห่งหนึ่ง ด้านสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เน้นย้ำให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนรักษามาตรฐานการแสดงออกให้เหมาะสม และไม่ใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การดูหมิ่น กดทับ หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2563-2567 คนไทยมากกว่า 8% เผชิญกับภาวะความเครียดสูง เกือบ 10% มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และมากกว่า 5% เผชิญกับความเสี่ยงในการจบชีวิตตัวเอง โดยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี อีกทั้งในปี 2567 ประเทศไทยมีเหตุการณ์ความรุนแรงเฉลี่ย 42 ครั้งต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดและปัญหาสุขภาพจิต #Newskit
    1 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข้อมูลจริง: เมื่อ AI เริ่มกัดกินโอกาสทำงานของคนอายุน้อย โดยเฉพาะในสายงานที่มันแทนที่ได้ง่าย

    Derek Thompson เปิดประเด็นในบทความล่าสุดว่า คำถาม “AI กำลังทำลายงานของคนรุ่นใหม่หรือไม่” กำลังเปลี่ยนจากข้อสงสัยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากงานวิจัยใหม่จาก Stanford ที่ใช้ข้อมูลจาก ADP ซึ่งครอบคลุมการจ้างงานของคนหลายล้านคน พบว่า คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “มีความเสี่ยงสูงต่อ AI” เช่น software developer และ customer service agent มีอัตราการจ้างงานลดลงถึง 13% ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัว

    ที่น่าสนใจคือ คนอายุมากกว่าในสายงานเดียวกันกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่า และบางสายงานที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วย AI เช่น home health aide กลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย

    นักวิจัยยังแยกแยะว่า AI มีผลกระทบแตกต่างกันตามลักษณะงาน—งานที่ AI สามารถ “ทำแทน” ได้ เช่น การแปลเอกสารหรือจัดรูปแบบข้อมูล จะมีการจ้างงานลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่งานที่ AI “ช่วยเสริม” เช่น การวางกลยุทธ์หรือการตัดสินใจร่วมกับมนุษย์ กลับไม่มีผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Economic Innovation Group และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ชี้ว่า AI ยังไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม แต่ข้อมูลใหม่จาก Stanford กลับชี้ว่า หากมองเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ง่าย ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว

    ผลการศึกษาจาก Stanford และ ADP
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ไม่เสี่ยงต่อ AI เช่น home health aide มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
    ข้อมูลครอบคลุมหลายล้านคน ทำให้ผลการวิเคราะห์มีความแม่นยำสูง

    ความแตกต่างระหว่างงานที่ AI “แทนที่” กับ “เสริม”
    งานที่ AI ทำแทนได้ เช่น การจัดการเอกสาร, การค้นข้อมูล, การเขียนรายงาน
    งานที่ AI เสริมได้ เช่น การวางกลยุทธ์, การตัดสินใจ, การสื่อสารกับทีม
    งานแบบแรกมีการจ้างงานลดลง ส่วนงานแบบหลังไม่มีผลกระทบ

    ความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร
    ในบริษัทเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่อ AI มีการจ้างงานลดลงมากกว่างานที่ไม่เสี่ยง
    การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจโดยรวม แต่เกิดจากลักษณะงานเฉพาะ
    งานที่มีผลลัพธ์ชัดเจนและวัดผลได้ง่าย มักถูกแทนที่ด้วย AI ก่อน

    ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัยและผู้เรียน
    หลักสูตรควรสอนการใช้ AI ควบคู่กับทักษะพื้นฐาน
    งานที่มีองค์ประกอบทางกายภาพหรือการตัดสินใจระยะยาวยังคงมีความสำคัญ
    การเข้าใจว่า AI ทำอะไรได้และไม่ได้ จะช่วยให้ผู้เรียนปรับตัวได้ดีขึ้น

    https://www.derekthompson.org/p/the-evidence-that-ai-is-destroying
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อมูลจริง: เมื่อ AI เริ่มกัดกินโอกาสทำงานของคนอายุน้อย โดยเฉพาะในสายงานที่มันแทนที่ได้ง่าย Derek Thompson เปิดประเด็นในบทความล่าสุดว่า คำถาม “AI กำลังทำลายงานของคนรุ่นใหม่หรือไม่” กำลังเปลี่ยนจากข้อสงสัยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากงานวิจัยใหม่จาก Stanford ที่ใช้ข้อมูลจาก ADP ซึ่งครอบคลุมการจ้างงานของคนหลายล้านคน พบว่า คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “มีความเสี่ยงสูงต่อ AI” เช่น software developer และ customer service agent มีอัตราการจ้างงานลดลงถึง 13% ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัว ที่น่าสนใจคือ คนอายุมากกว่าในสายงานเดียวกันกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่า และบางสายงานที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วย AI เช่น home health aide กลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย นักวิจัยยังแยกแยะว่า AI มีผลกระทบแตกต่างกันตามลักษณะงาน—งานที่ AI สามารถ “ทำแทน” ได้ เช่น การแปลเอกสารหรือจัดรูปแบบข้อมูล จะมีการจ้างงานลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่งานที่ AI “ช่วยเสริม” เช่น การวางกลยุทธ์หรือการตัดสินใจร่วมกับมนุษย์ กลับไม่มีผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Economic Innovation Group และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ชี้ว่า AI ยังไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม แต่ข้อมูลใหม่จาก Stanford กลับชี้ว่า หากมองเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ง่าย ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว ✅ ผลการศึกษาจาก Stanford และ ADP ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ไม่เสี่ยงต่อ AI เช่น home health aide มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ➡️ ข้อมูลครอบคลุมหลายล้านคน ทำให้ผลการวิเคราะห์มีความแม่นยำสูง ✅ ความแตกต่างระหว่างงานที่ AI “แทนที่” กับ “เสริม” ➡️ งานที่ AI ทำแทนได้ เช่น การจัดการเอกสาร, การค้นข้อมูล, การเขียนรายงาน ➡️ งานที่ AI เสริมได้ เช่น การวางกลยุทธ์, การตัดสินใจ, การสื่อสารกับทีม ➡️ งานแบบแรกมีการจ้างงานลดลง ส่วนงานแบบหลังไม่มีผลกระทบ ✅ ความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ➡️ ในบริษัทเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่อ AI มีการจ้างงานลดลงมากกว่างานที่ไม่เสี่ยง ➡️ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจโดยรวม แต่เกิดจากลักษณะงานเฉพาะ ➡️ งานที่มีผลลัพธ์ชัดเจนและวัดผลได้ง่าย มักถูกแทนที่ด้วย AI ก่อน ✅ ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัยและผู้เรียน ➡️ หลักสูตรควรสอนการใช้ AI ควบคู่กับทักษะพื้นฐาน ➡️ งานที่มีองค์ประกอบทางกายภาพหรือการตัดสินใจระยะยาวยังคงมีความสำคัญ ➡️ การเข้าใจว่า AI ทำอะไรได้และไม่ได้ จะช่วยให้ผู้เรียนปรับตัวได้ดีขึ้น https://www.derekthompson.org/p/the-evidence-that-ai-is-destroying
    WWW.DEREKTHOMPSON.ORG
    The Evidence That AI Is Destroying Jobs For Young People Just Got Stronger
    A big nerd debate with bigger implications for the future of work, technology, and the economy
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา

    งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน

    ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก

    ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว

    นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า

    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา

    ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง
    EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่
    การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ
    ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน

    ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง
    ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง”
    กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน
    การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์

    ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI
    ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ
    สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้
    งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์

    ข้อเสนอจากนักวิจัย
    ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ
    การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ
    การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี

    https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา ✅ ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง ➡️ EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่ ➡️ การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ ➡️ ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน ✅ ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง ➡️ ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง” ➡️ กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน ➡️ การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์ ✅ ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ ➡️ สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้ ➡️ งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ✅ ข้อเสนอจากนักวิจัย ➡️ ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ ➡️ การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ ➡️ การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก #TrumpDead: เมื่อความเงียบของผู้นำกลายเป็นเชื้อเพลิงของข่าวลวง

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 79 ปี หายไปจากสื่อและกิจกรรมสาธารณะหลายวัน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ว่าเขาป่วยหนัก หรือแม้แต่ “เสียชีวิตแล้ว” โดยมีการแชร์ภาพ, แผนที่, และวิดีโอที่ถูกบิดเบือนหรือดัดแปลงด้วย AI เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านั้น

    แม้ทรัมป์จะออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายนว่า “ข่าวลือทั้งหมดเป็น fake news” และยืนยันว่า “NEVER FELT BETTER IN MY LIFE” บน Truth Social แต่ hashtag #TrumpDead ก็ยังคงถูกพูดถึงมากกว่า 104,000 ครั้ง และมียอดเข้าชมรวมกว่า 35.3 ล้านวิวบนแพลตฟอร์ม X

    ภาพที่ถูกแชร์ ได้แก่:
    - แผนที่แสดงการปิดถนนใกล้โรงพยาบาล Walter Reed ซึ่งไม่มีรายงานจริง
    - ภาพรถพยาบาลหน้าทำเนียบขาวที่จริงแล้วถ่ายตั้งแต่ปี 2023 สมัยไบเดนยังดำรงตำแหน่ง
    - ธงไว้อาลัยที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการเสียชีวิตของทรัมป์ ทั้งที่จริงแล้วเป็นคำสั่งไว้อาลัยเหยื่อกราดยิงในมินนิอาโปลิส
    - ภาพใบหน้าทรัมป์ที่ถูกซูมและปรับด้วย AI ให้เห็นรอยเหนือดวงตา ซึ่งไม่มีอยู่ในภาพต้นฉบับ

    ข่าวลวงเหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากบัญชีฝั่งต่อต้านทรัมป์บน X, Bluesky และ Instagram และยังคงแพร่กระจายแม้จะมีการแถลงข่าวชี้แจงแล้ว โดยบางโพสต์ถึงขั้นอ้างว่า “ทำเนียบขาวประกาศว่าเขาเสียชีวิต” ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/trump-health-misinformation-swirls-despite-denial
    🎙️ เรื่องเล่าจาก #TrumpDead: เมื่อความเงียบของผู้นำกลายเป็นเชื้อเพลิงของข่าวลวง ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 79 ปี หายไปจากสื่อและกิจกรรมสาธารณะหลายวัน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ว่าเขาป่วยหนัก หรือแม้แต่ “เสียชีวิตแล้ว” โดยมีการแชร์ภาพ, แผนที่, และวิดีโอที่ถูกบิดเบือนหรือดัดแปลงด้วย AI เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านั้น แม้ทรัมป์จะออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายนว่า “ข่าวลือทั้งหมดเป็น fake news” และยืนยันว่า “NEVER FELT BETTER IN MY LIFE” บน Truth Social แต่ hashtag #TrumpDead ก็ยังคงถูกพูดถึงมากกว่า 104,000 ครั้ง และมียอดเข้าชมรวมกว่า 35.3 ล้านวิวบนแพลตฟอร์ม X ภาพที่ถูกแชร์ ได้แก่: - แผนที่แสดงการปิดถนนใกล้โรงพยาบาล Walter Reed ซึ่งไม่มีรายงานจริง - ภาพรถพยาบาลหน้าทำเนียบขาวที่จริงแล้วถ่ายตั้งแต่ปี 2023 สมัยไบเดนยังดำรงตำแหน่ง - ธงไว้อาลัยที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการเสียชีวิตของทรัมป์ ทั้งที่จริงแล้วเป็นคำสั่งไว้อาลัยเหยื่อกราดยิงในมินนิอาโปลิส - ภาพใบหน้าทรัมป์ที่ถูกซูมและปรับด้วย AI ให้เห็นรอยเหนือดวงตา ซึ่งไม่มีอยู่ในภาพต้นฉบับ ข่าวลวงเหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากบัญชีฝั่งต่อต้านทรัมป์บน X, Bluesky และ Instagram และยังคงแพร่กระจายแม้จะมีการแถลงข่าวชี้แจงแล้ว โดยบางโพสต์ถึงขั้นอ้างว่า “ทำเนียบขาวประกาศว่าเขาเสียชีวิต” ทั้งที่ไม่เป็นความจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/trump-health-misinformation-swirls-despite-denial
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump health misinformation swirls despite denial
    From manipulated images to out-of-context photos, false claims that Donald Trump is seriously ill – or even dead – have swirled online, with the misinformation persisting even after the US president publicly rejected it on Sept 2.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Dark Web: เมื่อการเฝ้าระวังในเงามืดกลายเป็นเกราะป้องกันองค์กรก่อนภัยจะมาถึง

    หลายองค์กรยังมอง Dark Web ว่าเป็นพื้นที่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ในความเป็นจริง มันคือ “เรดาร์ลับ” ที่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของ credentials, การขายสิทธิ์เข้าถึงระบบ, หรือการวางแผน ransomware

    ผู้เชี่ยวชาญจากหลายบริษัท เช่น Nightwing, Picus Security, ISG และ Cyberproof ต่างยืนยันว่า Dark Web คือแหล่งข้อมูลที่มีค่า—ถ้าเรารู้ว่าจะดูอะไร และจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร เช่น การตรวจพบ stealer logs, การพูดถึงแบรนด์ขององค์กร, หรือการขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย initial access brokers (IABs)

    การเฝ้าระวัง Dark Web ไม่ใช่แค่การ “ดูว่ามีข้อมูลหลุดหรือไม่” แต่ต้องเชื่อมโยงกับระบบภายใน เช่น SIEM, XDR, หรือระบบ identity เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อพบ session token หรือ admin credential ที่ถูกขโมย

    เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ SpyCloud ซึ่งเน้นการตรวจจับ credentials ที่หลุดแบบอัตโนมัติ และ DarkOwl ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยมี search engine สำหรับ Dark Web ที่สามารถกรองตามประเภทข้อมูล, เวลา, และแหล่งที่มา

    นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเชิงรุก เช่น honeypots และ canary tokens ที่ใช้ล่อให้แฮกเกอร์เปิดเผยตัว และการเข้าร่วม ISACs หรือ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามในอุตสาหกรรมเดียวกัน

    เหตุผลที่ควรเฝ้าระวัง Dark Web
    เป็นระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อมีข้อมูลหลุดหรือถูกวางเป้าหมาย
    ช่วยให้ทีม security รู้ว่ากลุ่ม ransomware กำลังเล็งอุตสาหกรรมใด
    สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับ playbook และทำ adversarial simulation

    สัญญาณที่ควรจับตา
    stealer logs, brand mentions, การขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย IABs
    การพูดถึงซอฟต์แวร์หรือระบบที่องค์กรใช้อยู่ เช่น CRM, SSO, cloud
    การโพสต์รับสมัคร affiliate ที่เจาะจงอุตสาหกรรม เช่น SaaS หรือ healthcare

    เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้
    SpyCloud: ตรวจจับ credentials, cookies, tokens ที่หลุดแบบอัตโนมัติ
    DarkOwl: วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ มี search engine สำหรับ Dark Web
    Flashpoint, Recorded Future: ใช้สำหรับ threat intelligence และการแจ้งเตือน

    เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจจับ
    honeypots และ canary tokens สำหรับล่อแฮกเกอร์และตรวจจับ insider threat
    การเข้าร่วม ISACs และ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม
    การตั้งค่า monitoring สำหรับ domain, IP, username บน marketplace และ forum

    การเชื่อมโยงข้อมูลภายนอกกับระบบภายใน
    cross-reference กับ authentication logs, identity changes, และ anomalous behavior
    ใช้ข้อมูลจาก Dark Web เพื่อ trigger investigation, revoke access, isolate services
    พัฒนา incident response playbook ที่เชื่อมโยงกับ threat intelligence

    https://www.csoonline.com/article/4046242/a-cisos-guide-to-monitoring-the-dark-web.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dark Web: เมื่อการเฝ้าระวังในเงามืดกลายเป็นเกราะป้องกันองค์กรก่อนภัยจะมาถึง หลายองค์กรยังมอง Dark Web ว่าเป็นพื้นที่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ในความเป็นจริง มันคือ “เรดาร์ลับ” ที่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของ credentials, การขายสิทธิ์เข้าถึงระบบ, หรือการวางแผน ransomware ผู้เชี่ยวชาญจากหลายบริษัท เช่น Nightwing, Picus Security, ISG และ Cyberproof ต่างยืนยันว่า Dark Web คือแหล่งข้อมูลที่มีค่า—ถ้าเรารู้ว่าจะดูอะไร และจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร เช่น การตรวจพบ stealer logs, การพูดถึงแบรนด์ขององค์กร, หรือการขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย initial access brokers (IABs) การเฝ้าระวัง Dark Web ไม่ใช่แค่การ “ดูว่ามีข้อมูลหลุดหรือไม่” แต่ต้องเชื่อมโยงกับระบบภายใน เช่น SIEM, XDR, หรือระบบ identity เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อพบ session token หรือ admin credential ที่ถูกขโมย เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ SpyCloud ซึ่งเน้นการตรวจจับ credentials ที่หลุดแบบอัตโนมัติ และ DarkOwl ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยมี search engine สำหรับ Dark Web ที่สามารถกรองตามประเภทข้อมูล, เวลา, และแหล่งที่มา นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเชิงรุก เช่น honeypots และ canary tokens ที่ใช้ล่อให้แฮกเกอร์เปิดเผยตัว และการเข้าร่วม ISACs หรือ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามในอุตสาหกรรมเดียวกัน ✅ เหตุผลที่ควรเฝ้าระวัง Dark Web ➡️ เป็นระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อมีข้อมูลหลุดหรือถูกวางเป้าหมาย ➡️ ช่วยให้ทีม security รู้ว่ากลุ่ม ransomware กำลังเล็งอุตสาหกรรมใด ➡️ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับ playbook และทำ adversarial simulation ✅ สัญญาณที่ควรจับตา ➡️ stealer logs, brand mentions, การขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย IABs ➡️ การพูดถึงซอฟต์แวร์หรือระบบที่องค์กรใช้อยู่ เช่น CRM, SSO, cloud ➡️ การโพสต์รับสมัคร affiliate ที่เจาะจงอุตสาหกรรม เช่น SaaS หรือ healthcare ✅ เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้ ➡️ SpyCloud: ตรวจจับ credentials, cookies, tokens ที่หลุดแบบอัตโนมัติ ➡️ DarkOwl: วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ มี search engine สำหรับ Dark Web ➡️ Flashpoint, Recorded Future: ใช้สำหรับ threat intelligence และการแจ้งเตือน ✅ เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจจับ ➡️ honeypots และ canary tokens สำหรับล่อแฮกเกอร์และตรวจจับ insider threat ➡️ การเข้าร่วม ISACs และ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม ➡️ การตั้งค่า monitoring สำหรับ domain, IP, username บน marketplace และ forum ✅ การเชื่อมโยงข้อมูลภายนอกกับระบบภายใน ➡️ cross-reference กับ authentication logs, identity changes, และ anomalous behavior ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Dark Web เพื่อ trigger investigation, revoke access, isolate services ➡️ พัฒนา incident response playbook ที่เชื่อมโยงกับ threat intelligence https://www.csoonline.com/article/4046242/a-cisos-guide-to-monitoring-the-dark-web.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    A CISO’s guide to monitoring the dark web
    From leaked credentials to ransomware plans, the dark web is full of early warning signs — if you know where and how to look. Here’s how security leaders can monitor these hidden spaces and act before an attack hits.
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • ก่อนไปลาวหรืออินโดนีเซีย ต้องลงทะเบียนขาเข้าดิจิทัล

    ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 กรมตำรวจตรวจคนเข้า-ออกเมือง ประเทศลาว จะเริ่มทดลองลงทะเบียนเดินทางเข้า-ออกประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.immigration.gov.la ใน 4 ด่านสากล ได้แก่ สนามบินวัดไต สนามบินหลวงพระบาง สนามบินปากเซ และด่านสะพานมิตรภาพ 1 ชาวต่างชาติที่ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) จะต้องลงทะเบียนออนไลน์ก่อนภายใน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code เพื่อใช้แจ้งเข้า-ออกกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกบัตรแจ้งเข้าเมืองและบัตรแจ้งออกเมือง ซึ่งในปี 2569 มีแผนจะใช้กับด่านสากลทั่วประเทศ

    ก่อนหน้านี้ ประเทศอินโดนีเซียประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 จะใช้ระบบ All Indonesia ลงทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ควบคุมโรค กักกักสัตว์และพืชไว้ในช่องทางเดียวกัน ชาวต่างชาติที่มาอินโดนีเซียต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ allindonesia.imigrasi.go.id หรือแอปพลิเคชัน All Indonesia ล่วงหน้าไม่เกิน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code ใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มใช้กับสนามบินจาการ์ตา สนามบินสุราบายา และสนามบินเดนปาซาร์ (บาหลี) ก่อนบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.2568

    ที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนเริ่มใช้ระบบบัตรขาเข้าดิจิทัลทดแทนแบบกระดาษ โดยมีรูปแบบไม่ต่างกัน คือ ต้องกรอกแบบฟอร์มล่วงหน้าใน 3 วันก่อนเดินทาง แล้วนำหลักฐาน เช่น QR Code แสดงต่อเจ้าหน้าที่

    • สิงคโปร์ พัฒนา Singapore Arrival Card (SGAC) ในเดือน ส.ค.2562 ก่อนเริ่มใช้เต็มรูปแบบในเดือน มี.ค.2563 โดยเพิ่มการแจ้งข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังได้ผ่อนคลายมาตรการด้านสุขภาพลงเมื่อเดือน ธ.ค.2565 เหลือเฉพาะบางประเทศที่มีโรคระบาดร้ายแรง

    • ฟิลิปปินส์ ใช้ระบบ One Health Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ก่อนเปลี่ยนมาเป็น e-Arrival CARD ในวันที่ 1 ธ.ค.2565 โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ etravel.gov.ph และแอปพลิเคชัน eGovPH

    • มาเลเซีย เริ่มใช้ Malaysia Digital Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 ผ่านเว็บไซต์ imigresen-online.imi.gov.my/mdac/main

    • บรูไน เริ่มใช้ระบบ E-Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.imm.gov.bn

    • กัมพูชา เริ่มใช้ระบบ Cambodia e-Arrival ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2567 ผ่านเว็บไซต์ arrival.gov.kh เฉพาะผู้ที่ผ่านสนามบินพนมเปญ สนามบินเสียมราฐ และสนามบินสีหนุวิลล์

    สำหรับประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองใช้ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับชาวต่างชาติ มาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นมา

    #Newskit
    ก่อนไปลาวหรืออินโดนีเซีย ต้องลงทะเบียนขาเข้าดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 กรมตำรวจตรวจคนเข้า-ออกเมือง ประเทศลาว จะเริ่มทดลองลงทะเบียนเดินทางเข้า-ออกประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.immigration.gov.la ใน 4 ด่านสากล ได้แก่ สนามบินวัดไต สนามบินหลวงพระบาง สนามบินปากเซ และด่านสะพานมิตรภาพ 1 ชาวต่างชาติที่ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) จะต้องลงทะเบียนออนไลน์ก่อนภายใน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code เพื่อใช้แจ้งเข้า-ออกกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกบัตรแจ้งเข้าเมืองและบัตรแจ้งออกเมือง ซึ่งในปี 2569 มีแผนจะใช้กับด่านสากลทั่วประเทศ ก่อนหน้านี้ ประเทศอินโดนีเซียประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 จะใช้ระบบ All Indonesia ลงทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ควบคุมโรค กักกักสัตว์และพืชไว้ในช่องทางเดียวกัน ชาวต่างชาติที่มาอินโดนีเซียต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ allindonesia.imigrasi.go.id หรือแอปพลิเคชัน All Indonesia ล่วงหน้าไม่เกิน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code ใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มใช้กับสนามบินจาการ์ตา สนามบินสุราบายา และสนามบินเดนปาซาร์ (บาหลี) ก่อนบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.2568 ที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนเริ่มใช้ระบบบัตรขาเข้าดิจิทัลทดแทนแบบกระดาษ โดยมีรูปแบบไม่ต่างกัน คือ ต้องกรอกแบบฟอร์มล่วงหน้าใน 3 วันก่อนเดินทาง แล้วนำหลักฐาน เช่น QR Code แสดงต่อเจ้าหน้าที่ • สิงคโปร์ พัฒนา Singapore Arrival Card (SGAC) ในเดือน ส.ค.2562 ก่อนเริ่มใช้เต็มรูปแบบในเดือน มี.ค.2563 โดยเพิ่มการแจ้งข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังได้ผ่อนคลายมาตรการด้านสุขภาพลงเมื่อเดือน ธ.ค.2565 เหลือเฉพาะบางประเทศที่มีโรคระบาดร้ายแรง • ฟิลิปปินส์ ใช้ระบบ One Health Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ก่อนเปลี่ยนมาเป็น e-Arrival CARD ในวันที่ 1 ธ.ค.2565 โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ etravel.gov.ph และแอปพลิเคชัน eGovPH • มาเลเซีย เริ่มใช้ Malaysia Digital Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 ผ่านเว็บไซต์ imigresen-online.imi.gov.my/mdac/main • บรูไน เริ่มใช้ระบบ E-Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.imm.gov.bn • กัมพูชา เริ่มใช้ระบบ Cambodia e-Arrival ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2567 ผ่านเว็บไซต์ arrival.gov.kh เฉพาะผู้ที่ผ่านสนามบินพนมเปญ สนามบินเสียมราฐ และสนามบินสีหนุวิลล์ สำหรับประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองใช้ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับชาวต่างชาติ มาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นมา #Newskit
    1 Comments 0 Shares 316 Views 0 Reviews
  • เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง

    รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น

    ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ

    ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ

    แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024
    สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
    Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์
    Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%)
    เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน
    การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์
    Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี
    97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI
    63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
    การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI
    Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก
    การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%)
    การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้
    การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา

    https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    🎙️ เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ➡️ Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%) ➡️ เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน ➡️ การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี ➡️ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI ➡️ 63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ➡️ การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI ➡️ Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก ➡️ การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%) ➡️ การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ➡️ การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is the cost of a data breach?
    The cost of a data breach is not easy to define, but as organizations increasingly fall victim to attacks and exposures, financial repercussions are becoming clearer.
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
    หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
    ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
    ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
    นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
    เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
    แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
    บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
    รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
    ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้! นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!? คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • เขมรอ่วม ทหารป่วยมาลาเรียเยอะมาก!!! [19/8/68]
    (Cambodia suffers as many soldiers fall ill with malaria!!!)

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaArmy
    #MalariaCrisis
    #CambodiaHealth
    #SAVEThailand
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #CambodiaMilitary
    #BorderConflict
    เขมรอ่วม ทหารป่วยมาลาเรียเยอะมาก!!! [19/8/68] (Cambodia suffers as many soldiers fall ill with malaria!!!) #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaArmy #MalariaCrisis #CambodiaHealth #SAVEThailand #ThaiTimes #news1 #shorts #CambodiaMilitary #BorderConflict
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 0 Reviews
  • เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น

    แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร

    คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้

    แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก

    Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม

    Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น
    ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์

    SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน
    ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ

    คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ
    ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019

    Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม
    แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า

    FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว
    พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ

    คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล
    โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ

    SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา
    แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม

    การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย
    เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ

    เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google
    เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ

    https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    📢🕵️‍♀️ เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก ✅ Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม ✅ Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น ➡️ ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ ✅ SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน ➡️ ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ ✅ คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ➡️ ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019 ✅ Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม ➡️ แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ✅ FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว ➡️ พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ ✅ คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ➡️ โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ ✅ SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา ➡️ แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม ✅ การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย ➡️ เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ ✅ เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    WWW.MALWAREBYTES.COM
    Meta accessed women's health data from Flo app without consent, says court
    A jury has ruled that Meta accessed sensitive information from women's reproductive health tracking app Flo without consent.
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-53786 ใน Microsoft Exchange Hybrid: เมื่อแฮกเกอร์สามารถข้ามจากเซิร์ฟเวอร์ภายในสู่คลาวด์ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้แจ้งเตือนถึงช่องโหว่ระดับสูงในระบบ Exchange Hybrid ที่ชื่อว่า CVE-2025-53786 ซึ่งเกิดจากการตั้งค่าการเชื่อมโยงระหว่าง Exchange Server ภายในองค์กร (on-premises) กับ Exchange Online บน Microsoft 365 โดยใช้ service principal ร่วมกัน

    ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ได้สิทธิ์ admin บน Exchange Server ภายใน สามารถข้ามไปควบคุม Exchange Online ได้โดยไม่ทิ้ง log หรือร่องรอยที่ตรวจสอบได้ผ่านระบบ auditing บนคลาวด์

    แม้จะยังไม่มีการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องทั่วโลกที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เยอรมนี และรัสเซีย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ “silent privilege escalation”

    Microsoft และ CISA ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated พร้อมรีเซ็ต keyCredentials ของ service principal เดิม

    ช่องโหว่ CVE-2025-53786 เป็นช่องโหว่ระดับสูงใน Exchange Hybrid
    มีคะแนน CVSS 8.0 และเปิดทางให้ privilege escalation แบบไร้ร่องรอย

    เกิดจากการใช้ service principal ร่วมกันระหว่าง Exchange Server และ Exchange Online
    ทำให้แฮกเกอร์สามารถข้ามจากระบบภายในไปยังคลาวด์ได้

    มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์
    รวมถึง 7,200 เครื่องในสหรัฐฯ และ 6,700 เครื่องในเยอรมนี

    Microsoft แนะนำให้ติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025
    และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated

    CISA ออก Emergency Directive ให้รีบดำเนินการตามคำแนะนำ
    รวมถึงการรีเซ็ต keyCredentials และตรวจสอบด้วย Exchange Health Checker

    Microsoft วางแผนบล็อกการใช้งาน Exchange Web Services ผ่าน service principal เดิม
    เพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ภายในตุลาคม 2025

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-microsoft-exchange-servers-remain-unpatched-against-major-threat-heres-what-to-do-to-stay-safe
    🛡️📧 ช่องโหว่ CVE-2025-53786 ใน Microsoft Exchange Hybrid: เมื่อแฮกเกอร์สามารถข้ามจากเซิร์ฟเวอร์ภายในสู่คลาวด์ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ในเดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้แจ้งเตือนถึงช่องโหว่ระดับสูงในระบบ Exchange Hybrid ที่ชื่อว่า CVE-2025-53786 ซึ่งเกิดจากการตั้งค่าการเชื่อมโยงระหว่าง Exchange Server ภายในองค์กร (on-premises) กับ Exchange Online บน Microsoft 365 โดยใช้ service principal ร่วมกัน ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ได้สิทธิ์ admin บน Exchange Server ภายใน สามารถข้ามไปควบคุม Exchange Online ได้โดยไม่ทิ้ง log หรือร่องรอยที่ตรวจสอบได้ผ่านระบบ auditing บนคลาวด์ แม้จะยังไม่มีการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องทั่วโลกที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เยอรมนี และรัสเซีย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ “silent privilege escalation” Microsoft และ CISA ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated พร้อมรีเซ็ต keyCredentials ของ service principal เดิม ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-53786 เป็นช่องโหว่ระดับสูงใน Exchange Hybrid ➡️ มีคะแนน CVSS 8.0 และเปิดทางให้ privilege escalation แบบไร้ร่องรอย ✅ เกิดจากการใช้ service principal ร่วมกันระหว่าง Exchange Server และ Exchange Online ➡️ ทำให้แฮกเกอร์สามารถข้ามจากระบบภายในไปยังคลาวด์ได้ ✅ มีเซิร์ฟเวอร์กว่า 29,000 เครื่องที่ยังไม่ได้ติดตั้งแพตช์ ➡️ รวมถึง 7,200 เครื่องในสหรัฐฯ และ 6,700 เครื่องในเยอรมนี ✅ Microsoft แนะนำให้ติดตั้ง hotfix เดือนเมษายน 2025 ➡️ และเปลี่ยนไปใช้ Exchange Hybrid App แบบ dedicated ✅ CISA ออก Emergency Directive ให้รีบดำเนินการตามคำแนะนำ ➡️ รวมถึงการรีเซ็ต keyCredentials และตรวจสอบด้วย Exchange Health Checker ✅ Microsoft วางแผนบล็อกการใช้งาน Exchange Web Services ผ่าน service principal เดิม ➡️ เพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ภายในตุลาคม 2025 https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-microsoft-exchange-servers-remain-unpatched-against-major-threat-heres-what-to-do-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องเรียนอเมริกัน: เมื่อ AI จับผิดนักเรียนจนกลายเป็นผู้ต้องหา

    ในยุคที่โรงเรียนพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องนักเรียนจากภัยคุกคาม เช่น การกลั่นแกล้งหรือการทำร้ายตัวเอง หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ ได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังด้วย AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อสแกนข้อความที่นักเรียนพิมพ์ในอีเมลหรือแชตที่เชื่อมกับบัญชีโรงเรียน

    แต่สิ่งที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กบางคนถูกจับกุมโดยไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงวัย 13 ปีในรัฐเทนเนสซีที่พิมพ์ข้อความล้อเล่นว่า “Thursday we kill all the Mexico’s” หลังถูกเพื่อนล้อเรื่องผิว เธอถูกจับกุม ถูกสอบสวน ถูกตรวจร่างกาย และต้องนอนคุกข้ามคืน แม้ข้อความจะเป็นแค่การประชดประชันในกลุ่มเพื่อน

    ระบบ AI เหล่านี้สามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่โรงเรียนและตำรวจทันทีเมื่อพบข้อความต้องสงสัย โดยไม่พิจารณาบริบทหรือเจตนา ทำให้เกิดการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพโป๊

    แม้ผู้พัฒนาอย่าง Gaggle จะยืนยันว่าเครื่องมือควรใช้เพื่อ “เตือนล่วงหน้า” ไม่ใช่ “ลงโทษ” แต่ในหลายกรณี โรงเรียนกลับใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีหรือส่งนักเรียนไปโรงเรียนทางเลือก

    โรงเรียนในสหรัฐฯ ใช้ระบบ AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อเฝ้าระวังข้อความของนักเรียน
    ตรวจจับคำที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การกลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายตัวเอง

    เด็กหญิงวัย 13 ปีถูกจับกุมหลังพิมพ์ข้อความประชดเพื่อนในแชตโรงเรียน
    ถูกสอบสวน ตรวจร่างกาย และนอนคุกข้ามคืน

    ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติสามารถแจ้งตำรวจทันทีโดยไม่พิจารณาบริบท
    นำไปสู่การดำเนินคดีแม้ไม่มีเจตนาร้าย

    กฎหมาย zero-tolerance ในรัฐเทนเนสซีบังคับให้รายงานภัยคุกคามทุกกรณี
    แม้จะเป็นคำพูดเล่นหรือไม่มีมูลเหตุจริง

    นักเรียนหลายคนถูกเรียกพบครูหรือถูกลงโทษจากข้อความที่ไม่เป็นภัยจริง
    เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียน

    ระบบแจ้งเตือนของ Gaggle ในเขต Lawrence แจ้งเตือนกว่า 1,200 ครั้งใน 10 เดือน
    โดยสองในสามเป็น false alarm รวมถึงกว่า 200 กรณีจากการบ้านนักเรียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/students-have-been-called-to-the-office---and-even-arrested---for-ai-surveillance-false-alarms
    🎓🔍 เรื่องเล่าจากห้องเรียนอเมริกัน: เมื่อ AI จับผิดนักเรียนจนกลายเป็นผู้ต้องหา ในยุคที่โรงเรียนพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องนักเรียนจากภัยคุกคาม เช่น การกลั่นแกล้งหรือการทำร้ายตัวเอง หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ ได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังด้วย AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อสแกนข้อความที่นักเรียนพิมพ์ในอีเมลหรือแชตที่เชื่อมกับบัญชีโรงเรียน แต่สิ่งที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กบางคนถูกจับกุมโดยไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงวัย 13 ปีในรัฐเทนเนสซีที่พิมพ์ข้อความล้อเล่นว่า “Thursday we kill all the Mexico’s” หลังถูกเพื่อนล้อเรื่องผิว เธอถูกจับกุม ถูกสอบสวน ถูกตรวจร่างกาย และต้องนอนคุกข้ามคืน แม้ข้อความจะเป็นแค่การประชดประชันในกลุ่มเพื่อน ระบบ AI เหล่านี้สามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่โรงเรียนและตำรวจทันทีเมื่อพบข้อความต้องสงสัย โดยไม่พิจารณาบริบทหรือเจตนา ทำให้เกิดการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพโป๊ แม้ผู้พัฒนาอย่าง Gaggle จะยืนยันว่าเครื่องมือควรใช้เพื่อ “เตือนล่วงหน้า” ไม่ใช่ “ลงโทษ” แต่ในหลายกรณี โรงเรียนกลับใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีหรือส่งนักเรียนไปโรงเรียนทางเลือก ✅ โรงเรียนในสหรัฐฯ ใช้ระบบ AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อเฝ้าระวังข้อความของนักเรียน ➡️ ตรวจจับคำที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การกลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายตัวเอง ✅ เด็กหญิงวัย 13 ปีถูกจับกุมหลังพิมพ์ข้อความประชดเพื่อนในแชตโรงเรียน ➡️ ถูกสอบสวน ตรวจร่างกาย และนอนคุกข้ามคืน ✅ ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติสามารถแจ้งตำรวจทันทีโดยไม่พิจารณาบริบท ➡️ นำไปสู่การดำเนินคดีแม้ไม่มีเจตนาร้าย ✅ กฎหมาย zero-tolerance ในรัฐเทนเนสซีบังคับให้รายงานภัยคุกคามทุกกรณี ➡️ แม้จะเป็นคำพูดเล่นหรือไม่มีมูลเหตุจริง ✅ นักเรียนหลายคนถูกเรียกพบครูหรือถูกลงโทษจากข้อความที่ไม่เป็นภัยจริง ➡️ เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียน ✅ ระบบแจ้งเตือนของ Gaggle ในเขต Lawrence แจ้งเตือนกว่า 1,200 ครั้งใน 10 เดือน ➡️ โดยสองในสามเป็น false alarm รวมถึงกว่า 200 กรณีจากการบ้านนักเรียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/students-have-been-called-to-the-office---and-even-arrested---for-ai-surveillance-false-alarms
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Students have been called to the office - and even arrested - for AI surveillance false alarms
    Surveillance systems in American schools increasingly monitor everything students write on school accounts and devices.
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • พยาบาลถามแบบสุภาพ นุ่มนวล ถึงสมศักดิ์แบบนี้! (4/8/68)
    Thai nurses gently raise concerns with the Minister of Public Health regarding the treatment of Cambodian patients.

    “…เราขอคำชี้แจงจากท่านรัฐมนตรี ว่าการดูแลคนไทยจะยังคงเป็นลำดับแรกอยู่ใช่ไหม…?”

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #เสียงจากพยาบาล
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    พยาบาลถามแบบสุภาพ นุ่มนวล ถึงสมศักดิ์แบบนี้! (4/8/68) Thai nurses gently raise concerns with the Minister of Public Health regarding the treatment of Cambodian patients. “…เราขอคำชี้แจงจากท่านรัฐมนตรี ว่าการดูแลคนไทยจะยังคงเป็นลำดับแรกอยู่ใช่ไหม…?” #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวด่วนชายแดน #เสียงจากพยาบาล #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 0 Reviews
  • สมศักดิ์ รมต.สธ ไม่ทำให้ “เขมร” ผิดหวังจริงๆ [1/8/68]
    Thailand’s Health Minister never fails to impress the Khmer — truly loyal to the wrong side.

    #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #Thaitimes #News1 #Shorts #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ความจริงจากไทย
    สมศักดิ์ รมต.สธ ไม่ทำให้ “เขมร” ผิดหวังจริงๆ [1/8/68] Thailand’s Health Minister never fails to impress the Khmer — truly loyal to the wrong side. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #Thaitimes #News1 #Shorts #กัมพูชายิงก่อน #เขมรละเมิดหยุดยิง #ความจริงจากไทย
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกสุขภาพดิจิทัล: เมื่อข้อมูลสุขภาพกลายเป็นสินทรัพย์ของ AI

    ในงาน “Making Health Technology Great Again” ที่ทำเนียบขาว Trump ประกาศโครงการใหม่ให้ประชาชนอเมริกันสามารถ “สมัครใจ” แชร์ข้อมูลสุขภาพ เช่น ประวัติการรักษา น้ำหนัก โรคเรื้อรัง ไปยังบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Apple โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลผ่านแอปและ AI

    ระบบนี้จะดูแลโดย Centers for Medicare and Medicaid Services (CMS) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพ เช่น Apple Health เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูผลตรวจเลือดหรือประวัติการรักษาได้ทันที

    แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและจริยธรรมเตือนว่า “ไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน” ว่า AI จะใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไร และอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลในทางที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เช่น การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพเพื่อการประกัน หรือการขายข้อมูลให้บริษัทโฆษณา

    Trump เปิดตัวโครงการให้ประชาชนแชร์ข้อมูลสุขภาพกับ Big Tech
    มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ใช้ AI
    ผู้ใช้ต้อง “สมัครใจ” เข้าร่วมระบบ

    ระบบจะดูแลโดย CMS และเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพต่างๆ3
    เช่น Apple Health สามารถเข้าถึงผลตรวจจากโรงพยาบาล
    ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล

    มีบริษัทกว่า 60 แห่งเข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Cleveland Clinic4
    ตั้งเป้าเริ่มใช้งานจริงในไตรมาสแรกของปี 2026
    รวมถึงระบบลงทะเบียนผ่าน QR code และแอปติดตามยา

    ประโยชน์ของระบบสุขภาพดิจิทัล6
    ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ
    ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและเดินทาง
    ส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเองผ่านอุปกรณ์ IoT

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม
    ไม่มีกรอบกฎหมายชัดเจนสำหรับการใช้ข้อมูลสุขภาพใน AI
    ข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อการโฆษณา หรือประเมินความเสี่ยงโดยบริษัทประกัน

    ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลที่เก็บโดย Big Tech
    ระบบอาจถูกเจาะข้อมูลหรือใช้ในทางที่ไม่โปร่งใส
    ค่าเสียหายจากการละเมิดข้อมูลสุขภาพเฉลี่ยสูงถึง $10.1 ล้านต่อกรณีในสหรัฐฯ

    การแบ่งปันข้อมูลอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ
    กลุ่มประชากรที่ไม่มีอุปกรณ์หรือความรู้ดิจิทัลอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    ระบบอาจเน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในเมืองหรือมีรายได้สูง

    CMS เคยอนุญาตให้ ICE เข้าถึงข้อมูล Medicaid เพื่อใช้ในการตรวจสอบคนเข้าเมือง
    สร้างความกังวลว่าข้อมูลสุขภาพอาจถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรักษา
    ขัดต่อหลักการของ HIPAA ที่เน้นการคุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

    https://wccftech.com/president-trump-wants-americans-to-share-personal-health-data-with-big-tech/
    🧬 เรื่องเล่าจากโลกสุขภาพดิจิทัล: เมื่อข้อมูลสุขภาพกลายเป็นสินทรัพย์ของ AI ในงาน “Making Health Technology Great Again” ที่ทำเนียบขาว Trump ประกาศโครงการใหม่ให้ประชาชนอเมริกันสามารถ “สมัครใจ” แชร์ข้อมูลสุขภาพ เช่น ประวัติการรักษา น้ำหนัก โรคเรื้อรัง ไปยังบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Apple โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลผ่านแอปและ AI ระบบนี้จะดูแลโดย Centers for Medicare and Medicaid Services (CMS) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพ เช่น Apple Health เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูผลตรวจเลือดหรือประวัติการรักษาได้ทันที แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและจริยธรรมเตือนว่า “ไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน” ว่า AI จะใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไร และอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลในทางที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เช่น การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพเพื่อการประกัน หรือการขายข้อมูลให้บริษัทโฆษณา ✅ Trump เปิดตัวโครงการให้ประชาชนแชร์ข้อมูลสุขภาพกับ Big Tech ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ต้อง “สมัครใจ” เข้าร่วมระบบ ✅ ระบบจะดูแลโดย CMS และเชื่อมโยงกับแอปสุขภาพต่างๆ3 ➡️ เช่น Apple Health สามารถเข้าถึงผลตรวจจากโรงพยาบาล ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล ✅ มีบริษัทกว่า 60 แห่งเข้าร่วม เช่น Google, Amazon, Cleveland Clinic4 ➡️ ตั้งเป้าเริ่มใช้งานจริงในไตรมาสแรกของปี 2026 ➡️ รวมถึงระบบลงทะเบียนผ่าน QR code และแอปติดตามยา ✅ ประโยชน์ของระบบสุขภาพดิจิทัล6 ➡️ ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและเดินทาง ➡️ ส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเองผ่านอุปกรณ์ IoT ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม ⛔ ไม่มีกรอบกฎหมายชัดเจนสำหรับการใช้ข้อมูลสุขภาพใน AI ⛔ ข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อการโฆษณา หรือประเมินความเสี่ยงโดยบริษัทประกัน ‼️ ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลที่เก็บโดย Big Tech ⛔ ระบบอาจถูกเจาะข้อมูลหรือใช้ในทางที่ไม่โปร่งใส ⛔ ค่าเสียหายจากการละเมิดข้อมูลสุขภาพเฉลี่ยสูงถึง $10.1 ล้านต่อกรณีในสหรัฐฯ ‼️ การแบ่งปันข้อมูลอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ⛔ กลุ่มประชากรที่ไม่มีอุปกรณ์หรือความรู้ดิจิทัลอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ⛔ ระบบอาจเน้นเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในเมืองหรือมีรายได้สูง ‼️ CMS เคยอนุญาตให้ ICE เข้าถึงข้อมูล Medicaid เพื่อใช้ในการตรวจสอบคนเข้าเมือง ⛔ สร้างความกังวลว่าข้อมูลสุขภาพอาจถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรักษา ⛔ ขัดต่อหลักการของ HIPAA ที่เน้นการคุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล https://wccftech.com/president-trump-wants-americans-to-share-personal-health-data-with-big-tech/
    WCCFTECH.COM
    President Trump Reportedly Wants Americans to Share Personal Health Data With Big Tech, Claiming It Would Allow for Better Care, But Many Fear AI Will Exploit It
    The Trump administration wants to bring health care into the "digital age" by requiring Americans to sign up to share records with US firms.
    0 Comments 0 Shares 379 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข้อมืออดีต: Pebble กลับมาแล้ว พร้อมระบบเปิดและแบตเตอรี่ 30 วัน

    หลังจากหายไปเกือบ 10 ปี Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices และประกาศว่าเขาได้ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้า Pebble เพื่อใช้กับนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่พัฒนาบนระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส

    นาฬิกาใหม่สองรุ่นคือ:
    - Pebble 2 Duo (เดิมชื่อ Core 2 Duo): หน้าจอขาวดำ e-paper ขนาด 1.26 นิ้ว, กันน้ำระดับ IPX8, มีไมค์และลำโพง, เซ็นเซอร์วัดความสูงและทิศทาง, แบตเตอรี่ใช้งานได้ 30 วัน
    - Pebble Time 2 (เดิมชื่อ Core Time 2): หน้าจอสี e-paper ขนาด 1.5 นิ้วแบบสัมผัส, ดีไซน์โลหะ, มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจ, ไมค์และลำโพง, แบตเตอรี่ 30 วันเช่นกัน

    ทั้งสองรุ่นรองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการจาก PebbleOS เดิม และสามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส

    Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 (ล่าช้าจากกำหนดเดิมในเดือนกรกฎาคม) ส่วน Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบ EVT และคาดว่าจะจัดส่งปลายปีนี้

    Pebble กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้ชื่อเดิมและระบบเดิม
    Eric Migicovsky ซื้อคืนเครื่องหมายการค้า Pebble
    เปิดตัวผ่านบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices

    เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 2 รุ่น: Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2
    Pebble 2 Duo ราคา $149 พร้อมแบตเตอรี่ 30 วัน
    Pebble Time 2 ราคา $225 พร้อมหน้าจอสัมผัสและดีไซน์โลหะ

    ใช้ระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส
    รองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการ
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้เอง

    Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025
    ล่าช้าจากกำหนดเดิมเพราะทดสอบระบบกันน้ำและลำโพง
    มี Bluetooth range ประมาณ 140 เมตรในพื้นที่เปิด

    Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอน EVT และยังไม่มีกำหนดจัดส่ง
    ปรับดีไซน์ให้บางลงและดูทันสมัยขึ้น
    เพิ่มหน้าจอสัมผัสและเซ็นเซอร์วัดหัวใจ

    สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ผ่านเว็บไซต์ rePebble
    มีให้เลือกสีขาวและดำ พร้อมสายขนาดมาตรฐาน 22 มม.
    สินค้าจัดส่งจากฮ่องกง—สหรัฐฯ มีค่าภาษีเพิ่ม $10 ต่อเรือน

    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/the-all-new-pebble-watches-just-got-a-new-name-and-release-date-heres-how-to-get-one
    ⌚ เรื่องเล่าจากข้อมืออดีต: Pebble กลับมาแล้ว พร้อมระบบเปิดและแบตเตอรี่ 30 วัน หลังจากหายไปเกือบ 10 ปี Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้เปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices และประกาศว่าเขาได้ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้า Pebble เพื่อใช้กับนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่พัฒนาบนระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส นาฬิกาใหม่สองรุ่นคือ: - Pebble 2 Duo (เดิมชื่อ Core 2 Duo): หน้าจอขาวดำ e-paper ขนาด 1.26 นิ้ว, กันน้ำระดับ IPX8, มีไมค์และลำโพง, เซ็นเซอร์วัดความสูงและทิศทาง, แบตเตอรี่ใช้งานได้ 30 วัน - Pebble Time 2 (เดิมชื่อ Core Time 2): หน้าจอสี e-paper ขนาด 1.5 นิ้วแบบสัมผัส, ดีไซน์โลหะ, มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจ, ไมค์และลำโพง, แบตเตอรี่ 30 วันเช่นกัน ทั้งสองรุ่นรองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการจาก PebbleOS เดิม และสามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้ด้วยซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 (ล่าช้าจากกำหนดเดิมในเดือนกรกฎาคม) ส่วน Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอนทดสอบ EVT และคาดว่าจะจัดส่งปลายปีนี้ ✅ Pebble กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้ชื่อเดิมและระบบเดิม ➡️ Eric Migicovsky ซื้อคืนเครื่องหมายการค้า Pebble ➡️ เปิดตัวผ่านบริษัทใหม่ชื่อ Core Devices ✅ เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 2 รุ่น: Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ➡️ Pebble 2 Duo ราคา $149 พร้อมแบตเตอรี่ 30 วัน ➡️ Pebble Time 2 ราคา $225 พร้อมหน้าจอสัมผัสและดีไซน์โลหะ ✅ ใช้ระบบปฏิบัติการ PebbleOS แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ รองรับแอปและหน้าปัดกว่า 10,000 รายการ ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือพัฒนาเพิ่มเติมได้เอง ✅ Pebble 2 Duo จะเริ่มจัดส่งปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ ล่าช้าจากกำหนดเดิมเพราะทดสอบระบบกันน้ำและลำโพง ➡️ มี Bluetooth range ประมาณ 140 เมตรในพื้นที่เปิด ✅ Pebble Time 2 ยังอยู่ในขั้นตอน EVT และยังไม่มีกำหนดจัดส่ง ➡️ ปรับดีไซน์ให้บางลงและดูทันสมัยขึ้น ➡️ เพิ่มหน้าจอสัมผัสและเซ็นเซอร์วัดหัวใจ ✅ สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ผ่านเว็บไซต์ rePebble ➡️ มีให้เลือกสีขาวและดำ พร้อมสายขนาดมาตรฐาน 22 มม. ➡️ สินค้าจัดส่งจากฮ่องกง—สหรัฐฯ มีค่าภาษีเพิ่ม $10 ต่อเรือน https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/the-all-new-pebble-watches-just-got-a-new-name-and-release-date-heres-how-to-get-one
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า

    ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร

    การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT

    Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2
    โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code
    เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43

    Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต
    รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต
    หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า

    เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ
    ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต
    แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD

    การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ
    Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free
    เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs

    Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems
    bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้
    ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น

    การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น
    ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที
    ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม

    การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้
    แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป
    ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง

    ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที
    หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้
    ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา

    การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
    ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc
    การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น

    https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    🛠️ เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT ✅ Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2 ➡️ โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code ➡️ เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43 ✅ Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต ➡️ รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต ➡️ หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า ✅ เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ ➡️ ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต ➡️ แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ ➡️ Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free ➡️ เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs ✅ Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems ➡️ bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้ ➡️ ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น ✅ การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม ‼️ การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้ ⛔ แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป ⛔ ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง ‼️ ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที ⛔ หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้ ⛔ ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ‼️ การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ⛔ ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc ⛔ การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    WWW.NEOWIN.NET
    Another Linux utility is being rewritten in Rust
    Rust continues to shine in the Linux world, with yet another core utility now being rewritten in the language.
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกข้อมูล: เมื่อ “เด็กเนิร์ด” ต้องลุกขึ้นปกป้องสถิติของชาติ

    หลังจากที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Census Bureau และ CDC ถูกลบหรือแก้ไขโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นักวิจัยจากหลายสาขา — นักสถิติ, นักประชากรศาสตร์, นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ — ได้รวมตัวกันเพื่อ:
    - ดาวน์โหลดข้อมูลก่อนที่มันจะหายไป
    - สำรองข้อมูลที่เสี่ยงต่อการถูกลบ
    - สร้างเว็บไซต์ mirror และระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง
    - ฟื้นฟูคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น:
    - เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์
    - แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ
    - คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูลโดยไม่มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลง

    กลุ่มที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ ได้แก่:
    - Federation of American Scientists (dataindex.com)
    - University of Chicago Library (Data Mirror)
    - Data Rescue Project
    - Federal Data Forum
    - American Statistical Association

    ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลบหรือแก้ไขตั้งแต่ต้นปี 2025
    เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ, เพศ, อัตลักษณ์ทางเพศ, ภูมิอากาศ และความหลากหลาย

    นักวิจัยรวมตัวกันเพื่อกู้ข้อมูลและสร้างระบบสำรอง
    เช่น mirror site, ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง และการดาวน์โหลดล่วงหน้า

    เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์
    กลับมาเปิดอีกครั้งหลังจากผู้ใช้รายงานปัญหา

    แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามสำคัญ
    เช่น คำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามอัตลักษณ์ทางเพศ

    คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูล
    เกือบครึ่งของ 232 ชุดข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกแก้ไขโดยไม่มีบันทึก

    กลุ่มนักวิจัยสร้างระบบสำรองข้อมูล เช่น Data Mirror และ Data Rescue Project
    เพื่อให้ข้อมูลยังคงเข้าถึงได้แม้ถูกลบจากเว็บไซต์ทางการ

    คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau ถูกฟื้นฟูโดยกลุ่มภายนอก
    แม้ไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังส่งคำแนะนำให้หน่วยงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/why-are-data-nerds-racing-to-save-us-government-statistics
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกข้อมูล: เมื่อ “เด็กเนิร์ด” ต้องลุกขึ้นปกป้องสถิติของชาติ หลังจากที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Census Bureau และ CDC ถูกลบหรือแก้ไขโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นักวิจัยจากหลายสาขา — นักสถิติ, นักประชากรศาสตร์, นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ — ได้รวมตัวกันเพื่อ: - ดาวน์โหลดข้อมูลก่อนที่มันจะหายไป - สำรองข้อมูลที่เสี่ยงต่อการถูกลบ - สร้างเว็บไซต์ mirror และระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง - ฟื้นฟูคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น: - เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์ - แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ - คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูลโดยไม่มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลง กลุ่มที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ ได้แก่: - Federation of American Scientists (dataindex.com) - University of Chicago Library (Data Mirror) - Data Rescue Project - Federal Data Forum - American Statistical Association ✅ ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลบหรือแก้ไขตั้งแต่ต้นปี 2025 ➡️ เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ, เพศ, อัตลักษณ์ทางเพศ, ภูมิอากาศ และความหลากหลาย ✅ นักวิจัยรวมตัวกันเพื่อกู้ข้อมูลและสร้างระบบสำรอง ➡️ เช่น mirror site, ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง และการดาวน์โหลดล่วงหน้า ✅ เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์ ➡️ กลับมาเปิดอีกครั้งหลังจากผู้ใช้รายงานปัญหา ✅ แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามสำคัญ ➡️ เช่น คำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามอัตลักษณ์ทางเพศ ✅ คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูล ➡️ เกือบครึ่งของ 232 ชุดข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกแก้ไขโดยไม่มีบันทึก ✅ กลุ่มนักวิจัยสร้างระบบสำรองข้อมูล เช่น Data Mirror และ Data Rescue Project ➡️ เพื่อให้ข้อมูลยังคงเข้าถึงได้แม้ถูกลบจากเว็บไซต์ทางการ ✅ คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau ถูกฟื้นฟูโดยกลุ่มภายนอก ➡️ แม้ไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังส่งคำแนะนำให้หน่วยงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/why-are-data-nerds-racing-to-save-us-government-statistics
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why are data nerds racing to save US government statistics?
    After watching data sets be altered or disappear from US government websites in unprecedented ways after President Donald Trump began his second term, an army of outside statisticians, demographers and computer scientists have joined forces to capture, preserve and share data sets, sometimes clandestinely.
    0 Comments 0 Shares 318 Views 0 Reviews
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 Comments 0 Shares 820 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อจีนใช้ phishing โจมตีอุตสาหกรรมชิปของไต้หวัน

    Proofpoint รายงานว่ามีอย่างน้อย 3 กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ที่ร่วมกันโจมตีบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2025 โดยใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดอีเมลที่มีมัลแวร์

    เป้าหมายของการโจมตีคือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ออกแบบ และทดสอบชิป รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน

    กลุ่มแฮกเกอร์ใช้เครื่องมือหลากหลาย เช่น Cobalt Strike, Voldemort (backdoor แบบ custom ที่เขียนด้วยภาษา C), HealthKick (backdoor ที่สามารถรันคำสั่ง) และ Spark (Remote Access Trojan) ซึ่งใช้โดยกลุ่มที่สี่ชื่อ UNK_ColtCentury หรือ TAG-100 (Storm-2077)

    นักวิจัยเชื่อว่าการโจมตีเหล่านี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก

    Proofpoint พบการโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์จีน 3 กลุ่มหลัก
    ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp

    เป้าหมายคือบริษัทผลิต ออกแบบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน
    รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุน

    ใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เปิดอีเมลที่มีมัลแวร์
    เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเจาะระบบองค์กร

    เครื่องมือที่ใช้รวมถึง Cobalt Strike, Voldemort, HealthKick และ Spark
    เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและขโมยข้อมูล

    กลุ่ม UNK_ColtCentury (TAG-100 / Storm-2077) ใช้เทคนิคสร้างความไว้ใจก่อนโจมตี
    เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการหลอกล่อแบบเชิงจิตวิทยา

    การโจมตีสะท้อนยุทธศาสตร์จีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    โดยเฉพาะในช่วงที่มีการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ และไต้หวัน

    การโจมตีแบบ spear phishing ยังเป็นภัยคุกคามหลักต่อองค์กร
    พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อระวังอีเมลหลอกลวง

    มัลแวร์ที่ใช้มีความสามารถในการควบคุมระบบและขโมยข้อมูลลึก
    อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีสำคัญ

    การโจมตีมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ
    อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไต้หวัน

    การใช้เครื่องมือเช่น Cobalt Strike อาจหลบเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป
    ต้องใช้ระบบตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-hit-taiwan-semiconductor-manufacturing-in-spear-phishing-campaign
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อจีนใช้ phishing โจมตีอุตสาหกรรมชิปของไต้หวัน Proofpoint รายงานว่ามีอย่างน้อย 3 กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ที่ร่วมกันโจมตีบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2025 โดยใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดอีเมลที่มีมัลแวร์ เป้าหมายของการโจมตีคือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ออกแบบ และทดสอบชิป รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน กลุ่มแฮกเกอร์ใช้เครื่องมือหลากหลาย เช่น Cobalt Strike, Voldemort (backdoor แบบ custom ที่เขียนด้วยภาษา C), HealthKick (backdoor ที่สามารถรันคำสั่ง) และ Spark (Remote Access Trojan) ซึ่งใช้โดยกลุ่มที่สี่ชื่อ UNK_ColtCentury หรือ TAG-100 (Storm-2077) นักวิจัยเชื่อว่าการโจมตีเหล่านี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ✅ Proofpoint พบการโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์จีน 3 กลุ่มหลัก ➡️ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ✅ เป้าหมายคือบริษัทผลิต ออกแบบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน ➡️ รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุน ✅ ใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เปิดอีเมลที่มีมัลแวร์ ➡️ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเจาะระบบองค์กร ✅ เครื่องมือที่ใช้รวมถึง Cobalt Strike, Voldemort, HealthKick และ Spark ➡️ เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและขโมยข้อมูล ✅ กลุ่ม UNK_ColtCentury (TAG-100 / Storm-2077) ใช้เทคนิคสร้างความไว้ใจก่อนโจมตี ➡️ เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการหลอกล่อแบบเชิงจิตวิทยา ✅ การโจมตีสะท้อนยุทธศาสตร์จีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ➡️ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ‼️ การโจมตีแบบ spear phishing ยังเป็นภัยคุกคามหลักต่อองค์กร ⛔ พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อระวังอีเมลหลอกลวง ‼️ มัลแวร์ที่ใช้มีความสามารถในการควบคุมระบบและขโมยข้อมูลลึก ⛔ อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีสำคัญ ‼️ การโจมตีมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ⛔ อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไต้หวัน ‼️ การใช้เครื่องมือเช่น Cobalt Strike อาจหลบเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป ⛔ ต้องใช้ระบบตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-hit-taiwan-semiconductor-manufacturing-in-spear-phishing-campaign
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
  • บริษัท TissueTinker ที่เป็นสปินออฟจากมหาวิทยาลัย McGill แคนาดา พัฒนาระบบ 3D Bioprinting ที่สามารถ “พิมพ์เนื้อเยื่อจำลอง” ขนาดเล็กระดับ 300 ไมครอน โดยใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้จริง → ทีมนักวิจัยพิมพ์ “เซลล์มะเร็ง” คู่กับ “เซลล์ปกติ” ของอวัยวะเดียวกัน → เพื่อศึกษาว่ามะเร็งลุกลามยังไง และตอบสนองต่อยาแบบไหน → ข้อดีคือได้ข้อมูลแบบ side-by-side ซึ่งต่างจากเดิมที่ทดลองแยกกันคนละกลุ่ม

    จุดสำคัญคือความแม่นยำระดับ "จุดสัมผัสแบบสมจริง" และการพิมพ์ในขนาดเล็กมาก จนสามารถมองเห็น บริเวณ hypoxic core หรือ “พื้นที่ในเนื้องอกที่มีออกซิเจนต่ำ” ซึ่งเป็นจุดที่มะเร็งดื้อยาและเติบโตเร็ว → ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่าเซลล์ในจุดนั้นแตกต่างจากส่วนอื่นยังไง → และทดลองพิมพ์เนื้อเยื่อที่เปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างเพื่อศึกษาการตอบสนองต่อการรักษา

    เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่เร่งการวิจัย → แต่ยังเปิดทางสู่ “การแพทย์เฉพาะบุคคล” เพราะสามารถพิมพ์เนื้องอกจากข้อมูลผู้ป่วยได้ → ทดลองสูตรยาแบบ custom ก่อนรักษาจริง → เป็นก้าวสำคัญของการ “ทดลองกับสิ่งพิมพ์” แทนการทดลองกับสัตว์หรือเซลล์แบบแยกส่วน

    TissueTinker พัฒนา 3D bioprinting เพื่อตีพิมพ์เนื้อเยื่อมะเร็งขนาดเล็ก (~300 ไมครอน)  
    • ใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้  
    • พิมพ์แบบ healthy vs cancerous tissue เพื่อเปรียบเทียบได้โดยตรง

    การพิมพ์ขนาดเล็กช่วยให้เห็น hypoxic cores → บริเวณที่เซลล์ดื้อยาและเติบโตเร็ว  
    • จุดนี้เป็นเป้าหมายสำคัญในการทดลองยาใหม่

    สามารถพิมพ์เนื้อเยื่อแบบ “custom parameter” เพื่อดูปฏิกิริยาเฉพาะ เช่น ความไวต่อออกซิเจน–สารอาหาร–ยา

    ทีมได้รับการสนับสนุนจาก McGill Innovation Fund → เตรียมต่อยอดสู่การแพทย์เฉพาะบุคคลในอนาคต

    การศึกษาแบบ side-by-side ระหว่างเนื้อเยื่อดีและเสีย ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของมะเร็งแบบเจาะจงมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/scientists-3d-print-tumors-for-cancer-research-tissuetinker-using-3d-bioprinting-to-create-miniature-models-of-healthy-and-diseased-tissue-for-side-by-side-comparison-backed-by-mcgill
    บริษัท TissueTinker ที่เป็นสปินออฟจากมหาวิทยาลัย McGill แคนาดา พัฒนาระบบ 3D Bioprinting ที่สามารถ “พิมพ์เนื้อเยื่อจำลอง” ขนาดเล็กระดับ 300 ไมครอน โดยใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้จริง → ทีมนักวิจัยพิมพ์ “เซลล์มะเร็ง” คู่กับ “เซลล์ปกติ” ของอวัยวะเดียวกัน → เพื่อศึกษาว่ามะเร็งลุกลามยังไง และตอบสนองต่อยาแบบไหน → ข้อดีคือได้ข้อมูลแบบ side-by-side ซึ่งต่างจากเดิมที่ทดลองแยกกันคนละกลุ่ม จุดสำคัญคือความแม่นยำระดับ "จุดสัมผัสแบบสมจริง" และการพิมพ์ในขนาดเล็กมาก จนสามารถมองเห็น บริเวณ hypoxic core หรือ “พื้นที่ในเนื้องอกที่มีออกซิเจนต่ำ” ซึ่งเป็นจุดที่มะเร็งดื้อยาและเติบโตเร็ว → ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่าเซลล์ในจุดนั้นแตกต่างจากส่วนอื่นยังไง → และทดลองพิมพ์เนื้อเยื่อที่เปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างเพื่อศึกษาการตอบสนองต่อการรักษา เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่เร่งการวิจัย → แต่ยังเปิดทางสู่ “การแพทย์เฉพาะบุคคล” เพราะสามารถพิมพ์เนื้องอกจากข้อมูลผู้ป่วยได้ → ทดลองสูตรยาแบบ custom ก่อนรักษาจริง → เป็นก้าวสำคัญของการ “ทดลองกับสิ่งพิมพ์” แทนการทดลองกับสัตว์หรือเซลล์แบบแยกส่วน ✅ TissueTinker พัฒนา 3D bioprinting เพื่อตีพิมพ์เนื้อเยื่อมะเร็งขนาดเล็ก (~300 ไมครอน)   • ใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้   • พิมพ์แบบ healthy vs cancerous tissue เพื่อเปรียบเทียบได้โดยตรง ✅ การพิมพ์ขนาดเล็กช่วยให้เห็น hypoxic cores → บริเวณที่เซลล์ดื้อยาและเติบโตเร็ว   • จุดนี้เป็นเป้าหมายสำคัญในการทดลองยาใหม่ ✅ สามารถพิมพ์เนื้อเยื่อแบบ “custom parameter” เพื่อดูปฏิกิริยาเฉพาะ เช่น ความไวต่อออกซิเจน–สารอาหาร–ยา ✅ ทีมได้รับการสนับสนุนจาก McGill Innovation Fund → เตรียมต่อยอดสู่การแพทย์เฉพาะบุคคลในอนาคต ✅ การศึกษาแบบ side-by-side ระหว่างเนื้อเยื่อดีและเสีย ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของมะเร็งแบบเจาะจงมากขึ้น https://www.tomshardware.com/3d-printing/scientists-3d-print-tumors-for-cancer-research-tissuetinker-using-3d-bioprinting-to-create-miniature-models-of-healthy-and-diseased-tissue-for-side-by-side-comparison-backed-by-mcgill
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย

    สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ

    นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้

    แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม  
    • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub  
    • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน  
    • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง  
    • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม

    ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่

    Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร

    บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้ ✅ แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม   • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub   • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน   • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง   • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม ✅ ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่ ✅ Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร ✅ บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    0 Comments 0 Shares 486 Views 0 Reviews
More Results