• เรื่องเล่าจากข่าว: “SS7 encoding attack” เมื่อการสื่อสารกลายเป็นช่องทางลับของการสอดแนม

    SS7 หรือ Signaling System 7 คือโปรโตคอลเก่าแก่ที่ใช้เชื่อมต่อสายโทรศัพท์, ส่งข้อความ, และจัดการการโรมมิ่งระหว่างเครือข่ายมือถือทั่วโลก แม้จะเป็นหัวใจของการสื่อสารยุคใหม่ แต่ SS7 ไม่เคยถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยในระดับที่ทันสมัย

    ล่าสุดนักวิจัยจาก Enea พบว่า บริษัทสอดแนมแห่งหนึ่งใช้เทคนิคใหม่ในการ “ปรับรูปแบบการเข้ารหัส” ของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ เช่น firewall และระบบเฝ้าระวัง ทำให้สามารถขอข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการได้โดยไม่ถูกบล็อก

    เทคนิคนี้อาศัยการปรับโครงสร้างของข้อความ TCAP (Transaction Capabilities Application Part) ซึ่งเป็นชั้นใน SS7 ที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยใช้การเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถสร้างข้อความที่ “ถูกต้องตามหลักการ แต่ผิดจากที่ระบบคาดไว้” จนระบบไม่สามารถตรวจจับได้

    การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ถึงระดับเสาสัญญาณ ซึ่งในเมืองใหญ่หมายถึงระยะเพียงไม่กี่ร้อยเมตร

    SS7 encoding attack คือการปรับรูปแบบการเข้ารหัสของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ
    ใช้เทคนิคการเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ในชั้น TCAP ของ SS7
    สร้างข้อความที่ดูถูกต้องแต่ระบบไม่สามารถถอดรหัสได้

    บริษัทสอดแนมใช้เทคนิคนี้เพื่อขอข้อมูลตำแหน่งผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการ
    ส่งคำสั่ง PSI (ProvideSubscriberInfo) ที่ถูกปรับแต่ง
    ระบบไม่สามารถตรวจสอบ IMSI ได้ จึงไม่บล็อกคำขอ

    การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และยังคงมีผลในปี 2025
    พบหลักฐานการใช้งานในเครือข่ายจริง
    บริษัทสอดแนมสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ระดับเสาสัญญาณ

    SS7 ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Diameter และ 5G signaling
    การเลิกใช้ SS7 ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ให้บริการส่วนใหญ่
    ต้องใช้วิธีป้องกันเชิงพฤติกรรมและการวิเคราะห์ภัยคุกคาม

    Enea แนะนำให้ผู้ให้บริการตรวจสอบรูปแบบการเข้ารหัสที่ผิดปกติและเสริม firewall ให้แข็งแรงขึ้น
    ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมร่วมกับ threat intelligence
    ป้องกันการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับในระดับโครงสร้างข้อความ

    ผู้ใช้มือถือไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ด้วยตัวเอง
    การโจมตีเกิดในระดับเครือข่ายมือถือ ไม่ใช่ที่อุปกรณ์ของผู้ใช้
    ต้องพึ่งผู้ให้บริการในการป้องกัน

    ระบบ SS7 firewall แบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการเข้ารหัสที่ผิดปกติได้
    ข้อความที่ใช้ encoding แบบใหม่จะผ่าน firewall โดยไม่ถูกบล็อก
    IMSI ที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกตรวจสอบว่าเป็นเครือข่ายภายในหรือภายนอก

    บริษัทสอดแนมสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อสอดแนมผู้ใช้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ
    แม้จะอ้างว่าใช้เพื่อจับอาชญากร แต่มีการใช้กับนักข่าวและนักเคลื่อนไหว
    เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

    ระบบ SS7 มีความซับซ้อนและไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับการป้องกันภัยสมัยใหม่
    ASN.1 BER มีความยืดหยุ่นสูงจนกลายเป็นช่องโหว่
    การปรับโครงสร้างข้อความสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับได้ง่าย

    https://hackread.com/researchers-ss7-encoding-attack-surveillance-vendor/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “SS7 encoding attack” เมื่อการสื่อสารกลายเป็นช่องทางลับของการสอดแนม SS7 หรือ Signaling System 7 คือโปรโตคอลเก่าแก่ที่ใช้เชื่อมต่อสายโทรศัพท์, ส่งข้อความ, และจัดการการโรมมิ่งระหว่างเครือข่ายมือถือทั่วโลก แม้จะเป็นหัวใจของการสื่อสารยุคใหม่ แต่ SS7 ไม่เคยถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยในระดับที่ทันสมัย ล่าสุดนักวิจัยจาก Enea พบว่า บริษัทสอดแนมแห่งหนึ่งใช้เทคนิคใหม่ในการ “ปรับรูปแบบการเข้ารหัส” ของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ เช่น firewall และระบบเฝ้าระวัง ทำให้สามารถขอข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการได้โดยไม่ถูกบล็อก เทคนิคนี้อาศัยการปรับโครงสร้างของข้อความ TCAP (Transaction Capabilities Application Part) ซึ่งเป็นชั้นใน SS7 ที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยใช้การเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถสร้างข้อความที่ “ถูกต้องตามหลักการ แต่ผิดจากที่ระบบคาดไว้” จนระบบไม่สามารถตรวจจับได้ การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ถึงระดับเสาสัญญาณ ซึ่งในเมืองใหญ่หมายถึงระยะเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ✅ SS7 encoding attack คือการปรับรูปแบบการเข้ารหัสของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ ➡️ ใช้เทคนิคการเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ในชั้น TCAP ของ SS7 ➡️ สร้างข้อความที่ดูถูกต้องแต่ระบบไม่สามารถถอดรหัสได้ ✅ บริษัทสอดแนมใช้เทคนิคนี้เพื่อขอข้อมูลตำแหน่งผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการ ➡️ ส่งคำสั่ง PSI (ProvideSubscriberInfo) ที่ถูกปรับแต่ง ➡️ ระบบไม่สามารถตรวจสอบ IMSI ได้ จึงไม่บล็อกคำขอ ✅ การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และยังคงมีผลในปี 2025 ➡️ พบหลักฐานการใช้งานในเครือข่ายจริง ➡️ บริษัทสอดแนมสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ระดับเสาสัญญาณ ✅ SS7 ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Diameter และ 5G signaling ➡️ การเลิกใช้ SS7 ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ให้บริการส่วนใหญ่ ➡️ ต้องใช้วิธีป้องกันเชิงพฤติกรรมและการวิเคราะห์ภัยคุกคาม ✅ Enea แนะนำให้ผู้ให้บริการตรวจสอบรูปแบบการเข้ารหัสที่ผิดปกติและเสริม firewall ให้แข็งแรงขึ้น ➡️ ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมร่วมกับ threat intelligence ➡️ ป้องกันการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับในระดับโครงสร้างข้อความ ‼️ ผู้ใช้มือถือไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ด้วยตัวเอง ⛔ การโจมตีเกิดในระดับเครือข่ายมือถือ ไม่ใช่ที่อุปกรณ์ของผู้ใช้ ⛔ ต้องพึ่งผู้ให้บริการในการป้องกัน ‼️ ระบบ SS7 firewall แบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการเข้ารหัสที่ผิดปกติได้ ⛔ ข้อความที่ใช้ encoding แบบใหม่จะผ่าน firewall โดยไม่ถูกบล็อก ⛔ IMSI ที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกตรวจสอบว่าเป็นเครือข่ายภายในหรือภายนอก ‼️ บริษัทสอดแนมสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อสอดแนมผู้ใช้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ⛔ แม้จะอ้างว่าใช้เพื่อจับอาชญากร แต่มีการใช้กับนักข่าวและนักเคลื่อนไหว ⛔ เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ‼️ ระบบ SS7 มีความซับซ้อนและไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับการป้องกันภัยสมัยใหม่ ⛔ ASN.1 BER มีความยืดหยุ่นสูงจนกลายเป็นช่องโหว่ ⛔ การปรับโครงสร้างข้อความสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับได้ง่าย https://hackread.com/researchers-ss7-encoding-attack-surveillance-vendor/
    HACKREAD.COM
    Researchers Link New SS7 Encoding Attack to Surveillance Vendor Activity
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin

    ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ

    Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate”

    กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ

    FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos
    ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส
    ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ

    Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม
    มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล
    ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่

    ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล
    หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง

    หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ
    สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ
    หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS

    Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้
    ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว
    มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger

    การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง

    การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม
    Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS
    ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร

    การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป
    FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน
    การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม

    กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม
    Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti
    การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate” กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ✅ FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos ➡️ ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส ➡️ ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม ➡️ มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่ ✅ ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล ➡️ หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ➡️ ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง ✅ หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ ➡️ สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ ➡️ หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS ✅ Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้ ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger ‼️ การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ⛔ Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง ‼️ การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม ⛔ Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS ⛔ ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร ‼️ การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป ⛔ FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน ⛔ การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม ‼️ กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม ⛔ Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti ⛔ การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากภาพลวงตา: เมื่อภาพถ่ายกลายเป็นสนามรบของความจริง
    Microsoft ได้เปิดตัวเว็บไซต์เกม “Real or Not” ที่ให้ผู้ใช้ทดสอบความสามารถในการแยกแยะภาพจริงกับภาพที่สร้างโดย AI โดยใช้ภาพจากคลังภาพถ่ายและโมเดล AI หลายตัว เช่น Flux Pro และ GAN deepfakes

    จากการศึกษาภาพกว่า 287,000 ภาพ โดยผู้เข้าร่วม 12,500 คนทั่วโลก พบว่า:
    - คนทั่วไปสามารถแยกแยะภาพจริงจากภาพปลอมได้ถูกต้องเพียง 63%
    - ภาพที่สร้างโดย GAN ซึ่งเน้นเฉพาะใบหน้าหรือใช้เทคนิค inpainting หลอกผู้ชมได้ถึง 55%
    - ภาพจริงบางภาพกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม โดยเฉพาะภาพที่มีแสง สี หรือมุมกล้องแปลกตา เช่น ภาพทหารในสถานการณ์พิเศษ

    Microsoft ยังเผยว่าเครื่องมือตรวจจับภาพปลอมที่กำลังพัฒนาอยู่สามารถแยกแยะได้แม่นยำถึง 95% ซึ่งเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์อย่างชัดเจน

    Microsoft เปิดตัวเว็บไซต์ “Real or Not” เพื่อทดสอบการแยกแยะภาพจริงกับภาพที่สร้างโดย AI
    ใช้ภาพจากคลังภาพถ่ายและโมเดล AI เช่น Flux Pro และ GAN deepfakes
    ผู้ใช้ต้องเลือกว่าภาพที่เห็นเป็นของจริงหรือของปลอม

    ผลการศึกษาจากภาพ 287,000 ภาพ โดยผู้เข้าร่วม 12,500 คนทั่วโลก
    ผู้ใช้สามารถแยกแยะภาพได้ถูกต้องเฉลี่ย 63%
    ภาพใบหน้าที่สร้างโดย GAN หลอกผู้ชมได้ถึง 55%

    ภาพจริงบางภาพกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม
    เช่น ภาพทหารในสถานการณ์แสงและสีแปลกตา
    แสดงให้เห็นว่าความแปลกของภาพจริงอาจทำให้คนสงสัยว่าเป็นภาพปลอม

    AI ที่ Microsoft กำลังพัฒนาสามารถตรวจจับภาพปลอมได้แม่นยำถึง 95%
    ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระดับพิกเซลและความถี่ของภาพ
    มีความแม่นยำสูงกว่าการตัดสินใจของมนุษย์

    Flux Pro AI สามารถสร้างภาพที่ดูเหมือนถ่ายจากมือถือทั่วไปได้
    ลดความเรียบเนียนเกินจริงของภาพ AI แบบเดิม
    ทำให้ภาพปลอมดูเหมือนภาพจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น

    ภาพที่สร้างโดย AI มีความสมจริงมากขึ้นจนยากต่อการตรวจจับด้วยสายตา
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจถูกหลอกโดยภาพที่ดูเหมือนภาพถ่ายจริง
    ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลภาพในสื่อสังคมและข่าวสาร

    ภาพจริงที่มีองค์ประกอบแปลกตาอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม
    เช่น ภาพที่มีแสงผิดธรรมชาติหรือมุมกล้องไม่คุ้นเคย
    อาจทำให้เกิดการปฏิเสธข้อมูลที่เป็นความจริง

    การใช้ภาพปลอมเพื่อสร้างความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
    โดยเฉพาะในบริบททางการเมืองหรือข่าวปลอม
    เสี่ยงต่อการบิดเบือนความคิดเห็นสาธารณะ

    การพัฒนา AI ที่ตรวจจับภาพปลอมยังต้องการการปรับปรุงเพื่อรองรับโมเดลใหม่ๆ
    โมเดล GAN ใหม่ๆ อาจหลบเลี่ยงการตรวจจับได้
    ต้องมีการอัปเดตระบบตรวจจับเป็นประจำ

    https://www.techspot.com/news/108862-think-you-can-tell-fake-image-real-one.html
    🧠 เรื่องเล่าจากภาพลวงตา: เมื่อภาพถ่ายกลายเป็นสนามรบของความจริง Microsoft ได้เปิดตัวเว็บไซต์เกม “Real or Not” ที่ให้ผู้ใช้ทดสอบความสามารถในการแยกแยะภาพจริงกับภาพที่สร้างโดย AI โดยใช้ภาพจากคลังภาพถ่ายและโมเดล AI หลายตัว เช่น Flux Pro และ GAN deepfakes จากการศึกษาภาพกว่า 287,000 ภาพ โดยผู้เข้าร่วม 12,500 คนทั่วโลก พบว่า: - คนทั่วไปสามารถแยกแยะภาพจริงจากภาพปลอมได้ถูกต้องเพียง 63% - ภาพที่สร้างโดย GAN ซึ่งเน้นเฉพาะใบหน้าหรือใช้เทคนิค inpainting หลอกผู้ชมได้ถึง 55% - ภาพจริงบางภาพกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม โดยเฉพาะภาพที่มีแสง สี หรือมุมกล้องแปลกตา เช่น ภาพทหารในสถานการณ์พิเศษ Microsoft ยังเผยว่าเครื่องมือตรวจจับภาพปลอมที่กำลังพัฒนาอยู่สามารถแยกแยะได้แม่นยำถึง 95% ซึ่งเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์อย่างชัดเจน ✅ Microsoft เปิดตัวเว็บไซต์ “Real or Not” เพื่อทดสอบการแยกแยะภาพจริงกับภาพที่สร้างโดย AI ➡️ ใช้ภาพจากคลังภาพถ่ายและโมเดล AI เช่น Flux Pro และ GAN deepfakes ➡️ ผู้ใช้ต้องเลือกว่าภาพที่เห็นเป็นของจริงหรือของปลอม ✅ ผลการศึกษาจากภาพ 287,000 ภาพ โดยผู้เข้าร่วม 12,500 คนทั่วโลก ➡️ ผู้ใช้สามารถแยกแยะภาพได้ถูกต้องเฉลี่ย 63% ➡️ ภาพใบหน้าที่สร้างโดย GAN หลอกผู้ชมได้ถึง 55% ✅ ภาพจริงบางภาพกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม ➡️ เช่น ภาพทหารในสถานการณ์แสงและสีแปลกตา ➡️ แสดงให้เห็นว่าความแปลกของภาพจริงอาจทำให้คนสงสัยว่าเป็นภาพปลอม ✅ AI ที่ Microsoft กำลังพัฒนาสามารถตรวจจับภาพปลอมได้แม่นยำถึง 95% ➡️ ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระดับพิกเซลและความถี่ของภาพ ➡️ มีความแม่นยำสูงกว่าการตัดสินใจของมนุษย์ ✅ Flux Pro AI สามารถสร้างภาพที่ดูเหมือนถ่ายจากมือถือทั่วไปได้ ➡️ ลดความเรียบเนียนเกินจริงของภาพ AI แบบเดิม ➡️ ทำให้ภาพปลอมดูเหมือนภาพจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ‼️ ภาพที่สร้างโดย AI มีความสมจริงมากขึ้นจนยากต่อการตรวจจับด้วยสายตา ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจถูกหลอกโดยภาพที่ดูเหมือนภาพถ่ายจริง ⛔ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลภาพในสื่อสังคมและข่าวสาร ‼️ ภาพจริงที่มีองค์ประกอบแปลกตาอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพปลอม ⛔ เช่น ภาพที่มีแสงผิดธรรมชาติหรือมุมกล้องไม่คุ้นเคย ⛔ อาจทำให้เกิดการปฏิเสธข้อมูลที่เป็นความจริง ‼️ การใช้ภาพปลอมเพื่อสร้างความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ⛔ โดยเฉพาะในบริบททางการเมืองหรือข่าวปลอม ⛔ เสี่ยงต่อการบิดเบือนความคิดเห็นสาธารณะ ‼️ การพัฒนา AI ที่ตรวจจับภาพปลอมยังต้องการการปรับปรุงเพื่อรองรับโมเดลใหม่ๆ ⛔ โมเดล GAN ใหม่ๆ อาจหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ ⛔ ต้องมีการอัปเดตระบบตรวจจับเป็นประจำ https://www.techspot.com/news/108862-think-you-can-tell-fake-image-real-one.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Think you can tell a fake image from a real one? Microsoft's quiz will test you
    The study found that humans can accurately distinguish real photos from AI-generated ones about 63% of the time. In contrast, Microsoft's in-development AI detection tool reportedly achieves...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP

    Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด

    แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา

    กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์

    Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB
    เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี
    ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา

    GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025
    ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ
    รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก

    กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน
    ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล
    มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล

    GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ
    รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์)
    สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน

    ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์
    เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร
    การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

    https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์ ✅ Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB ➡️ เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี ➡️ ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา ✅ GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025 ➡️ ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก ✅ กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน ➡️ ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล ➡️ มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล ✅ GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ ➡️ รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์) ➡️ สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน ✅ ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร ➡️ การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    HACKREAD.COM
    GLOBAL GROUP Ransomware Claims Breach of Media Giant Albavisión
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกของ Embedding: เมื่อข้อความกลายเป็นตัวเลขที่มีความหมาย

    ลองจินตนาการว่าเราให้โมเดลภาษาอย่าง Llama2 หรือ Mistral อ่านประโยคหนึ่ง เช่น “แมวกระโดดขึ้นโต๊ะ” แล้วถามว่า “เข้าใจไหม?” โมเดลจะไม่ตอบว่า “เข้าใจ” แบบมนุษย์ แต่จะเปลี่ยนประโยคนั้นเป็นชุดตัวเลขที่เรียกว่า embedding ซึ่งเป็นการแปลงข้อความให้กลายเป็น “ความหมายในเชิงคณิตศาสตร์”

    ใน Hugging Face Space นี้ hesamation ได้อธิบายว่า embedding คือการนำข้อความผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนในโมเดล LLM เพื่อให้ได้เวกเตอร์ที่สื่อถึงความหมายของข้อความนั้น โดยใช้เทคนิคการ pooling เช่น การเฉลี่ย (average), การใช้ token พิเศษ [CLS], หรือการเลือกค่ามากสุด (max pooling)

    นอกจากนี้ยังมีการอธิบายว่า embedding ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นการสรุปความหมาย, บริบท, และโครงสร้างของข้อความในรูปแบบที่โมเดลเข้าใจได้ และสามารถนำไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น การค้นหาความคล้ายคลึง, การจัดกลุ่มข้อมูล, หรือการตอบคำถาม

    Embedding คือการแปลงข้อความให้เป็นเวกเตอร์ที่มีความหมาย
    ใช้ในงาน NLP เช่น การค้นหา, การจัดกลุ่ม, การตอบคำถาม

    โมเดล LLM เช่น Llama2 และ Mistral สร้าง embedding จาก hidden states หลายชั้น
    hidden states มีรูปแบบ [batch_size, number_of_tokens, embedding_size]
    ต้องใช้เทคนิค pooling เพื่อให้ได้ embedding เดียวต่อข้อความ

    เทคนิค pooling มีหลายแบบให้เลือกใช้ตามบริบทของงาน
    เช่น average pooling, max pooling, [CLS] token pooling
    attention_mask ใช้เพื่อกรอง token ที่เป็น padding

    embedding เป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้าใจภาษาธรรมชาติในโมเดล AI
    ช่วยให้โมเดลเข้าใจความหมายและบริบทของข้อความ
    เป็นจุดเริ่มต้นของการประมวลผลข้อมูลเชิงภาษา

    การเลือก pooling strategy ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ embedding ไม่สะท้อนความหมายที่แท้จริง
    เช่น การใช้ average pooling กับข้อความที่มี padding มาก อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    ต้องใช้ attention_mask เพื่อกรอง token ที่ไม่สำคัญ

    การใช้ embedding จากโมเดลที่ไม่รองรับงานเฉพาะทาง อาจให้ผลลัพธ์ไม่แม่นยำ
    เช่น ใช้ embedding จากโมเดลทั่วไปกับงานทางการแพทย์หรือกฎหมาย
    ควรเลือกโมเดลที่ fine-tune มาเพื่อบริบทนั้นโดยเฉพาะ

    การใช้ embedding โดยไม่เข้าใจโครงสร้างของ hidden states อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการประมวลผล
    เช่น การเลือก hidden state ชั้นที่ไม่เหมาะสม
    ควรศึกษาว่าแต่ละชั้นของโมเดลมีความหมายอย่างไร

    https://huggingface.co/spaces/hesamation/primer-llm-embedding
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกของ Embedding: เมื่อข้อความกลายเป็นตัวเลขที่มีความหมาย ลองจินตนาการว่าเราให้โมเดลภาษาอย่าง Llama2 หรือ Mistral อ่านประโยคหนึ่ง เช่น “แมวกระโดดขึ้นโต๊ะ” แล้วถามว่า “เข้าใจไหม?” โมเดลจะไม่ตอบว่า “เข้าใจ” แบบมนุษย์ แต่จะเปลี่ยนประโยคนั้นเป็นชุดตัวเลขที่เรียกว่า embedding ซึ่งเป็นการแปลงข้อความให้กลายเป็น “ความหมายในเชิงคณิตศาสตร์” ใน Hugging Face Space นี้ hesamation ได้อธิบายว่า embedding คือการนำข้อความผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนในโมเดล LLM เพื่อให้ได้เวกเตอร์ที่สื่อถึงความหมายของข้อความนั้น โดยใช้เทคนิคการ pooling เช่น การเฉลี่ย (average), การใช้ token พิเศษ [CLS], หรือการเลือกค่ามากสุด (max pooling) นอกจากนี้ยังมีการอธิบายว่า embedding ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นการสรุปความหมาย, บริบท, และโครงสร้างของข้อความในรูปแบบที่โมเดลเข้าใจได้ และสามารถนำไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น การค้นหาความคล้ายคลึง, การจัดกลุ่มข้อมูล, หรือการตอบคำถาม ✅ Embedding คือการแปลงข้อความให้เป็นเวกเตอร์ที่มีความหมาย ➡️ ใช้ในงาน NLP เช่น การค้นหา, การจัดกลุ่ม, การตอบคำถาม ✅ โมเดล LLM เช่น Llama2 และ Mistral สร้าง embedding จาก hidden states หลายชั้น ➡️ hidden states มีรูปแบบ [batch_size, number_of_tokens, embedding_size] ➡️ ต้องใช้เทคนิค pooling เพื่อให้ได้ embedding เดียวต่อข้อความ ✅ เทคนิค pooling มีหลายแบบให้เลือกใช้ตามบริบทของงาน ➡️ เช่น average pooling, max pooling, [CLS] token pooling ➡️ attention_mask ใช้เพื่อกรอง token ที่เป็น padding ✅ embedding เป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้าใจภาษาธรรมชาติในโมเดล AI ➡️ ช่วยให้โมเดลเข้าใจความหมายและบริบทของข้อความ ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของการประมวลผลข้อมูลเชิงภาษา ‼️ การเลือก pooling strategy ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ embedding ไม่สะท้อนความหมายที่แท้จริง ⛔ เช่น การใช้ average pooling กับข้อความที่มี padding มาก อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ ต้องใช้ attention_mask เพื่อกรอง token ที่ไม่สำคัญ ‼️ การใช้ embedding จากโมเดลที่ไม่รองรับงานเฉพาะทาง อาจให้ผลลัพธ์ไม่แม่นยำ ⛔ เช่น ใช้ embedding จากโมเดลทั่วไปกับงานทางการแพทย์หรือกฎหมาย ⛔ ควรเลือกโมเดลที่ fine-tune มาเพื่อบริบทนั้นโดยเฉพาะ ‼️ การใช้ embedding โดยไม่เข้าใจโครงสร้างของ hidden states อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการประมวลผล ⛔ เช่น การเลือก hidden state ชั้นที่ไม่เหมาะสม ⛔ ควรศึกษาว่าแต่ละชั้นของโมเดลมีความหมายอย่างไร https://huggingface.co/spaces/hesamation/primer-llm-embedding
    HUGGINGFACE.CO
    LLM Embeddings Explained: A Visual and Intuitive Guide - a Hugging Face Space by hesamation
    This app explains how language models transform text into meaningful representations through embeddings. It provides a visual guide to help you understand traditional and modern language model tech...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกมืดของ UIA: เมื่อเครื่องมือสำหรับผู้พิการถูกใช้เป็นช่องทางลอบโจมตี

    UI Automation (UIA) เป็นระบบที่ Microsoft ออกแบบเพื่อช่วยให้เทคโนโลยีผู้ช่วย (assistive technologies) เช่น screen reader เข้าถึง UI ของซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ — แต่แฮกเกอร์พบว่า UIA สามารถใช้ “สแกน” หน้าต่างของโปรแกรมอื่น เพื่อดึงข้อมูลจากฟิลด์ต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องเข้าถึง API หรือระบบเครือข่าย

    มัลแวร์ Coyote รุ่นล่าสุดจึงใช้ UIA ในการ:
    - ตรวจสอบว่าเหย้อติดต่อกับธนาคารหรือเว็บคริปโตหรือไม่ โดยวิเคราะห์ชื่อหน้าต่าง
    - หากไม่พบชื่อในลิสต์ 75 สถาบันที่ถูกตั้งไว้ล่วงหน้า จะใช้ UIA สแกน sub-elements เพื่อตรวจจับ field ที่น่าจะเกี่ยวกับการเงิน
    - ดึงข้อมูล เช่น username, password, หรือ address bar ได้โดยตรงผ่าน COM object ของ UIA

    เทคนิคนี้ช่วยให้มัลแวร์:
    - หลบหลีก endpoint detection software ได้ดีขึ้น
    - ทำงานได้ทั้งแบบ online และ offline
    - มีความยืดหยุ่นในการเข้าถึงหลายแอปและหลาย browser โดยไม่ต้องรู้โครงสร้างล่วงหน้า

    Coyote Trojan รุ่นใหม่ใช้ Microsoft UI Automation (UIA) ในการขโมยข้อมูลจากธนาคารและคริปโต
    ถือเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่นำ UIA ไปใช้จริงจากแนวคิด proof-of-concept

    UIA เป็น framework ที่ช่วยให้โปรแกรมเข้าถึง UI ของแอปอื่นผ่าน COM object
    ทำให้สามารถอ่าน content ใน input field, address bar, และ sub-element ของหน้าต่างได้

    Coyote ตรวจสอบชื่อหน้าต่างว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหรือไม่
    หากไม่ตรง จะใช้ UIA “ไต่” โครงสร้างหน้าต่างเพื่อหาข้อมูลแทน

    มัลแวร์มีลิสต์สถาบันการเงิน 75 แห่ง ซึ่งรวมถึงธนาคารและ crypto exchange
    มีการ mapping เป็นหมวดหมู่ภายใน เพื่อใช้เลือกเป้าหมายและเทคนิคการโจมตี

    Coyote ยังส่งข้อมูลเครื่องกลับไปยัง C2 เช่น username, computer name, browser
    แม้อยู่แบบ offline ก็ยังตรวจสอบและเก็บข้อมูลไว้ได้โดยไม่ต้องสื่อสารตลอดเวลา

    Akamai มีคำแนะนำให้ตรวจสอบ DLL ที่โหลด เช่น UIAutomationCore.dll
    และใช้ osquery ตรวจสอบ named pipe ที่เกี่ยวข้องกับ UIA เพื่อจับพฤติกรรมผิดปกติ

    https://hackread.com/coyote-trojan-use-microsoft-ui-automation-bank-attacks/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกมืดของ UIA: เมื่อเครื่องมือสำหรับผู้พิการถูกใช้เป็นช่องทางลอบโจมตี UI Automation (UIA) เป็นระบบที่ Microsoft ออกแบบเพื่อช่วยให้เทคโนโลยีผู้ช่วย (assistive technologies) เช่น screen reader เข้าถึง UI ของซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ — แต่แฮกเกอร์พบว่า UIA สามารถใช้ “สแกน” หน้าต่างของโปรแกรมอื่น เพื่อดึงข้อมูลจากฟิลด์ต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องเข้าถึง API หรือระบบเครือข่าย มัลแวร์ Coyote รุ่นล่าสุดจึงใช้ UIA ในการ: - ตรวจสอบว่าเหย้อติดต่อกับธนาคารหรือเว็บคริปโตหรือไม่ โดยวิเคราะห์ชื่อหน้าต่าง - หากไม่พบชื่อในลิสต์ 75 สถาบันที่ถูกตั้งไว้ล่วงหน้า จะใช้ UIA สแกน sub-elements เพื่อตรวจจับ field ที่น่าจะเกี่ยวกับการเงิน - ดึงข้อมูล เช่น username, password, หรือ address bar ได้โดยตรงผ่าน COM object ของ UIA เทคนิคนี้ช่วยให้มัลแวร์: - หลบหลีก endpoint detection software ได้ดีขึ้น - ทำงานได้ทั้งแบบ online และ offline - มีความยืดหยุ่นในการเข้าถึงหลายแอปและหลาย browser โดยไม่ต้องรู้โครงสร้างล่วงหน้า ✅ Coyote Trojan รุ่นใหม่ใช้ Microsoft UI Automation (UIA) ในการขโมยข้อมูลจากธนาคารและคริปโต ➡️ ถือเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่นำ UIA ไปใช้จริงจากแนวคิด proof-of-concept ✅ UIA เป็น framework ที่ช่วยให้โปรแกรมเข้าถึง UI ของแอปอื่นผ่าน COM object ➡️ ทำให้สามารถอ่าน content ใน input field, address bar, และ sub-element ของหน้าต่างได้ ✅ Coyote ตรวจสอบชื่อหน้าต่างว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหรือไม่ ➡️ หากไม่ตรง จะใช้ UIA “ไต่” โครงสร้างหน้าต่างเพื่อหาข้อมูลแทน ✅ มัลแวร์มีลิสต์สถาบันการเงิน 75 แห่ง ซึ่งรวมถึงธนาคารและ crypto exchange ➡️ มีการ mapping เป็นหมวดหมู่ภายใน เพื่อใช้เลือกเป้าหมายและเทคนิคการโจมตี ✅ Coyote ยังส่งข้อมูลเครื่องกลับไปยัง C2 เช่น username, computer name, browser ➡️ แม้อยู่แบบ offline ก็ยังตรวจสอบและเก็บข้อมูลไว้ได้โดยไม่ต้องสื่อสารตลอดเวลา ✅ Akamai มีคำแนะนำให้ตรวจสอบ DLL ที่โหลด เช่น UIAutomationCore.dll ➡️ และใช้ osquery ตรวจสอบ named pipe ที่เกี่ยวข้องกับ UIA เพื่อจับพฤติกรรมผิดปกติ https://hackread.com/coyote-trojan-use-microsoft-ui-automation-bank-attacks/
    HACKREAD.COM
    Coyote Trojan First to Use Microsoft UI Automation in Bank Attacks
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร

    ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง

    แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง:
    - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น
    - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้
    - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น

    แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27%

    YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022
    ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้

    YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า
    ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density

    เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026
    หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก

    YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45%
    สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%)

    ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE
    มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน

    YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ
    ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ

    เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป
    อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา

    การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน
    ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น

    การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป
    เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง

    การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่
    SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง

    หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก
    ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง: - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้ - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27% ✅ YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022 ➡️ ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้ ✅ YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า ➡️ ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density ✅ เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026 ➡️ หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก ✅ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ➡️ สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%) ✅ ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน ✅ YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ ➡️ ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ ‼️ เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ⛔ อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา ‼️ การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน ⛔ ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น ‼️ การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป ⛔ เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง ‼️ การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่ ⛔ SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง ‼️ หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก ⛔ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป

    Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น:
    - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ
    - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก
    - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่

    ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง
    ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม

    Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น
    ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier
    เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน

    Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง
    ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน

    ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30%
    เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต
    โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์
    ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้

    การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ
    หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก

    การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
    ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง

    ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป
    ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    🎙️ เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น: - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง ➡️ ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม ✅ Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น ➡️ ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier ➡️ เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ✅ Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง ➡️ ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน ✅ ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30% ➡️ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี ✅ Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต ➡️ โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ‼️ Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์ ⛔ ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้ ‼️ การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ ⛔ หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก ‼️ การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ⛔ ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง ‼️ ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป ⛔ ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    NEWS.SAMSUNG.COM
    [Interview] Staying Cool Without Refrigerants: How Samsung Is Pioneering Next-Generation Peltier Cooling
    On June 28, Samsung Electronics, together with the Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory (APL), published a paper on next-generation Peltier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเส้นสั่น: เมื่อภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยฟิลเตอร์ SVG

    Camillo ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี ARTE ที่ใช้ภาพประกอบแบบเรียบง่าย แต่มี “การสั่นเบา ๆ” ที่ทำให้ดูเหมือนภาพเคลื่อนไหวแบบวาดมือ เขาจึงทดลองสร้างเอฟเฟกต์นี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องวาดหลายเฟรม แต่ใช้เทคนิคการบิดเบือนภาพผ่านฟิลเตอร์ SVG แทน

    หลักการมี 2 ส่วน:
    1️⃣. Distortion: ทำให้ขอบของภาพไม่เรียบตรง แต่มีความสั่นแบบสุ่ม
    2️⃣. Animation: เปลี่ยนค่าการสั่นทุก ๆ 100–200 ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง

    โดยใช้ฟิลเตอร์ SVG 2 ตัว:

     feTurbulence: สร้าง noise texture แบบ procedural

     feDisplacementMap: ใช้ noise นั้นเพื่อบิดเบือนพิกเซลของภาพ

    จากนั้นใช้ JavaScript เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ เช่น baseFrequency และ scale เพื่อให้เกิดการสั่นแบบมีชีวิตชีวา

    เอฟเฟกต์ “boiling” คือการทำให้ภาพนิ่งดูเหมือนเคลื่อนไหวด้วยการสั่นเบา ๆ
    ใช้ในงานอนิเมชันเพื่อให้ฉากนิ่งดูมีชีวิต เช่นตัวละครยืนเฉย ๆ

    เทคนิคดั้งเดิมคือวาดหลายเฟรมด้วยมือแล้ววนซ้ำ
    แต่ในเว็บสามารถใช้ SVG filter แทนได้โดยไม่ต้องวาดหลายภาพ

    ใช้ฟิลเตอร์ feTurbulence เพื่อสร้าง noise และ feDisplacementMap เพื่อบิดภาพ
    noise จะบิดพิกเซลของภาพให้ดูเหมือนเส้นสั่น

    JavaScript ใช้เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ทุก 100ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว
    เช่นปรับ baseFrequency แบบสุ่มเล็กน้อยในแต่ละเฟรม

    มีเดโมให้ทดลองปรับค่าต่าง ๆ เช่น scale, frequency, และ animation intensity
    สามารถควบคุมระดับการสั่นได้ตั้งแต่เบา ๆ ไปจนถึงสั่นแรงจนภาพบิดเบี้ยว

    เทคนิคนี้ใช้ได้ทั้งกับภาพ SVG และภาพ raster (.jpg, .png)
    ทำให้สามารถนำไปใช้กับภาพประกอบทั่วไปได้หลากหลาย

    https://camillovisini.com/coding/simulating-hand-drawn-motion-with-svg-filters
    🎙️ เรื่องเล่าจากเส้นสั่น: เมื่อภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยฟิลเตอร์ SVG Camillo ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี ARTE ที่ใช้ภาพประกอบแบบเรียบง่าย แต่มี “การสั่นเบา ๆ” ที่ทำให้ดูเหมือนภาพเคลื่อนไหวแบบวาดมือ เขาจึงทดลองสร้างเอฟเฟกต์นี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องวาดหลายเฟรม แต่ใช้เทคนิคการบิดเบือนภาพผ่านฟิลเตอร์ SVG แทน หลักการมี 2 ส่วน: 1️⃣. Distortion: ทำให้ขอบของภาพไม่เรียบตรง แต่มีความสั่นแบบสุ่ม 2️⃣. Animation: เปลี่ยนค่าการสั่นทุก ๆ 100–200 ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยใช้ฟิลเตอร์ SVG 2 ตัว: ✅ feTurbulence: สร้าง noise texture แบบ procedural ✅ feDisplacementMap: ใช้ noise นั้นเพื่อบิดเบือนพิกเซลของภาพ จากนั้นใช้ JavaScript เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ เช่น baseFrequency และ scale เพื่อให้เกิดการสั่นแบบมีชีวิตชีวา ✅ เอฟเฟกต์ “boiling” คือการทำให้ภาพนิ่งดูเหมือนเคลื่อนไหวด้วยการสั่นเบา ๆ ➡️ ใช้ในงานอนิเมชันเพื่อให้ฉากนิ่งดูมีชีวิต เช่นตัวละครยืนเฉย ๆ ✅ เทคนิคดั้งเดิมคือวาดหลายเฟรมด้วยมือแล้ววนซ้ำ ➡️ แต่ในเว็บสามารถใช้ SVG filter แทนได้โดยไม่ต้องวาดหลายภาพ ✅ ใช้ฟิลเตอร์ feTurbulence เพื่อสร้าง noise และ feDisplacementMap เพื่อบิดภาพ ➡️ noise จะบิดพิกเซลของภาพให้ดูเหมือนเส้นสั่น ✅ JavaScript ใช้เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ทุก 100ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ➡️ เช่นปรับ baseFrequency แบบสุ่มเล็กน้อยในแต่ละเฟรม ✅ มีเดโมให้ทดลองปรับค่าต่าง ๆ เช่น scale, frequency, และ animation intensity ➡️ สามารถควบคุมระดับการสั่นได้ตั้งแต่เบา ๆ ไปจนถึงสั่นแรงจนภาพบิดเบี้ยว ✅ เทคนิคนี้ใช้ได้ทั้งกับภาพ SVG และภาพ raster (.jpg, .png) ➡️ ทำให้สามารถนำไปใช้กับภาพประกอบทั่วไปได้หลากหลาย https://camillovisini.com/coding/simulating-hand-drawn-motion-with-svg-filters
    CAMILLOVISINI.COM
    Simulating Hand-Drawn Motion with SVG Filters
    A practical guide to implementing the boiling line animation effect using SVG filter primitives and JavaScript - Blog post by Camillo Visini
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • LG Electronics เตรียมผลิตเครื่อง Hybrid Bonding – ปูทางสู่ยุค HBM4 และ AI ระดับโลก

    LG Electronics ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและโซลูชัน B2B เช่น HVAC และหุ่นยนต์ กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ โดยพัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการประกอบหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) รุ่นใหม่

    Hybrid Bonding คือเทคนิคการเชื่อมต่อชั้น wafer โดยไม่ใช้การบัดกรีแบบเดิม แต่ใช้การกดแผ่นทองแดงที่ถูกขัดเรียบระดับนาโนเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง ทำให้ได้การเชื่อมต่อที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่าแบบ Thermal Compression Bonding

    เทคโนโลยีนี้จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่มีการซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น ซึ่งวิธีเดิมไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป

    LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Seoul National University และเปิดรับนักวิจัยระดับปริญญาเอกจำนวนมากเพื่อเร่งการพัฒนา

    ปัจจุบันมีเพียงบริษัท BESI (เนเธอร์แลนด์) และ Applied Materials (สหรัฐฯ) ที่ผลิตเครื่อง Hybrid Bonding เชิงพาณิชย์ แต่ยังไม่มีฐานในเกาหลีใต้ ทำให้ LG มีโอกาสเป็นผู้เล่นรายแรกในประเทศ

    หาก LG ทำสำเร็จตามแผน เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และการเปิดสายผลิต HBM4 ของ Samsung ในปี 2028

    ข้อมูลจากข่าว
    - LG Electronics พัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการผลิต HBM รุ่นใหม่
    - Hybrid Bonding ใช้การกดแผ่นทองแดงเรียบเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง
    - ให้ผลลัพธ์ที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่า Thermal Compression Bonding
    - จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่ซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น
    - LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028
    - ร่วมมือกับ Seoul National University และรับนักวิจัยระดับ PhD
    - ปัจจุบันมีเพียง BESI และ Applied Materials ที่ผลิตเครื่องแบบนี้เชิงพาณิชย์
    - LG อาจเป็นผู้ผลิตรายแรกในเกาหลีใต้ที่เข้าสู่ตลาดนี้
    - เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และ Samsung

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - LG ยังอยู่ในขั้นพัฒนาเบื้องต้น ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์
    - การแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่มีประสบการณ์สูงอาจเป็นความท้าทาย
    - หากไม่สามารถพัฒนาเครื่องให้ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม อาจเสียโอกาสทางธุรกิจ
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ต้องมีการทดสอบความเสถียรและความแม่นยำอย่างเข้มงวด
    - ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์มีความผันผวนสูง ต้องมีแผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น

    https://www.techpowerup.com/338913/lg-electronics-to-enter-semiconductor-equipment-market-with-hybrid-bonding
    LG Electronics เตรียมผลิตเครื่อง Hybrid Bonding – ปูทางสู่ยุค HBM4 และ AI ระดับโลก LG Electronics ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและโซลูชัน B2B เช่น HVAC และหุ่นยนต์ กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ โดยพัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการประกอบหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) รุ่นใหม่ Hybrid Bonding คือเทคนิคการเชื่อมต่อชั้น wafer โดยไม่ใช้การบัดกรีแบบเดิม แต่ใช้การกดแผ่นทองแดงที่ถูกขัดเรียบระดับนาโนเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง ทำให้ได้การเชื่อมต่อที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่าแบบ Thermal Compression Bonding เทคโนโลยีนี้จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่มีการซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น ซึ่งวิธีเดิมไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Seoul National University และเปิดรับนักวิจัยระดับปริญญาเอกจำนวนมากเพื่อเร่งการพัฒนา ปัจจุบันมีเพียงบริษัท BESI (เนเธอร์แลนด์) และ Applied Materials (สหรัฐฯ) ที่ผลิตเครื่อง Hybrid Bonding เชิงพาณิชย์ แต่ยังไม่มีฐานในเกาหลีใต้ ทำให้ LG มีโอกาสเป็นผู้เล่นรายแรกในประเทศ หาก LG ทำสำเร็จตามแผน เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และการเปิดสายผลิต HBM4 ของ Samsung ในปี 2028 ✅ ข้อมูลจากข่าว - LG Electronics พัฒนาเครื่อง Hybrid Bonding สำหรับการผลิต HBM รุ่นใหม่ - Hybrid Bonding ใช้การกดแผ่นทองแดงเรียบเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิห้อง - ให้ผลลัพธ์ที่บางกว่า เย็นกว่า และเร็วกว่า Thermal Compression Bonding - จำเป็นสำหรับการผลิต HBM4 และ HBM4E ที่ซ้อนชั้น DRAM มากกว่า 12 ชั้น - LG ตั้งเป้าส่งมอบเครื่องผลิตจริงภายในปี 2028 - ร่วมมือกับ Seoul National University และรับนักวิจัยระดับ PhD - ปัจจุบันมีเพียง BESI และ Applied Materials ที่ผลิตเครื่องแบบนี้เชิงพาณิชย์ - LG อาจเป็นผู้ผลิตรายแรกในเกาหลีใต้ที่เข้าสู่ตลาดนี้ - เครื่องรุ่นแรกอาจพร้อมใช้งานทันกับการผลิต HBM4E ของ SK hynix และ Samsung ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - LG ยังอยู่ในขั้นพัฒนาเบื้องต้น ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ - การแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่มีประสบการณ์สูงอาจเป็นความท้าทาย - หากไม่สามารถพัฒนาเครื่องให้ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม อาจเสียโอกาสทางธุรกิจ - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ต้องมีการทดสอบความเสถียรและความแม่นยำอย่างเข้มงวด - ตลาดอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์มีความผันผวนสูง ต้องมีแผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น https://www.techpowerup.com/338913/lg-electronics-to-enter-semiconductor-equipment-market-with-hybrid-bonding
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    LG Electronics to Enter Semiconductor Equipment Market with Hybrid Bonding
    LG Electronics has quietly launched a plan to become a semiconductor equipment maker. Its Production Technology Research Institute has begun developing a hybrid bonding machine tailored for next-generation high bandwidth memory (HBM), with an internal goal of shipping production units by 2028. Hybri...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด)

    คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production

    ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025  
    • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020  
    • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท

    ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า  
    • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010  
    • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม

    มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV  
    • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ  
    • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก

    แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน

    https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด) คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน ✅ Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025   • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020   • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท ✅ ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า   • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010   • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม ✅ มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV   • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ   • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก ✅ แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    WCCFTECH.COM
    Huawei’s Kirin 9030 For The Upcoming Mate 80 Flagship Smartphone Series Is Rumored To Provide A 20 Percent Performance Improvement, But Lithography Details Not Revealed
    A new rumor claims that Huawei is developing the Kirin 9030 for the Mate 80 lineup and it is allegedly 20 percent faster than the previous generation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
    ทรงฉลองพระองค์ไทยสากล ผ้าไหมพื้นเรียบ
    .
    ผ้าไหมพื้นเรียบ เป็นการทอแบบขัด เป็นวิธีการเบื้องต้นของการทอผ้าทุกชนิด คือมีเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งอาจเป็นเส้นเดียวกันหรือต่างสีกัน ซึ่งจะทำให้เกิดลวดลายในเนื้อผ้าต่างกัน เช่น การทอเส้นยืนสลับสีก็จะเกิดผ้าลายริ้วทางยาว หรือถ้าทอเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ผ้าลายขวาง การทอเส้นยืนและเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ลายตาราง เป็นต้น ผ้าไหมที่ใช้เทคนิคการทอขัด เรียงตามความหนาของเนื้อผ้า เช่น ไม่ได้มีการควบเส้นใยเพิ่มเข้าไป ผ้าไหมสองเส้น หมายถึง ผ้าไหมที่ทอขัดด้วยเส้นยืนเส้นเดียว ส่วนเส้นพุ่งจะมีการควบเส้นไหมเพิ่มเป็นสองเส้น เนื้อผ้าจะมีความหนามากกว่าผ้าไหมหนึ่งเส้น
    ----
    HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS
    ROYAL ATTIRE IN THAI SILK
    .
    Thai silk is a polished weave. It is the basic method of weaving all kinds. That is, there is a weft line and a stand line, which may be the same line or different colors. This will cause patterns in different fabrics, for example, weaving warp lines and alternating colors will produce long stripes. Or if weaving the weft lines and alternating colors, we will get a striped fabric. The weaving of warp and weft lines alternating colors will result in a grid pattern, etc. Silk that uses polished weaving techniques. Sorted according to the thickness of the fabric, for example, without adding more fibers. Two-strand silk refers to silk that is woven with a single warp thread. As for the weft line, there will be two more silk threads merged. The fabric will be one strand thicker than silk.
    ____________________________________
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ไทยสากล ผ้าไหมพื้นเรียบ . ผ้าไหมพื้นเรียบ เป็นการทอแบบขัด เป็นวิธีการเบื้องต้นของการทอผ้าทุกชนิด คือมีเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งอาจเป็นเส้นเดียวกันหรือต่างสีกัน ซึ่งจะทำให้เกิดลวดลายในเนื้อผ้าต่างกัน เช่น การทอเส้นยืนสลับสีก็จะเกิดผ้าลายริ้วทางยาว หรือถ้าทอเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ผ้าลายขวาง การทอเส้นยืนและเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ลายตาราง เป็นต้น ผ้าไหมที่ใช้เทคนิคการทอขัด เรียงตามความหนาของเนื้อผ้า เช่น ไม่ได้มีการควบเส้นใยเพิ่มเข้าไป ผ้าไหมสองเส้น หมายถึง ผ้าไหมที่ทอขัดด้วยเส้นยืนเส้นเดียว ส่วนเส้นพุ่งจะมีการควบเส้นไหมเพิ่มเป็นสองเส้น เนื้อผ้าจะมีความหนามากกว่าผ้าไหมหนึ่งเส้น ---- HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS ROYAL ATTIRE IN THAI SILK . Thai silk is a polished weave. It is the basic method of weaving all kinds. That is, there is a weft line and a stand line, which may be the same line or different colors. This will cause patterns in different fabrics, for example, weaving warp lines and alternating colors will produce long stripes. Or if weaving the weft lines and alternating colors, we will get a striped fabric. The weaving of warp and weft lines alternating colors will result in a grid pattern, etc. Silk that uses polished weaving techniques. Sorted according to the thickness of the fabric, for example, without adding more fibers. Two-strand silk refers to silk that is woven with a single warp thread. As for the weft line, there will be two more silk threads merged. The fabric will be one strand thicker than silk. ____________________________________ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก

    สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้"

    แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง

    การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง

    ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก

    #Newskit
    28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้" แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • #28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก

    สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้"

    แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง

    การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง

    ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก

    #Newskit
    #28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้" แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 570 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ

    เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น

    ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต

    อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ

    ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน  
    • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”  
    • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ

    บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”  
    • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์  
    • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน

    เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง  
    • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด  
    • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน

    บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น  
    • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน

    การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก  
    • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย

    หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”  
    • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ

    การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม  
    • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา

    การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ  
    • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences)

    https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ ✅ ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน   • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”   • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ ✅ บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”   • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์   • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน ✅ เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง   • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด   • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน ✅ บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น   • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน ‼️ การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก   • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย ‼️ หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”   • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ ‼️ การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม   • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา ‼️ การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ   • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences) https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    How teachers are fighting AI cheating with handwritten work, oral tests, and AI
    Speaking about AI-cheat students, Gary Ward, a teacher at Brookes Westshore High School in Victoria, British Columbia, told Business Insider, "Some of the ones that I see...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนุนกองทัพทุกรูปแบบ ป้องภัยคุกคามยิ่งใหญ่ : [NEWS UPDATE]
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยประชาชนทำให้เกิดความไม่สบายใจ กรณีคลิปเสียงเจรจากับ สมเด็จ ฮุนเซนประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผิดหวังการกระทำของผู้นำกัมพูชา ไม่มีผู้นำคนใดทั่วโลกทำกัน ไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบายเจตนาว่า เป็นเทคนิคการสื่อสารเพื่อแสดงความเข้าใจและต่อรองให้การปะทะยุติลง ทุกภาคส่วนได้ข้อสรุปว่า ต้องร่วมมือปกป้องอธิปไตยของประเทศ ครั้งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ที่รัฐบาลกับกองทัพจะมาสู้กัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ


    สว.ไล่บี้ถอดถอนนายก

    ไม่ปิดด่านตามใจฮุนเซน

    ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก

    ปกป้องศักดิ์ศรีทหาร
    หนุนกองทัพทุกรูปแบบ ป้องภัยคุกคามยิ่งใหญ่ : [NEWS UPDATE] น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยประชาชนทำให้เกิดความไม่สบายใจ กรณีคลิปเสียงเจรจากับ สมเด็จ ฮุนเซนประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผิดหวังการกระทำของผู้นำกัมพูชา ไม่มีผู้นำคนใดทั่วโลกทำกัน ไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบายเจตนาว่า เป็นเทคนิคการสื่อสารเพื่อแสดงความเข้าใจและต่อรองให้การปะทะยุติลง ทุกภาคส่วนได้ข้อสรุปว่า ต้องร่วมมือปกป้องอธิปไตยของประเทศ ครั้งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ที่รัฐบาลกับกองทัพจะมาสู้กัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ สว.ไล่บี้ถอดถอนนายก ไม่ปิดด่านตามใจฮุนเซน ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก ปกป้องศักดิ์ศรีทหาร
    Like
    Haha
    5
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • ผิดหวังลุงฮุนเซน ภัยคุกคามความมั่นคงชาติ : [THE MESSAGE]
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยประชาชนทำให้เกิดความไม่สบายใจ กรณีคลิปเสียงเจรจากับ สมเด็จ ฮุน เซนประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบายเจตนาว่า เป็นเทคนิคการสื่อสารเพื่อแสดงความเข้าใจและต่อรองให้การปะทะยุติลง ทุกภาคส่วนได้ข้อสรุปว่า ต้องร่วมมือกันปกป้องอธิปไตยของประเทศ เพราะภัยครั้งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ที่รัฐบาลกับกองทัพจะมาสู้กัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ ผิดหวังการกระทำของผู้นำกัมพูชา ไม่มีผู้นำคนใดทั่วโลกทำกัน ไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
    ผิดหวังลุงฮุนเซน ภัยคุกคามความมั่นคงชาติ : [THE MESSAGE] น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยประชาชนทำให้เกิดความไม่สบายใจ กรณีคลิปเสียงเจรจากับ สมเด็จ ฮุน เซนประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบายเจตนาว่า เป็นเทคนิคการสื่อสารเพื่อแสดงความเข้าใจและต่อรองให้การปะทะยุติลง ทุกภาคส่วนได้ข้อสรุปว่า ต้องร่วมมือกันปกป้องอธิปไตยของประเทศ เพราะภัยครั้งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ที่รัฐบาลกับกองทัพจะมาสู้กัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ ผิดหวังการกระทำของผู้นำกัมพูชา ไม่มีผู้นำคนใดทั่วโลกทำกัน ไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 658 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • 555,ความแตกอีกรอบ,ต้องขอขอบคุณคนดูดเทปเสียงนี้มาและส่งมาให้เผยแพร่บอกความจริงค่าจริงอีกด้านของคนในคลิป,ขนาดนี้ ชัดเกิน เอไอก็ยากจะปลอมจะลอกแบบได้,ในเทคนิคการพูดคุยแบบต้นฉบับที่ใครก็ลอกสไตล์นี้ไม่ได้,
    ..ทหารไทยเราไปประชุมลับพูดคุยกันจะลงมือวันไหนเถอะ,ตัดตอนทุกๆศึก,แค่ยึดอำนาจรัฐบาลชุดสมยอมไม่ซื่อสัตย์ในอธิปไตยตนเอง มองว่าทหารไม่ใช่ฝ่ายตนเหมือนกับเขมรก็ว่า,อนาถสิ้นดีแล้ว,หลังยึดอำนาจมันดีแน่นอน,ทหารจะหยิบรัฐธรรมนูญไหนมาใช้แทนก่อนก็ได้,หรือประยุกต์รัฐธรรมนูญส่วนต่างๆในแต่ละฉบับมาประกาศใช้ก่อนก็ได้แล้วค่อยเริ่มเขียนให้ดีใหม่ทั้งฉบับ,ตลอดจนต้องไม่ลืมฉีกกฎหมายของกฎกระทรวงทบวงกรมที่เลอะเทอะปัญญาอ่อนมากมายทิ้งด้วยหรือฉีกพรบ.ปิโตรเลียมทิ้งทั้งฉบับแล้วเขียนใหม่ให้ยุติธรรมต่อประเทศเลย,อำนาจเด็ดขาดทหารสามารถใช้ในทางดีได้ทันที.มิใช่ทหารชั่วเลวในยุคก่อนๆที่ยึดอำนาจบนอวิชามากมายและเพื่อตอบสนองตนและพ้องพวกเท่านั้น.
    ..ทหารไทยเรายิ่งรีบเอายึดพื้นที่หน้างานรวดเร็วเท่าไร ความเสียที่เดอะแก๊งชั่วเลวจะกระทำก็จะน้อยลงหรือเสียหายไม่มาก.,ตัดสินใจเถอะ,ประชาชนสนับสนุนเพื่อความสุขของคนทั้งประเทศไทยเราล่ะ,ถ้าเป็นทหารไม่ดีประชาชนยุคนี้พร้อมทำสงครามกับทหารตนเองแน่นอนเช่นกันอีก.หรืออยู่ได้ก็ไม่นานเช่นกันเมื่อทหารทรยศเองยิ่งอนาถหนักอีกที่ทำลายความไว้วางใจประชาชนมาช่วยแก้ไขปัญหาที่นักการเมืองชั่วเลวใช้อำนาจไม่ซื่อสัตย์นั้นเอง.
    555,ความแตกอีกรอบ,ต้องขอขอบคุณคนดูดเทปเสียงนี้มาและส่งมาให้เผยแพร่บอกความจริงค่าจริงอีกด้านของคนในคลิป,ขนาดนี้ ชัดเกิน เอไอก็ยากจะปลอมจะลอกแบบได้,ในเทคนิคการพูดคุยแบบต้นฉบับที่ใครก็ลอกสไตล์นี้ไม่ได้, ..ทหารไทยเราไปประชุมลับพูดคุยกันจะลงมือวันไหนเถอะ,ตัดตอนทุกๆศึก,แค่ยึดอำนาจรัฐบาลชุดสมยอมไม่ซื่อสัตย์ในอธิปไตยตนเอง มองว่าทหารไม่ใช่ฝ่ายตนเหมือนกับเขมรก็ว่า,อนาถสิ้นดีแล้ว,หลังยึดอำนาจมันดีแน่นอน,ทหารจะหยิบรัฐธรรมนูญไหนมาใช้แทนก่อนก็ได้,หรือประยุกต์รัฐธรรมนูญส่วนต่างๆในแต่ละฉบับมาประกาศใช้ก่อนก็ได้แล้วค่อยเริ่มเขียนให้ดีใหม่ทั้งฉบับ,ตลอดจนต้องไม่ลืมฉีกกฎหมายของกฎกระทรวงทบวงกรมที่เลอะเทอะปัญญาอ่อนมากมายทิ้งด้วยหรือฉีกพรบ.ปิโตรเลียมทิ้งทั้งฉบับแล้วเขียนใหม่ให้ยุติธรรมต่อประเทศเลย,อำนาจเด็ดขาดทหารสามารถใช้ในทางดีได้ทันที.มิใช่ทหารชั่วเลวในยุคก่อนๆที่ยึดอำนาจบนอวิชามากมายและเพื่อตอบสนองตนและพ้องพวกเท่านั้น. ..ทหารไทยเรายิ่งรีบเอายึดพื้นที่หน้างานรวดเร็วเท่าไร ความเสียที่เดอะแก๊งชั่วเลวจะกระทำก็จะน้อยลงหรือเสียหายไม่มาก.,ตัดสินใจเถอะ,ประชาชนสนับสนุนเพื่อความสุขของคนทั้งประเทศไทยเราล่ะ,ถ้าเป็นทหารไม่ดีประชาชนยุคนี้พร้อมทำสงครามกับทหารตนเองแน่นอนเช่นกันอีก.หรืออยู่ได้ก็ไม่นานเช่นกันเมื่อทหารทรยศเองยิ่งอนาถหนักอีกที่ทำลายความไว้วางใจประชาชนมาช่วยแก้ไขปัญหาที่นักการเมืองชั่วเลวใช้อำนาจไม่ซื่อสัตย์นั้นเอง.
    ป่านนี้ทีมนังยกฯ ปรึกษากันบ้านแตกแล้วมั้ง พ่องก็หลบหน้า ทีมที่ปรึกษาก็มืดบอดสนิท ถ้าเรื่องจริงนี่ต้องรับโทษประ÷เลย หรือทหารไทยต้องรบสองศึกพร้อมกัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คลิปเสียงนายก
    #คนขายชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 8 0 รีวิว
  • นังนายกฯ รับคลิปจริง
    พาดพิงแม่ทัพภาค2
    เป็นฝ่ายตรงข้าม แค่เทคนิคการเจรจา นี่ไทยเอาลิงที่ไหนมาแก้แหว่ะนี่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นังนายกฯ รับคลิปจริง พาดพิงแม่ทัพภาค2 เป็นฝ่ายตรงข้าม แค่เทคนิคการเจรจา นี่ไทยเอาลิงที่ไหนมาแก้แหว่ะนี่ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025

    สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม”

    กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568
    ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ

    ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที”

    “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว

    อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง
    ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้”

    “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว

    สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที” “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้” “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนาคตของ HBM: จาก HBM4 สู่ HBM8 และการฝัง NAND
    สถาบันวิจัย KAIST ของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่เอกสารความยาว 371 หน้า ที่คาดการณ์การพัฒนาเทคโนโลยี HBM (High-Bandwidth Memory) จนถึงปี 2038 โดยเน้นการเพิ่ม แบนด์วิดท์, ความจุ, ความกว้างของ I/O และการจัดการพลังงาน.

    รายละเอียดการพัฒนา HBM
    HBM4 จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 348GB ต่อสแต็ก และใช้พลังงาน 75W ต่อสแต็ก.
    HBM5 จะเปิดตัวในปี 2029 พร้อม I/O 4,096 บิต และแบนด์วิดท์ 4TB/s.
    HBM6 จะมาถึงในปี 2032 โดยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 16GT/s และแบนด์วิดท์ 8TB/s.
    HBM8 จะมี I/O สูงถึง 16,384 บิต และแบนด์วิดท์ 64TB/s ต่อสแต็ก.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    HBM รุ่นใหม่ต้องใช้พลังงานสูงขึ้น โดย HBM8 อาจใช้พลังงานถึง 180W ต่อสแต็ก.
    การพัฒนา HBM ต้องใช้เทคนิคการระบายความร้อนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ช่องระบายความร้อนแบบฝังในอินเตอร์โพเซอร์.
    HBM7 และ HBM8 จะมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก HBM ในปัจจุบัน โดยจะรวม NAND storage เพื่อให้สามารถย้ายข้อมูลโดยไม่ต้องใช้ CPU หรือ GPU.

    แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้
    HBM5 จะรวม L3 Cache และอินเทอร์เฟซ LPDDR/CXL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ.
    HBM6 จะใช้การเชื่อมต่อแบบ Direct Bonding แทนการใช้ Microbump.
    HBM8 จะใช้ AI ในการจัดการพลังงานและสัญญาณแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี HBM
    Micron เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความจุ 36GB และแบนด์วิดท์ 2TB/s.
    Intel และ SoftBank กำลังพัฒนา HBM ที่ใช้พลังงานต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล AI.
    HBM ที่มี NAND ฝังตัวอาจเปลี่ยนโครงสร้างของระบบประมวลผล โดยลดการพึ่งพา CPU และ GPU.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hbm-development-roadmap-revealed-hbm8-with-a-16-384-bit-interface-and-embedded-nand-in-2038
    อนาคตของ HBM: จาก HBM4 สู่ HBM8 และการฝัง NAND สถาบันวิจัย KAIST ของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่เอกสารความยาว 371 หน้า ที่คาดการณ์การพัฒนาเทคโนโลยี HBM (High-Bandwidth Memory) จนถึงปี 2038 โดยเน้นการเพิ่ม แบนด์วิดท์, ความจุ, ความกว้างของ I/O และการจัดการพลังงาน. รายละเอียดการพัฒนา HBM ✅ HBM4 จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 348GB ต่อสแต็ก และใช้พลังงาน 75W ต่อสแต็ก. ✅ HBM5 จะเปิดตัวในปี 2029 พร้อม I/O 4,096 บิต และแบนด์วิดท์ 4TB/s. ✅ HBM6 จะมาถึงในปี 2032 โดยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 16GT/s และแบนด์วิดท์ 8TB/s. ✅ HBM8 จะมี I/O สูงถึง 16,384 บิต และแบนด์วิดท์ 64TB/s ต่อสแต็ก. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ HBM รุ่นใหม่ต้องใช้พลังงานสูงขึ้น โดย HBM8 อาจใช้พลังงานถึง 180W ต่อสแต็ก. ‼️ การพัฒนา HBM ต้องใช้เทคนิคการระบายความร้อนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ช่องระบายความร้อนแบบฝังในอินเตอร์โพเซอร์. ‼️ HBM7 และ HBM8 จะมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก HBM ในปัจจุบัน โดยจะรวม NAND storage เพื่อให้สามารถย้ายข้อมูลโดยไม่ต้องใช้ CPU หรือ GPU. แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้ ✅ HBM5 จะรวม L3 Cache และอินเทอร์เฟซ LPDDR/CXL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ. ✅ HBM6 จะใช้การเชื่อมต่อแบบ Direct Bonding แทนการใช้ Microbump. ✅ HBM8 จะใช้ AI ในการจัดการพลังงานและสัญญาณแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี HBM ✅ Micron เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความจุ 36GB และแบนด์วิดท์ 2TB/s. ✅ Intel และ SoftBank กำลังพัฒนา HBM ที่ใช้พลังงานต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล AI. ‼️ HBM ที่มี NAND ฝังตัวอาจเปลี่ยนโครงสร้างของระบบประมวลผล โดยลดการพึ่งพา CPU และ GPU. https://www.tomshardware.com/tech-industry/hbm-development-roadmap-revealed-hbm8-with-a-16-384-bit-interface-and-embedded-nand-in-2038
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยคุกคามใหม่: มัลแวร์ที่ซ่อนตัวใน URL ของ Google
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบมัลแวร์ชนิดใหม่ที่ใช้ Google OAuth URL เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมแอนตี้ไวรัส โดยมัลแวร์นี้จะทำงานเฉพาะเมื่อผู้ใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การชำระเงินผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    กลไกการโจมตี
    มัลแวร์ถูกฝังในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใช้ Magento และอ้างอิง URL ที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย เช่น https://accounts.google.com/o/oauth2/revoke.
    ใช้เทคนิคการเข้ารหัสและการเรียกใช้โค้ดแบบไดนามิก เพื่อซ่อนตัวจากระบบรักษาความปลอดภัย.
    เปิด WebSocket เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ทำให้สามารถควบคุมเบราว์เซอร์ของเหยื่อแบบเรียลไทม์.

    ผลกระทบและความเสี่ยง
    มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลการชำระเงินได้โดยไม่ถูกตรวจจับ เนื่องจากใช้โดเมนของ Google ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากระบบรักษาความปลอดภัย.
    โปรแกรมแอนตี้ไวรัสทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะมัลแวร์จะทำงานเฉพาะเมื่อพบคำว่า "checkout" ใน URL.
    DNS และไฟร์วอลล์ไม่สามารถบล็อกการโจมตีนี้ได้ เนื่องจากการร้องขอเริ่มต้นมาจากโดเมนที่ถูกต้องตามกฎหมาย.

    แนวทางป้องกัน
    หลีกเลี่ยงการใช้เบราว์เซอร์เดียวกันสำหรับธุรกรรมทางการเงินและการท่องเว็บทั่วไป เพื่อจำกัดความเสี่ยง.
    ใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมของเว็บไซต์ เช่น Content Inspection Proxy เพื่อช่วยตรวจจับโค้ดที่น่าสงสัย.
    ตรวจสอบความผิดปกติของเว็บไซต์ก่อนทำธุรกรรม เช่น การโหลดหน้าเว็บที่ช้ากว่าปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในหน้าชำระเงิน.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์
    การโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ใช้ Google Apps Script เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว.
    การแฮ็กโดเมนย่อยของแบรนด์ดัง เช่น Bose และ Panasonic เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์.
    มัลแวร์ที่สามารถขโมยบัญชีภาษีและข้อความเข้ารหัส โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อน

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-using-google-com-to-deliver-malware-by-bypassing-antivirus-software-heres-how-to-stay-safe
    ภัยคุกคามใหม่: มัลแวร์ที่ซ่อนตัวใน URL ของ Google นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบมัลแวร์ชนิดใหม่ที่ใช้ Google OAuth URL เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมแอนตี้ไวรัส โดยมัลแวร์นี้จะทำงานเฉพาะเมื่อผู้ใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การชำระเงินผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ กลไกการโจมตี ✅ มัลแวร์ถูกฝังในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใช้ Magento และอ้างอิง URL ที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย เช่น https://accounts.google.com/o/oauth2/revoke. ✅ ใช้เทคนิคการเข้ารหัสและการเรียกใช้โค้ดแบบไดนามิก เพื่อซ่อนตัวจากระบบรักษาความปลอดภัย. ✅ เปิด WebSocket เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ทำให้สามารถควบคุมเบราว์เซอร์ของเหยื่อแบบเรียลไทม์. ผลกระทบและความเสี่ยง ‼️ มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลการชำระเงินได้โดยไม่ถูกตรวจจับ เนื่องจากใช้โดเมนของ Google ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากระบบรักษาความปลอดภัย. ‼️ โปรแกรมแอนตี้ไวรัสทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะมัลแวร์จะทำงานเฉพาะเมื่อพบคำว่า "checkout" ใน URL. ‼️ DNS และไฟร์วอลล์ไม่สามารถบล็อกการโจมตีนี้ได้ เนื่องจากการร้องขอเริ่มต้นมาจากโดเมนที่ถูกต้องตามกฎหมาย. แนวทางป้องกัน ✅ หลีกเลี่ยงการใช้เบราว์เซอร์เดียวกันสำหรับธุรกรรมทางการเงินและการท่องเว็บทั่วไป เพื่อจำกัดความเสี่ยง. ✅ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมของเว็บไซต์ เช่น Content Inspection Proxy เพื่อช่วยตรวจจับโค้ดที่น่าสงสัย. ✅ ตรวจสอบความผิดปกติของเว็บไซต์ก่อนทำธุรกรรม เช่น การโหลดหน้าเว็บที่ช้ากว่าปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในหน้าชำระเงิน. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ ✅ การโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ใช้ Google Apps Script เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว. ✅ การแฮ็กโดเมนย่อยของแบรนด์ดัง เช่น Bose และ Panasonic เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์. ‼️ มัลแวร์ที่สามารถขโมยบัญชีภาษีและข้อความเข้ารหัส โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อน https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-using-google-com-to-deliver-malware-by-bypassing-antivirus-software-heres-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์

    ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography

    นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว

    แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง
    - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography
    - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร
    - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง
    = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล

    แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    🎻 นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ!
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว

    นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน

    แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ
    - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ
    - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด
    - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู
    - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน
    - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
    - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร
    - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน

    การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    🦷 ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ! นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    WWW.NEOWIN.NET
    That sharp cold toothache you dread? Its origins trace back to ancient, unexpected purpose
    That cold toothache you dread? Its origins trace back to an interesting ancient adaptation, one that served purposes far beyond chewing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts