• เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Net Zero: AI จะปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบิน...จริงเหรอ?

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลและบริษัททั่วโลกทุ่มงบมหาศาลเพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น การตั้งข้อบังคับด้านพลังงาน สีเขียว และการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

    แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น data center และ GPU cluster กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ และทรัพยากรมหาศาล

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ระบุว่า:

    “ภายในสิ้นทศวรรษหน้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นต้นกำเนิด 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก” ซึ่งเกินกว่าการเดินทางทางอากาศเสียอีก

    ตัวอย่างความรุนแรงในปัจจุบัน:
    - data center ในสหรัฐฯ ยุโรป และจีนใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 2–4% ของการผลิตทั้งหมด
    - ระบบไฟฟ้าหลายประเทศเริ่มตึงตัว ไม่สามารถรองรับการขยาย AI ได้อย่างยั่งยืน
    - มีรายงานว่าบางเมืองต้องจำกัดพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะถูกแย่งไปใช้ในศูนย์ข้อมูล

    John Naughton จากศูนย์ Minderoo กล่าวว่า “ทุกเมกะวัตต์ที่ใช้ใน data center คือเมกะวัตต์ที่บ้านหรือโรงงานไม่มีใช้”

    นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ยังมีผลสำรวจจาก Gallup ที่เผยว่าเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า:
    - AI เป็นภัยต่อมนุษย์และสังคม
    - จะลดความจำเป็นของมนุษย์ในงานสร้างสรรค์
    - เกือบสองในสามไม่อยากใช้ AI หากหลีกเลี่ยงได้

    เคมบริดจ์เผยว่า AI จะปล่อยคาร์บอน “มากกว่าการบิน” ภายใน 10 ปี
    คาดว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะปล่อยถึง 8% ของคาร์บอนทั่วโลก

    Data center ใช้ไฟฟ้า 2–4% ของกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน
    ทำให้ระบบไฟฟ้าตึงตัว และจำกัดทรัพยากรสำหรับภาคอื่น

    การลงทุนใน AI มาเร็วและรุนแรงในภาครัฐและเอกชน
    ส่งผลต่อพลังงาน น้ำ และการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก

    ผลสำรวจ Gallup พบประชาชนวิตกเกี่ยวกับ AI
    ครึ่งหนึ่งเห็นว่า AI คุกคามมนุษย์และสังคม

    60% เชื่อว่า AI จะมาแทนงานสำคัญและงานสร้างสรรค์ของมนุษย์
    มีเพียง 38% ที่คิดว่า AI จะช่วยให้มนุษย์ไปทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/net-zero-zero-chance-ai-emissions-to-exceed-air-travel-report-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Net Zero: AI จะปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบิน...จริงเหรอ? ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลและบริษัททั่วโลกทุ่มงบมหาศาลเพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น การตั้งข้อบังคับด้านพลังงาน สีเขียว และการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น data center และ GPU cluster กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ และทรัพยากรมหาศาล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ระบุว่า: “ภายในสิ้นทศวรรษหน้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นต้นกำเนิด 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก” ซึ่งเกินกว่าการเดินทางทางอากาศเสียอีก ตัวอย่างความรุนแรงในปัจจุบัน: - data center ในสหรัฐฯ ยุโรป และจีนใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 2–4% ของการผลิตทั้งหมด - ระบบไฟฟ้าหลายประเทศเริ่มตึงตัว ไม่สามารถรองรับการขยาย AI ได้อย่างยั่งยืน - มีรายงานว่าบางเมืองต้องจำกัดพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะถูกแย่งไปใช้ในศูนย์ข้อมูล John Naughton จากศูนย์ Minderoo กล่าวว่า “ทุกเมกะวัตต์ที่ใช้ใน data center คือเมกะวัตต์ที่บ้านหรือโรงงานไม่มีใช้” นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ยังมีผลสำรวจจาก Gallup ที่เผยว่าเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า: - AI เป็นภัยต่อมนุษย์และสังคม - จะลดความจำเป็นของมนุษย์ในงานสร้างสรรค์ - เกือบสองในสามไม่อยากใช้ AI หากหลีกเลี่ยงได้ ✅ เคมบริดจ์เผยว่า AI จะปล่อยคาร์บอน “มากกว่าการบิน” ภายใน 10 ปี ➡️ คาดว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะปล่อยถึง 8% ของคาร์บอนทั่วโลก ✅ Data center ใช้ไฟฟ้า 2–4% ของกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ➡️ ทำให้ระบบไฟฟ้าตึงตัว และจำกัดทรัพยากรสำหรับภาคอื่น ✅ การลงทุนใน AI มาเร็วและรุนแรงในภาครัฐและเอกชน ➡️ ส่งผลต่อพลังงาน น้ำ และการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก ✅ ผลสำรวจ Gallup พบประชาชนวิตกเกี่ยวกับ AI ➡️ ครึ่งหนึ่งเห็นว่า AI คุกคามมนุษย์และสังคม ✅ 60% เชื่อว่า AI จะมาแทนงานสำคัญและงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ ➡️ มีเพียง 38% ที่คิดว่า AI จะช่วยให้มนุษย์ไปทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/net-zero-zero-chance-ai-emissions-to-exceed-air-travel-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Net zero? Zero chance: AI emissions to exceed air travel, report says
    Researchers are questioning the efforts of companies and governments to achieve so-called net-zero emissions targets while also backing the rise of artificial intelligence (AI), whose emissions are now projected to "far exceed" those of air travel.
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกมือถือพับได้: iPhone Fold รุ่นแรกของ Apple กับสเปกแรงและราคาสูง

    หลังจากมีข่าวลือมานานหลายปี ล่าสุดมีข้อมูลหลุดจากแหล่งข่าวสองแห่งที่เปิดเผยรายละเอียดของ iPhone Fold ซึ่งคาดว่าจะเป็นมือถือพับได้รุ่นแรกของ Apple โดยจะเปิดตัวในปี 2026

    iPhone Fold จะมาพร้อมหน้าจอด้านในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอด้านนอกขนาด 5.5 นิ้ว ใช้ชิป A20 Pro ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC พร้อม RAM 12GB และตัวเลือกความจุ 256GB, 512GB และ 1TB

    กล้องหลักจะเป็นเลนส์ wide-angle 48MP และกล้อง ultra-wide อีก 48MP เช่นกัน โดยอาจเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม 5G ที่ Apple ออกแบบเองชื่อว่า C2 baseband

    ด้านวัสดุ ตัวเครื่องจะใช้ไทเทเนียมและบานพับโลหะจากผู้ผลิตชิ้นส่วนชั้นนำ เช่น Lens Technology, Amphenol และ Foxconn ซึ่งจะเป็นผู้ประกอบหลัก ร่วมกับ Luxshare

    แม้จะมีการลดต้นทุนการผลิตลงเหลือประมาณ $759 แต่ราคาขายยังคงสูง โดยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง $1,800–$2,000 ซึ่งใกล้เคียงกับ Galaxy Z Fold SE ของ Samsung

    นักวิเคราะห์คาดว่า iPhone Fold จะช่วยกระตุ้นตลาดอุปกรณ์พับได้ทั่วโลก ทั้งสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก ในระยะกลางถึงระยะยาว

    iPhone Fold คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026
    เป็นมือถือพับได้รุ่นแรกของ Apple

    หน้าจอด้านในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอด้านนอก 5.5 นิ้ว
    ใช้ OLED จาก Samsung Display และ LG Display

    ใช้ชิป A20 Pro ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC
    พร้อม RAM 12GB และความจุสูงสุด 1TB

    กล้องคู่ 48MP ทั้งเลนส์ wide และ ultra-wide
    คาดว่าจะให้คุณภาพภาพถ่ายระดับเรือธง

    ใช้โมเด็ม 5G ที่ Apple ออกแบบเองชื่อ C2 baseband
    เป็นครั้งแรกที่ Apple ไม่ใช้โมเด็มจาก Qualcomm

    ตัวเครื่องใช้วัสดุไทเทเนียมและบานพับโลหะ
    ผลิตโดย Lens Technology, Amphenol และ Foxconn

    ราคาขายคาดว่าอยู่ระหว่าง $1,800–$2,000
    ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ $759

    Foxconn เป็นผู้ประกอบหลัก ร่วมกับ Luxshare
    ผลิตในจีน เวียดนาม และอินเดีย

    นักวิเคราะห์คาดว่า iPhone Fold จะกระตุ้นตลาดอุปกรณ์พับได้
    ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะกลางถึงยาว

    https://www.techspot.com/news/108693-apple-first-foldable-iphone-tipped-feature-78-inch.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกมือถือพับได้: iPhone Fold รุ่นแรกของ Apple กับสเปกแรงและราคาสูง หลังจากมีข่าวลือมานานหลายปี ล่าสุดมีข้อมูลหลุดจากแหล่งข่าวสองแห่งที่เปิดเผยรายละเอียดของ iPhone Fold ซึ่งคาดว่าจะเป็นมือถือพับได้รุ่นแรกของ Apple โดยจะเปิดตัวในปี 2026 iPhone Fold จะมาพร้อมหน้าจอด้านในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอด้านนอกขนาด 5.5 นิ้ว ใช้ชิป A20 Pro ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC พร้อม RAM 12GB และตัวเลือกความจุ 256GB, 512GB และ 1TB กล้องหลักจะเป็นเลนส์ wide-angle 48MP และกล้อง ultra-wide อีก 48MP เช่นกัน โดยอาจเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม 5G ที่ Apple ออกแบบเองชื่อว่า C2 baseband ด้านวัสดุ ตัวเครื่องจะใช้ไทเทเนียมและบานพับโลหะจากผู้ผลิตชิ้นส่วนชั้นนำ เช่น Lens Technology, Amphenol และ Foxconn ซึ่งจะเป็นผู้ประกอบหลัก ร่วมกับ Luxshare แม้จะมีการลดต้นทุนการผลิตลงเหลือประมาณ $759 แต่ราคาขายยังคงสูง โดยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง $1,800–$2,000 ซึ่งใกล้เคียงกับ Galaxy Z Fold SE ของ Samsung นักวิเคราะห์คาดว่า iPhone Fold จะช่วยกระตุ้นตลาดอุปกรณ์พับได้ทั่วโลก ทั้งสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก ในระยะกลางถึงระยะยาว ✅ iPhone Fold คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 ➡️ เป็นมือถือพับได้รุ่นแรกของ Apple ✅ หน้าจอด้านในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอด้านนอก 5.5 นิ้ว ➡️ ใช้ OLED จาก Samsung Display และ LG Display ✅ ใช้ชิป A20 Pro ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC ➡️ พร้อม RAM 12GB และความจุสูงสุด 1TB ✅ กล้องคู่ 48MP ทั้งเลนส์ wide และ ultra-wide ➡️ คาดว่าจะให้คุณภาพภาพถ่ายระดับเรือธง ✅ ใช้โมเด็ม 5G ที่ Apple ออกแบบเองชื่อ C2 baseband ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Apple ไม่ใช้โมเด็มจาก Qualcomm ✅ ตัวเครื่องใช้วัสดุไทเทเนียมและบานพับโลหะ ➡️ ผลิตโดย Lens Technology, Amphenol และ Foxconn ✅ ราคาขายคาดว่าอยู่ระหว่าง $1,800–$2,000 ➡️ ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ $759 ✅ Foxconn เป็นผู้ประกอบหลัก ร่วมกับ Luxshare ➡️ ผลิตในจีน เวียดนาม และอินเดีย ✅ นักวิเคราะห์คาดว่า iPhone Fold จะกระตุ้นตลาดอุปกรณ์พับได้ ➡️ ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะกลางถึงยาว https://www.techspot.com/news/108693-apple-first-foldable-iphone-tipped-feature-78-inch.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple's first foldable iPhone tipped to feature 7.8-inch display, A20 Pro chip, and 48MP cameras
    According to tipster @Jukanlosreve, the iPhone Fold will feature a 7.8-inch inner display and a 5.5-inch cover display. It will reportedly be powered by Apple's A20 Pro...
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • PCIe 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมความเร็วสูงสุด 512GB/s
    PCI-SIG ได้ประกาศ เปิดตัวมาตรฐาน PCIe 7.0 อย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยให้ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 512GB/s ผ่าน 16 เลน และ เริ่มต้นการสำรวจแนวทางสำหรับ PCIe 8.0 ที่อาจมีความเร็วถึง 1TB/s

    PCIe 7.0 เพิ่มอัตราการส่งข้อมูลเป็น 128 GT/s ต่อเลน ซึ่ง เร็วกว่า PCIe 6.0 ถึงสองเท่า และเร็วกว่า PCIe 5.0 ถึงสี่เท่า

    ข้อมูลจากข่าว
    - PCIe 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมอัตราการส่งข้อมูล 128 GT/s ต่อเลน
    - สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 512GB/s ผ่าน 16 เลน
    - ใช้เทคนิค PAM4 signaling และ FLIT encoding เหมือน PCIe 6.0
    - ต้องเพิ่มความถี่สัญญาณเป็น 32 GHz เพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น
    - PCI-SIG เริ่มต้นการสำรวจแนวทางสำหรับ PCIe 8.0 ที่อาจมีความเร็วถึง 1TB/s

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    PCIe 7.0 จะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น 800G Ethernet, Ultra Ethernet และ Quantum Computing

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเพิ่มความถี่สัญญาณเป็น 32 GHz อาจทำให้การรักษาคุณภาพสัญญาณบนสายทองแดงเป็นเรื่องท้าทาย
    - PCIe 7.0 อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
    - PCIe 8.0 อาจต้องใช้เทคโนโลยีออปติคอลแทนสายทองแดงเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น
    - ต้องติดตามว่า PCIe 7.0 จะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ตามแผนในปี 2028-2029 หรือไม่

    อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อความเร็วสูง
    PCI-SIG กำลังพัฒนา PCIe 8.0 ซึ่งอาจมีความเร็วถึง 1TB/s และ อาจต้องใช้เทคโนโลยีออปติคอลเพื่อรองรับการส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-7-0-spec-finalized-with-up-to-512gb-s-speeds-pci-sig-targets-1tb-s-for-8-0-as-exploration-phase-begins
    🚀 PCIe 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมความเร็วสูงสุด 512GB/s PCI-SIG ได้ประกาศ เปิดตัวมาตรฐาน PCIe 7.0 อย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยให้ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 512GB/s ผ่าน 16 เลน และ เริ่มต้นการสำรวจแนวทางสำหรับ PCIe 8.0 ที่อาจมีความเร็วถึง 1TB/s PCIe 7.0 เพิ่มอัตราการส่งข้อมูลเป็น 128 GT/s ต่อเลน ซึ่ง เร็วกว่า PCIe 6.0 ถึงสองเท่า และเร็วกว่า PCIe 5.0 ถึงสี่เท่า ✅ ข้อมูลจากข่าว - PCIe 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมอัตราการส่งข้อมูล 128 GT/s ต่อเลน - สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 512GB/s ผ่าน 16 เลน - ใช้เทคนิค PAM4 signaling และ FLIT encoding เหมือน PCIe 6.0 - ต้องเพิ่มความถี่สัญญาณเป็น 32 GHz เพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น - PCI-SIG เริ่มต้นการสำรวจแนวทางสำหรับ PCIe 8.0 ที่อาจมีความเร็วถึง 1TB/s 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี PCIe 7.0 จะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น 800G Ethernet, Ultra Ethernet และ Quantum Computing ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเพิ่มความถี่สัญญาณเป็น 32 GHz อาจทำให้การรักษาคุณภาพสัญญาณบนสายทองแดงเป็นเรื่องท้าทาย - PCIe 7.0 อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น - PCIe 8.0 อาจต้องใช้เทคโนโลยีออปติคอลแทนสายทองแดงเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น - ต้องติดตามว่า PCIe 7.0 จะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ตามแผนในปี 2028-2029 หรือไม่ 🚀 อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อความเร็วสูง PCI-SIG กำลังพัฒนา PCIe 8.0 ซึ่งอาจมีความเร็วถึง 1TB/s และ อาจต้องใช้เทคโนโลยีออปติคอลเพื่อรองรับการส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-7-0-spec-finalized-with-up-to-512gb-s-speeds-pci-sig-targets-1tb-s-for-8-0-as-exploration-phase-begins
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ

    AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย
    - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง
    - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้
    - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง
    - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ
    การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร
    - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น
    - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่
    - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

    Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    🏗️ Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้ - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่ - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon to invest $20 billion in AI data centers across Pennsylvania
    Amazon has announced plans to invest at least $20 billion in new cloud computing facilities across Pennsylvania. The tech giant, founded by Jeff Bezos, says the move...
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • อัตราว่างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
    รายงานล่าสุดจาก Janco Associates ระบุว่า อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

    สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน
    การเติบโตของ AI และระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลง โดยเฉพาะใน ภาคโทรคมนาคม, การรายงานข้อมูล และการสนับสนุนด้านเทคนิค

    ข้อมูลจากข่าว
    - อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม
    - ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI, Blockchain และ Omnichannel Commerce ยังคงมีความต้องการสูง
    - ตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือในภาคโทรคมนาคมและการรายงานข้อมูล
    - ผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ "Legacy" ในเมืองเล็ก เช่น Nashville และ Tulsa ได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เช่น New York และ Dallas
    - AI ถูกใช้แทนพนักงานในงานด้านการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล

    ผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน
    แม้ว่าผู้บริหารหลายคนจะกล่าวว่า AI มีไว้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แทนที่พนักงาน แต่ในทางปฏิบัติ AI ได้เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้นจำนวนมาก

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้ AI เพื่อแทนที่พนักงานในงานที่เกี่ยวข้องกับการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล
    - Sebastian Siemiatkowski ซีอีโอของ Klarna เชื่อว่า AI อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
    - Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

    แม้ว่าตำแหน่งงานบางประเภทจะลดลง แต่ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108275-us-unemployment-rate-climbs-fifth-consecutive-month-55.html
    📉 อัตราว่างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงานล่าสุดจาก Janco Associates ระบุว่า อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 🔍 สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน การเติบโตของ AI และระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลง โดยเฉพาะใน ภาคโทรคมนาคม, การรายงานข้อมูล และการสนับสนุนด้านเทคนิค ✅ ข้อมูลจากข่าว - อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม - ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI, Blockchain และ Omnichannel Commerce ยังคงมีความต้องการสูง - ตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือในภาคโทรคมนาคมและการรายงานข้อมูล - ผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ "Legacy" ในเมืองเล็ก เช่น Nashville และ Tulsa ได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เช่น New York และ Dallas - AI ถูกใช้แทนพนักงานในงานด้านการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล 🔥 ผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน แม้ว่าผู้บริหารหลายคนจะกล่าวว่า AI มีไว้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แทนที่พนักงาน แต่ในทางปฏิบัติ AI ได้เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้นจำนวนมาก ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลงอย่างต่อเนื่อง - บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้ AI เพื่อแทนที่พนักงานในงานที่เกี่ยวข้องกับการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล - Sebastian Siemiatkowski ซีอีโอของ Klarna เชื่อว่า AI อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย - Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้ว่าตำแหน่งงานบางประเภทจะลดลง แต่ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะยาวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108275-us-unemployment-rate-climbs-fifth-consecutive-month-55.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech unemployment in the US climbs for fifth consecutive month to 5.5%, AI blamed for job losses
    The report, from IT management consulting company Janco, states that the unemployment rate for IT pros in the United States jumped 0.9% from 4.6% in April to 5.5% in May.
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • การเติบโตของ AI Agent ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    AI Agent กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรายงานจาก EY Technology Pulse Poll พบว่า 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว และแนวโน้มการลงทุนใน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    AI Agent เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า Large Language Model (LLM) เช่น ChatGPT โดยสามารถ ดำเนินงานที่ซับซ้อนมากขึ้น และช่วยให้บริษัทสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Microsoft, Meta และ OpenAI กำลังลงทุนมหาศาลใน AI Agent โดย Google ได้ประกาศว่าจะใช้เงิน 100 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่

    ข้อมูลจากข่าว
    - 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว
    - AI Agent สามารถดำเนินงานที่ซับซ้อนมากกว่า LLM เช่น ChatGPT
    - Google ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ใน AI รุ่นใหม่
    - 92% ของผู้บริหารเทคโนโลยีวางแผนเพิ่มงบประมาณด้าน AI ในปีหน้า
    - AI Agent อาจสร้างรูปแบบการทำงานใหม่ในองค์กร

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI Agent อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร
    - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการกำกับดูแล AI เพื่อป้องกันการใช้งานที่ผิดพลาด
    - การนำ AI มาใช้ในองค์กรต้องมีการปรับตัวของพนักงานและการฝึกอบรมใหม่
    - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด

    ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน
    AI Agent กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทเทคโนโลยี และอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการกำกับดูแลและการปรับตัวของพนักงาน เพื่อให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/ai-agent-adoption-rates-are-at-50-in-tech-companies-is-this-the-future-of-work
    🤖 การเติบโตของ AI Agent ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI Agent กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรายงานจาก EY Technology Pulse Poll พบว่า 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว และแนวโน้มการลงทุนใน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว AI Agent เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า Large Language Model (LLM) เช่น ChatGPT โดยสามารถ ดำเนินงานที่ซับซ้อนมากขึ้น และช่วยให้บริษัทสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้อย่างมีนัยสำคัญ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Microsoft, Meta และ OpenAI กำลังลงทุนมหาศาลใน AI Agent โดย Google ได้ประกาศว่าจะใช้เงิน 100 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว - AI Agent สามารถดำเนินงานที่ซับซ้อนมากกว่า LLM เช่น ChatGPT - Google ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ใน AI รุ่นใหม่ - 92% ของผู้บริหารเทคโนโลยีวางแผนเพิ่มงบประมาณด้าน AI ในปีหน้า - AI Agent อาจสร้างรูปแบบการทำงานใหม่ในองค์กร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI Agent อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการกำกับดูแล AI เพื่อป้องกันการใช้งานที่ผิดพลาด - การนำ AI มาใช้ในองค์กรต้องมีการปรับตัวของพนักงานและการฝึกอบรมใหม่ - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด 🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน AI Agent กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทเทคโนโลยี และอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการกำกับดูแลและการปรับตัวของพนักงาน เพื่อให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/ai-agent-adoption-rates-are-at-50-in-tech-companies-is-this-the-future-of-work
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI agent adoption rates are at 50% in tech companies. Is this the future of work?
    Technology executives have a more positive outlook on AI transformation than other business leaders, according to a new survey.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • AI กับอนาคตของงานระดับเริ่มต้น
    Dario Amodei CEO ของ Anthropic เตือนว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสายงานปัญญาชนหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การว่างงานสูงถึง 20%

    Amodei ระบุว่า AI กำลังแทนที่งานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงสูงสุด

    ข้อมูลจาก SignalFire พบว่า การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และสตาร์ทอัพก็ลดการจ้างงานลงกว่า 30%

    อย่างไรก็ตาม บางบริษัท เช่น Klarna และ Duolingo เริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจากประสิทธิภาพของ AI ยังไม่สามารถทดแทนแรงงานได้เต็มที่

    ข้อมูลจากข่าว
    - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี
    - อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา
    - การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2019
    - สตาร์ทอัพลดการจ้างงานลงกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน
    - บางบริษัทเริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจาก AI ยังมีข้อจำกัด

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - รัฐบาลและบริษัท AI ควรเตรียมมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้
    - การว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% หากไม่มีการปรับตัวที่เหมาะสม
    - AI อาจไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่แทนที่แรงงานในระยะยาว
    - OpenAI CEO เสนอแนวทาง Universal Basic Income (UBI) แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ

    ผลกระทบต่ออนาคตของแรงงาน
    AI กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจ

    https://www.techspot.com/news/108111-ai-could-erase-half-all-entry-level-white.html
    🤖 AI กับอนาคตของงานระดับเริ่มต้น Dario Amodei CEO ของ Anthropic เตือนว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสายงานปัญญาชนหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การว่างงานสูงถึง 20% Amodei ระบุว่า AI กำลังแทนที่งานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงสูงสุด ข้อมูลจาก SignalFire พบว่า การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และสตาร์ทอัพก็ลดการจ้างงานลงกว่า 30% อย่างไรก็ตาม บางบริษัท เช่น Klarna และ Duolingo เริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจากประสิทธิภาพของ AI ยังไม่สามารถทดแทนแรงงานได้เต็มที่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี - อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา - การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2019 - สตาร์ทอัพลดการจ้างงานลงกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน - บางบริษัทเริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจาก AI ยังมีข้อจำกัด ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - รัฐบาลและบริษัท AI ควรเตรียมมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ - การว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% หากไม่มีการปรับตัวที่เหมาะสม - AI อาจไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่แทนที่แรงงานในระยะยาว - OpenAI CEO เสนอแนวทาง Universal Basic Income (UBI) แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของแรงงาน AI กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจ https://www.techspot.com/news/108111-ai-could-erase-half-all-entry-level-white.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI could erase half of all entry-level white-collar jobs within five years, warns Anthropic CEO
    Amodei made his comments during an interview with Axios. He said that AI companies and the government needed to stop "sugar-coating" the potential mass elimination of jobs...
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • Seagate เตือนว่า AI อาจสร้างวิกฤตคาร์บอนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    Seagate แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยระบุว่า ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจกลายเป็น "วิกฤตคาร์บอน"

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล
    อุตสาหกรรมฮาร์ดไดรฟ์สามารถผลิตพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้เพียง 1-2 เซตตะไบต์ต่อปี
    - 1 เซตตะไบต์เทียบเท่ากับ 1 ล้านล้านกิกะไบต์

    Seagate สำรวจผู้เชี่ยวชาญด้าน IT จำนวน 1,000 คน พบว่า 72% กำลังใช้หรือวางแผนใช้ AI
    - 90% ของผู้ที่ใช้ AI เชื่อว่าการจัดเก็บข้อมูลมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพของ AI

    Seagate พบว่าฮาร์ดไดรฟ์มีคาร์บอนฟุตพริ้นต์ต่ำกว่า SSD
    - อาจเป็นทางเลือกที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า SSD

    Seagate สาธิตฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้ NVMe เชื่อมต่อโดยตรงกับ GPU ของ Nvidia
    - ใช้ Data Processing Units (DPU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูล

    อุตสาหกรรมต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI
    - ศูนย์ข้อมูล ต้องพัฒนาโซลูชันที่ลดการปล่อยคาร์บอนและรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/seagate-suggests-ai-is-causing-a-carbon-crisis-for-the-industry
    Seagate เตือนว่า AI อาจสร้างวิกฤตคาร์บอนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Seagate แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยระบุว่า ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจกลายเป็น "วิกฤตคาร์บอน" 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล ✅ อุตสาหกรรมฮาร์ดไดรฟ์สามารถผลิตพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้เพียง 1-2 เซตตะไบต์ต่อปี - 1 เซตตะไบต์เทียบเท่ากับ 1 ล้านล้านกิกะไบต์ ✅ Seagate สำรวจผู้เชี่ยวชาญด้าน IT จำนวน 1,000 คน พบว่า 72% กำลังใช้หรือวางแผนใช้ AI - 90% ของผู้ที่ใช้ AI เชื่อว่าการจัดเก็บข้อมูลมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพของ AI ✅ Seagate พบว่าฮาร์ดไดรฟ์มีคาร์บอนฟุตพริ้นต์ต่ำกว่า SSD - อาจเป็นทางเลือกที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า SSD ✅ Seagate สาธิตฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้ NVMe เชื่อมต่อโดยตรงกับ GPU ของ Nvidia - ใช้ Data Processing Units (DPU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูล ✅ อุตสาหกรรมต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI - ศูนย์ข้อมูล ต้องพัฒนาโซลูชันที่ลดการปล่อยคาร์บอนและรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/seagate-suggests-ai-is-causing-a-carbon-crisis-for-the-industry
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • TSMC เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าชิปที่ผลิตนอกประเทศ

    TSMC ร่วมกับ Dell และ HP ส่งจดหมายถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อคัดค้านแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิป โดยเตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของ TSMC
    TSMC เตือนว่าภาษีนำเข้าชิปจะลดความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าในสหรัฐฯ
    - อาจส่งผลให้ รายได้ลดลงและกระทบต่อแผนการลงทุนมูลค่า $165 พันล้านในรัฐแอริโซนา

    TSMC ระบุว่าความต้องการชิปที่ลดลงอาจทำให้โครงการโรงงานในแอริโซนาเกิดความไม่แน่นอน
    - อาจส่งผลต่อ ความสามารถทางการเงินในการดำเนินโครงการตามแผน

    Dell และ HP สนับสนุนข้อเรียกร้องของ TSMC โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการผลิตชิป
    - HP ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำเข้าชิปเพื่อใช้ในโรงงานผลิตในประเทศ

    Intel มีมุมมองที่แตกต่าง โดยเรียกร้องให้ปกป้องชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ และให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอเมริกัน
    - ต้องการให้ อุปกรณ์ผลิตชิปจากต่างประเทศ เช่น ASML ได้รับการยกเว้นภาษี

    TSMC ยืนยันว่าภาษีนำเข้าจะเพิ่มต้นทุนของผลิตภัณฑ์และลดความต้องการของตลาด
    - ขอให้ รัฐบาลสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-calls-on-washington-to-drop-tariffs-on-semiconductors-made-outside-the-u-s
    TSMC เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าชิปที่ผลิตนอกประเทศ TSMC ร่วมกับ Dell และ HP ส่งจดหมายถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อคัดค้านแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิป โดยเตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของ TSMC ✅ TSMC เตือนว่าภาษีนำเข้าชิปจะลดความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าในสหรัฐฯ - อาจส่งผลให้ รายได้ลดลงและกระทบต่อแผนการลงทุนมูลค่า $165 พันล้านในรัฐแอริโซนา ✅ TSMC ระบุว่าความต้องการชิปที่ลดลงอาจทำให้โครงการโรงงานในแอริโซนาเกิดความไม่แน่นอน - อาจส่งผลต่อ ความสามารถทางการเงินในการดำเนินโครงการตามแผน ✅ Dell และ HP สนับสนุนข้อเรียกร้องของ TSMC โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการผลิตชิป - HP ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำเข้าชิปเพื่อใช้ในโรงงานผลิตในประเทศ ✅ Intel มีมุมมองที่แตกต่าง โดยเรียกร้องให้ปกป้องชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ และให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอเมริกัน - ต้องการให้ อุปกรณ์ผลิตชิปจากต่างประเทศ เช่น ASML ได้รับการยกเว้นภาษี ✅ TSMC ยืนยันว่าภาษีนำเข้าจะเพิ่มต้นทุนของผลิตภัณฑ์และลดความต้องการของตลาด - ขอให้ รัฐบาลสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-calls-on-washington-to-drop-tariffs-on-semiconductors-made-outside-the-u-s
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • ยุคแห่งการถกเถียงอย่างเปิดเผยใน Silicon Valley กำลังจางหายไป

    Silicon Valley เคยเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพนักงาน แต่ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีเริ่มเข้มงวดกับการแสดงความเห็นของพนักงานมากขึ้น โดยมีการ ไล่ออกพนักงานที่ประท้วง, ปิดกั้นโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ และจำกัดการติดต่อกับหน่วยงานกำกับดูแล

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใน Silicon Valley
    Microsoft ไล่ออกพนักงานที่ประท้วงการมีส่วนร่วมของบริษัทในสงครามอิสราเอล-กาซา
    - พนักงานสองคน ถูกไล่ออกหลังจากขัดจังหวะงานที่มี Bill Gates และ Satya Nadella

    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มปฏิเสธคำร้องของพนักงานและลบโพสต์วิพากษ์วิจารณ์จากฟอรัมภายใน
    - รวมถึง การเตือนพนักงานไม่ให้รั่วไหลข้อมูลไปยังสื่อ

    OpenAI ถูกกล่าวหาว่ามีข้อตกลงที่จำกัดพนักงานไม่ให้แจ้งเตือนหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ AI
    - พนักงานบางคน ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ SEC เกี่ยวกับข้อจำกัดนี้

    ตลาดแรงงานด้านเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการปลดพนักงานจำนวนมาก
    - ตั้งแต่ปี 2023 มีการปลดพนักงานมากกว่า 500,000 คนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    Google, Meta และ Amazon มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทรัมป์
    - ผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้ บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการเปิดตัวของทรัมป์

    https://www.techspot.com/news/107955-tech-workers-face-retaliation-companies-crack-down-protests.html
    ยุคแห่งการถกเถียงอย่างเปิดเผยใน Silicon Valley กำลังจางหายไป Silicon Valley เคยเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพนักงาน แต่ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีเริ่มเข้มงวดกับการแสดงความเห็นของพนักงานมากขึ้น โดยมีการ ไล่ออกพนักงานที่ประท้วง, ปิดกั้นโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ และจำกัดการติดต่อกับหน่วยงานกำกับดูแล 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใน Silicon Valley ✅ Microsoft ไล่ออกพนักงานที่ประท้วงการมีส่วนร่วมของบริษัทในสงครามอิสราเอล-กาซา - พนักงานสองคน ถูกไล่ออกหลังจากขัดจังหวะงานที่มี Bill Gates และ Satya Nadella ✅ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มปฏิเสธคำร้องของพนักงานและลบโพสต์วิพากษ์วิจารณ์จากฟอรัมภายใน - รวมถึง การเตือนพนักงานไม่ให้รั่วไหลข้อมูลไปยังสื่อ ✅ OpenAI ถูกกล่าวหาว่ามีข้อตกลงที่จำกัดพนักงานไม่ให้แจ้งเตือนหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ AI - พนักงานบางคน ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ SEC เกี่ยวกับข้อจำกัดนี้ ✅ ตลาดแรงงานด้านเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการปลดพนักงานจำนวนมาก - ตั้งแต่ปี 2023 มีการปลดพนักงานมากกว่า 500,000 คนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ✅ Google, Meta และ Amazon มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทรัมป์ - ผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้ บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการเปิดตัวของทรัมป์ https://www.techspot.com/news/107955-tech-workers-face-retaliation-companies-crack-down-protests.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Silicon Valley's era of open debate fades as companies clamp down on employee dissent
    In recent years, Silicon Valley has witnessed a sharp shift in how major technology companies respond to employee activism and internal dissent. Once known for a culture...
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
  • Cisco ได้เปิดตัว ชิปเครือข่ายควอนตัมต้นแบบ และประกาศเปิด ห้องปฏิบัติการใหม่ในซานตา โมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

    ชิปใหม่นี้ใช้ เทคโนโลยีเดียวกับชิปเครือข่ายปัจจุบัน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดเล็กเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ Cisco ยังเชื่อว่าชิปนี้จะมี การใช้งานจริงก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกลายเป็นกระแสหลัก เช่น ช่วยให้บริษัทการเงินซิงค์เวลาการซื้อขาย หรือช่วยนักวิทยาศาสตร์ตรวจจับอุกกาบาต

    Cisco เปิดตัวชิปเครือข่ายควอนตัมต้นแบบ
    - ใช้ เทคโนโลยีเดียวกับชิปเครือข่ายปัจจุบัน
    - ออกแบบมาเพื่อ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดเล็กเข้าด้วยกัน

    Cisco เปิดห้องปฏิบัติการใหม่ในซานตา โมนิกา
    - เพื่อเร่งการพัฒนา เทคโนโลยีควอนตัม
    - อาจช่วยให้ การวิจัยด้านเครือข่ายควอนตัมก้าวหน้าเร็วขึ้น

    การใช้งานจริงก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกลายเป็นกระแสหลัก
    - ช่วยให้ บริษัทการเงินซิงค์เวลาการซื้อขาย
    - อาจช่วย นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับอุกกาบาต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - อาจทำให้ การพัฒนาเครือข่ายควอนตัมเร็วขึ้น
    - อาจช่วยให้ องค์กรต่าง ๆ เริ่มทดลองใช้เทคโนโลยีควอนตัมได้เร็วขึ้น

    ผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล
    - เครือข่ายควอนตัมอาจ ทำให้การเข้ารหัสแบบเดิมไม่ปลอดภัย

    ความท้าทายในการพัฒนาและใช้งานจริง
    - อาจต้องใช้ โครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/cisco-shows-quantum-networking-chip-opens-new-lab-
    Cisco ได้เปิดตัว ชิปเครือข่ายควอนตัมต้นแบบ และประกาศเปิด ห้องปฏิบัติการใหม่ในซานตา โมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม ชิปใหม่นี้ใช้ เทคโนโลยีเดียวกับชิปเครือข่ายปัจจุบัน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดเล็กเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ Cisco ยังเชื่อว่าชิปนี้จะมี การใช้งานจริงก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกลายเป็นกระแสหลัก เช่น ช่วยให้บริษัทการเงินซิงค์เวลาการซื้อขาย หรือช่วยนักวิทยาศาสตร์ตรวจจับอุกกาบาต ✅ Cisco เปิดตัวชิปเครือข่ายควอนตัมต้นแบบ - ใช้ เทคโนโลยีเดียวกับชิปเครือข่ายปัจจุบัน - ออกแบบมาเพื่อ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดเล็กเข้าด้วยกัน ✅ Cisco เปิดห้องปฏิบัติการใหม่ในซานตา โมนิกา - เพื่อเร่งการพัฒนา เทคโนโลยีควอนตัม - อาจช่วยให้ การวิจัยด้านเครือข่ายควอนตัมก้าวหน้าเร็วขึ้น ✅ การใช้งานจริงก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกลายเป็นกระแสหลัก - ช่วยให้ บริษัทการเงินซิงค์เวลาการซื้อขาย - อาจช่วย นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับอุกกาบาต ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี - อาจทำให้ การพัฒนาเครือข่ายควอนตัมเร็วขึ้น - อาจช่วยให้ องค์กรต่าง ๆ เริ่มทดลองใช้เทคโนโลยีควอนตัมได้เร็วขึ้น ‼️ ผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล - เครือข่ายควอนตัมอาจ ทำให้การเข้ารหัสแบบเดิมไม่ปลอดภัย ‼️ ความท้าทายในการพัฒนาและใช้งานจริง - อาจต้องใช้ โครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/cisco-shows-quantum-networking-chip-opens-new-lab-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cisco shows quantum networking chip, opens new lab
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Cisco Systems on Tuesday showed a prototype chip for networking quantum computers together and said it is opening a new lab in Santa Monica, California, to further pursue quantum computing.
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่าจากเดิม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน โดยอุตสาหกรรมกำลังผลักดันให้มี Chips Act 2.0 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาและผลิตชิปภายในยุโรป

    กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI ได้เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป้าหมายหลักคือ ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และ เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการผลิตชิปขั้นสูง

    EU พิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่า
    - เพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน
    - เป็นส่วนหนึ่งของแผน Chips Act 2.0

    กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์
    - เพื่อให้สามารถ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ

    เป้าหมายหลักของ Chips Act 2.0
    - เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการ ผลิตชิปขั้นสูง
    - สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุโรป
    - อาจช่วยให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยุโรปสามารถแข่งขันกับบริษัทในสหรัฐฯ และจีนได้ดีขึ้น
    - ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/eu-should-quadruple-semiconductor-spending-industry-group-says
    สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่าจากเดิม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน โดยอุตสาหกรรมกำลังผลักดันให้มี Chips Act 2.0 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาและผลิตชิปภายในยุโรป กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI ได้เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป้าหมายหลักคือ ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และ เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการผลิตชิปขั้นสูง ✅ EU พิจารณาเพิ่มงบประมาณด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็น 4 เท่า - เพื่อเสริมสร้าง ความสามารถในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน - เป็นส่วนหนึ่งของแผน Chips Act 2.0 ✅ กลุ่มอุตสาหกรรม SEMI เสนอให้ EU จัดสรรงบประมาณแยกต่างหากสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ - เพื่อให้สามารถ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ ✅ เป้าหมายหลักของ Chips Act 2.0 - เพิ่มขีดความสามารถของยุโรปในการ ผลิตชิปขั้นสูง - สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุโรป - อาจช่วยให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยุโรปสามารถแข่งขันกับบริษัทในสหรัฐฯ และจีนได้ดีขึ้น - ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/eu-should-quadruple-semiconductor-spending-industry-group-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU should quadruple semiconductor spending, industry group says
    AMSTERDAM (Reuters) -The European Union should quadruple its spending on chips and allocate a separate budget for it, industry group SEMI said on Tuesday in its official response to EU consultations for its upcoming investment budget.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึง ปัญหาการสร้างข้อมูลผิดพลาด (hallucinations) ใน AI ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้น แม้ว่าระบบ AI จะมีความสามารถมากขึ้นก็ตาม

    ตัวอย่างหนึ่งคือ Cursor ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ AI ในการให้คำแนะนำด้านเทคนิค เมื่อเดือนที่แล้ว AI ของ Cursor ได้แจ้งลูกค้าหลายรายว่า มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยระบุว่าผู้ใช้สามารถใช้ Cursor ได้เพียง หนึ่งเครื่องเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

    ลูกค้าหลายรายแสดงความไม่พอใจและบางคนถึงกับ ยกเลิกบัญชีของตน ก่อนที่จะพบว่า AI ได้สร้างข้อมูลผิดพลาดขึ้นมาเอง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจริง

    นักวิจัยพบว่า AI รุ่นใหม่ที่เน้นการให้เหตุผล (reasoning systems) เช่น GPT-4 และ Claude AI มีแนวโน้มที่จะสร้างข้อมูลผิดพลาดมากขึ้น แม้จะมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ดีขึ้น

    AI ของ Cursor แจ้งข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายการใช้งาน
    - ลูกค้าหลายรายได้รับแจ้งว่า สามารถใช้ Cursor ได้เพียงหนึ่งเครื่องเท่านั้น
    - ข้อมูลนี้ ไม่เป็นความจริง และทำให้ลูกค้าบางรายยกเลิกบัญชี

    AI รุ่นใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมีแนวโน้มสร้างข้อมูลผิดพลาดมากขึ้น
    - เช่น GPT-4 และ Claude AI
    - แม้ว่าจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ดีขึ้น แต่ ยังคงสร้างข้อมูลผิดพลาด

    บริษัท AI ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม AI ถึงสร้างข้อมูลผิดพลาด
    - นักวิจัยยังคงพยายาม หาสาเหตุของปัญหานี้

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - ผู้ใช้ต้อง ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจาก AI อย่างละเอียด
    - อาจส่งผลต่อ ความเชื่อมั่นในระบบ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/ai-is-getting-more-powerful-but-its-hallucinations-are-getting-worse
    บทความนี้กล่าวถึง ปัญหาการสร้างข้อมูลผิดพลาด (hallucinations) ใน AI ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้น แม้ว่าระบบ AI จะมีความสามารถมากขึ้นก็ตาม ตัวอย่างหนึ่งคือ Cursor ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ AI ในการให้คำแนะนำด้านเทคนิค เมื่อเดือนที่แล้ว AI ของ Cursor ได้แจ้งลูกค้าหลายรายว่า มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยระบุว่าผู้ใช้สามารถใช้ Cursor ได้เพียง หนึ่งเครื่องเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ลูกค้าหลายรายแสดงความไม่พอใจและบางคนถึงกับ ยกเลิกบัญชีของตน ก่อนที่จะพบว่า AI ได้สร้างข้อมูลผิดพลาดขึ้นมาเอง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจริง นักวิจัยพบว่า AI รุ่นใหม่ที่เน้นการให้เหตุผล (reasoning systems) เช่น GPT-4 และ Claude AI มีแนวโน้มที่จะสร้างข้อมูลผิดพลาดมากขึ้น แม้จะมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ดีขึ้น ✅ AI ของ Cursor แจ้งข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายการใช้งาน - ลูกค้าหลายรายได้รับแจ้งว่า สามารถใช้ Cursor ได้เพียงหนึ่งเครื่องเท่านั้น - ข้อมูลนี้ ไม่เป็นความจริง และทำให้ลูกค้าบางรายยกเลิกบัญชี ✅ AI รุ่นใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมีแนวโน้มสร้างข้อมูลผิดพลาดมากขึ้น - เช่น GPT-4 และ Claude AI - แม้ว่าจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ดีขึ้น แต่ ยังคงสร้างข้อมูลผิดพลาด ✅ บริษัท AI ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม AI ถึงสร้างข้อมูลผิดพลาด - นักวิจัยยังคงพยายาม หาสาเหตุของปัญหานี้ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - ผู้ใช้ต้อง ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับจาก AI อย่างละเอียด - อาจส่งผลต่อ ความเชื่อมั่นในระบบ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/ai-is-getting-more-powerful-but-its-hallucinations-are-getting-worse
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI is getting more powerful, but its hallucinations are getting worse
    A new wave of 'reasoning' systems from companies like OpenAI is producing incorrect information more often. Even the companies don't know why.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล

    Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า

    แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space

    Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI
    - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล

    ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์
    - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า
    - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์

    Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้
    - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก
    - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน
    - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI
    - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ

    https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space ✅ Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล ✅ ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์ ✅ Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้ - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Former Google CEO Eric Schmidt wants to put data centers in space
    In his new role as CEO of Relativity Space, Eric Schmidt appears to be exploring the idea of launching data centers into Earth's orbit. During a recent...
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • บทความนี้วิเคราะห์แนวโน้มของ การนำ Custom ASIC มาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยตั้งคำถามว่าเราอาจกำลังเข้าใกล้ จุดสูงสุดของการพัฒนาและการนำไปใช้ หรือไม่

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ได้เริ่มออกแบบชิปของตัวเองแทนที่จะซื้อจากผู้ผลิตทั่วไป เช่น Apple และ Google ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางบริษัทเริ่ม ทบทวนกลยุทธ์และลดขอบเขตของการพัฒนา

    แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft และ Meta จะยังคงพัฒนา Custom ASIC แต่พวกเขากำลังเผชิญกับ ความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด นอกจากนี้ Google ซึ่งมีเครื่องมือออกแบบชิปของตัวเอง ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่

    บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรงเริ่มออกแบบชิปของตัวเอง
    - ตัวอย่างเช่น Apple และ Google
    - ช่วยให้สามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น

    ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้น
    - ค่าใช้จ่ายด้าน บุคลากร, สิทธิบัตร และการผลิต เพิ่มขึ้น
    - ทำให้บางบริษัท เริ่มลดขอบเขตของการพัฒนา

    Microsoft และ Meta กำลังเผชิญกับความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด
    - อาจต้อง ปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
    - Google ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่

    แนวโน้มของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและยานยนต์
    - Samsung ลดการใช้ ชิปที่ออกแบบเอง
    - ผู้ผลิตรถยนต์ยังคง พิจารณาว่าควรพัฒนา Custom ASIC หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107803-opinion-nearing-peak-custom-asic-adoption.html
    บทความนี้วิเคราะห์แนวโน้มของ การนำ Custom ASIC มาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยตั้งคำถามว่าเราอาจกำลังเข้าใกล้ จุดสูงสุดของการพัฒนาและการนำไปใช้ หรือไม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ได้เริ่มออกแบบชิปของตัวเองแทนที่จะซื้อจากผู้ผลิตทั่วไป เช่น Apple และ Google ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางบริษัทเริ่ม ทบทวนกลยุทธ์และลดขอบเขตของการพัฒนา แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft และ Meta จะยังคงพัฒนา Custom ASIC แต่พวกเขากำลังเผชิญกับ ความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด นอกจากนี้ Google ซึ่งมีเครื่องมือออกแบบชิปของตัวเอง ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ ✅ บริษัทที่ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรงเริ่มออกแบบชิปของตัวเอง - ตัวอย่างเช่น Apple และ Google - ช่วยให้สามารถ ควบคุมประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น ✅ ต้นทุนในการออกแบบและผลิตชิปเฉพาะทางสูงขึ้น - ค่าใช้จ่ายด้าน บุคลากร, สิทธิบัตร และการผลิต เพิ่มขึ้น - ทำให้บางบริษัท เริ่มลดขอบเขตของการพัฒนา ✅ Microsoft และ Meta กำลังเผชิญกับความท้าทายในการนำชิปออกสู่ตลาด - อาจต้อง ปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ - Google ก็เริ่ม ชะลอการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ ✅ แนวโน้มของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและยานยนต์ - Samsung ลดการใช้ ชิปที่ออกแบบเอง - ผู้ผลิตรถยนต์ยังคง พิจารณาว่าควรพัฒนา Custom ASIC หรือไม่ https://www.techspot.com/news/107803-opinion-nearing-peak-custom-asic-adoption.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Opinion: Are we nearing the peak of custom ASIC adoption?
    We think it is important to remember that the case for custom silicon is an economic choice, not a technical one.
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • Apple ถูกศาลอุทธรณ์ในลอนดอนสั่งให้จ่ายเงิน 502 ล้านดอลลาร์ ให้กับ Optis Cellular Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทด้านสิทธิบัตรจากสหรัฐฯ สำหรับการใช้ สิทธิบัตร 4G ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น iPhone และ iPad

    คดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 เมื่อ Optis ฟ้อง Apple ในลอนดอน โดยอ้างว่า Apple ใช้สิทธิบัตรที่จำเป็นต่อมาตรฐานเทคโนโลยี 4G โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลสูงของลอนดอนเคยตัดสินให้ Apple จ่ายเงิน 56.43 ล้านดอลลาร์ แต่ Optis มองว่าจำนวนเงินดังกล่าวต่ำเกินไป และยื่นอุทธรณ์

    ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินให้ Apple ต้องจ่ายเงินก้อนเดียว 502 ล้านดอลลาร์ สำหรับการใช้สิทธิบัตรของ Optis ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2027 ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับ ใบอนุญาตระดับโลก

    Apple แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินนี้ และประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์ โดยระบุว่า Optis ไม่ได้ผลิตสินค้าใดๆ และมีธุรกิจหลักคือการฟ้องร้องบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรที่พวกเขาซื้อมา ขณะที่ Optis ยืนยันว่าคำตัดสินนี้ช่วยยืนยันมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิบัตรของตน

    คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ลอนดอน
    - Apple ต้องจ่าย 502 ล้านดอลลาร์ ให้ Optis สำหรับการใช้สิทธิบัตร 4G
    - ค่าธรรมเนียมครอบคลุมช่วงปี 2013-2027

    ประวัติของคดี
    - Optis ฟ้อง Apple ในปี 2019 โดยอ้างว่า Apple ใช้สิทธิบัตร 4G โดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ศาลสูงเคยตัดสินให้ Apple จ่าย 56.43 ล้านดอลลาร์ แต่ Optis ยื่นอุทธรณ์

    ปฏิกิริยาของ Apple และ Optis
    - Apple ไม่พอใจและประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์
    - Optis ยืนยันว่าคำตัดสินช่วยยืนยันมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิบัตร

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - คดีนี้อาจส่งผลต่อแนวทางการกำหนดค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/01/apple-must-pay-optis-502-million-lump-sum-in-uk-patent-dispute-court-rules
    Apple ถูกศาลอุทธรณ์ในลอนดอนสั่งให้จ่ายเงิน 502 ล้านดอลลาร์ ให้กับ Optis Cellular Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทด้านสิทธิบัตรจากสหรัฐฯ สำหรับการใช้ สิทธิบัตร 4G ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น iPhone และ iPad คดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 เมื่อ Optis ฟ้อง Apple ในลอนดอน โดยอ้างว่า Apple ใช้สิทธิบัตรที่จำเป็นต่อมาตรฐานเทคโนโลยี 4G โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลสูงของลอนดอนเคยตัดสินให้ Apple จ่ายเงิน 56.43 ล้านดอลลาร์ แต่ Optis มองว่าจำนวนเงินดังกล่าวต่ำเกินไป และยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินให้ Apple ต้องจ่ายเงินก้อนเดียว 502 ล้านดอลลาร์ สำหรับการใช้สิทธิบัตรของ Optis ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2027 ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับ ใบอนุญาตระดับโลก Apple แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินนี้ และประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์ โดยระบุว่า Optis ไม่ได้ผลิตสินค้าใดๆ และมีธุรกิจหลักคือการฟ้องร้องบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรที่พวกเขาซื้อมา ขณะที่ Optis ยืนยันว่าคำตัดสินนี้ช่วยยืนยันมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิบัตรของตน ✅ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ลอนดอน - Apple ต้องจ่าย 502 ล้านดอลลาร์ ให้ Optis สำหรับการใช้สิทธิบัตร 4G - ค่าธรรมเนียมครอบคลุมช่วงปี 2013-2027 ✅ ประวัติของคดี - Optis ฟ้อง Apple ในปี 2019 โดยอ้างว่า Apple ใช้สิทธิบัตร 4G โดยไม่ได้รับอนุญาต - ศาลสูงเคยตัดสินให้ Apple จ่าย 56.43 ล้านดอลลาร์ แต่ Optis ยื่นอุทธรณ์ ✅ ปฏิกิริยาของ Apple และ Optis - Apple ไม่พอใจและประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์ - Optis ยืนยันว่าคำตัดสินช่วยยืนยันมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิบัตร ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี - คดีนี้อาจส่งผลต่อแนวทางการกำหนดค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/01/apple-must-pay-optis-502-million-lump-sum-in-uk-patent-dispute-court-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple must pay Optis $502 million lump sum in UK patent dispute, court rules
    LONDON (Reuters) -Apple must pay a U.S. patent holder $502 million for the use of 4G patents in devices including iPhones and iPads, London's Court of Appeal ruled on Thursday, in the latest stage of a long-running legal battle.
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงความสำเร็จของ Arm ในการพัฒนาและส่งมอบชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน โดย Arm ได้เริ่มต้นการพัฒนาชิปตั้งแต่ปี 1985 ด้วยชิป ARM1 ที่มีเพียง 6,000 gates และใช้เทคโนโลยี 3μm ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ Acorn Archimedes ในสหราชอาณาจักร

    ปัจจุบัน Arm ได้ส่งมอบชิปไปแล้วกว่า 250 พันล้านชิ้น ซึ่งถูกใช้งานในอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น เซ็นเซอร์ สมาร์ทโฟน และศูนย์ข้อมูล โดยชิปที่ทันสมัยที่สุดของ Arm มีมากกว่า 100 ล้าน gates และใช้เทคโนโลยีการผลิต 3nm

    Arm ยังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะครองตลาด CPU ในศูนย์ข้อมูลถึง 50% ภายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม Arm ต้องเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่ง เช่น RISC-V และบริษัทเทคโนโลยีในจีนที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

    การเริ่มต้นและการพัฒนา
    - ชิป ARM1 มีเพียง 6,000 gates และใช้เทคโนโลยี 3μm
    - ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ Acorn Archimedes

    ความสำเร็จในปัจจุบัน
    - ส่งมอบชิปไปแล้วกว่า 250 พันล้านชิ้น
    - ชิปที่ทันสมัยที่สุดมีมากกว่า 100 ล้าน gates และใช้เทคโนโลยี 3nm

    บทบาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - เป้าหมายที่จะครองตลาด CPU ในศูนย์ข้อมูลถึง 50% ภายในปี 2025
    - มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น เซ็นเซอร์และสมาร์ทโฟน

    ความสำคัญของการประหยัดพลังงาน
    - ชิปของ Arm มีคุณสมบัติที่ประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/over-250-billion-arm-chips-have-shipped-since-the-first-arm1-processor-launched-40-years-ago
    บทความนี้กล่าวถึงความสำเร็จของ Arm ในการพัฒนาและส่งมอบชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน โดย Arm ได้เริ่มต้นการพัฒนาชิปตั้งแต่ปี 1985 ด้วยชิป ARM1 ที่มีเพียง 6,000 gates และใช้เทคโนโลยี 3μm ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ Acorn Archimedes ในสหราชอาณาจักร ปัจจุบัน Arm ได้ส่งมอบชิปไปแล้วกว่า 250 พันล้านชิ้น ซึ่งถูกใช้งานในอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น เซ็นเซอร์ สมาร์ทโฟน และศูนย์ข้อมูล โดยชิปที่ทันสมัยที่สุดของ Arm มีมากกว่า 100 ล้าน gates และใช้เทคโนโลยีการผลิต 3nm Arm ยังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะครองตลาด CPU ในศูนย์ข้อมูลถึง 50% ภายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม Arm ต้องเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่ง เช่น RISC-V และบริษัทเทคโนโลยีในจีนที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ✅ การเริ่มต้นและการพัฒนา - ชิป ARM1 มีเพียง 6,000 gates และใช้เทคโนโลยี 3μm - ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ Acorn Archimedes ✅ ความสำเร็จในปัจจุบัน - ส่งมอบชิปไปแล้วกว่า 250 พันล้านชิ้น - ชิปที่ทันสมัยที่สุดมีมากกว่า 100 ล้าน gates และใช้เทคโนโลยี 3nm ✅ บทบาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - เป้าหมายที่จะครองตลาด CPU ในศูนย์ข้อมูลถึง 50% ภายในปี 2025 - มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น เซ็นเซอร์และสมาร์ทโฟน ✅ ความสำคัญของการประหยัดพลังงาน - ชิปของ Arm มีคุณสมบัติที่ประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/over-250-billion-arm-chips-have-shipped-since-the-first-arm1-processor-launched-40-years-ago
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเป็นที่ใฝ่ฝันของหลายคน แต่ปัจจุบันกลับเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การปลดพนักงานจำนวนมาก การลดสิทธิประโยชน์ และความกดดันจากการพัฒนา AI ที่ส่งผลต่อการทำงานของพนักงาน

    ในปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการปลดพนักงานมากที่สุดในภาคเอกชน โดยมีพนักงานกว่า 50,000 คน จากบริษัทเทคโนโลยี 100 แห่งถูกปลดออก นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ที่เคยมี เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลงอย่างมาก ขณะที่พนักงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่บริษัทคาดหวัง

    การพัฒนา AI ยังส่งผลให้พนักงานบางส่วนต้องกลับมาทำงานที่เคยถูกแทนที่ด้วย AI เช่น การเขียนโค้ด และยังมีการลดตำแหน่งงานที่ไม่จำเป็นลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

    การปลดพนักงานและผลกระทบ
    - พนักงานกว่า 50,000 คนจาก 100 บริษัทถูกปลดออก
    - บริษัทใหญ่ เช่น Intel, Meta และ Google มีการปลดพนักงานจำนวนมาก

    การลดสิทธิประโยชน์
    - สิทธิประโยชน์ เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลง
    - พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น เช่น การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

    ผลกระทบจากการพัฒนา AI
    - AI แทนที่งานบางส่วน แต่พนักงานบางคนต้องกลับมาทำงานที่ AI ไม่สามารถทำได้
    - บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มากกว่าการเพิ่มเงินเดือน

    เป้าหมายของบริษัทเทคโนโลยี
    - เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง

    https://www.techspot.com/news/107700-reality-today-tech-industry-layoffs-long-hours-ai.html
    บทความนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเป็นที่ใฝ่ฝันของหลายคน แต่ปัจจุบันกลับเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การปลดพนักงานจำนวนมาก การลดสิทธิประโยชน์ และความกดดันจากการพัฒนา AI ที่ส่งผลต่อการทำงานของพนักงาน ในปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการปลดพนักงานมากที่สุดในภาคเอกชน โดยมีพนักงานกว่า 50,000 คน จากบริษัทเทคโนโลยี 100 แห่งถูกปลดออก นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ที่เคยมี เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลงอย่างมาก ขณะที่พนักงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่บริษัทคาดหวัง การพัฒนา AI ยังส่งผลให้พนักงานบางส่วนต้องกลับมาทำงานที่เคยถูกแทนที่ด้วย AI เช่น การเขียนโค้ด และยังมีการลดตำแหน่งงานที่ไม่จำเป็นลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ✅ การปลดพนักงานและผลกระทบ - พนักงานกว่า 50,000 คนจาก 100 บริษัทถูกปลดออก - บริษัทใหญ่ เช่น Intel, Meta และ Google มีการปลดพนักงานจำนวนมาก ✅ การลดสิทธิประโยชน์ - สิทธิประโยชน์ เช่น การทำงานจากที่บ้านและอาหารฟรี ถูกลดลง - พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น เช่น การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ✅ ผลกระทบจากการพัฒนา AI - AI แทนที่งานบางส่วน แต่พนักงานบางคนต้องกลับมาทำงานที่ AI ไม่สามารถทำได้ - บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มากกว่าการเพิ่มเงินเดือน ✅ เป้าหมายของบริษัทเทคโนโลยี - เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง https://www.techspot.com/news/107700-reality-today-tech-industry-layoffs-long-hours-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The reality of today's tech industry: layoffs, long hours, AI threats, and few perks
    As parodied in the brilliant Silicon Valley show, there was a time when some tech employees were paid fortunes to do almost nothing in their jobs. Their...
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • Novomatic บริษัทเทคโนโลยีเกมรายใหญ่ในยุโรป ได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการ Ainsworth Game Technology ผู้ผลิตเครื่องสล็อตชั้นนำของออสเตรเลียอย่างเต็มรูปแบบ โดยการซื้อหุ้นที่เหลืออีก 47.1% ที่ Novomatic ยังไม่ได้ถือครองในราคา AU$1.00 ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขายล่าสุดถึง 35% การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่ารวมประมาณ AU$336 ล้าน และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกมคาสิโนทั่วโลก

    Novomatic ซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ใน Ainsworth ตั้งแต่ปี 2016 ได้วางแผนที่จะใช้การควบรวมกิจการนี้เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสล็อตและแพลตฟอร์มดิจิทัล

    การซื้อหุ้นและมูลค่าการซื้อขาย
    - Novomatic ซื้อหุ้นที่เหลืออีก 47.1% ในราคา AU$1.00 ต่อหุ้น
    - มูลค่ารวมของการซื้อกิจการประมาณ AU$336 ล้าน

    เป้าหมายของการควบรวมกิจการ
    - ขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ
    - พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสล็อตและแพลตฟอร์มดิจิทัล

    ผลกระทบต่อ Ainsworth
    - Ainsworth ได้รับความมั่นคงทางการเงินจากการควบรวมกิจการ
    - การพัฒนา R&D และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะได้รับการสนับสนุนจาก Novomatic

    กระบวนการและการอนุมัติ
    - การซื้อกิจการจะดำเนินการผ่าน Scheme of Arrangement
    - ได้รับการอนุมัติจาก FIRB และต้องการการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและศาล

    https://computercity.com/software/gaming/novomatic-to-acquire-ainsworth-in-strategic-gaming-industry-move
    Novomatic บริษัทเทคโนโลยีเกมรายใหญ่ในยุโรป ได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการ Ainsworth Game Technology ผู้ผลิตเครื่องสล็อตชั้นนำของออสเตรเลียอย่างเต็มรูปแบบ โดยการซื้อหุ้นที่เหลืออีก 47.1% ที่ Novomatic ยังไม่ได้ถือครองในราคา AU$1.00 ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขายล่าสุดถึง 35% การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่ารวมประมาณ AU$336 ล้าน และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกมคาสิโนทั่วโลก Novomatic ซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ใน Ainsworth ตั้งแต่ปี 2016 ได้วางแผนที่จะใช้การควบรวมกิจการนี้เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสล็อตและแพลตฟอร์มดิจิทัล ✅ การซื้อหุ้นและมูลค่าการซื้อขาย - Novomatic ซื้อหุ้นที่เหลืออีก 47.1% ในราคา AU$1.00 ต่อหุ้น - มูลค่ารวมของการซื้อกิจการประมาณ AU$336 ล้าน ✅ เป้าหมายของการควบรวมกิจการ - ขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ - พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องสล็อตและแพลตฟอร์มดิจิทัล ✅ ผลกระทบต่อ Ainsworth - Ainsworth ได้รับความมั่นคงทางการเงินจากการควบรวมกิจการ - การพัฒนา R&D และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะได้รับการสนับสนุนจาก Novomatic ✅ กระบวนการและการอนุมัติ - การซื้อกิจการจะดำเนินการผ่าน Scheme of Arrangement - ได้รับการอนุมัติจาก FIRB และต้องการการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและศาล https://computercity.com/software/gaming/novomatic-to-acquire-ainsworth-in-strategic-gaming-industry-move
    COMPUTERCITY.COM
    Novomatic To Acquire Ainsworth In Strategic Gaming Industry Move
    Novomatic, one of Europe’s largest gaming technology giants, has announced a strategic move to fully acquire Ainsworth Game Technology, a leading Australian
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • รายงานจาก Mandiant เปิดเผยว่ากลุ่มแฮกเกอร์ในปี 2024 มีแรงจูงใจทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด และเกือบสองในสามของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้

    วิธีการโจมตีที่นิยมมากที่สุดคือการใช้ช่องโหว่ (33%) ตามด้วยการใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) การฟิชชิง (14%) การบุกรุกเว็บไซต์ (9%) และการใช้ช่องโหว่ที่มีอยู่ก่อนหน้า (8%)

    อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุดคือการเงิน (17%) ตามด้วยธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (10%) รัฐบาล (10%) และการดูแลสุขภาพ (9%)

    นักวิจัยเตือนว่า AI กำลังเพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี โดยช่วยให้แฮกเกอร์สามารถดำเนินการโจมตีที่มีเป้าหมายและหลบหลีกได้มากขึ้น

    แรงจูงใจทางการเงินของกลุ่มแฮกเกอร์
    - 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ
    - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด

    วิธีการโจมตีที่นิยม
    - การใช้ช่องโหว่ (33%)
    - การใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%)
    - การฟิชชิง (14%)

    อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    - การเงิน (17%)
    - ธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%)
    - รัฐบาล (10%)

    ผลกระทบจาก AI
    - AI เพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี

    https://www.techradar.com/pro/security/hacking-groups-are-now-increasingly-in-it-for-the-money-not-the-chaos
    รายงานจาก Mandiant เปิดเผยว่ากลุ่มแฮกเกอร์ในปี 2024 มีแรงจูงใจทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด และเกือบสองในสามของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ วิธีการโจมตีที่นิยมมากที่สุดคือการใช้ช่องโหว่ (33%) ตามด้วยการใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) การฟิชชิง (14%) การบุกรุกเว็บไซต์ (9%) และการใช้ช่องโหว่ที่มีอยู่ก่อนหน้า (8%) อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุดคือการเงิน (17%) ตามด้วยธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (10%) รัฐบาล (10%) และการดูแลสุขภาพ (9%) นักวิจัยเตือนว่า AI กำลังเพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี โดยช่วยให้แฮกเกอร์สามารถดำเนินการโจมตีที่มีเป้าหมายและหลบหลีกได้มากขึ้น ✅ แรงจูงใจทางการเงินของกลุ่มแฮกเกอร์ - 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด ✅ วิธีการโจมตีที่นิยม - การใช้ช่องโหว่ (33%) - การใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) - การฟิชชิง (14%) ✅ อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด - การเงิน (17%) - ธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) - รัฐบาล (10%) ✅ ผลกระทบจาก AI - AI เพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี https://www.techradar.com/pro/security/hacking-groups-are-now-increasingly-in-it-for-the-money-not-the-chaos
    0 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้กล่าวถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ เช่น Lenovo, HP และ Dell ต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย โดยนโยบายภาษีที่สูงถึง 245% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

    ซาอุดีอาระเบียได้เสนอสิ่งจูงใจที่น่าสนใจ เช่น การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด และการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (PIF) ซึ่งมีมูลค่าถึง 620 พันล้านดอลลาร์ โดย Lenovo ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในซาอุดีอาระเบียเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา

    การย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย
    - Lenovo, HP และ Dell กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย
    - Lenovo ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในซาอุดีอาระเบีย

    สิ่งจูงใจจากซาอุดีอาระเบีย
    - ซาอุดีอาระเบียเสนอการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด
    - กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (PIF) สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์
    - ภาษี 245% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้บริษัทต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิต
    - ซาอุดีอาระเบียมีภาษีเพียง 10% ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

    การขยายตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา
    - การย้ายฐานการผลิตช่วยเพิ่มการเข้าถึงตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา

    https://www.techspot.com/news/107672-trump-tariffs-push-world-top-pc-makers-toward.html
    ข่าวนี้กล่าวถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ เช่น Lenovo, HP และ Dell ต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย โดยนโยบายภาษีที่สูงถึง 245% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซาอุดีอาระเบียได้เสนอสิ่งจูงใจที่น่าสนใจ เช่น การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด และการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (PIF) ซึ่งมีมูลค่าถึง 620 พันล้านดอลลาร์ โดย Lenovo ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในซาอุดีอาระเบียเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย - Lenovo, HP และ Dell กำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังซาอุดีอาระเบีย - Lenovo ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในซาอุดีอาระเบีย ✅ สิ่งจูงใจจากซาอุดีอาระเบีย - ซาอุดีอาระเบียเสนอการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด - กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (PIF) สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ✅ ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ - ภาษี 245% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทำให้บริษัทต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิต - ซาอุดีอาระเบียมีภาษีเพียง 10% ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ✅ การขยายตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา - การย้ายฐานการผลิตช่วยเพิ่มการเข้าถึงตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา https://www.techspot.com/news/107672-trump-tariffs-push-world-top-pc-makers-toward.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump tariffs push top PC makers Lenovo, HP, and Dell toward Saudi Arabia
    The so-called "reciprocal tariffs" imposed by the Trump administration could push major PC manufacturers to find new production hubs, and it likely won't be in the US....
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิตหุ่นยนต์ Optimus ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยงานบ้าน เนื่องจากการห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน โดย Elon Musk ระบุว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ "แม่เหล็ก" ที่ใช้ในหุ่นยนต์ ซึ่งจีนได้กำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิดในเดือนเมษายน 2025 เพื่อตอบโต้ภาษี 54% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับสินค้าจีน

    การห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน
    - จีนกำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิด เช่น แกลเลียมและเจอร์เมเนียม
    - แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เลเซอร์ เรดาร์ และเครื่องยนต์เจ็ท

    ผลกระทบต่อการผลิตหุ่นยนต์ Optimus
    - หุ่นยนต์ Optimus ใช้แม่เหล็กที่ผลิตจากแร่ธาตุหายาก
    - Tesla กำลังเจรจากับจีนเพื่อขอใบอนุญาตใช้แร่ธาตุเหล่านี้

    การพึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีน
    - จีนผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 70% ของตลาดโลกในปี 2023
    - 94% ของแกลเลียมทั่วโลกมาจากจีน

    ผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานของ Tesla
    - ภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่ LFP จากจีน
    - Tesla กำลังติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผลิตเซลล์แบตเตอรี่ LFP ในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-is-impacted-by-chinas-export-ban-on-rare-earth-minerals-optimus-production-is-delayed-due-to-a-magnet-issue
    Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิตหุ่นยนต์ Optimus ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยงานบ้าน เนื่องจากการห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน โดย Elon Musk ระบุว่าปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ "แม่เหล็ก" ที่ใช้ในหุ่นยนต์ ซึ่งจีนได้กำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิดในเดือนเมษายน 2025 เพื่อตอบโต้ภาษี 54% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับสินค้าจีน ✅ การห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน - จีนกำหนดข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก 7 ชนิด เช่น แกลเลียมและเจอร์เมเนียม - แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เลเซอร์ เรดาร์ และเครื่องยนต์เจ็ท ✅ ผลกระทบต่อการผลิตหุ่นยนต์ Optimus - หุ่นยนต์ Optimus ใช้แม่เหล็กที่ผลิตจากแร่ธาตุหายาก - Tesla กำลังเจรจากับจีนเพื่อขอใบอนุญาตใช้แร่ธาตุเหล่านี้ ✅ การพึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีน - จีนผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 70% ของตลาดโลกในปี 2023 - 94% ของแกลเลียมทั่วโลกมาจากจีน ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานของ Tesla - ภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่ LFP จากจีน - Tesla กำลังติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผลิตเซลล์แบตเตอรี่ LFP ในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-is-impacted-by-chinas-export-ban-on-rare-earth-minerals-optimus-production-is-delayed-due-to-a-magnet-issue
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • OpenAI ได้แสดงความสนใจที่จะซื้อ Google Chrome หากศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ บังคับให้ Google ขาย Chrome ออกไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีการผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ที่กำลังดำเนินอยู่ในสหรัฐฯ การตัดสินใจนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดย OpenAI มองว่าการรวม ChatGPT เข้ากับ Chrome จะช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เน้น AI เป็นหลัก

    OpenAI สนใจซื้อ Google Chrome หากศาลบังคับให้ขาย
    - Nick Turley จากทีม ChatGPT ของ OpenAI ยืนยันความสนใจนี้ในศาล
    - OpenAI มองว่าการรวม ChatGPT เข้ากับ Chrome จะช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เน้น AI

    คดีการผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ของ Google
    - ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google ผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ในปี 2024
    - ข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมรวมถึงการบังคับให้ Google ขาย Chrome

    OpenAI เผชิญความท้าทายในการเข้าถึงผู้ใช้งาน Android
    - Google ใช้ความได้เปรียบจากการควบคุมระบบปฏิบัติการ Android เพื่อผลักดันแอปของตนเอง
    - OpenAI พยายามเจรจากับ Samsung แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้

    ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี
    - การขาย Chrome อาจช่วยเพิ่มการแข่งขันและลดอำนาจของ Google

    https://www.neowin.net/news/openai-rubs-salt-in-googles-wound-says-it-wants-chrome-if-googles-forced-to-sell/
    OpenAI ได้แสดงความสนใจที่จะซื้อ Google Chrome หากศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ บังคับให้ Google ขาย Chrome ออกไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีการผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ที่กำลังดำเนินอยู่ในสหรัฐฯ การตัดสินใจนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดย OpenAI มองว่าการรวม ChatGPT เข้ากับ Chrome จะช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เน้น AI เป็นหลัก ✅ OpenAI สนใจซื้อ Google Chrome หากศาลบังคับให้ขาย - Nick Turley จากทีม ChatGPT ของ OpenAI ยืนยันความสนใจนี้ในศาล - OpenAI มองว่าการรวม ChatGPT เข้ากับ Chrome จะช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เน้น AI ✅ คดีการผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ของ Google - ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google ผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์ในปี 2024 - ข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมรวมถึงการบังคับให้ Google ขาย Chrome ✅ OpenAI เผชิญความท้าทายในการเข้าถึงผู้ใช้งาน Android - Google ใช้ความได้เปรียบจากการควบคุมระบบปฏิบัติการ Android เพื่อผลักดันแอปของตนเอง - OpenAI พยายามเจรจากับ Samsung แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี - การขาย Chrome อาจช่วยเพิ่มการแข่งขันและลดอำนาจของ Google https://www.neowin.net/news/openai-rubs-salt-in-googles-wound-says-it-wants-chrome-if-googles-forced-to-sell/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI rubs salt in Google's wound, says it wants Chrome if Google's forced to sell
    As Google faces antitrust pressure, OpenAI, now a top competitor, has signaled interest in taking over Chrome.
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึง การเติบโตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก คล้ายกับการเติบโตของ Linux แต่เกิดขึ้นเร็วกว่า โดยจุดเริ่มต้นของกระแสนี้มาจากการเปิดตัว DeepSeek บนแพลตฟอร์ม Hugging Face ซึ่งช่วยให้ AI แบบโอเพ่นซอร์สสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

    DeepSeek จุดประกายการเคลื่อนไหวของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส
    - DeepSeek เปิดตัวบน Hugging Face และกลายเป็นศูนย์กลางของนักพัฒนาทั่วโลก
    - การเปิดตัวนี้ช่วยให้ AI แบบโอเพ่นซอร์สสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

    Beijing Academy of Artificial Intelligence (BAAI) เปิดตัว OpenSeek เพื่อตอบโต้ DeepSeek
    - OpenSeek เป็นโครงการที่พยายามพัฒนา AI แบบโอเพ่นซอร์สให้ก้าวหน้ากว่า DeepSeek
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขึ้นบัญชีดำ BAAI

    AI แบบโอเพ่นซอร์สกำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - นักพัฒนาทั่วโลกกำลังร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์ส
    - Hugging Face กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการพัฒนา AI แบบกระจายศูนย์

    AI แบบโอเพ่นซอร์สอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    - คล้ายกับ Linux ที่เริ่มต้นจากกลุ่มนักพัฒนาและกลายเป็นมาตรฐานระดับโลก

    https://www.techspot.com/news/107627-open-source-ai-new-linux-only-faster.html
    บทความนี้กล่าวถึง การเติบโตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก คล้ายกับการเติบโตของ Linux แต่เกิดขึ้นเร็วกว่า โดยจุดเริ่มต้นของกระแสนี้มาจากการเปิดตัว DeepSeek บนแพลตฟอร์ม Hugging Face ซึ่งช่วยให้ AI แบบโอเพ่นซอร์สสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ✅ DeepSeek จุดประกายการเคลื่อนไหวของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส - DeepSeek เปิดตัวบน Hugging Face และกลายเป็นศูนย์กลางของนักพัฒนาทั่วโลก - การเปิดตัวนี้ช่วยให้ AI แบบโอเพ่นซอร์สสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ✅ Beijing Academy of Artificial Intelligence (BAAI) เปิดตัว OpenSeek เพื่อตอบโต้ DeepSeek - OpenSeek เป็นโครงการที่พยายามพัฒนา AI แบบโอเพ่นซอร์สให้ก้าวหน้ากว่า DeepSeek - รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการขึ้นบัญชีดำ BAAI ✅ AI แบบโอเพ่นซอร์สกำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - นักพัฒนาทั่วโลกกำลังร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์ส - Hugging Face กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการพัฒนา AI แบบกระจายศูนย์ ✅ AI แบบโอเพ่นซอร์สอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม - คล้ายกับ Linux ที่เริ่มต้นจากกลุ่มนักพัฒนาและกลายเป็นมาตรฐานระดับโลก https://www.techspot.com/news/107627-open-source-ai-new-linux-only-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Open source AI is the new Linux, only faster
    MongoDB Developer Relations head and open-source advocate Matt Asay argues that DeepSeek represents more than just Chinese innovation – it shows how open source reshapes ownership, collaboration,...
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
More Results