• 05-11-67/01 : หมี CNN / เปิดเช้าด้วย "คุณค่าของความเป็นคน" ยุคทอง ความดีก่อเกิด ศรัทธาเปี่ยมล้น ชูคนดี เหยียดคนชั่ว กลียุค ชูเงินเป็นพระเจ้า รวยคือคำตัดสิน กรณี เจ้าของ LV เข้าตึกตัวเองไม่ได้ เพราะขับรถถูกจอดหน้าตึก จะเดินเข้าถูกรปภ.ไล่ ชี้ชัด คนยุคนี้ ตัดสินด้วยเปลือก! เพราะทุนนิยมเหี้ยสามานย์ ล้างสมองควายโลก ให้ดูฐานะมาก่อนสิ่งอื่นใด รวยต้องแต่งรวยเสมอไปเหรอ รวยต้องมีคฤหาสน์เหรอ? ใครตัดสิน? เงินกู จะอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือส่วนรวมได้ทั้งนั้น? ดูผิวเผิน อาจจะไม่สาระ แต่มรึงดูความจริง ข้อเท็จจริง ชีวิตประจำวันมรึง แม้แต่ไปสมัครงาน แต่งตัว เครื่องประดับ ทั้งหมดเพื่อการยอมรับ ใช่หรือไม่? ไม่มีใครสนใจว่ามรึงเป็นคนดี หรือเป็นคนเก่ง มีคุณภาพต่อสังคมดอก รู้แค่ว่า มรึงรวย กูจะได้ขอเศษเงินมรึงได้ ก็เท่านั้นเอง? เข้าประเด็น จุดนี้แหละ ที่ไอ้อีไฮโซ ดารา ทุนสีเทา มันใช้ล่อเหยื่อ เพราะคุณค่าที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" ถามว่า หากมีคนใส่เสื้อผ้าขาด เก่าสกปรก จะเดินเข้าห้างหรู แม้แต่โชว์รูมรถหรู รปภ.มันถูกสั่งอยู่แล้ว ไม่ให้คนจนมาเสนอหน้า มันก็จนเหมือนเค้า แต่เป็นลูกจ้าง ปัญญาให้มาแค่นี้ มรึงจะไปโทษใครได้? แล้วทำไมคนรวยต้องแต่งจน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเหรอ? คำตอบคือ "สะท้อนสังคม" เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือก่อน คือ ผู้มีอันจะกิน เพราะทุกคนคิดว่า อาจได้สินไหมทดแทนกลับบ้าง จริงเหรอ? ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนน้อยมากจริงๆ คนที่ดูคนที่คุณค่าของคน มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปปลูกฝัง ขนาดพ่อแม่มันเอง ยังเต้นเมื่อเห็นคนรวย เพราะกิเลส ครอบงำ เงินคือทุกอย่าง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ก็มีมาให้เห็นแล้ว อะไรที่จะหยุดสิ่งนี้ได้ นั่นคือ "สติ" หากคนมีปัญญามากพอ โชว์รูมรถหรู เห็นยาจกเดินเข้ามา หากผู้จัดการฉลาดซักกะนิด คนจนที่ไหนจะกล้าเข้ามาซื้อรถ หากไม่ใช่ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" มีเรื่องเล่า ในสวีเดนให้ฟัง กลายเป็นตำนาน เรื่องเล่าขาน ไม่มีใครรู้จริงเท็จอย่างไร เศรษฐีใหญ่เดินเข้าห้างหรู ห้างดังในสต๊อกโฮล์ม ไปดู "แชนเดอเลียร์" โคมไฟสุดหรู ลุงถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายว่า ราคาเท่าไหร่จ๊ะ? คนขายบอก "มันแพงน่ะ" ลุงก็ถามกลับอีกครั้งว่า "ราคาเท่าไหร่จ๊ะ" คนขายตอบ "มันแพงมากน่ะลุง" คราวนี้ ลุงถึงกับใช้ไม้เท้า เหวี่ยงจีแชนเดอเลียร์แตกกระจุยกลางห้าง เสียงดังสนั่นชั้น คนแห่มาดู เกิดอะไรขึ้น? คนขาย "หน้าซีดทันที" ลุงถามว่า "คราวนี้ เธอบอกชั้น(ฉาน)ได้รึยัง ว่าราคาเท่าไหร่?" ไม่มีใครรู้ว่า อีตาลุงคนนี้ คือเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน" แท้จริง! หากลุงไม่ตีแชนเดอเลียร์แตกยับ มรึงจะรู้มั้ยว่า "กูเป็นใคร?" คนรวยจริงไม่โอ้อวด ไม่คุยเยอะ ไอ้ที่ไม่รวย เพิ่งจะมี เพิ่งจะรวยต่างหาก ที่อยาก SHOW OFF มรึงโชว์ไปทำไม? สร้างบารมีเหรอ? งั้นกูให้อีกมุมมองนึงคิด เศรษฐีใหญ่เหมือนกัน เอาข้าว เอาน้ำ ไปแจก สร้างถนน สร้างรพ. สถานีอนามัย เพื่อชุมชนบ้านเกิด ใช้เงินตัวเอง ไม่ต้องเบียดเบียนภาษีรัฐ คนจะจดจำมรึงได้ดีกว่า เอาเงินไปแจก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินมีเหมือนกัน แต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกัน นั่นคือ "คุณค่าในตัวมรึงไงล่ะ" วันนี้ นาทีนี้ มรึงกับกูอยู่ใน กลียุค ความดี เปรียบเหมือยแสงเทียน ที่แม้จะน้อยนิด แต่มันจะสว่างไสวในความมืดทมิฬ มันคือโอกาส และความหวัง ของการดำรงอยู่ หากโลกไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา ไม่มีแบ่งปัน มันจะต่างอะไรกับขุมนรก ที่แย่งชิงกันทุกเรื่องเช้าเย็น ทุนนิยมคือดาบ 2 คม เอาเปรียบก็จบเร็ว แบ่งกันกิน ก็อยู่ยาว พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอบอกต่อเลยว่า "โลกยุคอนาคต" เงินไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เมื่อจิตใจถูกชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจนหมดเกลี้ยง ฐานะ ความเหลื่อมล้ำ จะลดลง ไม่ต้องรวย แค่มีกิน ไม่มีหนี้ ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานได้หมด แล้วมรึงยังต้องการอะไรอีก? กิเลส ตัวเดียว ที่กลืนกินโลกทั้งใบได้ สติจะเรียกความเป็นคนในตัวมรึงกลับมา อะไรที่ปู่ย่าตายายสอนมา มันใช้ได้จริง ไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาลได้ดอก ลูกหลานไทยจะเหี้ยกว่านี้มั้ย? สังคมไทยจะฉิบหายกว่านี้มั้ย? มรึงไม่ต้องคิดมาก และกังวลไป ทุกอย่างมีทางออกของมันเอง แค่รอ "ฟ้าเปลี่ยนสี" ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างที่มรึงไม่คาดคิด เพราะแสงทำงานได้ดีกว่าปาก!

    ปล.หลังข่าวมหาเศรษฐี กลุ่ม ELITE ทั้งหลาย เทหุ้น ถอนการลงทุน ตลาดหุ้นนิวยอร์คระส่ำทันที ดอลล่าร์กำลังจะเน่า ใครถือเยอะ ก็คือเศษกระดาษ แปรรูปสิจ๊ะ ไอ้พวกนกรู้ ELITE สายแดร๊ก ขนเงินหอบไปลงทุนเอเซียกันหมด ธนบัตร BRICS ยังไม่ทันจะออกเลย แม่งเตรียมจองไว้เพี๊ยบ คริปโต ถูกโอนถ่ายแทนเงินสด ไม่มีใครเชื่อมั่นในดอลล่าร์อีกแล้ว เพราะอีนกรู้ มันอ่านขาด มรึงจะเผาดอลล่าร์กันในไม่ช้า ใครที่ยังตามโลกตอแหลอยู่ บาทไทยอ่อน ข้าวไทยทรุด สั้นๆ น่ะ "อีตอแหล" ทองคำใครมี คือความมั่นคง ข้าวปลาใครเยอะ คือความมั่งคั่ง มีแต่เหี้ยนั่นแหละ ที่เอามุกนี้มาหลอกควายเช้าเย็น ใครกำหนดค่าเงินล่ะ? หากมรึงยังผูกดอลล่าร์ มันจะสะกดมรึงให้ 1USD=1000000THB ยังได้เลย มรึงยังจะโง่ต่อมุย? ควายยังอายแทน ใครที่ยังคิดว่าดอลล่าร์มีตัวตนอยู่? ทั้งหมดมันมีแค่ตัวเลข ของจริงไม่มีเหลือ ตัวเลขลอยกลางอากาศ แล้วไอ้โง่หน้าไหนไม่ยู้ ไปยอมรับตัวเลขควายเหล่านั้น จับต้องไม่ได้ ตลาดหุ้นคือตลาดหลอกควาย ปั่นกันไปมา สุดท้าย ก็แค่โยกย้ายกระเป๋าใส่พวก ELITE สติเท่านั้น ที่ทำให้มรึงตื่น และมองเห็นภาพความเป็นจริง ชาติที่ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย สั่งเค้ามา แล้วขายต่อ มรึงเอาเหี้ยอะไรมากำหนดค่าเงินชาวบ้าน? แต่ก่อนเอาแสนยานุภาพข่มขู่ แต่วันนี้ แม้แต่หมา แมว ยังไม่กลัวมรึงเลย? รอทุกอย่างสะเด็ดน้ำก่อน ไอ้อีขี้ข้าหมารับใช้ยิวทั่วโลก จะกลายร่างเป็นปรสิต เกาะกินนายใหม่เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น รัสเซีย จีน อ่านขาดหมดแล้ว ดูดเพื่อยุบขั้วเก่า แล้วค่อยเอามาบดทำน้ำยาล้างตรีนภายหลัง? ประเทศกูมี มันมีกรรม และได้ชดใช้กรรมจนเกือบหมดแล้ว จากนี้คือขาขึ้น มุ่งหน้าสู่โคชิเองชัวร์ พุ่งทะยานฟ้า เพราะขั้วใหม่เค้าใจดี วางมรึงเป็นฮับอาเซียน จะรวยกันแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? แค่ทิ้งเหี้ยคือจบ แค่กำจัดขยะคือรอด เราเดินมาสู่โหมด "ชำระล้าง ฆ่าล้างโคตรเหี้ย กันแล้ว" จงดีใจ อย่ากังวลมากเกินไป ความมั่นคงชาติและแผ่นดิน อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ตัวจริงหมดแล้ว เรารอดมาได้ไม่รู้กี่ครั้งเพราะพวกเค้า "ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง" อย่ากลัว พ่อยังอยู่ จะไม่มีอะไรทำร้ายแผ่นดินทองนี้ได้อีก พอเหอะ เลิกพูดเรื่องอีขะแมร์ซะที คนมีสติปัญญา มองเห็นหมดว่า ใครเป็นใคร? กูเคยบอกแล้วชิมิว่า ทหารอีขะแมร์มีหน้าที่จุดไฟแช็ตในตชด.ไทย มรึงยังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? พูดให้ชัดคือ "อีขะแมร์เป็นเบ๊ไทย ตั้งแต่อดีตกาล ยันไปถึงโลกอนาคต และจะเป็นเบ๊ไปยันชั่วลูกชั่วหลานของมัน จนกว่าจะถึงการรวมแผ่นดิน" ไบ้เยอะไปแล้วน่ะ แค่เห็นทหารไทย แม่งก็เยี่ยวแตกแล้ว เรียกลวกเพ่ทุกคำ ยังต้องให้กูบอกอีกมั้ยว่า มันจะบุกมายึดเกาะหมา เกาะแมว เหี้ยอะไรนี่อีก ไอ้ที่มรึงเห็นตามโซเชี่ยล "PROPAGANDA ชั้นประถม ทั้งนั้น" ฝ่ายความมั่นคงขำกลิ้ง ถามกลับ ยังมีควายหลงเชื่ออยู่อีกเหรอ? จบน่ะ อีขะแมร์แค่เบ๊ อย่าไปให้ราคาอะไรมันมาก มรึงจะไปลดตัวทำไม พูดชัดพอรึยัง? สาแก่ใจพอรึยัง?

    หมี CNN(คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน รวยหรือจน อยู่ที่มรึงให้ราคา จะรวยไปเพื่อ จะจนอีกนานไปเพื่อ? รวยยิ่งต้องแบ่ง จนยิ่งต้องขยัน เรื่องไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เปลี่ยนความคิด เรียกสติ พลังงานบวกมาทันที ทำซะน่ะ)
    05 พฤศจิกายน 67
    10.10 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    05-11-67/01 : หมี CNN / เปิดเช้าด้วย "คุณค่าของความเป็นคน" ยุคทอง ความดีก่อเกิด ศรัทธาเปี่ยมล้น ชูคนดี เหยียดคนชั่ว กลียุค ชูเงินเป็นพระเจ้า รวยคือคำตัดสิน กรณี เจ้าของ LV เข้าตึกตัวเองไม่ได้ เพราะขับรถถูกจอดหน้าตึก จะเดินเข้าถูกรปภ.ไล่ ชี้ชัด คนยุคนี้ ตัดสินด้วยเปลือก! เพราะทุนนิยมเหี้ยสามานย์ ล้างสมองควายโลก ให้ดูฐานะมาก่อนสิ่งอื่นใด รวยต้องแต่งรวยเสมอไปเหรอ รวยต้องมีคฤหาสน์เหรอ? ใครตัดสิน? เงินกู จะอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือส่วนรวมได้ทั้งนั้น? ดูผิวเผิน อาจจะไม่สาระ แต่มรึงดูความจริง ข้อเท็จจริง ชีวิตประจำวันมรึง แม้แต่ไปสมัครงาน แต่งตัว เครื่องประดับ ทั้งหมดเพื่อการยอมรับ ใช่หรือไม่? ไม่มีใครสนใจว่ามรึงเป็นคนดี หรือเป็นคนเก่ง มีคุณภาพต่อสังคมดอก รู้แค่ว่า มรึงรวย กูจะได้ขอเศษเงินมรึงได้ ก็เท่านั้นเอง? เข้าประเด็น จุดนี้แหละ ที่ไอ้อีไฮโซ ดารา ทุนสีเทา มันใช้ล่อเหยื่อ เพราะคุณค่าที่แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" ถามว่า หากมีคนใส่เสื้อผ้าขาด เก่าสกปรก จะเดินเข้าห้างหรู แม้แต่โชว์รูมรถหรู รปภ.มันถูกสั่งอยู่แล้ว ไม่ให้คนจนมาเสนอหน้า มันก็จนเหมือนเค้า แต่เป็นลูกจ้าง ปัญญาให้มาแค่นี้ มรึงจะไปโทษใครได้? แล้วทำไมคนรวยต้องแต่งจน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเหรอ? คำตอบคือ "สะท้อนสังคม" เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือก่อน คือ ผู้มีอันจะกิน เพราะทุกคนคิดว่า อาจได้สินไหมทดแทนกลับบ้าง จริงเหรอ? ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนน้อยมากจริงๆ คนที่ดูคนที่คุณค่าของคน มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปปลูกฝัง ขนาดพ่อแม่มันเอง ยังเต้นเมื่อเห็นคนรวย เพราะกิเลส ครอบงำ เงินคือทุกอย่าง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ก็มีมาให้เห็นแล้ว อะไรที่จะหยุดสิ่งนี้ได้ นั่นคือ "สติ" หากคนมีปัญญามากพอ โชว์รูมรถหรู เห็นยาจกเดินเข้ามา หากผู้จัดการฉลาดซักกะนิด คนจนที่ไหนจะกล้าเข้ามาซื้อรถ หากไม่ใช่ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" มีเรื่องเล่า ในสวีเดนให้ฟัง กลายเป็นตำนาน เรื่องเล่าขาน ไม่มีใครรู้จริงเท็จอย่างไร เศรษฐีใหญ่เดินเข้าห้างหรู ห้างดังในสต๊อกโฮล์ม ไปดู "แชนเดอเลียร์" โคมไฟสุดหรู ลุงถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายว่า ราคาเท่าไหร่จ๊ะ? คนขายบอก "มันแพงน่ะ" ลุงก็ถามกลับอีกครั้งว่า "ราคาเท่าไหร่จ๊ะ" คนขายตอบ "มันแพงมากน่ะลุง" คราวนี้ ลุงถึงกับใช้ไม้เท้า เหวี่ยงจีแชนเดอเลียร์แตกกระจุยกลางห้าง เสียงดังสนั่นชั้น คนแห่มาดู เกิดอะไรขึ้น? คนขาย "หน้าซีดทันที" ลุงถามว่า "คราวนี้ เธอบอกชั้น(ฉาน)ได้รึยัง ว่าราคาเท่าไหร่?" ไม่มีใครรู้ว่า อีตาลุงคนนี้ คือเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน" แท้จริง! หากลุงไม่ตีแชนเดอเลียร์แตกยับ มรึงจะรู้มั้ยว่า "กูเป็นใคร?" คนรวยจริงไม่โอ้อวด ไม่คุยเยอะ ไอ้ที่ไม่รวย เพิ่งจะมี เพิ่งจะรวยต่างหาก ที่อยาก SHOW OFF มรึงโชว์ไปทำไม? สร้างบารมีเหรอ? งั้นกูให้อีกมุมมองนึงคิด เศรษฐีใหญ่เหมือนกัน เอาข้าว เอาน้ำ ไปแจก สร้างถนน สร้างรพ. สถานีอนามัย เพื่อชุมชนบ้านเกิด ใช้เงินตัวเอง ไม่ต้องเบียดเบียนภาษีรัฐ คนจะจดจำมรึงได้ดีกว่า เอาเงินไปแจก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินมีเหมือนกัน แต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกัน นั่นคือ "คุณค่าในตัวมรึงไงล่ะ" วันนี้ นาทีนี้ มรึงกับกูอยู่ใน กลียุค ความดี เปรียบเหมือยแสงเทียน ที่แม้จะน้อยนิด แต่มันจะสว่างไสวในความมืดทมิฬ มันคือโอกาส และความหวัง ของการดำรงอยู่ หากโลกไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา ไม่มีแบ่งปัน มันจะต่างอะไรกับขุมนรก ที่แย่งชิงกันทุกเรื่องเช้าเย็น ทุนนิยมคือดาบ 2 คม เอาเปรียบก็จบเร็ว แบ่งกันกิน ก็อยู่ยาว พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอบอกต่อเลยว่า "โลกยุคอนาคต" เงินไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เมื่อจิตใจถูกชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจนหมดเกลี้ยง ฐานะ ความเหลื่อมล้ำ จะลดลง ไม่ต้องรวย แค่มีกิน ไม่มีหนี้ ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานได้หมด แล้วมรึงยังต้องการอะไรอีก? กิเลส ตัวเดียว ที่กลืนกินโลกทั้งใบได้ สติจะเรียกความเป็นคนในตัวมรึงกลับมา อะไรที่ปู่ย่าตายายสอนมา มันใช้ได้จริง ไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาลได้ดอก ลูกหลานไทยจะเหี้ยกว่านี้มั้ย? สังคมไทยจะฉิบหายกว่านี้มั้ย? มรึงไม่ต้องคิดมาก และกังวลไป ทุกอย่างมีทางออกของมันเอง แค่รอ "ฟ้าเปลี่ยนสี" ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างที่มรึงไม่คาดคิด เพราะแสงทำงานได้ดีกว่าปาก! ปล.หลังข่าวมหาเศรษฐี กลุ่ม ELITE ทั้งหลาย เทหุ้น ถอนการลงทุน ตลาดหุ้นนิวยอร์คระส่ำทันที ดอลล่าร์กำลังจะเน่า ใครถือเยอะ ก็คือเศษกระดาษ แปรรูปสิจ๊ะ ไอ้พวกนกรู้ ELITE สายแดร๊ก ขนเงินหอบไปลงทุนเอเซียกันหมด ธนบัตร BRICS ยังไม่ทันจะออกเลย แม่งเตรียมจองไว้เพี๊ยบ คริปโต ถูกโอนถ่ายแทนเงินสด ไม่มีใครเชื่อมั่นในดอลล่าร์อีกแล้ว เพราะอีนกรู้ มันอ่านขาด มรึงจะเผาดอลล่าร์กันในไม่ช้า ใครที่ยังตามโลกตอแหลอยู่ บาทไทยอ่อน ข้าวไทยทรุด สั้นๆ น่ะ "อีตอแหล" ทองคำใครมี คือความมั่นคง ข้าวปลาใครเยอะ คือความมั่งคั่ง มีแต่เหี้ยนั่นแหละ ที่เอามุกนี้มาหลอกควายเช้าเย็น ใครกำหนดค่าเงินล่ะ? หากมรึงยังผูกดอลล่าร์ มันจะสะกดมรึงให้ 1USD=1000000THB ยังได้เลย มรึงยังจะโง่ต่อมุย? ควายยังอายแทน ใครที่ยังคิดว่าดอลล่าร์มีตัวตนอยู่? ทั้งหมดมันมีแค่ตัวเลข ของจริงไม่มีเหลือ ตัวเลขลอยกลางอากาศ แล้วไอ้โง่หน้าไหนไม่ยู้ ไปยอมรับตัวเลขควายเหล่านั้น จับต้องไม่ได้ ตลาดหุ้นคือตลาดหลอกควาย ปั่นกันไปมา สุดท้าย ก็แค่โยกย้ายกระเป๋าใส่พวก ELITE สติเท่านั้น ที่ทำให้มรึงตื่น และมองเห็นภาพความเป็นจริง ชาติที่ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย สั่งเค้ามา แล้วขายต่อ มรึงเอาเหี้ยอะไรมากำหนดค่าเงินชาวบ้าน? แต่ก่อนเอาแสนยานุภาพข่มขู่ แต่วันนี้ แม้แต่หมา แมว ยังไม่กลัวมรึงเลย? รอทุกอย่างสะเด็ดน้ำก่อน ไอ้อีขี้ข้าหมารับใช้ยิวทั่วโลก จะกลายร่างเป็นปรสิต เกาะกินนายใหม่เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น รัสเซีย จีน อ่านขาดหมดแล้ว ดูดเพื่อยุบขั้วเก่า แล้วค่อยเอามาบดทำน้ำยาล้างตรีนภายหลัง? ประเทศกูมี มันมีกรรม และได้ชดใช้กรรมจนเกือบหมดแล้ว จากนี้คือขาขึ้น มุ่งหน้าสู่โคชิเองชัวร์ พุ่งทะยานฟ้า เพราะขั้วใหม่เค้าใจดี วางมรึงเป็นฮับอาเซียน จะรวยกันแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? แค่ทิ้งเหี้ยคือจบ แค่กำจัดขยะคือรอด เราเดินมาสู่โหมด "ชำระล้าง ฆ่าล้างโคตรเหี้ย กันแล้ว" จงดีใจ อย่ากังวลมากเกินไป ความมั่นคงชาติและแผ่นดิน อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ตัวจริงหมดแล้ว เรารอดมาได้ไม่รู้กี่ครั้งเพราะพวกเค้า "ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง" อย่ากลัว พ่อยังอยู่ จะไม่มีอะไรทำร้ายแผ่นดินทองนี้ได้อีก พอเหอะ เลิกพูดเรื่องอีขะแมร์ซะที คนมีสติปัญญา มองเห็นหมดว่า ใครเป็นใคร? กูเคยบอกแล้วชิมิว่า ทหารอีขะแมร์มีหน้าที่จุดไฟแช็ตในตชด.ไทย มรึงยังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? พูดให้ชัดคือ "อีขะแมร์เป็นเบ๊ไทย ตั้งแต่อดีตกาล ยันไปถึงโลกอนาคต และจะเป็นเบ๊ไปยันชั่วลูกชั่วหลานของมัน จนกว่าจะถึงการรวมแผ่นดิน" ไบ้เยอะไปแล้วน่ะ แค่เห็นทหารไทย แม่งก็เยี่ยวแตกแล้ว เรียกลวกเพ่ทุกคำ ยังต้องให้กูบอกอีกมั้ยว่า มันจะบุกมายึดเกาะหมา เกาะแมว เหี้ยอะไรนี่อีก ไอ้ที่มรึงเห็นตามโซเชี่ยล "PROPAGANDA ชั้นประถม ทั้งนั้น" ฝ่ายความมั่นคงขำกลิ้ง ถามกลับ ยังมีควายหลงเชื่ออยู่อีกเหรอ? จบน่ะ อีขะแมร์แค่เบ๊ อย่าไปให้ราคาอะไรมันมาก มรึงจะไปลดตัวทำไม พูดชัดพอรึยัง? สาแก่ใจพอรึยัง? หมี CNN(คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน รวยหรือจน อยู่ที่มรึงให้ราคา จะรวยไปเพื่อ จะจนอีกนานไปเพื่อ? รวยยิ่งต้องแบ่ง จนยิ่งต้องขยัน เรื่องไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เปลี่ยนความคิด เรียกสติ พลังงานบวกมาทันที ทำซะน่ะ) 05 พฤศจิกายน 67 10.10 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • Oct. 30, 2024

    สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67
    https://www.youtube.com/live/4HEOL_HcTio?si=ZRlh4tSFkZQNcSq_

    นาทีที่ 29:29 คุณสนธิ พูดเรื่องการไปงานแต่ง และการไปงานศพ เหมือนที่พ่อเราสอนไว้เป๊ะเลย

    "งานแต่ง คนกำลังมีความสุข เราจะไปหรือไม่ เขาก็มีความสุข ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้
    แต่งานศพ...เราต้องไป...ไปเพื่อไปส่งคนที่จากไป และไปให้กำลังใจคนอยู่ และยิ่งต้องไป ถ้าเป็นบุคคลที่เรารัก เคารพ และผูกพัน หรือเป็นบุคคลที่สร้างเราให้เป็นเราทุกวันนี้"

    ฟังแล้วก็คิดถึงพ่อจับใจ คุณสนธิแม้เป็นรุ่นน้องพ่อเรา 19 ปี แต่ก็มีความคิด เรื่องเล่าขำๆ และคติสอนใจแบบคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา หลังจากฟังคลิปนี้ ตอนนี้นั่งรอชมวันที่คุณสนธิไปรายการคุณสุทธิชัยนะคะ ชอบทั้งคู่เลยค่ะ ❤
    Oct. 30, 2024 สนธิเล่าเรื่อง 30-10-67 https://www.youtube.com/live/4HEOL_HcTio?si=ZRlh4tSFkZQNcSq_ นาทีที่ 29:29 คุณสนธิ พูดเรื่องการไปงานแต่ง และการไปงานศพ เหมือนที่พ่อเราสอนไว้เป๊ะเลย "งานแต่ง คนกำลังมีความสุข เราจะไปหรือไม่ เขาก็มีความสุข ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ แต่งานศพ...เราต้องไป...ไปเพื่อไปส่งคนที่จากไป และไปให้กำลังใจคนอยู่ และยิ่งต้องไป ถ้าเป็นบุคคลที่เรารัก เคารพ และผูกพัน หรือเป็นบุคคลที่สร้างเราให้เป็นเราทุกวันนี้" ฟังแล้วก็คิดถึงพ่อจับใจ คุณสนธิแม้เป็นรุ่นน้องพ่อเรา 19 ปี แต่ก็มีความคิด เรื่องเล่าขำๆ และคติสอนใจแบบคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา หลังจากฟังคลิปนี้ ตอนนี้นั่งรอชมวันที่คุณสนธิไปรายการคุณสุทธิชัยนะคะ ชอบทั้งคู่เลยค่ะ ❤
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 2 รีวิว
  • คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2567 ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า นวนิยายเรื่อง กี่บาด ของ ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด เล่าเรื่องของ "แม่ญิง" ช่างทอผ้าแม่แจ่มสามรุ่นที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทอซิ่นตีนจก นำเสนอผ่านโครงเรื่องการต่อสู้และการส่งต่อมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าในบริบทยุคสมัยที่มีความผันแปร โดยใช้กี่ทอผ้าเป็นเสมือนพื้นที่ของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความหมายอันหลากมิติ ทั้งการต่อรองทางเพศสภาพ การต่อสู้กับอคติของจารีต การเก็บงำความทรงจำทั้งดีและร้าย

    ด้านศิลปะการประพันธ์ กี่บาด มีทั้งขนบวรรณศิลป์แบบดั้งเดิมประสานกับการสร้างสรรค์ใหม่ โดยใช้ศิลปะการทอผ้าและลวดลาย สื่อความหมายและดำเนินเรื่องอย่างมีเชิงชั้น เต็มไปด้วยสีสันท้องถิ่น นำพาผู้อ่านสู่อารมณ์สะเทือนใจ เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของมนุษย์ แม้จะต้องเผชิญประสบการณ์หรือความทรงจำอันปวดร้าวเพียงไร ชีวิตก็ต้องเดินไปข้างหน้า และถักทอเรื่องราวอันเป็นวัฒนธรรมเรื่องเล่าของมนุษยชาติต่อไป

    คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ นวนิยายเรื่อง กี่บาด ของ ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2567

    #Thaitimes
    คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2567 ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า นวนิยายเรื่อง กี่บาด ของ ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด เล่าเรื่องของ "แม่ญิง" ช่างทอผ้าแม่แจ่มสามรุ่นที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทอซิ่นตีนจก นำเสนอผ่านโครงเรื่องการต่อสู้และการส่งต่อมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าในบริบทยุคสมัยที่มีความผันแปร โดยใช้กี่ทอผ้าเป็นเสมือนพื้นที่ของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความหมายอันหลากมิติ ทั้งการต่อรองทางเพศสภาพ การต่อสู้กับอคติของจารีต การเก็บงำความทรงจำทั้งดีและร้าย ด้านศิลปะการประพันธ์ กี่บาด มีทั้งขนบวรรณศิลป์แบบดั้งเดิมประสานกับการสร้างสรรค์ใหม่ โดยใช้ศิลปะการทอผ้าและลวดลาย สื่อความหมายและดำเนินเรื่องอย่างมีเชิงชั้น เต็มไปด้วยสีสันท้องถิ่น นำพาผู้อ่านสู่อารมณ์สะเทือนใจ เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของมนุษย์ แม้จะต้องเผชิญประสบการณ์หรือความทรงจำอันปวดร้าวเพียงไร ชีวิตก็ต้องเดินไปข้างหน้า และถักทอเรื่องราวอันเป็นวัฒนธรรมเรื่องเล่าของมนุษยชาติต่อไป คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ นวนิยายเรื่อง กี่บาด ของ ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2567 #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อัจฉริยะ !"

    สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ

    #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น

    สนพ.เจคลาส
    ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ
    ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์
    พิมพ์ เม.ย.2561
    230 บาท 226 หน้า

    เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้

    เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว

    แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา

    นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม

    แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ

    นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา

    🖋หลังอ่านจบ

    โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ

    เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด

    สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ

    ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด

    #thaitimes
    #เอโดะงาวะรัมโปะ
    #ฆาตกรรม
    #สืบสวน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ล้างแค้น
    #นักสืบ
    #รีวิวหนังสือ
    #วิจารณ์หนังสือ
    "อัจฉริยะ !" สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น สนพ.เจคลาส ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์ พิมพ์ เม.ย.2561 230 บาท 226 หน้า เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา 🖋หลังอ่านจบ โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย . . . . . . . . . . . และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด #thaitimes #เอโดะงาวะรัมโปะ #ฆาตกรรม #สืบสวน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #หนังสือน่าอ่าน #ล้างแค้น #นักสืบ #รีวิวหนังสือ #วิจารณ์หนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานยุคทักษิณ ใบสั่งปปง.สอบสื่อฯ

    การเสียชีวิตของสื่อมวลชนอาวุโส โสภณ องค์การณ์ มีเรื่องเล่าขานบนเส้นทางน้ำหมึก ในยุคที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลฯ มีเพียงหนังสือพิมพ์ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน สะท้อนความเป็นไปของบ้านเมือง ย้อนกลับไปในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2544-2549 เสรีภาพสื่อมวลชนถูกกดดันจากโฆษณา สื่อไหนเชียร์รัฐบาลก็จะมีงบโฆษณาให้อย่างน้อย 20 ล้านบาท แต่ถ้าสื่อไหนวิจารณ์รัฐบาลก็จะถูกแทรกแซงต่างๆ นานา ตามไปกดดันนายทุนหนังสือพิมพ์ให้ปลดคอลัมนิสต์ หากไม่ทำตามก็จะสั่งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณาให้หมด

    ปี 2545 มีการตีแผ่เอกสารที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ขณะเป็นผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ออกคำสั่งลงวันที่ 25 ก.พ. 2545 ให้ธนาคารแจ้งข้อมูลรายการฝาก-ถอนเงินและยอดคงเหลือในบัญชีของบุคคลและนิติบุคคล 35 ราย และครอบครัว หนึ่งในนั้นคือสื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ได้แก่ เครือเนชั่น นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายเทพชัย หย่อง นายโสภณ องค์การณ์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น (เปลว สีเงิน) นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า

    คำสั่งดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ผอ.ศูนย์สารสนเทศฯ ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง และถ้าตรวจสอบต้องปรากฏว่ามีการทำความผิดอาญาใน 7 ความผิดมูลฐาน แม้นายทักษิณปฎิเสธว่าไม่มีการตรวจสอบทรัพย์สินสื่อมวลชนและครอบครัว แต่ก็มีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ

    ต่อมานายสุทธิชัย นายเทพชัย และนายโสภณ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งตรวจสอบข้อมูลธุรกรรม พร้อมขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว กระทั่งวันที่ 14 มี.ค. 2545 ศาลปกครองกลางออกคำสั่งทุเลาให้ยุติการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่น โดยสำนวนคดีพบว่าในการไต่สวน พ.ต.อ.สีหนาท อ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากบุคคลภายนอกเพราะสงสัยว่าจะฟอกเงิน แต่ศาลเห็นว่าเป็นบัตรสนเท่ห์ เชื่อถือไม่ได้ ซ้ำร้ายผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายอาจทำขึ้นมาเองเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2545 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้จำหน่ายคดี เนื่องจาก ป.ป.ง.มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าสั่งยุติการตรวจสอบกับธนาคารพาณิชย์แล้ว ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท แก้เกมให้ พ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน แจ้งความดำเนินคดีบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และคมชัดลึก ข้อหาเผยความลับของทางราชการ แต่อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง

    #Newskit #ทักษิณชินวัตร #สื่อมวลชน
    ตำนานยุคทักษิณ ใบสั่งปปง.สอบสื่อฯ การเสียชีวิตของสื่อมวลชนอาวุโส โสภณ องค์การณ์ มีเรื่องเล่าขานบนเส้นทางน้ำหมึก ในยุคที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลฯ มีเพียงหนังสือพิมพ์ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน สะท้อนความเป็นไปของบ้านเมือง ย้อนกลับไปในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ปี 2544-2549 เสรีภาพสื่อมวลชนถูกกดดันจากโฆษณา สื่อไหนเชียร์รัฐบาลก็จะมีงบโฆษณาให้อย่างน้อย 20 ล้านบาท แต่ถ้าสื่อไหนวิจารณ์รัฐบาลก็จะถูกแทรกแซงต่างๆ นานา ตามไปกดดันนายทุนหนังสือพิมพ์ให้ปลดคอลัมนิสต์ หากไม่ทำตามก็จะสั่งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณาให้หมด ปี 2545 มีการตีแผ่เอกสารที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ขณะเป็นผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ออกคำสั่งลงวันที่ 25 ก.พ. 2545 ให้ธนาคารแจ้งข้อมูลรายการฝาก-ถอนเงินและยอดคงเหลือในบัญชีของบุคคลและนิติบุคคล 35 ราย และครอบครัว หนึ่งในนั้นคือสื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ได้แก่ เครือเนชั่น นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายเทพชัย หย่อง นายโสภณ องค์การณ์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น (เปลว สีเงิน) นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า คำสั่งดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ผอ.ศูนย์สารสนเทศฯ ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง และถ้าตรวจสอบต้องปรากฏว่ามีการทำความผิดอาญาใน 7 ความผิดมูลฐาน แม้นายทักษิณปฎิเสธว่าไม่มีการตรวจสอบทรัพย์สินสื่อมวลชนและครอบครัว แต่ก็มีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ ต่อมานายสุทธิชัย นายเทพชัย และนายโสภณ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งตรวจสอบข้อมูลธุรกรรม พร้อมขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว กระทั่งวันที่ 14 มี.ค. 2545 ศาลปกครองกลางออกคำสั่งทุเลาให้ยุติการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่น โดยสำนวนคดีพบว่าในการไต่สวน พ.ต.อ.สีหนาท อ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากบุคคลภายนอกเพราะสงสัยว่าจะฟอกเงิน แต่ศาลเห็นว่าเป็นบัตรสนเท่ห์ เชื่อถือไม่ได้ ซ้ำร้ายผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายอาจทำขึ้นมาเองเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2545 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้จำหน่ายคดี เนื่องจาก ป.ป.ง.มีหนังสือแจ้งต่อศาลว่าสั่งยุติการตรวจสอบกับธนาคารพาณิชย์แล้ว ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท แก้เกมให้ พ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน แจ้งความดำเนินคดีบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น และคมชัดลึก ข้อหาเผยความลับของทางราชการ แต่อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง #Newskit #ทักษิณชินวัตร #สื่อมวลชน
    Like
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด
    จะกลายเป็น เรื่องเล่าที่ดีที่สุด

    จากหนังสือ |ครีมชั้นบน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ครีมชั้นบน
    ช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด จะกลายเป็น เรื่องเล่าที่ดีที่สุด จากหนังสือ |ครีมชั้นบน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ครีมชั้นบน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.)
    .
    พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง
    .
    "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI)
    .
    เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ
    .
    ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ
    .
    อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้
    .
    "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว"
    .
    บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน
    .
    นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา
    .
    โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"
    .
    ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ
    .
    เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น
    .
    บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย
    .
    ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว
    .
    อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.) . พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง . "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI) . เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ . ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ . อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ . "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว" . บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน . นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา . โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ" . ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ . เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น . บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย . ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว . อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038 .............. Sondhi X
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1236 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรุโต๊ะแดง” มหัศจรรย์ป่าพรุใต้ร่มพระบารมี/ปิ่น บุตรี ผู้เขียน

    “พรุเราต้องเก็บไว้ เพราะมีความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ต้องห้ามไม่ให้บุกรุกเข้าไป คราวนี้เราทำโครงการที่โคกใน เขาจะบุกรุกเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะจำกัดบริเวณเขา ในพรุเราก็ส่งเสริมเอาไม้พรุเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างตามข้างทางนี้สวยมากเห็นไม้ต่างๆ ไม้หลาวชะโอนก็มี”

    “การกำหนดขอบเขตป่าพรุ ควรกำหนดขอบเขตป่าพรุให้แน่นอน เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ อันจะทำให้สภาพแวดล้อมเสียหมด”

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริไว้เมื่อ วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2535

    “ป่าพรุ” เป็นป่าลักษณะพิเศษ เป็นป่าไม้ทึบไม่ผลัดใบประเภทหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้ขึ้นบน“ดินพรุ”ที่เกิดจากสะสมตัวของซากอินทรียวัตถุ

    ป่าพรุมีลักษณะเด่นที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นป่าดงดิบที่มีน้ำท่วมขังอยู่ตลอด

    สำหรับหนึ่งในป่าพรุผืนสำคัญยิ่งของเมืองไทยก็คือ “ป่าพรุโต๊ะแดง” ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 120,000 ไร่ (มีส่วนที่สมบูรณ์จริงๆประมาณ 50,000 ไร่) ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอเมือง

    “มาเณศ บุณยานันต์” หัวหน้าศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร เล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งไปเยือนศูนย์ฯแห่งนี้หนล่าสุดว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าผืนสำคัญของชาวนราธิวาสมาช้านาน มีทั้งตำนานเรื่องเล่าความเชื่อ เกี่ยวกับที่มาของผืนป่าแห่งนี้ ปัจจุบันแม้ชื่อจริงๆของป่าพรุแห่งนี้จะเรียกขานกันว่า “ป่าพรุโต๊ะแดง” แต่เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมายังป่าพรุแห่งนี้หลายครั้ง หลายๆคนจึงยกให้เป็นดังป่าพรุของสมเด็จพระเทพฯ แล้วพากันนิยมเรียกขานป่าพรุแห่งนี้ว่า “ป่าพรุสิรินธร”

    ป่าพรุโต๊ะแดง หรือ ป่าพรุสิรินธร มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ปัจจุบันเป็นป่าพรุขนาดใหญ่ผืนสุดท้ายที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณประโยชน์อันหลากหลายทั้งทางตรงทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อมและมนุษย์เรา
    อย่างไรก็ดีในอดีตป่าพรุโต๊ะแดงและบริเวณใกล้เคียงได้ถูกทำลายลงจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งจากการบุกรุกแผ้วถางป่าพรุ การทำการเกษตรที่ผิดวิธี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าพรุอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงการเกิดไฟป่า(ที่มีทั้งเกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์) ส่งผลให้ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสถูกทำลายกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ใช้ประโยชน์ได้เพียงส่วนน้อย
    กระทั่งในปี พ.ศ. 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินแปพระราชฐานไปยัง พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ความทราบสู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่บริเวณป่าพรุ พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริเป็นแนวทางในการฟื้นฟูป่าพรุ

    หลังจากนั้นป่าพรุโต๊ะแดง และป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสก็ได้รับการฟื้นฟูเรื่อยมา โดยในแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุนั้น ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าพรุและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ป่าพรุ เช่น การป้องกันไฟไหม้ป่าพรุ การบริหารจัดการน้ำในป่าพรุ การทำการเกษตรในพื้นที่ป่าพรุอย่างถูกวิธี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
    อ่านต่อ >>> https://mgronline.com/travel/detail/9590000110516 <<<<<

    #ป่าพุโต๊ะแดง

    พรุโต๊ะแดง” มหัศจรรย์ป่าพรุใต้ร่มพระบารมี/ปิ่น บุตรี ผู้เขียน “พรุเราต้องเก็บไว้ เพราะมีความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ต้องห้ามไม่ให้บุกรุกเข้าไป คราวนี้เราทำโครงการที่โคกใน เขาจะบุกรุกเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะจำกัดบริเวณเขา ในพรุเราก็ส่งเสริมเอาไม้พรุเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างตามข้างทางนี้สวยมากเห็นไม้ต่างๆ ไม้หลาวชะโอนก็มี” “การกำหนดขอบเขตป่าพรุ ควรกำหนดขอบเขตป่าพรุให้แน่นอน เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ อันจะทำให้สภาพแวดล้อมเสียหมด” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริไว้เมื่อ วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2535 “ป่าพรุ” เป็นป่าลักษณะพิเศษ เป็นป่าไม้ทึบไม่ผลัดใบประเภทหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้ขึ้นบน“ดินพรุ”ที่เกิดจากสะสมตัวของซากอินทรียวัตถุ ป่าพรุมีลักษณะเด่นที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นป่าดงดิบที่มีน้ำท่วมขังอยู่ตลอด สำหรับหนึ่งในป่าพรุผืนสำคัญยิ่งของเมืองไทยก็คือ “ป่าพรุโต๊ะแดง” ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 120,000 ไร่ (มีส่วนที่สมบูรณ์จริงๆประมาณ 50,000 ไร่) ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอเมือง “มาเณศ บุณยานันต์” หัวหน้าศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร เล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งไปเยือนศูนย์ฯแห่งนี้หนล่าสุดว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าผืนสำคัญของชาวนราธิวาสมาช้านาน มีทั้งตำนานเรื่องเล่าความเชื่อ เกี่ยวกับที่มาของผืนป่าแห่งนี้ ปัจจุบันแม้ชื่อจริงๆของป่าพรุแห่งนี้จะเรียกขานกันว่า “ป่าพรุโต๊ะแดง” แต่เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมายังป่าพรุแห่งนี้หลายครั้ง หลายๆคนจึงยกให้เป็นดังป่าพรุของสมเด็จพระเทพฯ แล้วพากันนิยมเรียกขานป่าพรุแห่งนี้ว่า “ป่าพรุสิรินธร” ป่าพรุโต๊ะแดง หรือ ป่าพรุสิรินธร มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ปัจจุบันเป็นป่าพรุขนาดใหญ่ผืนสุดท้ายที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณประโยชน์อันหลากหลายทั้งทางตรงทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อมและมนุษย์เรา อย่างไรก็ดีในอดีตป่าพรุโต๊ะแดงและบริเวณใกล้เคียงได้ถูกทำลายลงจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งจากการบุกรุกแผ้วถางป่าพรุ การทำการเกษตรที่ผิดวิธี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าพรุอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงการเกิดไฟป่า(ที่มีทั้งเกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์) ส่งผลให้ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสถูกทำลายกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ใช้ประโยชน์ได้เพียงส่วนน้อย กระทั่งในปี พ.ศ. 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินแปพระราชฐานไปยัง พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ความทราบสู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่บริเวณป่าพรุ พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริเป็นแนวทางในการฟื้นฟูป่าพรุ หลังจากนั้นป่าพรุโต๊ะแดง และป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสก็ได้รับการฟื้นฟูเรื่อยมา โดยในแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุนั้น ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าพรุและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ป่าพรุ เช่น การป้องกันไฟไหม้ป่าพรุ การบริหารจัดการน้ำในป่าพรุ การทำการเกษตรในพื้นที่ป่าพรุอย่างถูกวิธี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อ่านต่อ >>> https://mgronline.com/travel/detail/9590000110516 <<<<< #ป่าพุโต๊ะแดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21/10/67

    "ฉันไว้ใจเธอ" คำพูดเดียว จดจำไม่ลืมเลือน

    เรื่องเล่าของ นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน เป็นบทความจาก หนังสือ ฅ.คน ฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550

    เรื่องเกิดในปี 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ที่เชียงกลาง ในคราวนั้นเล่ากันว่ามีนายทหารเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นำตัวออกจากแนวหน้าไม่ได้ พระองค์ก็เลยเสด็จฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พร้อมสมเด็จพระราชินี นายทหารที่โดยเสด็จฯ ก็ต้องคุ้มกันกันอุตลุด ก็นำทหารที่บาดเจ็บออกมาได้

    นพ.บุญยงค์ : "ผมจำได้แม่นยำ ชื่อ พลฯ บิน มาลิกา ถูกยิงไส้ไหล และที่โคนขา เสียเลือดมาก เดิมจะส่งตัวไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎ แต่ไม่ไหวต้องมารักษาที่ รพ.น่านก่อน"
    ชะตากรรมของพลทหารที่บาดเจ็บกลางสมรภูมิ ทำให้ชีวิตของคุณหมอผูกพันกับฟ้า

    การนำพลฯ บินมารับการรักษา ทำให้ในหลวงได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบ แล้วสิ่งที่หมอและพยาบาลทำการรักษาโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ก็ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ หลังเสด็จพระราชดำเนิน ได้ให้สมุหราชองครักษ์ พล.ร.อ. ม.จ.กาฬวรรณดิศ ดิศกุล นำหนังสือจากสำนักงานสมุหราชองครักษ์ แจ้งว่าในหลวงทรงพอพระราชหฤทัยกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ รพ.น่าน และมีพระประสงค์ที่จะสนับสนุนเครื่องมือแพทย์และความต้องการอื่น

    นพ.บุญยงค์ : "เราก็กราบบังคมทูลไปว่ามีอะไรบ้างที่เราขาดแคลน ทั้งเครื่องมือแพทย์ และการขยายอาคารเพื่อรับผู้บาดเจ็บ" หลังจากนั้นในหลวงก็ทรงมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการสู้รบที่ รพ.น่าน อีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2511 นายแพทย์ผู้อำนวยการหนุ่มเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูล ถวายรายงานอย่างฉาดฉาน

    สิ่งของพระราชทาน ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ เครื่องดูดเลือดและน้ำจากปอด เครื่องรมยาสลบ เครื่องปรับอากาศ ประดิษฐานอยู่บนโต๊ะ ยังความปลาบปลื้มให้กับหมอหนุ่ม แต่ที่เหนืออื่นใด เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานสิ่งของให้แล้วก็พระราชดำรัสว่า...

    “เงินที่ขอไปนั้น ฉันนำมามอบให้แล้ว ขอให้หมอดำเนินการก่อสร้างเองนะ ไม่ต้องผ่านราชการ ฉันไว้ใจเธอ”

    นพ.บุญยงค์ : "คำว่า ฉันไว้ใจเธอ ใครได้ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร ท่านเป็นกษัตริย์ เราเป็นหมอบ้านนอก โอ้โฮ ใจเราในเวลานั้น เมื่อพระองค์ท่านรับสั่งแบบนี้ ย่อมมีผลต่อการทำงานต่าง ๆ มากมายโดยไม่อาจบิดพลิ้ว"

    นายแพทย์หนุ่มยังมีอันต้องสะดุ้งใจซ้ำเป็นคำรบสอง เมื่อทรงกำชับว่า "สร้างเสร็จแล้วให้บอกด้วยนะ จะมาเปิด"

    นพ.บุญยงค์ : "ยิ่งสะดุ้งมากขึ้นเพราะผมขอพระราชทานเงินไปสองแสนสี่ เพื่อใช้ต่อเติมอาคารไม้ให้รองรับผู้ป่วยได้อีก 20-25 คน เอาแค่พอใช้ได้ ไม่ได้คิดว่าจะทาสีด้วยซ้ำไป แต่พอพระองค์ท่านบอกว่าจะมาเปิด โอ้โฮ นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร"

    แต่ปัญหาทั้งมวลก็ลุล่วงไปได้ด้วยความช่วยเหลือของคนไข้รายหนึ่ง "คนไข้ที่เราดูแลเขามาพบ พาลูกชายมาด้วยชื่อ ทองจุล สิงหกุล เป็น ผอ. กรมโยธาฯ พอถามว่า คุณหมอมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ขอให้บอก ผมบอกเลยว่ามีแน่ครับ ผมได้เงินพระราชทานมาขยายอาคาร ต้องเขียนแปลน ตอนนี้จะทำเป็นไม้แค่พอใช้ไม่ได้แล้ว เขาก็ช่วยเหลือเรื่องแบบ หาช่างรับเหมามาทำให้อย่างดีเลย ยิ่งรู้ว่าเป็นเงินพระราชทาน ผู้รับเหมาถึงขนาดควบคุมดูแลการก่อสร้างอย่างดี"

    ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างก็ได้ขอพระราชทานนาม ได้รับพระราชทานนามอาคารใหม่ว่า "พิทักษ์ไทย" เป็นอาคารที่ใช้รองรับผู้บาดเจ็บจากการสู้รบต่อเนื่องมาอีกหลายปี
    ปีถัดมา ภายหลังอาคารใหม่สร้างเสร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จังหวัดน่านได้กราบบังคมทูลเชิญในหลวง เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในการเปิดอาคารศาลากลางจังหวัด และอาคารโรงเรียนราชานุบาล ทางจังหวัดก็ถามผมว่า จะให้กราบบังคมทูลเชิญเพื่อทรงเปิดอาคารตึกพิทักษ์ไทยด้วยไหม ผมก็เห็นว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ถึงสองแห่งแล้ว ก็บอกไปว่าคงไม่ต้องกระมัง แจ้งทางจังหวัดไปอย่างนั้น ปรากฏว่า ม.ล.ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา กรมวังผู้ใหญ่ ท่านมาเลย บอกคุณหมอ ในหลวงรับสั่งกับผมว่า...

    "แล้วตึกฉันล่ะ จะไม่ให้ฉันเปิดหรือ"

    ผมได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ เราไม่ได้เตรียมอะไรเลย ท่านก็บอกว่าไม่ต้องเตรียม หมอมีป้ายไหม... มีครับ หมอหาพรมมาผืนหนึ่ง เพราะท่านจะประทับยืนทรงพระสุหร่าย ส่วนอื่น ๆ จะจัดมาจากกรุงเทพฯ แล้วก็หาสมุดอัลบั้มเล่มหนึ่งสำหรับทรงลงพระนามปรมาภิไธย

    นพ.บุญยงค์ : "ผมก็ทำอย่างที่แนะนำ เตรียมทุกอย่างเพียงชั่วโมงเดียว ลงทุน 35 บาท ซื้อสมุด 1 เล่ม ครั้นเสร็จพิธี ยังทรงพระราชทานเงินอีก 5 หมื่นบาท เพื่อซื้อสิ่งของที่จำเป็นอื่น ๆ"

    คำของในหลวงมีความหมายกับชีวิตผมทั้งชีวิต เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบว่ามีคนที่ได้รับบาดเจ็บกลางสมรภูมิ พระองค์ท่านตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวที่จะไปพาตัวออกมาให้ได้ แน่นอนเหลือเกินว่ามันต้องยากและเสี่ยงกว่าเราที่เป็นผู้ที่ดูแลต่อ ความพยายาม ความเพียรของพระองค์ต้องมากจริง ๆ และเมื่อได้พบพระองค์ท่าน และมีพระราชดำรัสว่า ฉันไว้ใจเธอ ก็ยิ่งทวีความหมาย

    คุณหมอบุญยงค์ ใช้ชีวิตราชการที่น่านต่อเนื่องจากปี 2507 จนถึงปี 2537 เป็นนายแพทย์ที่ปฏิเสธความก้าวหน้าบนเส้นทางวิชาชีพ รวมถึงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เพื่อดูแลประชาชนจังหวัดน่าน ตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน น้อมนำพระกระแสรับสั่ง
    "ฉันไว้ใจเธอ" คำพูดเดียวที่จดจำ ไม่ลืมเลือน

    คัดลอกจาก หนังสือ ฅ.คน ฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550

    #KingBhumibol
    Cr.บทความจากไลน์

    ปล. อาจารย์มอบหนังสือให้ผมและบรรจงเขียนพร้อมลายเซ็นต์ให้ ท่านเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมายเช่นเดียวกับบทความด้านบน และ ชี้ให้เราดูรูปในหลวงบนผนังบ้านอาจารย์ ..เห็นแล้วน้ำตาซึม..ในวันที่พวกเราไปกราบอาจารย์กันครับ
    21/10/67 "ฉันไว้ใจเธอ" คำพูดเดียว จดจำไม่ลืมเลือน เรื่องเล่าของ นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน เป็นบทความจาก หนังสือ ฅ.คน ฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550 เรื่องเกิดในปี 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ที่เชียงกลาง ในคราวนั้นเล่ากันว่ามีนายทหารเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นำตัวออกจากแนวหน้าไม่ได้ พระองค์ก็เลยเสด็จฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พร้อมสมเด็จพระราชินี นายทหารที่โดยเสด็จฯ ก็ต้องคุ้มกันกันอุตลุด ก็นำทหารที่บาดเจ็บออกมาได้ นพ.บุญยงค์ : "ผมจำได้แม่นยำ ชื่อ พลฯ บิน มาลิกา ถูกยิงไส้ไหล และที่โคนขา เสียเลือดมาก เดิมจะส่งตัวไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎ แต่ไม่ไหวต้องมารักษาที่ รพ.น่านก่อน" ชะตากรรมของพลทหารที่บาดเจ็บกลางสมรภูมิ ทำให้ชีวิตของคุณหมอผูกพันกับฟ้า การนำพลฯ บินมารับการรักษา ทำให้ในหลวงได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบ แล้วสิ่งที่หมอและพยาบาลทำการรักษาโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ก็ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ หลังเสด็จพระราชดำเนิน ได้ให้สมุหราชองครักษ์ พล.ร.อ. ม.จ.กาฬวรรณดิศ ดิศกุล นำหนังสือจากสำนักงานสมุหราชองครักษ์ แจ้งว่าในหลวงทรงพอพระราชหฤทัยกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ รพ.น่าน และมีพระประสงค์ที่จะสนับสนุนเครื่องมือแพทย์และความต้องการอื่น นพ.บุญยงค์ : "เราก็กราบบังคมทูลไปว่ามีอะไรบ้างที่เราขาดแคลน ทั้งเครื่องมือแพทย์ และการขยายอาคารเพื่อรับผู้บาดเจ็บ" หลังจากนั้นในหลวงก็ทรงมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการสู้รบที่ รพ.น่าน อีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2511 นายแพทย์ผู้อำนวยการหนุ่มเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูล ถวายรายงานอย่างฉาดฉาน สิ่งของพระราชทาน ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ เครื่องดูดเลือดและน้ำจากปอด เครื่องรมยาสลบ เครื่องปรับอากาศ ประดิษฐานอยู่บนโต๊ะ ยังความปลาบปลื้มให้กับหมอหนุ่ม แต่ที่เหนืออื่นใด เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานสิ่งของให้แล้วก็พระราชดำรัสว่า... “เงินที่ขอไปนั้น ฉันนำมามอบให้แล้ว ขอให้หมอดำเนินการก่อสร้างเองนะ ไม่ต้องผ่านราชการ ฉันไว้ใจเธอ” นพ.บุญยงค์ : "คำว่า ฉันไว้ใจเธอ ใครได้ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร ท่านเป็นกษัตริย์ เราเป็นหมอบ้านนอก โอ้โฮ ใจเราในเวลานั้น เมื่อพระองค์ท่านรับสั่งแบบนี้ ย่อมมีผลต่อการทำงานต่าง ๆ มากมายโดยไม่อาจบิดพลิ้ว" นายแพทย์หนุ่มยังมีอันต้องสะดุ้งใจซ้ำเป็นคำรบสอง เมื่อทรงกำชับว่า "สร้างเสร็จแล้วให้บอกด้วยนะ จะมาเปิด" นพ.บุญยงค์ : "ยิ่งสะดุ้งมากขึ้นเพราะผมขอพระราชทานเงินไปสองแสนสี่ เพื่อใช้ต่อเติมอาคารไม้ให้รองรับผู้ป่วยได้อีก 20-25 คน เอาแค่พอใช้ได้ ไม่ได้คิดว่าจะทาสีด้วยซ้ำไป แต่พอพระองค์ท่านบอกว่าจะมาเปิด โอ้โฮ นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร" แต่ปัญหาทั้งมวลก็ลุล่วงไปได้ด้วยความช่วยเหลือของคนไข้รายหนึ่ง "คนไข้ที่เราดูแลเขามาพบ พาลูกชายมาด้วยชื่อ ทองจุล สิงหกุล เป็น ผอ. กรมโยธาฯ พอถามว่า คุณหมอมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ขอให้บอก ผมบอกเลยว่ามีแน่ครับ ผมได้เงินพระราชทานมาขยายอาคาร ต้องเขียนแปลน ตอนนี้จะทำเป็นไม้แค่พอใช้ไม่ได้แล้ว เขาก็ช่วยเหลือเรื่องแบบ หาช่างรับเหมามาทำให้อย่างดีเลย ยิ่งรู้ว่าเป็นเงินพระราชทาน ผู้รับเหมาถึงขนาดควบคุมดูแลการก่อสร้างอย่างดี" ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างก็ได้ขอพระราชทานนาม ได้รับพระราชทานนามอาคารใหม่ว่า "พิทักษ์ไทย" เป็นอาคารที่ใช้รองรับผู้บาดเจ็บจากการสู้รบต่อเนื่องมาอีกหลายปี ปีถัดมา ภายหลังอาคารใหม่สร้างเสร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จังหวัดน่านได้กราบบังคมทูลเชิญในหลวง เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในการเปิดอาคารศาลากลางจังหวัด และอาคารโรงเรียนราชานุบาล ทางจังหวัดก็ถามผมว่า จะให้กราบบังคมทูลเชิญเพื่อทรงเปิดอาคารตึกพิทักษ์ไทยด้วยไหม ผมก็เห็นว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ถึงสองแห่งแล้ว ก็บอกไปว่าคงไม่ต้องกระมัง แจ้งทางจังหวัดไปอย่างนั้น ปรากฏว่า ม.ล.ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา กรมวังผู้ใหญ่ ท่านมาเลย บอกคุณหมอ ในหลวงรับสั่งกับผมว่า... "แล้วตึกฉันล่ะ จะไม่ให้ฉันเปิดหรือ" ผมได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ เราไม่ได้เตรียมอะไรเลย ท่านก็บอกว่าไม่ต้องเตรียม หมอมีป้ายไหม... มีครับ หมอหาพรมมาผืนหนึ่ง เพราะท่านจะประทับยืนทรงพระสุหร่าย ส่วนอื่น ๆ จะจัดมาจากกรุงเทพฯ แล้วก็หาสมุดอัลบั้มเล่มหนึ่งสำหรับทรงลงพระนามปรมาภิไธย นพ.บุญยงค์ : "ผมก็ทำอย่างที่แนะนำ เตรียมทุกอย่างเพียงชั่วโมงเดียว ลงทุน 35 บาท ซื้อสมุด 1 เล่ม ครั้นเสร็จพิธี ยังทรงพระราชทานเงินอีก 5 หมื่นบาท เพื่อซื้อสิ่งของที่จำเป็นอื่น ๆ" คำของในหลวงมีความหมายกับชีวิตผมทั้งชีวิต เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบว่ามีคนที่ได้รับบาดเจ็บกลางสมรภูมิ พระองค์ท่านตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวที่จะไปพาตัวออกมาให้ได้ แน่นอนเหลือเกินว่ามันต้องยากและเสี่ยงกว่าเราที่เป็นผู้ที่ดูแลต่อ ความพยายาม ความเพียรของพระองค์ต้องมากจริง ๆ และเมื่อได้พบพระองค์ท่าน และมีพระราชดำรัสว่า ฉันไว้ใจเธอ ก็ยิ่งทวีความหมาย คุณหมอบุญยงค์ ใช้ชีวิตราชการที่น่านต่อเนื่องจากปี 2507 จนถึงปี 2537 เป็นนายแพทย์ที่ปฏิเสธความก้าวหน้าบนเส้นทางวิชาชีพ รวมถึงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เพื่อดูแลประชาชนจังหวัดน่าน ตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน น้อมนำพระกระแสรับสั่ง "ฉันไว้ใจเธอ" คำพูดเดียวที่จดจำ ไม่ลืมเลือน คัดลอกจาก หนังสือ ฅ.คน ฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550 #KingBhumibol Cr.บทความจากไลน์ ปล. อาจารย์มอบหนังสือให้ผมและบรรจงเขียนพร้อมลายเซ็นต์ให้ ท่านเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมายเช่นเดียวกับบทความด้านบน และ ชี้ให้เราดูรูปในหลวงบนผนังบ้านอาจารย์ ..เห็นแล้วน้ำตาซึม..ในวันที่พวกเราไปกราบอาจารย์กันครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชวนฟังเรื่องเล่าไกจิน ผลงานของเจมส์ คลาเวลล์ ผู้แต่งโชกุน
    https://youtu.be/xUtf1MGNWUE?si=otY2hklrPXglDLDE
    ชวนฟังเรื่องเล่าไกจิน ผลงานของเจมส์ คลาเวลล์ ผู้แต่งโชกุน https://youtu.be/xUtf1MGNWUE?si=otY2hklrPXglDLDE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าสู่กันฟัง..

    ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.?

    มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่

    และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย

    เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅
    ----------
    ส่วย..

    อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ

    จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท

    เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน

    จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน

    วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon

    #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ..

    บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ

    มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50

    #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท

    1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม

    รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ

    เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ

    ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส

    อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา

    ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม)

    ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก

    ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ

    ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ

    ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง

    อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.?

    คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว

    เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.?

    เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.?

    เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์

    ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

    เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท

    ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้

    เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    เล่าสู่กันฟัง.. ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.? มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่ และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅 ---------- ส่วย.. อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ.. บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50 #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท 1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม) ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.? คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.? เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.? เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์ ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้ เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง

    เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร

    ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม
    จึงมีเหยื่อมากมายนัก
    ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

    🌻

    นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น

    เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้

    ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย

    สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้
    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด
    ของ storyteller อย่างชัดๆ

    🌻

    “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา

    บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“

    เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^

    🌻

    เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ

    เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"

    ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว

    ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
    ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
    เหมือนกบหูหนวก

    🌻

    คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา

    แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”

    “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“

    คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์
    ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี
    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ
    หรือชวนเอ๊ะเลย

    ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู

    ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง

    อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้

    ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้

    ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป

    ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง

    ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด
    ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้
    เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

    🌻

    เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย

    เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้

    สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง

    เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )

    พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง

    ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

    แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน

    ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม
    และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

    🌻

    นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin

    One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น

    รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
    เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่

    บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่

    วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

    🌻

    ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง

    เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน

    นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ

    ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้

    One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI

    ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้

    🌻

    จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย

    คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

    🌻

    ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย

    เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

    🌻

    "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"

    เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

    🌻

    "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"

    เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

    🌻

    นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด

    นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

    บางครั้งนิทานเหล่านี้
    มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
    ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย
    อาจใช้เพื่อกดดัน
    ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร

    การยอมรับความจริง
    เลิกทนและถอยออกมา
    ก็อาจเป็นการตัดสินใจ
    ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

    🌻

    “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”

    ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)

    ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”

    ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล

    ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ

    ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”

    ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง

    เพื่อรักษาสมดุล
    ระหว่างอารมณ์และเหตุผล
    ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
    มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

    🌻

    จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง

    เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

    นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์

    เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด

    Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ

    ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว

    เรื่องเล่าเหล่านี้
    มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน
    และความหวังของผู้คน
    ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
    ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

    🌻

    นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

    ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ
    คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
    และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง
    เพื่อแยกแยะให้ออก
    ระหว่างการใช้ Storytelling
    ในทางที่สร้างสรรค์
    หรือการใช้เพื่อหลอกลวง

    🌻

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม จึงมีเหยื่อมากมายนัก ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้ 🌻 นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้ ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้ มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด ของ storyteller อย่างชัดๆ 🌻 “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“ เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^ 🌻 เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!" ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย เหมือนกบหูหนวก 🌻 คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต” “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“ คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์ ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้ ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้ ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน 🌻 เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้ สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ ) พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี 🌻 นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน 🌻 ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้ One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้ 🌻 จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency 🌻 ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา 🌻 "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก" เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น 🌻 "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน" เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา" 🌻 นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดัน ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน 🌻 “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)” ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี) ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์” ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น” ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​ 🌻 จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์ เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว เรื่องเล่าเหล่านี้ มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน และความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง 🌻 นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง เพื่อแยกแยะให้ออก ระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์ หรือการใช้เพื่อหลอกลวง 🌻 ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7 #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 517 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ..

    —————————

    🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก

    #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment

    —————————

    🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ"
    • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้

    🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย
    • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ

    🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่"
    • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ

    —————————

    🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง
    • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ

    🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา
    • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์

    🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal)
    • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์

    —————————

    🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ"
    • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ

    🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด
    • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

    🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง
    • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ

    —————————

    🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง
    • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง
    • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด"

    🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง
    • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ

    🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย
    • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ที่มา: @matt_gray_

    #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ.. ————————— 🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment ————————— 🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ" • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้ 🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ 🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่" • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ ————————— 🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ 🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์ 🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal) • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ ————————— 🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ" • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ 🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ ————————— 🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง 🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด" 🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ 🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่มา: @matt_gray_ #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • มารู้จักพระสุตตันตปิฎกกัน

    เนื้อหาโดยสังเขปของพระสุตตันตปิฎก
    พระสุตตันตปิฎก คือประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาหรือธรรมบรรยายต่าง ๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะสมกับบุคคล เหตุการณ์ และโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในรูปแบบหรือองค์ต่าง ๆ (มี ๙ องค์ ที่เรียกว่า “นวังคสัตถุศาสน์” เช่น สุตตะ เคยยะ) รวมถึงพระธรรมเทศนาหรือธรรมบรรยายของพระสาวกพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์ในบริบทต่าง ๆ ด้วย
    พระสุตตันตปิฎกแบ่งออกเป็น ๕ หมวด เรียกว่า นิกาย คือ (๑) ทีฆนิกาย (หมวดยาว) (๒) มัชฌิมนิกาย (หมวดปานกลาง) (๓) สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหา) (๔) อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์) (๕) ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย) การจัดแบ่งพระสูตรเป็น ๕ นิกายนี้ ถ้าพิจารณาเนื้อหาโดยรวมของแต่ละนิกาย จะพบว่าท่านอาศัยหลักเกณฑ์ดังนี้
    ๑. แบ่งตามความยาวของพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรที่มีความยาวมากไว้เป็นหมวดหนึ่ง เรียกว่า ทีฆนิกาย รวบรวมพระสูตรที่มีความยาวปานกลางไว้เป็นหมวดหนึ่ง เรียกว่า มัชฌิมนิกาย ส่วนพระสูตรที่มีขนาดความยาวน้อยกว่านั้น แยกไปจัดแบ่งไว้ในหมวดอื่นและด้วยวิธีอื่นดังจะกล่าวในข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔ ตามลำดับ
    ๒. แบ่งตามเนื้อหาสาระของพระสูตร คือประมวลพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระประเภทเดียวกัน จัดไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหาสาระ) เช่นประมวลเรื่องที่เกี่ยวกับพระมหากัสสปเถระเข้าไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า กัสสปสังยุต
    ๓. แบ่งตามลำดับจำนวนองค์ธรรมหรือหัวข้อธรรม คือรวบรวมพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมเท่ากันเข้าไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์) และมีชื่อกำกับหมวดย่อยว่า นิบาต มี ๑๑ นิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรม ๑ ข้อ เรียกว่า เอกกนิบาต ที่มี ๒ ข้อ เรียกว่า ทุกนิบาต ที่มี ๓ ข้อ เรียกว่าติกนิบาต ที่มี ๔ ข้อ เรียกว่า จตุกกนิบาต ที่มี ๕ ข้อ เรียกว่า ปัญจกนิบาต ที่มี ๖ ข้อ เรียกว่า ฉักกนิบาต ที่มี ๗ ข้อ เรียกว่า สัตตกนิบาต ที่มี ๘ ข้อ เรียกว่า อัฏฐกนิบาต ที่มี ๙ ข้อ เรียกว่า นวกนิบาต ที่มี ๑๐ ข้อ เรียกว่า ทสกนิบาต และที่มี ๑๑ ข้อ เรียกว่า เอกาทสกนิบาต
    ๔.จัดแยกพระสูตรที่ไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง ๓ ข้างต้นไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย) แบ่งตามหัวข้อใหญ่เป็น ๑๕ เรื่อง คือ (๑) ขุททกปาฐะ (๒) ธัมมปทะ (ธรรมบท) (๓) อุทาน (๔) อิติวุตตกะ (๕) สุตตนิบาต (๖) วิมานวัตถุ (๗) เปตวัตถุ (๘) เถรคาถา (๙) เถรีคาถา (๑๐) ชาตกะ (๑๑) นิทเทส (มหานิทเทสและจูฬนิทเทส) (๑๒) ปฏิสัมภิทามรรค (๑๓) อปทาน (๑๔) พุทธวังสะ (พุทธวงศ์) (๑๕) จริยาปิฎก นอกจากนี้ท่านยังจัดพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกเข้าไว้ในขุททกนิกายนี้ด้วย
    ๑. เนื้อหาโดยสังเขปของทีฆนิกาย
    ทีฆนิกาย มีพระสูตรขนาดยาวจำนวน ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ วรรค (ตอน) คือ (๑) สีลขันธวรรค (๒) มหาวรรค (๓) ปาฏิกวรรค
    สีลขันธวรรค ว่าด้วยศีล และทิฏฐิ (ลัทธิ) มีจำนวน ๑๓ สูตร
    มหาวรรค ว่าด้วยเรื่องสำคัญมาก เช่น เรื่องพระประวัติของพระพุทธเจ้าในอดีต ๖ พระองค์ มีพระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้น และพระประวัติของพระองค์เอง เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องมหาปรินิพพาน มีจำนวน ๑๐ สูตร
    ปาฏิกวรรค ว่าด้วยเรื่องนักบวชนอกพระพุทธศาสนา มีนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เป็นต้น เรื่องจักรวรรดิวัตร เรื่องมูลกำเนิดของโลก เรื่องมหาปุริสลักษณะ (ลักษณะมหาบุรุษ) เรื่องการสังคายนาพระธรรมวินัย เป็นต้น มีจำนวน ๑๑ สูตร
    ๒. เนื้อหาโดยสังเขปของมัชฌิมนิกาย
    มัชฌิมนิกาย มีพระสูตรขนาดปานกลาง จำนวน ๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ (หมวดละ ๕๐ สูตร) คือ (๑) มูลปัณณาสก์ (ปัณณาสก์ต้น) (๒) มัชฌิมปัณณาสก์ (ปัณณาสก์กลาง) (๓) อุปริปัณณาสก์ (ปัณณาสก์ปลาย) แต่ละปัณณาสก์ แบ่งย่อยเป็นวรรค (หมวดหรือตอน) ได้ ๕ วรรค วรรคละ ๑๐ สูตร ยกเว้นวิภังควรรคของอุปริปัณณาสก์ ซึ่งท่านเพิ่มให้เป็น ๑๒ สูตร ดังนี้
    มูลปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) มูลปริยายวรรค ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมซึ่งปรากฏในมูลปริยายสูตร เป็นต้น (๒) สีหนาทวรรค ว่าด้วยการบันลือสีหนาท ดังปรากฏในจูฬสีหนาทสูตร มหาสีหนาทสูตร เป็นต้น (๓) โอปัมมวรรค ว่าด้วยข้ออุปมา เช่นอุปมาด้วยเลื่อย อุปมาด้วยอรสรพิษ ดังปรากฏในกกจูปมสูตร อลคัททูปมสูตร เป็นต้น (๔) มหายมกวรรค ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ หมวดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในโคสิงคสาลวัน ๒ เหตุการณ์ ดังปรากฏในจูฬโคสิงคสูตร และมหาโคสิงคสูตร เป็นต้น (๕) จูฬยมกวรรค ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ หมวดเล็ก เช่น การสันทนาธรรมที่ทำให้เกิดปัญญาของบุคคล ๒ คู่ ดังปรากฏในมหาเวทัลลสูตร จูฬเวทัลลสูตร
    มัชฌิมปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) คหปติวรรค ว่าด้วยคหบดี (๒) ภิกขุวรรค ว่าด้วยภิกษุ (๓) ปริพพาชกวรรค ว่าด้วยปริพาชก (๔) ราชวรรค ว่าด้วยพระราชา (๕) พราหมณวรรค ว่าด้วยพราหมณ์อุปริปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) เทวทหวรรค ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่เทวทหนิคม เป็นต้น ดังปรากฏในเทวทหสูตร (๒) อนุปทวรรค ว่าด้วยธรรมตามลำดับบท เป็นต้น ดังปรากฏในอนุปทสูตร (๓) สุญญตวรรค ว่าด้วยสุญญตา เป็นต้น ดังปรากฏในจูฬสุญญตสูตร และมหาสุญญตสูตร (๔) วิภังควรรค ว่าด้วยการจำแนกธรรม (๕) สฬายตนวรรค ว่าด้วยอายตนะ ๖
    ๓. เนื้อหาโดยสังเขปของสังยุตตนิกาย
    สังยุตตนิกาย มีพระสูตรที่ปรากฏจำนวน ๒,๗๕๒ สูตร (อรรถกถาพระวินัยว่ามี ๗,๗๖๒ สูตร : วิ.อ. ๑/๑๗) แบ่งเป็น ๕ กลุ่ม ตามเนื้อหาสาระหรือรูปแบบที่เข้ากันได้กลุ่มละ ๑ วรรค คือ
    ๑. สคาถวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีรูปแบบเป็นคาถาประพันธ์ มีจำนวน ๒๗๑ สูตร จัดเป็นสังยุต (ประมวลเนื้อหาเป็นเรื่อง ๆ) ได้ ๑๑ สังยุต
    ๒. นิทานวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับต้นเหตุแห่งการเกิดและการดับแห่งทุกข์ มีจำนวน ๓๓๗ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๐ สังยุต
    ๓. ขันธวารวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕ มีจำนวน ๗๑๖ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๓ สังยุต
    ๔. สฬายตนวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับอายตนะ ๖ มีจำนวน ๔๒๐ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๐ สังยุต
    ๕. มหาวารวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับธรรมหมวดใหญ่ ได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ และหมวดธรรมที่เกี่ยวข้อง มีจำนวน ๑,๐๐๘ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๒ สังยุต
    ๔. เนื้อหาโดยสังเขปของอังคุตตรนิกาย
    อังคุตตรนิกายมีพระสูตรตามที่ปรากฏจำนวน ๗,๙๐๒ สูตร (อรรถกถาพระวินัยว่ามี ๙,๕๕๗ สูตร : วิ.อ. ๑/๒๕) แบ่งเป็น ๑๑ นิบาต (หมวดย่อย) ดังนี้
    ๑. เอกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑ ประการ มี ๖๑๙ สูตร แบ่งเป็น ๒๐ วรรค
    ๒. ทุกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๒ ประการ มี ๗๕๐ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ ๑๕ วรรค กับ ๔ หัวข้อเปยยาล (หมวดธรรมที่แสดงไว้โดยย่อ)
    ๓. ติกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๓ ประการ มี ๓๕๓ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ ๑๖ วรรค กับ ๒ หัวข้อเปยยาล
    ๔. จตุกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๔ ประการ มี ๗๘๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๗ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๕. ปัญจกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๕ ประการ มี ๑,๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๖ วรรค กับ ๓ หัวข้อเปยยาล
    ๖. ฉักกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๖ ประการ มี ๖๔๙ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๑๒ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๗. สัตตกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๗ ประการ มี ๑,๑๓๒ สูตร แบ่งเป็น ๑ ปัณณาสก์ ๕ วรรค และอีก ๕ วรรค (ไม่จัดเป็นปัณณาสก์) กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๘. อักฐกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๘ ประการ มี ๖๒๖ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๑๐ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๙. นวกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๙ ประการ มี ๔๓๒ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๙ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๑๐. ทสกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑๐ ประการ มี ๗๔๖ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๒ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๑๑. เอกาทสกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑๑ ประการ มี ๖๗๑ สูตร แบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล
    ๕. เนื้อหาโดยสังเขปของขุททกนิกาย
    ขุททกนิกายมีหัวข้อธรรมจำนวน ๑๕ เรื่อง ๑๕ คัมภีร์ แต่ละคัมภีร์มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
    ๑. ขุททกปาฐะ ว่าด้วยบทสวดสั้น ๆ จำนวน ๙ บท ๙ สูตร เช่น สรณคมน์ มงคลสูตร รัตนสูตร
    ๒. ธัมมปทะ (ธรรมบท) ว่าด้วยธรรมภาษิตสั้น ๆ จำนวน ๔๒๓ บท ๔๒๗ คาถา ๓๐๕ เรื่อง แบ่งเป็นวรรคได้ ๒๖ วรรค
    ๓. อุทาน ว่าด้วยพระพุทธพจน์ที่ทรงเปล่งออกมาด้วยกำลังปีติโสมนัส มี ๘๐ สูตร ๙๕ คาถา แบ่งเป็นวรรคได้ ๘ วรรค
    ๔. อิติวุตตกะ ว่าด้วยพระพุทธพจน์ที่ยกมาอ้างอิง จำนวน ๑๑๒ สูตร แบ่งเป็นนิบาตได้ ๔ นิบาต ดังนี้
    ๔.๑ เอกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑ ประการ มี ๒๗ สูตร แบ่งเป็น ๓ วรรค
    ๔.๒ ทุกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๒ ประการ มี ๑๒ สูตร ไม่แบ่งเป็นวรรค
    ๔.๓ ติกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๓ ประการ มี ๕๐ สูตร แบ่งเป็น ๕ วรรค
    ๕. สุตตนิบาต ว่าด้วยพระสูตรที่มีเนื้อหาเป็นประเภทร้อยกรอง (คาถา) และบางส่วนเป็นประเภทร้อยกรองผสมร้อยแก้ว (เคยยะ) มี ๗๐ สูตร ๑,๑๕๖ คาถา แบ่งเป็นวรรคได้ ๕ วรรค
    ๖. วิมานวัตถุ ว่าด้วยเรื่องหรือประวัติของผู้เกิดในวิมาน คือเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลาย มี ๘๕ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ อิตถีวิมาน (วิมานของเทพธิดา) และปุริสวิมาน (วิมานของเทพบุตร) อิตถีวิมานแบ่งเป็นวรรคได้ ๔ วรรค ปุริสวิมานแบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค
    ๗. เปตวัตถุ ว่าด้วยเรื่องหรือประวัติของเปรต มี ๕๑ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ เปตวัตถุ (เรื่องของเปรตผู้ชาย) และเปติวัตถุ (เรื่องของเปรตผู้หญิง) ทั้ง ๒ ประเภทแบ่งเป็นวรรคได้ ๔ วรรค โดยไม่ได้แยกออกจากกัน
    ๘. เถรคาถา ว่าด้วยคาถาหรือคำภาษิตของพระเถระจำนวน ๒๖๔ รูป ๒๖๔ เรื่อง ๑,๓๖๐ คาถา แบ่งเป็นนิบาตได้ ๒๑ นิบาต จัดเรียงตามลำดับนิบาตที่มีคาถาน้อยไปหานิบาตที่มีคาถามาก
    ๙. เถรีคาถา ว่าด้วยคาถาหรือคำภาษิตของพระเถรีจำนวน ๗๓ รูป ๗๓ เรื่อง ๕๒๖ คาถา แบ่งเป็นนิบาตได้ ๑๖ นิบาต
    ๑๐. ชาตกะ (ชาดก) ว่าด้วยพระประวัติในอดีตของพระผู้มีพระภาคในรูปแบบของคาถาประพันธ์ล้วน มี ๕๔๗ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาค ๑ มี ๕๒๕ เรื่อง แบ่งเป็นนิบาตได้ ๑๗ นิบาต ภาค ๒ มี ๒๒ เรื่อง แบ่งเป็นนิบาตได้ ๕ นิบาต (นับต่อจากนิบาตที่ ๑๗ ในภาค ๑ เป็นนิบาตที่ ๑๘ - ๒๒)
    ๑๑. นิทเทส ว่าด้วยการอธิบายขยายความพระพุทธวจนะย่อในรูปคาถาให้มีความหมายกว้างขวางดุจมหาสมุทรและมหาปฐพี แบ่งออกเป็น ๒ คัมภีร์ คือ มหานิทเทส (นิทเทสใหญ่) และจูฬนิทเทส (นิทเทสน้อย) เป็นผลงานของท่านพระสารีบุตร มหานิทเทสอธิบายพระพุทธวจนะในพระสูตร ๑๖ สูตร ที่ปรากฏในอัฏฐกวรรค (หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยการไม่ติดอยู่ในกาม) แห่งสุตตนิบาต (คัมภีร์ที่ ๕ ของขุททกนิกาย) มีกามสูตร เป็นต้น ส่วนจูฬนิทเทสอธิบายปัญหาของมาณพ (ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี) ๑๖ คน ที่ปรากฏในปารายนวรรคและขัคควิสาณสูตร ในอุรควรรค แห่งสุตตนิบาตเช่นเดียวกัน
    ๑๒. ปฏิสัมภิทามรรค ว่าด้วยการอธิบายขยายความพระพุทธวจนะที่เกี่ยวกับศีล สมาธิ ปัญญา อย่างกว้างขวางยิ่ง เพื่อให้เกิดความรู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ คือ (๑) อรรถปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในอรรถ) (๒) ธรรมปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในธรรม) (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในนิรุกติหรือภาษา) (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในปฏิภาณ) มี ๓๐ เรื่อง เรียกว่า กถา แบ่งเป็น ๓ วรรค เป็นผลงานของท่านพระสารีบุตร
    ๑๓. อปทาน ว่าด้วยอัตชีวประวัติของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระเถระและพระเถรี รวม ๖๔๓ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาค ๑ ประกอบด้วยพุทธาปทาน ๑ เรื่อง ปัจเจกพุทธาปทาน ๔๑ เรื่อง และเถราปทาน (ตอนต้น) ๔๑๐ เรื่อง ภาค ๒ ประกอบด้วยเถราปทาน (ตอนปลาย) ๑๕๑ เรื่อง และเถริยาปทาน ๔๐ เรื่อง
    ๑๔. พุทธวงศ์ ว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระทีปังกรพุทธเจ้าจนถึงพระกัสสปพุทธเจ้า และพระประวัติของพระพุทธเจ้าของเรา คือพระโคตมพุทธเจ้า ทรงเน้นว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์นี้
    ๑๕. จริยาปิฎก ว่าด้วยพุทธจริยาสั้น ๆ ที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติของพระองค์ มี ๓๕ เรื่อง ใน ๓๕ ชาติ แบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค

    มารู้จักพระสุตตันตปิฎกกัน เนื้อหาโดยสังเขปของพระสุตตันตปิฎก พระสุตตันตปิฎก คือประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาหรือธรรมบรรยายต่าง ๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะสมกับบุคคล เหตุการณ์ และโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในรูปแบบหรือองค์ต่าง ๆ (มี ๙ องค์ ที่เรียกว่า “นวังคสัตถุศาสน์” เช่น สุตตะ เคยยะ) รวมถึงพระธรรมเทศนาหรือธรรมบรรยายของพระสาวกพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์ในบริบทต่าง ๆ ด้วย พระสุตตันตปิฎกแบ่งออกเป็น ๕ หมวด เรียกว่า นิกาย คือ (๑) ทีฆนิกาย (หมวดยาว) (๒) มัชฌิมนิกาย (หมวดปานกลาง) (๓) สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหา) (๔) อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์) (๕) ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย) การจัดแบ่งพระสูตรเป็น ๕ นิกายนี้ ถ้าพิจารณาเนื้อหาโดยรวมของแต่ละนิกาย จะพบว่าท่านอาศัยหลักเกณฑ์ดังนี้ ๑. แบ่งตามความยาวของพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรที่มีความยาวมากไว้เป็นหมวดหนึ่ง เรียกว่า ทีฆนิกาย รวบรวมพระสูตรที่มีความยาวปานกลางไว้เป็นหมวดหนึ่ง เรียกว่า มัชฌิมนิกาย ส่วนพระสูตรที่มีขนาดความยาวน้อยกว่านั้น แยกไปจัดแบ่งไว้ในหมวดอื่นและด้วยวิธีอื่นดังจะกล่าวในข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๔ ตามลำดับ ๒. แบ่งตามเนื้อหาสาระของพระสูตร คือประมวลพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระประเภทเดียวกัน จัดไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหาสาระ) เช่นประมวลเรื่องที่เกี่ยวกับพระมหากัสสปเถระเข้าไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า กัสสปสังยุต ๓. แบ่งตามลำดับจำนวนองค์ธรรมหรือหัวข้อธรรม คือรวบรวมพระสูตรที่มีหัวข้อธรรมเท่ากันเข้าไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์) และมีชื่อกำกับหมวดย่อยว่า นิบาต มี ๑๑ นิบาต คือหมวดพระสูตรที่มีหัวข้อธรรม ๑ ข้อ เรียกว่า เอกกนิบาต ที่มี ๒ ข้อ เรียกว่า ทุกนิบาต ที่มี ๓ ข้อ เรียกว่าติกนิบาต ที่มี ๔ ข้อ เรียกว่า จตุกกนิบาต ที่มี ๕ ข้อ เรียกว่า ปัญจกนิบาต ที่มี ๖ ข้อ เรียกว่า ฉักกนิบาต ที่มี ๗ ข้อ เรียกว่า สัตตกนิบาต ที่มี ๘ ข้อ เรียกว่า อัฏฐกนิบาต ที่มี ๙ ข้อ เรียกว่า นวกนิบาต ที่มี ๑๐ ข้อ เรียกว่า ทสกนิบาต และที่มี ๑๑ ข้อ เรียกว่า เอกาทสกนิบาต ๔.จัดแยกพระสูตรที่ไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง ๓ ข้างต้นไว้เป็นหมวดเดียวกัน เรียกว่า ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย) แบ่งตามหัวข้อใหญ่เป็น ๑๕ เรื่อง คือ (๑) ขุททกปาฐะ (๒) ธัมมปทะ (ธรรมบท) (๓) อุทาน (๔) อิติวุตตกะ (๕) สุตตนิบาต (๖) วิมานวัตถุ (๗) เปตวัตถุ (๘) เถรคาถา (๙) เถรีคาถา (๑๐) ชาตกะ (๑๑) นิทเทส (มหานิทเทสและจูฬนิทเทส) (๑๒) ปฏิสัมภิทามรรค (๑๓) อปทาน (๑๔) พุทธวังสะ (พุทธวงศ์) (๑๕) จริยาปิฎก นอกจากนี้ท่านยังจัดพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกเข้าไว้ในขุททกนิกายนี้ด้วย ๑. เนื้อหาโดยสังเขปของทีฆนิกาย ทีฆนิกาย มีพระสูตรขนาดยาวจำนวน ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ วรรค (ตอน) คือ (๑) สีลขันธวรรค (๒) มหาวรรค (๓) ปาฏิกวรรค สีลขันธวรรค ว่าด้วยศีล และทิฏฐิ (ลัทธิ) มีจำนวน ๑๓ สูตร มหาวรรค ว่าด้วยเรื่องสำคัญมาก เช่น เรื่องพระประวัติของพระพุทธเจ้าในอดีต ๖ พระองค์ มีพระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้น และพระประวัติของพระองค์เอง เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องมหาปรินิพพาน มีจำนวน ๑๐ สูตร ปาฏิกวรรค ว่าด้วยเรื่องนักบวชนอกพระพุทธศาสนา มีนักบวชเปลือยชื่อปาฏิกบุตร เป็นต้น เรื่องจักรวรรดิวัตร เรื่องมูลกำเนิดของโลก เรื่องมหาปุริสลักษณะ (ลักษณะมหาบุรุษ) เรื่องการสังคายนาพระธรรมวินัย เป็นต้น มีจำนวน ๑๑ สูตร ๒. เนื้อหาโดยสังเขปของมัชฌิมนิกาย มัชฌิมนิกาย มีพระสูตรขนาดปานกลาง จำนวน ๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ (หมวดละ ๕๐ สูตร) คือ (๑) มูลปัณณาสก์ (ปัณณาสก์ต้น) (๒) มัชฌิมปัณณาสก์ (ปัณณาสก์กลาง) (๓) อุปริปัณณาสก์ (ปัณณาสก์ปลาย) แต่ละปัณณาสก์ แบ่งย่อยเป็นวรรค (หมวดหรือตอน) ได้ ๕ วรรค วรรคละ ๑๐ สูตร ยกเว้นวิภังควรรคของอุปริปัณณาสก์ ซึ่งท่านเพิ่มให้เป็น ๑๒ สูตร ดังนี้ มูลปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) มูลปริยายวรรค ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมซึ่งปรากฏในมูลปริยายสูตร เป็นต้น (๒) สีหนาทวรรค ว่าด้วยการบันลือสีหนาท ดังปรากฏในจูฬสีหนาทสูตร มหาสีหนาทสูตร เป็นต้น (๓) โอปัมมวรรค ว่าด้วยข้ออุปมา เช่นอุปมาด้วยเลื่อย อุปมาด้วยอรสรพิษ ดังปรากฏในกกจูปมสูตร อลคัททูปมสูตร เป็นต้น (๔) มหายมกวรรค ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ หมวดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในโคสิงคสาลวัน ๒ เหตุการณ์ ดังปรากฏในจูฬโคสิงคสูตร และมหาโคสิงคสูตร เป็นต้น (๕) จูฬยมกวรรค ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ หมวดเล็ก เช่น การสันทนาธรรมที่ทำให้เกิดปัญญาของบุคคล ๒ คู่ ดังปรากฏในมหาเวทัลลสูตร จูฬเวทัลลสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) คหปติวรรค ว่าด้วยคหบดี (๒) ภิกขุวรรค ว่าด้วยภิกษุ (๓) ปริพพาชกวรรค ว่าด้วยปริพาชก (๔) ราชวรรค ว่าด้วยพระราชา (๕) พราหมณวรรค ว่าด้วยพราหมณ์อุปริปัณณาสก์ มี ๕ วรรค คือ (๑) เทวทหวรรค ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่เทวทหนิคม เป็นต้น ดังปรากฏในเทวทหสูตร (๒) อนุปทวรรค ว่าด้วยธรรมตามลำดับบท เป็นต้น ดังปรากฏในอนุปทสูตร (๓) สุญญตวรรค ว่าด้วยสุญญตา เป็นต้น ดังปรากฏในจูฬสุญญตสูตร และมหาสุญญตสูตร (๔) วิภังควรรค ว่าด้วยการจำแนกธรรม (๕) สฬายตนวรรค ว่าด้วยอายตนะ ๖ ๓. เนื้อหาโดยสังเขปของสังยุตตนิกาย สังยุตตนิกาย มีพระสูตรที่ปรากฏจำนวน ๒,๗๕๒ สูตร (อรรถกถาพระวินัยว่ามี ๗,๗๖๒ สูตร : วิ.อ. ๑/๑๗) แบ่งเป็น ๕ กลุ่ม ตามเนื้อหาสาระหรือรูปแบบที่เข้ากันได้กลุ่มละ ๑ วรรค คือ ๑. สคาถวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีรูปแบบเป็นคาถาประพันธ์ มีจำนวน ๒๗๑ สูตร จัดเป็นสังยุต (ประมวลเนื้อหาเป็นเรื่อง ๆ) ได้ ๑๑ สังยุต ๒. นิทานวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับต้นเหตุแห่งการเกิดและการดับแห่งทุกข์ มีจำนวน ๓๓๗ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๐ สังยุต ๓. ขันธวารวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕ มีจำนวน ๗๑๖ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๓ สังยุต ๔. สฬายตนวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับอายตนะ ๖ มีจำนวน ๔๒๐ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๐ สังยุต ๕. มหาวารวรรค คือกลุ่มพระสูตรที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับธรรมหมวดใหญ่ ได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ และหมวดธรรมที่เกี่ยวข้อง มีจำนวน ๑,๐๐๘ สูตร จัดเป็นสังยุตได้ ๑๒ สังยุต ๔. เนื้อหาโดยสังเขปของอังคุตตรนิกาย อังคุตตรนิกายมีพระสูตรตามที่ปรากฏจำนวน ๗,๙๐๒ สูตร (อรรถกถาพระวินัยว่ามี ๙,๕๕๗ สูตร : วิ.อ. ๑/๒๕) แบ่งเป็น ๑๑ นิบาต (หมวดย่อย) ดังนี้ ๑. เอกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑ ประการ มี ๖๑๙ สูตร แบ่งเป็น ๒๐ วรรค ๒. ทุกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๒ ประการ มี ๗๕๐ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ ๑๕ วรรค กับ ๔ หัวข้อเปยยาล (หมวดธรรมที่แสดงไว้โดยย่อ) ๓. ติกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๓ ประการ มี ๓๕๓ สูตร แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ ๑๖ วรรค กับ ๒ หัวข้อเปยยาล ๔. จตุกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๔ ประการ มี ๗๘๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๗ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๕. ปัญจกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๕ ประการ มี ๑,๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๖ วรรค กับ ๓ หัวข้อเปยยาล ๖. ฉักกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๖ ประการ มี ๖๔๙ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๑๒ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๗. สัตตกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๗ ประการ มี ๑,๑๓๒ สูตร แบ่งเป็น ๑ ปัณณาสก์ ๕ วรรค และอีก ๕ วรรค (ไม่จัดเป็นปัณณาสก์) กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๘. อักฐกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๘ ประการ มี ๖๒๖ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๑๐ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๙. นวกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๙ ประการ มี ๔๓๒ สูตร แบ่งเป็น ๒ ปัณณาสก์ ๙ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๑๐. ทสกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑๐ ประการ มี ๗๔๖ สูตร แบ่งเป็น ๕ ปัณณาสก์ ๒๒ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๑๑. เอกาทสกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑๑ ประการ มี ๖๗๑ สูตร แบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค กับ ๑ หัวข้อเปยยาล ๕. เนื้อหาโดยสังเขปของขุททกนิกาย ขุททกนิกายมีหัวข้อธรรมจำนวน ๑๕ เรื่อง ๑๕ คัมภีร์ แต่ละคัมภีร์มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้ ๑. ขุททกปาฐะ ว่าด้วยบทสวดสั้น ๆ จำนวน ๙ บท ๙ สูตร เช่น สรณคมน์ มงคลสูตร รัตนสูตร ๒. ธัมมปทะ (ธรรมบท) ว่าด้วยธรรมภาษิตสั้น ๆ จำนวน ๔๒๓ บท ๔๒๗ คาถา ๓๐๕ เรื่อง แบ่งเป็นวรรคได้ ๒๖ วรรค ๓. อุทาน ว่าด้วยพระพุทธพจน์ที่ทรงเปล่งออกมาด้วยกำลังปีติโสมนัส มี ๘๐ สูตร ๙๕ คาถา แบ่งเป็นวรรคได้ ๘ วรรค ๔. อิติวุตตกะ ว่าด้วยพระพุทธพจน์ที่ยกมาอ้างอิง จำนวน ๑๑๒ สูตร แบ่งเป็นนิบาตได้ ๔ นิบาต ดังนี้ ๔.๑ เอกกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๑ ประการ มี ๒๗ สูตร แบ่งเป็น ๓ วรรค ๔.๒ ทุกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๒ ประการ มี ๑๒ สูตร ไม่แบ่งเป็นวรรค ๔.๓ ติกนิบาต หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยหัวข้อธรรม สูตรละ ๓ ประการ มี ๕๐ สูตร แบ่งเป็น ๕ วรรค ๕. สุตตนิบาต ว่าด้วยพระสูตรที่มีเนื้อหาเป็นประเภทร้อยกรอง (คาถา) และบางส่วนเป็นประเภทร้อยกรองผสมร้อยแก้ว (เคยยะ) มี ๗๐ สูตร ๑,๑๕๖ คาถา แบ่งเป็นวรรคได้ ๕ วรรค ๖. วิมานวัตถุ ว่าด้วยเรื่องหรือประวัติของผู้เกิดในวิมาน คือเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลาย มี ๘๕ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ อิตถีวิมาน (วิมานของเทพธิดา) และปุริสวิมาน (วิมานของเทพบุตร) อิตถีวิมานแบ่งเป็นวรรคได้ ๔ วรรค ปุริสวิมานแบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค ๗. เปตวัตถุ ว่าด้วยเรื่องหรือประวัติของเปรต มี ๕๑ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ เปตวัตถุ (เรื่องของเปรตผู้ชาย) และเปติวัตถุ (เรื่องของเปรตผู้หญิง) ทั้ง ๒ ประเภทแบ่งเป็นวรรคได้ ๔ วรรค โดยไม่ได้แยกออกจากกัน ๘. เถรคาถา ว่าด้วยคาถาหรือคำภาษิตของพระเถระจำนวน ๒๖๔ รูป ๒๖๔ เรื่อง ๑,๓๖๐ คาถา แบ่งเป็นนิบาตได้ ๒๑ นิบาต จัดเรียงตามลำดับนิบาตที่มีคาถาน้อยไปหานิบาตที่มีคาถามาก ๙. เถรีคาถา ว่าด้วยคาถาหรือคำภาษิตของพระเถรีจำนวน ๗๓ รูป ๗๓ เรื่อง ๕๒๖ คาถา แบ่งเป็นนิบาตได้ ๑๖ นิบาต ๑๐. ชาตกะ (ชาดก) ว่าด้วยพระประวัติในอดีตของพระผู้มีพระภาคในรูปแบบของคาถาประพันธ์ล้วน มี ๕๔๗ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาค ๑ มี ๕๒๕ เรื่อง แบ่งเป็นนิบาตได้ ๑๗ นิบาต ภาค ๒ มี ๒๒ เรื่อง แบ่งเป็นนิบาตได้ ๕ นิบาต (นับต่อจากนิบาตที่ ๑๗ ในภาค ๑ เป็นนิบาตที่ ๑๘ - ๒๒) ๑๑. นิทเทส ว่าด้วยการอธิบายขยายความพระพุทธวจนะย่อในรูปคาถาให้มีความหมายกว้างขวางดุจมหาสมุทรและมหาปฐพี แบ่งออกเป็น ๒ คัมภีร์ คือ มหานิทเทส (นิทเทสใหญ่) และจูฬนิทเทส (นิทเทสน้อย) เป็นผลงานของท่านพระสารีบุตร มหานิทเทสอธิบายพระพุทธวจนะในพระสูตร ๑๖ สูตร ที่ปรากฏในอัฏฐกวรรค (หมวดพระสูตรที่ว่าด้วยการไม่ติดอยู่ในกาม) แห่งสุตตนิบาต (คัมภีร์ที่ ๕ ของขุททกนิกาย) มีกามสูตร เป็นต้น ส่วนจูฬนิทเทสอธิบายปัญหาของมาณพ (ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี) ๑๖ คน ที่ปรากฏในปารายนวรรคและขัคควิสาณสูตร ในอุรควรรค แห่งสุตตนิบาตเช่นเดียวกัน ๑๒. ปฏิสัมภิทามรรค ว่าด้วยการอธิบายขยายความพระพุทธวจนะที่เกี่ยวกับศีล สมาธิ ปัญญา อย่างกว้างขวางยิ่ง เพื่อให้เกิดความรู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ คือ (๑) อรรถปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในอรรถ) (๒) ธรรมปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในธรรม) (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในนิรุกติหรือภาษา) (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ความรู้แตกฉานในปฏิภาณ) มี ๓๐ เรื่อง เรียกว่า กถา แบ่งเป็น ๓ วรรค เป็นผลงานของท่านพระสารีบุตร ๑๓. อปทาน ว่าด้วยอัตชีวประวัติของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระเถระและพระเถรี รวม ๖๔๓ เรื่อง แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาค ๑ ประกอบด้วยพุทธาปทาน ๑ เรื่อง ปัจเจกพุทธาปทาน ๔๑ เรื่อง และเถราปทาน (ตอนต้น) ๔๑๐ เรื่อง ภาค ๒ ประกอบด้วยเถราปทาน (ตอนปลาย) ๑๕๑ เรื่อง และเถริยาปทาน ๔๐ เรื่อง ๑๔. พุทธวงศ์ ว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระทีปังกรพุทธเจ้าจนถึงพระกัสสปพุทธเจ้า และพระประวัติของพระพุทธเจ้าของเรา คือพระโคตมพุทธเจ้า ทรงเน้นว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๔ พระองค์นี้ ๑๕. จริยาปิฎก ว่าด้วยพุทธจริยาสั้น ๆ ที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติของพระองค์ มี ๓๕ เรื่อง ใน ๓๕ ชาติ แบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความพ่ายแพ้ของยูเครนจะเป็นตัวแทนแห่งชัยชนะของยุโรปทั้งมวล จากความเห็นของ เอ็มมานูเอล ทอดด์ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ คอร์เรีย ดิ โบโลญญา สื่อมวลชนอิตาลี
    .
    ท็อดด์ เน้นย้ำว่าเขาไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนตัวเป้งของรัสเซีย แต่เขามองว่าหากรัสเซียพ่ายแพ้ในศึกความขัดแย้งกับยูเครน มันจะกลายเป็นการทำให้ยุโรป ต้องนอบน้อมอเมริกาต่อไปอีกนานนับศตวรรษ
    .
    นักประวัติศาสตร์ นักมานุษยวิทยาและนักรัฐศาสตร์รายนี้ ระบว่ายุโรปเสมือนเป็นตัวแทนของสหรัฐฯในโลกตะวันตก และมักเป็นคนต้องชดใช้ผลกระทบต่างๆมาตลอด เขาอ้างระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ณ เวลานี้ สืบเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการสู้รบในยูเครน แต่ชี้ว่าผลลัพธ์ของสงคราม จะเป็นตัวตัดสินชะตาของยุโรป
    .
    "ผมเชื่อว่า ถ้าสหรัฐฯพ่ายแพ้ นาโตจะสลายตัวและยุโรปจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ" ทอดด์ ให้สัมภาษณ์กับ คอร์เรีย ดิ โบโลญญา เน้นย้ำคำกล่าวอ้างที่ว่ารัสเซียอาจลงมือโจมตีทางทหารเล่นงานยุโรปตะวันตก หลังวางฐานที่มั่นตามแถบแม่น้ำนีเปอร์ ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้
    .
    "รัสเซียจะไม่มีทั้งหนทางหรือความปรารถนาขยายเขตแดน คืนสถานะชายแดนสู่ยุคก่อนหน้าคอมมิวนิสต์รัสเซีย มีความอคติและอาการหวาดกลัวต่อรัสเซียเลยเถิดจนเกินไปในโลกตะวันตก มีนิยายเรื่องเล่าเกี่ยวกับความปรารถนาของรัสเซีย ในการขยายเขตแดนในยุโรป มันเป็นเรื่องที่น่าขัน สำหรับนักประวัติศาสตร์ที่จริงจังรายหนึ่งๆ" เขากล่าว
    .
    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บรรดาผู้นำตะวันตกจำนวนหนึ่ง แสดงความกังวลว่าหากปล่อยให้รัสเซียเอาชนะยูคเรน ท้ายที่สุดแล้วมอสโกจะเล็งเป้าหมายไปที่ประเทศยุโรปอื่นๆเป็นลำดับต่อไป
    .
    ยิ่งไปกว่านั้น มอสโกเน้นย้ำว่าไม่มีความตั้งใจโจมตีประเทศไหนๆ ครั้งที่บรรลุเป้าหมายต่างๆในยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ปฏิเสธคำพูดที่ว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม ระบุมันเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" ที่บรรดารัฐบาลตะวันตกพยายามแผ่ลามความหวาดกลัวแก่พลเมืองยุโรป เพื่อขูดรีดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชนในแต่ละประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096672
    ..............
    Sondhi X
    ความพ่ายแพ้ของยูเครนจะเป็นตัวแทนแห่งชัยชนะของยุโรปทั้งมวล จากความเห็นของ เอ็มมานูเอล ทอดด์ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ คอร์เรีย ดิ โบโลญญา สื่อมวลชนอิตาลี . ท็อดด์ เน้นย้ำว่าเขาไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนตัวเป้งของรัสเซีย แต่เขามองว่าหากรัสเซียพ่ายแพ้ในศึกความขัดแย้งกับยูเครน มันจะกลายเป็นการทำให้ยุโรป ต้องนอบน้อมอเมริกาต่อไปอีกนานนับศตวรรษ . นักประวัติศาสตร์ นักมานุษยวิทยาและนักรัฐศาสตร์รายนี้ ระบว่ายุโรปเสมือนเป็นตัวแทนของสหรัฐฯในโลกตะวันตก และมักเป็นคนต้องชดใช้ผลกระทบต่างๆมาตลอด เขาอ้างระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ณ เวลานี้ สืบเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการสู้รบในยูเครน แต่ชี้ว่าผลลัพธ์ของสงคราม จะเป็นตัวตัดสินชะตาของยุโรป . "ผมเชื่อว่า ถ้าสหรัฐฯพ่ายแพ้ นาโตจะสลายตัวและยุโรปจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ" ทอดด์ ให้สัมภาษณ์กับ คอร์เรีย ดิ โบโลญญา เน้นย้ำคำกล่าวอ้างที่ว่ารัสเซียอาจลงมือโจมตีทางทหารเล่นงานยุโรปตะวันตก หลังวางฐานที่มั่นตามแถบแม่น้ำนีเปอร์ ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ . "รัสเซียจะไม่มีทั้งหนทางหรือความปรารถนาขยายเขตแดน คืนสถานะชายแดนสู่ยุคก่อนหน้าคอมมิวนิสต์รัสเซีย มีความอคติและอาการหวาดกลัวต่อรัสเซียเลยเถิดจนเกินไปในโลกตะวันตก มีนิยายเรื่องเล่าเกี่ยวกับความปรารถนาของรัสเซีย ในการขยายเขตแดนในยุโรป มันเป็นเรื่องที่น่าขัน สำหรับนักประวัติศาสตร์ที่จริงจังรายหนึ่งๆ" เขากล่าว . ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บรรดาผู้นำตะวันตกจำนวนหนึ่ง แสดงความกังวลว่าหากปล่อยให้รัสเซียเอาชนะยูคเรน ท้ายที่สุดแล้วมอสโกจะเล็งเป้าหมายไปที่ประเทศยุโรปอื่นๆเป็นลำดับต่อไป . ยิ่งไปกว่านั้น มอสโกเน้นย้ำว่าไม่มีความตั้งใจโจมตีประเทศไหนๆ ครั้งที่บรรลุเป้าหมายต่างๆในยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ปฏิเสธคำพูดที่ว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม ระบุมันเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" ที่บรรดารัฐบาลตะวันตกพยายามแผ่ลามความหวาดกลัวแก่พลเมืองยุโรป เพื่อขูดรีดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากประชาชนในแต่ละประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096672 .............. Sondhi X
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1470 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠

    ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา

    ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公)

    🥳หนึ่ง🥳

    เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927

    ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา

    เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน

    ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน"

    หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋)

    ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า:

    “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง”

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ

    ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)"

    ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)"

    เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย

    ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้

    🥳สอง🥳

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ

    หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้

    หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง

    ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย

    แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛)

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ:

    เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง

    สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公)

    ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด

    ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10%

    นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น

    🥳สาม🥳

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว:

    ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ

    ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨)

    ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว

    หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ

    หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ

    ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า:

    ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”

    หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร

    ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย

    หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป"

    เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠 ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) 🥳หนึ่ง🥳 เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927 ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน" หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋) ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า: “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง” การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)" ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)" เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้ 🥳สอง🥳 หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้ หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛) หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ: เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公) ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10% นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น 🥳สาม🥳 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว: ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า: ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป" เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากยุคสมัยที่เต็มไปด้วยวิกฤตรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วถึงยุคปัจจุบันที่กำลังรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเช่นกัน “จวงจื่อ” นับเป็นเพื่อนสนทนาที่ดี ผู้กระตุกความคิดให้เข้าใจถึงความสุขที่แท้ของมนุษย์ ปลดเปลื้องพันธนาการโลกโลกย์ และโบยบินไปในวิถีอิสรจรเยี่ยงพญานกเผิง และพำนักอย่างเบาใจในท่ามกลางโลกมนุษย์อันวุ่นวาย

    ความโดดเด่นในการสอนปรัชญาชีวิตของคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ คือการกระตุกความคิดด้วยนิทานสาธก เรื่องเล่าสั้นๆ บทสนทนา ที่ล้วนเฉียบคม ลึกซึ้ง เสียดแทง ทั้งสนุกเพราะจวงจื่อใช้อารมณ์ขันเป็นแก่นหลักในลีลาการเขียน ดูเหมือนท่านจะรู้ซึ้งว่าการได้หัวเราะดังๆสักครั้งย่อมมีค่ายิ่งกว่าถ้อยคำก่นด่านับสิบหน้า

    ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9670000094735?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR17YxjshzpgOmlULMx-IqPJvq-GvtBin3ZK27k8UldDEjRcf2HfdndKVO0_aem_1SSz4eqHwdNJkmR-4q6JOQ#m1xc53kueiio8qnntcd

    #Thaitimes
    จากยุคสมัยที่เต็มไปด้วยวิกฤตรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วถึงยุคปัจจุบันที่กำลังรุ่มร้อนที่สุดด้วยไฟสงครามเช่นกัน “จวงจื่อ” นับเป็นเพื่อนสนทนาที่ดี ผู้กระตุกความคิดให้เข้าใจถึงความสุขที่แท้ของมนุษย์ ปลดเปลื้องพันธนาการโลกโลกย์ และโบยบินไปในวิถีอิสรจรเยี่ยงพญานกเผิง และพำนักอย่างเบาใจในท่ามกลางโลกมนุษย์อันวุ่นวาย ความโดดเด่นในการสอนปรัชญาชีวิตของคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ คือการกระตุกความคิดด้วยนิทานสาธก เรื่องเล่าสั้นๆ บทสนทนา ที่ล้วนเฉียบคม ลึกซึ้ง เสียดแทง ทั้งสนุกเพราะจวงจื่อใช้อารมณ์ขันเป็นแก่นหลักในลีลาการเขียน ดูเหมือนท่านจะรู้ซึ้งว่าการได้หัวเราะดังๆสักครั้งย่อมมีค่ายิ่งกว่าถ้อยคำก่นด่านับสิบหน้า ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9670000094735?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR17YxjshzpgOmlULMx-IqPJvq-GvtBin3ZK27k8UldDEjRcf2HfdndKVO0_aem_1SSz4eqHwdNJkmR-4q6JOQ#m1xc53kueiio8qnntcd #Thaitimes
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 670 มุมมอง 0 รีวิว
  • IF IT'S BOEING, I'M NOT GOING

    ในอดีต..บริษัทโบอิ้ง เน้นความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรม+ความปลอดภัย

    หลังจาก ปี1997 โบอิ้ง ได้ซื้อ บริษัท แม๊คโดนัลด์ ดักกลาส เพื่อ ขยายความยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็น "หายนะ" ของวงการบินทั่วโลก เนื่องจาก วัฒนธรรมองค์กรของโบอิ้ง เปลี่ยนไปเป็น "แสวงหากำไรสูงที่สุด"

    การลดต้นทุนผลิต จึงเป้นสาเหตุของเครื่องบินโบอิ้งตก 2ลำผู้โดยสาร(ตายเรียบ) ล้อหลุด และล่าสุด..เมื่อต้นปีนี้ ประตูฉุกเฉินหลุด ล้อหน้าไม่กาง ไถลออกนอกรันเวย์

    ........................................
    กลับสหรัฐฯรอบนี้ จึงเน้นเลือกบินด้วยเครื่องที่ผลิตจาก AIRBUS รุ่น A321neo และ A350 เท่านั้น

    ปัจจุบัน ดิฉันจึงเป็นแฟนประจำของสายการบิน STARLUX Airlines ที่ใช้แต่เครื่อง Airbus ใหม่ๆ ราคาไม่แพง และ ต่อเครื่องที่ ที่ เถาหยวน..แปร๊บ เดียว

    อ้างอิง :
    1. วิบากกรรม Boeing l Valor Podcast
    https://www.youtube.com/watch?v=aKivL9rRwxo
    2. ระทึก! กลางเวหา ประตูเครื่องบินหลุดกลางอากาศ
    https://www.youtube.com/watch?v=nIig4y_5ZDY&t=97s
    3. เรื่องเล่า Boeing
    https://www.youtube.com/watch?v=69wciKAtzxI
    4. Boeing ฉาวไม่พัก แผงประตูหลุด ล้อระเบิด ตกวูบกลางอากาศ
    https://www.youtube.com/watch?v=WdZxnv1smd4
    5. ขาลงแบบดิ่งสุด! เรื่องอื้อฉาวของโบอิ้งยิ่งขุดยิ่งเจอเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
    https://www.youtube.com/watch?v=xQkbXulhv5k
    6. วิกฤต “โบอิ้ง” กระทบชิ่ง “การบินไทย” : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    https://www.youtube.com/watch?v=DEnlVZdqD6Q
    7. ทำไม Boeing ฉาวซ้ำซาก ความผิดใคร | Executive Espresso
    https://www.youtube.com/watch?v=MjfU8yxjBks&t=180s
    8. โบอิ้งตกต่ำขาดทุน 18,000 ล้าน | พนักงานไม่กล้านั่ง เครื่องบินที่ตัวเองผลิต
    https://www.youtube.com/watch?v=iAZ5Y01j7c0&t=721s
    9. โบอิ้งสูญเสียตลาดจีน จีนเลือกซื้อแอร์บัส 300 ลำ
    https://www.youtube.com/watch?v=R0goHw-7LnU
    10. Boeing 787 Deramliner กาตาร์แอร์เวย์สตกหลุมอากาศ 28 พค. 67
    https://www.youtube.com/watch?v=_fZgoPcQNBM
    11. 777-300ER ตกหลุมอากาศ! สิงคโปร์แอร์ SQ321 "ตาย2 -เจ็บนับสิบ" | 21 พ.ค. 67
    https://www.youtube.com/watch?v=vdMWbSUmuDU
    12. ตกหลุมอากาศ! สิงคโปร์แอร์ "ตาย2 -เจ็บนับสิบ" | 21 พ.ค. 67
    https://www.youtube.com/watch?v=vdMWbSUmuDU
    13. วิกฤตความเชื่อมั่น โหมกระหน่ำ Boeing ?
    https://www.youtube.com/watch?v=dfzeEFBHvzc
    14. ทำไมถึงมีคนตายเพราะเครื่องบิน Boeing บ่อย?! #ดาร์คไดอะรี I แค่อยากเล่า...◄1692►
    https://www.youtube.com/watch?v=e1ZXQTW7xEU
    IF IT'S BOEING, I'M NOT GOING ในอดีต..บริษัทโบอิ้ง เน้นความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรม+ความปลอดภัย หลังจาก ปี1997 โบอิ้ง ได้ซื้อ บริษัท แม๊คโดนัลด์ ดักกลาส เพื่อ ขยายความยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็น "หายนะ" ของวงการบินทั่วโลก เนื่องจาก วัฒนธรรมองค์กรของโบอิ้ง เปลี่ยนไปเป็น "แสวงหากำไรสูงที่สุด" การลดต้นทุนผลิต จึงเป้นสาเหตุของเครื่องบินโบอิ้งตก 2ลำผู้โดยสาร(ตายเรียบ) ล้อหลุด และล่าสุด..เมื่อต้นปีนี้ ประตูฉุกเฉินหลุด ล้อหน้าไม่กาง ไถลออกนอกรันเวย์ ........................................ กลับสหรัฐฯรอบนี้ จึงเน้นเลือกบินด้วยเครื่องที่ผลิตจาก AIRBUS รุ่น A321neo และ A350 เท่านั้น ปัจจุบัน ดิฉันจึงเป็นแฟนประจำของสายการบิน STARLUX Airlines ที่ใช้แต่เครื่อง Airbus ใหม่ๆ ราคาไม่แพง และ ต่อเครื่องที่ ที่ เถาหยวน..แปร๊บ เดียว อ้างอิง : 1. วิบากกรรม Boeing l Valor Podcast https://www.youtube.com/watch?v=aKivL9rRwxo 2. ระทึก! กลางเวหา ประตูเครื่องบินหลุดกลางอากาศ https://www.youtube.com/watch?v=nIig4y_5ZDY&t=97s 3. เรื่องเล่า Boeing https://www.youtube.com/watch?v=69wciKAtzxI 4. Boeing ฉาวไม่พัก แผงประตูหลุด ล้อระเบิด ตกวูบกลางอากาศ https://www.youtube.com/watch?v=WdZxnv1smd4 5. ขาลงแบบดิ่งสุด! เรื่องอื้อฉาวของโบอิ้งยิ่งขุดยิ่งเจอเรื่องที่เลวร้ายที่สุด https://www.youtube.com/watch?v=xQkbXulhv5k 6. วิกฤต “โบอิ้ง” กระทบชิ่ง “การบินไทย” : คุยทุกเรื่องกับสนธิ https://www.youtube.com/watch?v=DEnlVZdqD6Q 7. ทำไม Boeing ฉาวซ้ำซาก ความผิดใคร | Executive Espresso https://www.youtube.com/watch?v=MjfU8yxjBks&t=180s 8. โบอิ้งตกต่ำขาดทุน 18,000 ล้าน | พนักงานไม่กล้านั่ง เครื่องบินที่ตัวเองผลิต https://www.youtube.com/watch?v=iAZ5Y01j7c0&t=721s 9. โบอิ้งสูญเสียตลาดจีน จีนเลือกซื้อแอร์บัส 300 ลำ https://www.youtube.com/watch?v=R0goHw-7LnU 10. Boeing 787 Deramliner กาตาร์แอร์เวย์สตกหลุมอากาศ 28 พค. 67 https://www.youtube.com/watch?v=_fZgoPcQNBM 11. 777-300ER ตกหลุมอากาศ! สิงคโปร์แอร์ SQ321 "ตาย2 -เจ็บนับสิบ" | 21 พ.ค. 67 https://www.youtube.com/watch?v=vdMWbSUmuDU 12. ตกหลุมอากาศ! สิงคโปร์แอร์ "ตาย2 -เจ็บนับสิบ" | 21 พ.ค. 67 https://www.youtube.com/watch?v=vdMWbSUmuDU 13. วิกฤตความเชื่อมั่น โหมกระหน่ำ Boeing ? https://www.youtube.com/watch?v=dfzeEFBHvzc 14. ทำไมถึงมีคนตายเพราะเครื่องบิน Boeing บ่อย?! #ดาร์คไดอะรี I แค่อยากเล่า...◄1692► https://www.youtube.com/watch?v=e1ZXQTW7xEU
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 735 มุมมอง 0 รีวิว
  • บังเอิญหรือพรหมลิขิตกันหว่าถึงได้มาป๊ะกันได้แบบประจวบเหมาะพอดิบพอดี
    ....
    พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่เก่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองอยากเป็น
    "พี่อยากไปเที่ยวในขณะที่พี่ยังมีแรง"
    ประโยคหนึ่งที่ทำให้เราคุยกันได้ครึ่งค่อนวัน เพราะสไตล์ชีวิตเราคล้าย ๆ กัน
    ....
    พี่เก่งบิดเวฟคู่ใจขึ้นเหนือลงใต้ออกตกทุก ๆ ครั้งที่ได้หยุดวันหรือสองวัน นอนวัดบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง โรงแรมบ้างแล้วแต่โอกาส พี่เก่งมองทุกอย่างสองข้างทางคือความงดงามและความรู้ใหม่ ๆ วันนี้พี่เก่งตั้งใจจะพิษณุโลก ออกจากนนทบุรีมาแวะพักรถที่เกษตรสิงห์สถาบันที่พวกเราเติบโตมา และ lit nit เองก็มีเหตุต้องมาสมาคมศิษย์เก่าพอดี พอดีแบบชนิดที่ว่า ต่างคนต่างจอดรถพร้อม ๆ กันเลย
    ....
    สรุปจากพักรถ เรานั่งคุยกันเสียครึ่งวัน มีพี่ ๆ หลายท่านที่บังเอิญได้มาสมาคมก็เลยมีเรื่องให้คุยกันไม่รู้จบ วันนี้พี่เก่งเลยไม่ได้ไปต่อที่พิษณุโลก คืนนี้ต้องแวะไปนอนบ้านที่ลพบุรีและวางแผนต่อว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งคืนจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่ไหนดี พี่เก่งบอก
    "ไม่ได้ไปพิษณุโลกแต่ได้เจอเราพี่ก็ดีใจ"
    #ดีใจเฉกเช่นครับ ได้ฟังเรื่องเล่าจากการเดินทางของพี่มากมาย มันมีความสุขดีแท้
    บังเอิญหรือพรหมลิขิตกันหว่าถึงได้มาป๊ะกันได้แบบประจวบเหมาะพอดิบพอดี .... พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่เก่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองอยากเป็น "พี่อยากไปเที่ยวในขณะที่พี่ยังมีแรง" ประโยคหนึ่งที่ทำให้เราคุยกันได้ครึ่งค่อนวัน เพราะสไตล์ชีวิตเราคล้าย ๆ กัน .... พี่เก่งบิดเวฟคู่ใจขึ้นเหนือลงใต้ออกตกทุก ๆ ครั้งที่ได้หยุดวันหรือสองวัน นอนวัดบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง โรงแรมบ้างแล้วแต่โอกาส พี่เก่งมองทุกอย่างสองข้างทางคือความงดงามและความรู้ใหม่ ๆ วันนี้พี่เก่งตั้งใจจะพิษณุโลก ออกจากนนทบุรีมาแวะพักรถที่เกษตรสิงห์สถาบันที่พวกเราเติบโตมา และ lit nit เองก็มีเหตุต้องมาสมาคมศิษย์เก่าพอดี พอดีแบบชนิดที่ว่า ต่างคนต่างจอดรถพร้อม ๆ กันเลย .... สรุปจากพักรถ เรานั่งคุยกันเสียครึ่งวัน มีพี่ ๆ หลายท่านที่บังเอิญได้มาสมาคมก็เลยมีเรื่องให้คุยกันไม่รู้จบ วันนี้พี่เก่งเลยไม่ได้ไปต่อที่พิษณุโลก คืนนี้ต้องแวะไปนอนบ้านที่ลพบุรีและวางแผนต่อว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งคืนจะเปลี่ยนเส้นทางไปที่ไหนดี พี่เก่งบอก "ไม่ได้ไปพิษณุโลกแต่ได้เจอเราพี่ก็ดีใจ" #ดีใจเฉกเช่นครับ ได้ฟังเรื่องเล่าจากการเดินทางของพี่มากมาย มันมีความสุขดีแท้
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • แมวปลาส้ม พูดเก่ง ดื้อบ้าง เป็นลูกของ แม่มะนาว พ่อมะนัย ปีที่ 4 แล้วครับ
    ■■■■■■■■■■■
    #แมวปลาส้ม #หนึ่งวันพันเหตุการณ์ของแมวปลาส้ม
    #thaitimes #เรื่องเล่าสัตว์เลี้ยง #thaitimesทาสแมว #thaitimesmanowjourney #thaitimesสัตว์เลี้ยง #thaitimespets
    #thaitimesมะนาวก้าวเดิน
    แมวปลาส้ม พูดเก่ง ดื้อบ้าง เป็นลูกของ แม่มะนาว พ่อมะนัย ปีที่ 4 แล้วครับ ■■■■■■■■■■■ #แมวปลาส้ม #หนึ่งวันพันเหตุการณ์ของแมวปลาส้ม #thaitimes #เรื่องเล่าสัตว์เลี้ยง #thaitimesทาสแมว #thaitimesmanowjourney #thaitimesสัตว์เลี้ยง #thaitimespets #thaitimesมะนาวก้าวเดิน
    Haha
    Like
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1048 มุมมอง 205 0 รีวิว
  • #เล่าสู่กันฟัง

    คนที่ติดตามเพจพวกเรามาตั้งแต่ต้นหลายคนจะรู้ดีเลยว่าถ้าพวกเราเล่นใครคือจะไม่เคยเล่นแบบเลื่อนลอย

    นั่นเพราะเราเป็นเงาซึ่งมันไม่น่าเชื่อถือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเราจึงต้องขุดหาข้อมูลให้ลึกๆเอามาแนบบทความให้เห็นความจริงที่จับต้องได้

    เราเปิดเพจขึ้นมาโดยใช้ภาพของโจวเหวินฟะเป็นภาพโพรไฟล์ ในขณะที่ช่องส่องผีมีตัวตนจริง

    ชสผ.มีคนติดตามร่วม 2 ล้าน แถมรายการ on air อยู่ช่อง 8 ส่วนเราเปิดเพจได้ 3 เดือนมีคนติดตามหลักสิบ..มองไม่เห็นแสงแห่งชัยชนะ แต่สุดท้ายเราชนะขาด

    ในทุกๆวันจะมีพี่ติ่งส่องผีเป็นร้อยๆเลยขับเฟซมาจอดที่เพจเหยื่อโชว์สกิลสมถานะกระบือบินเสร็จแล้วก็งับเบ็ดที่เราวางไว้ติดปากกลับไปทุกราย

    เราเลือกเป้าโจมตีไปที่ เรนนี่ ผู้วิเศษดาวดังตัวชูโรงประจำช่องส่องผี การบ้านที่พวกเราต้องทำคือหาข้อมูลมาหักร้าง ให้โลกเห็นว่าเรนนี่ ของปลอมลวงโลก

    ซึ่งการตามหาประวัติอาชญากรสำหรับพวกเราแล้วมันเป็นงานไม่ยากหรอก คนที่ตามหายากที่สุดคือ..คนดีๆคนที่ไม่เคยทำผิดบาป คนที่ไม่เคยมีคดีติดตัว

    บ๊วย..อาศัยความเป็นคนในวงการบันเทิง จึงรู้ช่องทางการจะปั้นเรนนี่ให้โด่งดัง พาเรนนี่เดินสายออกทีวี

    และจุดสลบของคนลวงโลกคือ..โกหกให้ถูกจับได้

    ทีมงานเราลงพื้นที่ไปย่านบ้านย่านโรงเรียนของเรนนี่ เราค้นหาคลิปทุกนาที ภาพทุกใบที่เรนนี่เคยเผยแพร่เอาไว้บนโลกออนไลน์ทุกช่องทาง

    แล้วเอาคลิปเอาเรื่องเล่าจากคนข้างบ้านเรนนี่ที่มีมากมายมาถอดหาช่องโจมตี แล้วก็เห็นช่องทางโจมตี

    นั่นคือเราต้องโจมตีไปที่สารตั้งต้นที่เรนนี่อ้างว่าได้พลังวิเศษมา ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าสตอรี่การได้มาซึ่งพลังวิเศษของเรนนี่เป็นเรื่องโกหก..พังทั้งคณะ

    เรนนี่..อ้างว่าตอนเด็กรถคว่ำ คอหักตุย พร้อมคนอื่นอีก 4 ศพ ตัวเองตุยในที่เกิดเหตุ แล้วไปฟื้นในห้องดับจิต

    ออกจากห้องดับจิตมานอนพักฟื้นในโรงพยาบาล 90 วัน ระหว่างที่อยู่ในห้องดับจิตเรนนี่ไปนรก เจอกับท่านยมซึ่งเป็นพ่อของเรนนี่ในอดีตชาติ

    พ่อยมของเรนนี่จึงส่งพ่อปู่ 3 ตามาสอนวิชาทุกค่ำคืน พอฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยมีตาทิพย์ ออกต้มตุ๋นผู้คน

    เรานับ 1 จากการหาประวัติในใบ opd-ipd ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันเรนนี่เข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุหนักๆบ้างไหม

    ผลที่ได้คือเรนนี่เข้าโรงพยาบาล 4 ครั้ง เป็นการคลอดลูกผู้หญิง 2 ครั้ง เล่นชู้โดนผัวกระทืบ 1 ครั้ง ป่วย 1 ครั้ง

    เรนนี่..ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะรถคว่ำและไม่เคยนอนโรงพยาบาล 90 วัน ดังนั้นจึงเป็นความบ้งที่ 1 ของเรนนี่

    ถ้าไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ=โกหกเรื่องการได้มาของพลังวิเศษตาทิพย์..ปลอมในปลอม

    เรนนี่..อ้างว่าเรียนจบนักธรรมเอกจากวัดบวร พวกเราก็สืบค้นไปที่วัดบวรไม่มีชื่อเรนนี่

    พวกเราจึงเช็คไปที่สำนักแม่กองธรรมสนามหลวง จึงพบว่าเรนนี่เรียนจบธรรมศึกษาชั้นโท จากวัดบึงบา เมื่อปี ๒๕๔๘

    จบนักธรรมโท ก็โกหกว่าจบนักธรรมเอก จบวัดบึงบาก็บอกว่าจบจากวัดบวร นั่นคือบ้งที่ 2

    เรนนี่..บอกว่าได้ทุนไปเรียนธรรมที่อินเดียมา 6 เดือน เคยไปเที่ยวยุโรปมา 6 ประเทศ ไปเจอผีที่ญี่ปุ่น ไปเดินเล่นที่เกาหลี

    เราจึงเช็คประวัติการเดินทางของเรนนี่ ผลที่ได้คือเดินทางออกนอกประเทษ 9 ครั้ง พม่า-เขมร 8 ครั้งและไปไต้หวัน 1 ครั้งรวมเป็น 9 ครั้ง นั่นคือบ้งที่ 3

    และถูกพวกเราจับผิดได้อีกนับร้อยบ้ง จากผู้วิเศษตาทิพย์กลายเป็นนักต้มตุ๋นออนไลน์ ได้คดีกันไปทั่วหน้า

    พอถูกดำเนินคดี ความร้าวฉานก็เริ่มก่อตัว สุดท้ายวงแตกแยกทางกันไป จะมาพบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ต่อเมื่อ..อยู่ในบัลลังก์

    ทุกวันนี้ที่เราไม่ได้ฟาดเพราะปล่อยให้พวกมันก่อคดีเพิ่มไปเรื่อยๆ ถ้าสอบสวนกลางมีความเห็นสั่งฟ้องศาล

    เราจะแจ้งหมายข่าวไปทุกช่อง ส่งข่าวไปหาเพจดาร์กที่เป็นพันธมิตร แล้วคดีฉ้อโกงประชาชนมันจะดังเอามากๆเลย

    เหยื่อ..ที่เคยถูกเรียกเก็บค่าทำพิธีกรรมต่างๆ ก็จะรู้ตัวว่าอ้าวนี่กูให้นักต้มตุ๋นแก้กรรมให้กูเหรอวะเนี่ย ถถถ

    ถ้าเราโชคดี เหยื่อของเรนนี่อาจจะทักมาหาเราก็ได้ 1 คนก็ 1 คดี มาหาเรา 2 คนก็ 2 คดี ถ้ามาหลายคนยิ่งสนุกเลย

    #อย่าให้ได้ขุด
    @King
    #เล่าสู่กันฟัง คนที่ติดตามเพจพวกเรามาตั้งแต่ต้นหลายคนจะรู้ดีเลยว่าถ้าพวกเราเล่นใครคือจะไม่เคยเล่นแบบเลื่อนลอย นั่นเพราะเราเป็นเงาซึ่งมันไม่น่าเชื่อถือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเราจึงต้องขุดหาข้อมูลให้ลึกๆเอามาแนบบทความให้เห็นความจริงที่จับต้องได้ เราเปิดเพจขึ้นมาโดยใช้ภาพของโจวเหวินฟะเป็นภาพโพรไฟล์ ในขณะที่ช่องส่องผีมีตัวตนจริง ชสผ.มีคนติดตามร่วม 2 ล้าน แถมรายการ on air อยู่ช่อง 8 ส่วนเราเปิดเพจได้ 3 เดือนมีคนติดตามหลักสิบ..มองไม่เห็นแสงแห่งชัยชนะ แต่สุดท้ายเราชนะขาด ในทุกๆวันจะมีพี่ติ่งส่องผีเป็นร้อยๆเลยขับเฟซมาจอดที่เพจเหยื่อโชว์สกิลสมถานะกระบือบินเสร็จแล้วก็งับเบ็ดที่เราวางไว้ติดปากกลับไปทุกราย เราเลือกเป้าโจมตีไปที่ เรนนี่ ผู้วิเศษดาวดังตัวชูโรงประจำช่องส่องผี การบ้านที่พวกเราต้องทำคือหาข้อมูลมาหักร้าง ให้โลกเห็นว่าเรนนี่ ของปลอมลวงโลก ซึ่งการตามหาประวัติอาชญากรสำหรับพวกเราแล้วมันเป็นงานไม่ยากหรอก คนที่ตามหายากที่สุดคือ..คนดีๆคนที่ไม่เคยทำผิดบาป คนที่ไม่เคยมีคดีติดตัว บ๊วย..อาศัยความเป็นคนในวงการบันเทิง จึงรู้ช่องทางการจะปั้นเรนนี่ให้โด่งดัง พาเรนนี่เดินสายออกทีวี และจุดสลบของคนลวงโลกคือ..โกหกให้ถูกจับได้ ทีมงานเราลงพื้นที่ไปย่านบ้านย่านโรงเรียนของเรนนี่ เราค้นหาคลิปทุกนาที ภาพทุกใบที่เรนนี่เคยเผยแพร่เอาไว้บนโลกออนไลน์ทุกช่องทาง แล้วเอาคลิปเอาเรื่องเล่าจากคนข้างบ้านเรนนี่ที่มีมากมายมาถอดหาช่องโจมตี แล้วก็เห็นช่องทางโจมตี นั่นคือเราต้องโจมตีไปที่สารตั้งต้นที่เรนนี่อ้างว่าได้พลังวิเศษมา ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าสตอรี่การได้มาซึ่งพลังวิเศษของเรนนี่เป็นเรื่องโกหก..พังทั้งคณะ เรนนี่..อ้างว่าตอนเด็กรถคว่ำ คอหักตุย พร้อมคนอื่นอีก 4 ศพ ตัวเองตุยในที่เกิดเหตุ แล้วไปฟื้นในห้องดับจิต ออกจากห้องดับจิตมานอนพักฟื้นในโรงพยาบาล 90 วัน ระหว่างที่อยู่ในห้องดับจิตเรนนี่ไปนรก เจอกับท่านยมซึ่งเป็นพ่อของเรนนี่ในอดีตชาติ พ่อยมของเรนนี่จึงส่งพ่อปู่ 3 ตามาสอนวิชาทุกค่ำคืน พอฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยมีตาทิพย์ ออกต้มตุ๋นผู้คน เรานับ 1 จากการหาประวัติในใบ opd-ipd ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันเรนนี่เข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุหนักๆบ้างไหม ผลที่ได้คือเรนนี่เข้าโรงพยาบาล 4 ครั้ง เป็นการคลอดลูกผู้หญิง 2 ครั้ง เล่นชู้โดนผัวกระทืบ 1 ครั้ง ป่วย 1 ครั้ง เรนนี่..ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะรถคว่ำและไม่เคยนอนโรงพยาบาล 90 วัน ดังนั้นจึงเป็นความบ้งที่ 1 ของเรนนี่ ถ้าไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ=โกหกเรื่องการได้มาของพลังวิเศษตาทิพย์..ปลอมในปลอม เรนนี่..อ้างว่าเรียนจบนักธรรมเอกจากวัดบวร พวกเราก็สืบค้นไปที่วัดบวรไม่มีชื่อเรนนี่ พวกเราจึงเช็คไปที่สำนักแม่กองธรรมสนามหลวง จึงพบว่าเรนนี่เรียนจบธรรมศึกษาชั้นโท จากวัดบึงบา เมื่อปี ๒๕๔๘ จบนักธรรมโท ก็โกหกว่าจบนักธรรมเอก จบวัดบึงบาก็บอกว่าจบจากวัดบวร นั่นคือบ้งที่ 2 เรนนี่..บอกว่าได้ทุนไปเรียนธรรมที่อินเดียมา 6 เดือน เคยไปเที่ยวยุโรปมา 6 ประเทศ ไปเจอผีที่ญี่ปุ่น ไปเดินเล่นที่เกาหลี เราจึงเช็คประวัติการเดินทางของเรนนี่ ผลที่ได้คือเดินทางออกนอกประเทษ 9 ครั้ง พม่า-เขมร 8 ครั้งและไปไต้หวัน 1 ครั้งรวมเป็น 9 ครั้ง นั่นคือบ้งที่ 3 และถูกพวกเราจับผิดได้อีกนับร้อยบ้ง จากผู้วิเศษตาทิพย์กลายเป็นนักต้มตุ๋นออนไลน์ ได้คดีกันไปทั่วหน้า พอถูกดำเนินคดี ความร้าวฉานก็เริ่มก่อตัว สุดท้ายวงแตกแยกทางกันไป จะมาพบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ต่อเมื่อ..อยู่ในบัลลังก์ ทุกวันนี้ที่เราไม่ได้ฟาดเพราะปล่อยให้พวกมันก่อคดีเพิ่มไปเรื่อยๆ ถ้าสอบสวนกลางมีความเห็นสั่งฟ้องศาล เราจะแจ้งหมายข่าวไปทุกช่อง ส่งข่าวไปหาเพจดาร์กที่เป็นพันธมิตร แล้วคดีฉ้อโกงประชาชนมันจะดังเอามากๆเลย เหยื่อ..ที่เคยถูกเรียกเก็บค่าทำพิธีกรรมต่างๆ ก็จะรู้ตัวว่าอ้าวนี่กูให้นักต้มตุ๋นแก้กรรมให้กูเหรอวะเนี่ย ถถถ ถ้าเราโชคดี เหยื่อของเรนนี่อาจจะทักมาหาเราก็ได้ 1 คนก็ 1 คดี มาหาเรา 2 คนก็ 2 คดี ถ้ามาหลายคนยิ่งสนุกเลย #อย่าให้ได้ขุด @King
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☆หนึ่งวันพันเหตุการณ์ ของแมวปลาส้ม
    》》แมวปลาส้มเป็นแมวจร พ่อแม่ดูแล และพาไปทำหมัน เป็นลูกของนุดมา 3-4 ปี ปลาส้มยังไม่ค่อยแสดงความรักกับพ่อแม่ ไม่มาอ้อนถ้าไม่หิว แต่ก็กอดได้ หอมได้ แบบเล่นตัวนิด ไม่ข่วน ไม่กัด จะน่ารักเวลาขอกิน

    #แมวปลาส้ม #แมว #สัตว์เลี้ยงน่ารัก #thaitimes #thaitimesทาสแมว #เรื่องเล่าสัตว์เลี้ยง #มะนาวก้าวเดิน
    ☆หนึ่งวันพันเหตุการณ์ ของแมวปลาส้ม 》》แมวปลาส้มเป็นแมวจร พ่อแม่ดูแล และพาไปทำหมัน เป็นลูกของนุดมา 3-4 ปี ปลาส้มยังไม่ค่อยแสดงความรักกับพ่อแม่ ไม่มาอ้อนถ้าไม่หิว แต่ก็กอดได้ หอมได้ แบบเล่นตัวนิด ไม่ข่วน ไม่กัด จะน่ารักเวลาขอกิน #แมวปลาส้ม #แมว #สัตว์เลี้ยงน่ารัก #thaitimes #thaitimesทาสแมว #เรื่องเล่าสัตว์เลี้ยง #มะนาวก้าวเดิน
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1406 มุมมอง 0 รีวิว

  • เขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย

    มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบและอยากแนะนำให้มีคนรู้จักมากขึ้น เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่นักเขียนที่ชื่อคุ้นหูผู้อ่านนิยายทั่วไปที่เป็นแนวมีพระเอกนางเอกนัก คงจะมีคนได้อ่านผลงานเขียนชิ้นนี้ไม่มาก ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง

    เล่มที่พูดถึงนี้มีชื่อว่า "คนเหนือน้ำ" เป็นนวนิยายเขียนโดย คุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ซึ่งเป็นคนจังหวัดตาก และรับราชการมาทั้งชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นนายอำเภอสามเงา จ.ตาก ได้สัมผัสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนคนพื้นถิ่น รับรู้เรื่องราว ปัญหา การดำเนินชีวิตของชาวชุมชนที่นั่น จึงได้เก็บข้อมูลนำมาเขียนเป็นนิยายเรื่องนี้

    ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานประวัติของพระนางจามเทวี ผูกโยงกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนา และการใช้ชีวิตอย่างสมถะของชาวเหนือเขื่อน รุ่นปู่ย่าตายาย กับแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย คือเขื่อนภูมิพล จากข้อมูลที่ผู้เขียนศึกษาเพิ่มเติม และประสบการณ์ในชีวิตทำงาน คำบอกเล่าของผู้คนในพื้นที่ ตำนานเรื่องเล่า ประวัติศาตร์เมืองตาก ได้ถูกผสมผสานอย่างกลมกลืน แล้วผนวกรวมเป็นเรื่องราวแนวจินตนิยาย ที่แฝงหลักคิดการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าน่าสนใจ

    ภาษาที่ใช้เป็นภาษาง่าย ๆ แต่มีความสละสลวย อ่านแล้วมองเห็นภาพตามชัดเจน โดยเฉพาะบรรยากาศที่งดงาม หากลูกอีสาน คือ นวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนภาคอีสานได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว ผมอยากจะกล่าวว่า "คนเหนือน้ำ" ก็สมควรเป็นตัวแทนของนวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนในเขตภาคตะวันตกติดเทือกเขาถนนธงชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    หนังสือ หนาถึง 412 หน้า จำนวน 36 บท
    พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2563 เดือน มกราคม
    จัดจำหน่ายโดย บ.เคล็ดไทย

    🔹️🔹️ในราคา 200 บาท 🔹️🔹️

    พิมพ์ขาวดำตลอดเล่ม ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับหนังสือที่มีความหนาของจำนวนหน้าขนาดนี้ ที่สำคัญอักษรตัวใหญ่อ่านง่าย สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุและปัญหาทางสายตา

    มีภาพประกอบบ้างในบางบท พอช่วยเสริมจินตนาการ

    อ่านแล้วเชื่อว่าทุกคนจะรักเมืองตากมากยิ่งกว่าเก่า

    ป.ล. หนังสือ อาจหายากหน่อย หากสนใจสามารถสั่งเข้ามาได้ครับ มีเหลืออยู่ไม่มาก ทุกเล่มเป็นมือหนึ่งสภาพใหม่จากโรงพิมพ์

    จัดส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รายได้เข้าบัญชีมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน แจ้งมาได้ทางข้อความหรือใต้โพสต์นี้ครับ

    #thaitimes
    #แนะนำหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยาย
    #เล่าเรื่องเมืองตาก
    #เขื่อนภูมิพล
    #พระนางจามเทวี
    #คนเหนือน้ำ
    เขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบและอยากแนะนำให้มีคนรู้จักมากขึ้น เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่นักเขียนที่ชื่อคุ้นหูผู้อ่านนิยายทั่วไปที่เป็นแนวมีพระเอกนางเอกนัก คงจะมีคนได้อ่านผลงานเขียนชิ้นนี้ไม่มาก ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง เล่มที่พูดถึงนี้มีชื่อว่า "คนเหนือน้ำ" เป็นนวนิยายเขียนโดย คุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ซึ่งเป็นคนจังหวัดตาก และรับราชการมาทั้งชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นนายอำเภอสามเงา จ.ตาก ได้สัมผัสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนคนพื้นถิ่น รับรู้เรื่องราว ปัญหา การดำเนินชีวิตของชาวชุมชนที่นั่น จึงได้เก็บข้อมูลนำมาเขียนเป็นนิยายเรื่องนี้ ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานประวัติของพระนางจามเทวี ผูกโยงกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนา และการใช้ชีวิตอย่างสมถะของชาวเหนือเขื่อน รุ่นปู่ย่าตายาย กับแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย คือเขื่อนภูมิพล จากข้อมูลที่ผู้เขียนศึกษาเพิ่มเติม และประสบการณ์ในชีวิตทำงาน คำบอกเล่าของผู้คนในพื้นที่ ตำนานเรื่องเล่า ประวัติศาตร์เมืองตาก ได้ถูกผสมผสานอย่างกลมกลืน แล้วผนวกรวมเป็นเรื่องราวแนวจินตนิยาย ที่แฝงหลักคิดการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าน่าสนใจ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาง่าย ๆ แต่มีความสละสลวย อ่านแล้วมองเห็นภาพตามชัดเจน โดยเฉพาะบรรยากาศที่งดงาม หากลูกอีสาน คือ นวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนภาคอีสานได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว ผมอยากจะกล่าวว่า "คนเหนือน้ำ" ก็สมควรเป็นตัวแทนของนวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนในเขตภาคตะวันตกติดเทือกเขาถนนธงชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ หนังสือ หนาถึง 412 หน้า จำนวน 36 บท พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2563 เดือน มกราคม จัดจำหน่ายโดย บ.เคล็ดไทย 🔹️🔹️ในราคา 200 บาท 🔹️🔹️ พิมพ์ขาวดำตลอดเล่ม ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับหนังสือที่มีความหนาของจำนวนหน้าขนาดนี้ ที่สำคัญอักษรตัวใหญ่อ่านง่าย สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุและปัญหาทางสายตา มีภาพประกอบบ้างในบางบท พอช่วยเสริมจินตนาการ อ่านแล้วเชื่อว่าทุกคนจะรักเมืองตากมากยิ่งกว่าเก่า ป.ล. หนังสือ อาจหายากหน่อย หากสนใจสามารถสั่งเข้ามาได้ครับ มีเหลืออยู่ไม่มาก ทุกเล่มเป็นมือหนึ่งสภาพใหม่จากโรงพิมพ์ จัดส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รายได้เข้าบัญชีมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน แจ้งมาได้ทางข้อความหรือใต้โพสต์นี้ครับ #thaitimes #แนะนำหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยาย #เล่าเรื่องเมืองตาก #เขื่อนภูมิพล #พระนางจามเทวี #คนเหนือน้ำ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1493 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน

    Eric Weinstein
    .
    I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either.
    .
    11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views
    https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789
    .
    ฉันเข้าใจ

    โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย

    CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ

    เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ"

    จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔

    ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน

    โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน

    หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน

    ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน

    สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง

    Clandestine
    .
    I do.

    Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation.

    The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight.

    It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”.

    Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014.

    Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine.

    Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine.

    If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine.

    Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons.

    The Cold War never truly ended.
    .
    1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views
    https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน Eric Weinstein . I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either. . 11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789 . ฉันเข้าใจ โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ" จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔ ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง Clandestine . I do. Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation. The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight. It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”. Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014. Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine. Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine. If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine. Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons. The Cold War never truly ended. . 1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรุแตก# ของจริงมีมานานแล้ว แต่ระยะหลายปีหลัง พอมีข่าวเซียนรีบไป เพื่อดักซื้อ แต่หลายครั้ง ก็มีคำตัดพ้อ "เสียเวลาฉิกหาย" เมื่อเห็นของ..!!
    ในส่วนของจริง จะไม่ขอกล่าวถึง ขอเขียนในส่วนที่ใช้กันประจำ คือ การวางงาน อาจจะมีการตกลงกับวัด หรือไม่ก็ได้ แล้วก็เอายอดฝีมือไปฝังของไว้ ..นิทานเรื่องเล่าก็ตามมา ส่งวิญญาณไปเข้าฝันเจ้าอาวาส หรือพระในวัดบอกตำแหน่งเส็รจสรรพ. เตรียมกล้อง ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ทีมงานครบ.
    ของแบบนี้ มีทำระดับ เบอร์เล็กๆ ไปยันเบอร์มีชื่อ (แบบที่คนรุ่นเก่า รุ่นแก่ ยังไม่กล้าสวดตรงๆเพราะเกรงใจ ก็มี)
    คนทำพระเก๊งานดีๆคือใคร คือเซียนนั่นละ เพราะรู้ว่า จะดูจุดชี้ขาดจุดไหนบ้าง คนไม่รู้มาทำก็เหมือนงานเก๊ยุคเก่า เห็นแวปเดียวก็รู้แล้วว่า "ไม่ใช่"
    #ของจริงมี #แต่ในยุคหลังมานี่จะน้อย
    #กรุแตก# ของจริงมีมานานแล้ว แต่ระยะหลายปีหลัง พอมีข่าวเซียนรีบไป เพื่อดักซื้อ แต่หลายครั้ง ก็มีคำตัดพ้อ "เสียเวลาฉิกหาย" เมื่อเห็นของ..!! ในส่วนของจริง จะไม่ขอกล่าวถึง ขอเขียนในส่วนที่ใช้กันประจำ คือ การวางงาน อาจจะมีการตกลงกับวัด หรือไม่ก็ได้ แล้วก็เอายอดฝีมือไปฝังของไว้ ..นิทานเรื่องเล่าก็ตามมา ส่งวิญญาณไปเข้าฝันเจ้าอาวาส หรือพระในวัดบอกตำแหน่งเส็รจสรรพ. เตรียมกล้อง ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ทีมงานครบ. ของแบบนี้ มีทำระดับ เบอร์เล็กๆ ไปยันเบอร์มีชื่อ (แบบที่คนรุ่นเก่า รุ่นแก่ ยังไม่กล้าสวดตรงๆเพราะเกรงใจ ก็มี) คนทำพระเก๊งานดีๆคือใคร คือเซียนนั่นละ เพราะรู้ว่า จะดูจุดชี้ขาดจุดไหนบ้าง คนไม่รู้มาทำก็เหมือนงานเก๊ยุคเก่า เห็นแวปเดียวก็รู้แล้วว่า "ไม่ใช่" #ของจริงมี #แต่ในยุคหลังมานี่จะน้อย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts