• "ปอ-แซน" บิดอีก !?! อ้าง "แตงโม" เกาะเรือ 10 วิ จำลองเหตุไม่ตรงเรื่องจริง
    .
    "ปอ ตนุภัทร" พร้อมด้วย "แซน วิศาพัช" โต้กรณีจำลองเหตุการณ์ "แตงโม ภัทรธิดา" ตกน้ำ อ้างไม่ตรงกันเพราะตอนตกน้ำมีการเกาะเครื่องเอาต์บอร์ดท้ายเรือ ถูกใบพัดเรือ แนะลองแช่แล้วจุ่มสักครึ่งตัว เกาะเครื่อง 10 วิ.แล้วดูว่าขาถึงใบพัดไหม แต่ไม่อยากให้อุบัติเหตุซ้ำอีก ด้านแซนกล่าว ถ้าหมอธวัชชัยอยากจะทำ ติดเครื่องยนต์ก็ได้ อ้างไม่ตรงกันมีรายละเอียดปลีกย่อย ถามกลับมีเจตนาทวงคืนความยุติธรรมจริงหรือไม่
    .
    วันนี้ (16 ม.ค.) ที่โชว์รูมวัฒนาออโต้เซลล์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ พร้อมด้วย นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน สองผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ที่เสียชีวิตเพราะตกจากเรือสปีดโบ้ทลงแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าเรือพิบูลสงคราม 1 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองฯ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 หรือเมื่อ 3 ปีก่อน แถลงข่าวถึงปฎิกิริยาการทดสอบเหตุการณ์จำลองการตกเรือของแตงโม ภัทรธิดา นำโดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    .
    นายตนุภัทร กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่มีการจำลองเหตุการณ์ตกเรือให้ชัดเจนและกระจ่าง ทำให้ประชาชนได้เห็นภาพจากเรือรุ่นเดียวกัน คือเรือโคบอลต์ 25 เอสซี แต่สิ่งที่รู้สึกว่าไม่ตรง คือ การตกไม่ได้ตกในลักษณะที่แซน วิศาพัช เคยให้ข้อมูลในการออกรายการโหนกระแส และให้การกับศาล ตนมองว่าไม่ตรง ทำไมไม่จำลองให้เหมือนกัน การที่แตงโมนั่งและจับขาแซน พบว่าการจำลองเหตุการณ์มีการเฉียงออกทางซ้ายของเรือ ไม่ตรงกับที่แซน วิศาพัช ให้การว่าตกไปแล้วต้องเกาะ แต่ไม่ใช่ดีดตัวออกจากเรือ เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่คิดว่าควรจะเป็นคือ ตกเรือแล้วเกาะเครื่องยนต์ซึ่งจะถูกใบพัดดูด
    .
    แต่ถ้าตกแล้วดีดออกจากเรือ ถามผู้เชี่ยวชาญยังไงก็ไม่โดนใบพัดเรือ และจากการที่แซน วิศาพัช กล่าวและสาธิตในรายการโหนกระแส สาระก็คือตกไปแล้ว ต้องเกาะถึงจะหลุด แต่ถ้าตกแล้วดีดออกจากเรือเลย คนละเหตุการณ์กัน เพราะฉะนั้นมีคำถามว่า ทำไมการจำลองเหตุการณ์ครั้งนี้ถึงจำลองไม่ตรง ฝากถึงทีมผู้จัดการทดสอบว่า เราเห็นด้วยและขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง แต่มีคำถามว่าถ้าจำลองแล้วไม่เหมือนเหตุการณ์ 100% จะจำลองทำไม ถ้าจะจำลองให้เหมือนจะจำลองแบบไหน
    .
    ทั้งนี้ บนแพลตฟอร์มของเรือโคบอลต์ 25 เอสซี จะมีเครื่องยนต์อยู่ท้ายเรือ เรียกว่าเครื่องเอาต์บอร์ด (Outboard) จะมีใบพัดอยู่ด้านข้าง จากที่แซน วิศาพัช เล่าในรายการโหนกระแสและให้การในชั้นศาล ตนนั่งอยู่ที่เบาะหลังและยืดขา ตำแหน่งที่ตกขาจะยื่นอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ด ขาจะยื่นอยู่ในช่วงใบพัด เพราะฉะนั้นการจำลองแบบง่ายๆ ต้องอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ด ลักษณะที่ตกต้องตกอยู่ข้างเครื่อง แต่ไม่ใช่ตกทะแยง 45 องศา กระโดดออกนอกเรือ มันคนละเรื่องกัน และต้องเกาะเครื่องก่อนสักประมาณ 10 วินาทีแล้วค่อยนับ เพราะใบพัดจะปัด ดูวิถีร่างจะเข้าที่เครื่องไหม
    .
    ตนได้ทราบจากทนายความว่า ได้ไปขอคัดพยานหลักฐาน พบว่าทางตำรวจจำลองเหตุการณ์แล้ว ทดสอบว่าจุดที่ตกดูดไปทางไหน ถ้าสมมติตกแล้วอยู่ด้านข้างของเรือจะไม่มีการดูด แต่ถ้าตกแล้วอยู่โซนเครื่องเอาต์บอร์ดมันจะมีการดูด สิ่งที่ตำรวจทำเท่าที่ทราบคือการใช้สีเทลงไปเพื่อดูสีของน้ำ ให้เห็นว่าน้ำวนแล้วดูดมาทางใบพัดเรือหรือไม่ อย่างที่สอง ให้คนใส่เสื้อชูชีพแล้วเกาะโดยไม่ติดเครื่องยนต์ ดูทิศทางของน้ำที่มีแรงดัน คนจะไหลตรงใบพัดหรือไม่ เขาทดสอบแล้วมันไหลและพัดเข้ามา อย่างที่สาม ใช้สุกรที่มีน้ำหนักเท่ากับแตงโม ภัทรธิดา มาเกาะ แล้วใบพัดดูดเข้ามามีรอยฟันหรือไม่ พบว่าแผลเข้า ทำให้พบว่ามีข้อมูลที่มาที่ไป จึงบอกว่าถ้าจะจำลองเหตุการณ์ อยากให้จำลองให้ตรง แต่บอกตรงๆ ไม่อยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก
    .
    "ถ้าจำลองง่ายๆ ลองจำลองตามที่ผมว่า ให้บุคคลที่มีอัตลักษณ์ความสูง 165 เซนติเมตร แล้วลองไปแช่ ไม่ต้องติดเครื่อง ลองจุ่มไปสักครึ่งตัว ดูที่ขาคุณจะถึงใบพัดไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าถึง ผมว่าจบได้นะ"
    .
    ด้านนายวิศาพัช หรือแซน กล่าวตอบโต้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวคดีการเสียชีวิตของแตงโม ภัทรธิดา ว่า ถ้าคุณหมอฟังอยู่ นี่ก็คือคำตอบที่เมื่อกี้ท้ากันอยู่
    .
    นายตนุภัทร กล่าวว่า ขอย้ำว่าไม่อยากทดสอบโดยการติดเครื่องยนต์ เพราะถ้าตกอยู่ในวิถี ตำแหน่งอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ดท้ายเรือ ไม่ได้อยู่นอกเรือ แล้วมีการดูด ตนเชื่อว่าใบพัดมีโอกาสสูงมาก ปัจจัยมีทั้งแรงดันของน้ำ ช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง และความเร็วของเรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะให้ทดสอบก็คือ ให้บุคคลที่บอกอัตลักษณ์เท่าแตงโม ภัทรธิดา ลองมาทาบดูก่อน เครื่องที่ไม่ติดมันคงไม่บาด แต่ถ้าเครื่องติดอาจจะเกิดความเสียหาย เท่านี้ตอบสังคมได้เพียงพอแล้ว
    .
    ส่วนเรื่องการทดสอบเรือนั้น ลักษณะของการล่อง เรือ 8 นอต เห็นว่าบางเหตุการณ์เรือจะเชิดขึ้น ถ้าจะเปียกน้ำไม่มีทางนั่งได้ เพราะเรือเพิ่งออกตัว เรือเวลาออกตัวใหม่ๆ หน้าจะเชิดขึ้น แต่พอเรือออกตัวไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เรือจะบิน ทำให้เรือจะอยู่ในสถานการณ์ลอยตัว ตนเชื่อว่าความเร็วที่ 8 นอต ตนเดาว่าทำให้เพื่อนไม่กังวล ณ ตอนนั้น และเราดื่มไวน์เรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงเย็น ทำให้คนปวดปัสสาวะปราศจากความกังวลที่คิดเยอะ (แซน วิศาพัช กล่าวเสริมว่า เรือมันนิ่งมาก) เพราะฉะนั้นการจำลองอยากให้จำลองให้เหมือนจริง และอยากให้ความเป็นธรรมกับทุกคน หมายถึงผู้เสียหาย
    .
    "ถ้าจะจำลองต้องจำลองให้เหมือนจริง และเพื่อนผม (แตงโม) เขาไปสงบแล้ว เพื่อนผมเนี่ยเราสูญเสีย ต้องมาคิดว่ามีหลายๆ คนที่สูญเสียตามมา คือบุคคลรอบข้างที่เสียใจ เพราะฉะนั้นการที่เพื่อนผมสูญเสียไปแล้ว ยังมาเป็นประเด็น มาเป็นกระแส ผมไม่เห็นด้วย อย่างที่สอง ผมยังยืนยันว่า ถ้าคุณจะทดสอบ ทดสอบแบบตรงไปตรงมา ให้เหมือนเหตุการณ์เดียวกัน"
    .
    นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า ฝากไปถึง นพ.ธวัชชัย และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่ามาพูดหรือท้าอะไรกับตน สมควรที่จะปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ วัยวุฒิ คุณวุฒิทุกอย่างก่อน จะได้ดูเหมือนกลั่นกรองมาแล้วค่อยมาถาม ส่วนการท้าด้วยจำนวนเงิน 1 แสนบาท 5 ล้านบาทนั้น ตนไม่ติดการพนัน เพราะฉะนั้นไม่ชอบเล่นแบบท้าด้วยเงินอยู่แล้ว ไปดูเรื่องการพนันของตัวเองดีกว่าไหม ไม่ได้พูดถึงใคร อันนี้พูดลอยๆ
    .
    นายตนุภัทร กล่าวว่า ตนขอขยายว่า ขอบคุณทีมงานของนายอัจฉริยะที่ทำความกระจ่าง ตอนที่เกิดเหตุใหม่ๆ ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีประเด็นที่สังคมถามกันเยอะมากว่าท้ายเรือนั่งได้จริงไหม เพราะเรือมีหลายแพลตฟอร์ม มีเรือยอร์ช สปีดโบ้ท เรือพาย เรือแจว มันจะนั่งยังไง เชื่อว่าประชาชนได้เห็นแล้วว่า แตงโมตัวเล็ก แพทย์ที่นั่งทดสอบเมื่อวานตัวใหญ่กว่าแตงโมตั้งเยอะยังนั่งได้ เพราะฉะนั้นข้อแรกเราเห็นได้ชัดแล้วว่า นั่งท้ายเรือได้จริง ส่วนนั่งเสร็จแล้วปัสสาวะได้ไหม ขึ้นอยู่กับบุคคลว่าเขาเลือกจะทำอะไร เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ณ ช่วงเวลานั้นคนปวดปัสสาวะ เขาอยากจะปัสสาวะหรือใดๆ เราไปก้าวล่วงไม่ได้
    .
    "แต่ที่แน่ๆ ผมอยากถามว่าคนที่ใส่บอดี้สูทวันนี้ที่ไปทดสอบ คุณนั่งได้แน่ๆ ขนาดคุณหมอยังนั่งได้ คุณนั่งได้แน่ๆ คุณลองสิ นั่งแล้วเอามือทำท่าที่อย่างคุณแซนเล่า ทำได้ไหม อันนี้ที่ผมฝากทดสอบ ... และจุดตก ผมย้ำอีกที จุดตกต้องตกข้างเครื่อง (เอาต์บอร์ด) แล้วตกลงไปก่อน แล้วเกาะ (เครื่องเอาต์บอร์ด) ก่อน อย่างน้อยสัก 10 วินาที แต่ผมย้ำอีกที ผมไม่อยากทดสอบในลักษณะติดเครื่อง เพราะถ้าติดเครื่องแล้วเกิดความสูญเสีย ผมว่าเราจะเสียหายมากกว่าได้แค่ทดสอบ ติดเครื่องในลักษณะที่ใบพัดไม่ทำงานมันจะรู้แล้วว่าโดน ไม่โดน แช่อยู่ในน้ำ ขอคนที่ความสูง 165 เซนติเมตร ซึ่งผมเห็นพี่ณวัฒน์ (นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) ได้คัดสรรมาอย่างดีแล้ว ขอบคุณพี่ณวัฒน์ด้วย"
    .
    "เพราะฉะนั้นผมขออนุญาตขยายว่า ขอบคุณสำหรับการทดสอบในครั้งนี้ แล้วมันจะดีมากๆ ที่สร้างความกระจ่างให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ สร้างความกระจ่างให้กับ 5 คนบนเรือ และครอบครัวของน้องแตงโม ที่จะได้รู้ข้อเท็จจริงว่าถ้าตกตามเหตุการณ์จริง ที่คุณแซนเป็นผู้เดียวที่เห็นเหตุการณ์ และได้ให้ปากคำ กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ดูรายการโหนกระแส และได้ให้ปากคำในชั้นศาล เป็นข้อมูลเดิมทั้งหมด เพราะฉะนั้นคุณแซนยังไม่ได้บิดเบือน คุณแซนพูดทุกอย่างตามข้อเท็จจริง ทำไมวันนี้การทดสอบถึงบิดเบือนหรือไม่ตรง ในเมื่อเจ้าตัวยังพูดคำเดิม ผ่านมา 3 ปี คุณแซนยังยืนคำเดิมว่าตกท้ายเรือ เกาะไหม (แซน กล่าวว่า เกาะแปบนึง) เพราะฉะนั้นคุณแซนบอกแล้วว่าเกาะ ถ้าเกาะแล้วคุณต้องจำลองก่อน"
    .
    นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า ติดเครื่องยนต์เลยก็ได้ เพราะ นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า เขาจะจำลองเอง แล้วเขาถามแซน ตรงนี้ถ้าเขาบอกว่าปลอดภัย 100% คุณหมอลองทำดู จะไม่ท้า ถ้าอยากทำก็ทำ ส่วนนายอัจฉริยะท้าเดิมพัน 2 ล้านบาท ถ้าถนัดทางนั้นไปสนามมวยดีกว่า ไม่ต้องคุยกับตนเรื่องนี้ และว่า การทดสอบในวันนี้เป็นการละครเรื่องหนึ่งมากกว่า เอาไว้ดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะไม่ได้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงเลย มันไม่ตรงตั้งแต่ที่เคยแนะนำไป 4 ข้อ ถ้าเกิดจะทำให้เหมือน และการตกท้ายเรือมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ถ้า นพ.ธวัชชัยอยากทราบ นายตนุภัทรก็ได้แจ้งไปแล้ว ให้ทำตามที่บอกแบบนั้นดู
    .
    ทั้งนี้ ตนไม่กังวลใจถึงการทดสอบและการร้องเรียนของนายอัจฉริยะ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่ามั่นใจมากด้วยซ้ำ เพราะยังรอดูว่าจะเปิดอะไรออกมา จะใช้ข้อวิชาการ หลักวิทยาศาสตร์ข้อไหน เอามาสนับสนุนให้สิ่งที่กำลังทำมีเนื้อหาสาระสำคัญพอที่จะเอามาเปลี่ยนสำนวนคดีได้ ส่วนวัตถุประสงค์ในการทดสอบเหตุการณ์ตนไม่ทราบ ตนรู้สึกว่าโดนทำลายชื่อเสียงแต่ไม่รู้ว่าเจตนาเขาคืออะไร ส่วนจะฟ้องกลับคนที่ตัวตั้งตัวตีในการทดสอบนั้น เท่าที่คิดก็ไม่ทำ อโหสิกรรมไป เผื่อเจ้ากรรมนายเวรจะได้หมดสิ้นไปบ้าง ระหว่างนั้นทนายความกล่าวเสริมว่า ต้องดูว่ามากไปไหม กระทบถึงใครบ้าง ไปถึงครอบครัวไหมต้องพิจารณาดู แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหน่วยงานรัฐคงไม่ได้เพิกเฉยอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้กระทบหน่วยงานรัฐหลายหน่วย
    .
    นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า อยากให้ประชาชนดูให้ดีว่าสิ่งที่เขาทำ เขามีเจตนาเพื่อหาความยุติธรรมจริงหรือเปล่า หรือหาประโยชน์ให้กับใคร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อันนี้ตนไม่ได้ยืนยัน แค่อยากให้ประชาชนตรองกันดูบ้าง จากสิ่งที่เราได้ยินเข้ามา แล้วก็กลั่นกรองกันหน่อย ไม่ใช่ได้ยินปุ๊บแล้วมาด่าเลย มันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศเราก็เป็นประเทศขวัญใจแก๊งคอลเซ็นเตอร์
    .
    นายตนุภัทร กล่าวว่า คนที่สูญเสียวันนี้ขั้นต้นคือเพื่อนเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เราเชื่อมั่นว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การหาประโยชน์จากการสูญเสีย ตนว่าควรจะไม่เอาการสูญเสียมาเป็นโอกาส ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไร เรารู้สึกแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เพื่อนเรา แตงโม ภัทรธิดา จากไปอย่างสงบแล้ว วันนี้ขอบคุณที่ได้มาทำการจำลอง แล้วขอให้ทำให้ตรงไปตรงมา มันจะได้ความชัดเจน
    .
    ขณะที่ทนายความกล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแตงโมนำมาจำลอง เห็นว่าเป็นการนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตมา คนที่สูญเสียอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เสียหายจริงๆ คือคุณแม่ อยากให้มีการขออนุญาตคุณแม่สักนิดนึง กรณีการทำจำลองควรจะขออนุญาตกับผู้เสียหาย เพราะเขาเป็นแม่ของลูก การนำเรื่องราวของเขามานำเสนอเห็นว่าส่วนหนึ่งเหมือนซ้ำเติมคนตาย ส่วนการยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รื้อฟื้นคดีอีกรอบ ในทางกฎหมายไม่กังวล เพราะพยานหลักฐานใหม่ ต้องเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ การสร้างขึ้นมาใหม่ต้องมีความน่าเชื่อถือต่อหน่วยงานรัฐ มีการสืบสวนสอบสวนที่ถูกต้อง
    .
    การทดสอบครั้งนี้ชัดเจนว่าเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะพิสูจน์ความจริง แต่ต้องใกล้เคียงอย่างที่นายตนุภัทรพูด สิ่งที่นายตนุภัทรพูดทั้งหมดมีการเบิกความจากพยานผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้มีการทดลอง จำลอง อยู่ในสำนวนของศาล และได้เบิกความไปแล้ว แต่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังคงเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ วันนี้เปิดเผยเท่าที่เห็นว่าเหมาะสมกับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004865
    ..............
    Sondhi X
    "ปอ-แซน" บิดอีก !?! อ้าง "แตงโม" เกาะเรือ 10 วิ จำลองเหตุไม่ตรงเรื่องจริง . "ปอ ตนุภัทร" พร้อมด้วย "แซน วิศาพัช" โต้กรณีจำลองเหตุการณ์ "แตงโม ภัทรธิดา" ตกน้ำ อ้างไม่ตรงกันเพราะตอนตกน้ำมีการเกาะเครื่องเอาต์บอร์ดท้ายเรือ ถูกใบพัดเรือ แนะลองแช่แล้วจุ่มสักครึ่งตัว เกาะเครื่อง 10 วิ.แล้วดูว่าขาถึงใบพัดไหม แต่ไม่อยากให้อุบัติเหตุซ้ำอีก ด้านแซนกล่าว ถ้าหมอธวัชชัยอยากจะทำ ติดเครื่องยนต์ก็ได้ อ้างไม่ตรงกันมีรายละเอียดปลีกย่อย ถามกลับมีเจตนาทวงคืนความยุติธรรมจริงหรือไม่ . วันนี้ (16 ม.ค.) ที่โชว์รูมวัฒนาออโต้เซลล์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ พร้อมด้วย นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน สองผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ที่เสียชีวิตเพราะตกจากเรือสปีดโบ้ทลงแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าเรือพิบูลสงคราม 1 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองฯ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 หรือเมื่อ 3 ปีก่อน แถลงข่าวถึงปฎิกิริยาการทดสอบเหตุการณ์จำลองการตกเรือของแตงโม ภัทรธิดา นำโดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต . นายตนุภัทร กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่มีการจำลองเหตุการณ์ตกเรือให้ชัดเจนและกระจ่าง ทำให้ประชาชนได้เห็นภาพจากเรือรุ่นเดียวกัน คือเรือโคบอลต์ 25 เอสซี แต่สิ่งที่รู้สึกว่าไม่ตรง คือ การตกไม่ได้ตกในลักษณะที่แซน วิศาพัช เคยให้ข้อมูลในการออกรายการโหนกระแส และให้การกับศาล ตนมองว่าไม่ตรง ทำไมไม่จำลองให้เหมือนกัน การที่แตงโมนั่งและจับขาแซน พบว่าการจำลองเหตุการณ์มีการเฉียงออกทางซ้ายของเรือ ไม่ตรงกับที่แซน วิศาพัช ให้การว่าตกไปแล้วต้องเกาะ แต่ไม่ใช่ดีดตัวออกจากเรือ เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่คิดว่าควรจะเป็นคือ ตกเรือแล้วเกาะเครื่องยนต์ซึ่งจะถูกใบพัดดูด . แต่ถ้าตกแล้วดีดออกจากเรือ ถามผู้เชี่ยวชาญยังไงก็ไม่โดนใบพัดเรือ และจากการที่แซน วิศาพัช กล่าวและสาธิตในรายการโหนกระแส สาระก็คือตกไปแล้ว ต้องเกาะถึงจะหลุด แต่ถ้าตกแล้วดีดออกจากเรือเลย คนละเหตุการณ์กัน เพราะฉะนั้นมีคำถามว่า ทำไมการจำลองเหตุการณ์ครั้งนี้ถึงจำลองไม่ตรง ฝากถึงทีมผู้จัดการทดสอบว่า เราเห็นด้วยและขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง แต่มีคำถามว่าถ้าจำลองแล้วไม่เหมือนเหตุการณ์ 100% จะจำลองทำไม ถ้าจะจำลองให้เหมือนจะจำลองแบบไหน . ทั้งนี้ บนแพลตฟอร์มของเรือโคบอลต์ 25 เอสซี จะมีเครื่องยนต์อยู่ท้ายเรือ เรียกว่าเครื่องเอาต์บอร์ด (Outboard) จะมีใบพัดอยู่ด้านข้าง จากที่แซน วิศาพัช เล่าในรายการโหนกระแสและให้การในชั้นศาล ตนนั่งอยู่ที่เบาะหลังและยืดขา ตำแหน่งที่ตกขาจะยื่นอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ด ขาจะยื่นอยู่ในช่วงใบพัด เพราะฉะนั้นการจำลองแบบง่ายๆ ต้องอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ด ลักษณะที่ตกต้องตกอยู่ข้างเครื่อง แต่ไม่ใช่ตกทะแยง 45 องศา กระโดดออกนอกเรือ มันคนละเรื่องกัน และต้องเกาะเครื่องก่อนสักประมาณ 10 วินาทีแล้วค่อยนับ เพราะใบพัดจะปัด ดูวิถีร่างจะเข้าที่เครื่องไหม . ตนได้ทราบจากทนายความว่า ได้ไปขอคัดพยานหลักฐาน พบว่าทางตำรวจจำลองเหตุการณ์แล้ว ทดสอบว่าจุดที่ตกดูดไปทางไหน ถ้าสมมติตกแล้วอยู่ด้านข้างของเรือจะไม่มีการดูด แต่ถ้าตกแล้วอยู่โซนเครื่องเอาต์บอร์ดมันจะมีการดูด สิ่งที่ตำรวจทำเท่าที่ทราบคือการใช้สีเทลงไปเพื่อดูสีของน้ำ ให้เห็นว่าน้ำวนแล้วดูดมาทางใบพัดเรือหรือไม่ อย่างที่สอง ให้คนใส่เสื้อชูชีพแล้วเกาะโดยไม่ติดเครื่องยนต์ ดูทิศทางของน้ำที่มีแรงดัน คนจะไหลตรงใบพัดหรือไม่ เขาทดสอบแล้วมันไหลและพัดเข้ามา อย่างที่สาม ใช้สุกรที่มีน้ำหนักเท่ากับแตงโม ภัทรธิดา มาเกาะ แล้วใบพัดดูดเข้ามามีรอยฟันหรือไม่ พบว่าแผลเข้า ทำให้พบว่ามีข้อมูลที่มาที่ไป จึงบอกว่าถ้าจะจำลองเหตุการณ์ อยากให้จำลองให้ตรง แต่บอกตรงๆ ไม่อยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก . "ถ้าจำลองง่ายๆ ลองจำลองตามที่ผมว่า ให้บุคคลที่มีอัตลักษณ์ความสูง 165 เซนติเมตร แล้วลองไปแช่ ไม่ต้องติดเครื่อง ลองจุ่มไปสักครึ่งตัว ดูที่ขาคุณจะถึงใบพัดไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าถึง ผมว่าจบได้นะ" . ด้านนายวิศาพัช หรือแซน กล่าวตอบโต้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวคดีการเสียชีวิตของแตงโม ภัทรธิดา ว่า ถ้าคุณหมอฟังอยู่ นี่ก็คือคำตอบที่เมื่อกี้ท้ากันอยู่ . นายตนุภัทร กล่าวว่า ขอย้ำว่าไม่อยากทดสอบโดยการติดเครื่องยนต์ เพราะถ้าตกอยู่ในวิถี ตำแหน่งอยู่ใกล้เครื่องเอาต์บอร์ดท้ายเรือ ไม่ได้อยู่นอกเรือ แล้วมีการดูด ตนเชื่อว่าใบพัดมีโอกาสสูงมาก ปัจจัยมีทั้งแรงดันของน้ำ ช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง และความเร็วของเรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะให้ทดสอบก็คือ ให้บุคคลที่บอกอัตลักษณ์เท่าแตงโม ภัทรธิดา ลองมาทาบดูก่อน เครื่องที่ไม่ติดมันคงไม่บาด แต่ถ้าเครื่องติดอาจจะเกิดความเสียหาย เท่านี้ตอบสังคมได้เพียงพอแล้ว . ส่วนเรื่องการทดสอบเรือนั้น ลักษณะของการล่อง เรือ 8 นอต เห็นว่าบางเหตุการณ์เรือจะเชิดขึ้น ถ้าจะเปียกน้ำไม่มีทางนั่งได้ เพราะเรือเพิ่งออกตัว เรือเวลาออกตัวใหม่ๆ หน้าจะเชิดขึ้น แต่พอเรือออกตัวไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เรือจะบิน ทำให้เรือจะอยู่ในสถานการณ์ลอยตัว ตนเชื่อว่าความเร็วที่ 8 นอต ตนเดาว่าทำให้เพื่อนไม่กังวล ณ ตอนนั้น และเราดื่มไวน์เรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงเย็น ทำให้คนปวดปัสสาวะปราศจากความกังวลที่คิดเยอะ (แซน วิศาพัช กล่าวเสริมว่า เรือมันนิ่งมาก) เพราะฉะนั้นการจำลองอยากให้จำลองให้เหมือนจริง และอยากให้ความเป็นธรรมกับทุกคน หมายถึงผู้เสียหาย . "ถ้าจะจำลองต้องจำลองให้เหมือนจริง และเพื่อนผม (แตงโม) เขาไปสงบแล้ว เพื่อนผมเนี่ยเราสูญเสีย ต้องมาคิดว่ามีหลายๆ คนที่สูญเสียตามมา คือบุคคลรอบข้างที่เสียใจ เพราะฉะนั้นการที่เพื่อนผมสูญเสียไปแล้ว ยังมาเป็นประเด็น มาเป็นกระแส ผมไม่เห็นด้วย อย่างที่สอง ผมยังยืนยันว่า ถ้าคุณจะทดสอบ ทดสอบแบบตรงไปตรงมา ให้เหมือนเหตุการณ์เดียวกัน" . นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า ฝากไปถึง นพ.ธวัชชัย และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่ามาพูดหรือท้าอะไรกับตน สมควรที่จะปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ วัยวุฒิ คุณวุฒิทุกอย่างก่อน จะได้ดูเหมือนกลั่นกรองมาแล้วค่อยมาถาม ส่วนการท้าด้วยจำนวนเงิน 1 แสนบาท 5 ล้านบาทนั้น ตนไม่ติดการพนัน เพราะฉะนั้นไม่ชอบเล่นแบบท้าด้วยเงินอยู่แล้ว ไปดูเรื่องการพนันของตัวเองดีกว่าไหม ไม่ได้พูดถึงใคร อันนี้พูดลอยๆ . นายตนุภัทร กล่าวว่า ตนขอขยายว่า ขอบคุณทีมงานของนายอัจฉริยะที่ทำความกระจ่าง ตอนที่เกิดเหตุใหม่ๆ ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีประเด็นที่สังคมถามกันเยอะมากว่าท้ายเรือนั่งได้จริงไหม เพราะเรือมีหลายแพลตฟอร์ม มีเรือยอร์ช สปีดโบ้ท เรือพาย เรือแจว มันจะนั่งยังไง เชื่อว่าประชาชนได้เห็นแล้วว่า แตงโมตัวเล็ก แพทย์ที่นั่งทดสอบเมื่อวานตัวใหญ่กว่าแตงโมตั้งเยอะยังนั่งได้ เพราะฉะนั้นข้อแรกเราเห็นได้ชัดแล้วว่า นั่งท้ายเรือได้จริง ส่วนนั่งเสร็จแล้วปัสสาวะได้ไหม ขึ้นอยู่กับบุคคลว่าเขาเลือกจะทำอะไร เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ณ ช่วงเวลานั้นคนปวดปัสสาวะ เขาอยากจะปัสสาวะหรือใดๆ เราไปก้าวล่วงไม่ได้ . "แต่ที่แน่ๆ ผมอยากถามว่าคนที่ใส่บอดี้สูทวันนี้ที่ไปทดสอบ คุณนั่งได้แน่ๆ ขนาดคุณหมอยังนั่งได้ คุณนั่งได้แน่ๆ คุณลองสิ นั่งแล้วเอามือทำท่าที่อย่างคุณแซนเล่า ทำได้ไหม อันนี้ที่ผมฝากทดสอบ ... และจุดตก ผมย้ำอีกที จุดตกต้องตกข้างเครื่อง (เอาต์บอร์ด) แล้วตกลงไปก่อน แล้วเกาะ (เครื่องเอาต์บอร์ด) ก่อน อย่างน้อยสัก 10 วินาที แต่ผมย้ำอีกที ผมไม่อยากทดสอบในลักษณะติดเครื่อง เพราะถ้าติดเครื่องแล้วเกิดความสูญเสีย ผมว่าเราจะเสียหายมากกว่าได้แค่ทดสอบ ติดเครื่องในลักษณะที่ใบพัดไม่ทำงานมันจะรู้แล้วว่าโดน ไม่โดน แช่อยู่ในน้ำ ขอคนที่ความสูง 165 เซนติเมตร ซึ่งผมเห็นพี่ณวัฒน์ (นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) ได้คัดสรรมาอย่างดีแล้ว ขอบคุณพี่ณวัฒน์ด้วย" . "เพราะฉะนั้นผมขออนุญาตขยายว่า ขอบคุณสำหรับการทดสอบในครั้งนี้ แล้วมันจะดีมากๆ ที่สร้างความกระจ่างให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ สร้างความกระจ่างให้กับ 5 คนบนเรือ และครอบครัวของน้องแตงโม ที่จะได้รู้ข้อเท็จจริงว่าถ้าตกตามเหตุการณ์จริง ที่คุณแซนเป็นผู้เดียวที่เห็นเหตุการณ์ และได้ให้ปากคำ กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ดูรายการโหนกระแส และได้ให้ปากคำในชั้นศาล เป็นข้อมูลเดิมทั้งหมด เพราะฉะนั้นคุณแซนยังไม่ได้บิดเบือน คุณแซนพูดทุกอย่างตามข้อเท็จจริง ทำไมวันนี้การทดสอบถึงบิดเบือนหรือไม่ตรง ในเมื่อเจ้าตัวยังพูดคำเดิม ผ่านมา 3 ปี คุณแซนยังยืนคำเดิมว่าตกท้ายเรือ เกาะไหม (แซน กล่าวว่า เกาะแปบนึง) เพราะฉะนั้นคุณแซนบอกแล้วว่าเกาะ ถ้าเกาะแล้วคุณต้องจำลองก่อน" . นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า ติดเครื่องยนต์เลยก็ได้ เพราะ นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า เขาจะจำลองเอง แล้วเขาถามแซน ตรงนี้ถ้าเขาบอกว่าปลอดภัย 100% คุณหมอลองทำดู จะไม่ท้า ถ้าอยากทำก็ทำ ส่วนนายอัจฉริยะท้าเดิมพัน 2 ล้านบาท ถ้าถนัดทางนั้นไปสนามมวยดีกว่า ไม่ต้องคุยกับตนเรื่องนี้ และว่า การทดสอบในวันนี้เป็นการละครเรื่องหนึ่งมากกว่า เอาไว้ดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะไม่ได้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงเลย มันไม่ตรงตั้งแต่ที่เคยแนะนำไป 4 ข้อ ถ้าเกิดจะทำให้เหมือน และการตกท้ายเรือมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ถ้า นพ.ธวัชชัยอยากทราบ นายตนุภัทรก็ได้แจ้งไปแล้ว ให้ทำตามที่บอกแบบนั้นดู . ทั้งนี้ ตนไม่กังวลใจถึงการทดสอบและการร้องเรียนของนายอัจฉริยะ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่ามั่นใจมากด้วยซ้ำ เพราะยังรอดูว่าจะเปิดอะไรออกมา จะใช้ข้อวิชาการ หลักวิทยาศาสตร์ข้อไหน เอามาสนับสนุนให้สิ่งที่กำลังทำมีเนื้อหาสาระสำคัญพอที่จะเอามาเปลี่ยนสำนวนคดีได้ ส่วนวัตถุประสงค์ในการทดสอบเหตุการณ์ตนไม่ทราบ ตนรู้สึกว่าโดนทำลายชื่อเสียงแต่ไม่รู้ว่าเจตนาเขาคืออะไร ส่วนจะฟ้องกลับคนที่ตัวตั้งตัวตีในการทดสอบนั้น เท่าที่คิดก็ไม่ทำ อโหสิกรรมไป เผื่อเจ้ากรรมนายเวรจะได้หมดสิ้นไปบ้าง ระหว่างนั้นทนายความกล่าวเสริมว่า ต้องดูว่ามากไปไหม กระทบถึงใครบ้าง ไปถึงครอบครัวไหมต้องพิจารณาดู แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหน่วยงานรัฐคงไม่ได้เพิกเฉยอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้กระทบหน่วยงานรัฐหลายหน่วย . นายวิศาพัช หรือแซน กล่าวว่า อยากให้ประชาชนดูให้ดีว่าสิ่งที่เขาทำ เขามีเจตนาเพื่อหาความยุติธรรมจริงหรือเปล่า หรือหาประโยชน์ให้กับใคร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อันนี้ตนไม่ได้ยืนยัน แค่อยากให้ประชาชนตรองกันดูบ้าง จากสิ่งที่เราได้ยินเข้ามา แล้วก็กลั่นกรองกันหน่อย ไม่ใช่ได้ยินปุ๊บแล้วมาด่าเลย มันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศเราก็เป็นประเทศขวัญใจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ . นายตนุภัทร กล่าวว่า คนที่สูญเสียวันนี้ขั้นต้นคือเพื่อนเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เราเชื่อมั่นว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การหาประโยชน์จากการสูญเสีย ตนว่าควรจะไม่เอาการสูญเสียมาเป็นโอกาส ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไร เรารู้สึกแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เพื่อนเรา แตงโม ภัทรธิดา จากไปอย่างสงบแล้ว วันนี้ขอบคุณที่ได้มาทำการจำลอง แล้วขอให้ทำให้ตรงไปตรงมา มันจะได้ความชัดเจน . ขณะที่ทนายความกล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแตงโมนำมาจำลอง เห็นว่าเป็นการนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตมา คนที่สูญเสียอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เสียหายจริงๆ คือคุณแม่ อยากให้มีการขออนุญาตคุณแม่สักนิดนึง กรณีการทำจำลองควรจะขออนุญาตกับผู้เสียหาย เพราะเขาเป็นแม่ของลูก การนำเรื่องราวของเขามานำเสนอเห็นว่าส่วนหนึ่งเหมือนซ้ำเติมคนตาย ส่วนการยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รื้อฟื้นคดีอีกรอบ ในทางกฎหมายไม่กังวล เพราะพยานหลักฐานใหม่ ต้องเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ การสร้างขึ้นมาใหม่ต้องมีความน่าเชื่อถือต่อหน่วยงานรัฐ มีการสืบสวนสอบสวนที่ถูกต้อง . การทดสอบครั้งนี้ชัดเจนว่าเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะพิสูจน์ความจริง แต่ต้องใกล้เคียงอย่างที่นายตนุภัทรพูด สิ่งที่นายตนุภัทรพูดทั้งหมดมีการเบิกความจากพยานผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้มีการทดลอง จำลอง อยู่ในสำนวนของศาล และได้เบิกความไปแล้ว แต่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังคงเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ วันนี้เปิดเผยเท่าที่เห็นว่าเหมาะสมกับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004865 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    Love
    Sad
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1030 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'กาสิโน' ถูกกฎหมาย ครม.อนุมัติหลักการ 'กฤษฎีกา' ไม่ค้านแต่ต้องให้ชัด
    .
    ในที่สุดโครงการก่อสร้างสถานบันเทิงครบวงจร ได้มีความคืบหน้าครั้งสำคัญ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ตามขั้นตอนได้มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบและปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และคำแถลงนโยบายของรัฐสภา และเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
    .
    นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หากเกิดขึ้นได้เร็วก็จะดี เพราะอย่างสิงคโปร์ มีการทำโครงการนี้ และมีกาสิโนเพียง 10% ก็ทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้นมาก และระดับเศรษฐกิจ จีดีพีก็เติบโตขึ้นได้อย่างมาก หวังว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เช่นกัน ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่าประเทศไทย จะมีธุรกิจสีเทา นอกกฎหมายมากขึ้นหรือไม่นั้น คิดว่าหากสามารถทำทุกเรื่องให้โปร่งใส ก็จะเป็นเรื่องบวกกับประเทศ และมีภาษีที่ได้มากขึ้นก็ถือเป็นรายได้ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นของประเทศ
    .
    นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยในเชิงของหลักการ เกือบจะ 90% ที่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ทุกคนมีข้อสังเกตที่ตรงกับลักษณะงานที่ตัวเองดูแลอยู่ อย่างเรื่องกาสิโน ที่กลัวคนไทย และเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี เข้าไปเล่น ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงต้องรับไว้ ว่าจะต้องกำกับอย่างไร ซึ่งรัฐบาลไม่ได้สนับสนุนเพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องการคือ อยากให้ต่างประเทศเข้ามาใช้เงินมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปแก้ไขกฎหมายการพนันโดยตรง ยืนยันได้ว่าไม่ได้เอาการท่องเที่ยวมาบังหน้า แต่หลายๆ อย่างเป็นเรื่องของการเอนเทอร์เทนเมนต์ และรายได้ที่มาจากกาสิโนเป็นส่วนน้อย
    .
    นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอย่างมั่นใจว่า เบื้องต้นคาดว่ามีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 1.2-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวสามารถนำมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในส่วนอื่นๆ ได้ รวมทั้งป้องกันปัญหาอาชญากรรม และการแก้ปัญหาพนันออนไลน์ที่มีอยู่ในสังคมไทยอีกด้วย
    .
    สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. คือ การกำหนดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ตามที่กำหนด โดยจะต้องประกอบธุรกิจไปด้วยสถาบันเทิงอย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน และผู้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในไทยที่มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยให้ผู้ได้รับสิทธิ์ได้รับสิทธิ์การทำสัญญาเช่าระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี และกำหนดให้ใบอนุญาตมีอายุไม่เกิน 30 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาต และมีการประเมินการทำงานทุก 5 ปี และได้กำหนดอัตราค่าใบอนุญาต โดยเริ่มต้นในการขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท ใบอนุญาตครั้งแรกฉบับละ 5,000 ล้านบาท และรายปีปีละ 1,000 ล้านบาท การต่ออายุใบอนุญาตครั้งละ 5,000 ล้านบาท และรายปีปีละ 1,000 ล้านบาท ใบแทนใบอนุญาตฉบับละ 100,000 บาท ค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทยครั้งละ 5,000 บาท
    .
    ขณะที่ นายปกรณ์​ นิลประพันธ์​ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่า กฤษฎีกาไม่ได้ไม่เห็นด้วย แต่หลักในการทำกฎหมายของรัฐบาล จะต้องยึดนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งจะต้องไปดูคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยจะไปดู Man​-​Made​ Destination หรือแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมีตั้งแต่สวนสนุกอื่น ๆ และเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ เข้าไปอยู่ในนั้น แต่กฎหมายที่กระทรวงการคลังร่างขึ้นใช้ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก ซึ่งพูดถึงเฉพาะเรื่องของเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ และการแก้ไขปัญหาการพนัน ซึ่งแคบกว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องการ
    .
    นายปกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีความเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลกว้างกว่า ถ้าจะเป็น​ Man​-Made​ Destination ควรจะเขียนให้กว้างขึ้น เพื่อความครอบคลุม รวมถึงมีข้อสังเกตเรื่องเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ ที่ในรายงานศึกษาของสภาผู้แทนฯ​ ที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาการพนัน แต่กฤษฎีกามองว่าการสร้างเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ไม่ได้แก้ไขปัญหาการพนันโดยตรง ถ้าอยากแก้ไขปัญหาการพนันโดยตรง ต้องไปแก้ไขที่อื่น เช่น นิสัยของคน พฤติกรรมของคนที่ชอบเล่นการพนัน ซึ่งก็มีกฎหมายการพนันอยู่แล้ว จึงต้องเอาให้ชัดว่าร่างกฎหมายนี้ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไร ค่อยเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา ว่าจะเน้น Man​-​Made​ Destination หรือจะเน้นเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ ไม่อย่างนั้นก็ร่างไม่ถูก เพราะกระบวนการกลไกต่างกัน
    .
    "ถ้าเป็นเน้น Man​-​Made​ Destination จะเป็นเหมือนรีสอร์ตขนาดใหญ่ มีทั้งสนามกอล์ฟ สถานบันเทิง เหมือนที่เจอในต่างประเทศ มีที่พักสำหรับครอบครัว และมีกิจกรรมของแต่ละคน มีสวนสนุกและสวนน้ำสำหรับเด็ก สุภาพสตรี มีศูนย์การค้า ขณะที่ผู้ชายจะมีกีฬา ในส่วนของการพนันมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าต้องการเช่นนี้จริง ๆ ต้องขยายขอบของกฎหมายให้ครอบคลุม จึงเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีขอให้เอาให้ชัดก่อน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้กระโดดขวางเหมือนที่สื่อบางสำนักพาดหัวไว้ จะย้ายผมหรือครับ" เลขาฯกฤษฎีกา ระบุ
    ..............
    Sondhi X
    'กาสิโน' ถูกกฎหมาย ครม.อนุมัติหลักการ 'กฤษฎีกา' ไม่ค้านแต่ต้องให้ชัด . ในที่สุดโครงการก่อสร้างสถานบันเทิงครบวงจร ได้มีความคืบหน้าครั้งสำคัญ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ตามขั้นตอนได้มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบและปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และคำแถลงนโยบายของรัฐสภา และเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป . นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หากเกิดขึ้นได้เร็วก็จะดี เพราะอย่างสิงคโปร์ มีการทำโครงการนี้ และมีกาสิโนเพียง 10% ก็ทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้นมาก และระดับเศรษฐกิจ จีดีพีก็เติบโตขึ้นได้อย่างมาก หวังว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เช่นกัน ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่าประเทศไทย จะมีธุรกิจสีเทา นอกกฎหมายมากขึ้นหรือไม่นั้น คิดว่าหากสามารถทำทุกเรื่องให้โปร่งใส ก็จะเป็นเรื่องบวกกับประเทศ และมีภาษีที่ได้มากขึ้นก็ถือเป็นรายได้ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นของประเทศ . นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยในเชิงของหลักการ เกือบจะ 90% ที่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ทุกคนมีข้อสังเกตที่ตรงกับลักษณะงานที่ตัวเองดูแลอยู่ อย่างเรื่องกาสิโน ที่กลัวคนไทย และเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี เข้าไปเล่น ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงต้องรับไว้ ว่าจะต้องกำกับอย่างไร ซึ่งรัฐบาลไม่ได้สนับสนุนเพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องการคือ อยากให้ต่างประเทศเข้ามาใช้เงินมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปแก้ไขกฎหมายการพนันโดยตรง ยืนยันได้ว่าไม่ได้เอาการท่องเที่ยวมาบังหน้า แต่หลายๆ อย่างเป็นเรื่องของการเอนเทอร์เทนเมนต์ และรายได้ที่มาจากกาสิโนเป็นส่วนน้อย . นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอย่างมั่นใจว่า เบื้องต้นคาดว่ามีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 1.2-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวสามารถนำมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในส่วนอื่นๆ ได้ รวมทั้งป้องกันปัญหาอาชญากรรม และการแก้ปัญหาพนันออนไลน์ที่มีอยู่ในสังคมไทยอีกด้วย . สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. คือ การกำหนดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ตามที่กำหนด โดยจะต้องประกอบธุรกิจไปด้วยสถาบันเทิงอย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน และผู้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในไทยที่มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยให้ผู้ได้รับสิทธิ์ได้รับสิทธิ์การทำสัญญาเช่าระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี และกำหนดให้ใบอนุญาตมีอายุไม่เกิน 30 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาต และมีการประเมินการทำงานทุก 5 ปี และได้กำหนดอัตราค่าใบอนุญาต โดยเริ่มต้นในการขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท ใบอนุญาตครั้งแรกฉบับละ 5,000 ล้านบาท และรายปีปีละ 1,000 ล้านบาท การต่ออายุใบอนุญาตครั้งละ 5,000 ล้านบาท และรายปีปีละ 1,000 ล้านบาท ใบแทนใบอนุญาตฉบับละ 100,000 บาท ค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทยครั้งละ 5,000 บาท . ขณะที่ นายปกรณ์​ นิลประพันธ์​ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่า กฤษฎีกาไม่ได้ไม่เห็นด้วย แต่หลักในการทำกฎหมายของรัฐบาล จะต้องยึดนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งจะต้องไปดูคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยจะไปดู Man​-​Made​ Destination หรือแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมีตั้งแต่สวนสนุกอื่น ๆ และเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ เข้าไปอยู่ในนั้น แต่กฎหมายที่กระทรวงการคลังร่างขึ้นใช้ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก ซึ่งพูดถึงเฉพาะเรื่องของเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ และการแก้ไขปัญหาการพนัน ซึ่งแคบกว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องการ . นายปกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีความเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลกว้างกว่า ถ้าจะเป็น​ Man​-Made​ Destination ควรจะเขียนให้กว้างขึ้น เพื่อความครอบคลุม รวมถึงมีข้อสังเกตเรื่องเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ ที่ในรายงานศึกษาของสภาผู้แทนฯ​ ที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาการพนัน แต่กฤษฎีกามองว่าการสร้างเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ไม่ได้แก้ไขปัญหาการพนันโดยตรง ถ้าอยากแก้ไขปัญหาการพนันโดยตรง ต้องไปแก้ไขที่อื่น เช่น นิสัยของคน พฤติกรรมของคนที่ชอบเล่นการพนัน ซึ่งก็มีกฎหมายการพนันอยู่แล้ว จึงต้องเอาให้ชัดว่าร่างกฎหมายนี้ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไร ค่อยเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา ว่าจะเน้น Man​-​Made​ Destination หรือจะเน้นเอ็นเตอร์เทน​เมนต์​คอมเพล็กซ์​ ไม่อย่างนั้นก็ร่างไม่ถูก เพราะกระบวนการกลไกต่างกัน . "ถ้าเป็นเน้น Man​-​Made​ Destination จะเป็นเหมือนรีสอร์ตขนาดใหญ่ มีทั้งสนามกอล์ฟ สถานบันเทิง เหมือนที่เจอในต่างประเทศ มีที่พักสำหรับครอบครัว และมีกิจกรรมของแต่ละคน มีสวนสนุกและสวนน้ำสำหรับเด็ก สุภาพสตรี มีศูนย์การค้า ขณะที่ผู้ชายจะมีกีฬา ในส่วนของการพนันมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าต้องการเช่นนี้จริง ๆ ต้องขยายขอบของกฎหมายให้ครอบคลุม จึงเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีขอให้เอาให้ชัดก่อน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้กระโดดขวางเหมือนที่สื่อบางสำนักพาดหัวไว้ จะย้ายผมหรือครับ" เลขาฯกฤษฎีกา ระบุ .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1142 มุมมอง 1 รีวิว
  • ใหญ่คับจักรวาล!!
    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติอนุมัติร่างกฎหมายในการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงต่อการที่ ICC ออกหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล

    ร่างกฎหมาย "Illegitimate Court Counteraction Act" ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 243 ต่อ 140 เสียง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งแกร่ง! ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว

    สาระสำคัญบางส่วนของกฎหมายดังกล่าว จะมีการเสนอให้ลงโทษชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือ ICC ในการพยายามสืบสวน กักขัง หรือดำเนินคดีกับพลเมืองสหรัฐฯ หรือพลเมืองของประเทศพันธมิตรที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาล

    การลงโทษดังกล่าวรวมถึงการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนการปฏิเสธการออกวีซ่าให้กับบุคคลเหล่านี้

    “อเมริกากำลังผ่านกฎหมายที่สำคัญฉบับนี้ เพราะศาลเตี้ยกำลังพยายามจับกุมนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของเรา” ส.ส. ไบรอัน แมสต์ ประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวในการปราศรัยก่อนการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดี

    จอห์น ธูน (John Thune) วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเสียงข้างมาก ให้คำมั่นว่าจะพิจารณากฎหมายดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทรัมป์สามารถลงนามเป็นกฎหมายได้หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม

    เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับเนทันยาฮูและกัลแลนต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ โดยตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งในเดือนตุลาคม 2023 ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 46,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติได้ประณามวิธีการของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่า "สอดคล้องกับลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

    ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นสมัยแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เขาเคยลงโทษผู้นำระดับสูงของศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการสืบสวนอาชญากรรมของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
    ใหญ่คับจักรวาล!! สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติอนุมัติร่างกฎหมายในการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงต่อการที่ ICC ออกหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ร่างกฎหมาย "Illegitimate Court Counteraction Act" ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 243 ต่อ 140 เสียง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งแกร่ง! ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว สาระสำคัญบางส่วนของกฎหมายดังกล่าว จะมีการเสนอให้ลงโทษชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือ ICC ในการพยายามสืบสวน กักขัง หรือดำเนินคดีกับพลเมืองสหรัฐฯ หรือพลเมืองของประเทศพันธมิตรที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาล การลงโทษดังกล่าวรวมถึงการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนการปฏิเสธการออกวีซ่าให้กับบุคคลเหล่านี้ “อเมริกากำลังผ่านกฎหมายที่สำคัญฉบับนี้ เพราะศาลเตี้ยกำลังพยายามจับกุมนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของเรา” ส.ส. ไบรอัน แมสต์ ประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวในการปราศรัยก่อนการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดี จอห์น ธูน (John Thune) วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเสียงข้างมาก ให้คำมั่นว่าจะพิจารณากฎหมายดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทรัมป์สามารถลงนามเป็นกฎหมายได้หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับเนทันยาฮูและกัลแลนต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ โดยตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งในเดือนตุลาคม 2023 ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 46,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติได้ประณามวิธีการของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่า "สอดคล้องกับลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นสมัยแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เขาเคยลงโทษผู้นำระดับสูงของศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการสืบสวนอาชญากรรมของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 616 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาระสำคัญจากบทความ: "ควบคุมชะตา เปลี่ยนชะตา"

    1. การเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้เกิดจากพิธีลัดสั้น

    การเปลี่ยนชะตาไม่ได้มาจากการทำพิธีกรรมใหญ่โต หรือการเสกเป่าคาถา แต่เกิดจาก การเปลี่ยนตัวเอง และปรับการกระทำในปัจจุบัน

    ความเข้าใจเรื่องกรรมวิบากคือ การตระหนักว่าชะตากรรมปัจจุบันมาจากการกระทำในอดีต ไม่ใช่ความบังเอิญ



    ---

    2. มองให้เห็นชะตาร้ายจากอดีต

    สังเกตเหตุการณ์ซ้ำๆ ในชีวิต เช่น โดนกลั่นแกล้ง ถูกเอาเปรียบ หรือเจออุปสรรคซ้ำซาก สิ่งเหล่านี้เป็นเงาสะท้อนกรรมที่เราทำไว้

    การเปลี่ยนชะตา ต้องเริ่มจากการปรับท่าทีต่อชะตากรรม เช่น เปลี่ยนจากโมโหเป็นอดทน หรือจากแก้แค้นเป็นช่วยเหลือคนอื่น



    ---

    3. เปลี่ยนตัวเองเพื่อตัดวงจรกรรม

    ไม่ตอบโต้ชะตาร้ายด้วยการทำร้าย แต่ตั้งใจทำสิ่งดีเพื่อลบล้างกรรมเก่า

    การเปลี่ยนชะตาคือการ “หยอดกระปุกทีละนิด” ผ่านการสะสมวิธีคิด วิธีพูด และพฤติกรรมที่ดีใหม่



    ---

    4. ใจเป็นใหญ่

    ความสำเร็จในการเปลี่ยนชะตาไม่ได้มาจากความฝืนใจชั่วคราว แต่เกิดจากการสั่งสมพฤติกรรมใหม่จนกลายเป็นธรรมชาติ

    การตั้งใจจริงและทำด้วยความต่อเนื่อง จะสร้างกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อเอาชนะกรรมเก่า



    ---

    แนวทางปฏิบัติ

    1. ตระหนักถึงกรรมเก่า: มองดูเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำๆ ในชีวิต และถามตัวเองว่าเราเคยทำสิ่งนี้กับคนอื่นหรือไม่


    2. ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง: เลิกตอบโต้ด้วยอารมณ์ร้าย และสร้างพฤติกรรมใหม่ เช่น มีเมตตา พูดดี ทำดี


    3. ฝึกทำกรรมใหม่: หมั่นคิด พูด และทำในสิ่งที่สว่าง แม้ทีละน้อย แต่ต่อเนื่องจนกลายเป็นธรรมชาติ


    4. รับผิดชอบชีวิตตัวเอง: เลิกพึ่งพาสิ่งภายนอก และเชื่อมั่นในพลังของใจที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้




    ---

    สรุป

    การเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคช่วย แต่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ผ่านการสั่งสมกรรมใหม่ด้วยใจที่ตั้งมั่นและต่อเนื่อง เพราะ “ทำไว้กับโลกอย่างไร โลกก็ให้คุณคืนอย่างนั้น”

    สาระสำคัญจากบทความ: "ควบคุมชะตา เปลี่ยนชะตา" 1. การเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้เกิดจากพิธีลัดสั้น การเปลี่ยนชะตาไม่ได้มาจากการทำพิธีกรรมใหญ่โต หรือการเสกเป่าคาถา แต่เกิดจาก การเปลี่ยนตัวเอง และปรับการกระทำในปัจจุบัน ความเข้าใจเรื่องกรรมวิบากคือ การตระหนักว่าชะตากรรมปัจจุบันมาจากการกระทำในอดีต ไม่ใช่ความบังเอิญ --- 2. มองให้เห็นชะตาร้ายจากอดีต สังเกตเหตุการณ์ซ้ำๆ ในชีวิต เช่น โดนกลั่นแกล้ง ถูกเอาเปรียบ หรือเจออุปสรรคซ้ำซาก สิ่งเหล่านี้เป็นเงาสะท้อนกรรมที่เราทำไว้ การเปลี่ยนชะตา ต้องเริ่มจากการปรับท่าทีต่อชะตากรรม เช่น เปลี่ยนจากโมโหเป็นอดทน หรือจากแก้แค้นเป็นช่วยเหลือคนอื่น --- 3. เปลี่ยนตัวเองเพื่อตัดวงจรกรรม ไม่ตอบโต้ชะตาร้ายด้วยการทำร้าย แต่ตั้งใจทำสิ่งดีเพื่อลบล้างกรรมเก่า การเปลี่ยนชะตาคือการ “หยอดกระปุกทีละนิด” ผ่านการสะสมวิธีคิด วิธีพูด และพฤติกรรมที่ดีใหม่ --- 4. ใจเป็นใหญ่ ความสำเร็จในการเปลี่ยนชะตาไม่ได้มาจากความฝืนใจชั่วคราว แต่เกิดจากการสั่งสมพฤติกรรมใหม่จนกลายเป็นธรรมชาติ การตั้งใจจริงและทำด้วยความต่อเนื่อง จะสร้างกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อเอาชนะกรรมเก่า --- แนวทางปฏิบัติ 1. ตระหนักถึงกรรมเก่า: มองดูเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำๆ ในชีวิต และถามตัวเองว่าเราเคยทำสิ่งนี้กับคนอื่นหรือไม่ 2. ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง: เลิกตอบโต้ด้วยอารมณ์ร้าย และสร้างพฤติกรรมใหม่ เช่น มีเมตตา พูดดี ทำดี 3. ฝึกทำกรรมใหม่: หมั่นคิด พูด และทำในสิ่งที่สว่าง แม้ทีละน้อย แต่ต่อเนื่องจนกลายเป็นธรรมชาติ 4. รับผิดชอบชีวิตตัวเอง: เลิกพึ่งพาสิ่งภายนอก และเชื่อมั่นในพลังของใจที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ --- สรุป การเปลี่ยนชะตากรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคช่วย แต่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ผ่านการสั่งสมกรรมใหม่ด้วยใจที่ตั้งมั่นและต่อเนื่อง เพราะ “ทำไว้กับโลกอย่างไร โลกก็ให้คุณคืนอย่างนั้น”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ

    ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ

    ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 

    ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา

    ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?

     ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า

    “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย

    สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้ 

    ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด

    การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

    อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง”

    ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน?

    ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

      แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

    จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ?

    จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

      “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต



    “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?  ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้  ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง” ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน? ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”   แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ” จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ? จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”   “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดร่างแก้ไข รธน.ฉบับ ปชน.อ้างเหตุผลต้องรื้อเพราะมรดก คสช.ปรับเงื่อนไข ม.256 แก้หมวด 1 หมวด 2 คุณสมบัตินักการเมือง ไม่ต้องผ่านประชามติ ออกแบบเลือกตั้ง สสร.200 คน ให้สิทธินักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิ สมัคร สสร.ได้ ขีดเส้นทำ รธน.ใหม่ 360 วัน ตั้ง 45 อรหันต์ทำ รธน. ให้โควตาคนนอก 15 คน เขียนให้รัฐสภามีหน้าที่แค่แสดงความเห็น

    วันนี้(2 ม.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนและคณะ ได้นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.2567 และ ประธานรัฐสภา เตรียมนัดประชุมวิป 3 ฝ่าย หารือถึงการนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเตรียมวาระพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันที่ 8 ม.ค. นั้น สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่เอกสารร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคประชาชนเสนอ โดยมีสาระสำคัญ อาทิ

    มีการระบุเหตุผลว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เพราะเชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม รวมถึงมีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไข โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และแก้ไขมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไข

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000000359

    #MGROnline #พรรคประชาชน #ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
    เปิดร่างแก้ไข รธน.ฉบับ ปชน.อ้างเหตุผลต้องรื้อเพราะมรดก คสช.ปรับเงื่อนไข ม.256 แก้หมวด 1 หมวด 2 คุณสมบัตินักการเมือง ไม่ต้องผ่านประชามติ ออกแบบเลือกตั้ง สสร.200 คน ให้สิทธินักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิ สมัคร สสร.ได้ ขีดเส้นทำ รธน.ใหม่ 360 วัน ตั้ง 45 อรหันต์ทำ รธน. ให้โควตาคนนอก 15 คน เขียนให้รัฐสภามีหน้าที่แค่แสดงความเห็น • วันนี้(2 ม.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนและคณะ ได้นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.2567 และ ประธานรัฐสภา เตรียมนัดประชุมวิป 3 ฝ่าย หารือถึงการนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเตรียมวาระพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันที่ 8 ม.ค. นั้น สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่เอกสารร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคประชาชนเสนอ โดยมีสาระสำคัญ อาทิ • มีการระบุเหตุผลว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เพราะเชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม รวมถึงมีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไข โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และแก้ไขมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไข • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000000359 • #MGROnline #พรรคประชาชน #ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
    MGRONLINE.COM
    เปิดร่างแก้ รธน.ฉบับพรรคส้ม อ้างล้างมรดก คสช. รื้อหมวด 1 หมวด 2 ตั้ง สสร.200 คน นักการเมืองโดนแบนสมัครได้
    เปิดร่างแก้ไข รธน.ฉบับ ปชน.อ้างเหตุผลต้องรื้อเพราะมรดก คสช.ปรับเงื่อนไข ม.256 แก้หมวด1 หมวด 2 คุณสมบัตินักการเมือง ไม่ต้องผ่านประชามติ ออกแบบเลือกตั้ง สสร. 200 คน ให้สิทธิ “นักการเมือง” ถูกเพิกถอนสิทธิ สมัครสสร.ได้ ขีดเส้นทำรธน.ใ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว

  • ถ้าไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้
    #สาระสำคัญ #ที่คนไทยต้องรู้
    :STK-4: ถ้าไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้ #สาระสำคัญ #ที่คนไทยต้องรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อัจฉริยะ" โร่ให้การกองปราบ ปมเคยถูก "ทนายตั้ม" สร้างพยานเท็จเล่นงานในศาล ยันเป็นสาระสำคัญในการประกอบสำนวนคดีของ “พี่อ้อย” ให้หนาแน่นยิ่งขึ้น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112339

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "อัจฉริยะ" โร่ให้การกองปราบ ปมเคยถูก "ทนายตั้ม" สร้างพยานเท็จเล่นงานในศาล ยันเป็นสาระสำคัญในการประกอบสำนวนคดีของ “พี่อ้อย” ให้หนาแน่นยิ่งขึ้น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112339 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1361 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 20-11-67
    .
    วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับคดี ระหว่าง "พี่อ้อย จตุพร" กับ "ทนายตั้ม ษิทรา" วันนี้ นรกแตก !!!
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=8H3MeO9sBmc
    สนธิเล่าเรื่อง 20-11-67 . วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับคดี ระหว่าง "พี่อ้อย จตุพร" กับ "ทนายตั้ม ษิทรา" วันนี้ นรกแตก !!! . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=8H3MeO9sBmc
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    51
    8 ความคิดเห็น 6 การแบ่งปัน 6042 มุมมอง 5 รีวิว
  • นรกแตก !!! สนธิเล่าเรื่อง 20-11-67
    .
    วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับคดี ระหว่าง "พี่อ้อย จตุพร" กับ "ทนายตั้ม ษิทรา" ซึ่ง "พี่อ้อย" ล่าสุดได้เข้ามาพบกับคุณสนธิ ที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อวันจันทร์ (18 พ.ย.) ที่ผ่านมานี้เอง โดยความเข้มข้นของเนื้อหาในวันนี้คุณสนธิเกริ่นเอาไว้แล้วว่า อยู่ในระดับ "นรกแตก!" เลยทีเดียว
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=8H3MeO9sBmc
    นรกแตก !!! สนธิเล่าเรื่อง 20-11-67 . วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับคดี ระหว่าง "พี่อ้อย จตุพร" กับ "ทนายตั้ม ษิทรา" ซึ่ง "พี่อ้อย" ล่าสุดได้เข้ามาพบกับคุณสนธิ ที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อวันจันทร์ (18 พ.ย.) ที่ผ่านมานี้เอง โดยความเข้มข้นของเนื้อหาในวันนี้คุณสนธิเกริ่นเอาไว้แล้วว่า อยู่ในระดับ "นรกแตก!" เลยทีเดียว . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=8H3MeO9sBmc
    Like
    Love
    5
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักร้องยื่นเรื่องไม่เคลียร์ กกต.ข้องใจกลัวโดนฟ้อง ทนายตั้ม ยังไม่หลุดบัญชี ส.ว.
    .
    หลังจากที่มีสรพัดเรื่องร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นจำนวนมาก เวลานี้เริ่มมีเสียงท้วงติงจากกกต.แล้วข้อร้องเรียนหลายเรื่องขาดความชัดเจนที่ไม่อาจนำไปสู่การพิจารณาได้
    .
    นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า เมื่อมีการร้องเข้ามา กกต.ก็จะต้องนำมาพิจารณาดูก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำร้องของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาร้องความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีการยื่นคำร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก ยอมรับว่า กกต.อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น แต่หากจะยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้มีข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นการมาตั้งคำถาม
    .
    "ส่วนมากทุกเรื่องจะยื่นมาในลักษณะตั้งคำถามในลักษณะผิดหรือไม่ เข้าใจว่าอาจจะเป็นการหลบหลีกในเรื่องของการถูกฟ้องร้องหรือไม่ แต่สำนักงาน กกต.ก็ไม่เคยทิ้ง แต่ต้องใช้ความเข้มงวดมากขึ้น ในอดีตให้โอกาสเพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. การจะรับคำร้องก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ส่วนรูปแบบการร้องหรือสาระสำคัญในการยื่นคำร้อง ขอให้ผู้ร้องได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและผิดกฎหมายมาตราใด ไม่ใช่มาถามว่าผิดหรือไม่"
    .
    ขณะเดียวกัน นายแสวง ระบุว่า กรณีที่กกต.จังหวัดสมุทรสาคร เข้าไปสอบปากคำ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในเรือนจำ ซึ่งถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติในการสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เนื่องจากทำงานภาคประชาสังคมไม่ถึง 10 ปี นั้น เป็นขั้นตอนตามกระบวนการ กล่าวคือ เมื่อมีคนร้องว่ามีลักษณะต้องห้ามของการเป็น ส.ว. จึงต้องไปสอบตามคำร้อง ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ถือว่านายษิทรายังมีคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ตามกฎหมาย สามารถอยู่ในบัญชีสำรองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะชั้นไหน
    ..............
    Sondhi X
    นักร้องยื่นเรื่องไม่เคลียร์ กกต.ข้องใจกลัวโดนฟ้อง ทนายตั้ม ยังไม่หลุดบัญชี ส.ว. . หลังจากที่มีสรพัดเรื่องร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นจำนวนมาก เวลานี้เริ่มมีเสียงท้วงติงจากกกต.แล้วข้อร้องเรียนหลายเรื่องขาดความชัดเจนที่ไม่อาจนำไปสู่การพิจารณาได้ . นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า เมื่อมีการร้องเข้ามา กกต.ก็จะต้องนำมาพิจารณาดูก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำร้องของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาร้องความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีการยื่นคำร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก ยอมรับว่า กกต.อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น แต่หากจะยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้มีข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นการมาตั้งคำถาม . "ส่วนมากทุกเรื่องจะยื่นมาในลักษณะตั้งคำถามในลักษณะผิดหรือไม่ เข้าใจว่าอาจจะเป็นการหลบหลีกในเรื่องของการถูกฟ้องร้องหรือไม่ แต่สำนักงาน กกต.ก็ไม่เคยทิ้ง แต่ต้องใช้ความเข้มงวดมากขึ้น ในอดีตให้โอกาสเพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. การจะรับคำร้องก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ส่วนรูปแบบการร้องหรือสาระสำคัญในการยื่นคำร้อง ขอให้ผู้ร้องได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและผิดกฎหมายมาตราใด ไม่ใช่มาถามว่าผิดหรือไม่" . ขณะเดียวกัน นายแสวง ระบุว่า กรณีที่กกต.จังหวัดสมุทรสาคร เข้าไปสอบปากคำ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในเรือนจำ ซึ่งถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติในการสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เนื่องจากทำงานภาคประชาสังคมไม่ถึง 10 ปี นั้น เป็นขั้นตอนตามกระบวนการ กล่าวคือ เมื่อมีคนร้องว่ามีลักษณะต้องห้ามของการเป็น ส.ว. จึงต้องไปสอบตามคำร้อง ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ถือว่านายษิทรายังมีคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ตามกฎหมาย สามารถอยู่ในบัญชีสำรองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะชั้นไหน .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คิดบวก#
    หลายคน หลายตำรา บอกให้คนคิดบวก และบอกถึงข้อดี...แต่ไม่ได้บอก How to อย่างที่เป็นไปได้ ...มีหลายคน สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยตนเองไม่ได้....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาชีวิตมีวิกฤติ ยิ่งยากเข้าไปอีก ....
    .🍁..มาดูกัน ง่ายๆ ใครก็ทำได้ ..
    ...เปิด You tube หาคลิปดูดวง จะศาสตร์ไหนก็ได้...
    หาทำนายทายทัก ที่เป็นชะตาราศีท่าน...
    ....ตรงนี้สำคัญ...เลือกเอาที่ทำนายไปในทางที่ดีเท่านั้น....ทำนายทางลบ...อย่าดูต่อ....
    ..บางคนอาจจะ งง..
    ..เหตุผล ...เราต้องการแค่ ตัวช่วยในการสะกดจิต และสร้างความหวังของเราขึ้นมา.....เรื่อง ทายแม่น ทายไม่แม่น ....ไม่ใช่จุดประสงค์..........
    .....เมื่อเรารับฟัง...ว่ามีสิ่งดีกำลังจะเกิดขึ้น ความหวัง ความอดทน ที่จะสู้ต่อ มันก็มาแล้ว....
    ...จะจริงไม่จริง...อย่าเอาเป็นสาระสำคัญ...เพราะเราแค่ ต้องการ สร้างพลัง ให้เกิดแรงผลัก..จากใจเราเอง...เพื่อสู้ต่อ...แค่นั้น....
    #คิดบวก# หลายคน หลายตำรา บอกให้คนคิดบวก และบอกถึงข้อดี...แต่ไม่ได้บอก How to อย่างที่เป็นไปได้ ...มีหลายคน สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยตนเองไม่ได้....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาชีวิตมีวิกฤติ ยิ่งยากเข้าไปอีก .... .🍁..มาดูกัน ง่ายๆ ใครก็ทำได้ .. ...เปิด You tube หาคลิปดูดวง จะศาสตร์ไหนก็ได้... หาทำนายทายทัก ที่เป็นชะตาราศีท่าน... ....ตรงนี้สำคัญ...เลือกเอาที่ทำนายไปในทางที่ดีเท่านั้น....ทำนายทางลบ...อย่าดูต่อ.... ..บางคนอาจจะ งง.. ..เหตุผล ...เราต้องการแค่ ตัวช่วยในการสะกดจิต และสร้างความหวังของเราขึ้นมา.....เรื่อง ทายแม่น ทายไม่แม่น ....ไม่ใช่จุดประสงค์.......... .....เมื่อเรารับฟัง...ว่ามีสิ่งดีกำลังจะเกิดขึ้น ความหวัง ความอดทน ที่จะสู้ต่อ มันก็มาแล้ว.... ...จะจริงไม่จริง...อย่าเอาเป็นสาระสำคัญ...เพราะเราแค่ ต้องการ สร้างพลัง ให้เกิดแรงผลัก..จากใจเราเอง...เพื่อสู้ต่อ...แค่นั้น....
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙

    เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก

    ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก...

    “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง”

    นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย

    “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก”

    พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า

    “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์”

    อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา”

    ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก

    “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก”

    และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป

    “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง”
    นั่นคือพุทธธรรม...

    Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว
    https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY

    ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ
    "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย"
    ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

    เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

    ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม
    http://bit.ly/1nZnfef

    Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ

    ๐๑. ขันธ์5
    http://bit.ly/1qih1Xj

    ๐๒. อายตนะ ๖
    http://bit.ly/1Xq7tVe

    ๐๓.ไตรลักษณ์
    http://bit.ly/1VhCuNd

    ๐๔. ปฏิจสุปบาท
    http://bit.ly/1SYJnj1

    ๐๕. กรรม
    http://bit.ly/20u0M6t

    ๐๖. นิพพาน
    http://bit.ly/1Q2AZKF

    ๐๗. ประเภทนิพพาน
    http://bit.ly/1qIMFOI

    ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา
    http://bit.ly/1UUvg1A

    ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน
    http://bit.ly/1VLTVUU

    ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน
    http://bit.ly/23wfOdI

    ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา
    http://bit.ly/1S4wT9r

    ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร
    http://bit.ly/1S0ftIV

    ๑๓. โยนิโสมนสิการ
    http://bit.ly/1RNTVlX

    ๑๔. ปัญญา
    http://bit.ly/1RNU211

    ๑๕. ศีล
    http://bit.ly/23nRiid

    ๑๖. สมาธิ
    http://bit.ly/1MoRbve

    ๑๗. บทสรุปอริยสัจ
    http://bit.ly/1qihTv3

    ๑๘. โสดาบัน
    http://bit.ly/1MoRfeq

    ๑๙. วินัย
    http://bit.ly/1SYK63G

    ๒๐. ปาฏิหาริย์
    http://bit.ly/1VLUY7z

    ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ
    http://bit.ly/1N3oUKE

    ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน
    http://bit.ly/1VLV3rJ

    ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ
    http://bit.ly/1SYK9g0

    เครดิต Kanlayanatam
    ผลงานชิ้นเอก ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดีที่สุดในยุคแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ เป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระไพศาล วิสาโล บวชไม่คิดสึก ‘พุทธธรรม’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)) คือ หนังสือที่พระไพศาลยกย่อง ถึงขั้นที่ว่าถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถติดตัวไปได้ในชีวิต ‘พุทธธรรม’ คือ เล่มที่ท่านเลือก... “หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาส เมื่อ พ.ศ. 2525 ตั้งใจว่าอ่านให้ได้วันละ 10 หน้า ก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณ 90 กว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีก 10 หน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง” นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) อนุญาตให้เข้าพบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสนทนาธรรมสอบถามข้อสงสัยจากหนังสืออีกด้วย “อ่านหนังสือแล้วไปถามท่านเราก็ได้ความกระจ่างเยอะ ถือเป็นความโชคดีในฐานะนักอ่าน ยิ่งได้คุยกับท่านยิ่งรู้ว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ถ้าจัดเรตให้ต้องถือว่าเฟิร์สตเรต อัศจรรย์มาก” พุทธธรรมเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ที่ได้รับการยอมรับว่าแสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างซื่อตรงต่อพระ ไตรปิฎกเป็นอย่างยิ่ง นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน และเป็นระบบอย่างชัดเจน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ผู้เขียนได้ปรับปรุงและขยายความเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาเป็นพันหน้า “อ่านไปก็อดทึ่งคนเขียนไม่ได้ว่าทั้งฉลาดทั้งมีความเพียรสูง ค้นข้อมูลมามากทีเดียวกว่าจะเขียนได้อย่างนี้ คือไม่ใช่แค่สรุปความย่อความเหมือนหนังสือบางเล่ม แต่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีพระไตรปิฎก เป็นพื้นฐาน นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยวิธีคิดของคนสมัยใหม่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่เจอแบบนี้ในงานเขียนพระพุทธศาสนา บางทีเคยไปเจอหนังสือเกี่ยวกับสาระพระไตรปิฎก เขียนโดยฆราวาสที่เคยบวชพระมาจะเห็นว่าลีลาสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางทีก็แค่ย่อความมาให้เราดู การย่อความก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านเจ้าประคุณทำได้มากกว่านั้น จึงนำมาเสนอใหม่ ด้วยชนิดที่เรียกว่าสามารถจะสื่อสารกับเราด้วยภาษาของเราได้ และพยายามโยงให้เข้าถึงปัญหาสังคมสมัยใหม่โดยใช้มุมมองแบบพุทธ ซึ่งสมควรแล้วที่คนจะพูดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในยุครัชกาลที่ 9 และถือว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของรัตนโกสินทร์” อาตมายกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีของชีวิต ประการที่หนึ่งเพราะนำเสนอพุทธธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้านที่สุดภายในเล่มเดียว คือมีหลายท่านพูดถึงพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่พูดเป็นบางแง่ อย่างท่านพุทธทาสก็พูดเป็นบางแง่ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา แต่เล่มนี้พูดครบทุกแง่อย่างเป็นระบบ ทุกแง่ทุกมุมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอให้ค้นให้เป็น อาตมาเคยพูดนะว่าหนังสือเล่มนี้มี 3 มิติ ทั้งลึก กว้าง ไกล ลึกคือทำให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของตัวเอง และทำให้เราเห็นกว้าง เห็นโลกและสังคมได้อย่างกว้าง เล่มนี้จะพูดถึงสังคมสมัยใหม่ไว้พอสมควร ทำให้เราได้เห็นมิติด้านไกล นั่นคือได้เห็นว่าการสอนพุทธศาสนานี้ผ่านการตีความมายังไงบ้าง ประการต่อมาคือใช้ภาษาที่งดงามสละสลวย ภาษาท่านงดงามมาก และสามารถสื่อได้ตรงใจผู้เขียน แม้ว่าเนื้อหาจะลึกซึ้ง คือทุกวันนี้แม้ตัวเองจะอ่านงานท่านเจ้าประคุณมาเยอะ เวลาจะสื่ออะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่าเราจนต่อถ้อยคำ ไม่สามารถจะเขียนให้สุดความคิดได้ แต่หนังสือเล่มนี้ท่านเจ้าประคุณสามารถบรรยายให้สุดความคิดได้ อาตมาคิดว่าเป็นแบบอย่างของงานเขียนในทางศาสนาและงานวิชาการได้ คือมีทั้งอรรถและรส อรรถคือเนื้อหา รสคือรสของภาษา” ซึ่งพระไพศาลยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และท่านพุทธทาส ในการใช้ชีวิตและเขียนหนังสือพอสมควร โดยเฉพาะจากหนังสือพุทธธรรมนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียน และการค้นคว้าทางพุทธศาสนาอย่างมาก “ถ้ามีเล่มเดียวที่สามารถติดไปได้ในชีวิตก็เล่มนี้แหละ ถึงแม้จะหนักหน่อยก็ตาม อาตมายังรู้สึกเลยนะว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราภูมิใจที่เป็นคนไทย การที่คุณเป็นคนไทยแล้วได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าโชคดีและคุ้มค่าในการที่ได้เป็นคนไทยแล้ว บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นฝรั่งโชคดีนะ ได้อ่านหนังสือที่ลึกซึ้ง หนังสือเยอะแยะหลากหลาย แต่พุทธธรรมนี่แหละที่ทำให้เราสามารถเป็นที่อิจฉาของฝรั่งได้ เพราะฝรั่งอ่านเล่มนี้ไม่ได้ แต่คนไทยอ่านได้ ฉะนั้นถ้าในแง่ชาวพุทธและในแง่ความเป็นคนไทย หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราภูมิใจและรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนไทย ที่อ่านภาษาไทยออก” และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีหนังสือพุทธธรรมในครอบครอง แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน พระไพศาลบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะรสชาติของหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือทั่ว ๆ ไป “อ่านแล้วจะทำให้เกิดความพิศวงและความปีติเมื่อได้พบความจริง” นั่นคือพุทธธรรม... Save เก็บได้เลย... 1360 หน้า อัพเดทล่าสุด เป็นฉบับปรับขยายครับ อ่านวันละ 10 หน้าแป๊บเดี๋ยวก็จบแล้ว https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/buddhadhamma_extended_edition.pdf?fbclid=IwAR1WFAHlZSqoUQa01X13IvZno7o9FgFuHC450ktPmxfQAxLyUtGOl9ndrSY ท่านสามารถดาวโหลดเสียงอ่านหนังสือ "พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย" ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) เสียงอ่านโดย..พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล ได้ที่ Link เสียงอ่าน พุทธธรรม http://bit.ly/1nZnfef Link สำหรับพุทธธรรม ๒๓ บท ตามนี้ครับ ๐๑. ขันธ์5 http://bit.ly/1qih1Xj ๐๒. อายตนะ ๖ http://bit.ly/1Xq7tVe ๐๓.ไตรลักษณ์ http://bit.ly/1VhCuNd ๐๔. ปฏิจสุปบาท http://bit.ly/1SYJnj1 ๐๕. กรรม http://bit.ly/20u0M6t ๐๖. นิพพาน http://bit.ly/1Q2AZKF ๐๗. ประเภทนิพพาน http://bit.ly/1qIMFOI ๐๘. สมถะ-วิปัสสนา http://bit.ly/1UUvg1A ๐๙. หลักการสำคัญของการบรรลุนิพพาน http://bit.ly/1VLTVUU ๑๐. บทสรุปเรื่องนิพพาน http://bit.ly/23wfOdI ๑๑. บทนำมัชฌิมาปฏิปทา http://bit.ly/1S4wT9r ๑๒. ปรโตโฆสะที่ดี_กัลยาณมิตร http://bit.ly/1S0ftIV ๑๓. โยนิโสมนสิการ http://bit.ly/1RNTVlX ๑๔. ปัญญา http://bit.ly/1RNU211 ๑๕. ศีล http://bit.ly/23nRiid ๑๖. สมาธิ http://bit.ly/1MoRbve ๑๗. บทสรุปอริยสัจ http://bit.ly/1qihTv3 ๑๘. โสดาบัน http://bit.ly/1MoRfeq ๑๙. วินัย http://bit.ly/1SYK63G ๒๐. ปาฏิหาริย์ http://bit.ly/1VLUY7z ๒๑. ปัญหาแรงจูงใจ http://bit.ly/1N3oUKE ๒๒. ความสุข ๑ ฉบับแบบแผน http://bit.ly/1VLV3rJ ๒๓. ความสุข ๒ ฉบับประมวลความ http://bit.ly/1SYK9g0 เครดิต Kanlayanatam
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว
  • หยุดฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ หยุดละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    การที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกำลัง “เร่งรัด” เจรจาด้านผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกว่า “MOU 2544” นั้น อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศไทย ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ และอาจทำให้ประเทศชาติและประชาชนอาจจะสูญเสียผลประโยชน์ตามมาได้ด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น ได้ทำให้เห็นว่า พื้นที่ทางทะเลซึ่งกำลังมีการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชาตาม MOU 2544 อยู่ในขณะนี้มี จำนวน 26,000 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวตามกฎหมายสากลทั้งสิ้น ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาดังที่พยายามเจรจากันอยู่ในขณะนี้ ดังมีรายละเอียดดังนี้

    ประการแรก พระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ไม่สามารถลบล้างด้วยข้อตกลงหรือการเจรจากันเองของนักการเมืองหรือข้าราชการได้

    หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องเป็นไปโดยเงื่อนไขที่กำหนดโดย “พระบรมราชโองการ” เท่านั้น

    ประการที่สอง พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้น ได้ระบุวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าเพื่อใช้ “สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย” จึงต้องตระหนักว่าพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้มี 3 คำสำคัญประกอบกัน คือ “สิทธิ” , “อธิปไตย” ตลอดจนคำว่า ”ของประเทศไทย“

    ดังนั้นพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ไม่ใช่เรื่อง “อธิปไตย“ของประเทศไทยแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง “สิทธิ”ของประเทศไทย ไม่ใช่ “อธิปไตย” ของชาติอื่นและไม่ใช่“สิทธิ”ของชาติอื่นมาผสมปะปนได้

    โดยมีข้อความระบุเฉพาะถึงขอบเขตอย่างชัดเจนด้วยว่า “การใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย”นั้นเพื่อใช้ “ในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ“ ในอ่าวไทย

    ภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 มีสาระสำคัญในเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย“ ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติภายใต้การประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยย่อมต้องเป็นของราชอาณาจักรไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น

    ดังนั้นผู้สำรวจ ผู้รับสัมปทาน หรือมีผู้แสวงหาผลประโยชน์ในทรัพยากรในอ่าวไทยจะต้องทำสัญญากับอธิปไตยได้เพียงรัฐเดียวเท่านั้นคือ ”ประเทศไทย“

    การบิดเบือนให้ “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย” ที่เดิมต้องลงนามโดยรัฐบาลประเทศไทยเพียงรัฐเดียว ให้กลายเป็นสิทธิในการสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางพลังงานที่ต้องลงนามโดยรัฐบาล 2 ประเทศ คือประเทศไทยร่วมกับประเทศกัมพูชานั้น ย่อมเท่ากับว่ารัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้สละ “สิทธิ” และ “อธิปไตย” ในการอนุญาตสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยฝ่ายเดียว

    การกระทำดังที่กล่าวมานี้อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516

    ประการที่สาม พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศตามกฎหมายสากลเท่านั้น ปรากฏเป็นข้อความเป็นหลักการว่า

    “ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511“

    ทั้งนี้ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 นั้น ต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    ประกอบกับจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในการแบ่งแยกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 นั้น ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่า “เกาะกูดเป็นของสยาม” อย่างแน่นอนความว่า

    “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราด กับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว“

    นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็น “แผนที่” แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ได้กำหนดแผนที่แสดง “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 และพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งได้ประกาศกำหนดแผนที่แสดง “เส้นทะเลอาณาเขต”ของกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 โดยมีข้อความด้านซ้ายแผนที่ภาพเกาะกูดเป็นภาษาอังกฤษคำว่า “Koh Kut” โดยมีวงเล็บอยู่ด้านล่างกำกับด้วยคำว่า “สยาม” เป็นภาษาอังกฤษว่า ”(SIAM)“ ทั้ง 2 ฉบับ ย่อมเป็นการยืนยันโดยราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “เกาะกูด” เป็นของสยามประเทศอย่างแน่นอน

    เมื่อเกาะกูดเป็นของสยามประเทศ สยามประเทศจึงย่อมต้องมี ”ทะเลอาณาเขต“ จากเส้นฐานของเกาะกูดไปอีก 12 ไมล์ทะเล และมี ”เขตทะเลต่อเนื่อง“จากเส้นฐานของเกาะกูด 24 ไมล์ทะเล “รอบเกาะกูด” ตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาหลักการนี้ได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    อย่างไรก็ตาม “เกาะกูด” ของสยาม และ “เกาะกง” ของกัมพูชา คือเกาะที่มีดินแดนยื่นออกมาในทะเลใกล้ที่สุดจากหลักเขตที่ 73 บนแผ่นดิน ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายทางทิศใต้ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด

    ดังนั้นพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 จึงได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงปรากฏแผนที่การลากเส้นเขตไหล่ทวีปตาม ”กฎหมายสากล“ คือ เริ่มลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง

    การลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกงนั้น ก็เป็นการดำเนินไปตามกฎหมายสากลด้วยทั้งสิ้น คือบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย

    ดังนั้นพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันตก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันออกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียวซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วยเพราะมีผลตามมาดังนี้

    1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด

    3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73

    ดังนั้นหากราชอาณาจักรไทยยินยอมหรือรับรู้ โดยไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด ไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่องรอบเกาะกูด และไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางพื้นที่ด้านทิศทะวันตกเส้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ราชอาณาจักรไทยจะสูญเสียสิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด สุ่มเสี่ยงสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเขตทะเลต่อเนื่อง สุ่่มเสี่ยงสูญเสียพื้นที่ทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ

    เมื่อสละกฎหมายทะเลสากลรอบเกาะกูดทั้งหมด ก็จะส่งผลทำให้เกิดความสุ่่มเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ดินแดนเกาะกูด” ในฐานะที่ราชอาณาจักรไทย “นิ่งเฉย” ต่อการละเมิดพื้นที่ทะเลอาณาเขต ละเมิดพื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และการละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบเกาะกูด มีความสุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจอ้างกฎหมายปิดปากให้เกาะกูดตกเป็นของกัมพูชาในอนาคตได้ ดังที่ราชอาณาจักรไทยได้เคยสูญเสียปราสาทพระวิหารและสูญเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 มาแล้ว

    ดังนั้นหากยังฝ่าฝืนดำเนินการ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการตกลงใดๆที่อยู่นอกเหนือแผนที่ตามประกาศภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อาจสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการดำเนินที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่เป็นการยึดถือตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วย

    ประการที่สี่ พื้นที่ทับซ้อนสามารถเจรจาแบ่งผลประโยชน์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสากลเท่านั้น ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ

    พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้นได้ “เปิดช่องให้มีการเจรจาตกลงกันได้”

    แต่จะต้องยึดถือมูลฐานจาก บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น และต้องไม่ใช้เงื่อนไขอื่นในการตกลงกันความว่า

    “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“

    เพราะตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 สามารถเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันได้ จึงอาจเกิดพื้นที่ลักษณะอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้จริงดังที่ได้เกิดขึ้นกับพื้นที่การพัฒนาร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย

    แต่เมื่อ MOU 2544 ไทย-กัมพูชา แตกต่างจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา ได้เกิดพื้นที่โดยรับรู้เส้นไหล่ทวีปอ้างสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชาที่กำหนดเขตไหล่ทวีปที่ลากเส้น ”ละเมิด“ สิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด และละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาจึงย่อมไม่มีทางเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ได้เลย

    หากจะมีพื้นที่ทับซ้อนในทางเทคนิกก็ต้องเป็นไปตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มเจรจาได้ ซึ่งแปลว่าก็ต้องมีความใกล้เคียงกับแผนที่แนบท้ายพระบรมราชโองการทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยฉบับเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น

    ดังนั้นการเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลากเส้นโดยไม่ยึดถือตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 หรือทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเกินกว่าพระบรมราชโองการย่อมกระทำไม่ได้

    และหากรัฐบาลยังฝ่าฝืนดำเนินต่อไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยินยอมให้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    23 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1079446800215686/?

    #Thaitimes
    หยุดฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ หยุดละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ การที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกำลัง “เร่งรัด” เจรจาด้านผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกว่า “MOU 2544” นั้น อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศไทย ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ และอาจทำให้ประเทศชาติและประชาชนอาจจะสูญเสียผลประโยชน์ตามมาได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น ได้ทำให้เห็นว่า พื้นที่ทางทะเลซึ่งกำลังมีการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชาตาม MOU 2544 อยู่ในขณะนี้มี จำนวน 26,000 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวตามกฎหมายสากลทั้งสิ้น ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาดังที่พยายามเจรจากันอยู่ในขณะนี้ ดังมีรายละเอียดดังนี้ ประการแรก พระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ไม่สามารถลบล้างด้วยข้อตกลงหรือการเจรจากันเองของนักการเมืองหรือข้าราชการได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นต้องเป็นไปโดยเงื่อนไขที่กำหนดโดย “พระบรมราชโองการ” เท่านั้น ประการที่สอง พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้น ได้ระบุวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าเพื่อใช้ “สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย” จึงต้องตระหนักว่าพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้มี 3 คำสำคัญประกอบกัน คือ “สิทธิ” , “อธิปไตย” ตลอดจนคำว่า ”ของประเทศไทย“ ดังนั้นพระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ไม่ใช่เรื่อง “อธิปไตย“ของประเทศไทยแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง “สิทธิ”ของประเทศไทย ไม่ใช่ “อธิปไตย” ของชาติอื่นและไม่ใช่“สิทธิ”ของชาติอื่นมาผสมปะปนได้ โดยมีข้อความระบุเฉพาะถึงขอบเขตอย่างชัดเจนด้วยว่า “การใช้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย”นั้นเพื่อใช้ “ในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ“ ในอ่าวไทย ภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 มีสาระสำคัญในเรื่อง “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย“ ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติภายใต้การประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยย่อมต้องเป็นของราชอาณาจักรไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ดังนั้นผู้สำรวจ ผู้รับสัมปทาน หรือมีผู้แสวงหาผลประโยชน์ในทรัพยากรในอ่าวไทยจะต้องทำสัญญากับอธิปไตยได้เพียงรัฐเดียวเท่านั้นคือ ”ประเทศไทย“ การบิดเบือนให้ “สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย” ที่เดิมต้องลงนามโดยรัฐบาลประเทศไทยเพียงรัฐเดียว ให้กลายเป็นสิทธิในการสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางพลังงานที่ต้องลงนามโดยรัฐบาล 2 ประเทศ คือประเทศไทยร่วมกับประเทศกัมพูชานั้น ย่อมเท่ากับว่ารัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้สละ “สิทธิ” และ “อธิปไตย” ในการอนุญาตสำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยฝ่ายเดียว การกระทำดังที่กล่าวมานี้อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่ได้ทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ประการที่สาม พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศตามกฎหมายสากลเท่านั้น ปรากฏเป็นข้อความเป็นหลักการว่า “ยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511“ ทั้งนี้ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 นั้น ต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย ประกอบกับจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในการแบ่งแยกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 นั้น ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่า “เกาะกูดเป็นของสยาม” อย่างแน่นอนความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราด กับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว“ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็น “แผนที่” แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ได้กำหนดแผนที่แสดง “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 และพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งได้ประกาศกำหนดแผนที่แสดง “เส้นทะเลอาณาเขต”ของกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 โดยมีข้อความด้านซ้ายแผนที่ภาพเกาะกูดเป็นภาษาอังกฤษคำว่า “Koh Kut” โดยมีวงเล็บอยู่ด้านล่างกำกับด้วยคำว่า “สยาม” เป็นภาษาอังกฤษว่า ”(SIAM)“ ทั้ง 2 ฉบับ ย่อมเป็นการยืนยันโดยราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “เกาะกูด” เป็นของสยามประเทศอย่างแน่นอน เมื่อเกาะกูดเป็นของสยามประเทศ สยามประเทศจึงย่อมต้องมี ”ทะเลอาณาเขต“ จากเส้นฐานของเกาะกูดไปอีก 12 ไมล์ทะเล และมี ”เขตทะเลต่อเนื่อง“จากเส้นฐานของเกาะกูด 24 ไมล์ทะเล “รอบเกาะกูด” ตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาหลักการนี้ได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย อย่างไรก็ตาม “เกาะกูด” ของสยาม และ “เกาะกง” ของกัมพูชา คือเกาะที่มีดินแดนยื่นออกมาในทะเลใกล้ที่สุดจากหลักเขตที่ 73 บนแผ่นดิน ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายทางทิศใต้ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด ดังนั้นพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 จึงได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 จึงปรากฏแผนที่การลากเส้นเขตไหล่ทวีปตาม ”กฎหมายสากล“ คือ เริ่มลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง การลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกงนั้น ก็เป็นการดำเนินไปตามกฎหมายสากลด้วยทั้งสิ้น คือบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งต่อมาได้ถูกรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ด้วย ดังนั้นพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาได้กำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” ของราชอาณาจักรกัมพูชา ฉบับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 มาประชิดเกาะกูดด้านตะวันตก แล้วอ้อมเกาะกูดไปด้านล่างแล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U แล้วลากเส้นต่อเนื่องไปยังทิศตะวันออกของเกาะกูดลึกเข้าไปในอ่าวไทยก็ดี หรือพระราชกฤษฎีกาของราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่ายเดียวซึ่งกำหนดแผนที่แสดงการลาก “เส้นทะเลอาณาเขต” ของกัมพูชาจากหลักเขตที่ 73 ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ฉบับเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2515 ก็ดี ล้วนเป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย“ทั้งสิ้น และยังไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วยเพราะมีผลตามมาดังนี้ 1.ละเมิด ทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 2.ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด 3.ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงจากหลักเขตที่ 73 ดังนั้นหากราชอาณาจักรไทยยินยอมหรือรับรู้ โดยไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด ไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่องรอบเกาะกูด และไม่ปฏิเสธการลากเส้นที่ละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางพื้นที่ด้านทิศทะวันตกเส้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ราชอาณาจักรไทยจะสูญเสียสิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขตรอบเกาะกูด สุ่มเสี่ยงสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเขตทะเลต่อเนื่อง สุ่่มเสี่ยงสูญเสียพื้นที่ทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เมื่อสละกฎหมายทะเลสากลรอบเกาะกูดทั้งหมด ก็จะส่งผลทำให้เกิดความสุ่่มเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาท “ดินแดนเกาะกูด” ในฐานะที่ราชอาณาจักรไทย “นิ่งเฉย” ต่อการละเมิดพื้นที่ทะเลอาณาเขต ละเมิดพื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และการละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะรอบเกาะกูด มีความสุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจอ้างกฎหมายปิดปากให้เกาะกูดตกเป็นของกัมพูชาในอนาคตได้ ดังที่ราชอาณาจักรไทยได้เคยสูญเสียปราสาทพระวิหารและสูญเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 มาแล้ว ดังนั้นหากยังฝ่าฝืนดำเนินการ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการตกลงใดๆที่อยู่นอกเหนือแผนที่ตามประกาศภายใต้พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อาจสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการดำเนินที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่เป็นการยึดถือตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ด้วย ประการที่สี่ พื้นที่ทับซ้อนสามารถเจรจาแบ่งผลประโยชน์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสากลเท่านั้น ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ พระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นั้นได้ “เปิดช่องให้มีการเจรจาตกลงกันได้” แต่จะต้องยึดถือมูลฐานจาก บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น และต้องไม่ใช้เงื่อนไขอื่นในการตกลงกันความว่า “สำหรับสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขตซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ เพราะตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 สามารถเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันได้ จึงอาจเกิดพื้นที่ลักษณะอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้จริงดังที่ได้เกิดขึ้นกับพื้นที่การพัฒนาร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย แต่เมื่อ MOU 2544 ไทย-กัมพูชา แตกต่างจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะ MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา ได้เกิดพื้นที่โดยรับรู้เส้นไหล่ทวีปอ้างสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชาที่กำหนดเขตไหล่ทวีปที่ลากเส้น ”ละเมิด“ สิทธิและอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด ละเมิดเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทยรอบเกาะกูด และละเมิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาจึงย่อมไม่มีทางเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ได้เลย หากจะมีพื้นที่ทับซ้อนในทางเทคนิกก็ต้องเป็นไปตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มเจรจาได้ ซึ่งแปลว่าก็ต้องมีความใกล้เคียงกับแผนที่แนบท้ายพระบรมราชโองการทรงประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยฉบับเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เท่านั้น ดังนั้นการเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลากเส้นโดยไม่ยึดถือตามมูลฐานของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 หรือทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียสิทธิและอธิปไตยเกินกว่าพระบรมราชโองการย่อมกระทำไม่ได้ และหากรัฐบาลยังฝ่าฝืนดำเนินต่อไป ก็ย่อมมีความเสี่ยงว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยินยอมให้มีการละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาเขตทะเลไทย ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 23 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1079446800215686/? #Thaitimes
    Like
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท

    ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า

    ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ

    ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ

    #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก

    ดู ไทมไลน์ ดังนี้
    1. ผลิตสินค้า
    2.หาสมาชิก
    3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท]
    4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย

    จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง

    วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง

    "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น ..........""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า
    "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....."

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง .....""

    #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด

    (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก
    (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น
    (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย
    (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป
    (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง
    (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่
    (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน
    (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี

    จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ ""

    Cr: คดีโลกคดีธรรม
    ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก ดู ไทมไลน์ ดังนี้ 1. ผลิตสินค้า 2.หาสมาชิก 3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท] 4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น .........."" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....." ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน "" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ....."" #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่ (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ "" Cr: คดีโลกคดีธรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 977 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้

    1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม)

    อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้

    2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก

    ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน

    ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้

    3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท

    แต่…

    4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก”

    ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น

    เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่?

    และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่?

    คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร?

    เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า

    “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“

    5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร?

    ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    14 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/?

    #Thaitimes
    วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้ 1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม) อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้ 2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้ 3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท แต่… 4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก” ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่? และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่? คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร? เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“ 5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร? ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 14 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/? #Thaitimes
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1424 มุมมอง 1 รีวิว
  • จุดต้นตอรถบัสมรณะ คมนาคม-ขนส่งแก้ไม่ถูกจุด
    .
    ที่นี่จะเป็นที่แรกที่อธิบายเบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆว่าต้นเหตุจริงๆ มาจากไหน ? หลังจากรถบัสคันเกิดเหตุ เจ้าของชื่อ ชินบุตรทัวร์ จังหวัดสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบ พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เพลิงลุกไหม้ เพราะว่าแก๊ส NGV รั่วไหลบริเวณส่วนหน้าของรถคันนี้ ที่ติดถังแก๊สถึง 11 ถัง เกินไปจากใบอนุญาตจากกรมการขนส่งฯ กะว่าวิ่งยาวโดยไม่ต้องเติมแก๊ส และตรงประตูฉุกเฉินท้ายรถด้านซ้ายเปิดไม่ได้ นี่คือความหละหลวมฉ้อฉลของกรมการขนส่งทางบก ที่ไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด
    .
    เมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คุณจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกที่ได้รับต่ออายุราชการอีก 1 ปี ออกประกาศลงราชกิจจานุเบกษาว่า ให้รถขนส่งผู้โดยสารที่ติดก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG และก๊าซธรรมชาติอัดหรือ NGV เข้ารับการตรวจสภาพใหม่ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พฤศจิกายน 2567
    .
    ประกาศฉบับนี้ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา มันเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพราะต่อให้ทำตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก อุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นอยู่ เพราะว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด หัวขบวนอย่างคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ หรือมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน
    .
    ทำไมประเทศไทยถึงมีความถี่การเกิดไฟไหม้รถ ยานยนต์ บ่อยครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 16 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากประเทศที่รถเขาติดแก๊สกันทั่วโลกเลย ปัญหานี้คือปัญหาเส้นผมบังภูเขา ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจากภาครัฐ ระยำตำบอนมาก
    .
    หม่อมกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนออกมาโพสต์ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐมุ่งโปรโมตขายแก๊ส NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสารจนชะล่าใจ ลดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถัง อันตรายมาก เพราะฉะนั้นแล้ว การโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
    .
    19 ปีที่แล้ว ในปีนั้น เป็นยุครัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตรที่สนับสนุนบังคับยานยนต์ขนส่งมวลชนใช้ NGV ในมาตรการการลงทุนท่อแก๊ส สถานี NGV มาตรการลดภาษีอุปกรณ์ มาตรการเงินกู้ มาตรการขายราคาต่ำช่วงแรก แต่ค่าถัง อุปกรณ์ แพงกว่า LPG มากก็เลยทำให้มีการลดมาตรฐานความปลอดภัยตามประกาศกรมขนส่ง29มกราคม2551 แล้วก็มาระเบิดในยุคทักษิณ ชินวัตร อีกเช่นกัน มันช่างบังเอิญเสียเช่นนี้

    การตัดสินใจของ มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) คือตัวการ และกรมการขนส่งทางบก กับ ปตท. เท่ากับเป็นการถอยออกจากมาตรฐานยุโรปECE R110ที่กำหนดไว้ว่า ยานพาหนะที่ติดแก๊ส NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ปิดและเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า เขาเรียกวาล์วนี้ว่า โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) หรือ มาตรฐาน มอก. 2333 มาเป็นการลดต้นทุนในการติดตั้งแก๊ส NGV บนมาตรฐานความไม่ปลอดภัยต่อผู้โดยสารจะเลือกวาล์วลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือแบบอัตโนมัติก็ได้ เป็นการโปรโมตการใช้แก๊ส NGV โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตประชาชน
    .
    หวังเพียงแต่ว่าภาคการขนส่งไม่ต้องมาแย่งแก๊ส LPG แล้วให้ไปใช้แก๊ส NGV มากขึ้น เพื่ออะไร ? เพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลใน ปตท. จะได้รวยขึ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นใน ปตท. ซึ่งยุคนั้นเป็นคนของทักษิณทั้งสิ้น ร่ำรวยมากขึ้น
    .
    ถ้าเรามีวาล์วปิด-เปิดอัตโนมัติ เด็กที่เสียชีวิตไปและครูคงไม่เสียชีวิตแบบนี้ พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องของคนที่ตาย ให้รับทราบว่าลูกๆ คุณเสียชีวิตไปเพราะกรมการขนส่งทางบก มอก. และ ปตท. ยุคนั้น เห็นแก่เงิน แค่พวงหรีดไม่กี่พวงหรืออย่างไร แล้วแค่ตั้งกรรมการสอบหรืออย่างไร หรือว่าคุณสุริยะมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน แต่หลักการของการแก้ที่ถูกต้องมันไม่ทำอะไรเลย ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะคือ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" หาได้เฉพาะที่นี่
    จุดต้นตอรถบัสมรณะ คมนาคม-ขนส่งแก้ไม่ถูกจุด . ที่นี่จะเป็นที่แรกที่อธิบายเบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆว่าต้นเหตุจริงๆ มาจากไหน ? หลังจากรถบัสคันเกิดเหตุ เจ้าของชื่อ ชินบุตรทัวร์ จังหวัดสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบ พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เพลิงลุกไหม้ เพราะว่าแก๊ส NGV รั่วไหลบริเวณส่วนหน้าของรถคันนี้ ที่ติดถังแก๊สถึง 11 ถัง เกินไปจากใบอนุญาตจากกรมการขนส่งฯ กะว่าวิ่งยาวโดยไม่ต้องเติมแก๊ส และตรงประตูฉุกเฉินท้ายรถด้านซ้ายเปิดไม่ได้ นี่คือความหละหลวมฉ้อฉลของกรมการขนส่งทางบก ที่ไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด . เมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คุณจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกที่ได้รับต่ออายุราชการอีก 1 ปี ออกประกาศลงราชกิจจานุเบกษาว่า ให้รถขนส่งผู้โดยสารที่ติดก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG และก๊าซธรรมชาติอัดหรือ NGV เข้ารับการตรวจสภาพใหม่ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พฤศจิกายน 2567 . ประกาศฉบับนี้ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา มันเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพราะต่อให้ทำตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก อุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นอยู่ เพราะว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด หัวขบวนอย่างคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ หรือมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน . ทำไมประเทศไทยถึงมีความถี่การเกิดไฟไหม้รถ ยานยนต์ บ่อยครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 16 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากประเทศที่รถเขาติดแก๊สกันทั่วโลกเลย ปัญหานี้คือปัญหาเส้นผมบังภูเขา ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจากภาครัฐ ระยำตำบอนมาก . หม่อมกรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนออกมาโพสต์ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐมุ่งโปรโมตขายแก๊ส NGV ใช้ในรถขนส่งผู้โดยสารจนชะล่าใจ ลดมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ โดยเฉพาะมาตรฐานวาล์วที่หัวถัง อันตรายมาก เพราะฉะนั้นแล้ว การโยนความผิดให้เอกชนฝ่ายเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ . 19 ปีที่แล้ว ในปีนั้น เป็นยุครัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตรที่สนับสนุนบังคับยานยนต์ขนส่งมวลชนใช้ NGV ในมาตรการการลงทุนท่อแก๊ส สถานี NGV มาตรการลดภาษีอุปกรณ์ มาตรการเงินกู้ มาตรการขายราคาต่ำช่วงแรก แต่ค่าถัง อุปกรณ์ แพงกว่า LPG มากก็เลยทำให้มีการลดมาตรฐานความปลอดภัยตามประกาศกรมขนส่ง29มกราคม2551 แล้วก็มาระเบิดในยุคทักษิณ ชินวัตร อีกเช่นกัน มันช่างบังเอิญเสียเช่นนี้ การตัดสินใจของ มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) คือตัวการ และกรมการขนส่งทางบก กับ ปตท. เท่ากับเป็นการถอยออกจากมาตรฐานยุโรปECE R110ที่กำหนดไว้ว่า ยานพาหนะที่ติดแก๊ส NGV ทุกชนิด จะต้องใช้วาล์วที่ปิดและเปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า เขาเรียกวาล์วนี้ว่า โซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) หรือ มาตรฐาน มอก. 2333 มาเป็นการลดต้นทุนในการติดตั้งแก๊ส NGV บนมาตรฐานความไม่ปลอดภัยต่อผู้โดยสารจะเลือกวาล์วลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือแบบอัตโนมัติก็ได้ เป็นการโปรโมตการใช้แก๊ส NGV โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตประชาชน . หวังเพียงแต่ว่าภาคการขนส่งไม่ต้องมาแย่งแก๊ส LPG แล้วให้ไปใช้แก๊ส NGV มากขึ้น เพื่ออะไร ? เพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลใน ปตท. จะได้รวยขึ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นใน ปตท. ซึ่งยุคนั้นเป็นคนของทักษิณทั้งสิ้น ร่ำรวยมากขึ้น . ถ้าเรามีวาล์วปิด-เปิดอัตโนมัติ เด็กที่เสียชีวิตไปและครูคงไม่เสียชีวิตแบบนี้ พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องของคนที่ตาย ให้รับทราบว่าลูกๆ คุณเสียชีวิตไปเพราะกรมการขนส่งทางบก มอก. และ ปตท. ยุคนั้น เห็นแก่เงิน แค่พวงหรีดไม่กี่พวงหรืออย่างไร แล้วแค่ตั้งกรรมการสอบหรืออย่างไร หรือว่าคุณสุริยะมัวแต่หมกมุ่นกับโครงการแสนล้านอยู่ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน แต่หลักการของการแก้ที่ถูกต้องมันไม่ทำอะไรเลย ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะคือ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" หาได้เฉพาะที่นี่
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”


    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
    ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล
    ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ
    ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ)
    เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ
    และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน

    🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ
    และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน
    ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ
    โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก
    (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล
    ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ

    🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น
    ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market)
    เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้
    ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ
    บริหารความเสี่ยงด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data)
    ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน

    🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ
    ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง
    ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

    (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ
    ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม
    เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต.
    สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ
    หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้

    (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม
    ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล
    รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์
    และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์

    ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567
    เป็นต้นไป

    ที่มา : ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน 🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ 🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market) เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้ ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ บริหารความเสี่ยงด้วย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data) ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน 🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต. สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้ (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์ และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 535 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เทคโนโลยี
    "สมรรถภาพ​ของ​แบตเตอรี่​ไม่ใช่​สาระสำคัญ​"
    สิ่ง​ที่​ช่วย​ตัดสินใจ​ให้​ซื้อ​รถ​ EREV​ คือ​ ระบบ​ขับ​เคลื่อน​อัจฉริยะ​ (ADAS
    : Advanced Driver – Assistance Systems) ตั้งแต่​ระดับ​ ๔ ที่​มี​ Valet Parking​ เป็น​ขั้นต่ำ​ อีก​ทั้ง​สมรรถนะ​ของ​รถยนต์​ต้อง​สามารถ​รองรับ​ควอนตัม​คอมพิวเตอร์​ ที่​กำลัง​จะ​เริ่ม​ใช้งาน​เร็ว​ๆ​ นี้​ และ​ระบบ​ดาวเทียม​ได้​ด้วย​
    ดังนั้น​ รถยนต์​ของ​จีน​จึง​ดูเหมือนเข้าใกล้​เป้าหมาย​มาก​ที่สุด​ ด้วย​สนนราคา​ที่​น่าสนใจ
    #เทคโนโลยี "สมรรถภาพ​ของ​แบตเตอรี่​ไม่ใช่​สาระสำคัญ​" สิ่ง​ที่​ช่วย​ตัดสินใจ​ให้​ซื้อ​รถ​ EREV​ คือ​ ระบบ​ขับ​เคลื่อน​อัจฉริยะ​ (ADAS : Advanced Driver – Assistance Systems) ตั้งแต่​ระดับ​ ๔ ที่​มี​ Valet Parking​ เป็น​ขั้นต่ำ​ อีก​ทั้ง​สมรรถนะ​ของ​รถยนต์​ต้อง​สามารถ​รองรับ​ควอนตัม​คอมพิวเตอร์​ ที่​กำลัง​จะ​เริ่ม​ใช้งาน​เร็ว​ๆ​ นี้​ และ​ระบบ​ดาวเทียม​ได้​ด้วย​ ดังนั้น​ รถยนต์​ของ​จีน​จึง​ดูเหมือนเข้าใกล้​เป้าหมาย​มาก​ที่สุด​ ด้วย​สนนราคา​ที่​น่าสนใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥 ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่
    (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)
    และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK
    ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ
    (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ
    ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

    🚩กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิด
    ความสำคัญผิด ในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน
    และผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการ
    ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
    ที่มา : ก.ล.ต.
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #STARK #thaitimes
    🔥🔥 ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่ (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) 🚩กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิด ความสำคัญผิด ในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #STARK #thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1737 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก.ล.ต. กล่าวโทษ "วนรัตน์-ชนินทร์" และพวกรวม5ราย เผยแพร่ข้อมูลเท็จ STARK เกี่ยวกับการใช้เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาทและจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน ทั้งที่ในความเป็นจริงเงินเพิ่มทุนถูกใช้ไปหมดแล้ว และบริษัทไม่มีสถานะทางการเงินที่เพียงพอสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน

    18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่ (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

    ทั้งนี้ ในขณะเกิดเหตุ นายชนินทร์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท นายศรัทธาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน เลขานุการ และกรรมการบริษัท นายวนรัตน์ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และนายประกรณ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท อีกทั้ง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย กรณีมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกรณีตกแต่งงบการเงินปี 2565 ของ STARK* บุคคลดังกล่าวจึงอยู่ในฐานะที่ทราบได้ว่า STARK มิได้มีกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอในการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ นายชนินทร์และนายศรัทธายังทราบข้อเท็จจริงว่า เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาท ได้ถูกนำออกไปใช้จ่ายจนหมดแล้ว โดยบุคคลทั้ง 4 รายมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศของ STARK ดังกล่าว โดยกรณีนี้ เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินในปี 2565

    การกระทำของ STARK เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน

    ที่มา : https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11154

    #Thaitimes
    ก.ล.ต. กล่าวโทษ "วนรัตน์-ชนินทร์" และพวกรวม5ราย เผยแพร่ข้อมูลเท็จ STARK เกี่ยวกับการใช้เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาทและจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน ทั้งที่ในความเป็นจริงเงินเพิ่มทุนถูกใช้ไปหมดแล้ว และบริษัทไม่มีสถานะทางการเงินที่เพียงพอสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน 18 กันยายน 2567-รายงานข่าวจากสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำผิด 5 ราย ได้แก่ (1) บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) และอดีตกรรมการและ/หรืออดีตผู้บริหารของ STARK ได้แก่ (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (4) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ (5) นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ STARK และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทั้งนี้ ในขณะเกิดเหตุ นายชนินทร์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท นายศรัทธาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน เลขานุการ และกรรมการบริษัท นายวนรัตน์ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และนายประกรณ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท อีกทั้ง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย กรณีมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกรณีตกแต่งงบการเงินปี 2565 ของ STARK* บุคคลดังกล่าวจึงอยู่ในฐานะที่ทราบได้ว่า STARK มิได้มีกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอในการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ นายชนินทร์และนายศรัทธายังทราบข้อเท็จจริงว่า เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาท ได้ถูกนำออกไปใช้จ่ายจนหมดแล้ว โดยบุคคลทั้ง 4 รายมีส่วนร่วมในการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศของ STARK ดังกล่าว โดยกรณีนี้ เกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินในปี 2565 การกระทำของ STARK เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ที่มา : https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11154 #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”

    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ
    ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง
    หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย
    ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน
    และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย

    ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่
    13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย
    หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
    ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม
    และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว
    และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ
    โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
    แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด
    การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น

    กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน
    แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ
    100,000 – 150,000 ล้านบาท

    และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน
    ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก.
    จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล
    ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ
    และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง
    ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี

    นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ
    ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ
    ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข.
    (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ)

    ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์
    ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

    🚩(1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า
    ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย
    ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย

    🚩(2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์
    เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน
    เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี
    นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    🚩และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน
    เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้
    ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท
    จัดการลงทุนขอมา

    ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์
    มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567

    ที่มา: ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ รองรับการเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกประกาศปรับปรุง หลักเกณฑ์ กองทุนรวมวายุภักษ์รองรับการเสนอขาย ผู้ลงทุนทั่วไป เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุน และขับเคลื่อนตลาดทุนไทย ตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติรับทราบการเสนอขาย หน่วยลงทุน ของกองทุนรวมวายุภักษ์ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมการออม และการลงทุน ให้กับประชาชนในระยะยาว และเพื่อพัฒนาตลาดทุนของประเทศ โดยสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งจะช่วยลด การพึ่งพิงเงินลงทุนต่างประเทศนั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ มีแผนที่จะเสนอขายหน่วยลงทุน แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ผู้ถือหน่วยลงทุน ก.) ประมาณ 100,000 – 150,000 ล้านบาท และจะนำหน่วยลงทุนดังกล่าวเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหน่วยลงทุน ก. จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าเพดานผลตอบแทนขั้นสูง ตามที่กำหนดตลอดระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ ในกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนลดลง ผู้ถือหน่วยลงทุน ก. มีสิทธิได้รับ ผลตอบแทนก่อนผู้ถือหน่วยลงทุน ข. (กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ) ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ใช้สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 🚩(1) การอนุญาตให้กำหนดราคาขายหน่วยลงทุน ก. ตามมูลค่า ที่ตราไว้ (10 บาทต่อหน่วย) ได้ นอกเหนือจากการขาย ตามมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วย 🚩(2) การกำหนดเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นการเฉพาะ และขยายระยะเวลาผ่อนผันการลงทุน เกินเกณฑ์อัตราส่วนการลงทุน ที่มิได้เกิดจากการลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปี นับตั้งแต่วันที่หน่วยลงทุน ก. ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 🚩และ (3) การอนุญาตให้กระทรวงการคลังชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน เป็นหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น (pay-in-kind) ได้ ตามที่สำนักงานกองทุนรวมวายุภักษ์และบริษัท จัดการลงทุนขอมา ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมวายุภักษ์ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567 ที่มา: ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กองทุนรวมวายุภักษ์ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!!

    หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม
    ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน..

    การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน
    ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า
    แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง
    บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง

    ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่
    ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

    ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น
    เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ……
    สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค...
    รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ...
    ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว
    ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู

    คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง...
    ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้
    ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ...
    มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า
    “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?”

    แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย
    ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน...
    เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ...
    เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร
    สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร”
    ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ
    ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น

    คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว
    แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก
    ไม่เห็นจะยาก....

    แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!!

    นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์
    แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ...

    ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...”
    ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ
    นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย
    ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี
    แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ..
    หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย
    Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี
    2010 จนถึงปัจจุบัน

    โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก
    Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน...

    งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน
    เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า
    ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ
    ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี
    ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน...
    แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน...
    ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch
    ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา”

    วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า
    “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?”

    เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ..
    แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้
    แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู...
    อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น
    ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง
    และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย

    ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ

    เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส

    ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส

    ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!!

    ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ
    พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน
    นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018
    ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น
    งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ
    ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน
    เลวก็คือเลว...!!!
    และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ

    ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เล่นการเมือง……จนชังชาติ...และชาติชัง...!!! หมู่นี้ถนัดอ่านค่ะ ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรเพราะแวดวงขยายออกไปกว้างมาก จนไม่รู้ว่าเป็นใครต่อใคร ดิฉันไม่ได้ปิดกั้นอะไร ใครสามารถหาเอาไปเป็นสาระได้ เพิ่มพูนหรือกระตุ้นต่อมอยากรู้……ต่อมอยากอ่านเพิ่มเติม ก็ไปต่อยอดเอาได้ ถือว่าเราแบ่งปันความรู้กัน.. การเขียนเล่าของดิฉันมีข้อจำกัดในเฟสบุ๊ค คือ ยาวเกินก็ส่งไม่ผ่าน ฉะนั้น...จึงจับเพียงสาระสำคัญมาเล่า เหมือนกับวางอาหารให้ตรงหน้า แต่เคี้ยวหารสชาติเอาเอง บางคนแชร์ไป.……แล้วมีคนมาติงว่า โยงวุ่นวายไปหมด อ่านไม่รู้เรื่อง ธ่อว้อย...เขียนเรื่องการบ้านการเมืองในประเทศ ต่างประเทศ มันก็ต้องโยงไปหลายที่เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องอย่างน้อง”อยากเลือกตั้ง” ที่ ไปจ้ำจี้กับพี่ “เอื้ออาทร” กันสองคนนี่นา…… ที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ที่รู้สึกแย่ที่สุด...คือการที่เห็นว่าผู้คนนิยมแนว”ชังชาติ” กันมากขึ้น เช่นออกมาก่นด่าแผ่นดินที่อาศัยซุกหัวนอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ…… สาบแช่งรัฐบาล....ไม่นิยมเจ้าเพราะเกลียดความไม่เสมอภาค... รำคาญกองทัพที่ต้องใช้งบซื้ออาวุธ... ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันได้กลายเป็น “แนวร่วมสมัย” ไปแล้ว ใครรักชาติก็หมั่นไส้...ได้ยินเพลงหนักแผ่นดินก็แสลงหู คนพวกนี้ยังไม่เคยเห็นภาพสมัย พอลพต และ การทำงานของเขมรแดง... ลืมตาอ้าปากจากท้องแม่มาในสมัยที่บ้านเมืองได้สงบสุข เพราะคนไทยรุ่นเก่าที่พวกเขาจงเกลียดจงชังนักนี่แหละ ที่ช่วยกันพยุงบ้านเมืองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ จนมีทุกวันนี้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันจริงๆ... มีบางคนเหมือนฉลาด...ที่ยียวนว่า “ทำไมต้องซื้อเรือดำน้ำ?” แค่ถามก็พอรู้ถึงสติปัญญาว่า ไม่เคยออกไปสูดดมอากาศภายนอกเลย ซ้ำหนังสือก็ไม่เคยอ่าน ข่าวสารโลกก็ตื้นเขิน... เรือดำน้ำสมัยนี้...คือแสนยานุภาพที่น่ากลัวที่สุด เพราะสามารถส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์จากใต้น้ำ...พุ่งเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแม่นยำและเงียบกริบ... เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง และจากเรือดำน้ำ เขาสามารถส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในรัศมีถึง 4500 กิโลเมตร สามประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง บุช คลินตัน และ ทรัมป์ พยายามเหลือเกินที่จะแทรกแซงในเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนถึงมาตรการ”คว่ำบาตร” ตามมาด้วยการเจรจา คือ ต่างคนต่างถอยกันคนละหลายๆก้าว สหรัฐก็ต้องไม่เอาเรื่องนิวเคลียร์มากดดันเกาหลีเหนือ ลดจำนวนปากกระบอกปืนที่จ่อลง...จึงโอเคกันตามนั้น คิม จอง อึน ...ถึงได้เริ่มมีท่าทีเป็นมิตร จะว่าไป..ก็เพราะตอนนี้เขาไม่อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว แถมยังทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าสหรัฐ...เริ่มเล่นตุกติกเมื่อไหร่ เขาก็เปิดโรงงานอีก ไม่เห็นจะยาก.... แล้วเราจะมาถามหรือคะ...ว่า...ซื้อเรือดำน้ำมาทำอะไร ก็อย่างน้อยเอามาไว้เป็นหูเป็นตา เขาจะกดสวิตช์กันเมื่อไหร่ จะได้อพยพกันทันไง...!! นี่คือเรื่องของการ”ชังชาติ” ของคนที่คิดว่ามันเท่ บางคนเป็นถึงอาจารย์ แต่พูดออกมาแต่ละคำนี่...มันช่างเลวได้ใจ เลวอย่างไม่มีที่ติ... ทีนี้มาเรื่องของการที่คนบางคนโดน”ชาติชัง...” ปล่าวค่ะ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองไทย และไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสาวของนักรบไอซิสด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศฮังการี บ้านเกืดเมืองนอนของ นาย George Soros นั่นแหละ นายจอร์จ โซรอส ได้ใช้เงินมากมายที่เขามี พยายามสร้างประชาธิปไตย ในทุกประเทศในโลก มากน้อยแล้วแต่กรณี แต่ที่บ้านเกิดของเขา ฮังการี เขาทุ่มเงินมหาศาล สร้างโรงเรียน, ห้องสมุด, ศูนย์วิจัยทุกแขนงอาชีพ, มหาวิทยาลัย, ให้ทุนนักศึกษาไปต่างประเทศแบบไม่อั้น เพื่อที่จะได้กลับมาพัฒนาประเทศ.. หนึ่งในนักเรียนทุนที่เขาส่งไปเรียนถึงอังกฤษ คือ นาย Viktor Orbán ที่ได้กลับมาเล่นการเมืองจนเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 1998 เมื่อครบเทอม และได้รับเลือกตั้งใหม่กลับมาเป็นนายกฯ อีกในปี 2010 จนถึงปัจจุบัน โซรอสจึงถือว่าเป็นเด็กในคาถา...เขาเอา UN เข้ามายื่นมาตรการให้ฮังการีต้องเดินตามที่เขากำหนด เช่น รับเข้ามาในกลุ่มของ EU ได้รับเงินช่วยเหลือก็จริง แต่ในปี 1999 ได้บีบให้ฮังการีออกกฎหมายต้องรับผู้อพยพจาก Romania, Slovakia, Serbia and Montenegro, Croatia, Slovenia และ Ukraine ที่มีมากมายร่วมสามล้านคน... งานนี้นายออร์บันต่อต้านสุดฤทธิ์...เขาไม่ยอมลงให้อีกแล้ว เป็นไงเป็นกัน เขาไม่รับนโยบาย และไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้มวลชนเข้าร่วม ชี้ให้เห็นถึงความหายนะที่จะมาเยือนกับบ้านเมือง...ว่า ที่เยอรมัน ต้องจ่ายให้ผู้อพยพต่อคน เดือนละ 354 ยูโร อีกทั้งต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี 2017- 2020 เยอรมันจะต้องจ่ายทั้งหมดคือ เจ็ดพันเจ็ดร้อยล้านยูโร...ให้กับโครงการผู้อพยพ ซึ่งทำให้เยอรมันหวังที่จะผลักดันให้ประเทศชายขอบอย่างฮังการี ช่วยรับไปในขั้นแรกก่อน... แต่คนฮังการี...ไม่ได้มีฐานะเหมือนอย่างคนเยอรมัน... ซึ่งนายโซรอสในฐานะประธานของ Open Society Foundation และกลุ่มมดงานในสังกัด ทั้ง NGO, Human Rights Watch ก็ยังยืนยันว่า...”รับๆไปก่อน อีกหน่อยเขามีงานมีการทำก็มาช่วยจ่ายภาษี...เงินทองก็จะกลับคืนมา” วิคเตอร์ ออร์บัน ได้กัดฟันถามไปว่า “แล้วอนาคตของลูกหลานชาวฮังการีล่ะ...เราต้องดูแลเขาก่อนไม่ใช่หรือ?” เมื่อฮังการีแข็งขืน จอร์จ โซรอส จึงใช้อำนาจผ่านทาง EU เข้าบีบโดยใช้สำนักงานที่กรุงบรัสเซล ออกคำสั่งให้รับผู้อพยพ.. แต่ต้องโดนสวนกลับจากออร์บัน โดยเขาสั่งสร้างรั้วลวดหนามกั้นพรมแดนที่ติดกับเซอร์เบียและโครเอเชีย ทางตอนใต้ แล้วเขาประชด โดยการส่งบิลค่าสร้างรั้วครึ่งหนึ่งไปให้กับอียู... อีกทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกออกมาให้มากๆ ให้มาช่วยกันครองประเทศ ดีกว่าที่จะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่น ค่าดูแลครรภ์ ค่าคลอดรัฐบาลดูแลหมด รวมทั้งสนับสนุนเงินกู้ สามหมื่นกว่ายูโรกับครอบครัว... ที่หนี้หนึ่งในสามนั้น ไม่ต้องจ่ายถ้ามีลูกคนที่สอง และถ้ามีคนที่สาม...ยกหนี้ให้เลย ทีนี้ถึงคราวต้องเล่นงาน จอร์จ โซรอส โดยที่เขาไม่สนใจว่าจะเป็นนายทุนออกให้เรียนหนังสือถึงเมืองนอกเมืองนา หรือจะสร้างอะไรให้ฮังการีสารพัดก็ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ เพราะมันเป็นการที่หว่านพืชหวังผล อีกทั้งมีเจตนาไม่ดีกับประเทศชาติ เขาและประชาชนชาวฮังเกเรียน เปิดฉากล้างบางนายจอร์จ โซรอส ด้วยการประจาน ติดโปสเตอร์ประกาศความร้ายกาจ และ บอยคอตทุกองค์กรในเครือข่ายของโซรอส ฮังการี.……ถือว่า จอร์จ โซรอส คือ คนหนักแผ่นดิน....!!! ป้ายคัทเอ้าท์และโปสเตอร์ ในความหมายว่า “Stop Soros” ได้ขึ้นทั่วเมือง ที่ประชาชนชาวฮังเกเรียนได้รวมใจกันให้ความร่วมมือ เพราะ พวกเขาทุกคนมองเห็นว่า ประเทศกำลังอยู่ในระยะของการแทรกแซงด้วยระบบทุน นโยบาย”ต่อต้านโซรอส”ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นบทบัญญัติทางกฎหมายและได้ถูกนำขึ้นสู่สภา และได้ผ่านการพิจารณาลงมติผ่านเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ทีนี้……หมายถึงกลุ่มกรรมการสิทธิฯ กลุ่มเอ็นจีโอ...ต้องเก็บข้าวของออกไป หรือจะอยู่ก็ต้องหุบปาก...ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น งานนี้คืองานที่ท้าทายอำนาจของมหาเศรษฐีและเย้ยสภายูโรเปี้ยนแบบ ไม่สนใจว่า โซรอสได้โปรยเงินในประเทศมากมายมหาศาลแค่ไหน เลวก็คือเลว...!!! และสภายูโรเปี้ยนจะมาสั่งให้เปิดพรมแดน……ก็ไม่ได้ เพราะ ฮังการี เพื่อ ชาวฮังเกเรียนเท่านั้น...เข้าจั๋ยยยยย!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 724 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts